เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
ทำไม “เด็ดดอกไม้” จึง “สะเทือนถึงดวงดาว” ใครรู้ยกมือขึ้น…ผมได้ความคิดในการเขียนเรื่องนี้จากบล็อกของคุณ Nabhasan2007 แห่ง mBlog โดยเธอได้เขียนเรื่อง “ทำไมเด็ดดอกไม้แล้วสะเทือนถึงดวงดาว” ตั้งคำถามในเรื่องนี้ แล้วมีผู้เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นหลายคน รวมทั้งผมด้วย
ผมได้ยินประโยคนี้เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เพราะเป็นชื่ออัลบั้มเพลงของกลุ่มดนตรีเฉลียง (ถ้าจำไม่ผิด) ต่อมาจึงได้รู้ว่า เป็นคำอธิบายที่มีผู้ใช้อธิบายถึงทฤษฎีแห่งความไร้ระเบียบ หรือทฤษฎีความอลวน หรือ ทฤษฎีความโกลาหล ซึ่ง แปลมาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกัน คือ Chaos Theory ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวนี้ ในภาคภาษาไทยมีผู้อธิบายไว้หลายแห่งโดยคนหลายคน ที่น่าสนใจและทำความเข้าใจได้เป็นเบื้องต้น ก็คือ คำอธิบายเรื่องทฤษฎีความโกลาหล ของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิช แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
ในทางวิชาการนั้น คำอธิบายของประโยคที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ที่อิงแอบอยู่กับทฤษฎีความไร้ระเบียบ ได้ก่อให้เกิดความสับสนงุนงงแก่ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิชาการ หรือไม่มีพื้นความรู้เรื่องทฤษฎีดังกล่าว ตัวผมเองแม้มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่สนใจเรื่องทฤษฎีความไร้ระเบียบ (ผมชอบคำแปลคำนี้ ซึ่งแปลโดย อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ในหนังสือชื่อ “ทฤษฎีความไร้ระเบียบกับทางแพร่งของสังคมสยาม”) จนถึงขั้นลงมือศึกษาค้นคว้าด้วยความอยากรู้ แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้ไป เพราะไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจในเชิงวิชาการได้
ดังนั้น ผมจึงหันมาพิจารณาทำความเข้าใจในเชิง “วิชากู” หรืออาจจะเรียกว่า “วิชาเกิน” ก็ได้ นั่นคือ คิดค้นทำความเข้าใจโดยใช้รสนิยมของตัวเองล้วนๆ จนตกผลึกเป็นความคิดชุดหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ผมได้แสดงความคิดเห็นไว้ในบล็อกของคุณ Nabhasan2007 ซึ่งผมจะขอยกมานำเสนอไว้ในที่นี้โดยพิสดาร(คือยาวขึ้นมาหน่อยนั่นแหละครับ)โดยอาศัยหลักวิชากูที่ได้นั่งคิดนอนคิดมาจนผมร่วงไป ครึ่งหัว (ร่วงเป็นสไตล์ชะโดตีแปลงซะด้วย) ผมก็ได้คำอธิบายว่าเรื่อง “เก็บดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ซึ่งคำกล่าวนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูดโก้ๆของนักปรัชญาจอมปลอม หากแต่เป็น “สัจธรรม” (Truth) หาใช่ “ความจริงพื้นๆ” (Real) ไม่ (เอ๊ะ! ใช้ภาษาอังกฤษถูกหรือเปล่าหว่าเนี่ย)
ผมคิด (และเชื่อด้วย) ว่า ประโยคเด็ดที่ว่า “เก็บดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เป็นคำอธิบายในเชิงเปรียบให้เราเห็นถึงกระบวนการต่อเนื่องของสรรพสิ่ง ที่ส่งผลต่อกันไปเป็นลูกโซ่ ซึ่งเมื่อเราเข้าใจแล้ว จะทำให้เรามีความรอบคอบในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบอันไม่พึ่งประสงค์ที่จะตามมาในภายหลัง
ที่เป็นดังนี้เพราะว่า การกระทำของเรา ณ กาลเวลาและสถานที่หนึ่งในปัจจุบัน ย่อมส่งผลต่อเนื่องไปถึงอนาคต หรือในทางกลับกัน การกระทำของเรา ณ กาลเวลาและสถานที่หนึ่งในอดีต ส่งผลมาถึงเราในกาลเวลาและสถานที่ปัจจุบันนี้ นั่นเองอธิบายอย่างง่ายให้เห็นภาพต่อเนื่องชัดเจนขึ้นดังนี้
ณ กาลเวลาปัจจุบัน เราอยู่ ณ สถานที่หนึ่งคือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เราเดินไปพบดอกไม้ป่าที่สวยแปลกอยู่ดอกหนึ่ง ด้วยความเห็นแก่ตัว ไร้ความรับผิดชอบ ปราศจากจิตใจแห่งสาธารณะ เราจึงเด็ดดอกไม้ดอกนั้น และดอกไม้ดอกนั้นเป็นดอกสุดท้ายของฤดูกาลที่มีน้ำหวานให้ผีเสื้อ ผีเสื้อตัวหนึ่งต้องการดื่มน้ำหวานครั้งสุดท้ายก่อนที่จะบินไปวางไข่ เมื่อผีเสื้อไม่ได้กินน้ำหวานก็อดตาย ไม่ได้วางไข่ เมื่อผีเสื้อไม่ได้วางไข่ก็ไม่มีหนอนผีเสื้อออกมาหากินใบไม้ นกที่ต้องอาศัยหนอน
ผีเสื้อที่ออกมาจากแม่ผีเสื้อตัวนั้นเป็นอาหารก็ไม่มี อาหารให้กิน เมื่อนกไม่ได้กินอาหารก็อดตาย เมื่อนกอดตายลูกนกที่จะต้องเกิดจากแม่นกตัวนั้นก็ไม่ได้เกิด เมื่อลูกนกไม่ได้เกิด เมื่อลูกนกไม่ได้เกิดจำนวนนกก็ลดลง ทำให้เหยี่ยวที่อาศัยจับนกเล็กกินเป็นอาหารก็ไม่มีอาหารพอเพียงทำให้ไม่ สามารถออกไข่ที่สมบูรณ์ได้ ส่งผลให้ไม่มีลูกเหยี่ยวเกิดขึ้น จำนวนเหยี่ยวก็ลดลง แล้วมีผลทำให้จำนวนเหยี่ยวลดลงด้วย เมื่อจำนวนเหยี่ยวลดลง จำนวนสัตว์เล็กๆที่เป็นอาหารเหยี่ยว เช่น นกเล็กๆ หนูป่าหนูนาก็เพิ่มขึ้น หนูเพิ่มขึ้นก็ทำความเสียหายแก่พืชไร่พืชนา ส่งผลให้ผลผลิตของชาวไร่ชาวนาลดลงเพราะถูกทำลาย….แล้วก็ส่งผลต่อเนื่องไป เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นเป็นเส้นตรง หรือผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงชั้นเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลกระทบจะแผ่กว้างออกไปทุกทิศทุกทาง เหมือนเราโยนก้อนหินลงน้ำ จนทำให้เกิดคลื่นน้ำแผ่ขยายออกไปรอบทิศ จากคลื่นเล็กๆแล้วขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับ
จะเห็นว่า การกระทำใดๆของเรา ณ กาลเวลาใดเวลาหนึ่ง สถานที่ใดที่หนึ่ง ย่อมส่งผลไปถึงเหตุการณ์ในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อเราทำในสิ่งที่ดี แนวโน้มผลที่เกิดขึ้นก็ย่อมเป็นไปในทางที่ดี เมื่อเราทำสิ่งไม่ดี แนวโน้มของผลกระทบย่อมจะเกิดขึ้นทางที่ไม่ดี นั่นคือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามหลักธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้ ทำให้เราเกิดความระมัดระวัง รอบคอบมากยิ่งขึ้น ในการกระทำสิ่งใดๆก็ตาม เพราะไม่ว่าจะทำสิ่งใด มันย่อมนำไปสู่สิ่งอื่นๆในกาลข้างหน้าทั้งสิ้น จะเป็นสิ่งดี สิ่งไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ณ กาลเวลาและสถานที่ปัจจุบัน
นี่แหละเป็นคำตอบ หรือคำอธิบาย หรือ ความเข้าใจของผมเกี่ยวกับประโยคโลกแตกที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” มันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่มันทำให้ผมได้คิดพิจารณา หาเหตุผล หาข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการหาคำตอบเรื่องนี้ ซึ่งก็คือการพัฒนาตัวเองวิธีหนึ่ง เมื่อเราได้พัฒนาตัวเอง ย่อมเป็นที่เชื่อได้ว่า ผลที่ดีๆจะต้องเกิดขึ้นตามมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ กาลเวลาและสถานที่หนึ่งในอนาคต
ท่านใดจะคิดเห็นเป็นอย่างอื่น ก็ขอเชิญอภิปรายกันได้ หรือใครมีคำตอบที่แน่ชัดก็ยกมือขึ้น แล้วพิมพ์คำตอบนั้นลงไว้ในที่นี้ด้วย ถ้าไม่หวง เพื่อทุกๆคนจะได้แบ่งปันคำตอบนั้นไปใช้ประโยชน์ด้วยโดยทั่วกัน.ที่มา http://kosoltalk.com/chaos-theory