ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม  (อ่าน 12939 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 10:50:22 pm »
0

ความลี้ลับของกลไกกรรมและเกมส์กลกรรม


บุญอันเกิดจากเผยแผ่ธรรมะเป็นธรรมทานในครั้งนี้ หากเป็นสัญญากรรมที่นำข้าพเจ้ามาเกิดแล้วไซร์
ข้าพเจ้าขออาสาเป็นผู้สนับสนุน ทำนุบำรุง ยกยอพระพุทธศาสนา จนกว่าจะบรรลุถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด
หากเป็นจริงแล้วขออธิษฐานให้มีพละ กำลัง สติปัญญา อำนาจ บุญบารมี ให้เป็นที่อัศจรรย์ด้วยเทอญ จะได้ทำบุญต่อบุญให้ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ

การบริหารกรรม และสัญญากรรม

หากเราเข้าถึงกฎแห่งกรรม เราก็มีสิทธิที่จะบริหารกรรมของเราเอง การปล่อยชีวิตของเราให้เป็นไปตาม
ยถากรรม ย่อมไม่เป็นผลดีกับชีวิตเราและครอบครัวของเราได้ ทั้งนี้เราต้องปฏิบัติเพื่อศึกษาให้รู้ถึง
กลไกกรรม ให้รู้สัญญาในวิบากกรรม หรือชนกกรรมที่ส่งเรามาเกิด แล้วดำเนินชีวิตในการในทิศทางตาม ชนกกรรม ย่อมมีส่วนแก้ไขปัญหาชีวิตโดยตรง เป็นการการเบี่ยงเบนกรรม ลดกรรม หรือจำกัดกรรมให้อยู่
ขอบเขตที่เราควบคุมได้ ถึงชาตินี้เราเป็นคนดี แต่เจ้ากรรมนายเวรเราก็คงไม่ยกโทษให้เราง่ายๆ
เกมส์กลกรรม นั้นจึงถือว่าเป็นการใช้กรรมทางเลือก เราคงต้องเรียนรู้กรรม เพื่อที่จะบริหารการใช้กรรม
ของเรา หรืออย่างน้อยเราก็ต้องรับรู้และยอมรับว่ากรรมนั้นเป็นสิ่งที่เราได้เคยทำมาเองในอดีตชาติทั้งสิ้น


เกมส์กลกรรม

เป็นการเล่นเกมส์กับกรรมที่มาถึงในแต่ละช่วงของกาลเวลา โดยที่ เราเล่นเกมส์กับกฎแห่งกรรมที่จะมาถึง
ในอนาคตอย่างรู้เท่าทัน แล้วนำไปบริหารใช้ในกลไกกรรม ซึ่งเราต้องยอมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
รวมทั้งผลกระทบ ผลข้างเคียง เช่นใช้ในกงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่า ,บุพกรรม, บุพเพสันนิวาส
ซึ่งเราต้องมีความเพียร ความอดทนในการเผชิญปัญหา มีตัวรู้ พร้อมสติจิตตั้งมั่นในการบริหารทิศทั้ง ๖
ด้วย อิทธิบาทธรรม ๔ เมื่อเรารู้ถึงกลไกกรรม ชนกกรรมหรือเหตุแต่กรรมที่ได้ทำมาครั้งอดีตชาติ
เราสามารถที่จะเลือกบริหารกรรมของเราได้พร้อมกันโดยรวมได้ หลายวิธีดังนี้

๑. กฎแห่งกรรม
ข้อนี้เป็นการการปล่อยชีวิตไปตาม กฏแห่งกรรม นั้นถือเป็นการยอมแพ้ชีวิตแล้วปล่อยชีวิตเผชิญกรรม
ไปตามยถากรรม โดยไม่สร้างตัวรู้ไว้ป้องกันตัวเลย หากกรรมแสดงตัวออกมาอาจจะนำชีวิตเราไปสู่
อาญากรรมก็ได้ การยอมรับกรรมโดยไม่มีตัวรู้บริหารจัดการ ซึ่งก็คงเป็นชะตาชีวิตของคนส่วนใหญ่
บนโลกใบนี้ หากจะเราต้องการแก้ไขกรรมหรือบริหารจัดการกรรมโดยใช้ข้อกฎแห่งกรรมมาใช้
ในพรหมลิขิต อย่างน้อยเราควรมีตัวรู้ระดับหนึ่งซึ่งสามารถคุมจิตคุมใจเตรียมรับสิ่งที่จะเข้ามากระทบ
ตามกฎแห่งกรรม ด้วยอุเบกขา และเมตตา นั่นคืออย่างน้อยต้องมีพรหมวิหาร ๔ เข้ามาใช้ เพื่อให้ปลงได้
จนชีวิตผ่านพ้นวิกฤตไป ซึ่งคงมีแต่อริยจิตเท่านั้นที่ทำใจได้ ยิ่งหากว่าคนๆนั้นมีครอบครัวมีลูก หรือคนที่
ต้องรับผิดชอบ ที่เรียกว่าบริวารซึ่งจะพลอยทำให้ครอบครัวต้องรับกรรมไปด้วย วิธีนี้จึงไม่สนับสนุนในวิถี
จริตปุถุชน

๒. เกณฑ์แห่งเวร

เป็นการเล่นเกมส์เกณฑ์แห่งเวรกับกฎแห่งกรรมที่มาถึงในกาลเวลา โดยที่เราสามารถอธิฐานต่อ
สิ่งศักดิ์สิทธิหรือพระพรหมประจำชีวิตเพื่อก้าวเข้าสู่เกมส์กลกรรม การใช้ข้อเกณฑ์แห่งเวร เป็นการบริหาร
จัดการกรรมด้วยเทวฤทธิ์ เราอาจต้องเผชิญกับกรรมของเราสักระยะ เพื่อแลกเปลี่ยนกับโอกาสทอง
บางโอกาสของชีวิต ทั้งนี้หากเรารู้เท่าทันเกณฑ์แห่งเวรข้อนี้ เราจึงต้องมีความอดทนในการเผชิญปัญหา
ซึ่งเราต้องมีความรู้เรื่องกรรมในระดับหนึ่ง รวมทั้งต้องมีความเพียร รู้จักเปิดรหัสกรรมที่ดีเพื่อเบียดเบียน
กรรมชั่วในอดีตชาติ ซึ่งกรรมดีที่ยิ่งใหญ่ที่จะสามารถต่อกรกับกรรมของเรา โดยเฉพาะกรรมหนัก นั้นต้อง
เป็นบุญที่ตรงกับหนี้กรรมเท่านั้น ซึ่งการทำกรรมดีที่ตรงกับชนกกรรม หรือ หนี้กรรมนั้นจะทำเราสามารถ
ต่อกรกับกรรมที่กำลังจะเข้ามากระทบเราได้ หากเราทราบว่าการทำบุญใดตรงกับหนี้กรรม หรือเป็นมหาบุญ
ที่สามารถเบียดเบียนกรรมหนักทุกกรรมได้ ดังนั้น เราควรระบุ หรืออธิฐานว่าที่ทำบุญนั้นเพื่อสิ่งใด เช่น
ประสงค์จะสร้างพระอุโบสถ ประสงค์จะเป็นเจ้าภาพองค์ผ้าป่า หรือองค์กฐิน หรือประสงค์จะทำบุญสนับสนุน
รายการธรรมะ ซึ่งถือเป็นมหาบุญ และ มหาทาน เนื่องจากการให้ธรรมะเป็นทานนั้นเป็นทานที่ชนะการให้
ทานใดๆทั้งปวงหากเราไม่อธิฐานว่าทำบุญอะไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คงไม่ทราบว่าก็ทำบุญอะไรตรงกับหนี้กรรม
หรือไม่ บางหนี้กรรมเราต้องชดใช้กับคน หรือสัตว์ ที่มีกงเกวียน กรรมเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่ากับเรา
ดังนั้น หากเราไม่มีตัวรู้ว่าเรานั้นเกี่ยวข้องกับใครมาอย่างไรในอดีตภพอดีตชาติ เราจึงควรฝึกตนให้สามารถ
ปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นได้ทุกกิจกรรม โดยเฉพาะงานบุญงานกุศลสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น การสร้าง
พระอุโบสถ สร้างพระประธาน งานทอดกฐิน งานทอดผ้าป่า การบวชเนกขัมมะ ตลอดจนการเข้าร่วมในพิธี
กรรมต่างๆที่มีผู้มาร่วมในงานบุญ งานพิธีมากๆ หากผู้ที่ร่วมในงาน โดยเฉพาะประธานหรือเจ้าพิธีหากมี
กงเกวียนกรรมเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่ากับเรา จะยิ่งเป็นตัวช่วยให้แก้ปัญหาของกงเกวียนกำเกวียน
กรรมเก่าเกี่ยวเก่า และช่วยให้เราผ่านเกมส์กลกรรมไปได้ง่ายขึ้น เราจึงควรร่วมกิจกรรมหรือพิธีกรรมทุก
กิจกรรมด้วยความจริงใจ ลดจิตริษยา อาฆาตพยาบาทให้หมดสิ้น ให้มีแต่จิตที่มีเมตตา หรือที่เรียกว่า
พรหมจิต หรือจิตที่เป็นอัปมัญญาพรหม อันเป็นรักกลางๆ เท่าเทียมกันทุกคน หากคนใดมีเมตตาน้อย
ย่อมยากที่จะผ่านเกมส์กลกรรมไปได้

๓. กติกาแห่งเทพ
ในอดีตชาติเราอาจเคยมีเล่ห์เล่นกลหลอกลวงใครต่อใครไว้มากมาย ชาตินี้เราจึงต้องมาเล่นเกมส์
กับเทพ เป็นการอธิฐานรับเทพเพื่อมาช่วยเหลือปรับปรุงชะตาชีวิต ปรับเพิ่มการเรียนรู้ธรรมะจนชีวิตเป็น
อิสระ สามารถปฏิบัติตามกติกาของเทพให้ได้ เราจึงต้องศึกษาหาความจริงในสัจธรรม จนกว่าจะพ้น
พันธะและความสับสนวุ่นวายในชีวิต เราต้องทราบว่าคนเรานั้นเกิดมาตามกรรม เกิดมาเพื่อใช้กรรม
และเกิดมาสร้างกรรม ทุกวันนี้บางคนอาจมองชีวิตของตนช่างราบเรียบ ไม่เห็นจำเป็นต้องมาพึ่งเทพยดา
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้ว อาจสิ่งศักดิ์สิทธิที่มีกรรมสัมพันธ์กับเราอาจช่วยเรา
อยู่เบื้องหลังก็ได้ เราอาจได้ใช้กรรมกับใครต่อใครไปมากแล้วโดยเทวฤทธิ์ปาติหารย์แต่เราเองต่างหากที่
ไม่ทราบ โดยอาจจะมาแฝงอยู่ในเทวาปาติหาริย์ หรือเทวานุภาพที่แฝงอยู่ในจิตตรานุภาพ กติกาเทพนั้น
ละเอียดอ่อนนำกติกามาบริหารกรรม ไม่ใช่มาทดแทนกรรม เทพท่านก็ใช้กฎแห่งกรรมของเราเองให้เรา
เผชิญให้เราชดใช้ หากเราต้องเข้าถึงกติกาของเทพให้ได้ว่าคือสิ่งใด ไม่ทราบว่าเทพต้องการเงื่อนไขใด
ให้เราปฏิบัติ หรือมาตรฐานจิตระดับใดในการผ่านเกมส์ เราจึงต้องพิจารณาศึกษาให้ดี บางครั้งเราอาจจะ
กำลังเล่นเกมส์กลกรรมกับเทพอยู่ในชีวิตประจำวันกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นมาทดสอบจิตของเราโดยไม่รู้ตัว
เลยก็ได้ บางทีเราอาจผ่านกติกาหรือสอบตกกติกาของเทพไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ หากใครไม่สามารถ
ผ่านเงื่อนไขกติกาของเทพได้อาจทำให้ชีวิตของเขาสะดุดหรือ ลำบากขึ้น รอโอกาสในชีวิตนานขึ้น หรือ
พลาดโอกาสสำคัญในชีวิตไปเลย ไปโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ โดยเราสามารถอธิฐานจิตเพ่งชื่อเทพขอมาคุ้มครอง
ดูแลเราในกติกาเทพก็ได้ หรือรับเทพจากการรับขันธ์ครูซึ่งเทพท่านจะมาในนิมิตร ๓ หากเรามีตัวรู้ พร้อมมีสติ
จิตตั้งมั่นในการบริหารทิศทั้ง ๖ ด้วย อิทธิบาทธรรม ๔ ที่สมบูรณ์ มีอุเบกขาพร้อมในการรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
รู้จักอดทน อดออม อดกลั้นจิตใจ โดยต้องคุมจิตให้ได้ จิตไม่ฟู ไม่แฟบ ทั้งระดับกายประพฤติ จิตคิด
และสูงสุดในการฝึกให้จิตมีอุเบกขาในระดับองค์ฌาน และฝึกให้เกิดตัวรู้ในระดับองค์ญาณ ก็จะเป็นพื้นฐาน
และปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราสามารถผ่านกติกาของเทพไปได้ในที่สุด

๔.ระเบียบวินัยทางวิญญาณ เป็นการฝึกจิตสู่สัมมาสมาธิ เช่นการนั่งกรรมฐานจนมีระดับจิตที่สูงขึ้นไป
ด้วยสติปัฏฐาน๔ ซึ่งวิธีนี้ต้องการตัวรู้และใช้เวลามาก ส่วนใหญ่หนีกรรมไม่พ้นก่อน เนื่องจากต้องได้ญาณ
ระดับอภิญญาญาณแล้วเท่านั้น จึงจะพ้นอำนาจแห่งเวรกรรมได้ ยกเว้นอนันตริยกรรม ถึงจะได้อรหันต์แล้ว
ก็ต้องชดใช้กรรมนั้น ซึ่งกรรมในอดีตภพของพระอรหันต์เองที่เคยทำมานั้นก็ไม่ได้สูญสิ้นไปไหน ก็ยังคงบันทึกอยู่
ในภวังคจิตของพระอรหันต์อยู่นั่นเอง เพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกได้ เท่ากับเป็นอโหสิกรรม หรือกรรมเป็นกลาง
ไปนั่นเอง คนส่วนใหญ่บนโลกล้วนไม่มีอภิญญาญาณเหมือนพระอรหันต์จึงหนีกรรมกันไม่พ้นก่อน เราจึงต้อง
วนเวียนอยู่ในวัฏจักรสงสารเผชิญกับเวรกรรมเก่าอยู่ร่ำไป การแก้ปัญหากรรมเฉพาะหน้าโดยใช้รหัสกรรม๔
และรหัสเวร๔ จึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการแก้ไขชะตาชีวิต ให้ผ่านพ้นเฉพาะหน้าไปในวิถีที่ง่ายที่สุดของปุถุชน

การที่เรามีความรู้ความเข้าใจในเกมส์กลกรรม รหัสกรรม๔ และรหัสเวร๔ ย่อมเป็นการเพิ่มโอกาส
ชนะเกมส์กลกรรมได้มากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้แต่งงานกับบุพเพสันนิวาสที่แท้จริงในชาตินี้ เราก็สามารถบริหาร
จัดการเกมส์กลกรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลชี้วิตได้ ทั้งนี้ ?การที่เรามีอุเบกขา ความกตัญญูระดับชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ และ มีความรักความเมตตาระดับอัปมัญญาพรหม? จะเป็นฐานกำลังสูงสุดในการเล่นเกมส์กับเทพ
ผนวกกับปัญญา และความสามารถในการเข้าถึงสัจธรรม ที่จะทำให้มนุษย์เราผ่านเกมส์กลของเทพไปได้ทันการ
ก่อนที่เวลาของกฎแห่งกรรมจะมาถึง

การแก้ไขปัญหากรรมเราต้องรู้จักตัวกรรมให้ดีพอ อย่างน้อยเราต้องมี ยถาภูตญาณทัศนะ หรือหมายถึง
มีญาณทัศนะที่หยั่งรู้ฐานะแห่งจิตวิญาณ ไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมทีเดียว อย่างน้อยต้องรู้ว่าเราเกิดมาตามกรรม
เกิดมาใช้กรรม เกิดมาสร้างกรรม อย่างไรจึงจะถูกต้อง เราต้องรู้ว่ากรรมจะแสดงออกตามกาลเวลา เมื่อรู้จักกรรมแล้ว
ต้องรู้จักแก้ รู้จักใช้รหัสกรรม ๔ ร่วมกับรหัสเวร๔ หรือใช้ เกมส์กลกรรมเป็นทางเลือก ระวังอย่าให้เวลาหมดก่อน
เพราะเมื่อเวลาหมด ก็หมายถึงอาญากรรมมาถึง หรือหมดโอกาสได้รางวัลชีวิต ก็เรียกว่าสายเกินไป

การทำบุญที่ตรงกับหนี้กรรม
สิ่งที่หลายคนคุ้นเคยกับการทำดีคู่กับพระพุทธศาสนาคือการทำบุญที่วัด การทำทานด้วยสิ่งของช่วยเหลือผู้ด้อย
โอกาสหรือผู้ที่กำลังเดือดร้อน แต่แท้จริงแล้ว อีกหลายๆสิ่งที่พึงศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธ ศาสนายังมีอีกมาก เช่น
บุญกริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งสำคัญที่สุดคือการทำทานด้วยธรรมะ และการทำบุญที่ตรงกับหนี้กรรมจะช่วยให้เราหลุดพ้น
จากเงื่อนปมต่างๆได้เร็วขึ้น การทำบุญในพระพุทธศาสนา ได้แก่ บุญกริยาวัตถุ มีถึง ๑๐ ประการแต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

๑. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ทาน ปันสิ่งของ)
๒. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี)
๓. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ)
๔. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม)
๕. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้)
๖. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น)
๗. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น )
๘. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้)
๙. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้เป็นทานถือเป็นทานที่เหนือกว่าการทำทานใดๆทั้งปวง
๑๐. ทิฎฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง )


คนบางคนทำบุญมาตลอดชีวิต แต่สุดท้ายชีวิตก็ไปไม่ถึงไหน หากการทำบุญนั้นไม่ตรงกับสัญญากรรม
หรือชนกกรรมหรือหนี้กรรมของคุณ นั่นคือรหัสกรรม และ รหัสเวรของท่านไม่เปิด หากเราไม่สามารถทราบว่า
สัญญากรรม หรือ หนี้กรรมของเราเราคืออะไร แล้วทำบุญไปโดยมีมีตัวรู้ไม่อธิฐานชี้แจงวัตถุประสงค์การทำบุญ
ที่ชัดเจน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ลิขิต และกำกับชีวิตของเราจะทราบได้อย่างไรว่า ท่านได้ทำบุญตรงกับหนี้กรรม
เราคงได้แต่บุญเก็บไว้ใช้ชาติหน้า แต่โอกาสที่เราจะหลุดพ้นจากปมเงื่อนชีวิตของเราในชาตินี้นั้นคงเป็นไปได้ยาก
เราคงต้องมีชีวิตที่ต้องโต้คลื่นกับชะตากรรมไปโดยไม่มีทิศทาง การเข้าถึงสัญญากรรมเราสามารถรู้ได้หากเรามีสมาธิ
ระดับองค์ญาณชั้นสูง หากเรายังไม่สามารถมีตัวรู้ในระดับนั้น เราก็ยังมีวิธีในการเผชิญกรรมชะตาชีวิตอันที่เราจะได้
กล่าวต่อไป

สัญญากรรม ชนกกรรม
โดยปกติแล้วบุญบาปที่ทำมา ทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดทุกเจตนา ทุกเหตุการณ์ เก็บไว้เป็นสัญญาไว้ในภวังคจิต
คำว่าสัญญาย่อมไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ เป็นเพียงสัญญาว่าเคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วต้องมาชดใช้กันกับทุกฝ่ายที่
เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ในสัญญานั้น ใครเคยทำอะไรกับใครไว้วันหนึ่งในภพชาติใดภพชาติหนึ่งก็ต้องมาเกี่ยวข้อง
สัมพันธ์กันเพื่อชดใช้ให้กัน วันหนึ่งๆเราอาจทำเหตุการได้ทั้งบุญและบาปและทั้งไม่บุญไม่บาปมามากมายหลาย
เหตุการณ์ สะสมมาหลายภพชาติ มาชาตินี้ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมาชดใช้ทุกเหตุการณ์ในอดีตทุกเหตุการณ์ไป ผลของ
กรรมในชาตินี้ถือเป็นบุญบาปสุทธิที่หักกลบลบหนี้กันแล้วระดับหนึ่ง มาชดใช้กันในลักษณะที่เป็นกรรมรวม มาพบกันใหม่
ในชาตินี้ เราจึงควรมีตัวรู้ว่าเราติดหนี้ใครไว้อย่างไร แล้วต้องชดใช้เขาด้วยอะไร อย่างไร ปริมาณมากน้อยแค่ไหน หาก
ชาตินี้เกิดมาแล้วยังมีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่โกงหรือเบียดเบียนเขาอีกก็จะยีงไปเพิ่มหนี้กรรมให้มากและซับซ้อนมากขึ้นอีก
เราควรที่จะหันมาศึกษาปฏิบัติ ให้เข้าถึงปมเงื่อนกรรม หรือหนี้กรรมนี้ อันเป็นปมเงื่อนหรือหนี้ที่สำคัญในพรหมลิขิตเพื่อ
ชดใช้ให้เขา หากเราไม่ทราบพรหมลิขิต หรือสัญญากรรมของเราที่เราเคยทำกับใครไว้อย่างไร เราจึงไม่ควรประมาท
ไม่ควรเกลียดชังผู้ใดจนเป็นอาฆาต พยาบาต แม้แต่สัตว์ก็อาจมีปมเงื่อนไขกรรมกับเราอยู่ในอดีตภพได้ เราจึงควรพยายาม
ฝึกและปรับจิตของเราสู่พรหมวิหารเป็นพื้นฐาน ให้จิตของเราเต็มไปด้วยความรักความเมตตา การเป็นมิตร มีเมตตาในทิศ
ทั้ง ๖ อย่างน้อยถึงเราจะไม่ได้ชดใช้เขาถูกหนี้กรรม แต่เราก็จะได้ไม่ไปเพิ่มความซับซ้อนวุ่นวายในพรหมลิขิตให้ยุ่งยาก
มากขึ้นไปอีก

ชนกกรรม
เรื่องของชนกกรรมนั้นหากแปลโดยตรงในความหมายคือ ? กรรมพ่อ? หมายถึงกรรมที่ส่งให้เรามาเกิดด้วยซึ่งจะ
แตกต่างกันในแต่ละคน หรือเรียกได้ว่าเป็นกฎของการเกิด หากจะเปรียบเทียบกับองค์พรหมนั้นอุปมาเทียบได้กับองค์พรหม
ภาคนั่ง อันหมายถึงพรหมลิขิตที่กำหนดชีวิตเราให้ไปตามที่กำหนดของชีวิตคนแต่ละคน ซึ่งจะแตกต่างกันแต่ละคนขึ้นอยู่
กับสัญญากรรมของแต่ละคนที่ได้กระทำมาในอดีตชาติ เมื่อเรามาเกิดแล้วชีวิตเราก็จะถูกกำกับให้เป็นไปตามชนกกรรมตาม
ที่กำหนดอุปมาดั่งองค์พรหมภาคยืน ที่จะคอยกำกับชีวิตเราให้ไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ตามพรหมลิขิตว่าไปแล้วชนกกรรม
ก็คือ สัญญากรรมที่ถูกเลือกกำหนดมาให้เรามาทำในชาตินี้ว่าเราเกิดมาแล้วต้องมาทำกิจนั้นตามสัญญาแห่งชนกกรรมที่ส่ง
มาเกิด จึงจะหลุดเงื่อนปมชีวิตโดยมีกาลเวลาในกฏแห่งกรรมเป็นตัวควบคุม หากใครหมดกาลเวลาแล้วยังไม่ทำตามชนกกรรม
ได้ครบถือว่าผู้นั้นผิดคำมั่นสัญญา ผู้นั้นก็จะมีโอกาสพบปัญหา สอบตก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรมได้ หากเรามีตัวรู้
หรือมีครูผู้ชี้แนะที่ดี สามารถเข้าถึงชนกกรรมได้ รู้ว่าชนกกรรมคืออะไร ต้องรู้ว่าคนเราเกิดมาตามกรรม เกิดมาใช้กรรม เกิดมา
สร้างกรรม เราต้องรู้ว่าต้องทำกรรมใดเงื่อนไขใด รู้จักวิธีใช้กรรม รู้วิธีบริหารกรรม เมื่อเราทราบชนกกรรมทั้งหมดแล้ว แล้วเราต้อง
พยายามปฏิบัติให้ได้ตามชนกกรรมให้ครบ เมื่อเราได้ทำตามคำมั่นสัญญาของเราแล้วเส้นทางชีวิตของผู้นั้นก็จะเดินทางไปสู่
เส้นทางแห่งความสำเร็จ หรือได้รางวัลชีวิตได้ในที่สุด แต่หากปฏิบัติได้ไม่ครบทุกข้อ ก็จะต้องแบ่งส่วนกันระหว่างรางวัลชีวิต
และอาญากรรมมากน้อยตามข้อกำหนดชนกกรรมที่ปฏิบัติได้
สัญญากรรม สัญญาณเวร เทพนิมิต ปรากฏการณ์ทางวิญญาณ
เมื่อชีวิตของคนเราถูกกำหนดและกำกับให้เป็นไปตามพรหมลิขิต ตามชนกกรรมหรือที่เรียกว่าเป็นกฎการเกิด ที่ส่งเรา
มาเกิดคนที่มีภพชาติที่ยิ่งซ้ำซ้อนเท่าไรย่อมมีปรากฏการณ์แปลกๆเกิดขึ้นในชีวิตของเขา ด้วยอำนาจของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
และเทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อันจะทำให้เกิดเป็นนิมิตเทพให้เราได้แปลความหมาย ตามกฎของการเกิด คือคนเราเกิดมาตามกรรม
เกิดมาใช้กรรม เกิดมาสร้างกรรม เช่นสิ่งเอะใจ ลางสังหรณ์ ทั้งเหตุการณ์ภายนอก และภายใน ซึ่งการแปลความหมายนิมิตนั้น
จะแม่นยำเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าสัญญาณเวรที่ส่งมาต้องไม่ถูกปิดกัน แล้วตรวจสอบสัญญาณเวรนั้นด้วยตัวรู้ของเรา ทั้งนี้ปรากฏ
การทางวิญญาณที่ถูกต้องชัดเจนมีตัวรู้ในระดับองค์ฌานองค์ญาณสามารถเข้าถึงสัญญากรรมจนสูงสุดรู้แจ้งแทงตลอดที่เรียกว่า
มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อันจะสามารถแปลได้ว่านิมิตเทพหรือสัณญาณเวรนั้นเป็นนิมิตจริงหรือปลอม มาในขั้นตอนใดของกลไกกรรม
หรือเกมส์กลกรรม โดยการส่งสัญญาณเวรสามารถส่งสัญญาณมาได้ในทุกขั้นตอนของกลไกกรรม รู้ถึงความเกี่ยวเนื่อง กับรหัสกรรม
หรือรหัสเวร สัญญาณมาเตือนเราด้วยเหตุการณ์ใด ด้วยสาเหตุใด ร้ายหรือดี แล้วนำมาแปลเพื่อใช้ประโยชน์สามารถใช้กรรมและ
สร้างกรรมได้ตรงกับสัญญากรรมเพื่อที่เราจะได้รีบแก้ไข ปรับปรุง อย่าประมาท ทั้งนี้เราอาจมีธาตุรู้อยู่ก่อนได้เพราะเรามีทุนเดิม
แต่เราก็ควรเสริมทุนใหม่ด้วยในชาตินี้ น้อยคนนักที่มีตัวรู้จากปรากฏการณ์ทางวิญญาณจนสามารถปรับเปลี่ยนแปลงนิมิตเทพไปได้
แล้วนำตัวรู้มาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเรา ด้วยรหัสกรรม รหัสเวร ด้วยเกมส์กลกรรมในกรรมตามกฎการเกิด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะกรรม
เก็บกดสะสมมากขึ้น ก่อนกาละเวลาของเงื่อนตายจะมาถึง หรือก่อนเวลาจะหมดเพราะถ้าหากเวลาหมดแล้ว เราก็หมดสิทธิ์เล่นเกมส์
กลกรรม คงต้องปล่อยชีวิตไปตามกรรมอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 10:59:15 pm »
0

เรื่องของคนที่เกิดมาหลายภพหลายชาติ
สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือการเข้าใจเมื่อเรายอมรับว่ากรรมมีจริง มีภพชาติจริง ก็คือกงเกวียนกรรมเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่า
ซึ่งอดีตชาติของเรานับไม่ถ้วนชาติของเรานั้นล้วนเกี่ยวพันกับคนและสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น คน ตลอดจนสัตว์เหล่านั้นเคยมาเกี่ยวกับเรา
ติดค้าง เกี่ยวพันธ์กับเราในชาตินี้ ด้วยเงื่อนไขใดซับซ้อนพิศวงเพียงใดเราไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของภพชาติที่เกิดมา
คนบางคนเกิดมาน้อยชาติความซับซ้อนของกลไกกรรมยังน้อย ชีวิตเขาย่อมผ่านพ้นวิกฤตแก้ไขกลไกกรรมได้ไม่ยากนักคนกลุ่มนี้
ได้แก่กลุ่มที่ในที่นี้ขอเรียกว่ากลุ่มที่เทวดาพามาเกิด บุคคลกลุ่มนี้ แค่ประกอบพิธีกรรม การถอดรหัสกรรม รหัสเวร หรือแก้ปัญหา
ไม่ซับซ้อน ทำบุญแล้วชีวิตก็สามารถผ่านพ้นไปได้ คนกลุ่มนี้ชีวิตจึงดูราบเรียบ แต่บุญเก่าที่จะมาส่งเสริมชีวิตก็มักจะมีน้อยอยู่ด้วย
เหมือนกัน ตรงข้ามกับคนที่เกิดมานับไม่ถ้วนชาติ กลไกกรรมยุ่งยาก ซับซ้อน เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ เทวดา ตลอดจนเทพชั้นพรหม
มีปม เงื่อนชีวิตมากมาย และซับซ้อนมาให้แก้ ให้งมหา อาจถือได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มพรหมจุติ แต่กระนั้นหากเราไม่ทราบพรหมลิขิต
หรือสัญญากรรมของเราที่เราเคยทำกับใครไว้อย่างไร เราจึงไม่ควรประมาท ไม่ควรเกลียดชังผู้ใดจนเป็นอาฆาต พยาบาท พยายามฝึก
และปรับจิตของเราสู่พรหมวิหารเป็นพื้นฐาน ให้จิตของเราเต็มไปด้วยความรักความเมตตา การเป็นมิตร มีเมตตา ในทิศทั้ง ๖ ควร
บริหารทิศทั้ง ๖ ด้วยความจริงใจ ลดทิฏฐิลง การฝึกจิตเช่นนี้ย่อมเป็นทางออก เราต้องระวังกาย วาจา ใจ ฝึกทำใจกลางๆ ไม่ลุ่มหลง
จนงมงาย ให้ความสำคัญกับคนอื่นบ้าง หากทำได้เช่นนี้ ก็เท่ากับเราเริ่มแก้เกมส์กลกรรมไปในตัวในระดับหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้บางครั้งกรรมสัมพันธ์หรือกงเกวียนกรรมเกวียน กรรมเก่าเกี่ยวเก่าสามารถส่งเสริมชีวิตกันอย่างที่เราเรียกว่า ?ถูกโฉลก?ได้ ซึ่งถือ
ได้ว่าเป็นกลไกสำคัญในชะตาชีวิตและชะตากรรม ความเย่อหยิ่ง ทิฏฐิ ถือยศ ถือศักดิ์ ถือเงิน เบียดเบียนคนอื่น ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์
ปล่อยให้อารมณ์ร้ายพาไป วางเฉยทั้งที่ช่วยได้ก็ไม่ช่วย หากเกิดย้อนแย้งกับวิบากกรรมเก่าที่เราเคยทำมาจากอดีตชาติ อาจก่อให้เกิด
ปัญหาในชะตาชีวิตได้

การพัฒนาจิตสู่ภาราดรภาพ

เป็นลักษณะของวุฒิภาวะของจิตเมื่อถูกพัฒนาตั้งแต่พื้นฐานจนสูงขึ้นไปตามวิถีแห่งการพัฒนาจิตตามขั้นตอนของพระพุทธศาสนา
เป็นการรับรู้ เรียนรู้ รวบรวม แยกแยะสิ่งศักดิ์สิทธิ พลังจิต ไสยศาสตร์ เทพปาฏิหารย์ ว่าคืออะไร มาเกี่ยวข้องกับเราเพราะอะไร
เป็นการศึกษาจิตวิทยาสู่จิตวิญญาณ โดยรู้จักใช้ธรรมะวิจยะมาพัฒนา ให้รู้ว่าชีวิตควรจะเดินหน้าอย่างไร และเพื่อนำความรู้มาใช้
ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เราต้องรู้จัก ประเมิน พิจารณาตน พิจารณา สิ่งผิดปกติในตัวเอง ว่ามีสิ่งบ่งชี้ในชีวิตบ้างหรือไม่ เช่น
สอบตก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรม เราต้องประมาณตนเองว่ามีความรู้แค่ไหน การปรึกษาหาผู้รู้มาชี้แนะก็จะมีส่วนช่วยอีก
ส่วนหนึ่ง เราต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง หมั่นค้นคว้า ศึกษา เรียนรู้ และพัฒนาตน ทั้งการปฏิบัติกรรมฐานจนล่วงรู้ฐานแห่งกรรม และที่สำคัญ
ต้องศึกษาหาตัวรู้ระดับจิต จนถึงตัวรู้ระดับวิญญาณควบคู่สมดุลกันเสมอ หากไม่สมดุลก็จะก่อให้เกิดภาวะไม่สมดุลเกิดเป็นกรรมเก็บกด
อันจะก่อให้เกิดปัญหาในวิบากกรรมได้

การพัฒนาวุฒิภาวะทางจิต
๑. รู้และสนใจแต่เรื่องมนต์ดำทางเสื่อม เช่น ผงร่อน มังกรรำ ควายธนู เสน่ย์ยาแฝด ตะปูโลง ฯลฯ ระดับนี้สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์
พลังเทพ พลังผี พลังเปรต มนต์ดำ ไม่สนใจใฝ่เรียนรู้ทางหลุดพ้น ผู้ปฏิบัติธรรมควรพิจราณาให้ดีไม่ต้องไปลองเล่นลองทำ แค่ศึกษา
ให้รู้ก็พอ ระดับนี้ไม่มีปัญญาในการรวบรวมและแยกแยะเหตุ หาผลจึงไม่ใช่เป้าหมายของพระพุทธศาสนา หากเทียบวุฒิภาวะทาง
การศึกษาเทียบเคียงได้กับแค่ ระดับประถม

๒. อิทธิปาฏิหาริย์และ เทวาปาฏิหาริย์
อิทธิปาฏิหาริย์ สามารถรับรู้ และได้ซึ่งผลแฝงจากอำนาจบุญบาปที่ทำมา ทั้งที่โดยไม่รู้ตัวหรือ รู้ตัว โดยไม่มีผู้เกี่ยวข้อง
เป็นลักษณะที่ไม่มีตัวตนเป็นเพียงพลังงานที่เป็นตัวก่อเหตุ
เทวาปาฏิหาริย์ ผลจากอำนาจบุญบาปที่ทำมาที่มีผู้เกี่ยวข้องทั้งที่มีสังขารและไม่มีสังขารมาแสดงฤทธิ์ ร่วมก่อเหตุ
ฤทธิ์ชนิดนี้เป็นฤทธิ์ที่ยังห่ามอยู่ ยังควบคุมไม่ค่อยได้ ต้องพัฒนาฤทธิ์ขั้นนี้ให้สุกก่อน ให้เป็นธรรมดาธรรมชาติ ที่สำคัญไม่ควรยึดติด
ในฤทธิ์ เพราะฤทธิ์หากใช้ท่ามกลางความโลภ โกรธ หลง จะไปไม่รอด พระพุทธองค์ทรงรังเกียจเนื่องจากการมุ่งสนใจ หรือฝึกแต่ฤทธิ์
สามารถ ทำให้เราผิดทางจากพุทธศาสนาได้ง่าย เพราะคนมักติดใน ฤทธิ์ได้ง่าย กว่าหากเทียบกับการเรียนรู้หลักธรรมะซึ่งยากกว่ามาก
จะทำให้ผู้คนจะไม่สนใจศึกษาธรรมที่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาที่ แต่กลับมาสนใจเพียงฤทธิ์ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ในขั้นนี้
ภาวการณ์แยกแยะเทพฝ่ายบุญ กับเทพฝ่ายบาปยังแยกแยะไม่ได้ ยังควบคุมองค์ที่ผ่านไม่ค่อยได้ เทียบวุฒิภาวะทางการศึกษาได้กับ
ระดับมัธยมต้น

๓. ฤทธานุภาพ และ เทวานุภาพ
ระดับนี้สามารถเข้าใจ และเข้าถึงธรรมได้มากขึ้น สามารถปรับฤทธิ์สู่ภาวะธรรดาธรรมชาติได้สมดุลมากขึ้น สามารถเข้าถึงจุดประสงค์
เทพฝ่ายดี และสามารถแยกเทพฝ่ายบุญออกจากเทพฝ่ายบาปได้ ในขั้นนี้อาจมีการดลใจโดยเทวดา (เทียบเท่าการสอบข้อเขียน) และลองใจ
โดยมหาเทพ(เทียบเท่าการสอบสัมภาษณ์) หากพบว่าเรายังติด ฤทธิ์ โลภ โกรธ หลง อยู่เราก็จะไม่ผ่านชั้นนี้ไปสู่ระดับวุฒิภาวะทางจิตที่
สูงขึ้นได้ ควรเริ่มเน้นการพัฒนาปัญญา ฝึกการวิจัยธรรม เทียบวุฒิภาวะทางการศึกษา ระดับมัธยมปลาย

๔. จิตตานุภาพ เมื่อพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไป จนมีอำนาจจิต พลังจิต รับรู้ถูกต้องตามขั้นตอน จิตพร้อมรับองค์ฌานองค์ญาณ พัฒนาความรู้
ให้รู้จริง รู้ถูกต้องซึ่งฤทธิ์นั้นก็ยังคงรักษาไว้ไม่เสื่อมแต่ไม่ควรไปยึดติดในฤทธิ์ สามารถรวมฤทธิ์ปรับกับตัวรู้ได้สมดุล สามารถรวบรวมความรู้
เป็นหมวดหมู่&แยกแยะได้ว่าตอนไหนบทบาทใด ขั้นไหน เหตุจากอะไร สิ่งใดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ สิ่งใดเป็นไสย์ศาสตร์ เข้าใจในกระบวนการจิต
รู้สถานะและบทบาทตัวเองในปัจจุบันปรับสู่ภาวะปกติธรรมดาธรรมชาติจนดูไม่ออกว่ามีญาณผ่าน ทั้งนี้ยังจะช่วยแก้ไขป้องกันอกุศลกรรม
รวมทั้งช่วยแก้กรรมได้อีกด้วย ขั้นนี้ต้องเร่งสร้างฌาน สร้างญาณ ฝึกจิต ลดโลภ ลาภ โกรธ หลง และสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับชีวิต
จิตที่มีพลังจิตตานุภาพสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บจากสิ่งเล้นลับได้ หากจิตเราศักดิ์สิทธิมีพลังก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด จิตกลางๆนั้นจะเป็นจิต
ที่มีพลังสูงสุด จิตขั้นนี้จะมีอุเบกขาเป็นฐานที่แข็งแกร่ง มีเข้าใจในธรรม ชำนาญในธรรมวิจยะ รู้ทุกขั้นตอนการก่อและขั้นที่ต่อๆกันไปจนเกิด
เป็นผล พัฒนาให้มีเมตตาและปัญญาเป็นตัวนำทาง ในขั้นนี้องค์เทพ ฌาน ญาณ พัฒนาขึ้นมากถือเป็นมาตรฐานของจิตคนที่ทำงานทาง
จิตวิญญาณ หากเทียบการศึกษาขั้นนี้เทียบได้กับการศึกษา ระดับปริญญาตรี

๕. มโนยิธิ เป็นจิตที่มีพลังมีฤทธิ์สูง หรือเรียกว่า ?ฤทธิ์ทางใจ? โดยเริ่มจากรับรู้คิดจำ มีความจำได้หมายรู้ และรู้แจ้งแทงตลอด ในที่นี้หมายถึง
รู้แจ้งในเรื่องราวที่เป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิอย่างคล่องแคล่วในระดับภวังคจิตจนถึงระดับปัญญาญาณ เป็นธรรมารมณ์ ฝังอยู่ในจิตใจตลอดเวลา
หากคนเรารู้เรื่องแต่เรื่องที่เป็นโลกีย์วิสัยเจตสิกก็ทำงานในระดับอารมณ์มนุษย์ คือมีทั้ง โลภ โกรธ หลง อันเป็นอารมณ์ที่ไม่เที่ยงแท้ เดี๋ยวเกิด
เดี๋ยวดับ หากพัฒนาจิตจนสามารถเข้าถึงเข้าสู่อารมณ์ฌาณ อันเป็นอารมณ์ที่มีสิ่งศํกดิ์สิทธิแฝงอยู่ทั้งในรูปของเทวฤทธิ์ และ เทวานุภาพ
จนถึงจิตรานุภาพ จนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่นี้ย่อมหมายถึงการที่เราสามารถพัฒนาตัวฤทธิ์ทางใจของเราให้สูงขึ้นตามลำดับนั่นเอง แม้แต่การ
เข้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น การที่เราทราบเรื่องของพุทธประวัติเป็นอย่างดี สามารถพูด หรือ อธิบาย หรือตอบปัญหาเรื่องพุทธประวัติได้อย่าง
คล่องแคล่วรวดเร็ว ซึ่งการทำงานของจิตในระดับนี้จะเป็นกระบวนการของจิตใน ระดับที่ลึกมากๆหรือ ระดับภวังคจิตลงไป จิตผู้นั้นก็ย่อมจะเข้าถึง
สิ่งศักดิ์สิทธิได้โดยอัตโนมัติ บุคคลนั้นก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิมาคอยกำกับดูแล คุ้มครองให้โอกาสในชีวิตเช่นกัน จัดเป็นธรรมารมณ์ตรึงแน่นอยู่ในมโน
ภวังคจิต จิตขั้นนี้จะสามารถพิจรณาเรื่องกำกวมต่างๆเพื่อการรวมกรรมได้ดี ในขั้นนี้เราควรพิจารณากรรมโดยใช้ภาพกรรมรวม และอำพรางบ้างเพื่อ
ความอำไพ เพราะบางอย่างบางเรื่องไม่ควรเปิดเผย เราจึงควรบริหารการแสดงออก เช่น ทางการพูด ควรพูดหรือฝึกให้เป็นลักษณะสากลฟังได้
ทุกคนทุกชาติทุกชนชั้น สามารถแสดงความน่าเชื่อถือในการถ่ายทอดได้อย่างมีเหตุผล ทั้งนี้จิตขั้นนี้ถือว่าแตะเพดานบนของขั้นอภิญญาญาณแล้ว
เป็นขั้นที่มีความจำได้หมายรู้ และมีองค์เทพ องค์ ฌาน ญาณ อยู่ในระดับสูง หากเทียบกับวุฒิการศึกษาถือว่าเทียบได้กับระดับปริญญาโท

๖. อภิญญาญาณ ระดับนี้จะ มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอด มีความเจริญงอกงามด้วยไตรลักษณ์ มีปัญญาความรู้ทั้งในลักษณะ รู้กว้าง(องค์ฌาน)
และรู้ลึก(องค์ญาณ) เจริญสูงสุดในธรรมารมณ์จนปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นกลางและความว่างในหลักพระพุทธศาสนา ทั้งนี้คุณสมบัติของผู้ปฏิบัติ
พึงได้มี ๖ข้อนับแต่เริมต้นคือโลกียอภิญญาญาณ จนสู่โลกุตระอภิญญาญาณ ได้แก

๑. อิทธิวิธิ ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่างๆได้

๒. เจโตปริญญาณ ญาณที่กำหนดใจคนอื่นได้

๓. ทิพย์จักขุ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์

๔. ทิพพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์

๕. ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้

๖. อาสวักญาญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป จิตมุ่งสู่โลกียอภิญญาญาณ ได้แก่ญาณ๕ ข้อแรก และโลกุตระอภิญญาญาณ

อันหมายถึง ญาณข้อที่ ๖ หรือเราเรียกวาญาณกำจัดกิเลส มีตัวรู้ที่สูงสุดด้วยอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์อันรู้แจ้งแทงตลอดจนถึง
ระดับวิญญาณ สามารถสั่งสอนได้ถูกต้องต่อเนื่องทั้งธรรมะในสามัญ และเหนือสามัญวิสัย รู้จักการใช้ธรรมะวิจยะในทุกขั้นตอน
ทุกกระบวนการจิตในทุกสภาวธรรม ทั้งนี้เพื่อสามารถสอนธรรมได้กว้างไกล พลิกแพลงได้ตลอด มองเนื้อธรรมะแตกฉาน
เข้าถึงความโยงใยของแต่ละหมวดธรรมชัดเจน เป็นสากลให้ยอมรับกันได้ทั่วโลก หากเทียบกับวุฒิการศึกษาถือว่าเทียบได้กับ
ระดับ ปริญญาเอก
ทั้งนี้คนทุกคนสามารถปฏิบัติสู่จิตตานุภาพได้ อยู่ที่การใส่ใจ ใฝ่เรียนรู้ ควรพัฒนาตัวรู้ ทั้งความรู้จากการฟัง อ่าน จากข้างนอก
และพัฒนาความรู้ระดับองค์ฌาน องค์ญาณ ที่เกิดขึ้นจากข้างใน ให้ผสมกลมกลืนกัน ภาวะจิตของเราจึงจะพัฒนาขึ้น ตรงข้ามหากจิตกลับเพิ่ม
กิเลส ตัณหา อุปาทาน จิตจะถอยหลังลง หรือไปไม่ถึงไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความศรัทธา ความเพียรพยายาม
ตลอดจนสิ่งแวดล้อมและ ความตั้งใจของเราทุกคน

ขอเชิญร่วมรับฟังรายการวิทยุธรรมะประยุกต์ทันยุคสมัย โดยชมรมสหปฏิบัติ
FM 104.75 วันเสาร์ 18.00-21.00
FM 93.25 เสาร์-อาทิตย์ 9.00-11.00
FM 96.75 จันทร์-อาทิตย์ 7.30-8.00
AM 1089 จันทร์-ศุกร์ 11.00-12.00, 13.00-14.00
หรือ ข้อมูลย้อนหลังที่ http://www.sahapatibat.org
หากประสงค์จะสนับสนุนรายการเผยแผ่ธรรมะทางวิทยุ ติดต่อได้ที่ คุณสุภัค 098939718 หรือที่เวปไซด์ดังกล่าวครับ

เมื่อฝึกสมาธิ แล้วอย่าลืมฝึกบริหารกรรม
เป็นการฝึกจิตสู่สัมมาสมาธิ เช่นการนั่งกรรมฐานจนมีระดับจิตที่สูงขึ้นไป ด้วยสติปัฏฐาน๔ ซึ่งวิธีนี้ต้องการตัวรู้และใช้เวลามาก ส่วนใหญ่หนีกรรมไม่พ้นก่อน
คนส่วนใหญ่จะเรียนสมาธิ เดินจงกลม ฝึกจิตให้ได้องค์ฌาน องค์ญาณกันเท่านั้น บ้างก็เน้นภาพลักษณ์ของการปฏิบัติธรรมที่สวยงาม เคร่งครัด แต่กระนั้น เราก็จะพบว่าหลายคนเหล่านั้นเมื่อกลับบ้านไป ก็ไปโดนกรรมถล่มอยู่ดี เนื่องจากหากจะห้องหลุดพ้นจากบ่วงกรรมจิตผู้นั้นจะต้องได้ญาณระดับอภิญญาญาณแล้วเท่านั้น จึงจะพ้นอำนาจแห่งเวรกรรมได้เด็ดขาด เราจึงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรสงสารเผชิญกับเวรกรรมเก่าอยู่ร่ำไป การแก้ปัญหากรรมเฉพาะหน้าโดยใช้ หลักการที่เราเรียกว่าเกมส์กลกรรม จึงเป็นสิ่งที่จะมาช่วยทุกคนให้ผ่านพ้นวิบากกรรมไปได้ทันทีในขณะนี้ หากผู้นั้นเข้าใจเรื่องของกรรมดีพอ หลุดกรรมได้มากหรือน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรู้ และความสามารถของแต่ละคนหากไม่ผ่านเกมส์ก็คงต้องตกไปสู่ที่นั่งลำบากที่เรียกว่าวิบากกรรม การที่เราเข้าใจเรื่องเกมส์กลกรรม รหัสกรรม๔ และรหัสเวร๔ จึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการแก้ไขชะตาชีวิต อีกทั้งหากบริหารกรรมได้ดีสามารถเข้าถึงและปฏิบัติได้ในทุกสัญญากรรม หรือผ่านการทดสอบลองใจจากมหาเทพก็อาจได้รางวัลชีวิต ซึ่งหลายคนไม่ทราบว่า เราสามารถเลือกทางที่บริหารกรรม หรือผ่อนกรรม เพื่อให้ชะตาชีวิตผ่านพ้นเฉพาะหน้าไปคว้ารางวัลชีวิตได้ เราจึงควรเรียนรู้เรื่องกรรม ฝึกบริหารกรรม โดยทำควบคู่กับการฝึกปฏิบัติจิตให้สวยงาม อันเป็นวิถีที่ปุถุชนทุกคนพึงศึกษาเรียนรู้

กลไกกรรม
เมื่อคนเราเกิดมานับไม่ถ้วนชาติ เราคงต้องยอมรับว่าในอดีตชาติคงต้องมีคนที่เกียวข้องกับเรามามากมายด้วยลักษณะของกงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่า ซึ่งบางคนมีเงื่อนไขกรรมที่แตกต่างกัน
หากเรามาพบกันอีกในชาตินี้ ในเบื้องต้นเราคงไม่ทราบเงื่อนปมนั้น หากพิจารณากรรมของเราแล้ว เราก็คงก่อกรรมดี และกรรมชั่วเอาไว้โดยรวมแล้วมากมาย เราเคยแต่งงานให้คำมั่นสัญญากับใครอันเรียกได้ว่าเนื้อคู่ก็คงมีอยู่โดยรวมทุกชาติก็คงมีอยู่หลายคนเช่นกัน มาชาตินี้ผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องมาพบกันจะจัดเรียงใหม่ ด้วยเบ้าหลอม พรหมลิขิตใหม่ เพราะชาตินี้เรามีทั้งบุญและบาปที่เกี่ยวกันกับคนหลายคนแล้วดึงดูดมาพบกัน เราจะรับแต่บุญเราไปอย่างเดียวโดยไม่ใช้กรรมที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เบื้องต้นเราไม่สามารถรู้กลไกกรรมหรือ เหตุการณ์ในอนาคตได้ แต่การรู้เท่าทัน การรู้กลไกกรรมย่อมได้เปรียบ ซึ่งโครงสร้างกลไกกรรมพอสรุปได้ดังนี้

๑. กงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่า (เงื่อนธรรมดา)
กงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่าที่เป็นลักษณะของกรรมสัมพันธ์กันกับผู้คน สัตว์ เทพเทวดา ในลักษณะความเกี่ยวข้องที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เงื่อนการแก้ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยซับซ้อนมากนัก เรียกว่าเป็น เงื่อนธรรมดา(แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยจะธรรมดา) การทักทายกัน การเข้าร่วมทำงานร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมสำคัญทางงานพระพุทธศาสนา การประกอบพิธีกรรมร่วมกันในคนหมู่มาก โดยเฉพาะเจ้าพิธี หากมีกรรมเก่าเกี่ยวเก่ากับเราหรือผู้เข้าร่วมพิธีกับเราก็ยิ่งจะสามารถแก้ไข หรือชดใช้กรรมเก่าเกี่ยวเก่าไปได้มาก ลักษณะกงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่าถือเป็นความสัมพันธ์พื้นฐานของกลไกกรรมทั้งหมด

๒. บุพกรรม ( เงื่อนไข )
ได้แก่ บุคคลที่ต้องมาพบกันสัมพันธ์กับเราในชาตินี้อย่างมี เงื่อนไข บางคนต้องมีจิตใจที่ดีให้กัน บางคนต้องอุปถัมป์เรื่องงาน หรือต้องทำงานร่วมกัน หากเราเข้าถึงเงื่อนไขนั้นๆ ก็จะสามารถปฏิบัติต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในทิศทางที่ถูกต้อง คนที่เป็นบุพกรรมก็จะมีกรรมสัมพันธ์ในลักษณะกงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่าด้วยเหมือนกัน
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 11:04:27 pm »
0

๓. บุพเพสันนิวาส ( เงื่อนชักกระตุก )
ได้แก่ บุคคลที่ต้องมาเป็นเนื้อคู่ หรือสัมพันธ์กับเราในชาตินี้เป็นพิเศษเพื่อให้ลงตัว ถือเป็นกุญแจสำคัญเทียบได้กับ ?เงื่อนชักกระตุก? พบกันผิดกาลหรือคลาดเวลา คนที่เป็นบุพเพสันนิวาส แล้วไม่มีตัวรู้มาบริหารปรับปรุงสถานการณ์จากรางวัลชีวิตก็อาจเปลี่ยนเป็นวิบากได้ คนเราแม้เคยมีสัมพันธ์กับคนหลายคนในอดีตชาติมา มาชาตินี้เกิดเป็นบุพเพสันนิวาสซ้ำซ้อน หรือไปแต่งงานบุพกรรมไปก่อน จึงมาพบบุพเพสันนิวาสทีหลัง แล้วมาถือเป็นข้ออ้างให้คนเรามีภรรยาหลายคนในชาตินี้ คงจะไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่สอดคล้องกับสังคมวัฒนธรรม เราจึงต้องมีตัวรู้ศึกษาหาทางออกใหม่ ปรับปรุงวิธีการบริหารชีวิตใหม่ให้สอดคล้องกับกรรมเก่าที่ได้เคยกระทำร่วมกันมา โดยไม่ไปผิดศีลธรรมซึ่งก็สามารถทำได้ คนที่เป็นบุพเพสันนิวาสกันก็จะมีกรรมสัมพันธ์กันในลักษณะบุพกรรมและกงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่าด้วยเหมือนกัน

๔. พรหมลิขิต (เงื่อนงำ)
เรื่องพรหมลิขิต จะซับซ้อนยุ่งยากแค่ไหน ขึ้นกับจำนวนภพชาติที่เกิดดับ และปริมาณบุญและบาปรวมที่ได้ทำมา การเข้าถึงฐานแห่งกรรมในกรรมฐานจึงเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาต่างๆให้คลี่คลาย เมื่อเราทราบว่าใครเกี่ยวข้องกับเราด้วยเงื่อนไขใด เราก็จะสามารถปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นได้ถูกทิศทางให้สอดคล้องกับเวรกรรมเก่า เรียกได้ว่า พรหมลิขิตเป็น ?เงื่อนงำ? เป็นเงื่อนสำคัญของชีวิตที่เราควรต้องค้นหา หรืออาจจะต้องถึง งมหา เงื่อนงำนั้น อันจะเป็นการคลี่คลายปัญหาต่างๆที่สำคัญในชะตาชีวิต ทั้งนี้ เราสามารถบริหารพรหมลิขิตของเราเองได้ โดยนำบันได 3 ขั้นแรกของกลไกกรรมได้แก่ กงเกวียนกำเกวียนกรรมเก่าเกี่ยวเก่า บุพกรรม รวมทั้งบุพเพสันนิวาส มาบริหารจัดการใช้ในพรหมลิขิตใหม่ เพื่อที่จะก้าวไปสู่รางวัลชีวิต หรืออาญากรรม หรือไม่ทั้งรางวัลชีวิต หรืออาญากรรม ขึ้นอยู่กับความ สามารถในการบริหารจัดการของแต่ละคน

๕. กฎแห่งกรรม ( เงื่อนเวลา )
ดังคำทีพระพุทธองค์กล่าวว่า กาลเวลาผ่านไปไม่หวนกลับ สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะมาตามกาลเวลา ผ่านแล้วผ่านเลยไม่หวนกลับมาอีก หากเวลายังไม่ถึง การแสดงออกของกรรมตามกฎแห่งกรรมก็จะรอคอยวาระการแสดงออก ทั้งอำนาจบุญและบาปที่เคยได้กระทำมา

๖. อาญากรรม หรือรางวัลชีวิต (เงื่อนตาย)
เมื่อพิจารณากรรมหนักๆทั้งหมดที่เคยได้ทำมาทั้งกรรมดีหากรวมผลแห่งกรรมรวมในชาตินี้ก็นับว่ามากมายให้ใครได้รับผลของบุญรวมข้อนี้ก็เรียกได้ว่าบุคคลผู้นี้ได้รับ ?รางวัลชีวิต?เลยก็ว่าได้ ในขณะเดียวกัน ในแง่ของบาปหนักโดยรวมใครได้รับไปชีวิตย่อมหนักหนาสาหัสชนิดเรียกว่าโดน ?อาญากรรม? เลยทีเดียว ปัญหาคือคนเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีทั้งอาญากรรมและรางวัลชีวิตเพียงแต่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละคน คำถามคือจุดหมายปลายทาง เราคืออะไร? อาญากรรมหรือรางวัลชีวิต จะทำอย่างไรชีวิตเราจึงจะได้รางวัลชีวิตให้มากที่สุดและโดนอาญากรรมให้น้อยที่สุด

เมื่อสังคมถูกมอมเมา และกิเลสตัณหาถูกส่งเสริม ด้วยธุรกิจที่ไม่สนในจริยธรรม วัยรุ่นกลายเป็นเป้าหมายทางการตลาดใหญ่ การมอมเมาประชาชน ทำให้วัยรุ่นส่วนใหญ่ในปัจจุบันห่างจากตัวรู้ในหลักคำสอนและแนวทางการแก้ไขตามหลักพระพุทธศาสนาที่แท้ อีกทั้งคนที่หันมาสนใจศึกษาธรรมในยุค IT หรือยุคอาวกาศนี้ กลับถูกมองว่าเชย เมื่อขาดตัวรู้หรือครูผู้นำทางที่ดี ทำให้ชีวิตคนเราในปัจจุบันขาดแนว ทางปฏิบัติที่ถูกต้อง การส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้เข้าถึงฐานแห่งกรรมแทบจะไม่มีใครสนใจ ปัจจุบันมักจะรู้จักแต่การทำบุญ สร้างวัตถุกันโดยไม่หันมาสนใจศึกษาธรรมะ ตามแนวทางมรรค ๘ ,อริยสัตย์ ๔และการทำบุญตามบุญกริยาวัตถุ ๑๐ ปัจจุบันแทบจะเปลี่ยนภาพพระพุทธศาสนาไปเลยก็ว่าได้ แท้จริงโอวาส ๓ ของพระพุทธองค์ประสงค์ หวังให้ทุกคน ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ปราศจากกิเลส ตัญหา อุปาทาน เพื่อดำเนินแนวทางชีวิตสู่หนทางพระนิพพาน สัมมาสมาธิเป็นหนึ่งในปัจจัยมรรคมีองค์ ๘ ที่เราทุกคนพึงปฏิบัติ การศึกษาธรรมและการให้ธรรมเป็นทาน ถือเป็นทานสูงสุดในพระพุทธศาสนาเป็นทานที่เหนือกว่าทานใดๆทั้งปวง และทานที่ปฏิบัติได้ยากที่สุดคืออภัยทาน วัยรุ่นที่สนใจธรรมะกลับถูกต่อว่าเชย บ้างก็ว่าธรรมะไว้เรียนตอนแก่บ้าง จริงๆแล้วหากเราสามารถปฏิบัติกรรมฐานจนรู้ฐานแห่งกรรมได้ เราก็จะได้ไม่พลาดเลือกเจ้ากรรมนายเวรมาแต่งงานด้วย หรือตัดสินใจแต่งงานกับบุพกรรมก่อนแล้วจึงมาพบบุพเพสันนิวาสทีหลัง หรือรักสเน่หาไปหมดเป็นบุพเพสันนิวาสซ้ำซ้อน มาเกิดเป็นปัญหาชีวิตปัญหาครอบครัววุ่นวายกันไปหมดเหมือนเช่นในสังคมปัจจุบัน การมีจิตเมตตาให้อภัยอโหสิกรรมในชาตินี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความวุ่นวายซับซ้อนของพรหมลิขิตหรือเท่ากับเป็นการลดเงื่อนปมให้ตัวเองไปได้มากในอนาคตภพ

รหัสกรรม ๔ และรหัสเวร ๔

รหัสกรรม ๔ เป็นความถึงพร้อมของคุณสมบัติในตัวเรา ในการพร้อมบริหารคลื่นกรรมของเราเอง? ได้แก่

๑. คลื่นกรรม หรือพลังกรรม
เราต้องรู้จักกรรมของเราว่ามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วสั่งสมมานับไม่ถ้วนชาติ เมื่อมาเกิดใน
ภพชาติใหม่ การที่จะให้ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสุขอย่างเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะกรรมชั่วและกรรมดี
จะเบียดเบียน หรือตัดรอนซึ่งกันและกันในบางโอกาส การรู้จักคลื่นกรรมต้องรู้จักให้ถึงกลไกกรรม
คลื่นกรรมมีทั้งคลื่นกรรมในตัวเราที่เก็บไว้เป็นสัญญาที่อยู่ในภวังคจิตมีทั้งบุญและบาปสัตยาธิฐาน
ที่เก็บมาตลอดทุกภพชาติ และคลื่นกรรมจากภายนอกที่เป็นบุคคลาธิฐานคือจากบุคคลตลอดจน
สัตว์อื่นที่มีกรรมสัมพันธ์กับเรา รวมทั้งคลื่นกรรมจากเทพ เทวดา เจ้ากรรมนายเวรที่ยังไม่มีสังขารหรือ
ยังไม่มาเกิด สามารถพบได้ในอากาศทั่วไป แล้วถูกปิดบังไว้ด้วยรหัสลับ รอตัวรู้ของเรามาไขปริศนา
โจทย์ เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขชะตาชีวิตของเราต่อไป

๒. ภูมิปัญญา
การจะแก้กรรม หรือถอดรหัสกรรม เราต้องมีความรู้ในเรื่องกรรมเป็นอย่างดี ตั้งแต่กรรมการเกิด
การถ่ายทอดกรรม การแสดงออกของกรรม รู้จักกรรมเบียดเบียน หรือกรรมตัดรอนกรรม วิธีการทำกรรมให้
เป็นกลางหรืออโหสิกรรม มีภูมิธรรมคิดชอบ ปฏิบัติชอบ รู้จักโครงสร้างกลไกกรรม และเงื่อนงำของพรหมลิขิต
ในตัวเรา รู้ถึงเงื่อนปมของกรรมในชะตาชีวิต รู้ถึงบุคคลตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีกรรมสัมพันธ์กับเรา
และที่สำคัญที่สุดคือการรู้ถึงสัญญากรรมสำคัญ หรือชนกกรรม ของเรา ซึ่งเราสามารถรู้ได้จาก จุดที่เรารับ
ความรู้มาจากภายนอก( Insight knowledge) และจุดที่ความรู้ที่ผุดโพลงขึ้นจากข้างใน(Enlighten) มา
สมดุลกัน เมื่อนำมาพิจารณาประยุกต์หาเหตุผลที่สอดคล้องลงตัวกัน เราก็จะรู้ถึงชนกกรรมที่เราต้องปฏิบัติ
อันจะช่วยให้ง่ายต่อการเล่นเกมส์ ทั้งนี้เราต้องมีภูมิธรรมเพียงพอ และมีภูมิปัญญาที่จะมาเป็นตัวรู้ว่าเราจะหา
คลื่นกรรมได้เมื่อไร สถานที่ใด ด้วยวิธีใด กับใครตามรหัสเวร ตรงข้ามหากเราไม่รู้ ไม่เข้าใจในความรู้ทางจิต
วิญญาณที่จำเป็นเสียแล้ว ชีวิตเราคงเดินไปตามวิถีกฎแห่งกรรมอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง หรืออาจจะเรียกได้ว่า
แพ้เกมส์กกรรมตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว

๓. ทักษะ

เมื่อเรามีความรู้ในกรรมในระดับที่เพียงพอแล้ว เราต้องสามารถนำความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ได้
มีความเชี่ยวชาญ และความชำนาญในเชิงปฏิบัติ มีทั้งทักษะในอดีตชาติและที่ฝึกใหม่ให้เป็นศักยภาพในชาตินี้
ทักษะจะกำกับภูมิปัญญา ทั้งนี้ต้องมี ไหวพริบปฏิพานรู้เท่าทันว่าเทพที่มานั้นมาช่วย หรือเป็นเจ้ากรรมนายเวร
แกล้งปลอมมา ไม่เชื่อง่าย ไม่หลงงมงาย ทั้งนี้ต้องรู้เท่าทันตามความจริง

๔. พลังปราณ

ได้แก่เคมีปราณที่พบได้นธรรมชาติทั่วไป และชีวปราณในสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่าชีวปราณโดยเฉพาะ
ชีวปราณซึ่งเป็นพลังที่เกิดจากพลังทางไฟฟ้าที่พัฒนาให้เพิ่มขึ้นได้โดยการใช้สังขาร พลังปราณสามารถพบได้
ทั้งพลังปราณภายในตัวเรา และรวมทั้งพลังปราณจากภายนอกจากบุคคล ในวัตถุอื่น ตลอดจนพลังปราณใน
สถานที่ต่างๆ ก็สามารถส่งผ่านเข้ามา ผสมผสานกับพลังปราณภายในตัวเราได้ พลังปราณส่วนใหญ่เกิดจาก
ปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ทั้งในขบวนการเมตาบอริซึมหรือขบวนการสันดาปให้เกิดพลังงาน รวมถึงพลังงาน
ความร้อนในร่างกาย พลังงานจลน์ พลังงานศักย์ ถึงภายในกระดูก ความดันโลหิต ค่าความเป็นกรดด่างในเลือด
และปฏิกิริยาอีเลทโตรไลท์ในร่างจนเกิดการเรืองแสงออกมาให้เห็นในรูปแบบของราศี รัศมี และรังสีในที่สุด
ทั้งนี้พลังปราณจะเพิ่มสูงขึ้นได้หากมีการปฏิบัติสมาธิภาวนา เมื่อจิตนิ่งร่างกายจะสมดุล ร่างกายจะหลั่งโฮร์โมน
endorphin หรือที่เราเรียกว่าฮอร์โมนแห่งความสุข มาปรับสมดุลร่างกายและจะกระตุ้นให้สารอีเลทโตไลท์
สารเคมีในร่างกายทำงานเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มให้พลังปราณหรือรัศมีของเราสูงขึ้น เกิดเห็นเป็นราศี
ที่บริเวณผิวหนังในเริ่มแรก จากนั้นก็จะเห็นเป็นแสงแผ่ออกเป็นวงรัศมีในรัศมีประมาณ ๘-๑๐ ฟุตรอบร่างกาย
ในลักษณะ ๓ มิติ นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจด้วยกล้องคลอเรียล พบลักษณะของรัศมี ที่ตรวจพบมีทั้งที่เป็น
รูปไข่ รูปออกทรงกลม รวมทั้งที่เป็นลักษณะที่เป็นเปลวเพลิง โดยรัศมีที่ตรวจพบนั้นจะมีสีที่ตรวจพบได้ในกล้อง
สีต่างๆกันขึ้นอยู้กับอารมณ์ของบุคคลผู้นั้น จนในที่สุดรัศมี สามารถพุ่งออกไปไกลขึ้นจนเกิดเป็นรังสีได้ในที่สุด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกับความละเอียดและความรู้ของจิตในองค์ฌาน องค์ญาณที่ปฏิบัติได้ อีกทั้งพลังปราณยังสามารถ
ถ่ายทอดไปสู่วัตถุ และสถานที่ต่างๆได้ เช่นการปลุกเสกพระเครื่องตลอดจนของขลังต่างๆ รวมทั้งพลังปราณที่อยู่
ตามสถานที่ต่างๆที่เราเคยเข้าไปสัมผัสเป็นต้น
ทั้งนี้พลังปราณหากผสมกับพลังกรรมได้สอดคล้อง โดยมีทักษะและภูมิปัญญาคอยปรับคอยควบคุม
ให้ลงตัว ก็จะสามารถปรับปรุงเสริมให้ภูมิปัญญาตลอดจนทักษะทางในที่ยังไม่เพียงพอให้เกิดเพิ่มสูงขึ้นมาได้
แล้วยังสามารถย้อนกลับไปเสริมพลังปราณกับพลังกรรมได้อีกด้วย การฟังรับความรู้ความเข้าใจจากภายนอก
ก็จะช่วยเสริมภูมิปัญญาและทักษะทางนอก โดยเราต้องมีความเข้าใจความสัมพันธ์ทั้งสี่ข้อว่าผสมกลมกลืนกัน
อย่างไร เราจึงควรดูแลสุขภาพให้สมบรูณ์แข็งแรง ปฏิบัติกรรมฐานฝึกจิตจนเราสามารถ เข้าถึงกลไกกรรมและ
เข้าใจในเงื่อนปมต่างๆได้ถูกต้อง

รหัสเวร ๔
?เป็นการประกอบกิจกรรมกับบุคคล ที่สอดคล้องกับสัญญากรรม ณ.สถานที่ และในช่วงเวลาที่เหมาะสม?
ทั้งนี้สามารถก่อให้เกิดเหตุการณ์ทั้งทางดี และไม่ดีได้
๑. กาลเวลา จังหวะ ต้องเหมาะสม
๒. สถานที่ แต่ละที่จะมีปราณทั้งชีวปราณ และเคมีปราณของผู้มาเยือน ยิ่งหากมีกรรมสัมพันธ์กับเรายิ่งมีมาก
เท่าไรก็ยิ่งที่จะมีผลกับรหัสเวรของเรามากขึ้นเท่านั้น
๓. เหตุการณ์ กิจกรรม พิธีกรรมโอกาส จังหวะ วิธีการ รู้จักเปิดรหัสไปเล่นในเกมส์กลกรรม เล่นในกลไกกรรม
๔. บุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเราในกลไกกรรม ทั้งที่เป็นคน รวมทั้งที่เป็นสัตว์ด้วย


ผู้เล่นเกมส์ก็คือตัวเรานั่นเอง เทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ เทพยดาเป็นผู้วางกติกาตลอดจน
วางเงื่อนปมต่างๆให้เราแก้ ขอบเขตกติกาก็คือกฎแห่งกรรม ซึ่งเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ ท่านล้วนมีจิตเมตตา
คงไม่มากลั่นแกล้งเราในเกมส์ให้เราลำบากเล่นๆโดยไม่มีเหตุผลเป็นแน่ เราต้องเข้าใจกฎกติกาของเกมส์
ที่เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิกำหนด ว่าอะไรเป็น อะไร การทดสอบจิตใจ หรือในสภาวะ หรือสถานการต่างๆที่ส่งมา
ในเกมส์ เราอาจไม่จำเป็นต้องรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญเป็นการทดสอบในเกมส์หรือไม่ก็ได้ ถ้าหากกลไกกรรม
สัญญากรรมของเราไม่ซับซ้อนยุ่งยากจนเกินไป แต่การที่เรามีตัวรู้และมีอุปนิสัยจิตที่เจริญสูงสุดในพรหมวิหาร๔,
มรรค ๘ , อริยสัจย์๔ และมีจิตสำนึกสาธารณะอยู่เสมอ และมีความรู้ความาเข้าใจในรหัสกรรม ฟังให้มาก
คิดให้รอบคอบ หมั่นพิจารณาหาเหตุผลจากผู้รู้ ย่อมง่ายในการแก้รหัสกรรม และ การเข้าถึงรหัสเวร
อันจะสามารถแก้กรรม ป้องกันหรือลดขนาดของกรรมให้ลดลง หรือหมดสิ้นไปได้ในที่สุด

ความรักระดับอัตตา และความรักระดับอนัตตา
เรื่องของความรักที่เราส่งถึงกันระหว่างสังขารกับสังขาร อันเป็นสังขารในขันธ์ ๕นั้น เช่นความรักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความรักระหว่างระหว่างนาย ก.ต่อ นาย ข. ความรักระหว่างสามีกับภรรยา นั้นเราถือเป็นความรักที่แสดงออกมา
ในลักษณะ อัตตา ต่ออัตตา เป็นความรักต่อตัวตนต่อตัวตนที่กำหนดต่อสังขารชัดเจน หรือในแง่มุมฟิสิกส์
เป็นความรักระดับอนุภาคต่ออนุภาคที่จำกัดจำนวน ซึ่งความรักลักษณะนี้จะเป็นความรักที่มีอานุภาพน้อย
ในทางตรงข้ามความรักของโลกวิญญาณที่มีกลับต่อเรานั้นเป็นลักษณะของพลังงาน หรือรังสีความรักในระดับ
ปรมาณู พลังที่ส่งมาหาเราในระดับวิญญาณนั้นจึงมีอานุภาพสูงกว่ามาก การที่เราได้มีโอกาสบูชาบรรพบุรุษ
ที่ล่วงลับไปแล้ว ย่อมเป็นการที่เราแสดงความรักความกตัญญูจากเราไปสู่โลกวิญญาณจึงเป็นการส่งความรัก
ในลักษณะอัตตาสู่อนัตตา ย่อมจะมีอานุภาพสูงกว่าอัตตา ต่อ อัตตา ยิ่งหากเราสามารถแผ่เมตตา
หรืออธิฐานส่งไปด้วยจิตที่ลึกที่สุด หรือเรา ปฏิบัติจนได้องค์ฌาน องค์ญาณ จนเกิดเป็นรังสีความรัก
เรียกว่าส่งไปด้วยรังสีวิญญาณสู่โลกวิญญาณ ก็จะเป็นการส่งไปในลักษณะปรามณูสู่ปรมาณู เมื่อโลกวิญญาณส่ง
รังสีความรักกลับมาในระดับปรมาณู และเราก็มีตัวมโนสำผัสรับได้ระดับปรมาณูเช่นกัน ก็ย่อมจะมีอานุภาพสูงสุด
ประมาณมิได้ เรียกว่าทำบุญต้องถูกวิธี อธิษฐานส่งรังสีจิตถูกวิธีผลลัพธ์ที่ได้กลับจะมาเต็มประสิทธิภาพ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 11:09:40 pm »
0

การตัดสินใจเลือกคู่กรณีบุพเพสันนิวาสซ้ำซ้อน
เนื่องจากคนเราเกิดมานับไม่ถ้วนชาติ ในหลักการเราจึงอาจได้แต่งงานหรือมีสัมพันธ์กับคนมาหลายชาติภพ
รวมกันมา ก็คงมีคู่อยู่หลายคนด้วยกัน แต่หากเรารู้ถึงเงื่อนงำในพรหมลิขิต เราจะมีญาณหยั่งรู้ได้ในขณะ
ปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ภาวนา เราก็จะรู้ว่าคนใดคือบุพเพสันนิวาสตัวจริงของเรา เราจะทราบว่าใครคือ
เจ้ากรรมนายเวรของเรา ใครที่จะมาเป็นเพียงเพื่อนของเราเท่านั้น เราจะต้องปฏิบัติ กับใคร อย่างไร จึงจะ
สอดคล้องกับกรรมเก่าเกี่ยวเก่า หากเรามีความเข้าใจในรัก ๓ ระดับ และเข้าใจบุพเพสันนิวาสที่แท้จริง
เราก็จะได้มีความระมัดระวังรอบครอบในการเลือกคู่มากขึ้นไม่ตัดสินใจเลือกคู่เพียงปล่อยให้อารมณ์พาไป
โลกของเทคโนโลยี แสง สี เสียง ตลอดจนสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆในปัจจุบัน ล้วนเป็นปัจจัยให้คนทำให้คนมอง
ข้ามความรักระดับวิญญาณหยั่งรู้ไป กลายไปเป็นความใคร่ หรือไม่ก็ไปติดกับความรักระดับอารมณ์เสียเป็น
ส่วนใหญ่ ทำให้คนเราหลายคนพลาดไปแต่งงานกับเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ หรือบุคคลที่กำหนดมา
เป็นเพียงเพื่อนเข้า แล้วไม่รู้วิธีไปบริหารจัดการชีวิต ครอบครัวย่อมไม่มีความสุข หลายครอบครัวต้องแตก
แยกกัน ยิ่งถ้าหากมีลูกกันแล้วด้วยย่อมก่อให้เกิดเป็นปัญหาสังคมตามมา จะเห็นได้จากในปัจจุบันมีการเลิกรา
หย่าร้างกันมากมายทั้งที่เมื่อเจอกันแรกๆก็รักกันดี ส่วนใหญ่มักถูกเทวดาฝ่ายลบ หรือที่เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร
ที่ยังไม่มาเกิด มาดลใจหลอกเรา เช่น ดลใจให้ไปรักชอบแต่งงานกับคนที่มีความสัมพันธ์ในอดีตชาติแค่เพียง
เป็นแค่เพื่อนเราก็คือบุพกรรม หรือเป็นเจ้ากรรมนายเวร เกิดแต่งงานกันมีความรักกันอยู่ในระดับที่ ๒ คือ
รักระดับจิตใจ เมื่อกาลเวลาผ่านไปเกิดไปพบบุพเพสันนิวาสตัวจริงเข้า เกิดเป็นความรักระดับที่ ๓ หรือ
ระดับวิญญาณขึ้นมา ถ้าหากเรามีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว อาจก่อให้เกิดเป็นความวุ่นวาย และเกิดเป็นความทุกข์
อย่างแสนสาหัสกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในภายหลังได้ ซึ่งบุพเพสันนิวาสในอดีตชาติของเราก็อาจจะมีอยู่หลายคน
หากมาพบเจอพร้อมกันในชาตินี้ ก็อาจเกิดเป็นบุพเพสันนิวาสซ้ำซ้อนขึ้นได้ เราจึงต้องมีตัวรู้มาบริหารจัดการ
เลือกคนที่ตรงกับสัญญากรรมของเราที่สุด เพราะในสังคมไทยของเรามีวัฒนธรรมที่ดีงามมาตลอด คือรักนวล
สงวนตัว ไม่ควรปล่อยตัวให้คนรักไปเพียงเพราะหลงใหลใฝ่ฝันในระดับอารมณ์ธรรมดา ไม่ควรประพฤติ
ผิดลูกเมียผู้อื่น เราจึงควรเลือกแต่งงาน ด้วยความรอบครอบเลือกไว้เพียงคนเดียว ด้วยเหตุผลทั้งข้างนอก
ควบคู่กับเหตุผลทางชาติภพ เมื่อเลือกแล้วพยายามวางบุพเพสันนิวาสคนอื่นให้ได้ แล้วปรับให้พวกเขาเป็น
บุพกรรมหรือเป็นเพียงเพื่อนไปในชาตินี้ คนบางคนอาจมีกิเลสตัณหาสูงเอง เป็นเหตุให้มีบ้านเล็ก บ้านน้อยมาก
แล้วจะมาอ้างว่าทุกคนเป็นบุพเพสันนิวาสหมดนั้นไม่สมควร เราจึงจำเป็นต้องมีตัวรู้ระดับองค์ฌานองค์ญาณ
เพื่อรู้เงื่อนปมต่างในพรหมลิขิตให้ได้ หรืออย่างน้อยหากเรายังไม่มีตัวรู้ในระดับองค์ญาณ เราก็ควรเลือกคู่ครอง
ของเราด้วยสติ ด้วยจิตใจ จนถึงความรู้สึกที่ลึกที่สุดที่ผุดโพลงมาจากจิตวิญญาณ มากกว่าที่จะปล่อยจิตไปตาม
อารมณ์ ตามสภาวะแวดล้อมหรือกองเชียร์ เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสให้เรามีโอกาสได้แต่งงานกับบุพเพสันนิวาสที่
แท้จริงและถูกต้องเหมาะสมกับเงื่อนกรรมของเราให้มากที่สุด หากเราได้แต่งงานกับบุพเพสันนิวาสตัวจริง
ของเรา ในแง่มุมของจิตวิญญาณเรียกว่าบรรลุเงื่อนไขสำคัญของชีวิต โอกาสที่ชีวิตจะมีความสุข หรือก้าวหน้า
จะเป็นไปได้สูง เรียกว่าจะมาเสริมชะตากัน พร้อมที่จะรับบุญกรรมเก่าที่เคยทำมาด้วยกัน หากแม้นเราไม่ได้
แต่งงานกับบุพเพสันนิวาสตัวจริง เราเกิดไปแต่งงานกับบุพกรรมแล้ว เราก็ควรที่จะมีรักเดียวใจเดียวเช่นกัน
หากเรามาศึกษาเรียนรู้การปฏิบัติตนกรณีที่ไม่ได้แต่งงานกับบุพเพสันนิวาส เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วก็มีวิธีที่จะ
บริหารชีวิต บริหารกรรม ที่เรียกว่าเกมส์กลกรรม ที่จะนำให้ครอบครัวไปสู่ความสำเร็จได้เช่นกัน หากเรา
ปล่อยชีวิตไปตามกฏแห่งกรรม อาจทำให้ครอบครัวเกิดความวุ่นวายโดยชิวิตไม่มีความสุข หรือชีวิตติดๆขัดๆ
ชีวิตไปไม่ได้เท่าที่เราควรจะได้ หากเราไม่มั่นคงในรักในขณะที่เราอยู่ในเกมส์กลกรรมที่กำลังบริหารกรรม
ในเกมส์บุพเพสันนิวาสแล้วละยิ่งต้องระวังให้ดี ระวังว่าแม้ว่าเราจะมั่นใจในตัวเราว่าเรามีความรักบริสุทธิ์
วิญญาณจะไม่เพลี่ยงพล้ำถลำใจไปกับบุพเพสันนิวาสที่มาทีหลังนั้น แต่บางครั้งขณะนั้นอาจมีมหาเทพ
ส่งเสริมจิตใจเราสู่เมตตามหานิยม และอาจมีผลข้างเคียงโดยคณะเทพบริวารจะส่งเสริมความรักความเมตตา
ของเรา ไปสู่เมตตามหาเสน่ห์อันมีกามปนเปื้อน จึงต้องระวังจิตใจให้ดี เรื่องของบุพเพสันนิวาสนั้นลึกซึ้ง
ข้ามภพข้ามชาติ เราจึงประมาทไม่ได้หากเรา พลาดเกิดถลำกายถลำใจไปกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่คู่ของเรา
จะทำให้เราแพ้เกมส์กลกรรมได้ ความลำบากอันคาดไม่ถึงก็จะตามมา การที่เราได้มีโอกาสเข้ามาศึกษา
หาความรู้เรื่องการบริหารกรรม รู้จักทำบุญตรงกับหนี้กรรม จึงเป็นเรื่องท้าทายของคนรุ่นใหม่ ว่าหากเรา
บริหารกรรมได้ดี ชีวิตที่มีความสุขในทุกๆด้านนั้นไม่ไกลเกินฝัน เราจะทราบว่ากามรมณ์ในระดับอารมณ์
มนุษย์นั้น สุขไม่ได้เสี้ยวของความสุขในอารมณ์ธรรม ด้วยเหตุนี้หากจะต้องรู้จักความรัก ต้องรู้จักความรัก
ให้ครบทั้ง ๓ ระดับ จึงจะเป็นรักที่สัมฤทธิ์ผล และเป็นรักสากล

ความรักสูงสุดในพระพุทธศาสนา
เป็นความรักที่มีความเมตตาในพรหมวิหารธรรม ซึ่งความรักความเมตตาจะเป็นพื้นฐานในทุกๆรัก เป็นรักกลางๆ
ที่มีพลังระดับอัปมัญญาพรหม เป็นสภาวะความรักที่เป็นรักสากล เป็นความรักที่มีความเมตตาในพรหมวิหารธรรม
ซึ่งความรักความเมตตาจะเป็นพื้นฐานในทุกๆรัก เป็นรักกลางๆที่มีพลังระดับอัปมัญญาพรหม เป็นสภาวะความรัก
ที่เป็นรักสากล รักในทุกสรรพสิ่งทุกชีวิตเท่าเทียมกัน ปลอดซึ่งกามฉันทะ ความรักจะทำให้คนมีจิตใจที่ปรารถนาดี
ต่อกันไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ความรักนี้เป็นเสมือนแรงดึงดูดให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ชีวิตมนุษย์จึงมี
วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป หากคนเรามีแต่ความเกลียดมนุษย์คงมีแต่ศัตรู มีแต่การเคืองแค้น อาฆาตพยาบาท
แล้วโลกจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ความรักทำให้โลกหมุนไป เกิดความก้าวหน้า และความเจริญรุ่งเรือง
อุดมด้วยสิ่งที่มาหล่อเลี้ยงชีวิต ทำให้โลกเดินหน้าอย่างล้อเกวียน เป็นตัวเชื่อมชีวิต ฐานแห่งความรักที่สำคัญ
และสูงสุดคือ ความรัก ความเสียสละในสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจริงใจ

มารู้จักความรัก และบุพเพสันนิวาสในแง่มุมของสัจธรรมกันเถอะ

หากเราพูดถึงคำว่าบุพเพสันนิวาส หลายคนก็อาจจะคุ้นชินคำในเนื้อเพลงซึ่งมักจะร้องกันอยู่ทั่วไปตามงานแต่งงาน
หลายคนเข้าใจว่า บุพเพสันนิวาสคือคู่รักที่ชอบพอกันแล้วมีโอกาสได้แต่งงานกันแล้วได้วาดภาพความฝันไว้สวยหรูว่า
ชีวิตนั้นจะต้องมีความสุข ซึ่งอาจจะถูกต้องแต่ก็อาจจะยังถูกไม่ทั้งหมด เนื่องจากความรักเป็นลักษณะของอารมณ์
ในเริ่มต้น แต่ยังมีความจริงที่แอบแฝงอยู่ในสัจธรรมหรือยังมีสิ่งที่เหนือสามัญวิสัย ที่แอบแฝง ปิดบังอำพราง ที่คอยลิขิต
และกำกับให้ชีวิตคู่ของคนแต่ละคน ประสบความสำเร็จหรือบางครั้งก็ล้มเหลว บ้างผิดหวัง บ้างอกหัก บ้างก็บ้านแตก
สาแหรกขาด แท้จริงแล้วหากเราได้มีโอกาสทำความรู้ความเข้าใจเรื่องของบุพเพสันนิวาสในแง่มุมของสัจธรรมแล้ว
เรื่องของการมีบ้านเล็กบ้านน้อย จนบ้านแตกนั้นคงจะลดลงได้
ความรักนั้น ไม่มีขอบเขต เกิดขึ้นได้ในทุกชนชั้นวรรณะ หามาตรฐานแน่นอนไม่ได้ บางครั้งก็เป็นรักต่างวัย
บางครั้งเป็นรักข้ามแดน รักข้ามฟ้าแล้วแต่จะเรียกกัน แท้จริงความรักนั้นเป็นอารมณ์สากลเหมือนกันหมดทั่วโลก
เรื่องของความรักแท้จริงนั้นจะยิ่งละเอียดอ่อนมาก ซึ่งหากเราจะแบ่งแยกความรักที่เกิดขึ้นในอารมณ์มนุษย์นั้น
ในที่นี้จะขอแบ่งความรักออกเป็น ๓ ระดับคือ

๑. ความรักที่เกิดขึ้นในระดับอารมณ์ เป็นความรู้สึกอันเกิดจากจากความหลงใหลใฝ่ฝัน ความเสน่หา ความเพลิดเพลิน
พึงพอใจในเบื้องต้น หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Puppy Love ซึ่งเป็นความรักที่มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวัยรุ่น
เป็นความรักในระดับอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ ความรักชนิดนี้มักเกิดง่ายหายไว อ่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว
ความรักระดับอารมณ์นี้ ไม่เที่ยงแท้ เนื่องจากอาจมี่สิ่งแวดล้อมเกื้อหนุนเป็นปัจจัยผลักดัน ทั้งจากเพื่อนๆ หรือจาก
อารมณ์อื่นๆ ความรักเช่นนี้จะเกิดมากในวัยรุ่น หากมีเหตุปัจจัยใหม่ เช่นพบคนใหม่มาให้เปรียบเทียบ หรือเพื่อนเชียร์
คนใหม่ หรือห่างเหินคนเก่าก็ยังจะเปลี่ยนใจไปชอบคนใหม่ได้ง่าย เรียกว่ารักระดับนี้เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ยังเป็นรักที่
ไม่ได้เกิดมาจากจิตส่วนลึกในระดับจิตใจ หรือจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นรักที่เกิดในวัยรุ่นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งความรักระดับนี้
ถือว่ามีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวา มีกำลังใจ ,มีความหวัง มีการสร้างสรรค์ เกิดขึ้นในชีวิต

๒. เป็นความรักที่เกิดในระดับจิตใจ เป็นรักที่เข้าใจในรัก เป็นความรักชนิดที่มีการปรุงแต่งในระดับจิตใจ เป็นความรักที่มี
ความรับผิดชอบเป็นที่ตั้ง อาจเป็นความรักที่พัฒนามาจากความรักขั้นที่ ๑ แต่ยังไม่ได้เป็นรักชนิดที่ผุดโพลงออกมาจิต
วิญญาณ ซึ่งถือว่าความรักระดับจิตใจนี้ เป็นความรักระดับมาตรฐานของคนส่วนใหญ่ และจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้
ครอบครัวยังคงมั่นคงตั้งอยู่ได้

๓. เป็นความรักที่เกิดในระดับจิตวิญญาณ เป็นความรักอันเป็นจุดประสงค์ของชาติภพ ความรักชนิดนี้เป็นความรักชนิด
ผุดโพลงออกมาจากจิตวิญญาณ เป็นรักที่เป็นไปตามสัญญากรรม อันลึกซึ้งข้ามภพข้ามชาติ เรียกว่าเป็น บุพเพสันนิวาส
ตัวจริง ในแง่มุมของสัจธรรมหมายถึง เป็นคนที่เคยแต่งงานกัน ทำบุญทำกรรมมาด้วยกันนับล้านภพนับไม่ถ้วนชาติ
เป็นรักแท้หยั่งลึกในระดับสูงสุดรวมกันทุกระดับของความรัก เรียกว่าเป็นรักตั้งแต่ระดับอารมณ์ในขั้นที่ ๑ รักระดับจิต
ในรักขั้นที่ ๒ และรักระดับวิญญาณรวมกันทั้งหมดเลยทีเดียว เป็นรักที่มีความผูกพันทางวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง
จึงมีพลังแห่งพรหมลิขิตรุนแรงมีกำลังมากรักระดับอื่น ถือว่าเป็นบุพเพสันนิวาสจริงของคนที่อยู่ในกลุ่มพรหมจุติหรือ
กลุ่มที่มีความซับซ้อนของชาติภพมาก หากเป็นกลุ่มที่มีภพชาติที่ยังไม่ซ้ำซ้อนมากนัก แค่ความรักระดับ๑ และระดับที่ ๒
ก็พอให้ชีวิตผ่านไปได้อย่างราบรื่น ในแง่มุมของจิตวิญญาณคนที่มีภพชาติซ้ำซ้อนการได้แต่งงานกับบุพเพสันนิวาสตัวจริง
ถือเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุงชะตาชีวิตให้ผ่านไปได้ด้วยดีตามสัญญากรรมในพรหมลิขิต หากคนเรามีโอกาสเรียนรู้
และมีความเข้าใจเรื่องกรรมสัมพันธ์ เราจะมีความระมัดระวังการเลือกคู่กันมากขึ้น ไม่ติดในกิเลส ตัญหา อุปาทาน จนขาดสติ
ยั้งคิด กลายเป็นความใคร่พาไป ไม่ควรเลือกคู่เพียงแค่ถูกใจโดยไม่ได้คำนึงถึงตรงจิตวิญญาณบ้าง บางคนแต่งงานไปก่อน
กับเจ้ากรรมนายเวรบ้าง หรือบางคนเกิดไปแต่งงานกับบุพกรรม(คนที่กำหนดมาเป็นเพียงเพื่อน)บ้าง บางคนแต่งงานหรือ
กำลังคบอยู่กับบุพเพสันนิวาสตัวจริงอยู่แล้ว แต่ถูกเจ้ากรรมนายเวรดลใจให้ไปหลงรักบุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรก็มี
จนต้องเลิกลากับเนื้อคู่ตัวจริงไป เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราพึงศึกษาเรียนรู้เพื่อบริหารจัดการไม่ปล่อยให้เรื่องของความรักเกิด
เป็นรักซ้ำซ้อน เกิดเป็นความวุ่นวายไปหมด ดั่งสังคมในปัจจุบัน

สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาชีวิต
สอบตก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรม สิ่งที่ต้องเร่งเรียนรู้คือ...


กรรมเก็บกด
หากไม่อยากสอบตก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรม สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ เรื่องของ กรรมเก็บกด ปัญหาคือกรรมเก็บกดคืออะไร แล้วจะแก้ไขอย่างไร
จะว่าไปแล้วกรรมเก็บกดก็คือความไม่สมดุลกันระหว่างปัจจุบันกรรมที่เป็นพฤติกรรม กับอดีตกรรมที่เป็นวิบากกรรมในภาควิญญาณพิเศษข้างใน หรืออาจกล่าวว่า สิ่งที่ได้ทำจริงในปัจจุบันนั้นทำไม่สอดคล้องกันกับสิ่งที่ควรทำในวิบากกรรม อาจจะด้วยความไม่สอดคล้องกันของกายประพฤติ จิตคิด จนถึงระดับวิญญาณหยั่งรู้ โดยการปฏิบัติตนของเรา จะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับหนี้กรรมหรือสัญญากรรมที่ได้ทำมา โดยจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฏแห่งกรรมด้วย บางครั้งเวลามาถึงแล้วแต่เรายังปฏิบัติได้ไม่ถึงสัญญากรรมนั้น หรือการปฏิบัตินั้นปฏิบัติเมื่อผิดกิจผิดกาล เรียกว่าผิดรหัสกรรม รหัสเวร หรือปฏิบัติ หรือบางครั้งตั้งการปฏิบัติไว้สูงเกินไปกว่ากรรมหรือจริตของเราที่มี เงื่อนปมกรรมต่างๆก็จะไม่ถูกคลี่คลาย ก็จะก่อให้เกิดเป็นกรรมเก็บกด สะสมไว้เรื่อยๆรอจนเวลาหมด กรรมก็จะมีการแสดงออกมาในลักษณะที่เรียกว่า วิบากกรรม ได้เช่นกัน สำหรับการแก้ไขนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องทำบุญให้ตรงกับหนี้กรรมเราเท่านั้น หรือเป็นมหาทาน เช่นการให้ธรรมะแท้เป็นทานจึงจะสามารถที่จะมาต้านครุกรรมได้

ชาติภพที่เกียวพันกันนับไม่ถ้วนภพ ทั้งหมดเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันเป็นโยงใยที่เรียกว่า กลไกกรรม

ความโยงใยในชาติภพ พันเกี่ยวเป็นสัญญาในพรหมลิขิต เป็นเงื่อนปมการปฏิบัติต่อกันอย่างถูกต้อง
เพื่อไม่ให้ เกิดเป็น กรรมเก็บกด

ป.ล. ธรรมะมิติพิศวง

การบริหารจิต และอารมณ์

หากเราไม่มีตัวรู้ปล่อยจิตให้ทำงานไปตามอารมณ์มนุษย์โดยไม่มีอารมณ์ธรรมหรือปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมมากำกับ หากวิบากกรรมกำหนดเงื่อนไขไว้ให้แก้เงื่อนปมนั้นแต่เราไม่มีตัวรู้ที่จะแก้ได้ แท้จริงเราต้องสร้างอารมณ์ให้อยู่ในระดับอารมณ์องค์ฌานหรือที่เราเรียกว่าอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกันในเอกคตาธรรมารมณ์ แต่หากเรากลับมีแต่อารมณ์มนุษย์มาทำงานแทน อารมณ์มนุษย์นั้นไม่เที่ยง ไม่มีรู้ประมาณ มีความถือมั่น ยึดมั่นในตนไม่รู้จักพอดี บางครั้งก็หยิ่งลำพองใจ ลักษณะของจิตเช่นนี้ก็จะอาจส่งผลต่องาน หรือก่อวิบากกรรมได้ ทั้งยังเป็นตัวปิดกั้นบุญเก่า อารมณ์และจิตหากไม่สามารถรวมกันได้สนิทได้ เราก็ยังอาจพบอารมณ์ป่วนจิตอยู่ได้เสมอ บางครั้งเราต้องกระตุ้นจิต เขย่าจิต จนช็อค เพื่อให้เห็นอนุสัยกิเลส หากเรายังไม่สามารถผึกจิตให้นิ่งเหมือนที่เคยปฏิบัติจิตได้มาในสัญญากรรมหรือ ปรับจิตให้อยู่ในสถานะรู้แจ้งแทงตลอดได้ เราก็ต้องฝึกพัฒนาตัวอารมณ์ให้อยู่ในธรรมารมณ์อันเป็นอารมณ์ที่มีฤทธิ์แทน จิตจึงเป็นดังเช่นจิตเดิมแท้ของเราที่เป็นจิตประภัสสร ให้จิตได้รับรู้ คิดจำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


อารมณ์ จิต
ผัสสะ มโนสัญญา (รับรู้) ธาตุรู้ (คิดจำ)

อารมณ์มีหน้าที่รับรู้ ส่วน คิดและจำ เป็นหน้าที่ของจิต อารมณ์และจิตหากจะรวมได้สนิท และแยกให้เด็ดขาดต้องมี สัมมาสมาธิ มีสติปัฏฐานที่ดี มีสัมมาสติ หากอารมณ์ไม่ดีวุ่นวาย อารมณ์จะป่วนจิต อารมณ์ปานกลางคือจิตรับรู้อารมณ์ หากผัสสะหรือที่เรียกว่า ผัสสาหารแล้วไม่มีมโนสัญญา เมื่อผัสสะแล้วก็จะหายไป ไม่มีธาตุรู้ต่อ ซึ่งธาตุรู้นี้เองที่เรานำไปปรุงแต่งต่ออย่างกลมกลืนในจตุตถฌาน ก็จะเกิดเป็นอภิสังขารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
เจโตสมถะในภายใน และธรรมะวิปัสนาที่เกิดจากอภิปรัชญา
เจโตสมถะในภายใน เป็นคนที่มีสำผัสพิเศษข้างใน มีจิตวิญญาณลึกๆ จิตโยงใยฝักใฝ่เรื่องวิญญาณ พูดจาลึกซึ้งชอบจินตนาการ ออกแบบ
ธรรมะวิปัสนาที่เกิดจากอภิปรัชญาเป็นเรื่องของความรู้ทางวิชาการ ความสามารถทางนอก เก่งและเข้าใจเรื่องทางวิทยาการ เรียกว่ามีสมองไว กายคล่อง เรียนเก่งจัดเป็นม้าตีนต้น

เจโตสมถะในภายใน
เป็นคนที่มีสำผัสพิเศษข้างในที่มีจิตวิญญาณลึกๆโยงใยฝักใฝ่เรื่องวิญญาณ การพูดจาลึกซึ้ง ชอบจินตนาการ ชอบออกแบบ บางครั้งดูทึ่มๆ ชอบแสดงความคิดเห็น มีความสามารถทางสายศิลป์ มักมีประวัติชีวิตแปลกๆ บางครั้งมีชะตาชีวิตรุนแรง ชอบเรื่องแปลกๆโดยเฉพาะมักชอบไปเกี่ยวข้องกับเรื่องศักย์สิทธิ บางคนมีนิมิต เป็นตัวฤทธิ์ บริหารอารมณ์เก่ง กรรมบางส่วนแฝงในในพันธุกรรม และบางส่วนฝังอยู่ในวิบากกรรม เมื่อชนกกรรมได้ถูกเลือกมาอยู่ในขันธ์ ๕ แล้ว เราจำเป็นต้องหาตัวรู้มาประกบเพื่อให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ มักเป็นคนที่มี EQ ดี ทั้งนี้คนกลุ่มนี้ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะอาจหลงทางได้ เรียกว่ามี EQ แต่อาจมองข้าม EQ ตนเองเรียกว่ามี EQ แต่หา EQไม่เจอ คนกลุ่มนี้จึงควรศึกษาเรียนรู้เรื่องทางในอย่างถูกต้อง ชีวิตจึงจะทอแสงออกมา ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดเป็นกรรมเก็บกดได้ บางคนมักเรียนเรื่องวิทยาการไม่เก่งจัดเป็นกลุ่มคนประเภทม้าตีนปลาย ซึ่งสังคมในปัจจุบันมักไม่ค่อยเน้นด้านนี้นัก ชอบเน้นเรื่องวิชาการมากกว่า คนกลุ่มนี้บางครั้งจึงดูว่าเป็นปัญหาบ้างก็รู้สึกเป็นปมด้อย จัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มีพลังวิเศษ เป็นเรื่องของความศักย์สิทธิ แฝงอยู่โดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยรู้ หากไม่ศึกษาในเรื่องทางในให้เข้าใจ และปฏิบัติให้เข้าถึงก็อาจเกิดปัญหาชะตาชีวิตที่รุนแรงได้
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 11:15:04 pm »
0

ธรรมะวิปัสนาที่เกิดจากอภิปรัชญา
เป็นเรื่องของความรู้ทางวิชาการ ความสามารถทางนอกเก่ง เรียกว่ามีสมองไว กายคล่อง เรียนเก่งจัดเป็นม้าตีนต้น จัดเป็นส่วนของศักยภาพ เป็นพลังพิเศษ คนส่วนใหญ่จะมีเจโตสมถะในภายใน หรือ ธรรมะวิปัสนาที่เกิดจากอภิปรัชญาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังมีหลายคนที่มีทั้งสองอย่างควบคู่กัน คนหล่าวนี้เมื่ออายตนะมีการกระทบ เพียงแค่ขั้นตอนการรับรู้ คิดจำ ยังไม่ได้เป็นตัวรู้ ซึ่งในการรับรู้นั้นเราต้องรับรู้อารมณ์ และต้องใช้ ความรู้ IQ มาประกอบในความคิด เราจึงควรต้องเข้าใจทั้งข้างนอกข้างใน ในขั้นตอนจำได้หมายรู้ จำได้ด้วยอารมณ์สำผัสกับตัวรู้ที่ลึกหยั่งลงไปแต่ยังหยั่งไม่ถึงความศักดิ์สิทธิ์กับศักยภาพยังไม่เกิด จนถึงขั้นรู้แจ้งแทงตลอดจะเริ่มเข้าถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ และศักยภาพจึงต้องตีคู่กันไป แต่หากเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ศักยภาพไม่มาเสริมความศักดิ์สิทธิ หรือ ศักดิ์สิทธิไม่มีศักยภาพมาเสริมหรือมีแต่ไม่ถูกทาง ก็จะเกิดเป็นกรรมเก็บกด หลงทางไปไดดเป็นกรรมเก็บกด หลงทางไปได้

คนมีองค์ ร่างทรง องค์แฝง
เมื่อพูดถึงคำว่าร่างทรง คนหลายคนคงนึกถึงภาพคนยืนตัวสั่น พูดจาทำนายทายทัก พูดกันด้วยภาษาแปลกแปลก บ้างก็เปิดเป็นสำนักกัน บ้างเก็บเงินหรือบอกหวยกัน ทำสิ่งที่ลึกลับมีพิธีกรรมแปลกๆซึ่งมักมีทั้งทรงจริง และของปลอมหลอกกัน เพื่อหาผลประโยชน์จากการหลอกให้หลงเชื่องมงายโดยขาดสติปัญญา
เรื่องของสวรรค์ นรก เรื่องแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ อันที่เราสามารถพินิจเห็นอยู่บ่อยๆตามสื่อรายการต่างๆ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันทันสมัย โลกแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือดรุนแรงวุ่นวายจนเราไม่เคยใส่ใจคำว่าคนมีองค์ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่คิดเพียงว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ควรไปใส่ใจให้เสียเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล แท้จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องของเราเองทีเดียว แต่น้อยคนที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ว่าแท้จริงคือสิ่งใดเกิดขึ้นได้อย่าง เหตุผลใดทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นของปลอม หาได้แต่โทษโชคชะตา หรือไปโทษตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ มันเป็นเรื่องปัจจัจตังคือรู้และพิสูจน์ได้เฉพาะตน จะว่าไปแล้วคนทุกคนล้วนมีบุญเก่ากรรมเก่าติดตัวมาตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ปฏิสนธิ มันเป็นเครื่องกำหนดกฏแห่งกรรมของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลก ในแง่สิ่งเหนือสามัญวิสัย คนที่มีความซับซ้อนของภพชาติยิ่งมาก ย่อมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ ตลอดจนสิ่งศักย์สิทธิมามากด้วยเราคงเคยไปก่อกรรมกับใครต่อใครไว้ทั้งดีและชั่วก็มาก ชาตินี้เรามาเกิด แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเรา อาจมาเกิดร่วมชาติกับเราเพื่อมาชดใช้ซึ่งกันและกัน แต่เราไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง บางคนยังไม่ได้พบกัน บางคนยังไม่มาเกิดอาจยังเป็นเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า หรือบางคนสามารถพัฒนาจิตหนีเราไปเกิดเป็นพรหม มหาพรหม มหาเทพไปแล้ว ท่านก็ถือว่ามีกรรมสัมพันธ์กับเรา จึงมีสิทธิที่จะมากำกับชีวิต ช่วยเหลือ ต่ออายุ ให้โอกาสเราหากเราเข้าถึงพระพุทธศาสนา คนเราหลายๆคน เรียกว่ามากมายเหลือคนานับที่มีสัญญากรรมกับเทพที่เกี่ยวข้องกับตนทั้งกรรมเก่าเกียวเก่า กรรมใหม่เกี่ยวใหม่ตามบุคคลาธิฐาน ท่านจึงคอยกำกับชีวิตเราตามพื้นฐานกฏแห่งกรรม แต่ให้โอกาสเราทำกิจกรรมตามที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมาเกิด หากทำได้ครบการจะส่งบุญเก่าให้บุญเก่าของเราแสดงผลเป็นรางวัลชีวิต หากถึงเวลาทำไม่ได้ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้ ท่านก็จะอุเบกขาวางเฉยปล่อยกรรมเล่นงานเราอย่างเด็ดขาดเรียกว่า คนเหล่านี้จึงเรียกได้มามีคลื่นพลังแฝงภายในมากมายส่งมาดลใจ ลองใจทั้งเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ เมื่อถึงกาลที่เหมาะสมเทพท่านจะมาใช้ร่างเราเพื่อให้เราสร้างบารมีคือท่านมาโปรดมนุษย์ ให้เข้าถึงธรรมะ มาจรรโลงพระพุทธศาสนา มารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสอนเราโดยส่งญาณอันเป็นรังสีมาสู่ตัวเรา จนเกิดเป็นอาการต่างๆเป็นร่างทรง ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป เพื่อเราจะสามารถฟันฝ่าวิบากกรรมไปได้ คนบางคนที่เขาเรียกว่ามีสำผัสที่ ๖ เห็นชาติภพก่อน ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่มีชะตาชีวิตรุนแรงประเภทขึ้นสูงก็สูงไปเลย พอลงต่ำก็ต่ำไปเลย คนบางคนมีความสามารถทางโลกโดดเด่นมาก บ้างก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในชีวิต บ้างก็มีตำแหน่งในสังคม คนพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากทางในส่งผลเป็นปัจจัยทั้งสิ้นทีเรียกว่าคนมีองค์ การที่คนเก่งในสังคมเหล่านี้จะต้องมาตัวสั่น หรือมาเปิดสำนักคงยากที่คนเหล่านั้นจะยอมรับ แต่แท้จริงการพัฒนาร่างทรงต่างหากที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มแรกเราจะตัวสั่น พูดจาภาษาเทพเร็วๆ ฟังไม่ออก เป็นเพราะเรายังมีตัวรู้ในองค์ญาณ ที่ยังไม่สัมพันธ์กับองค์ฌาน การตัวสั่นเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราจึงยังไม่สามารควบคุมอาการได้ แต่หากเราใช้วิธีฝึกฝนพัฒนาจิต พัฒนาทักษะ พัฒนาตัวรู้จนละเอียดรังสีเทพที่ส่งมา เราก็จะเริ่มควบคุมตัวเองได้ จะแสดงอาการที่ปรกติมากขึ้นที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์อยู่ในขั้น ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ อันถือว่าเป็นมาตรฐานจิตของคนเหล่านี้ คือขั้นจิตตานุภาพคือเป็นองค์แฝงไม่พบอาการผิดปกติให้เห็นได้แต่อย่างใด แต่ขณะที่พูดสามารถปล่อยให้ญาณผ่าน แสดงออกมาในลักษณะที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นการแสดงออกของตัวเราเอง โดยไม่มีใครทราบนอกจากตัวเรา นอกจากคนที่มีองค์ฌาน องค์ญาณเท่านั้นจึงทราบ คนกลุ่มนี้จะยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้น คนที่พบกับวิบากกรรมก็สามารถที่จะดีขึ้ต ตลอดจนหลุดพ้นจากวิบากกรรมได้ หากเราสามารถทำตามสัญญากรรมข้ออื่นได้ครบ การพัฒนาร่างทรงสู่ญาณแฝงจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำสังคมก้าวไกลเป็นปกติธรรมดาธรรมชาติ ที่สังคมยอมรับกันได้ในปัจจุบัน

มุมละเอียดโลก
อุปมามุมลึกลับทางวิญญาณ เพื่อง่ายต่อการจำโดยเทียบเคียงกับสูตรทางคณิตศาสตร์และโหราศาสตร์ได้ดังนี้
๖๐ พิลึกลับ เป็น ๑ ลึกลับ
๖๐ ลึกลับ เป็น ๑ องค์
๓๐ องค์ เป็น ๑ ราศี
๑๒ ราศี เป็น ๑ รัศมี
๑๐๘ รัศมี เป็น ๑ รังสี
๑๖ รังสี เป็น ๑ พรหมรังสี
๑๖ พรหมรังสี เป็น ๑ มหาพรหมรังสี


เรื่องของคนที่มีปรากฏการณ์แปลกแปลกในชีวิตมากๆ ก่อให้เกิดเป็นปริศนาให้ขบคิด ให้เรียนรู้ เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีสิ่งลึกลับ สิ่งพิลึกแอบแฝงซ่อนเร้น ปิดบังอำพราง บ้างก็แอบซ่อนอยู่ในรูปของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือไม่ก็เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เมื่อผนวกกับขันธ์ 5 ที่สมบรูณ์ด้วยธรรมธาตุ ที่มีพลังปราณเป็นฐาน หากเราทำการเจริญสมาธิ ภาวนา ปฏิบัติจิตเป็นกรรมฐานให้เข้าถึงฐานแห่งกรรม พยายามเสาะหาตัวรู้ในแง่มุมของจิตวิญญาณอยู่เสมอเมื่อเวลากาลผ่านไปสารสื่อประสาทภายในร่างกายจะทำงานอย่างสมดุล เต็มประสิทธิภาพเกิดเห็นเป็นแสงเรืองตั้งแต่ระดับผิวกายเป็นลักษณะของราศีและมากขึ้นจนเป็นรัศมีแผ่ออกประมาณ ๑-๕ เมตร และเมื่อฝึกจิต สูงจนละเอียดขึ้นเรื่อยๆจนความละเอียดของจิตที่ฝึกได้ ก้าวถึงตัวรู้ระดับจิตวิญญาณ ก็จะก่อให้เกิดเป็นรังสีพุ่งออกมาไกลสุดไกล ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน เมื่อจิตถูกฝึกจนแก่กล้ารังสียิ่งมีความเข้ม และ ความเร็วสูงขึ้น พุ่งออกสูงสุดจนสุดเอกภพได้ เปรียบเริ่มต้นจากคนที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แอบแฝงอยู่ หากได้มีการฝึกฝนปฏิบัติธรรม จนได้องค์ฌาน องค์ญาณ หรือมีองค์เทพคอยกำกับดูแลสนับสนุน ก็จะสามารถพัฒนาวุฒิภาวะทางจิต ให้สูงขึ้น สามารถพัฒนาจิตสู่ฌาน และญาณที่สูงขึ้นจากเทวดา ๖ ชั้นฟ้า สู่รูปพรหม สู่ระดับมหาพรหม และสูงสุดสู่ระดับอภิญญาญาณ จนบรรลุอาสวักขญาญาณ ก็จะสามารถ ตัดกิเลส และอุปทานได้โดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเราต้องพัฒนาจาก มนุษย์สู่เทพ จากเทพสู่ธรรมให้ได้ในที่สุดนั่นเอง จะเห็นได้ว่าเรื่องแปลกๆในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเทพเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างจะผ่านแต่เพียงชั่วระยะหนึ่งของเส้นทางพัฒนาจิตสู่อภิญญาญาณเท่านั้น สูงสุดเราก็ต้องทิ้งพรหม สู่อรูปพรหม และในที่สุด ก็เพื่อมุ่งสู่ธรรม หรือภาวะอนัตตา หรือความไม่มีตัวตนหรือความว่างอันเป็นนิรันดร์

คันธัพพะ คนธรรพ์ ทันคน
เมื่อพูดถึงกรรมการเกิดของมนุษย์ไม่ว่าเราจะปฏิบัติจิตจนได้องค์ฌาน องค์ญาณจนถึงระดับพรหมชั้นสูงเพียงใดก็ตาม แต่หากยังไม่ถึงขั้นอรหันต์ หรือยังอยู่ในขั้นที่ยังต้องมาเกิดอยู่ วิญญาณนั้นก็ยังคงต้องปรับลงมาผสมผสานกับคลื่นกรรมในระดับเทวดาทีเรียดว่าคันธัพพะใหม่ทุกครั้งเมื่อจะมาเกิดใหม่
ในหลักของพระพุทธศาสนาระบุว่าการเกิด จะเกิดได้ย่อมเกิดจากเหตุ ๓ เหตุ คือชายหญิงอยู่ร่วมกัน หญิงนั้นมีระดู หรือมีอุตุ และในหลักพุทธธรรมกล่าวไว้ว่าต้องมีจุติจิตหรือจุติวิญญาณ มาเกิดเป็นปฏิสนธิจิตหรือปฏิสนธิวิญญาณ หากดูในอภิธรรมจะกล่าวว่ามีสัตว์มาเกิด ในอภิธรรมภาคพิศดารเขียนว่ามีคันธัพพะหรือคนธรรพ์ อันจัดเป็นวิญญาณชนิดหนึ่ง ซึ่งการส่งจะส่งมาปฏิสนธิในลักษณะบุคคลาธิฐานขณะเกิด หากผสมความหมายโดยรวมย่อมได้ความหมายว่าจุติวิญญาณ ก็คือ คันธัพพะหรือคนธรรพ์ คือสัตว์มาเกิดคือสิ่งเดียวกัน ทั้งหมดนั้นก็คือคลื่นวิญญาณของคนธรรพ์ที่อยู่ในลักษณะคลื่นอารมย์พื้นฐานของเทวดาระดับหนึ่ง เป็นคลื่นอารมณ์บันเทิง มาผสมกับคลื่นกรรมที่บรรจุวิบากกรรมเรา ซึมแทรกผสานอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ปุถุชนทุกคนมาตั้งแต่เราเกิด เมื่อเราโตขึ้นวิญญาณและคันธัพพะนี้ก็ยังคงคู่อยู่กับวิญญาณเราเรื่อยมา พื้นฐานจิตเราจึงมีสมาธิธรรมชาติ มีความครื้นเครง ร่าเริงสนุกสนาน ควรฝึกการปฏิบัติธรรมหรือฝึกตัวรู้ให้เข้าใจ และเข้าถึงคันธัพพะ ทั้งนี้เราอาจตอบโต้ตีกลับโดยใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในรหัสกรรม รหัสเวร หรือใช้พิธีกรรมบางอย่างในการทำให้คลื่นคันธัพพะเกิดเป็นปาฏิหาริย์ ฉุดดึงนำพาวิญญาณเราที่ผสมกลมกลืนกันอย่างแนบแน่นให้ก้าวไปสู่มหัศจรรย์พร้อมไปด้วยกันได้ เรียกว่า เป็นการใช้รหัสกรรม หรือรหัสเวร ในแต่ละกาลเวลามาปรับใช้ได้ ยิ่งหากปัญญาเกิดมี เกิดรู้ เกิดเข้าใจที่เราเรียกว่ามีตัวรู้ ก็จะยิ่งเข้าไปเร่งปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นตรงจุดปัญญารู้นั้นได้ ด้วยเหตุนี้ยิ่งรู้ลึก ปาฏิหาริย์ก็ยิ่งเห็นชัดเจนต็มประสิทธิภาพตามแรงอธิฐานได้เป็นเงาตามตัว นั่นคือเราสามารถทำคันธัพพะ ให้เป็นคนธรรพ์ปาฏิหาริย์ เกิดเป็นทันคนขึ้นมานั่นเอง

อภิสังขารกับจุติวิญญาณที่คั่งค้าง
หากพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการเกิดของคนเรานั้น เริ่มตั้งแต่รังสีคันธัพพะ พาคลื่นกรรมอันมีบุญเก่าบาปเก่าส่งมารวมกันเป็น จุติวิญญาณ และชนกกรรมถูกคัดเลือก จนเกิดเป็นปฏิสนธิจิตในเซลแรกเกิดนั้น
เมื่อเราเริ่มโตขึ้นคลื่นกรรมจากอากาศ คลื่นกรรมจากบุคคลอื่น จากสัตว์ จากสิ่งของ ตลอดจนสถานที่ต่างๆที่สัมพันธ์กันได้กับตัวเรา จะถูกส่งมาเสริมกับคลื่นกรรมที่มีอยู่ในตัวเรา โดยคลื่นกรรมนั้นจะส่งมาเป็นระยะๆตามกาลเวลา หรือเมื่อเรามีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับบุคคล หรือสถานที่ที่เคยมีความเกี่ยวข้องกัน โดยที่บุญกรรมซึ่งถือว่าเป็นบุญกรรมที่ได้นี้ จะเป็นบุญกรรมที่ได้หักลบกลบหนี้กันมาแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งจะถูกส่งมาตามแต่ละสัญญากรรมของแต่ละคน หากการส่งคลื่นกรรมนั้นสามารถส่งมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวเราเราก็จะมีบุญกรรมเก่ามาช่วยได้ครบถ้วนตามกาลเวลา ตรงข้ามหากส่งมาได้ไม่ครบ เช่นขณะดับจิตเมื่อชาติก่อนวิญญาณหรือคลื่นกรรมเราส่วนหนึ่งเกิดติดเวรอยู่ หรือที่เรียกว่าติดสัญญากรรม อันเป็นเหตุให้รังสีคลื่นกรรมไม่สามารถที่จะมาจุติรวมกับจุติวิญญาณในชาติภพใหม่ได้ครบ ในแต่ละช่วงของกาลเวลา ก็จะทำให้ชีวิตในภพใหม่ของเราอาจจะไม่สมบูรณ์ได้ที่เรียกว่า อภิสังขารเกิดบกพร่อง หรือ มีจุติวิญญาณที่คั่งค้าง ชีวิตจึงไม่มีบุญกรรมหรืออภิสังขารมาเสริมชะตาชีวิตเราให้สมบูรณ์ได้ ที่เรียกว่าขาดองค์ขององค์ในอีกที ชะตาชีวิตของบุคคลกลุ่มนี้จึงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ลุ่มๆดอนๆ ไปไม่ถึงจุดหมายเสียที บ้างก็มีชีวิตที่วนเวียนอยู่กับพื้นดิน หรือไม่บางทีก็มีชีวิตที่เรียกว่าต้องโต้คลื่นชะตากรรมอยู่ตลอดเวลา ถึงกระนั้นหากผู้นั้นสามารถปฏิบัติสมาธิธรรมได้ถึงระดับจัตตุถฌาน อันมีองค์ ๒ คือ องค์อุเบกขา และเอกัคคตาธรรมารมย์ได้ ก็จะสามารถปรุงแต่งอำนาจบุญและ บาป ในอเนญชาภิสังขาร ได้จนสามารถรวบรวมบุญกรรมที่คั่งค้าง และเมื่อสามารถปรุงแต่งรวบรวมคลื่นกรรมหรืออภิสังขารได้จนครบสมบูรณ์ หรือที่เราเรียกว่าสามารถเข้าถึงอภิสังขารที่แท้จริงได้ ชีวิตก็จะสามารถที่จะก้าวหน้าไปได้ในที่สุด

อภิสังขาร
ถือได้ว่าเป็นสังขารที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของคนเราได้ เป็นการปรุงแต่งที่ไม่ได้มุ่งไปที่ตัวฤทธิ์ แต่เป็นมุ่งที่ภาคตัวรู้ เส้นทางต้องแปลสันญาณต้องถูกต้องลงตัว แล้วปรุงแต่งอำนาจบุญหรือ ปุญญาภิสังขาร
และบาป คือ อปุญาภิสังขาร ในอเนญชาภิสังขาร โดยต้องนำมาปรุงเต่งให้กลมกลืนกันกับอิทธาภิสังขารในชาติภพเก่า ผสมกับของใหม่ที่ปฏิบัติได้ในชาตินี้ ในฌานที่ ๔ ในขั้นเอกัคคตาธรรมารมย์ พร้อมกับมีจิตอุเบกขามา ปรุงปรับผสมผสานกับบุญกรรมในอดีตภพในฌานนี้ โดยเอกัคคตาธรรมารมย์จะเป็นตัวแสดงปรุงเสริมอิทธาภิสังขาร ทำให้เป็นฤทธิ์แล้วพุ่งไปทำอะไรก็ได้ อาจแสดงออกมาเป็นฤทธิ์ออกมาช่วยลักษณะดลใจ ดลบันดาล ในลักษณะที่ไม่ได้จงใจแสดงฤทธิ์ แต่การแสดงออกถือเป็นของเก่าที่ข้ามภพชาติมา จึงอาจเป็นพิษได้ ทั้งนี้อภิสังขารถือว่าเป็นทั้งตัวแสดงฤทธิ์และตัวบ่งบอกกรรม ถ้าเป็นกรรมธรรมดาไม่ออกฤทธิ์ก็มี เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากกรรม ฤทธิ์ผสมกันปรุงแต่งบุญและบาปด้วยฌานระดับสูงคือฌาน๔ คือปรุงในอเนญชาภิสังขารในวิบากกรรม คือฤทธิ์ต้องมาพร้อมกับกรรมจึงวิจิตร อันจะสามารถชนะฤทธิ์ได้โดยสิ้นเชิง รวมทั้งกายต้องพร้อมและต้องคำนึงถึงขันธ์๕ รูปและสังขารต้องดูแลซึ่งกันและกันในสังขารขันธ์ จิตต้องคำนึงถึง เวทนาดี สัญญาดี เป็นลักษณะของกายทิพย์ที่ละเอียดในภาวะเอกัคคตาธรรมารมย์ ซึ่งถือว่าเป็นที่สุดของตัวฤทธิ์ และมีอุเบกขาในจัตตุตฌานซึ่งถือได้ว่าเป็นที่สุดของตัวรู้ ในฌานนี้เมื่อนำมาปรุงแต่งในธรรมารมย์ ก็อาจมีนิมิตร ในลักษณะต่างๆ เช่นได้เห็น ได้ยิน เป็นเรื่องของหูทิพย์ ตาทิพย์ ซึ่งอาจมีเทพมาปน ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นนิมิตรเป็นภาพคน และที่พิเศษของอภิสังขารคือสามารถโยงใยล้วงลึกไปถึงชาติภพเก่าๆ เมื่ออยู่ในภาวะเอกัคคตาธรรมารมย์ เป็นการบอกกฏแห่งกรรมในสัญญากรรม อันเป็นความสมดุลของขันธ์ ๕ อุปมาเทียบได้กับองค์ในขององค์ในอีกที ซึ่งเราจะต้องเข้าถึงวิญญาณแท้นี้ให้ได้ หากเราสามารถเข้าถึงก็ผ่าน หากเราเข้าไม่ถึงหรือเกิดขัดแย้งกัน ก็เกิดเป็นกรรมเก็บกด นั่นคืออภิสังขารเป็นมาร หรือเกิดเป็นภาวะที่ไม่สอดคล้องที่เรียกว่าเกิดภาวะกายค้านกาย ,กายค้านจิต หรือจิตค้านจิต ผลก็คืออภิสังขารก็อาจกลับกลายเป็นพิษ เกิดเป็นกายวิปริต หรือจิตวิปลาศได้ เทพที่เข้าถึงนั้นจะเป็นมหาเทพ ซึ่งเทพเองได้ก็จะแปรรูปมาอยู่ในลักษณะขององค์ธรรม ซึ่งเทพนั้นมาในลักษณะที่ไม่มีตัวตนเป็นเพียงรังสีตามสัญญากรรม การเรียนรู้ หมั่นฝักปฏิบัติจิต ฝึกฝนเพิ่มทักษะความรู้ภูมิปัญญา ตลอดจนเพียรสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องของจิตวิญญาณ รู้จักพัฒนาจิตสู่ระดับองค์ฌานองค์ญาณ ฝึกพัฒนาจิตจนเข้าถึงอิทธาภิสังขาร สามารถรวบรวมบุญบาปตลอดจนปรุงแต่งจิตจนได้อภิสังขารที่สมบูรณ์ และพัฒนาจิตต่อเนื่องสู่ระดับอภิญญาญาณจึงจะเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

ศรัทธา และปัญญาในการเข้าถึงพิธีกรรม
ปัจจุบันมีการประกอบพิธีกรรมกันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ถึงแก่นแท้ของพิธีกรรมแต่ละพิธีว่าความหมายทางเหนือสามัญวิสัยนั้นหมายถึงอะไร มีความหมายกับกลไกกรรมอย่างไร เกี่ยวพันกับเราได้อย่างไร
คนส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นประเพณีแต่แนวทางปฏิบัติ กระทั่งปัจจุบันหลายๆคนจึงเริ่มมองพิธีกรรมเป็นเรื่องงมงาย เมื่อมาเกี่ยวพันกับศาสนาทำให้คนมองพระพุทธศาสนาผิดไปจากแก่นความเป็นจริง ถึงกระนั้นพิธีกรรมเองก็ยังคงจำเป็นต้องมีเพื่อให้ผู้คนทั่วไปเห็นเป็นรูปธรรม ทำให้จำง่าย รักษาง่ายไม่สูญหาย อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับพุทธศาสนิกชน ในการปฏิบัติกิจร่วมกัน ชดใช้กรรมเก่าเกี่ยวเก่าที่เคยทำมาร่วมกัน ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาในส่วนเหนือสามัญวิสัยไปได้มาก ความศรัทธาจึงต้องคู่ปัญญาเสมอเพราะปัญญาจะทำให้การประกอบพิธีมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด เมื่อเราเข้าใจหลักพระพุทธศาสนาที่แก่นแท้ของการปฏิบัติ เราก็จะไม่ไปยึดติดพิธีกรรมที่เปลือกนอก จึงจะสามารถแก้ไขพลิกแพลงสถานการณ์ให้เหมาะสมได้ตามความเป็นจริง

อุเบกขา&เมตตาปะทะครุกรรม
ในความเป็นจริงในปัจจุบัน คนที่พรหมวิหาร ๔ ยังอ่อน เมื่อโดนสิ่งใดมากระทบหรือที่เรียกว่ามีผัสสะทั้งในทางบวกหรือทางลบ คนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็มักจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ บ้างก็ปล่อยจิตใจให้ฟูฟ่องดีใจ หรือไม่ก็จิตใจแฟบห่อเ**่ยว
หากเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์เมื่อกรรมมากระทบ หากเราปล่อยให้จิตของเราปลิวไปตามยถากรรมย่อมไม่เป็นผลดีกับเรา ทั้งกับสิ่งที่อยู่ในสามัญวิสัย และเหนือสามัญวิสัย การควบคุมอารมณ์ให้ได้ การรู้เท่าทันจิตด้วยสติ ที่ต้องมีอุเบกขานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการต้านกรรม โดยเฉพาะกรรมหนัก เช่นครุกรรม อุเบกขาถือเป็นด่านแรกของจิตใจเราในขั้นตอนการรับรู้ หากจิตฟู หรือ แฟบ ใจเราย่อมไม่มีทางสงบ เรียกว่าจิตร้อนจึงเป็นสุขได้ยาก พรหมวิหาร๔ จึงถือได้ว่าเป็นปราการสำคัญในการต้านกรรม

อุเบกขา คือ การที่จิตเรารับรู้เท่าทันตามความเป็นจริงหรือ และสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ต่างจากภาวะเฉยโง่ที่ขาดปัญญาพิจารณาเหตุ จะอ้างว่ามีอุเบกขาแล้วไม่ได้ ซึ่งอุเบกขาถือว่าเป็นด่านแรกของจิตเราที่จะปะทะกับครุกรรมก่อน อุเบกขาของพระอรหันต์เท่านั้นที่มีเต็มร้อย ส่วนที่อุเบกขาของปุถุชนทั่วไปนั้นมีไม่พอ จิตเราจึงยังหวั่นไหวอยู่ ทั้งนี้มากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคน คิดได้ ปลงได้ เข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน
ในแง่มุมของสิ่งเหนือสามัญวิสัยนั้นหากอุเบกขาไม่พอเราสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เทวาปาฏิหาริย์ ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ เข้าช่วยต้านกรรมชนิดธรรมดาได้ เช่น อาจโดยการใช้เครื่องเส้น ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นระดับจิตที่ ไม่ลึกมากเราอาจใช้พิธีกรรม ผ่านทางคณะเทพ หรือเทวดาใน ๖ ชั้นฟ้า มาต้านกรรม ๓ ได้แก่

๑. อาจิณณกรรม กรรมที่ทำจนชิน เป็นอาจิณ ทำจนเป็นนิสัย
๒. อาสันนกรรม กรรมที่ทำก่อนตาย
๓. กตัตตากรรม กรรมที่สักแต่ว่าทำ หรือทำด้วยเจตนาอันอ่อน


เนื่องจากเทวดาใน ๖ ชั้นฟ้านี้ยังคงมีวิสัยใกล้มนุษยภูมิยังคงต้องการเครื่องเส้น การบรรเทาปัญหา ยังสามารถทำได้โดยใช้เครื่องเส้นบนบาน อธิฐานเส้นไหว้ได้ แต่สำหรับกรรมหนัก เทวดาใน ๖ ชั้นฟ้าจะไม่สามารถต้านทานได้ หากจะต้านจะต้องเป็นมหาเทพเท่านั้นมาช่วยต้าน ซึ่งมหาเทพจะมาช่วยเราได้จิตเราจำเป็นต้องมีความรักระดับสูง ที่เรียกว่าอัปมัญญาพรหม พร้อมกับการปฏิบัติบูชา โดยเฉพาะพรหมวิหารธรรมต้องมีระดับสูง และต้องผ่านการทดสอบจิตจากมหาเทพท่านด้วย ท่านจึงจะมาช่วยเจรจาปะทะครุกรรมให้

เมตตาต้านครุกรรม
เมตตา ซึ่งเมื่อพัฒนาเป็นความรักที่บริสุทธิ์ในระดับสูงสุด จิตระดับนี้เป็นสัญญาที่สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ จิตเมตตานี้จะโน้มรับคณะเทพทุกชั้นสูงสุดจนถึงระดับมหาเทพมาคุ้มครองรักษา แต่อาจมีผลข้างเคียงได้ คือมีเสน่หาจากเทพเทวดาที่ยังอยู่ในกามจรภูมิเข้ามาเจือปนในรักบริสุทธิ์ระดับวิญญาณได้ เนื่องจากมีเทพที่ยังละกามกิเลสไม่หมดเมื่อติดตามมาสู่จิตของเรา ทำให้จิตเราอาจแปลงสู่เมตตามหาเสน่ย์ ซึ่งอาจมีเสน่หาเข้าปน เป็นความรักที่มีเมตตาที่ปนเปื้อนกามอยู่ หากผสมกับกิเลสตัญหากับสัญญากรรมในอดีตภพก็อาจเกิดเป็นความใคร่ ทำให้มหาเทพลงมาได้ไม่เต็มองค์ หากอุเบกขาอ่อน ก็จะทำให้แพ้ครุกรรมได้ ทั้งนี้เมตตาต้องสมดุลกัน ระหว่างตัวรู้และตัวฤทธิ์

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 11:24:10 pm »
0

ความสำคัญของการกำหนดจิต และอารมณ์
หากเราไม่มีตัวรู้แล้วปล่อยจิตให้ทำงานไปตามอารมณ์มนุษย์ อันได้แก่ โลภ โกรธ หลง โดยที่เราไม่มีอารมณ์ธรรมหรือปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมมากำกับ หากวิบากกรรมของเรากำหนดเงื่อนไขไว้ให้เราแก้เงื่อนปมนั้นแต่เราไม่มีตัวรู้ที่จะแก้ได้ ก็จะก่อให้เกิดผลทางวิบากกรรมได้ แท้จริงนั้นเราต้องสร้างอารมณ์ให้อยู่ในระดับอารมณ์องค์ฌานหรือที่เราเรียกว่าเอกคตาธรรมารมณ์ คืออารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นอารมณ์ที่มีฤทธิ์จึงจะเป็นอารมณ์ที่ป้องกันตัวเราได้ดีที่สุด ตรงข้ามหากเราปล่อยให้อารมณ์มนุษย์ เช่น โลภ โกรธ หลง มาครองจิตใจ ซึ่งอารมณ์มนุษย์นั้นไม่เที่ยง ไม่รู้ประมาณ มักมีความถือมั่น ยึดมั่นในตนไม่รู้จักพอดีแฝงหรือแสดงออกได้อย่างเด่นชัด บางครั้งก็เป็นอารมณ์หยิ่งลำพองใจ ลักษณะของจิตและอารมณ์เช่นนี้ก็จะเป็นตัวปิดกั้นบุญเก่าที่เรียกว่าบุพเพกตบุญตา อารมณ์และจิตนั้นหากเรายังไม่สามารถรวมกันให้สนิทได้ เราก็ยังอาจพบภาวะอารมณ์ป่วนจิตได้เสมอ บางครั้งเราต้องกระตุ้นจิต เขย่าจิต หรือบางครั้งอาจจะต้องถึงกับภาวะช็อคจิตบ้าง เพื่อให้เห็นอนุสัยกิเลสที่แอบแฝงอยู่ในตัวเรา ที่เราคิดว่าเราไม่มีกิเลสแล้ว ให้แสดงตัวออกมา หากเรายังไม่สามารถผึกจิตให้นิ่งเหมือนที่เคยปฏิบัติจิตได้มาตามสัญญากรรมหรือ สามารถปรับจิตให้อยู่ในสถานะรู้แจ้งแทงตลอดได้ การพัฒนาตัวอารมณ์ให้อยู่ในธรรมารมณ์อันเป็นอารมณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีฤทธิ์แทนย่อมเป็นสิ่งจำเป็น ให้จิตของเรา เป็นดังเช่นจิตเดิมแท้ของเราที่เป็นจิตประภัสสร จิตเราจึงจะได้รับรู้ คิดจำ จำได้หมายรู และรู้แจ้งแทงตลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลูกคิดรางแก้ว ลูกคิดรางกรรม
ในแง่มุมของฆารวาส คนเรานั้นมักจะมีความสุขกับเรื่องในโลกียวิสัย โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ว่ากันว่าเราจะมีความสุขอยู่การได้ดีดลูกคิดรางแก้ว อันหมายถึง สุขกับการที่เราได้มีเงิน สุขกับการที่เราได้หาเงิน สุขกับการได้ใช้เงิน และสุขจากการที่ไม่เป็นหนี้ คนเราจึงมักมุ่งแสวงหาทรัพย์สินใส่ตัว หรือพวกพ้องกัน จนบางครั้งอาจจะมากเกินไปจนลืมคิดเกินพอดี หรือคิดไม่ถึงว่า ชีวิตนั้นยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง คือ ชีวิตเรายังมีลูกคิดรางกรรมอีกรางหนึ่ง คนเราหลายๆคนไม่เคยได้ดีดลูกคิดรางกรรมเลย ไม่เคยคิดไม่เคยคิดหรือว่าเรามีบุญเก่าติดมาเป็นทุนเท่าไร ไม่เคยคิดทำกรรมดี หรือสร้างบุญใหม่ให้มาหนุนจักรธรรม ไม่เคยคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ตลอดจน ไม่เคยคิดที่จะใช้หนี้กรรมเลย จึงเป็นเหตุให้คนหลายคนไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง หรืออาจเป็นเหตุที่ทำให้เราให้ต้องพบกับวิบัติในชีวิต โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน หากเราเข้าใจดีดลูกคิดรางกรรมเป็นหลัก ถึงลูกคิดรางแก้วเราจะดีดหรือไม่ดีดไปก็ตาม ลูกคิดรางแก้วก็จะถูกปรับดีดให้สอดคล้องลงตัวกับสิ่งที่ได้ดีดไป หรือ ใช้ไปในการดีดลูกคิดรางกรรมโดยอัตโนมัติ จะว่าไปแล้วก็คือเกณฑ์แห่งเวรเป็นสิ่งที่เรายังคงไม่ควรมองข้าม อันหมายถึง ภาระหนี้กรรมที่เราต้องผ่อน ทั้งนี้หนี้กรรมที่เรากำลังผ่อนต้องสอดคล้องและตรงกับหนี้กรรมของเราเท่านั้นจึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน หากเราสามารถชดใช้หน้กรรมได้มากกว่าเวรที่เรากำลังผ่อนใช้อยู่ในเกณฑ์แห่งเวรลูกคิดรางแก้วถึงเราจะไม่ได้ดีดก็ตาม ผลกำไรจากการใช้กรรมในเกณฑ์แห่งเวรย่อมมองเห็นได้ชัดเจน เรียกว่าปาติหาริย์ย่อมเกิดได้ไม่ยากนัก

เคร่งครัด เคร่งเครียด
เรื่องของการปฏิบัติบูชาควรพิจราณาแนวทางการปฏิบัติในทางกลางๆ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป พระองค์ทรงแสดง ?ธัมจักกัปปวัตตนสูตร? เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ อันประกอบด้วย
? กามสุขันลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ในกามคุณ ๕ อันเป็นทางหย่อน ? อัตตกิลมถานุโยค การดัดตนข่มตนในทางตึง บังคับตนให้ทุกข์ทรมาน ? มัชฌิมาปฏิปทา การปฏิบัติตามสายกลาง พิจารณาด้วยเหตุและผล พระพุทธองค์ไม่เคยกำหนดว่าทางพ้นทุกข์ต้องกินข้าววันละมื้อ หรือต้องกินเจ กินผักตลอดชีวิต ในขณะปฏิบัติธรรม ไม่เคยกำหนดว่าคนเราจะบรรลุอรหันต์ได้ ต้องบวชเป็นพระเท่านั้น ฆารวาสที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เข้าใจแก่นแท้ของศาสนาจริงๆก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้โดยไม่ต้องบวช ไม่ต้องอยู่วัด อยู่ป่า การอยู่วัดมีข้อดีทำให้เราผัสสะน้อยลงลดปัจจัยที่เป็นกิเลส ตัณหามากระทบ แต่แท้จริงการที่เราได้มีโอกาสได้ผัสสะกลับเป็นข้อดีได้รับรู้ เรียนรู้ ได้มีโอกาสปรับปรุงแก้ไข พัฒนจิตใจให้สูงขึ้นได้ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจ พระเกจิอาจาร์ยหลายท่านพึงฝึกปฏิบัติชอบในทางตึงบ้าง ด้วยจริตและความสามารถที่พิเศษกว่าคนทั่วไป การตั้งสิ่งต้องการทำไว้แล้วตั้งใจปฏิบัติให้ได้ตามที่ได้ตั้งจิตไว้ย่อมดี แต่ทั้งนี้เราต้องพิจารณาว่าตั้งไว้สูงเกินไปไหม สำหรับคนบางคนถูกจริตย่อมทำได้ แต่ก็อาจจะไม่ตรงจริตกับหลายๆคนได้เช่นกัน การที่เราตั้งการปฏบัติไว้สูงเท่าไร การปฏิบัติต้องยิ่งใช้ปัญญาเฉพาะตัวมากขึ้นเท่านั้น เราควรต้องพิจารณาว่าเราตั้งสิ่งปฏิบัติตึงไปไหม หากเราทำได้แล้วเริ่มถ่ายทอดให้คนอื่นทำบ้าง ตัวรู้ของคนที่ได้รับถ่ายทอดเพียงพอไหม หากเขารับไปฝึกแต่รู้เพียงว่าต้องทำให้ได้ เพราะมันเป็นกฏเป็นข้อห้าม ไม่ทำตามไม่สวยงาม ใครๆเขาก็ทำเราจึงต้องทำตาม อย่างนี้ไม่ได้จรรโลงปัญญา ปฏิบัติธรรมเคร่งครัด แล้วเกิดไม่มีตัวรู้ ไม่ถูกจริตก็จะกลายเป็นปฏิบัติธรรมเคร่งเครียดไป กลายเป็นศีลอุปาทาน หรือที่เรียกว่าอุปทานในการถือศีล หรือตั้งหย่อนจนเป็นศีลอุปรามาส ประมาทในการถือศีล นึกว่าตนปฏิบัติดีแล้วแท้จริงไม่เพียงพอ หรือเลือกแนวทางปฏิบัติไม่ตรงจริต จะกลายเป็นกรรมเก็บกดไปเสียอีก

มโนมยิทธิ หรือฤทธิ์ทางใจ
มโนมยิทธิ เป็นจิตที่มีพลังมีฤทธิ์สูง หรือเรียกว่า ?ฤทธิ์ทางใจ? โดยเริ่มจากรับรู้คิดจำ มีความจำได้หมายรู้ และรู้แจ้งแทงตลอด ในที่นี้หมายถึง... มโนมยิทธิ เป็นจิตที่มีพลังมีฤทธิ์สูง หรือเรียกว่า ?ฤทธิ์ทางใจ? โดยเริ่มจากรับรู้คิดจำ มีความจำได้หมายรู้ และรู้แจ้งแทงตลอด ในที่นี้หมายถึงรู้แจ้งในเรื่องราวที่เป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิอย่างคล่องแคล่วในระดับภวังคจิตจนถึงระดับปัญญาญาณ เป็นธรรมารมณ์ ฝังอยู่ในจิตใจตลอดเวลา หากคนเรารู้เรื่องแต่เรื่องที่เป็นโลกีย์วิสัยเจตสิกก็ทำงานในระดับอารมณ์มนุษย์ คือมีทั้ง โลภ โกรธ หลง อันเป็นอารมณ์ที่ไม่เที่ยงแท้ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ หากพัฒนาจิตจนสามารถเข้าถึงเข้าสู่อารมณ์ฌาณ อันเป็นอารมณ์ที่มีสิ่งศํกดิ์สิทธิแฝงอยู่ทั้งในรูปของเทวฤทธิ์ และ เทวานุภาพ จนถึงจิตรานุภาพ จนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่นี้ย่อมหมายถึงการที่เราสามารถพัฒนาตัวฤทธิ์ทางใจของเราให้สูงขึ้นตามลำดับนั่นเอง แม้แต่การเข้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น การที่เราทราบเรื่องของพุทธประวัติเป็นอย่างดี สามารถพูด หรือ อธิบาย หรือตอบปัญหาเรื่องพุทธประวัติได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ซึ่งการทำงานของจิตในระดับนี้จะเป็นกระบวนการของจิตใน ระดับที่ลึกมากๆหรือ ระดับภวังคจิตลงไป จิตผู้นั้นก็ย่อมจะเข้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิได้โดยอัตโนมัติ บุคคลนั้นก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิมาคอยกำกับดูแล คุ้มครองให้โอกาสในชีวิตเช่นกัน จัดเป็นธรรมารมณ์ตรึงแน่นอยู่ในมโนภวังคจิต จิตขั้นนี้จะสามารถพิจรณาเรื่องกำกวมต่างๆเพื่อการรวมกรรมได้ดี ในขั้นนี้เราควรพิจารณากรรมโดยใช้ภาพกรรมรวม และอำพรางบ้างเพื่อความอำไพ เพราะบางอย่างบางเรื่องไม่ควรเปิดเผย เราจึงควรบริหารการแสดงออก เช่น ทางการพูด ควรพูดหรือฝึกให้เป็นลักษณะสากลฟังได้ทุกคนทุกชาติทุกชนชั้น สามารถแสดงความน่าเชื่อถือในการถ่ายทอดได้อย่างมีเหตุผล ทั้งนี้จิตขั้นนี้ถือว่าแตะเพดานบนของขั้นอภิญญาญาณแล้ว เป็นขั้นที่มีความจำได้หมายรู้ และมีองค์เทพ องค์ ฌาน ญาณ อยู่ในระดับสูง

เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิอิทธิปาฏิหาริย์
ในแง่มุมของพระพุทธศาสนา อิทธิปาฏิหาริย์ก็ดี เทพ เทวดา ก็ดีจะมีจริงหรือไม่นั้น ถ้าหากเราถือตามตัวอักษรในพระไตรปิฏก รวมทั้งในพระพุทธประวัติ เราจะเห็นว่ามีระบุอยู่ทั่วไปในคัมภีร์
ก็คงยืนยันได้ว่า ?มี? แต่การที่เราจะพิสูจน์ว่าเทพเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ อำนาจลึกลับว่ามีจริงหรือไม่นั้น ยากที่จะทำให้คนทั้งหลายยอมรับหรือเห็นพ้องเป็นคำตอบเดียวกันได้ พระพุทธศาสนาไม่ประสงค์ให้ผู้คนเชื่อถืองมงายในสิ่งเหล่านี้ ?พระพุทธศาสนากล้าท้าให้สิ่งเหล่านี้มีจริงเป็นจริง โดยประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์ท่ามกลางความมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้? การที่เราจะพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับ การที่เราได้เข้าใจว่า ในกรณีที่มีอยู่จริง สิ่งเหล่านั้นมีฐานะอย่างไรต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และอะไรคือความสัมพันธ์อันถูกต้องระหว่างมนุษย์และสิ่งเหล่านั้น และเพื่อให้รู้ถึงความเกี่ยวข้องของมนุษย์และเทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิเป็นอย่างไรนั้น การเปิดใจศึกษาเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงเป็นสิ่งที่เราพึงศึกษา หากแต่ไม่ควรรีบปฏิเสธด้วยเพียง ?ความเห็น? เนื่องจากความเห็นย่อมไม่ใช่ ?ข้อเท็จจริง? เพราะความเห็นขึ้นอยู่กับประสบการ์ณของแต่ละคน ความจริงคือเรื่องจริง ถึงกระนั้นหากเราเชื่อ เราก็ไม่ควรเชื่อจนงมงายหรือยึดติดในเทพ เทวดา ของขลัง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนเกินพอดี การปฏิบัติต่อเทพ เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงควรคิดพิจารณาด้วยปัญญา ด้วยศิลปะด้วยความคิดที่ถูกต้อง ตามแต่ละสถานการณ์ แต่ละโอกาส ที่สำคัญเราต้องรู้เท่าทันตามความเป็นจริง

ศาสตร์สาระ ศาสตร์สำคัญ ศาสตร์สัมพันธ์
บางครั้งเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางเรื่องเป็นเรื่องสำคัญ แต่เรื่องระดับใต้ภวังคจิตนั้นย่อมเป็นเรื่องที่มีสาระมีความสำคัญในระดับวิญญาณ เพราะถือว่าเป็นธาตุรู้ เป็นอาหารของวิญญาณ
เรื่องเช่นนี้นอกจากจะเป็นเรื่องที่ถือว่ามีสาระแล้ว ยังเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต และยังเป็นเรื่องที่มีความสำพันธ์โยงใยกันไปหมด ทั้งความสำพันธ์ข้ามภพชาติ เงื่อนปม เงื่อนไขของชีวิตในสัญญากรรมทุกภพชาติ เรียกได้ว่าเรื่องที่มีสาระ จะต้องเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เราคงต้องสนใจเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ ทั้งนี้การที่เรามีโอกาสได้ศึกษาเรื่องที่เป็นทั้งศาสตร์สาระ ศาสตร์สำคัญ และศาสตร์สัมพันธ์ เพราะนาฬิกาใจของเราผ่านไปอยู่ตลอดเวลา เวลาของเราจึงมีจำกัด การฝึกจิตจนเกิดเป็นตัวรู้แจ้งแทงตลอดจึงถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง

พลังสถิต พลังกระแส พลังเสถียร
เรื่องของพลังสถิต คือการพัฒนาพลังจิตในภายในให้ก้าวสู่องค์ฌาน องค์ญาณ เรียกได้ว่าพัฒนาพลังจิตสถิต แล้วพัฒนาขึ้นจนเกิดเป็นฤทธิ์
ในภาวะจิตระดับนี้จะสามารถพัฒนามโนสำผัสของเราให้เข้าถึงพลังกระแส อันเป็นคลื่นพลังจากภายนอกมาผสมกลมกลืนให้ลงตัวกันกับพลังสถิตในตัวเรา อาจจะมาในรูปเทวฤทธิ์ปาติหาริย์ อันจะเป็นตัวแปรที่จะเพิ่มพูนพัฒนาพลังงานสถิตใน สู่ตัวรู้แจ้งแทงตลอดในองค์ญาณ สามารถปรับภาวะเทวานุภาพ และก้าวสู่จิตสู่จิตตานุภาพที่เรียกว่าพัฒนาจนเกิดเป็น พลังเสถียร ต่อไป ให้รู้ว่าเรามีกรรมสัมพันธ์กับใครไว้อย่างไร เท่าใด เพื่อที่จะได้ทำการบริหารกรรมให้สอดคล้องลงตัวต่อไป เรื่องของพลังจิตเราสามารถพัฒนา แล้วนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องประหยัด พลังฤทธิ์ที่ได้ก็จะสามารถนำมาปรับปรุง แก้ไขปัญหาชีวิต อันสามารถนำมาทดแทนพลังงานภายนอกได้อย่างมหัศจรรย์

คลื่นแสง รังสี คลื่นวิญญาณ รังสีแห่งพรหม

ในโลกวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับกันว่าสิ่งต่างๆโลกนี้มีเพียง ๒ ชนิดเท่านั้นคือ อนุภาค และคลื่น ความเร็วของคลื่นแสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
มีความเร็วเท่ากับแสงคือ ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ เมตรต่อวินาที และพบว่าอนุภาคสามารถเปลี่ยนไปเป็นคลื่นได้ และคลื่นเองก็แปรกับมาเป็นอนุภาคได้เช่นกัน
เทคโนโลยีต่างๆบนโลกใบนี้อยู่พื้นฐานของการใช้ความเร็วแสงทั้งสิ้น แสงเดินทางจากดวงอาทิตย์มายังโลกของเรา ใช้เวลานานกว่า ๘ นาที
แต่ในโลกของวิญญาณนั้นการเดินทางของความคิด ความรัก หรือรังสีวิญญาณนั้นเร็วกว่าแสงมากนัก เรียกได้ว่ากำหนดปุ๊ปก็ถึงดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ในทันที
ความเร็วของวิญญาณจึงหลุดขอบเทคโนโลยีปัจจุบัน จึงไม่สามารถมีเครื่องมือใดตรวจจับหรือพิสูจน์คลื่นวิญญาณได้อย่างเปิดเผยด้วยเครื่องมือในปัจจุบัน
เรื่องของวิญญาณจึงต้องพิสูจน์จับด้วยวิญญาณของแต่ละคนเอง คือใช้มโนสัมผัสตรวจจับ เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิจึงเป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน เท่านั้น
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาผู้สั่งสอน ให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้อันจะเห็นระบุอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฏก การพัฒนารังสีวิญญาณหรือ คลื่นวิญญาณให้ละเอียด
จนตรวจจับคลื่นวิญญาณได้ จึงถือเป็นเรื่องท้าทาย การพัฒนาจิตสู่จิตตานุภาพ สู่มโนมยิธิ และสูงสุดสู่อภิญญาญาณ เท่ากับเป็นการพัฒนาภพภูมิของเรา
ให้สูงขึ้นสู่รูปพรหม สู่อรูปพรหม นั่นคือพัฒนาจนรังสีของเราพัฒนาสู่รังสีแห่งพรหม และสูงสุดสู่โลกุตรอภิญญาณ จึงเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาในที่สุด
ชะตาชีวิตจะดีได้ต้องเข้าถึงภาควิเศษด้วย ๙ อ.
๑.อาหาร หากพิจารณาคำว่าอาหารในพระพุทธศาสนา หมายถึง
          ๑.๑.กวริงกราหาร ได้แก่อาหารเป็นคำๆหยาบๆ เพื่อซ่อมและสร้างเสริมร่างกายให้ยังคงตั้งอยู่ได้
          ๑.๒.ผัสสาหาร โดยเริ่มต้นที่อารมณ์ที่เรียกว่า อารัมนะ
          ๑.๓.มโนสัญญา หมายถึงเจตนาที่รับรู้เป็นสัญญากรรมเพื่อการเก็บบันทึกไว้ เป็นอารัมธาตุ ในลักษณะของข้อมูลป้อนเข้าเป็นตัวรู้
          ๑.๔.?วิญญาณาหาร หรือ วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้? ถือเป็นอาหารของจิต ซึ่งจะแตกต่างจาก ?วิญญาณ? คือ วิญญาณเป็นเพียงตัวรู้สึก ถึงเป็นโครงหลักในการบันทึกตัวรู้
๒.อากาศ สัมพันธ์กับอารมณ์คือ การใช้ลมหายใจกำหนดอานาปานสติ การหายใจจะละเอียด และเบา ทำให้จิตนิ่ง
๓.ออกกำลังกาย เพื่อให้กายแข็งแรง และให้สอดคล้องกับจิต สัมพันธ์กับอารมณ์คือ กายไม่ค้านกาย กายไม่ค้านจิต สมองก็จะไว กายจะคล่อง จิตก็จะนิ่ง
๔.อุจจาระ เป็นการขับของเสียจากร่างกาย สัมพันธ์กับอารมณ์คือ ใช้กำหนดจิตในอสุภกรรมฐาน ทำให้จิต สลด สงบ และก้าวสู่สมาธิได้เร็วขึ้น
๕.อารมณ์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานของจิต และเป็นตัวจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ แท้จริงแล้วอารมณ์เป็นตัวแสดงอาการของจิต เป็นตัวแสดงของวิญญาณ มีความโยงใยข้ามภพชาติ เหตุนี้อารมณ์จึงเป็นตัวแปรองค์ของเทพในตัว หรือสร้างสรรค์เรื่องภายในตัวเราในส่วนของความศักย์สิทธิอีกด้วย
๖.อดทน (ขันติ) จัดเป็น ที่สร้างขีดความสามารถในส่วน อ. พิเศษ
๗.อดออม (ทมะ) จัดเป็น ที่สร้างขีดความสามารถใน อ. พิเศษ ที่มีความสามารถในการเก็บความรู้ความรู้สึก เพื่อพิจารณาวาระการแสดงออก พิจารณาเหตุการต่างๆให้สอดคล้องกับบุคคล ตลอดจนกาละเทสะ
๘.อดกลั้น (ตบะ) จัดเป็น อ. พิเศษ ที่สร้างขีดความสามารถฝึกฝืน ไม่ตอบโต้ ไม่แสดงออก
๙.องค์ จัดเป็น อ. ที่สร้างขีดความสามารถที่ วิเศษ กว่า การศึกษาให้เข้าถึง

องค์ภายในตัวนั้นสำคัญมากสำหรับบุคคลนั้นๆ ตั้งแต่อ.ที่ ๑ ถึง อ.ที่ ๙ นั้นถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึง ?ภาควิเศษ ? ได้ในส่วนของ อ. ๑-๕ เป็นส่วนของรูปกายสังขารภายนอก หรือส่วนที่ทำให้เรามีสุขภาพดีนั่นเอง โดย อ.ทั้ง ๕ นั้น จะต้องผสมกลมกลืนกันด้วยดี นั่นคือกายไม่ค้านกาย จิตไม่ค้านจิต และกายไม่ค้านจิต จิตไม่ค้านวิญญาณ ส่วน อ. ที่ ๕. หรือ อ.อารมณ์นั้นถือว่ามีส่วนสำคัญในการเข้าถึงในส่วนจิตใจภายในได้ ยิ่งถ้าเราสามารถฝึกอารมณ์จนเป็นธรรมารมย์ที่สามารถครอบคลุมไปถึง อ.ที่ ๖ - ๘ คือ อดทน อดออม อดกลั้น จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เรามีชะตาดี หากเราสามารถปฏิบัติ ๓ อ.พิเศษ ได้ตรงกับสัญญากรรมเก่า ตรงเนื้อนาบุญเก่า พัฒนาอารมณ์ครอบคลุมจนเกิดเป็นจินตภาพเป็นธรรมารมย์ รู้แค่เพียง ๘ อ.ก็เพียงพอที่ชีวิตจะผ่านไปได้ ซึ่งลักษณะนี้องค์เทพที่มีกรรมสัมพันธ์กับเรา มักจะแฝงมาในจิตตานุภาพโดยที่เราไม่รู้ตัว สำหรับ อ.ที่ ๖-๘ อดทน อดออม อดกลั้น นั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษ มักเป็นการทดสอบอุเบกขาจากเทพ เป็นการวัดความอดทนของร่างกายภายนอก อดออม เป็นการวัดความสามารถในการเก็บ ปรับความรู้สึก รู้จักรอคอย อดกลั้น กับทุกๆคน กับทุกๆเหตุการ์ณ เป็นการวัดความสามารถในการข่มจิตใจของเรา ในแต่ละสถานการ์ณให้การแสดงออกนั้นกลมกลืนเป็นธรรมชาติได้
คนที่กำลังอยู่ในวิบากกรรม จำเป็นต้องมีความอดทนกับคน การอดออมคือ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ความอดกลั้น คือสามารถคุมเวทนา คุมอารมณ์ จนเกิดเป็นภูมิธรรมนำชีวิต เพราะคนที่มาเกี่ยวข้องกับเรา
ในแต่ละเหตุการ์ณอาจมีกรรมสัมพันธ์กับเราในแง่ของกลไกกรรมได้ ซึ่งเทพต้องการทดสอบอุเบกขารมย์ ของเรา หากเรารู้เท่าทันก็จะสามารถที่จะกลับเข้าสู่เกมส์ และสามารถกลับมาชนะเกมส์กลกรรมได้เช่นกัน
สำหรับ อ.ที่ ๙ อ. องค์ นั้นในที่นี้หมายถึงองค์ประกอบอื่นๆ อันเป็นองค์รวมในภาคเหนือสามัญวิสัย อาจเป็นองค์ความรู้ หรือ องค์ฌาน องค์ญาณหยั่งรู้ หรือเป็นองค์เทพ ทั้งฝ่ายบุญฝ่ายบาป เราต้องเข้าใจในเทพ
ว่าเทพท่านมีเมตตา มีระเบียบ มีวินัย รักสันติ และอาจหมายถึง องค์ธรรม ที่มีจิตมีมั่นคงมีพลัง ซึ่งในเบื้องต้นหากเราไม่มีตัวรู้ในญาณหยั่งรู้ ย่อมไม่สามารถแยกแยะได้ เราจึงไม่ควรยึดติดหรือเชื่อองค์ไปเสียทั้งหมด
ในขณะที่เรายังมีตัวรู้ หรือปัญญาทางพระพุทธศาสนาไม่เพียงพอ

มองให้เป็น มองเห็นอนัตตา
หากว่าไปแล้วคนทั่วไปมองชายหนุ่มหญิงสาวก็จะเห็นความหล่อเหลา ความสวยงาม เรียกว่ายังยึดติดในอัตตา อันอยู่ในโลกียวิสัย
แต่พระอรหันต์กลับมองเห็นเป็นความว่าง ความไม่เที่ยง ความทุกข์ ทั้งนี้ตามหลักอภิธรรม ไตรลักษณ์ เป็นกฎหรือตัวสภาวะลักษณะ
โดยธรรมชาติ ๓ อย่างของสิ่งทั้งปวง ได้แก่
๑. อนิจจตา ความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ ความไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วสลายไป
๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์ เป็นภาวะที่ถูกบีบคั้นที่ต้องเกิดขึ้นแล้วสายตัว ภาวะกดดัน ฝืนขัดแย้งอยู่ในตัว
๓. อนัตตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความเป็นอนัตตาความที่ไม่มีตัวตนของมันเอง


?สิ่งทั้งหลายล้วนเกิดจากกระแสการประชุมกัน? คนส่วนใหญ่ที่อุปทานเห็นว่ามีตัวตน เรียกว่ายังมีอวิชชา อันเป็นการก่อ
ให้เกิดมีภพชาติหน้า ตามหลักของพระพุทธศาสนา รูปหรือวัตถุสังขารตลอดจนขันธ์ ๕ ที่เห็นนั้นไม่เที่ยง อันจะเสื่อมไปตามปัจจัย
ที่ขัดแย้ง ตามกาลเวลา แม้กระทั่งวิญญาณของเราก็ไม่เที่ยงไม่มีตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากกระแสการประชุมกันจนมองเห็นเพราะ
จิตที่ยังไม่ได้ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด ย่อมมีอุปทานยึดว่ามีตัวตน คนแต่ละคนหากมองวัตถุเดียวกัน บางคนบอกว่าใหญ่ บางคนก็บอกว่าเล็ก
ขึ้นอยู่กับในใจผู้นั้นจะอุปมาเทียบกับสิ่งใด ตัวอนุภาคย่อมมีขนาด และจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆตามความสามารถในการผลิตเครื่องกำเนิดพลังงาน
หรือเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อใช้ในการค้นหา ปัจจุบันเทคโนโลยีการสร้างเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อการศึกษาเริ่มพบกับสุดขอบวิทยาการในปัจจุบัน
ขนาดของอนุมูลที่พบจึงเริ่มพบกับทางตัน แต่ในความจริงแล้วทุกคนก็ยอมรับว่า เนื้อของอนุมูลย่อมมีขนาดเล็กกว่าแต่ยังคำนวนวัดเป็นขนาด
และตั้งชื่อต่อให้ตายตัวไม่ได้ หากถามว่าวัตถุธาตุใดในโลกเล็กที่สุด นักวิทยาศาสตร์แต่ก่อนพบว่า อีเลทตรอน เล็กที่สุด จนปัจจุบันเทคโนโลยี
ของโลกค้นพบอนุมูลควากหลายชนิดแล้วซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอีเลทตรอนมาก ปัจจุบันก็ยังไม่ได้ความเล็กที่เล็กที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้วตราบใดที่จิต
เรายังเห็นว่า ? มี ? ตราบนั้นก็ย่อมขนาด และย่อมมีสิ่งที่เล็กกว่าเสมอ พระพุทธ เจ้าเรียกสิ่งที่เล็กที่สุดว่าเล็กอนันต์ หรือใหญ่ที่สุดว่าภาวะเอกภพ
หรือภาวะใหญ่อนันต์ นั่นคือเป็นศูนย์หรือความว่างนั่นเองจึงถือเป็นที่สุด นั่นคือสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นเป็นตัวเป็นตนล้วนเกิดจาก ?กระแสการประชุมกัน
ของสิ่งที่เป็นอุปทาน? หากเรามองใช้ตัวเราเองเป็นหลักเมื่อเรามองสิ่งของเราคงมองเห็นสิ่งของ นั้น แต่หากเรากำหนดย่อขนาดตัวเราลงไปเท่าอะตอม
เราก็คงไม่เห็นวัตถุนั้น เราคงเห็นวัตถุนั้น เป็นแต่อะตอมเช่นกัน หากเรากำหนดตัวเองเล็กจนไม่มีขนาด เราก็คงมองไม่เห็นวัตถุนั้นเช่นกัน สิ่งที่เห็น
คงขึ้นอยู่กับมุมผู้มอง ถึงเราจะปฏิบัติจนได้องค์ฌานองค์ญาณชั้นสูงเพียงใดแต่หากมองไม่เป็นหรือยังไม่ได้อาสวักยาญาณยังติดวัตถุ มองทุกสิ่งเป็นอัตตา
คงยากที่บุคคลผู้นั้นจะได้พบกับพระนิพพาน

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความลี้ลับของกลไกกรรม และเกมส์กลกรรม
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2010, 11:27:20 pm »
0

ธรรมารมณ์ ธรรมจักร จักรธรรม
ธรรมจักรหรือธรรมะพระพุทธองค์นั้น เรียกได้ว่าเมื่อศึกษาและสามารถเรียนรู้จนเข้าถึงได้นั้น จิตผู้ศึกษาเรียนรู้นั้นย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากอารมณ์ ขณะจิตที่เข้าถึงเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเกิดเป็น ภาวะจิตที่ศักดิ์สิทธิ์ มีธรรมารมณ์ เกิดขึ้น ยิ่งศึกษาให้ลึกซึ้งควบคู่ไปกับฝึกอารมณ์จนสามารถเกิดเป็น
อารมณ์ในระดับองค์ฌานองค์ญาณ จะยิ่งมีอานุภาพมาก เนื่องจากฌานนั้นเป็นอารมณ์ที่เป็นฤทธิ์ ทำให้เห็นและรู้ได้ในมุมกว้าง ส่วนญาณนั้นเมื่อเกิดขึ้น ย่อมส่งผลให้เกิดเป็นความรู้ที่หยั่งลึกลงไป ทำให้อารมณ์ธรรมนั้นเกิดเป็นทรงมิติกว้างไกลออกไป ในแง่มมุมของหลักเคมี ฟิสิกส์ที่เหนือสามัญวิสัญ
ผู้ที่ปฏิบัติจนเกิดธรรมารมณ์นั้นจะทำเกิดเสริมราศรีที่ผิวหนังให้สวยสง่าเห็นเด่นชัดขึ้น ยิ่งหากได้องค์ฌานมาเสริมราศรีก็จะเริ่มสว่างกว้างไกลออกจาก ผิวหนังเป็นรัศมี และ รังสี เกิดขึ้นตามลำดับ ภาวะเช่นนี้หากจิตสามารถปฏิบัติได้สูงถึงระดับจัตตุตฌานก็จะสามารผสมสานปรุงแต่งบุญบาปเก่าได้ด้วยตนเอง
ชีวิตย่อมก้าวหน้าสุดประมาณ หรือหากเรายังไม่สามารถปฏิบัติได้องค์ฌานองค์ญาณระดับสูงอย่างน้อยก็จะพร้อมรับบุญเก่าที่เคยปฏิบัติไว้ได้ตามหลักจักรธรรม นั่นคือมีจิตที่ชอบในธรรมจักร ย่อมมีภูมิธรรม มีจิตตั้งมั่นพร้อมไว้ก่อนนั่นคือมีอัตตสัมมาปณิธิ เมื่อกาลเวลามาถึง ถูกต้องทั้งสถานที่(ปฎิรูปเทสวาสะ) และ
บุคคลที่เกี่ยวข้องถูกต้องลงตัว(สัปปุริสูปัสสยะ) เช่น ไปบวชเนกขัมมะ หรือเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆที่เจ้าพิธีมีความสามารถในทางในสูง ยิ่งหากมีกรรมเกี่ยวเก่า กับเราด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้จักธรรม ๔ สมบูรณ์แบบ ปุพเพกตปุญญตา(บุญเก่าหนุนนำ)ก็จะมาหาเราได้ไม่ยาก ธรรมารมณ์จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้
จิตเราเกิดเป็นอัตตสัมมาปณิธิ เราจึงควรลดอารมณ์มนุษย์ ประเภท โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะอารมณ์พันทางประเภท อิจฉา ริษยา อาฆาต พยาบาท นั้น อย่าให้มีเด็ดขาด เพราะนั่นหมายถึงตั้งตนไว้ไม่ชอบขัดแย้ง หลักจักรธรรม อารมณ์เช่นนี้เป็นอันตรายมาก เพราะนอกจากบุญเก่าจะไม่มาช่วยแล้ว
หากดวงตก หรือกาลเวลาเสวยบุญหมดก็อาจจะเป็นภัยต่อตนได้ คนที่มีอัตสัมาปนิธินั้นหากชีวิตจะมีอันที่จะต้องตกต่ำ ก็จะมีสิ่งมาช่วยดึงไว้



"กฎแห่งกรรม" จะอยู่เหนือ "หลักสัจจะธรรม" ไม่ได้ เพราะหลักสัจจะธรรม เป็นเหตุผลของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งมองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า..."หลักสัจจะรรม" คือ "ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน" ทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเกิดจากความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ เจตนา หรือไม่เจตนา ก็มีผลตอบแทนต่อผู้ที่กระทำแน่นอน "หลักสัจจะรรม" เป็นความจริง ไม่ใช่ความเห็น ไม่ใช้ความคิดเห็น จึงเป็นเหตุผลและคำตอบที่ว่า ทำไมทำดีจึงได้ดี ทำไมทำชั่วจึงได้ชั่ว โชคดี โชคร้าย ในชีวิตของเราแต่ละวัน ล้วนเป้นผลจากการกระทำที่เราได้ทำไปแล้วทั้งสิ้น หากต้องการมีชีวิตในวันข้างหน้าดีขึ้น วันนี้และวันพรุ่งนี้ก็ต้องทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่ควบคุมตัวเราให้เกิดการกระทำที่ดี คือ "สัจจะ" เป็นสัญญากับใจตนเอง ว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในช่วงกำหนดเวลาที่ชัดเจน ในพุทธกาลพระพุทธเจ้าหลังจากที่พระพุทธเจ้าค้นคว้าตรัสรู้พบ "หลักสัจจะธรรม" แล้ว จึงพบต่อว่า "สัจจะ" คือ หนทางที่นำให้เกิดการกระทำใหม่ เป็นทางตรงของการหลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเกิดใหม่ พระองค์ท่านจึงสั่งสอน "สัจจะ" ให้พระสงฆ์ และสาวกทุกคนได้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสนิสัยที่ไม่ดีให้หมดไปจากจิตใจ....ดังนั้น หากเราใช้ชีวิตอย่างไม่มีการควบคุมตนเอง ทุกอย่างจึงเป็นไปตามกฏแห่งกรรม เป็นไปตามลิขิต กำหนดมาอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนั้น หมอดูจึงดูแม่น แต่หากจะคิดก้าวพ้นพันธะกรรมที่เคยกระทำมาในอดีต จะต้องเปลี่ยนนิสัยตนเองให้ได้จริง คือ จำเป็นต้องเชื่อว่า "สัจจะมีผลตอบแทน" เพราะหากไม่เชื่อ ก็เหมือนกับไม่เชื่อในหลักสัจจะธรรม ชีวิตจึงลำบากไปไม่รอด ต้องวนเวียนอยู่กับนิสันเดิมๆ และกรรมในรูปแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกิดแล้วตายไม่รู้กี่ชาติ...หากท่าน "ปรารถนาจะพบหลักสัจจะธรรม" ท่านก็ได้พบแล้ว อยู่ที่ว่าจะใช้ปัญญาพิจารณา หรือใช้อารมณ์ตัดสินใจ....หากชาวไทยหันมาถือ "สัจจะ" สถานการณ์บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีแต่ขึ้น ไม่มีลง สามารถนำ "ศีลแต่ละข้อ" มากำหนดเป็น "สัจจะ" นำชีวิตในแต่ละวัน...ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้จริง ไม่เหนือบ่าฝ่าแรงจนเกินกำลัง เรียกว่า "เดินสายกลาง" เมื่อทำได้ ก็จะเกิดกำลังใจทำต่อไป...."ศีล" เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบและทดลองปฏิบัติมาก่อนตรัสรู้ แต่พบว่าเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับมนุษย์ทั่วไป หลังพบหลักสัจจะธรรม จึงพบว่า "สัจจะ" เป็น "ทางตรงสู่นิพพาน"....ทั้งหมดนี้ คือ ความจริง มิใช่ความเห็น จึงอยู่ที่ปัญญาของแต่ละท่านที่จะนำไปพิจารณา ให้เกิดเป็น "สมาธิพิจารณา" ต่อไป....ขอให้ทุกคนตั้งใจ แล้วทำให้ได้จริง

ที่มา เว็บพลังจิต
------------------------------
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ