ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 ... 508 509 [510] 511 512 ... 555
20361  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านผวา.! ปอบอาละวาด ทำพิธีขับไล่ล้างอาถรรพ์ ผู้หญิงป่วยตายนับ 10 เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2012, 05:22:30 pm



ชาวบ้านผวาปอบอาละวาด ลงขันจ้างหมอทำพิธีขับไล่-ล้างอาถรรพ์ผู้หญิงป่วยตายนับ10

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” รายงานว่า นายเพิ่ม โพธิ์สุตา อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านท่อนน้อย ต.บ้านค้อ อ.เมือง จ.ขอนแก่น และ นายกฤษฎา อะนะกะทัศน์ อายุ 40 ปี สมาชิกสภาเทศบาลตำบลบ้านค้อ ชาวบ้านบ้านท่อนน้อย หมู่ 1 ประมาณ 100 คน ได้ออกมารวมตัวกันที่ศาลาประชาคมบ้านท่อนน้อย เพื่อทำพิธีขับไล่ผีปอบ


ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาเพศ จนคนในหมู่บ้านโดยเฉพาะคนสูงอายุเกิดอาการเสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี แล้วกว่า 10 ราย ซึ่งชาวบ้านทุกคนได้เรียกร้องให้ผู้นำชุมชน ช่วยหาหมอผีมาช่วยปราบล้างอาถรรพ์ให้กับหมู่บ้าน และทำพิธีเรียกขวัญกำลังใจให้กับราษฎรกลับคืนมาโดยเร็ว ซึ่งต่างพากันหวาดผวา เวลากลางคืนชาวบ้านต่างไม่กล้าออกจากบ้าน

โดยได้มีการมอบหมายให้นายเพิ่ม  ผญบ.หมู่ 1 เป็นตัวแทนชาวบ้านทำประชาคมหมู่บ้าน และขอชาวบ้านช่วยลงขันคนละ 100 บาท  นำเงินจำนวนดังกล่าวเดินทางไปว่าจ้าง พ่อธรรมห้าว กองเกิด ราษฎรบ้านหัวขัว ต.หนองเม็ก อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น หมอธรรมแก้ไสยศาสตร์ คุณไสย ขับไล่ผีปอบออกจากร่าง เพื่อมาช่วยทำพิธีขับไล่ผีปอบครั้งนี้

พ่อธรรมห้าวได้ทำพิธีขับไล่ผีปอบมีพิธีบูชาครูของตนด้วยเงิน 64 บาท เหล้าขาว 1 ขวด โดยสวดมนต์ภาวนาที่ด้านข้างศาลาประชาคมบ้านท่อนน้อย กับ ฉางข้าวของชาวบ้าน จากนั้นได้ให้ลูกศิษย์ช่วยกันขุดหลุมกว้าง 2 ศอก ยาว  4 ศอก ลึก 2 ศอก เพื่อทำเป็นหลุมศพจริง แล้วได้ให้ นายลมเพชร บุยา อายุ 36 ปี อยู่หมู่ 1 บ้านท่อนน้อย พาพ่อธรรมห้าวไปที่บ้านของนายลมเพชร เข้าไปในบ้าน

พบว่า นางคำพอง แสงวาโท อายุ 59 ปี ตัวเหลืองซีด มีอาการเซื่องซึม นอนซมอยู่ในบ้าน พูดไม่ได้ นั่งไม่ได้ ทำให้พ่อธรรมห้าวทำพิธีจับผีปอบที่อยู่ในร่างของนางคำพอง แล้วนำร่างนางคำพองที่เชื่อว่ามีผีปอบเข้าสิงในร่างมาทำพิธีที่หน้าหลุมศพ โดยมีชาวบ้านมามุงดูการกระทำพิธีในครั้งนี้

โดยพ่อธรรมห้าวได้สวดมนต์ใส่ร่างของนางคำพอง พร้อมเดินวนไปวนมา 3 รอบ  แล้วใช้มีดหมอที่ลงคาถาอาคมไว้จิ้มไปตามร่างกายของนางคำพอง จำนวน 9 ครั้ง จนเป็นที่น่าเชื่อว่าผีปอบที่สิงในร่างของนางคำพองตายสนิทแล้ว จึงได้ให้ลูกศิษย์นำร่างนางคำพองลงไปในหลุมศพ นำผ้าขาว สายสิณจน์ออกจากร่างของนางคำพอง พร้อมกับรดน้ำมนต์





จากนั้นได้พบว่า นางคำพองลืมตาขึ้นเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน  ได้รีบลุกขึ้นจากหลุมศพให้คนช่วยพยุงเดินขึ้นจากหลุมฝังศพ เดินมาที่ศาลาประชาคม แล้วพ่อธรรมห้าวบอกให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีนำดอกไม้ ธูปเทียนที่เตรียมไว้แล้วโยนลงไปในหลุมศพ แล้วให้ชาวบ้านช่วยกันขุดดินถมหลุมศพจนเต็ม โดยมีวิญญาณผีปอบฝังอยู่ในดินตรงนั้นตลอดไป

นายกฤษฎา อะนะกะทัศน์ ส.ทบ.บ้านค้อ  เปิดเผยว่า ชาวบ้านบ้านท่อนน้อยมีความเชื่อว่ามีการเกิดอาเพศขึ้นใน หมู่บ้านท่อนน้อย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้านโดยเฉพาะคนสูงอายุที่เป็นผู้หญิง ในหมู่บ้านมีการป่วยเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแล้วกว่า 10 ราย   

ซึ่งจะมีอาการอยู่ดีๆ ที่บ้าน ก็มีอาการเหม่อลอย พูดคุยอยู่กับญาติดีๆ ก็เดินออกจากบ้าน ว่ามีคนเรียกให้ไปพบ เดินออกจากบ้านไปและเดินกลับมาก็อาเจียนออกเป็นเลือด ล้มป่วยพานำส่งเข้าโรงพยาบาลก็เสียชีวิต ทั้งๆที่ไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยและมีสุขภาพแข็งแรงดี

ซึ่งมีการล้มป่วยลักษณะเดียวกันมาต่อเนื่องหลายราย เฉพาะช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นายสำเร็จ ดวงวันทอง อายุ 61 ปี ราษฎรบ้านท่อนน้อย มีอาการเหมือนผีปอบเข้าสิงในร่างกาย เพราะเกิดคลุ้มคลั่ง กัดลิ้นตนเอง แถมบางเวลาพูดจาเพ้อเจ้อ และเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้เสียชีวิตแบบไม่ทราบสาเหตุภายในบ้านตนเอง ทำให้คนในหมู่บ้านต่างหวาดผวาไปตามๆ กัน

     นอกจากนี้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา นางคำพอง แสงวาโท
     ได้มาร่วมงานสวดศพด้วยการฟังพระสวดมนต์ที่บ้านใกล้กัน
     ก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ร่างกายหมดแรง เพื่อนบ้านจึงได้ชวนกลับไปบ้าน
     เมื่อไปถึงที่หน้าบ้านตนเองเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ร้องกรีดอย่างโหยหวนขึ้นมา
     แล้วก็หมดแรงทรุดตัวลงไปที่หน้าบ้าน เหมือนมีผีปอบเข้าสิงในร่าง
     นายลมเพชรลูกชายจึงได้นิมนต์พระมาทำพิธีขับไล่ แต่อาการไม่ดีขึ้น


ด้านพ่อธรรมห้าว กองเกิด หมอธรรมขับไล่ผีปอบ กล่าวว่า  ได้ทำพิธีด้านไสยศาสตร์เพ่งดูผีปอบที่เป็นวิญญาณวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านท่อนน้อยมีเพียง 1 ตัวเท่านั้น  เป็นหญิง อายุประมาณ 60 ปี  และได้เข้ามาสิงในร่างของนางคำพองเพื่อมาเอาชีวิตไปเหมือนเช่นกับคนอื่นๆที่ได้เคยเอาชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2555 ที่ผ่านมา

ตนจึงได้ให้นางคำพองที่มีผีปอบเข้าสิงในร่างมานอนอยู่ในหลุมศพ ทำพิธีขับไล่ผีปอบออกจากร่าง เมื่อจะขึ้นมาจากหลุมศพก็จะใช้มีดหมอฆ่าให้ตาย แล้วฝังผีปอบในหลุมศพลงคาถาอาคมปิดปากหลุมเอาไว้ไม่ให้เกิดมาอาละวาดไล่กินคนในหมู่บ้านอีกต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME1UY3pPVGMzTmc9PQ==&subcatid=
20362  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบเมืองโบราณ รอยพระพุทธบาท และวัตถุล้ำค่ากว่า 3,000 ปี ที่ อ.พัฒนานิคม ลพบุรี เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2012, 04:24:59 pm



พบเมืองโบราณ และวัตถุล้ำค่ากว่า 3,000 ปี

นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง พร้อมชาวบ้านบุกพิสูจน์ตามนิมิตสมาธิจิต ครูบาสันยาสี ภิกขุ พบเมืองโบราณ และวัตถุล้ำค่าบน "เขารัก เขาจั่ว" เทือกเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี

        เรื่องเมืองโบราณนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ วันที่ 8 ก.ค. โดยครูบาสันยาสี ภิกขุ แห่งสำนักปฎิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม อ.ทุ่งขนาน จ.จันทบุรี
         ได้เล่าเรื่องนิมิตเห็นเมืองโบราณนานนับพันปี ที่ปรักหักพังที่บริเวณโดยรอบ เขารัก เขาจั่ว เทือกเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ให้นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์ อายุ 44 ปี นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และชาวบ้านฟัง


         จึงได้นิมนต์ ครูบาสันยาสี ภิกขุ พร้อมศิษย์ร่วมเดินทางพากันไปพิสูจน์ตามนิมิต
         ทุกคนถึงกับตะลึง เมื่อเดินขึ้นไปบนภูเขา "เขารัก เขาจั่ว" พบซากปรักหักพังของเมืองโบราณจริง
         โดยเฉพาะหน้ากาลจั่วขนาดใหญ่จำนวนมาก ครกหิน สากหิน ลูกหินกลม หรือลูกนิมิต ตั้งอยู่บนผิดพื้นดินมองเห็นได้ชัดเจน และยังมีหินก้อนใหญ่มหึมาตั้งเด่นสง่า ด้านหน้ามีการจำลองภาพปริศนาเหมือนประตูสองด้านให้เห็น เชื่อกันว่าเป็นหินก้อนนี้ปิดปากถ้ำไว้ไม่ให้ใครบุกรุกเข้าไปหาวัตถุโบราณ






         นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์   อายุ 44 ปี นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรีเปิดเผยว่า นับเป็นมหามงคล "พุทธชยันตี” 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นความโชคดีของชาวอำเภอพัฒนานิคม และชาวจังหวัดลพบุรี ที่ได้ค้นพบเมืองโบราณแห่งใหม่

         ในอดีตมีแต่เสียงเล่าขานถึงความมหัศจรรย์ของ เขารัก เขาจั่ว ว่า
         เป็นเมืองบังบดลับแล ผู้ใดที่ขึ้นไปด้วยใจไม่บริสุทธิ์ หยิบ หรือขโมย วัตถุโบราณ หรือแม้แต่ก้อนหินที่เป็นรูปแกะสลัก หม้อ ไห ฯลฯ เพียงสิ่งเดียวก็จะพบกับความหายนะ เสียชีวิต ผูกคอตาย
          ถ้าใครนำไปจะมีอาเพท มีเสียงร้องของผู้หญิง ชาย มีเด็กมาทวงคืนทุกครั้ง ต้องนำมาคืนวันรุ่งขึ้น


        โดยเฉพาะคนงานก่อสร้าง ประชาชนพลัดถิ่นที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาของพื้นที่แห่งนี้ 
         จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงไม่กล้าขึ้นไปบนเขา 2 ลูกนี้
         อีกทั้งมีการพบว่ามีงูจงอางตัวใหญ่คอยเฝ้าหน้าถ้ำ  และเป็นความสำนึกดีของชาวบ้านที่ไม่เข้าไปทำลายป่าต้นน้ำ ภูเขาที่มีคุณค่าในท้องถิ่น จึงทำให้ความสมบูรณ์ของเมืองโบราณยังเป็นมรดกของจังหวัดลพบุรี หรือมรดกโลกได้ในอนาคต


         นางสุทัศน์กล่าวอีกว่า หลังจากที่ประจักษ์ด้วยตาตัวเอง และมีสักขีพยานจำนวนมากที่ร่วมไปพิสูจน์ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่คุณค่า คุณประโยชน์ต่อพุทธศาสนาอย่างมาก จะต้องรายงานให้นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้รับทราบ เพื่อหาแนวทางดำเนินการอนุรักษ์พื้นที่เขารัก เขาจั่ว ไม่ให้มีการบุกรุกจากนายทุน ไว้ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และพระพุทธศาสนาของจังหวัดลพบุรี ในอนาคตจะได้จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมืองโบราณแห่งใหม่ เชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ประชาชนนิยมมาท่องเที่ยวกัน






        นางขวัญเมือง แก้วขอนแก่น อายุ 62 ปี บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 3 ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี คนงานดูแลสถานที่ของบริษัทฯ แห่งหนึ่งที่ไปทำธุรกิจขายกระแสไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) เล่าว่า
         ได้พบก่อนหินหน้าจั่ว ทรงกลม ถ้วย ชาม ไห ยุคเก่า จำนวนมาก อยู่ในพื้นที่
         ได้มีพระสงฆ์ที่ทราบข่าวมานำไป แต่ก็ต้องเกิดอาเพท ในเวลาต่อมาได้ผูกคอตาย
         ส่วนคนงาน และชาวบ้านต่างถิ่นที่เข้ามาทำงานและพลัดถิ่นมาก็ขึ้นไปเก็บวัตถุเหล่านี้
         ปรากฎว่าพอรุ่งเช้าอีกวันจะต้องนำมาคืนไว้อย่างเดิม
         เพราะมีเสียงผู้หญิงร้องไห้ มีกุมารไปทวงคืน บางคนดื้อไม่เชื่อเรื่องนี้ก็จะมีปัญหาเรื่องครอบครัว อุบัติเหตุ และการทำมาหากินมาโดยตลอด จนปัจจุบันไม่มีใครกล้ามานำวัตถุโบราณไปเป็นสมบัติของตัวเอง เพราะกลัวอาเพทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย






         ส่วนทางด้าน ครูบาสันยาสี ภิกขุ เปิดเผยว่า  อาตมาได้นั่งสมาธิได้มีนิมิตเห็นเมืองโบราณ
         อยู่ที่เทือกเขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นภูเขาหินขนาดกลาง จำนวน 2 ลูก อยู่ด้านข้างทางขึ้นภูเขาสูง มีสระบัวขนาดใหญ่ และยังเห็นหินกาลจั่วขนาดใหญ่ จำนวนมาก ก้อนหินที่เป็นรูปต่างๆ วัตถุโบราณใต้ดินและผิวพื้นเกลื่อนกลาดไปหมด
         จึงได้เดินทางไปติดตามหา จนพบ นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์ หรือนายกหมู นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี จึงทราบว่า ตามนิมิตเห็น เขารัก และเขาจั่ว ซึ่งเป็นภูเขาโบราณมีความมหัศจรรย์ อาถรรพณ์ อาเพท ให้ล่วงรู้ ปรากฎอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่บ้างบนภูเขา 2 ลูกนี้ จึงได้พากันเดินทางขึ้นไปตรวจพิสูจน์ จบพบว่ามีหินกาลจั่วขนาดใหญ่ จำนวนมาก และยังมีหินรูปต่าง ๆ กระจุยกระจายอยู่ทั่วบริเวณเขาแห่งนี้

         ครูบาสันยาสีเปิดเผยอีกว่า ไม่เพียงมีนิมิตเห็นเมืองโบราณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
         ยังมี ดวงพระญาณของ หลวงปู่หิน หรือ วัดหนองนา ที่ท่านได้หนีทางโลกขึ้นไปปฎิบัติธรรมบนยอด เขาพระยาเดินธงเพียงองค์เดียว จนลือกันว่าท่านสำเร็จอรหันต์  ซึ่งบนยอดเขาเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมของ หลวงปู่หิน เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองพระนารายณ์






        และที่สำคัญบนยอดภูเขาแห่งนี้ ครูบาสันยาสี ภิกขุ บอกว่าท่านมีนิมิตว่า
        หลวงปู่หิน ได้มาบอกว่าด้านข้างสถานที่ปฎิบัติธรรมของท่าน
        มีรอยพระพุทธบาทเกลือกแก้วขนาดใหญ่ อยู่ด้านซ้าย มีรูปต้นโพธิ์อยู่บนก้อนหินด้านขวา
        และด้านล่างที่ทีท่านเคยนั่งสมาธิกรรมฐานก็มี รอยพระพุทธบาทเกลือกแก้วขนาดใหญ่ อีก 1 แห่ง


        ขอให้ไปทำพิธีเปิดสถานที่ เพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทราบกันในวงกว้าง ได้มีโอกาสขึ้นไปกราบไหว้ สักการะ เพื่อร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนาที่กำลังเสื่อมถอยไปอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนิมนต์ ครูบาสันยาสี พร้อมประชาชนไปตรวจสอบต่อไปว่ามีจริงหรือไม่ ถ้ามีก็จะเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในพุทธชยันตี 2,600 ปี ซึ่งจะต้องหาแนวร่วมภาครัฐ เอกชน อำเภอ จังหวัด องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนจังหวัด และ ประชาชน ช่วยกันให้เทือกเขาพระยาเดินธง เป็นแหล่งทางพุทธศาสนา



      ไม่เพียงเท่านี้ ขณะปฎิบัติสมาธิ ได้มีดวงวิญญาณ ของ หลวงปู่หิน หรือหลวงพ่อพระครูหิน อาโสโก เกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่สังขารไม่เน่าเปื่อยมาบอกว่าให้พาศิษยานุศิษย์สายพุทธ ขึ้นไปทำพิธีเปิดรอยพระพุทธบาทเกลือกแก้ว จำนวน 2 แห่ง และต้นโพธิ์หินที่เห็นอยู่บนก้อนหิน
        โดยรอยพระพุทธบาทจะอยู่ด้านขวา ส่วน โพธ์หินจะอยู่ด้านซ้ายขององค์พระประธานพร ที่ประดิษฐานอยู่บนก้อนหินใหญ่ บนยอดสูงสุดของ เขาพระยาเดินธง


        ซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องปรึกษากับเจ้าของพื้นที่ และประชาชนเสียก่อน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ยังไม่ใครเคยพบมาก่อน ทั้งที่หลวงปู่หินได้เคยพูดไว้ตอนท่านมีชีวิตอยู่ ต้องหาโอกาสขึ้นไปพิสูจน์อีกครั้งว่ามีจริงหรือไม่ ถ้าพบก็ถือว่าเป็นปีของศาสนาพุทธ 2,600 ปี พุทธชยันตี ที่ได้เปิดสิ่งลี้ลับให้ประชาชนได้ล่วงรู้ ไปสักการะเพื่อสืบทอดพระศาสนาให้เข้มแข็งต่อไป จึงหวังว่าอนาคตอันใกล้จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรือง จะได้เป็นมรดกโลก มรดกทางวัฒนธรรมของชาติและประเทศไทย และศาสนาสืบต่อไป



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/134868
20363  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โคราชสอนนักเรียน "ดำนา" เรียนรู้วิถีความยากลำบาก..ของชาวนา(ชมภาพและคลิป) เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2012, 03:57:49 pm



โคราชสอนนักเรียน "ดำนา" เรียนรู้วิถีความยากลำบาก..ของชาวนา


โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าเมืองโคราช พาเด็กนักเรียนศึกษาเรียนรู้นอกตำรา ให้สัมผัสกับความยากลำบากของชีวิตชาวนา ปลูกฝังจิตสำนึกรักบ้านเกิด

(วันนี้ 8 ก.ค.) นายกิตติ เชาวน์ดี รองนายก อบจ.นครราชสีมา พร้อมด้วย นายไพศาล มีสวัสดิ์ ผอ.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้านครราชสีมา ร่วมเปิดกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชาวบ้านการดำนา ที่แปลงนาสาธิตบ้านโป่งบูรพา ต.โป่งแดง อ.ขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา มีเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน 100 คนร่วมกิจกรรม ทั้งนี้เพื่อช่วยปลูกฝังให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน การพึ่งพาตนเอง และความยากลำบากของอาชีพชาวนาที่ต้องมีความพยายามในการทำงาน

 




โดย นายบุญ นางสำเรียง ยศสูงเนิน เจ้าของที่นาพื้นที่ 3 ไร่เศษ อนุเคราะห์ให้ใช้ที่นาเป็นแปลงนาสาธิตสำหรับการเรียนรู้ของเด็กนักเรียน โดยที่นาแปลงดังกล่าวได้ผลผลิตข้าวนาปีกว่า 1.5 ตัน พร้อมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวนาในหมู่บ้าน มาช่วยสอนวิธีการดำนาและร่วมดำนากับเด็กนักเรียน

นายกิตติ เชาวน์ดี รองนายก อบจ.นครราชสีมา กล่าวว่า ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้านครราชสีมา อยู่ในสังกัด อบจ.นครราชสีมา ที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภายใต้แนวคิดของการสำนึกรักบ้านเกิด เด็กนักเรียนที่เข้ามาศึกษาต่อในระดับชั้น ม.4 ทุก ๆ ปี

     ทางโรงเรียนก็จะต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน
     ให้ได้มีโอกาสเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนา รู้ขั้นตอนวิธีการทำนาตั้งแต่หว่านกล้า ปักดำ และเก็บเกี่ยว
     เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับวิธีการทำนา ที่มีอุปสรรค และความยากลำบาก

 




     อย่างไรก็ตาม การอมรมดังกล่าว ไม่ได้เพียงสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อวิถีชีวิตของชาวนา
     ซึ่งถือเป็นอาชีพของบรรพบุรุษสืบทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเพียงอย่างเดียว 
     แต่ยังทำให้เหล่านักเรียนรู้คุณค่าของ "ข้าว" ซึ่งเป็นอาหารหลักอันอุดมสมบูรณ์นั้น
     กว่าจะได้มาแต่เมล็ดแลกมาด้วยความลำบากทั้งสิ้น

     และเมื่อเด็กนักเรียนเหล่านี้เมื่อเติบใหญ่ออกไป ทำงานรับใช้สังคม ก็มีจิตสำนึกที่ดีงาม และช่วยพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในอนาคตต่อไป.







ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/134848
20364  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุทาหรณ์.! รู้วิชาทางโลกขนาดไหน..ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2012, 03:46:11 pm


สลด ! หมอศิริราชเครียด ดิ่งตึกหอพักดับ

หมอแผนกรังสีวิทยา รพ.ศิริราช กระโดดจากอาคารที่พักชั้น 11 เสียชีวิต ก่อนหน้านั้นมีอาการเหม่อลอย ตำรวจตรวจสอบห้องพักพบยาเป็นจำนวนมาก คาดสาเหตุฆ่าตัวตายเกิดจากความเครียดเรื่องการเรียน...

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2555 เกิดเหตุนายแพทย์แผนกรังสีวิทยา กระโดดจากอาคารหอพักแพทย์(แฟลต 8 ไร่)อาคาร A  สูง 22 ชั้น ถนนรถไฟ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย ลงมาเสียชีวิตบนฟุตบาธ  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.รถไฟธนบุรี ได้เข้าไปตรวจสอบศพนพ.อรรถวิท รัตรสาร อายุ 29 ปี แพทย์ประจำแผนกรังสีวิทยา โรงพยาบาลศิริราช สภาพศพสวมเสื้อยืดสีฟ้า นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว ไม่สวมรองเท้า มีบาดแผลบริเวณศรีษะแตกยุบ แขนขาหักผิดรูป

ซึ่งตกลงมาจากชั้น 11 ที่เปิดเป็นห้องฟิตเนส ตรงระเบียงหน้าต่างพบโต๊ะญี่ปุ่นแบบพลาสติกสีดำวางอยู่ และมีเศษขาเก้าอี้ แตกหักอยู่สองชิ้น และพบเก้าอี้เหล็กสูงประมาณ 40 เซนติเมตรอยู่ตรงขอบระเบียง มีรองเท้าแตะถูกถอดวางทิ้งไว้ 1 คู่

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้สอบถามแม่บ้านประจำตึก พบว่าเมื่อเวลาประมาณ 07.00 น.ได้เห็นผู้ตายมีอาการเหม่อลอย เดินวนเวียนไป-มาหน้าลิฟท์ชั้น 11 กระทั่งมาทราบว่าได้กระโดดจากอาคารลงมาเสียชีวิต เมื่อเข้าไปตรวจสอบห้องพักของผู้ตายที่ชั้น 15 ซึ่งถูกล็อกไว้จึงให้แม่บ้านเปิดเข้าไปพบขวดยาชนิดต่างๆ จำนวนมาก จึงนำไปตรวจสอบชนิดของยา

รวมทั้งสอบสวนหาสาเหตุการตัดสินใจฆ่าตัวตาย คาดว่าน่าจะเกิดจากความเครียดเรื่องการเรียน  อย่างไรก็ตามต้องรอผลการชันสูตรจากนิติเวช โรงพยาบาลศิริราช ในขณะบิดามารดาของผู้ตายซึ่งอยู่ต่างจังหวัดทราบเรื่องแล้ว และช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่พร้อมให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น



ขอบคุณภาพข่าวจาก  http://www.thairath.co.th/content/region/274257


      เคสนี้ยกมาเป็นคติสอนใจนะครับ ไม่ได้คิดจะซ้ำเติมผู้ตายแต่อย่างใด :25:
20365  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อึ้ง ชาวสเปนฮิตนำ"เศษอาหารทิ้งขยะ"มา"ทำเป็นอาหารกิน"ไม่หวั่นเป็นพิษ (ชมคลิป) เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2012, 09:25:41 pm

อึ้ง ชาวสเปนฮิตนำ"เศษอาหารทิ้งขยะ"มา"ทำเป็นอาหารกิน"ไม่หวั่นเป็นพิษ (ชมคลิป)

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ขณะนี้กำลังเกิดกระแสชาวสเปนบางกลุ่มฮิตนำ "สิ่งของทิ้งขยะ"มาประกอบเป็นอาหารกิน เช่น ลูกแพร์ มะเขือเทศ มือเขือยาว

    โดยคนกลุ่มนี้ชี้ว่า จุดประสงค์ที่พวกเขานิยมสิ่งของทิ้งขยะมาทำเป็นอาหาร
    เพราะต้องการส่งเสริมการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบและสมถะ
    และเพื่อให้เห็นว่า คนเราไม่จำเป็นต้องกินอย่างเปลืองทรัพยากร
    แต่สามารถร่วมกินของเหลือจากผู้อื่นได้

    และสิ่งเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก และว่า สำหรับเศษอาหารที่ถูกทิ้งสำหรับเขาแล้ว
    ไม่ถือว่าเป็นขยะ แต่เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ



รายงานระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาก่อนที่สหรัฐในยุคปี 1990 แต่ปัจจุบันได้บังเกิดขึ้นในสเปนในยุคที่เศรษฐกิจประเทศนี้กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต
    โดยประเมินว่า มีพนักงาน 1 ใน 4 ตกงาน
    และประชาชนเกือบ 22 เปอร์เซนต์ มีชีวิตภายใต้ภาวะยากจน
    ขณะที่ประเมินว่า ปีหนึ่งชาวสเปนจะทิ้งอาหารลงถังขยะเฉลี่ย 160 กก.ต่อคนต่อปี
    ส่วนยุโรปอยู่ที่อัตรา 180 กก.ต่อคนต่อปี



ที่มา http://www.matichon.co.th/play_clip.php?newsid=1341647719
ขอบคุณภาพจาก http://www.matichon.co.th/,http://www.posttoday.com/
20366  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เร่งพิสูจน์ 'รอยพุทธบาท' เกาะกูด เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2012, 09:03:01 pm




เร่งพิสูจน์ 'รอยพุทธบาท' เกาะกูด

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด อ.เกาะกูด จ.ตราด เปิดเผยว่า จากกรณีพบรอยพระพุทธบาท ริมหาดกล้วย หรือบริเวณแหลมหินลับมีด ต.เกาะกูด อ.เกาะกูด ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวสอบถามและติดต่อขอข้อมูลเข้ามาเป็นจำนวนมาก

ทาง อบต.เกาะกูด จึงรวบรวมข้อมูลส่งไปให้สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานวัฒนธรรม จ.ตราด ให้เร่งพิสูจน์ว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจริงหรือไม่

โดยรอยที่พบอยู่ใต้น้ำ มองเห็นได้ก็ต่อเมื่อน้ำทะเลลดลงเท่านั้น ถ้าเป็นจริง อบต.พร้อมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ จะสร้างถนนเข้าไปยังพื้นที่ เนื่องจากจุดพบไม่สามารถเดินทางด้วยทางบก มาได้เฉพาะทางเรือเท่านั้น




ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMGIzVXdOVEEzTURjMU5RPT0=&sectionid=TURNeE9RPT0=&day=TWpBeE1pMHdOeTB3Tnc9PQ==
ขอบคุณภาพจาก http://www.dailynews.co.th/


กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
มหัศจรรย์ 2,600 ปี พุทธยันตี พบรอยพระพุทธบาท แห่งแรกของไทยในอ่าวไทย
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7966.msg29545#msg29545
20367  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กระจกส่องใจ เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2012, 02:30:22 pm

กระจกส่องใจ
(หน้าต่างศาสนา โดย พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ)

'กระจก' ที่เราไว้ส่องดูตัวเองทุกวัน สามารถนำมาสอนใจเราได้ อย่างไม่น่าเชื่อ

   อย่างในเซนที่สอนว่า
  'กายคือต้นโพธิ์ จิต คือ กระจกเงาใส หมั่นเช็ดอยู่ทุกโมงยาม จึงไม่มีฝุ่นละอองลงจับ'
   ก็เหมือนในยามเช้าก่อนจะเดินออกจากบ้าน เรามักจะให้ความสำคัญกับตัวเองด้วยการตรวจตราตัวเองกับกระจกก่อน เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ


ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดปกติก็จะรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น เป็นการตรวจสอบตัวเองทุกวัน และแน่นอนวิธีเดียวกันนี้สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ เมื่อเรามองความผิดของตนเองทุกวันก็จะทำให้เกิดสติและทำทุกอย่างได้อย่างถูกต้องและดีงามยิ่งขึ้น

    และอีกข้อความหนึ่งที่แก้กันที่เซนสอนก็คือ
    'ไร้กาย ไร้ต้นโพธิ์ ไร้จิต ไร้บานกระจก เดิมทีไม่มีสิ่งใดใด ฝุ่นจะจับลงที่ตรงไหน'
    ก็เหมือนเราส่องกระจกทุกวัน จนวันหนึ่งก็ไม่ต้องส่องอีกต่อไป
    เพราะเรารู้แล้วว่า เรามักผิดพลาดที่ไหนบ่อยๆ ก็จะแก้ไขที่ตรงนั้นเลย
    เป็นการสอนชีวิตเราว่าหากแก้ไขสิ่งผิดทุกวัน เราก็จะทำให้ถูกและดีขึ้นในท้ายที่สุด กลายเป็นความเคยชินกับการทำถูกและทำดี ที่สุดก็จะทำได้ดีโดยไม่ต้องส่องกระจกอีกต่อไป


...กระจกจึงช่วยส่องใจ ให้เกิดการเรียนรู้ ค้นหาปัญหาและหาทางแก้ให้กับตัวเราเองมิใช่ใครอื่น เพราะเมื่อเราแก้ปัญหาตัวเองได้ ก็จะไม่สร้างปัญหาและไม่ทำลายประโยชน์ของคนอื่น แค่นี้ก็เป็นชีวิตที่น่าสรรเสริญยิ่งแล้วสำหรับมนุษย์ทุกคน...

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีโครงการอบรมพระธรรมทูตในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ก็มีการถามกันไปมาระหว่างพระวิทยากรกับพระในพื้นที่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ ร่วมรับรู้ปัญหา และความในใจที่มี



     ก็มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในวงสนทนาว่า
     'มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง และระหว่างสองฝั่งนั้น ฝั่งหนึ่งมีสุนัข อีกฝั่งมีเนื้อ เราจะทำอย่างไร'
     ทุกคนต่างพยายามค้นหาคำตอบร่วมกันอย่างจริงจัง แล้วภาพแห่งการช่วยคิดช่วยกันหาคำตอบก็เกิดขึ้น
     บางคนก็บอกว่า ให้สุนัขว่ายน้ำข้ามไปเอาเนื้อเลย เพราะสุนัขว่ายน้ำเป็น
     แต่บางคนเสนอว่า ถ้าสุนัขหิวไม่มากก็ให้เดินหาสะพานก่อน จะได้ข้ามสะดวกกว่า
     หรือให้หาเรือที่คนเขาข้ามเพื่อสุนัข จะได้อาศัยไปด้วย


     แต่ไม่ว่าจะตอบกันอย่างไร ก็เห็นผู้ถามเงียบเฉย จนที่สุดทุกคนก็ยอม
     ผู้ถามที่นั่งยิ้มอยู่นานก็พูดออกมา
     'พวกคุณจะไปสนใจทำไม ก็นั่นเป็นเรื่องของสุนัข ไม่ใช่เรื่องของเรา พวกเรามาทำความเข้าใจกับปัญหาในชีวิตของเรา ไม่ดีกว่าหรือครับ'

ฟังคำตอบเสร็จทุกคนต่างพากันยิ้มและนึกได้ว่า ที่จริงเรามัวแต่ไปสนใจเรื่องของคนอื่น จนลืมว่าตัวเราเองทำอะไรอยู่ มองแต่ปัญหาของคนอื่นจนลืมว่าปัญหาของเราคืออะไร ต้องแก้อย่างไร คนอื่นอาจไม่มีปัญหา แต่ตัวเราต่างหากที่กำลังมีปัญหา

   ก็แก้ที่เราเสียก่อน อย่ามัวแต่..ไปแก้ที่คนอื่นเลย


ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekEzTURjMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdOeTB3Tnc9PQ==
ขอบคุณภาพจาก http://www.thaimtb.com/,http://uc.exteenblog.com/
20368  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จำปา จำปี จำปูน เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2012, 01:50:51 pm



จำปา จำปี จำปูน

ดอกไม้ที่มีชื่อใกล้เคียงกันซึ่งบางครั้งทำให้หลายคนเกิดความสับสนได้อาจมีอยู่หลายชนิด แต่แน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีดอกจำปีและดอกจำปารวมอยู่ด้วย วันนี้เพื่อขจัดความสับสนนั้น เรามารู้จักดอกไม้ชนิดนี้กันนะคะ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ อธิบายว่า



ดอกจำปา


   จำปา
   ความหมายที่ ๑ หมายถึง ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิด Michelia champaca L. ในวงศ์ Magnoliaceae  ดอกสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกใหญ่ยาว มีหลายกลีบ กลิ่นหอม 
   และในความหมายนี้ยังใช้คำว่า จำปา เรียกสีเหลืองอมส้มอย่างดอกจำปา หรือเรียกเครื่องหน้าซุงว่าวจุฬา รูปเป็นกลีบเหมือนกลีบดอกจําปา  และเรียกสิ่งอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายดอกจำปาได้อีก

 

จำปาลาว หรือ ลั่นทม

   ส่วนความหมายที่ ๒ เป็นภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง ต้นลั่นทม  ซึ่งในภาษาถิ่นเหนือจะเรียกต้นลั่นทมว่า จำปาลาว ในขณะที่ภาษาถิ่นใต้จะเรียกต้นลั่นทมว่า จำปาขอม แต่ถ้าเอ่ยถึง จำปาดะ ในภาษาถิ่นใต้จะหมายถึง ชื่อไม้ต้นขนาดกลางชนิด Artocarpus integer (Thunb.) Merr. ในวงศ์ Moraceae คล้ายต้นขนุน เยื่อหุ้มเมล็ดเนื้อเหลว กลิ่นฉุน กินได้  หรือเป็นคำเรียกขนุนพันธุ์ที่มียวงสีจําปา เนื้อนุ่ม ว่า ขนุนจําปาดะ


ดอกจำปี


    จำปี 
    หมายถึง ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิด Michelia alba DC. ในวงศ์ Magnoliaceae ดอกสีขาว คล้ายดอกจําปาแต่กลีบเล็กและหนากว่า บางพันธุ์สีนวลหรือสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเย็น 

    แต่ถ้าเป็น  จำปีแขก  หมายถึง (๑) ชื่อไม้พุ่มชนิด Michelia figo (Lour.) Spreng. ในวงศ์ Magnoliaceae ดอกคล้ายดอกจําปีแต่เล็กกว่า กลีบเลี้ยงสีนํ้าตาลมีขนหนานุ่ม กลีบดอกแข็งสีนวล กลิ่นหอมมาก
    บางครั้งก็เรียกว่า  จําปาแขก (๒) ชื่อไม้ต้นขนาดกลางชนิด Pterospermum diversifolium Blume ในวงศ์ Sterculiaceae กลีบเลี้ยงสีนํ้าตาล กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอมอ่อน

    นอกจากนี้ยังมีดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่ชื่อคล้ายกันกับจำปาและจำปี แต่ต่างวงศ์ นั่นคือ 





    จำปูน 
    ซึ่งเป็นไม้พุ่มชนิด Anaxagorea javanica Blume ในวงศ์ Annonaceae มีตามป่าดิบทางปักษ์ใต้ กลีบดอกแหลมหนาแข็ง ด้านนอกสีเขียว ด้านในสีขาวนวล กลิ่นหอมมาก.


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dailynews.co.th/article/44/134373
ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com,http://www.siamreptile.com/,http://www.tourdoi.com/,http://new.goosiam.com/
20369  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดเส้นทาง ในหลวงเสด็จฯ ชลมารค เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 07:22:57 pm


เปิดเส้นทาง ในหลวงเสด็จฯ ชลมารค

ยิ่งใกล้วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อน 5 แห่งในโครงการของกรมชลประทานพร้อมกัน ที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา หน้ากรมชลประทาน สามเสน ในเย็นวันที่ 7 ก.ค. พสกนิกรชาวไทยต่างใจจดใจจ่อเฝ้ารอชมพระบารมีด้วยความปลื้มปีติ

เมื่อ

วันที่ 6 ก.ค. มีรายงานว่า ยิ่งใกล้ถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไป ทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อน 5 แห่งในโครงการของกรมชลประทานพร้อมกัน ที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา หน้ากรมชลประทาน สามเสน ในเย็นวันที่ 7 ก.ค.2555

พสกนิกรชาวไทยต่างใจจดใจจ่อเฝ้ารอชมพระบารมีด้วยความปลื้มปีติ โดยพสกนิกรที่มีบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดเส้นทางได้ทำความสะอาดหน้าบ้าน และประดับธงสัญลักษณ์ พร้อมรับเสด็จด้วย ขณะที่หน่วยงานเกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมและซักซ้อมเสมือนวันจริงด้วยความเรียบร้อย

ทั้งนี้ การเสด็จฯ จะมีการถ่ายทอดสดตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน กระทั่งเสด็จฯ กลับในเวลา 20.00น.

มีรายงานเพิ่มติมว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการซักซ้อมการเสด็จฯ เสมือนวันจริง โดยเรืออังสนาซึ่งใช้น้ำมันไบโอดีเซล 100 เปอร์เซ็นต์เป็นเชื้อเพลิง ออกจากท่าเทียบสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ในเวลา 16.33 น.

ใช้ความเร็วประมาณ 10 นอต แล่นมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านสะพานพระราม 8 ท่าวาสุกรี ลอดใต้สะพานซังฮี้ ทั้ง 2 ฝั่งลำน้ำถูกประดับประดาด้วยธงพระปรมาภิไธย ภปร.และธงชาติไทย จนกระทั่งเวลา 16.47 น. ผ่านหน้ากรมชลประทาน


จากนั้น เรืออังสนาได้แล่นต่อไปยังสะพานพระราม 7 ผ่านหน้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อ.บางกรวย จ.นนทบุรี สะพานพระราม 5 ถึงท่าน้ำนนท์ ผ่านสะพานพระนั่งเกล้า เวลา 17.25 น.

ก่อนเข้าสู่กระทรวงพาณิชย์ ผ่านหน้าวัดเชิงเลน ผ่านวัดกลางเกร็ด วัดฉิมพลี ถึงเกาะเกร็ดในเวลา 17.36 น.

เลี้ยวซ้ายอ้อมเกาะเกร็ดผ่านเจดีย์ กลางน้ำสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด ผ่านวัดปรมัยยิกาวาส วัดแสงสิริธรรม จนมาบรรจบวัดเชิงเลน ในเวลา 18.02 น.

โดยใช้เวลาวนรอบเกาะเกร็ดประมาณ 26 นาที แล้ววนกลับเส้นทางเดิมถึงหน้ากรมชลประทาน เวลา 18.52 น.

เรืออังสนาได้หยุดซักซ้อมการแสดงและกลับโรงพยาบาลศิริราช รวมเป็นระยะทางจากโรงพยาบาลศิริราชถึงเกาะเกร็ด ทั้งไปและกลับทั้งหมด 44 กิโลเมตร



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/273976
20370  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / '10 ถนนแห่งความตาย' สุดอันตราย ไปแล้วอาจไม่ได้กลับมา!! เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 03:09:09 pm


'10 ถนนแห่งความตาย' สุดอันตราย ไปแล้วอาจไม่ได้กลับมา!!

บางครั้งการดำเนินชีวิตก็มีเรื่องเสี่ยงตายให้ได้ลุ้นทุกวินาทีไม่ต่างกับในภาพยนตร์ ต่างกันแค่เพียงว่าในชีวิตจริงถ้าพลาดเมื่อใดแล้วละก็ ไม่มีสิทธิ์รีสตาร์ตขอเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง...

ทุกวันนี้การเดินทางแสนจะสะดวกสบายด้วยถนนหนทางลาดยางชั้นดีที่เข้าถึงยังซอกหลืบต่างๆ แทบทั่วทุกมุมโลก แต่หนทางทุกสายไม่ได้โปรยปรายด้วยกลีบกุหลาบ ย่อมต้องมีหนามของสักกิ่งก้านที่ร่วงหล่นลงบนพื้นทางอย่างแน่นอน

ไทยรัฐออนไลน์ขอพาไปสำรวจถนนหนทาง ที่ขอยกนิยามให้เป็น "10 ถนนแห่งความตาย" ล้วนอุดมไปด้วยความอันตรายระดับยมบาลเชื้อเชิญ และยมทูตเยินยอในความน่าสะพรึงหวั่นเกรง






Yungas  Road - Bolivia
ถนนแห่งความตายสายนี้ทอดยาวเป็นระยะทางเกือบ 69 กม.ในประเทศโบลิเวีย ทำหน้าที่ส่งผ่านผู้เดินทางดวงดีจากเมือง La Paz สู่เมือง Coroico มันคือถนนแห่งตำนานด้านความอันตรายอย่างสุดจะบรรยาย ในปี 1995 มันจึงถูกสถาปนาเป็นถนนที่มีความอันตรายมากที่สุดบนโลกมนุษย์ ในแต่ละปีจะมีนักเดินทางนำชีวิตมาวายวอดที่นี่ราว 200-300 คนเลยทีเดียว





Guoliang Tunnel Road - China
ถนนสายนี้ถูกตัดทะลุเป็นอุโมงค์ภายในภูเขา Taihang ในจังหวัด Hunan ของจีน สร้างโดยชาวบ้านในท้องถิ่น มีความยาวราวๆ 1.2 กม. โดยใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 5 ปี ตลอดระยะเวลาของการก่อสร้าง ถนนเส้นนี้ได้คร่าชีวิตคนงานเป็นจำนวนไม่น้อย มันถูกเปิดให้ใช้สัญจรอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2520





Ruta 5 - Chile
ถนนจากเมือง Arica สู่ Iquique ในชิลี มีชื่อเสียงด้านอันตรายสุดๆ นักเดินทางจะต้องขับรถผ่านเข้าไปยังหุบเขาลึกและมีลมพัดแรง เหมือนอีกโลกที่ไม่เคยพบเจอ นานๆ ครั้งถึงจะเจอรถที่ขับสวนทางมา และจะพบว่ารถเหล่านั้นมักวิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆ จนบางครั้งไม่แน่ใจว่ารถเหล่านั้นเป็นของมนุษย์หรือภูตผีปิศาจตนใดกันแน่ ดังนั้นหากจำเป็นต้องเดินทางผ่านถนนสายนี้ ควรหลีกเลี่ยงยาหรือสารบางชนิดที่มีผลต่อประสาทที่อาจสร้างภาพหลอนขึ้นมาได้ เพราะบรรยากาศมันชวนให้จินตนาการซะเหลือเกิน





Russian Federal Highway - Russia

ถนนที่เชื่อมระหว่าง Moscow และ Yakutsk เป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิสุดแสนจะเย็นยะเยือกนอก Antarctica ที่ได้รับการบันทึกเอาไว้  ในช่วงฤดูหนาวที่กินเวลายาวนานถึง 10 เดือน ในการเดินทางผ่านถนนเส้นนี้จะต้องพบอุปสรรคคือหิมะตกระดับพายุน้ำแข็ง อีกทั้งทัศนวิสัยที่แทบจะกลายเป็นศูนย์ และในฤดูฝนพื้นถนนแทบจะกลายเป็นทะเลโคลนในทันที อันเป็นเวลาเดียวกับที่โจรสลัดโคลนไซบีเรียนออกล่าเหยื่อที่รถติดหล่มบนถนนเช่นกัน





Sichuan Tibet Highway - China
ในประเทศจีนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์สูงขึ้นเป็นทวีคูณใน 20 ปีที่ผ่านมา และไม่แปลกที่ถนนหลวง Sichuan Tibet ที่พาดผ่านเมือง Chengdu และ Tibet ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หินและแผ่นดินถล่มจะเป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น ถนนตัดลัดเลาะผ่านภูเขาขนาดใหญ่ถึง 14 ภูเขา และแม่น้ำที่มีชื่อเสียงหลายสิบสาย อีกทั้งต้องขับรถผ่านป่าดึกดำบรรพ์จำนวนมากที่มีความอันตรายทุกวินาทีแฝงอยู่ในทัศนีภาพที่สวยงามสองข้างทาง





James Dalton Highway - Alaska
ถนนลูกรังกินพื้นที่ทอดยาว 665 กม.เส้นนี้ ไม่ใช่ถนนที่จะไว้ทำการวัดใจลูกผู้ชายหรือเอาไว้ทดสอบรถคันใหม่แน่ๆ บนถนนเต็มไปด้วยรถบรรทุกและรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่จำนวนมาก ถ้าเผลอไผลขับรถเข้าไปแทบจะกลายเป็นเป้าของก้อนหินนับไม่ถ้วนที่ปลิวละล่องทั่วไปหมด ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายแทบจะทำให้ผู้ขับกลายเป็นคนตาบอดบดบังการมองเห็นเสียหมดสิ้น บริษัทให้บริการเช่ารถถึงกับออกกฎเหล็กห้ามนำรถไปวิ่งบน Dalton Road เด็ดขาด และอย่าแม้แต่คิดจะผ่านทางนี้ต่อให้เป็นรถ 4x4 ก็ตามเหอะ




Patiopoulo-Perdikaki Road - Greece
ถนนที่สุดจะแคบและโสโครกทอดยาวจากเมือง Patiopoulo มุ่งสู่เมือง Perdikaki ของกรีซ ลักษณะเส้นทางที่สูงชันและเลนถนนสุดแสนจะคับแคบเต็มไปด้วยหลุมบ่อน้อยใหญ่ จนกลายเป็นงานยากของยานพาหนะที่สัญจรไปมา หนำซ้ำไหล่ทางยังไร้เงาสิ่งป้องกันสำหรับรถยนต์ไม่รักดีที่คิดนอกลู่นอกทาง ในแต่ละปีมีผู้ที่หล่นลงไปสำรวจก้นเหวเป็นจำนวนมาก ที่นี่จึงกลายเป็นหนึ่งในเส้นทางอันตรายที่สุดบนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน





Trollstigen - Norway
ถนนที่อุดมไปด้วยโค้ง โค้ง และก็โค้ง ลัดเลาะไหล่เขาสูงใน Norway มีความสูงชันสลับกับโค้งหักศอกนับสิบโค้ง ยานพาหนะที่ยาวกว่า 12 ม. ถูกห้ามใช้เส้นทางนี้ เนื่องจากไม่สามารถจะผ่านโค้งต่างๆ ของถนนเส้นนี้ได้ ที่ด้านบนมีจุดชมวิวที่มองเห็นความคดเคี้ยวเขี้ยวลากดินของถนนเส้นนี้ เป็นจุดที่สวยงามมากถ้าคุณสามารถไปถึง...





A682 Road - England
ถนนที่ว่ากันว่าเลวร้ายที่สุดบนเกาะอังกฤษ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนับครั้งไม่ถ้วนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา และในสามปีหลังสุดมีเคสร้ายแรงถึง 22 รายด้วยกัน เคยมีผู้เชี่ยวชาญถึงกับออกมาบอกว่าทุกๆ 20 กม. ของถนนสายนี้จะต้องมีผู้เสียชีวิต 1 คนในทุกปี แต่ถนนเส้นนี้ก็ยังเป็นที่นิยมของกิจกรรมพักผ่อนด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ในช่วงเช้าวันอาทิตย์อยู่ดี




Stelvio Pass Road Trollstigen - Italy
ถนนเส้นนี้เชื่อมต่อเมือง Valtellina กับหุบเขา Adige และ Merano ในอิตาลี เต็มไปด้วยไหล่เขาและทางโค้งซิกแซ็กมากมาย อีกทั้งความสูงชันของเทือกเขาที่ได้รับการการันตีจากหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวว่าเป็นภูเขาที่ปีนป่ายได้ยากและท้าทายที่สุด แต่ใครจะเชื่อว่าถนนสุดอันตรายเส้นนี้เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในถนนที่ดีและสวยงามที่สุดในเทือกเขาแอลป์เลยทีเดียว


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/life/273618
20371  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / สร้าง"โทรศัพท์มือถือกระดาษ" ทุกอย่างจะเป็นแบบเดียวหมดใน 5 ปี เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 02:45:30 pm

สร้าง"โทรศัพท์มือถือกระดาษ" ทุกอย่างจะเป็นแบบเดียวหมดใน 5 ปี

นักวิจัยแคนาดาสามารถประดิษฐ์ “โทรศัพท์มือถือกระดาษ” ขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งทำงานได้เท่ากับโทรศัพท์มือถือธรรมดาทุกอย่าง ไม่ว่าจะใช้โทรศัพท์ ส่งข้อความ เล่นเพลง หรืออ่านหนังสือ “อี–บุ๊ก”

 หากแต่มันกลับจะดัดงอ ม้วน พับมุม หรือพับด้านข้างได้ อย่างที่โทรศัพท์มือถือปกติทำไม่ได้

   ดร.โรเอล เวอเตกาล ของมหาวิทยาลัยควีนส์ ที่แคนาดาผู้สร้างบอกไว้ว่า “ทุกอย่างจะเป็นแบบนั้น ภายใน 5 ปีนี้” และเสริมว่า “คอมพิวเตอร์ก็จะมีรูปร่าง ให้ความรู้สึกและทำงานเหมือนกับเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆชิ้นหนึ่ง อาจจะงอให้มันกลายเป็นโทรศัพท์มือถือ พลิกเปลี่ยนหน้า หรือจะใช้ปากกาเขียนลงไปได้”

เขาประดิษฐ์เครื่องต้นแบบเพื่อจะดูว่าจะใช้ง่ายแค่ไหน ถ้าหากจะต้องงอหรือพับเพื่อควบคุมมัน และบอกทายอนาคตว่า

“เมื่อใดที่มีการใช้โทรศัพท์กระดาษขนาดโตขึ้นแพร่หลายทั่วไป ความฝันที่จะเห็นสำนักงานต่างๆเลิกใช้กระดาษก็จะเป็นจริงขึ้นวันนั้น”.



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/edu/273666
20372  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / งานบุญมหาทาน'วัดเพลง' สานประเพณีเทศน์มหาชาติ เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 02:21:56 pm

งานบุญมหาทาน'วัดเพลง' สานประเพณีเทศน์มหาชาติ

วัดเพลง (โบสถ์สีชมพู) ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี กำหนดจัดงานบุญมหาทาน สานประเพณีเทศน์มหาชาติ ซึ่งหาดูได้ยาก ปัจจุบันนี้มักห่างหายไปจากวัด จึงไม่ค่อยได้เรียนรู้ประเพณีโบราณ ซึ่งบรรพบุรุษไทยยึดถือสืบทอดและปฏิบัติสืบต่อกันมา

ปัจจุบันวัดต่างๆ จะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้นในเทศกาลเข้าพรรษา 3 เดือน

สำหรับการเทศน์มหาชาติเป็นการร่วมกันจรรโลงมรดกทางวัฒนธรรมที่สูงค่าให้อยู่คู่กับพระพุทธศาสนา โดยน้อมรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ชาติ ที่เป็นพระเวสสันดร พระองค์ทรงบำเพ็ญทานบารมียิ่งใหญ่คือการบริจาคทรัพย์สมบัติ พระโอรส พระธิดา และพระมเหสี ซึ่งการกระทำดังกล่าวเรียกว่า 'มหาทาน' ยากที่ปุถุชนทั่วไปจะทำได้

ในวันที่ 12 สิงหาคม 2555 'พระครูสังฆรักษ์ประสิทธิ์ สิทธิโก' หรือ 'พระอาจารย์ประสิทธิ์' เจ้าอาวาสวัดเพลง (โบสถ์สีชมพู) กล่าวว่า ในปีนี้ทางวัดจัดเทศน์มหาชาติอย่างยิ่งใหญ่ ขึ้นที่ศาลาการเปรียญ ณ วัดเพลง (โบสถ์สีชมพู) เพื่อเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวพุทธ ให้ลูกหลานได้เข้าวัดมาฟังเทศน์ฟังธรรม โดยมีพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในการเทศน์มหาชาติที่เข้าใจง่าย มีละครเล่นระหว่างเทศน์ เพื่อให้เห็นภาพและเพลิดเพลินในการฟังเทศน์และธรรม

การเทศน์มหาชาตินี้ เป็นการร่ายยาว หรือการเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ว่าด้วยพระบุพจริยาของพระพุทธองค์ในอดีตชาติ เมื่อเสวย พระชาติเป็นพระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระชาติสุดท้าย ก่อนจะตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ



เวสสันดรชาดก เป็นหนึ่งในสิบของทศชาติชาดก หรือที่เรียกกันว่าพระเจ้าสิบชาติ ซึ่งเป็นชาดกที่กล่าวถึงการบำเพ็ญพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ถึง 10 พระชาติด้วยกันคือ

เตมียชาดก ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี, มหาชนกชาดก ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี, สุวรรณสามชาดก ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี, เนมีราชชาดก ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี, มโหสถชาดก ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี, ภูริทัตชาดก ทรงบำเพ็ญ ศีลบารมี, จันทกุมารชาดก ทรงบำเพ็ญขันติบารมี, นารทชาดก ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี, วิฑูรชาดก ทรงบำเพ็ญสัจจบารมี, เวสสันดรชาดก ทรงบำเพ็ญทานบารมี

   ประกอบด้วย
    1.กัณฑ์ทศพร 19 คาถา
    2.กัณฑ์หิมพานต์ 134 คาถา
    3.กัณฑ์ทานกัณฑ์ 209 คาถา
    4.กัณฑ์วนปเวศน์ 57 คาถา
    5.กัณฑ์ชูชก 79 คาถา
    6.กัณฑ์จุลพน 35 คาถา
    7.กัณฑ์มหาพน 80 คาถา
    8.กัณฑ์กุมาร 101 คาถา
    9.กัณฑ์มัทรี 90 คาถา
    10.กัณฑ์สักบรรพ 43 คาถา
    11.กัณฑ์มหาราช 69 คาถา
    12.กัณฑ์ฉกษัตริย์ 36 คาถา
    13.กัณฑ์นครกัณฑ์ 48 คาถา



  'ชาวพุทธเราต่างมีความเชื่อกันว่า หากใครได้ฟังเทศน์มหาชาติครบทั้ง 13 กัณฑ์ หรือ 1,000 คาถา จบในวันเดียว จะได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ถึง 5 ประการคือ
    1.จะได้เกิดมาในศาสนาพระศรีอารยเมตไตรย ซึ่งจะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต
    2.จะได้ไปสู่สวรรค์ เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร
    3.จะไม่เกิดในอบายเมื่อตายแล้ว
    4.จะเป็นผู้มั่งมีลาภยศ สรรเสริญ ไมตรี และมีความสุข และ
    5.จะได้รับมรรคผลนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลและถึงความพ้นทุกข์'
พระอาจารย์ประสิทธิ์กล่าว


    ขอเชิญเข้าร่วมบุญมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ในการฟังเทศน์มหาชาติทรงเครื่อง ประเพณีที่ควรอนุรักษ์ไว้
    สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.08-7693-4577


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekEyTURjMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdOeTB3Tmc9PQ==
20373  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฉายหนังให้พระพุทธรูปดู หลวงพ่อแดงดูหนังตาแฉะ..ปีละ ๓๐๐-๓๕๐ คืน เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 01:59:14 pm

พ่อแดงดูหนังตาแฉะปีละ๓๐๐-๓๕๐คืน!
ฉายหนังให้พระพุทธรูปดูหลวง พ่อแดงดูหนังตาแฉะ ปีละ "๓๐๐-๓๕๐ คืน!"
ท่องไปในแดนธรรม โดย เรื่อง/ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

      วัดกำแพง เดิมชื่อ วัดตึก ตั้งอยู่หมู่ ๑๕ ต.แพรกศรีราชา อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นวัดที่เก่าแก่ทรงคุณค่า สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใครเป็นผู้สร้าง และสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.ใด
 
       พระครูประสิทธิ์ชัยปราการ หรือหลวงพ่อเปลื่อง ปสนฺโต อายุ ๗๖ ปี พรรษาที่ ๕๓ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน เล่าให้ฟังว่า อำเภอสรรคบุรีเป็นเมืองโบราณ ในอดีตอำเภอสรรคบุรี ถือว่าเป็นเมืองที่เจริญเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ มีหลักฐานที่ชัดเจน คือ วัดร้างที่ตั้งอยู่หลายสิบวัด อย่างกับกรณีของวัด "กำแพง" เดิมวัดแห่งนี้ชื่อวัดตึก ส่วนวัดกำแพงนั้นเป็นวัดร้าง อยู่ห่างจากวัดประมาณ ๑ กม.

      ด้วยเหตุที่เป็นวัดร้างชาวบ้านจึงร่วมกันรื้อส่วนที่เป็นซากของศาสนสถาน และกำแพงนำอิฐมาสร้างเป็นโบสถ์ที่วัดตึก เมื่อสร้างโบสถ์เสร็จจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อจากวัดตึกเป็นวัดกำแพง ส่วนพื้นที่ของวัดกำแพงในปัจจุบันกลายเป็นที่นา
 
      เดิมทีนั้นวัดนี้ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากวัดร้างทั่วๆ ไป มีเพียงหลวงพ่อแเดงพระพุทธรูปสมัยอยุธยาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่กลางแจ้งเพียงองค์เดียวเท่านั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ย้ายมาจำพรรษาที่วัดกำแพง ได้เริ่มสร้างโบสถ์เป็นหลังแรก จากนั้นก็สร้างศาลา โดยได้ร่วมมือกับชาวบ้าน และพระลูกวัดลงมือสร้างโบสถ์และศาลาด้วยตัวเอง ทั้งนี้จะกำหนดว่าในแต่ละวันต้องเทเสาปูนวันละ ๒ ต้น หลังฉันเช้า และหลังจากฉันเพล ก่ออิฐวันละ ๑ ตารางเมตร จะจ้างช่างจากภายนอกเฉพาะส่วนที่เป็นหลังคาเท่านั้น



      สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อแดงนั้น หลวงพ่อเปลื่อง เล่าว่า
      เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ โดยมีการแก้บนด้วยการฉายหนังมาตั้งแต่ต้น
      สมัยเมื่อเริ่มสร้างวัดใหม่ๆ มีการแก้บนด้วยการถวายอิฐ เหล็ก ปูน และทราย เพื่อช่วยสร้างวัด
      แต่เมื่อวัดสร้างเสร็จก็เหลือการบนด้วยการฉายหนังเพียงอย่างเดียว
      ทั้งนี้หลวงพ่อแดงเริ่มดูหนังมากคืนเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน 

 
       "ใครบนกี่เรื่องก็ต้องฉายตามที่บนไว้ ไม่ว่าจะฝนตกหรือไม่ ก็ต้องฉาย ไม่มีคนดูก็ต้องฉาย เพราะไม่ได้ฉายให้คนดู แต่ฉายให้หลวงพ่อแดงซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดกำแพงดู ที่ผ่านมาอาตมาก็เคยบนฉายหนังถวายหลวงพ่อแดงเหมือนกัน" หลวงพ่อเปลื่องกล่าว

       อย่างไรก็ตามเมื่อมีงานประจำปีสมโภชหลวงพ่อแดงการเข้าไปขอพรในโบสถ์เป็นเรื่องไม่สะดวก ขณะเดียวกันหากใครจะเดินทางมาแก้บนทางวัดต้องเปิดโบสถ์ให้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้กรรมการวัดจึงมีความคิดตรงกันว่า น่าจะสร้างวิหารประดิษฐานหลวงพ่อแดงโดยเฉพาะ ใครมาวัดก็สามารถกราบไหว้ตลอดเวลา ซึ่งต้องใช้งบประมาณกว่า ๒ ล้านบาท   

       คณะกรรมการจึงจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อเปลื่องรุ่นแรก ประกอบด้วย   
         ๑.รูปหล่อหน้าโบราณ
         ๒.รูปหล่อปั๊ม
         ๓.ล็อกเกตรูปเหมือน
         ๔.พระปิดตามหาเศรษฐี
         ๕.พระพิมพ์ขุนแผน
         ๖.หนุมานมหาบารมี และ
         ๗.เหรียญรูปเหมือน
      ทั้งนี้ได้ประกอบพิธีปลุกเสก ระหว่างวันที่ ๑๙ เมษายน-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕



พระที่ต้องแก้บนฉายหนัง

      "หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
      หลวงพ่อโต วัดบ้านเชี่ยน อ.หันคา จ.ชัยนาท   
      หลวงพ่อสุโขทัย วัดวังคอไห อ.เนินขาม จ.ชัยนาท
      หลวงพ่อ วัดศรีโภชน์ (วัดร้าง) อ.หันคา จ.ชัยนาท   
      หลวงพ่อดำ วัดตะค้รามเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 
      หลวงพ่อหิน วัดท่าชัย อ.เมือง จ.ชัยนาท"

 
     ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นพระพุทธรูปที่คนนิยมบนและแก้บนด้วยการฉายหนัง จากคำบอกเล่าของนายทองใบ อินทร์มณี เจ้าของหนังกลางแปลง "ทองใบภาพยนตร์"
 
     สำหรับการมาฉายหนังแก้บนหลวงพ่อแดงนั้น นายทองใบ บอกว่า เข้ามาปักหลักฉายหนังแก้บนหลวงพ่อแดงที่เรียกว่าตั้งจออย่างถาวรมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๗ หรือ ๘ ปีแล้ว ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน จะต้องฉายหนังประมาณ ๓๐๐-๓๕๐ วัน
     โดยคิดค่าฉายตามจำนวนเรื่องที่ฉาย คือ
        ถ้า ๒ เรื่อง คิด ๓,๕๐๐ บาท 
        ถ้า ๕ เรื่องขึ้นไป คิดเรื่องละ ๑,๐๐๐ บาท
        ซึ่งมีคนมาแก้บน คืนละ ๗ เรื่องอยู่บ่อยครั้ง
        โดยจะเริ่มฉายตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า
 

       ตลอดระยะเวลา ๘ ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อแดงได้ดูหนังทุกเรื่องที่นำมาฉายในเมืองไทย ไม่ว่าเป็นหนังจีน ผรั่ง ไทย รวมทั้งการ์ตูน ชนิดที่เรียกว่า หนังจากกลุ่มสายหนัง ธนาซีเนเพล็กซ์ (ตระกูล ธนารุ่งโรจน์) ไม่มีหนังเรื่องใดที่ไม่เคยมาฉายที่วัดนี้

       บางเรื่องฉายซ้ำหลายเที่ยว ต้องไปหาเช่าหนังเก่าๆ สมัยมิตร ชัยบัญชา ไพโรจน์ ใจสิงห์ ฯลฯ มาฉายตอนมาฉายแรกๆ คนมาดูหนังนับร้อยๆ คน ใช้เครื่องเสียงชุดใหญ่ไม่มีใครว่า แต่พอนานวันเข้าชาวบ้านเริ่มเบื่อ โดยทุกวันนี้มีคนดูอย่างเก่งไม่เกิน ๕๐ คน
 
      "ขอให้สู้ความชนะ ทวงหนี้สิน ขอเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยให้หาย ทำนาได้ข้าวดี เรื่องทำมาหากินและกิจการให้เจริญรุ่งเรืองได้ แต่ไม่มีใครเคยมาแก้บนเพราะได้หวยจากหลวงพ่อแดง
      ที่ผ่านมาเคยมีคนมาแก้บนฉายหนังสว่างคาตา คืนละ ๗ เรื่อง ติดต่อกัน ๑๐-๑๕ คืน
      และเคยฉายติดต่อกันทุกคืน นานถึง ๗๔ คืน ที่สำคัญคือ มีคนมาแก้บน ๗๔ ราย" นายทองใบกล่าว
 
      สำหรับผู้ที่จะสัมผัสบรรยากาศดูหนังกลางแปลงสอบถามรอบหนังและเรื่องในแต่ละคืนได้ที่ นายทองใบ โทร.๐๘-๑๒๕๐-๗๕๙๑ ส่วนผู้ที่จะร่วมบุญสร้างวิหารหลวงพ่อแดง ร่วมบุญได้ที่วัดกำแพง จ.ชัยนาท โทร. ๐-๕๖๔๓-๗๐๒๔ และที่วัดนก ซ.พาณิชยการธนบุรี กทม. โทร.๐-๒๔๑๐-๗๘๔๘ และ ๐-๒๔๑๐-๗๗๕๕


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.komchadluek.net/detail/20120706/134498/พ่อแดงดูหนังตาแฉะปีละ๓๐๐๓๕๐คืน!.html 
20374  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ปั้นครูปั๊มคลิป..ให้เด็กดู เปิดเว็บ "ครูทูบ ประกบ ยูทูบ" เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 01:38:03 pm


ปั้นครูปั๊มคลิป..ให้เด็กดู เปิดเว็บ "ครูทูบ ประกบ ยูทูบ"

สำนักเทคโนโลยีฯ สพฐ.ซุ่มพัฒนาครูให้ผลิตสื่อวิดีโอคลิป เปิดช่องเผยแพร่ ครูทูบ แชนเนล ปีละ 3,000 เรื่อง พร้อมเปิดทางให้เด็กประถมฯ มัธยมฯ ทำหนังสั้นแข่ง

รายงานข่าวจากสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ จะจัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา 500 คน จากทั่วประเทศ ให้ผลิตสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในรูปแบบวิดีโอคลิป

ภายใต้โครงการ KruTube Channel (ครูทูบ แชนเนล) หรือโครงการครูไทยยุคไอที สร้างคลิปดีให้เด็กดู เพื่อจัดทำเป็นคลังข้อมูลของสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ให้กับครู นักเรียน และผู้สนใจทั่วไป นำไปใช้บูรณาการกับการเรียนการสอน ที่สนับสนุนให้ผู้สอนและผู้เรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาเพิ่มพูนความรู้

ครูที่เข้าร่วมโครงการจะต้องอัพโหลดผลงานขึ้นที่เว็บไซต์ www.youtube.com (ยูทูบดอตคอม) และนำลิงก์มาเก็บไว้ที่ www.krutubechannel.com เพื่อครูและบุคลากรทั่วไปสามารถดูและดาวน์โหลดไปใช้ได้

การอบรมดังกล่าวกำหนดเป้าหมายให้ผู้รับการอบรมต้องผลิตสื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตเป็นคลิปวิดีโอให้ได้จำนวน 3,000 เรื่อง โดยในปี 2554 ได้จัดอบรมครูไปแล้ว 250 คน พร้อมกับจัดประกวดผลงานคลิปวิดีโอ จำนวน 30 ผลงาน แบ่งเป็น 10 หมวด หมวด ละ 3 รางวัล โดยผลิตคลิปวิดีโอเผยแพร่แล้ว 3,500 เรื่อง



เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน เปิดเผยว่า โครงการนี้ ดำเนินการก่อนมีนโยบาย “แท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย (OTPC)” แต่ก็ใช้ตอบสนองได้ เพราะเป็นสื่อในรูปคลิปวิดีโอ ครอบคลุมทุกกลุ่มสาระ

รวมทั้งการศึกษาปฐมวัยและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยได้รวบรวมคลิปที่ผลิตได้ลงแผ่นดีวีดี ส่งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเพื่อสำเนาแจกโรงเรียนในสังกัดให้ครูนำไปใช้ในรูปแบบออฟไลน์แล้ว


นอกจากการอบรมครูเพื่อผลิตสื่อคลิปวิดีโอแล้ว ทางโครงการยังอนุญาตให้ครูที่ไม่ผ่านการอบรมจากโครงการเผยแพร่ผลงานได้ และในปี 2554 ยังได้อบรมการผลิตคลิปให้เด็กนักเรียนระดับประถมฯและมัธยมฯ โดยเน้นอบรมการผลิตหนังสั้นเพื่อการเรียนการสอน ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพนักเรียนด้านไอซีทีเพื่อการเรียนการสอน

สำหรับการอบรมครูเพื่อผลิตสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในรูปแบบวิดีโอคลิป จะเลือกจากครูผู้สอนสังกัด สพฐ.ทุกระดับที่สมัครเข้ามา โดยต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว มีกล้องภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวส่วนตัว เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั้งที่บ้านและโรงเรียน มีความรู้ตัดต่อวิดีโอได้ มีที่อยู่อีเมล และเฟซบุ๊กของตนเอง

ทั้งต้องมีทัศนคติที่ดีและมีความตั้งใจนำเทคโนโลยีไปปรับใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องด้วยรูปแบบวิดีโอ การอบรมแบ่งเป็น 2 รุ่น รุ่นละ 250 คน  รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2555 และรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 21-25 กรกฎาคม 2555.



เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ค. 2012 โดย teemtaro


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/technology/134172
20375  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรุงเก่าแห่กราบ 'พระพุทธชยันตีองค์ดำ' กลางโบราณสถาน..ตะลึงพระอาทิตย์ทรงกรด เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 01:12:28 pm


กรุงเก่าแห่กราบ”พระพุทธชยันตีองค์ดำ”กลางโบราณสถาน

พุทธศาสนิกชนจำนวนมากพากันเดินทางกราบ”พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา”ประดิษฐานกลางโบราณสถาน ตะลึงพระอาทิตย์ทรงกรดระหว่างสวดมนต์

วันนี้( 6 ก.ค.) ที่บริเวณลานด้านข้างวัดพระราม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้มีประชาชนจำนวนมากพากันเดินทางไปสักการบูชาพระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา ซึ่งแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน อัญเชิญมาประดิษฐาน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยในเช้าวันเดียวกันนี้มีประชาชนที่กำลังจะเดินทางไปทำงาน และนักเรียน พากันมากราบไหว้ และใส่บาตรให้กับแม่ชี โดยระหว่างการสวดมนต์ในช่วงบ่ายวันที่ 5 ก.ค.ยังได้เกิดปรากฎการณ์พระอาทิตย์ทรงกรดด้วย




แม่ชีศันสนีย์ เปิดเผยว่าหลังจากที่พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา ได้ประดิษฐานเป็นประธานในการสวดมนต์ข้าม 26 ศตวรรษ ในวันที่ 4 มิ.ย. เนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ณ ท้องสนามหลวง ก่อนได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการถาวร ณ สาวิกาสิกขาลัย เสถียรธรรมสถาน ในเช้าวันที่ 5 มิ.ย.

โดยพระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา เป็นหัวใจของการศึกษาโดยเฉพาะ เด็กๆ กำลังอยู่ในช่วงของการศึกษา ฉะนั้น ต้องเป็นการศึกษาที่รอดในทุกความหมาย การศึกษาที่พาให้ใจของเรารอดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เด็กๆ จะต้องรู้ว่าทุกวันนี้ถ้าการศึกษาไม่สามารถทำให้เรารอดได้นั้น จะเกิดการเบียดเบียนขึ้นอย่างไร เวลาที่เรามีการศึกษาที่ไม่ได้พาให้ใจของคนรอด ไม่ทำให้สติปัญญาของคนรอด เราจะยังคงตกเป็นเหยื่ออยู่ แม้กายรอด แต่ใจไม่รอด ก็เรียกว่ายังเป็นเหยื่ออยู่ ฉะนั้น เด็กๆ ต้องเจริญสติปัญญาเพื่ออารักขากายอารักขาใจ เป็นมนุษย์ที่แท้ ไม่เป็นแค่เหยื่อ
 




พระพุทธรูปองค์สีดำที่เราพบเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นชื่อที่เรียกตามลักษณะของสี คือสีดำ ที่คนทั้งหลายเชื่อมั่นว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ที่นาลันทา ที่พุทธภูมิ แดนดินที่เคยเป็นคลังสมองของนักปราชญ์ที่คนอยากฉลาดต้องไปศึกษาจากที่นั่น ที่นาลันทา

พระพุทธรูปองค์นี้อยู่มาคู่ดินคู่ฟ้าคู่นาลันทามาตลอด ที่คนทั้งหลายมีความเชื่อมั่นว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะให้ความสำเร็จแก่คนที่มากราบไหว้ แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพร ความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือสิ่งที่ให้เกิดความ สำเร็จนั่นเอง และเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการะพระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดแรก จนถึงวันที่ 9 ก.ค.นี้ และจะเดินทางต่อไปยัง จ.สุพรรณบุรีต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/134554
20376  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / โครงการ "พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน" http://www.krupra.net/v2/main.php เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 12:23:06 pm



20377  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / บิล เกตส์ ชี้แอปเปิ้ลมีแค่ไอแพดอย่างเดียวไม่พอ-เกทับ “Surface ครบเครื่องกว่า” เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 08:03:26 pm

บิล เกตส์ ชี้แอปเปิ้ลมีแค่ไอแพดอย่างเดียวไม่พอ-เกทับ “Surface ครบเครื่องกว่า”

ดูเหมือนช่วงนี้ Bill Gates จะให้สัมภาษณ์เรื่องที่เป็นประเด็นขึ้นมาค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในส่วนของเรื่องที่เกี่ยวกับแท็บเล็ต โดยล่าสุดในรายการโทรทัศน์ของ PBS ตัวเขาก็ได้ให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเขาก็ให้ความมั่นใจกับแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Surface ว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดและจุดกระแสเครื่องไฮบริดได้เป็นอย่างดี


    เนื่องด้วยในตัวของ Surface จัดได้ว่ามีความครบครัน
    ทั้งในด้านการออกแบบที่ทำออกมาสำหรับการพกพาและใช้งานได้อย่างสะดวก
    แต่ก็ไม่ลืมจุดเด่นหลายๆ อย่างของ PC ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ดจริงๆ
    โปรแกรมที่มีให้เลือกใช้หลากหลาย เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความครบเครื่อง
    และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง


    ต่างจากฝั่ง Apple ที่ยังคงมีช่องว่างระหว่าง iPad และ MacBook ทั้งหลายอยู่
   ซึ่งก็จริงอยู่ที่ iPad ก็สามารถใช้งานคีย์บอร์ดเสริมได้ แต่ก็คงไม่ใช่ตัวเลือกที่สะดวกนัก
   ในเมื่อ Surface มีคีย์บอร์ดติดมาเป็น cover ของตัวเครื่องอยู่แล้ว12.07.03-Gates



แต่ทั้งนี้ Gates เองก็ให้ความเห็นเสริมด้วยว่า ตัวแพลตฟอร์มของแท็บเล็ตอย่าง Surface ยังอาจจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะ รอให้ปัจจัยต่างๆ พร้อมกว่านี้ก่อน ตัวเขาเชื่อว่ามันน่าจะกลายมาเป็นมาตรฐานของ PC แบบพกพาในอนาคตได้อย่างแน่นอน


ที่มา notebookspec.com
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME1UUTJPVFkzT0E9PQ==&sectionid=
http://notebookspec.com/
http://www.microsoft.com/
http://witternews.files.wordpress.com/
20378  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดโผรายชื่อบริษัท..ที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในโลก แบรนด์ดังติดอันดับเพียบ เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 07:49:44 pm


เปิดโผรายชื่อบริษัท..ที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในโลก แบรนด์ดังติดอันดับเพียบ

"เฮย์กรุ๊ป" บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกด้านการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กร ร่วมกับนิตยสาร "ฟอร์จูน" จัดอันดับ "บริษัทที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดของโลก"

    สำหรับผลประจำปี 2012
    อันดับ 1 ได้แก่ Apple (ครองแชมป์ตั้งแต่ปีที่แล้ว)
    อันดับ 2 Google (รองแชมป์ปีที่แล้ว)
    อันดับ 3 Amazon.com (ขึ้นมาจากอันดับ 7)
    อันดับ 4 Coca-Cola (ขึ้นมาจากอันดับ 6)
    อันดับ 5 IBM (ขึ้นมาจากอันดับ 12)
    อันดับ 6 Fedex
    อันดับ 7 Berkshire Hathaway
    อันดับ 8 Starbucks
    อันดับ 9 Procter & Gamble
    อันดับ 10 Southwest Airlines



    อันดับ 11 McDonald′s
    อันดับ 12 Johnson & Johnson
    อันดับ 13 Walt Disney
    อันดับ 14 BMW
    อันดับ 15 General Electric
    อันดับ 16 American Express
    อันดับ 17 Microsoft
    อันดับ 18 3M
    อันดับ 19 Caterpillar
    อันดับ 20 Costco Wholesale



    ส่วนบริษัทที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 10 อันดับแรก ได้แก่
    อันดับ 1 Toyota Motor
    อันดับ 2 Canon
    อันดับ 3 Samsung Electronics
    อันดับ 4 Sony อันดับ 5 Panasonic   
    อันดับ 6 Huawei Technologies
    อันดับ 7 China Mobile Communications
    อันดับ 8 LG Electronics
    อันดับ 9 Cathay Pacific Airways
    อันดับ 10 BHP Billiton



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341465524&grpid=01&catid=&subcatid=
20379  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮาอีก!! วัดโดเรมอนสุพรรณฯ ที่ผนังโบสถ์พบ เทพแห่งครูถือ "ไอแพด" เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 07:33:16 pm

ฮือฮาอีก! วัดโดเรมอนสุพรรณ ที่ผนังโบสถ์พบ เทพแห่งครูถือ "ไอแพด"

เมื่อ 5 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า จากกรณีที่วัดสำปะซิว ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีการเขียนภาพโดเรมอนในอุโบสถวัดสำประซิว และมีการนำรูปปั้นโดเรมอนในท่าทางต่างๆ ที่แตกต่างกันมาตั้งไว้ที่บริเวณทางเข้าวัด โดยภาพและรูปปั้นโดเรมอนทุกภาพแฝงด้วยปริศนาธรรมทั้งสิ้น สร้างความสนใจแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก

ซึ่งพระมหาอนันต์ กุสลาลงกาโร เจ้าอาวาสวัดสำปะซิว เปิดเผยว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวเรื่องของโดเรมอนมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวที่วัดอย่างต่อเนื่องตลอดมา และยิ่งมีกระแสข่าวเรื่องของรูปปั้นโดเรมอนปริศนาธรรมยิ่งมีประชาชนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางรายโทรสอบถามเส้นทางบางรายเตรียมจะเดินทางมาในช่วงวันหยุดนี้



    โดยโดเรมอนเป็นตัวการ์ตูนอมตะสำหรับเด็กๆ และประชาชน
    ซึ่งขณะนี้มีการเขียนภาพอีกหลายภาพ อย่างเทพเสี่ยงทายหรือเทพใบ้หวย ที่มีปริศนาอยู่ในภาพ
    มีต้นไม้ใหญ่มีเทพมีตัวเลข เทพประจำวันพฤหัสบดี เป็นเทพแห่งครูที่ถือกระดานชนวน
    แต่ของเราถือไอแพด เพราะเป็นกระดานวิเศษสมัยนี้ซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่มีในชีวิตประจำวัน
    และเทพส่องกรรม ที่เป็นเทพที่ใช้การติดจีพีเอสติดตามกรรมและการกระทำของทุกคน
    ถือเป็นการส่องกรรมของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน


เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะดึงดูดและเป็นปริศนาธรรมที่ประชาชนในยุคปัจจุบันต้องรับรู้และเป็นเรื่องจริง ซึ่งในอนาคตเตรียมที่จะนำรูปปั้นโดเรมอนมาอีกเป็นจำนวนมากโดยจะมีการตั้งตั้งแต่บริเวณทางเข้าวัดและถึงบริเวณในวัดให้เหมือนโดเรมอนเป็นส่วนหนึ่งในวัดไปเลยแต่ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากซึ่งก็ต้องเตรียมงบประมาณไว้เป้นจำนวนมากเพื่อปรับปรุงวัดและปรับภูมิทัศน์



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341474053&grpid=01&catid=&subcatid=
http://www.posttoday.com/
20380  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สพฐ.รับ "เด็กรุ่นใหม่ขาดจริยธรรม" เพราะวิชาศีลธรรมในโรงเรียนอ่อน เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 07:16:18 pm


สพฐ.รับเด็กรุ่นใหม่ขาดจริยธรรม เพราะวิชาศีลธรรมในโรงเรียนอ่อน

วันนี้ (5 ก.ค.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)  เปิดเผยว่า  จากกรณีที่มีภาพหลุดหรือคลิปฉาวของนักเรียนออกมาแพร่หลายในโซเชียลเน็ตเวริ์คจำนวนมากนั้น  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

ต้องยอมรับว่า การเรียนการสอนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน อาจยังไม่เข้มข้นและน้อยลงมากเกินไป
จึงส่งผลให้นักเรียนขาดคุณธรรมจริยธรรมภายในใจจนนำไปสู่การแสดงออกทางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม


โดยเรื่องดังกล่าวอยากให้มองว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กไม่ว่าจะเป็นการสร้างวินัย ศีลธรรม และการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียนที่เกิดขึ้นนับเป็นตัวบ่งบองว่าสังคมกำลังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโยนความผิดให้โรงเรียนทั้งหมด แต่เรื่องนี้มาจากองค์ประกอบหลายอย่างที่สังคมต้องช่วยกันดูแล



เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า   ทั้งนี้ สพฐ. ได้ดำเนินการจัดทำโครงการโรงเรียนดีประจำตำบล หรือโรงเรียนดีศรีตำบล 6,500 โรง โดยมีรูปแบบการดำเนินการที่เชื่อมโยงสถาบันศาสนาเข้ากับโรงเรียน ซึ่งจะเริ่มต้นพัฒนาบุคลากรฝ่ายผู้บริหาร ตัวแทนครู ร่วมกับตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน ในการนำผู้นำศาสนา เข้ามาช่วยฝึกอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมให้

หลังจากนั้นจะมีการขยายผลไปยังครูผู้สอนทุกคน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนคุณธรรมและจริยธรรมไปสู่ผู้เรียนอย่างเข้มข้นต่อไป อย่างไรก็ตามโครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายผลไปยังโรงเรียนในเมืองได้ปฎิบัติอีกด้วย.

ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/134407
http://www.dra.go.th/
20381  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดริมเจ้าพระยา..เชิญพสกนิกรชาวไทย รับเสด็จฯในหลวง เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 07:02:03 pm

วัดริมเจ้าพระยา..เชิญพสกนิกรชาวไทย รับเสด็จฯในหลวง

เจ้าอาวาสวัดริมเจ้าพระยา กทม.-และวัดในจังหวัดนนทบุรี พร้อมใจเชิญชวนประชาชนร่วม สวดเจริญชัยมงคลคาถา เฝ้ารับเสด็จฯในหลวง ทางชลมารค

ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์เสด็จพระราชดำเนิน ทางชลมารค โดยเรืออังสนา ที่กองทัพเรือจัดถวายเป็นเรือพระที่นั่ง เพื่อทรงเยี่ยมราษฎรตลอดลำน้ำเจ้าพระยาระหว่างโรงพยาบาลศิริราช ถึงเกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และทรงประกอบราชพิธีเปิดโครงการชลประทาน 5 แห่งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในวันที่ 7 ก.ค.ที่บริเวณท่าน้ำหน้าบริเวณกรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ ตามที่เสนอข่าวมาแล้วนั้น

วันที่ (5 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระราชปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดดาวดึงษาราม รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า คณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร ได้เตรียมพร้อมรับเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โดยวัดที่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีจัดโต๊ะหมู่บูชา สวดชัยมงคลคาถา
    ส่วนบริเวณสะพานพระราม 8 สวนเฉลิมพระเกียรติจะมีพระสงฆ์มาประมาณ 200-300 รูป ประกอบพิธีเดียว
กัน
    อย่างไรก็ตาม คณะสงฆ์กทม.เตรียมพร้อมรับเสด็จอย่างเต็มที่
    พร้อมทั้งเชิญชวนพุทธศาสนิกชนมาร่วมสวดบทเจริญชัยมงคลคาถา
    ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย



   พระธรรมกิตติมุนี เจ้าอาวาสวัดเฉลิมพระเกียรติ เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า ในส่วนของวัดเฉลิมพระเกียรติ คณะสงฆ์จะมีพิธีสวดเจริญชัยมงคลคาถาในพระอุโบสถ ส่วนบริเวณท่าน้ำจะมีคณะตลก ถั่วแระ และประชาชนเฝ้ารับเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    อย่างไรก็ตาม ได้แจ้งวัดต่างๆในปกครองที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความพร้อมให้ประดับริ้วธง ให้สวยงาม ประดับพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมทั้งจัดสวดเจริญชัยมงคลคาถาโดยพร้อมเพียงกัน


    ขณะที่ นายบุญเลิศ โสภา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า ทางผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีได้สั่งการให้ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.บางกรวย อ.เมือง และอ.ปากเกร็ด เตรียมการรับเสด็จ โดยประดับประดาธง ขึ้นป้ายเทิดทูนสถาบัน

     ในส่วนของวัดจะมีพื้นที่ให้ประชาชนไปเฝ้ารับเสด็จฯได้ประมาณ 30 วัด อาทิ
     อ.บางกรวย ที่วัดลุ่มคงคาราม ,
     อ.เมือง ที่วัดค้างคาว  วัดตึก วัดศาลารี วัดเขียน วัดสลักใต้ วัดตำหนักใต้
     วัดท้ายเมือง วัดเขมาภิรตาราม วัดปากน้ำ ,
     อ.ปากเกร็ด ที่วัดเชิงเลน วัดท่าอิฐ วัดแสงสิริธรรม วัดใหญ่สว่างอารมณ์ วัดไผ่ล้อม
     วัดปากคลองพระอุดม วัดเสาธงทอง วัดบางจาก วัดปรมัยยิกาวาส วัดเตย วัดสนามเหนือ วัดกลางเกร็ด วัดฉิมพลี


    อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดเตรียมพร้อมดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯริมน้ำ โดยหากจะต้องลงไปที่โป๊ะจะจำกัดจำนวนคนไม่ให้เกินน้ำหนักที่โป๊ะจะรับได้ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดด้วย



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/134433
http://images.thaiza.com/
20382  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความลับเบื้องหลัง "เทปสี" ทำไมบรรดา "นักกีฬา" จึงนิยมกันนัก.? เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 01:42:08 pm



ความลับเบื้องหลัง "เทปสี" ทำไมบรรดา "นักกีฬา" จึงนิยมกันนัก.?

สงสัยหรือไม่ ว่าทำไมนักกีฬาต้องแปะ"เทปสี"?

ในศึกการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลง หากสังเกตดีๆ จะพบว่า "มาริโอ บาโลเทลลี" กองหน้าตัวแสบของทีมชาติอิตาลี ได้แปะเทปสีดังกล่าวที่หลังของเขาถึง 3 แถบ

การแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน "โนวัค ยอโควิช" นักหวดชาวเซอร์เบีย ได้แปะเทปสีดังกล่าวไว้ที่ไหล่ของเขาในระหว่างการแข่งขัน

     แล้วอะไร คือ เทปสีที่กำลังฮิตกัน?

บริษัท "คิเนสิโอะ" จากญี่ปุ่น เผยว่า ที่แท้แล้วมัน คือเ ทปสำหรับแปะเพื่อช่วยลดการปวดกล้ามเนื้อ
แม้มันเหมือนจะดูเป็นของใหม่สำหรับใครหลายคน แต่แท้จริงแล้วมันมีที่มาย้อนกลับไปถึงยุค 1970



นายแพทย์เคนโซ คาเสะ กล่าวว่า การออกแบบเกิดขึ้น หลังจากที่เขาค้นพบว่าการรัดด้วยผ้ายางหนืดแบบมาตรฐาน ซึ่งเป็นเทคนิคในการรักษาที่ใช้โดยทั่วไป มีข้อจำกัดเกินไปสำหรับผู้ป่วยบางราย แม้การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวจะช่วยในการพยุงกล้ามเนื้อและข้อต่อ แต่มันก็สร้างความไม่สะดวกในการเคลื่อนไหว และจากความเข้าใจของนพ.คาเสะ วิธีที่ว่ามาจะไปขัดขวางกระบวนการเยียวยา โดยจะยับยั้งการไหลของของเหลวที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบใต้ผิวหนัง

เขากล่าวว่า เทปคิเนสิโอะ ทำงานต่างออกไป เนื่องจากมันจะช่วยยกผิวหนัง เพื่อช่วยในการไหลของน้ำเหลือง ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดและบวม แต่อย่างไรก็ดี นพ.คาเสะยอมรับว่า ยังคงมีผลการศึกษาที่ค่อนข้างน้อย เพื่อพิสูจน์ข้ออ้างทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว

เขากล่าวว่า มีผู้ใช้จำนวนมากที่ได้รับผลการรักษาที่น่าพอใจจากเทปสีดังกล่าวมานานกว่า 30 ปี และเชื่อว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เห็นเด่นชัดดังกล่าว จะช่วยยุติเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ดี



นพ.คาเสะกล่าวว่า มีหลายคนพยายามทำการวิจัยถึงเทปสีดังกล่าว แต่ทว่าสมาคมคิเนสิโอะนานาชาติ เพิ่งก่อตั้งขึ้นเพียง 5 ปี จึงจำเป็นต้องมีหลักฐานที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายงานด้านการวิจัย สาเหตุหนึ่งที่ผู้คนใช้คิเนสิโอะเทปก็คือต้องการหาข้อพิสูจน์ดังกล่าว

อย่างไรก็ดี มีข้อชวนให้คิดถึง สิ่งที่เรียกกันว่า "Placebo effect" ซึ่งในทางการแพทย์แล้ว แปลว่า "ฤทธิ์ผลจากยาหลอก" ทั้งๆที่อาจไม่มีผลในการรักษาจริง  หากเราเชื่อว่าสิ่งใดที่มีประโยชน์หรือได้ผล มันก็จะได้ผลจริงตามที่เราคาดไว้


จอห์น บริวเออร์ ศาสตราจารย์ด้านการกีฬา จากมหาวิทยาลัยเบดฟอร์เชียร์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวเขาคิดว่า มันเป็นมากกว่า Placebo effect ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆจากบริษัทผู้ผลิตที่ชี้ให้เห็นว่า มันมีผลต่อการเคลื่อนไหวหรือป้องกันความเจ็บปวด

สิ่งที่เขากังวลก็คือ แทบไม่มีสิ่งใดที่ใช้แปะลงบนผิวหนัง แล้วจะช่วยให้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อกล้ามเนื้อที่อยู่เบื้องล่าง และย้ำว่า "พลัง"และ"ความตึงเครียด"ที่ส่งผ่านข้อต่อในร่างกายมนุษย์มีพลังมหาศาลกว่าที่เราคิด

อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า เขาเองก็ไม่พบว่าเทปสีดังกล่าวจะส่งผลร้ายใดๆต่อร่างกาย นอกเสียจากเมื่อเวลาลอกออก มันจะดึง"ขน"ตามร่างกายของเราออกไปด้วย ในทางทฤษฎี สิ่งใดก็ตามที่สามารถลด"การสั่นไหว"ที่ส่งผ่านกล้ามเนื้อ ขณะที่เรากำลังเล่นกีฬา ก็ถือเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น

 

ฟิล นิวตัน นักกายภาพบำบัดจากศูนย์กีฬาแห่งชาติของอังกฤษ กล่าวว่า มันเป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาล แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ บริษัทหลายแห่งต่างแห่ผลิตมันออกมาจำนวนมาก และแพทย์เวชปฏิบัติก็เริ่มใช้กันบ้างแล้ว เพื่อช่วยลดแรงกดในกล้ามเนื้อภายใต้ผิวหนัง

และเมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติความทนต่อแรงดึงของมัน  เขาไม่เห็นว่ามันจะทำเช่นนั้นได้จริง นอกเสียจากว่ามันช่วยกระตุ้นความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งเป็นพลังมหาศาลจาก Placebo effect ที่ไม่อาจประเมินได้


    เขายังทำนายว่า ในมหกรรมโอลิมปิกลอนดอนที่จะถึงนี้
     จะเต็มไปด้วยสีสันจากเทปสีดังกล่าวจากบรรดานักกีฬา


     ขณะที่นพ.คาเสะ กล่าวว่า ที่กีฬาโอลิมปิกเต็มไปด้วยนักกีฬาระดับหัวกะทิ 
     และนักกีฬาเหล่านี้ ย่อมแตกกต่างจากนักกีฬาธรรมดาทั่วไป พวกเขามีความอ่อนไหวสูงและวิตกกังวลได้ง่าย  เทปสีของบริษัทเขาจะช่วยให้นักกีฬารู้สึกสบายขึ้น และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ยาโด๊ป




ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341395252&grpid=01&catid=&subcatid=
20383  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / สุดช็อค iPhone 4S ไหม้คากระเป๋ากางเกงหนุ่มดวงซวย !? (ชมคลิป) เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 01:28:08 pm


สุดช็อค iPhone 4S ไหม้คากระเป๋ากางเกงหนุ่มดวงซวย !? (ชมคลิป)

เว็บไซต์ด้านไอที TechXcite ซึ่งเคยนำเสนอข่าวกรณี Samsung Galaxy S III ระเบิดและมีการแถลงชี้แจงจากทางซัมซุงจะเร่งหาสาเหตุและแจ้งทางการอีกครั้ง ล่าสุดทางเว็บไซต์ได้นำเสนอข่าว ผู้ใช้งาน iPhone 4S ซึ่งมีเจ้าของ iPhone 4S รายหนึ่งอ้างว่าโทรศัพท์มือถือของเขาเกิดไฟไหม้ขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุคากระเป๋ากางเกง แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก

โดยหนุ่มรายนี้คือ นาย Henri Helminen ชาวฟินแลนด์วัย 17 ปีเล่าว่าขณะที่เขาลงจากรถและกำลังจะเดินไปนั้นเกิดรู้สึกว่าร้อนๆที่บริเวณกระเป๋ากางเกง ซึ่งเมื่อหันไปดูถึงกับช็อคว่าบริเวณกระเป๋ากางเกงที่เขาพก iPhone อยู่นั้นเกิดควันไฟคละคลุ้งออกมาเป็นจำนวนมาก โชคยังดีที่ยังมีสติพอที่กระชาก iPhone ที่ไหม้ไฟออกมาปาลงพื้นทิ้งได้อย่างทันท่วงที



เผยแพร่เมื่อ 2 ก.ค. 2012 โดย voaa

ทั้งนี้เหตุการณ์ไฟลนก้นดังกล่าวได้รับการบันทึกภาพไว้ด้วย กล้องวงจรปิดบริเวณนั้นพอดีจึงเป็นที่มาของคลิปนาทีชีวิต

อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังไม่มีการยืนยันว่าเหตุ iPhone เกิดไฟลุกดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากสาเหตุใดกันแน่เพราะ iPhone เครื่องดังกล่าวเองเพิ่งจะถอยออกมาจากร้านได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตามในอีกทางหนึ่งฝั่งสื่อมวลชนของประเทศฟินแลนด์เองกำลังพยายาม หาทางขุดคุ้ยว่าคลิป iPhone ไฟลุกนั้นเป็นของจริงหรือการจัดฉากต้มตุ๋นกันแน่ด้วย



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341455255&grpid=01&catid=&subcatid=
20384  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคารพตน..เคารพท่าน..เคารพโลก เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 01:20:21 pm


เคารพตน...เคารพท่าน...เคารพโลก
มองนอกดูใน โดยแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

      ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ เป็นช่วงเวลาครบรอบ ๒๐ ปีของการจัดประชุม Earth Summit องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้จัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ หรือ ‘Rio+20’ ขึ้นที่เมืองริโอ เดอจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ มิถุนายน

      โดยมีหัวข้อการประชุมหลัก ๒ เรื่อง คือ Green Economy in the Context of Sustainable Development and Poverty Eradication และ Institutional Framework for Sustainable Development

      โดยมีประมุขของรัฐและประมุขของรัฐบาลรวม ๑๓๒ ประเทศ รวมทั้งผู้แทนรัฐบาลทุกรัฐบาลทั่วโลก ประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน เข้าร่วมด้วย การประชุมครั้งนี้เป็นการจัดในโอกาสครบ ๒๐ ปี จากการจัดการประชุมริโอซัมมิท หรือการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาและสิ่งแวดล้อม ค.ศ.๑๙๙๒

      ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ และทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยตามคำกราบทูลเชิญของประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลไปทรงร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.๒๐๑๒ ด้วย
 
      นอกจากนี้ยังมีการจัดการประชุมของหลายภาคส่วนอยู่ทั่วเมืองริโอ เดอจาเนโร อาทิ  People Summit ซึ่งเป็นการประชุมของภาคประชาชนจากทั่วโลก โดยทั้งหมดทั้งมวลเป็นการประชุมที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น GPIW (Global Peace Initiative of Women) ก็ได้จัดการเสวนาขึ้นทั้งในงาน People Summit และที่ Aldeia Nova Terra ป่าดงดิบในภูเขาที่ร่มรื่น และข้าพเจ้าก็ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในทั้งสองส่วน และเข้าร่วมประชุมในส่วนของ Earth Summit ด้วย

 

      การประชุมของ GPIW เริ่มต้นขึ้นด้วยการกล่าวเปิดประชุมของผู้เป็นประธาน...ดีน่า มีร์เรียม
 
      “การประชุม Rio+20 เน้นเรื่อง ‘เศรษฐกิจสีเขียว’ ซึ่งมีความหมายหลากหลาย เศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยความกรุณาทำให้เกิดระบบการพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งให้ความสำคัญกับท่วงทำนองแห่งธรรมชาติและความจำเป็นที่ต้องใช้พลังจากธรรมชาติ รวมทั้งการดูแลสรรพสิ่งที่มีชีวิต และหลักการทางจิตวิญญาณอะไรที่ควรเป็นพื้นฐานของวิสัยทัศน์นี้...”
 
       นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงทัศนะที่น่าสนใจยิ่ง อาทิ
 
       “เมื่อ ๓-๔ ปีก่อนผมได้ทำสถิติโดยตั้งคำถามให้กลุ่มคนอายุ ๑๓-๓๕ ปี ตอบว่า หากมีสิ่งของสองราคา จะเลือกซื้ออะไรระหว่าง หนึ่ง...ราคาถูก สอง...ราคาแพงขึ้นมาหน่อยแต่ได้ช่วยสิ่งแวดล้อม ๗๐% ของเด็กอายุ ๑๓-๑๙ ปี เลือกซื้อของราคาถูก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเราคงต้องทำงานมากขึ้นเพื่อทำให้เยาวชนเข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม...
 
       “หากเราตระหนักว่า พวกเราทุกคนเป็นทั้งปัญหาและทางออก ไม่ใช่เฉพาะผู้นำประเทศหรือนักการเมืองที่จะแก้ไขปัญหา และศาสนาเป็นพื้นฐานในการหล่อหลอมทัศนคติของชุมชน เมื่อไรที่ศาสนาเริ่มกระตุ้นให้คนในชุมชนมองทุกเรื่องอย่างเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ก็จะเกิดการกระทำของชุมชนที่ช่วยเหลือธรรมชาติ
        ผมเชื่อว่าเรามีความหวัง เพราะในฐานะคนในศาสนาและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน...เรากำลังทำสิ่งนี้อยู่”
   
       เป็นคำกล่าวของ บาทหลวงริชาร์ด ซีซิค ประธานองค์กร นิวอิแวนเจลิคอล จากประเทศสหรัฐอเมริกา

 

        สำหรับข้าพเจ้า ได้แลกเปลี่ยนกับที่ประชุมตอนหนึ่งว่า
 
        “เราเกิดมาเพื่อไป โลกนี้ไม่ใช่ของเรา เราเป็นแค่เพียงผู้อาศัย เป็นผู้ขอยืม อย่าติดหนี้แล้วจากไปอย่างทิ้งความทุกข์ไว้กับโลกใบนี้ กลับมามีความสุขเล็กๆ กับลมหายใจเข้าที่อ่อนโยน ได้ออกซิเจนจากต้นไม้ และคืนคาร์บอนไดออกไซด์อย่างคนที่มีความรักให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้...ข้าพเจ้าขอนำเสนอความสุข ๓ แบบที่เราทำได้ทันที
         สุขแรก คือ การกลับมามีความสุขง่ายจากการใช้น้อย
         สุขที่สอง คือ มีความสุขกับการเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่สุขในฐานะของผู้เสพ
         สุขที่สามสำคัญมาก คือ เราต้องสุขกับการมีจิตที่คิดจะให้ เราต้องช่วยกันทำเศรษฐกิจประเภทที่จะมีความสุขที่ได้จากการให้มากกว่าความสุขที่ได้จากการรับ เรามีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ แต่เราก็บังคับทั้งกายและใจไม่ได้ แต่เราสามารถอยู่กับกายกับใจของเรา โดยอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างที่เคารพชีวิตของเราได้ และถ้าเราเคารพชีวิตของเราได้ เราก็เคารพคนที่อยู่ข้างหน้าเราได้ เคารพโลกได้”

 
         ติดตามทัศนะอันหลากหลายและน่าสนใจเพิ่มเติมได้จากนิตยสาร ‘ธรรมสวัสดี’ ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยรับได้ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS และที่เสถียรธรรมสถาน หรือ www.sdsweb.org

          ธรรมสวัสดี



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.komchadluek.net/detail/20120705/134422/เคารพตน...เคารพท่าน...เคารพโลก.html
http://img.kapook.com/,http://www.chiangmaithailand.tht.in/
20385  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปริศนาธรรม 'หิมะในจานดิน' พระราชรัตนรังษี เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 01:05:50 pm

ปริศนาธรรม 'หิมะในจานดิน' พระราชรัตนรังษี
ปริศนาธรรมจาก'หิมะในจานดิน'ของ พระราชรัตนรังษี : บุญนำพา

       “หิมะในจานดิน” เป็นหัวข้อธรรมที่ พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ได้มาบรรยายในโครงการ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น” หนึ่งในโครงการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ของ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น
     
        พระอาจารย์วีรยุทธ์ ได้เริ่มต้นการบรรยายด้วยการพูดถึงที่มาของคำว่า “หิมะในจานดิน” ว่าหมายถึง แผ่นดินพุทธภูมิ ยอดของดินก็คือ หิมาลัย หิมะ คือความเย็นที่มีอุณหภูมิสูงกลายเป็นหิมะปกคลุมภูเขาหิมาลัยอยู่ ดินแดนแห่งนั้น คือ
        สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้า สมัยเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เลือกเป็นที่บำเพ็ญบารมี พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรในป่าหิมพานต์ถึง ๒๑๔ ชาติ หิมะที่รองบนจานดินได้นั้นคือความแน่วแน่ ไม่แปรผันของพระโพธิสัตว์ คือ ความหมายหนึ่งของคำว่า หิมะในจานดิน
     
        อีกหนึ่งความหมายของ หิมะในจานดิน ก็คือ หิมะ มีสีขาว สีแห่งความบริสุทธิ์ และเป็นกลาง หิมะที่กล่าวนี้หมายถึง พระโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญบารมีจนได้รับการคัดเลือกในเทวสภาให้มาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
     
        จานดิน หมายถึง พุทธภูมิที่เตรียมการเพื่อรองรับฝ่าพระบาทของพระพุทธเจ้าในการประสูติ ณ ลุมพินีวัน เป็นสถานที่ ซึ่งพระองค์เลือกเอง พระองค์เลือกจะประทับรอยพระบาทที่นั่น ความบริสุทธิ์ของพระกุมารได้ปรากฏอภินิหารในวันประสูติ โดยพระกุมารเสด็จออกจากครรภ์พุทธมารดา และประทับรอยพระบาทลงแผ่นดิน เสด็จพระดำเนินได้ ๗ ก้าว พร้อมกล่าวพระอภิสวาจาว่า เราเป็นผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด เจริญที่สุด
     
         “ก่อนการประสูติของพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายบนโลกมีความโกลาหลด้วยทิฐิ เป็นคนหลงทิศหลงทาง  พระพุทธเจ้าจึงเสด็จอุบัติขึ้น เพื่อสอนมิให้คนเดินหลงทิศหลงทาง โดยทิศทั้ง ๖ คือ
      ทิศเบื้องบน คือ สมณชีพราหมณ์ ผู้สั่งสอนให้เป็นคนคิดสูง จิตสูง
      ทิศเบื้องหน้า คือ บิดามารดา พระอรหันต์ของลูก ที่พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งให้มาดูแลและเลี้ยงดูบุตรธิดาให้ก้าวย่างเข้าไปสู่ทิศทางของพระอริยบุคคล
      ทิศเบื้องหลัง คือ บุตรและภรรยา บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง มีใครบ้าง ลืมไม่ได้
      ทิศเบื้องขวา คือ ครู/อาจารย์ ผู้ให้ความถนัด
      ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตร คนที่ช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ และ สุดท้าย
      ทิศเบื้องล่าง คือ บ่าว


      การที่จะไม่หลงทิศ ต้องมองหาความดีของทั้ง ๖ อย่างนี้ให้ได้ เพราะถ้าหาความดีซึ่งกันและกันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นความพร่ามัวของความดี แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร การค้นหาแต่ความไม่ดีของกันและกัน จะทำให้สังคมอ่อนแอ คุณธรรมที่จะให้สังคมได้ถึงซึ่งความเป็นหิมะในจานดิน นั่นก็คือ ต้องทำตาของตัวให้เป็นตาผู้วิเศษ  มองเห็นแต่ความดีของผู้อื่น”


   

      สำหรับเคล็ดลับการไม่หลงทาง คือ มรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่
      สัมมาทิฏฐิ คือ ความคิดชอบ
      สัมมาสังกัปปะ การตั้งความดำริ คือ ความคิด ออกไปเป็นเรื่องของการปฏิบัติได้
      สัมมาวาจา การกล่าวคำที่เป็นประโยชน์ เว้นโทษแก่กัน
      สัมมากัมมันตะ การทำงานต้องสอดคล้องด้วยจิตที่คิดแล้วมีความเสมอกันด้วยความชอบ  ถ้าต่างคนต่างชอบ ก็ยังไม่ประกอบด้วยความยุติ ต้องมีส่วนกลางที่ทำให้เกิดความชอบเหมือนกัน ก็คือ ชอบธรรม
      สัมมาอาชีวะ มีการงานอันเป็นที่ตั้งแห่งความชอบ ชอบที่เป็นกรอบให้ปฏิบัติ คือ การตั้งความชอบในพระธรรมวินัย
      สัมมาวายามะ มีความเพียร เพียรไปสู่การละบาป เพื่อให้เป็นบุญ
      สัมมาสติ มีสติเป็นที่ตั้ง มีพุทธานุสติ ธรรมานุสติ และสังฆานุสติ สุดท้าย
      สัมมาสมาธิ ต้องมีใจที่ใฝ่ความสงบ เพราะในความสงบมีความสว่าง ในความสว่างจะเห็นความจริง นำไปสู่ความพ้นทุกข์

     
      “หิมะในจานดิน คือ การประกาศความขาวสะอาดงดงามในแผ่นดินพุทธภูมิ ขอให้ช่วยกันน้อมนำธรรมะมาสู่จิตใจ เพื่อนำไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ในสังคมที่สับสนวุ่นวาย
       เพราะหากไม่มีหลักธรรม ซึ่งเป็นหลักการเดินของทาง เราจะไม่สามารถผ่านความเร่าร้อนของไฟแห่งราคะ ไฟแห่งความโกรธ  และไฟแห่งความหลง ที่ระบาดไปทั่ว
       หากเราไม่มีธรรมะ เราจะไม่สามารถผ่านกองเพลิงเหล่านี้ได้เลย จึงต้องรับธรรมะไปเป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองรักษาตน ไม่ให้กลายเป็นเหยื่อ หรือเป็นเครื่องทำให้เกิดความร้อนจากจิตของเราเอง”

       พระราชรัตนรังษี กล่าวทิ้งท้าย


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.komchadluek.net/detail/20120705/134423/ปริศนาธรรมหิมะในจานดินพระราชรัตนรังษี.html
http://www.dhammajak.net/
20386  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อายุมากแล้ว จะอ่านพระไตรปิฎกได้ไหม.?.? เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 12:09:47 pm


อายุมากแล้ว จะอ่านพระไตรปิฎกได้ไหม.?.?

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสตรีผู้อาวุโสท่านหนึ่งถามมา บอกว่าตัวเองอายุจะ 60 แล้ว จะอ่านพระไตรปิฎกได้หรือไม่

จริง ๆ การอ่านพระไตรปิฎกนั้นไม่จำกัดวัย หากอ่านหนังสือภาษาไทยได้แล้ว ใครก็สามารถอ่านได้ เพียงแต่ต้องดูสภาพร่างกายและสายตาตัวเองก่อน

บางคนอายุมาก 80 ปี แต่สายตายังดี สามารถอ่านหนังสือได้สบาย แต่บางคนหากสายตาไม่ดี แม้ตัดแว่นใส่แล้วก็ยังไม่ดีพอ ยังพร่า ๆ มัว ๆ อยู่ ก็แนะนำว่า อย่าฝืนอ่านเลย จะทำให้เสียสุขภาพเปล่า ๆ

บางคนก็ถามว่า พระไตรปิฏกมีตั้ง 30-40 กว่าเล่ม ตัวเองอายุมากแล้วจะอ่านจบเหรอ ก็ขอบอกว่า อย่ากังวลเรื่องอ่านจบไม่จบ เอาเป็นว่า ให้อ่านเรื่องใดก็ได้ เล่มไหนก็ได้ อ่านแล้วเข้าใจเรื่องที่อ่านและอ่านแล้วทำให้จิตใจตัวเองสงบ สำรวมกาย วาจาได้ดี จิตใจไม่พลุกพล่านร้อนรน นั่นคือสุดยอดของการอ่านแล้ว บางทีการอ่านพระไตรปิฎกแค่ 4-5 หน้าแต่ใจท่านสงบ ใจเบา ไม่ทุกข์ร้อน นั่นอาจมีประโยชน์มากกว่าอ่านพระไตรปิฎกเยอะแยะมากฉบับก็ได้


 
ทำอย่างไร สายตาไม่ดี แต่อยากอ่านพระไตรปิฎก
จริง ๆ ทุกวันนี้มีทางเลือก แม้สายตาไม่ดี แต่หากหูท่านยังฟังเสียงได้ดี ก็มีพระไตรปิฎกเสียง เช่นฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก็มีผู้นำไปอ่านบันทึกเสียงไว้ เลือกเปิดอ่านเป็นเล่ม ๆ ได้เช่นกัน ลองสืบหาข้อมูลดู (หากท่านหาไม่ได้จริง ๆก็ติดต่อมา ทางโครงการเราจะหาวิธีทำให้ท่านได้ฟังแบบง่าย ๆ)

 

เริ่มต้นอ่านพระไตรปิฎก
สำหรับคนโดยทั่วไป ถ้าท่านไม่ค่อยได้อ่านหนังสือธรรมะ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือทางพระศาสนามาก่อน ถ้าจะเริ่มอ่านพระไตรปิฎก แนะนำว่า ให้ท่านอ่านพระสุตตันตปิฏก (พระสูตร) ก่อนจะง่ายกว่า เพราะพระสูตรจะมีทั้งเรื่องราว มีเหตุการณ์ มีนิทาน มีเรื่องเล่า มีหลักธรรมะท่าน ๆ ประกอบกัน อ่านได้ง่ายกว่า

ส่วนพระวินัย จะเป็นเรื่องกฎระเบียบหรือกฏหมายของพระสงฆ์ ซึ่งฆราวาสทั่วไทยบางทีอาจไม่จำเป็นต้องรู้มากนัก เว้นแต่ท่านต้องการจะบวชหรือสำหรับท่านที่อยากรู้จริง ๆ  ค่อยอ่านเป็นลำดับถัดไป

สำหรับพระอภิธรรม จะเป็นคำสอนที่แสดงแต่ธรรมะล้วน ๆ เป็นเรื่องปรมัตถ์ ไม่มีเรื่องราว นิทาน หรือบุคคลประกอบ บางท่านอาจยากหรือหนักเกินไป ถ้าท่านสนใจจริง ๆ อาจหาหนังสือที่อธิบายพระอภิธรรมมาอ่านก่อนก็จะดี เพราะจะทำให้เข้าใจพระอภิธรรมง่ายขึ้น เช่น หนังสืออภิธัมมัตถะสังคหะ (มีที่อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์, โรงเรียนอภิธรรม วัดระฆังโฆสิตาราม,โรงเรียนอภิธรรม วัดศรีสุดาราม บางกอกน้อย, มูลนิธิแนบ มหาวีรานนท์ และที่อื่น ๆ ที่มีการบรรยายพระอภิธรรม)


 
อภิธรรมเป็นอย่างไร
อภิธรรมคือองค์ความรู้ที่อธิบายความจริงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ท่านแยกออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือความจริงของสิ่งที่เป็นรูป กับ ความจริงของสิ่งที่ไร้รูปหรือสิ่งที่มีแต่ชื่อ(นาม)

จริง ๆ เราคุ้นเคยอภิธรรมกันดีอยู่แล้ว เช่น เวลาเราไปงานศพทุกงาน พระท่านจะสวดมาติกา  กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ฯลฯ หรือสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ (กุสลา ว่าด้วย สภาพธรรม 3 ชนิด, ปัญจักขันธา ว่าด้วยขันธ์ 5 ฯ, สังคโห ว่าด้วยการสังเคราะห์ธรรมฯ, ฉปัญญัตติ ว่าด้วยสมมุติบัญญัติ 6 ฯ, ปุคคโล ว่าด้วยเรื่องสัตว์ บุคคลฯ, เยเกจิ ว่าด้วยการจัดหมวดหมู่ธรรมฯ  อีกแบบ, เหตุปัจจะโย ว่าด้วยเหตุ และปัจจัยที่ทำให้เกิดมีสิ่งต่าง ๆ ฯ) ซึ่งเวลาเราไปงานศพ หากเราสามารถเข้าใจสิ่งที่พระท่านกำลังสวด จะมีอานิสงส์มาก



ถ้าพูดแบบปัจจุบัน อภิธรรมจะคล้ายกับวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ คล้ายฟิสิกส์
ถ้าเราเริ่มอ่านพระไตรปิฏกในหมวดอภิธรรม บางทีเราอาจไม่รู้อะไรเลยและอาจคิดว่า พระไตรปิฎก อ่านเข้าใจยาก จะพาลให้ท้อได้ สำหรับท่านที่สนใจอภิธรรมอย่างจริงจัง แนะนำว่าลองไปนั่งฟังการบรรยายอภิธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านจัดสอนจัดบรรยายดูก่อน ให้ได้พื้นพอสมควร แล้วมาอ่านพระไตรปิฎกก็จะทำให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

ข้อดีของการเข้าใจอภิธรรม คือ ทำให้เราปล่อยวางในสิ่งต่าง ๆ ที่ยึดติดได้ง่าย มีความมั่นใจสูง ไม่ถือเนื้ออวดตัว และหากมุ่งสู่การปฏิบัติก็ก้าวหน้าเร็ว เนื่องจากมีพื้นความรู้ทางปรมัตถ์ที่ดีอยู่แล้ว

ในการเรียนการสอนอภิธรรมของสถานที่ต่าง ๆ นั้น การอธิบายอภิธรรมมักหลีกเลี่ยงคำศัพท์ที่เป็นภาษาบาลีไม่ได้ ซึ่งมันจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ หลาย ๆ คนจึงรู้สึกว่า เรียนเข้าใจยาก (เพราะตัวเองมีพื้นความรู้บาลีน้อย) แต่สำหรับคนที่เรียนภาษาบาลีมาบ้าง จะเรียนอภิธรรมได้สนุกและเข้าใจรวดเร็วกว่า

สำหรับผู้สนใจเรียนบาลี ปัจจุบันมีการสอนบาลีสำหรับฆราวาสอยู่หลายที่ สถานที่ที่อยากแนะนำคือ กุฏีคณะ 25 วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ จัดสอนบาลีสำหรับฆราวาสผู้สนใจทั่วไป เริ่มจากเบื้องต้น ไปจนถึงชั้นสูง เรียนกัจจายนปกรณ์ ปทรูปสิทธิฯลฯ ซึ่งมีไม่กีแห่งที่จัดเรียนจัดสอนแบบนี้ในเมืองไทย หรือไปสมัครเรียนที่ศูนย์บาลึศึกษา วัดโมลีโลกยาราม เขตบางกอกใหญ่ กทม. ก็ได้ เปิดรับบุคคลทั่วไปเข้าเรียนฟรี หลักสูตรระยะสั้น เรียนเฉพาะวันอาทิตย์

      คลิกดูรายละเอียด

เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2555
เขียนโดย โครงการชวนชาวพุทธ อ่านพระไตรปิฎก


ที่มา http://3pidok.com/main.php?url=news_view&id=20&cat=B
ขอบคุณภาพจาก http://3pidok.com/
20387  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จิตไม่ยอมนิ่ง ไม่ยอมสงบ จะทำอย่างไงดี เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 11:47:09 am

จิตไม่ยอมนิ่ง ไม่ยอมสงบ

เวลาไปสนทนาธรรม หรือไปเป็นวิทยากรที่ไหนก็ตาม มักจะได้ยินคำถามที่ว่า...

“เวลาทำสมาธิจิตไม่สงบ” หรือไม่ก็ “จิตจะส่ายซัด ฟุ้งซ่าน ไม่อยู่นิ่ง จะทำยังไง”

คำถามดังกล่าวข้างต้น คือ ‘ปัญหา’ สำหรับนักภาวนา นักทำสมาธิทุกคน ต้องย้ำคำว่า ‘ทุกคน’ ครับผม เพราะเป็นธรรมชาติของจิตที่ครูบาอาจารย์ท่านอุปมาจิตไว้ ดั่งลิงที่ซุกซนโดยนิสัยแล้ว เราพยายามเอาเชือกมาผูกล่ามเอาไว้ ซึ่งมันจะพยายามสลัดหลุด

จิตก็เช่นกัน เวลาเราบังคับให้อยู่นิ่ง ๆ มันก็จะดีดดิ้นไปมาเป็นธรรมดา

ทว่าความธรรมดาอันนี้ สามารถทำให้นักปฏิบัติภาวนาจำนวนมากต่อมากเกิดการท้อแท้จนทิ้งการปฏิบัติไปอย่างน่าเสียดาย...และเพราะธรรมชาติจิตของมนุษย์เป็นเช่นที่กล่าวมาข้างต้น พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำ ‘อุบาย’ วิธีมากมาย ในการอบรมจิตเพื่อความสงบนั้นมากมายหลายวิธี ซึ่งจะไม่กล่าวในที่นี้อย่างละเอียดด้วยมีมากมายหลายสิบประการ

   การก้าวสู่ความสงบของจิต ก็เหมือนการก้าวไปอีกฟากฝั่งของมนุษย์ที่ต้องอาศัยสะพานข้ามไป
   ฉะนั้นการทำภาวนา จึงต้องอาศัยลักษณะการ ‘บริกรรม’ หรือการใช้ ‘วัตถุธาตุ’ สำหรับ ‘เพ่งจ้อง’ ของจิต


ถึงตรงนี้ก็ต้องอธิบาย คำว่า ‘เพ่ง’ เสียก่อน เพราะหลาย ๆ คน เข้าใจอากัปกิริยาเพ่งจ้องตรงนี้ผิด ๆ จนการปฏิบัติล้มเหลวหรือเกิดโทษ

คำว่า ‘เพ่ง’ หรือ ‘จ้อง’ อันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสมถวิธีแบบกสิณ อันมี เตโชกสิณ วาโยกสิณ ปฐวีกสิณ ฯลฯ

บางท่านคิดว่าการ ‘เพ่ง’ คือการนั่งจ้องมองด้วยสายตาอย่างนั้นตลอดเวลา ความคิดเช่นนี้ผิดครับ ผิดอย่างมหันต์ เช่นการเพ่งกสิณไฟ ถ้าคุณนั่งจ้องมองไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าตาคุณก็จะบอด

บางรายอาจเสียสติ เพราะอาการวูบไหวของเปลวไฟจะทำให้เกิดภาพหลอนขึ้น

คำว่า ‘เพ่ง’ ในความหมายของการปฏิบัติสมาธิ คือโดยการจำภาพที่เห็นให้ชัด จากนั้นหลับตากำหนดภาพที่เห็นและจดจำได้ ให้บังเกิดขึ้นในจิตของตนเป็น ‘อุคคหนิมิต’ เป็นภาพอย่างนั้นลอยเด่นอยู่กลางจิต ทำอยู่อย่างนั้นจนชำนาญ สามารถย่อขยายอุคคหนิมิตนั้นให้ใหญ่เล็กตามความต้องการ นั่นจึงเรียกว่าสำเร็จกสิณในเบื้องต้น



คราวนี้ย้อนกลับมาที่การภาวนาปกติบ้าง ส่วนใหญ่นักปฏิบัติทั้งหลายที่เห็น จะใช้หลักการภาวนา   ‘พุทโธ’ เข้าออกควบกับการหายใจที่เรียกว่า อานาปานสติ ที่พระตถาคตเจ้ายกย่องว่าเป็นกรรมฐานที่เรียบง่าย อ่อนโยน และก่อให้เกิดพลานามัยต่อร่างกายมากที่สุด

การภาวนาต้องอาศัยสติกำกับให้จดจ่อกับคำภาวนา หรือลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา จึงจะเกิดผล ที่เรียกว่า ‘สมาธิ’ จนถึงขั้น ‘อัปปนา’ คืออารมณ์เดียวที่เรียกว่า ‘เอกัคตารมณ์’ เมื่อถึงตรงนี้จิตจะสงบ สว่างไสว ซึ่งถือว่าเข้าสู่ฐานที่ตั้งแห่งจิตเดิมของตน เป็นบาทฐานสำคัญสู่ความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้นในภายภาคหน้า ด้วยการปฏิบัติ ‘วิปัสสนา’ เพื่อปัญญาในการตัดกระแสแห่งกิเลสอย่างแท้จริง


ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ  ขั้นตอนคร่าว ๆ ของการปฏิบัติ สมถภาวนาวิธี ซึ่งถือเป็นบันไดแห่งการก้าวสู่ มรรคผล-นิพพาน แต่ปัญหาทั้งหลายอยู่ที่เวลาเพ่ง หรือบริกรรมคำภาวนาอย่างมีสตินี่แหละ มันทำกันไม่ค่อยได้ ด้วยเหตุผลเดียวคือ จิตกับสติมันไม่ไปด้วยกัน สติเผลอ จิตมันก็พาเตลิดเปิดโปงไปเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเบื่อหน่ายที่จะปฏิบัติ นั่นคือที่มาของคำถาม-คำตอบวันนี้ ทำไมจึงไม่สามารถทำจิตให้นิ่งและสงบได้ มีอุบายอะไรบ้างไหมที่จะทำให้จิตสงบ

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจคำว่าจิตก่อน  จิต คือ ‘ผู้รู้’ จิต คือ เครื่องคอมพิวเตอร์อันเยี่ยมยอดที่สุดในฉบับจักรวาล มันบันทึกทุกอย่างเข้าได้หมด เป็นขุมข่ายแห่งความรู้อันมหาศาล ทว่าถูกบดบังด้วย ‘อวิชชา’ ที่มีกุญแจสำคัญคือ ‘สติ’

      ฉะนั้น การจะเปิดความรู้อันมหาศาลนั้นออกมา
      ก็ต้องฝึกสติให้กล้า ด้วยการทำสติกับกำกับจิตผู้รู้ไปเรื่อย ๆ
      สติกล้ามากเท่าใด ปัญญาจะกระจ่างมากเท่านั้น


      คำตอบจึงอยู่ที่ ‘ฝึกสติไปเรื่อย ๆ’ ฝึกทุกวันอย่าให้ขาดจึงจะเห็นผลชัด



ในขณะปฏิบัติสมาธิ ท่านต้องปฏิบัติอย่างนี้คือ

    1. อย่าทำด้วยความอยากได้ อยากเป็น  ก่อนทำอยากให้พอ แต่พอเริ่มทำ ให้ตัดความอยากทั้งปวงทิ้งเสีย
    2. ตรวจดูท่านั่งของตนว่าอยู่ในลักษณะสบาย ๆ หรือไม่
    3. จัดการเรื่องราวต่าง ๆ เสร็จหรือยัง เรื่องฟืนไฟ ประตูหน้าต่าง หรือเรื่องส่วนตัว ต้องจัดการให้เสร็จจะได้ไม่มีความกังวลตามมา
    4. แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ และเจ้ากรรมนายเวรเพื่อเกิดกระแสเมตตาในจิต กระแสเมตตาเป็นกระแสเย็น จะทำให้จิตใจชุ่มเย็นสู่ความสงบง่ายขึ้น และท้ายสุดคือความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นว่าพระรัตนตรัยและการปฏิบัติภาวนา คือหนทางที่จะนำเราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง


ทุกประการที่กล่าวมา คือการเตรียมพร้อม ด้วยการตัดกระแสกังวลล่วงหน้า ก่อนทำการภาวนาสมาธิ ซึ่งเชื่อว่าสามารถตัดความวิตกได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางคาบบางคราที่ทำอย่างนั้นแล้ว เวลานั่งปฏิบัติก็ยังมีอะไรต่อมิอะไรมารบกวนในจิตใจจนฟุ้งซ่าน เช่น งานที่ทำ ปัญหาลูก-สามี และอะไรต่อมิอะไรมารุมเร้า แม้พยายามคุมสติแล้วก็ตาม ก็มิอาจสลัดวางลงได้



ภูเตศวรแนะนำอย่างนี้ครับ

     1. หันหน้าเข้าไปเผชิญกับความฟุ้งซ่านในปัญหานั้น ใช้ปัญหานั้นเป็นข้อกรรมฐาน เช่น เรื่องสามี มีเมียน้อย
     2. ยกคำถาม ใครคือสามี ทำไมจึงเรียกสามี ส่วนใดคือเขา พิจารณาตั้งแต่ปลายผมลงไปถึงพื้นเท้า จากนั้นมองไปข้างหน้า เขาจะแก่ไหม จะตายไหม ถ้าวันนี้เขาตายแล้วเป็นอย่างไร ไล่จี้ลงไปให้ผู้รู้ตอบคำถามด้วยเหตุ ด้วยผลไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดความฟุ้งซ่านจะคลายตัวไปโดยอัตโนมัติ เพราะผู้รู้ในส่วนลึกรู้อยู่แล้วว่า ทุกประการทั้งปวงในโลกนี้คือ อนิจจัง คืออนัตตา
     3. ถ้าจะให้ดีควรย้อนกลับมาพิจารณาตัวตนของตนด้วย ตนนั้นประกอบด้วยอะไร ตั้งแต่ปลายผมถึงเท้า พิจารณาความตายของตนเป็นอารมณ์ ทำบ่อย ๆ ทำจนเป็นนิสัย จะเห็นปัญญา จะคลายความหมายมั่น ยึดมั่นไปเรื่อย ๆ ที่สุดจิตจะสงบไปเองด้วยปัญญา


ประการนี้เรียกว่า  ใช้ปัญญาอบรมสมาธิครับผม

เอวังก็ด้วยประการฉะนี้!


ที่มา http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=13&wpid=0019
ขอบคุณภาพจาก http://www.watpa.com/,http://file.siam2web.com/,http://www.dhammathai.org/,http://2.bp.blogspot.com/,http://www.dhamma5minutes.com/
20388  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มูลกรรมฐาน โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 11:23:49 am


มูลกรรมฐาน
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
(คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ)


บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์ พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัติทั้งเพื่อสติ และทั้งเพื่อญาณคือความหยั่งรู้ หรือปัญญาความรู้ทั่วถึง และนำให้ตั้งอยู่ในศีลได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อจิตตั้งไว้ดีแล้ว อาการทางกายวาจาตลอดถึงใจก็ย่อมจะเป็นไปดี และก็ชื่อว่าเป็นผู้อันธรรมะรักษา

ธรรมะนั้นก็แปลว่าทรงไว้ ดำรงไว้ โดยตรงก็คือทรงดำรงจิตใจนี้เองให้ตั้งอยู่โดยชอบ ถ้าไม่มีธรรมะรักษาให้ตั้งอยู่โดยชอบ จิตใจนี้ก็ย่อมจะตกต่ำลงได้โดยง่าย ถ้าเทียบเหมือนอย่างร่างกาย ก็ทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ เหมือนคนที่เป็นลมล้มลง ทรงร่างกายไว้ไม่ได้ หรือไม่เป็นลมล้มลง บางทีก็หกล้มหกคะเมน ทรงตัวอยู่ไม่ได้ ฉะนั้น แม้ร่างกายเองจะทรงหรือดำรงอยู่ได้ก็ต้องมีกำลังสำหรับที่จะทรงกาย โดยมีชีวิตเป็นเครื่องดำรงอยู่เป็นหลักแกน

เมื่อมีชีวิตดำรงอยู่เป็นหลักแกนกับมีกำลังสำหรับที่จะดำรงกาย จึงดำรงกายอยู่ได้ เดินได้ ยืนได้ นั่งได้ นอนได้ ลุกขึ้นอีกได้ โดยเสรีคือตามประสงค์



จิตใจต้องมีธรรมะรักษา
จิตใจนี้ก็เช่นเดียวกันต้องมีธรรมะรักษาอยู่จึงจะดำรงอยู่ได้ไม่ตกต่ำ และดำเนินอิริยาบถของจิตใจไปได้ต่างๆ โดยชอบ ธรรมะสำหรับที่จะเป็นเครื่องดำรงจิตใจนั้น ก็ธรรมะทุกข้อนั่นแหละ จะเป็นสติก็ดี จะเป็นปัญญาก็ดี จะเป็นศีลก็ดี เป็นสมาธิก็ดี เป็นปัญญาก็ดี จะเป็นขันติความอดทน โสรัจจะความสงบเสงี่ยม เป็นต้นก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะสำหรับเป็นเครื่องดำรงจิตใจทั้งนั้นไม่ให้ตกต่ำ

ดังจะพึงเห็นได้ว่าจิตใจที่ตกต่ำไม่มีธรรมะสำหรับที่จะดำรงอยู่ คือขาดวิรัติความตั้งใจงดเว้น ขาดสติขาดขันติเป็นต้น จึงมุ่งละเมิดศีล เพราะว่าก่อเจตนาความจงใจละเมิดศีลต่างๆ ก่อกรรมที่เป็นบาปเป็นอกุศลทุจริตต่างๆ ดั่งนี้เป็นใจล้มทั้งนั้น ไม่ใช่ใจตั้ง ใจล้ม ไม่มีธรรมะมีวิรัติความตั้งใจงดเว้นเป็นต้นดังกล่าว แต่ที่ทุกคนรักษาศีลไว้ได้ก็เพราะใจตั้งได้ ไม่ล้ม โดยมีวิรัติเจตนาความตั้งใจงดเว้น มีสติ มีขันติเป็นต้นรักษาไว้

และเมื่อปฏิบัติในสมาธิคือตั้งใจมั่น ความตั่งใจมั่นนั้นก็คือตั้งใจไว้ได้โดยชอบ มั่นคง ไม่ล้มไปตามอารมณ์และกิเลส ที่บังเกิดขึ้นทำจิตใจให้กลัดกลุ้มรุ่มร้อนต่างๆ ถ้าหากว่าไม่มีตัวสมาธิคือความตั้งจิตมั่น จิตใจก็ย่อมจะโงนเงนตั้งไม่ติด จนถึงจิตล้ม และเมื่อจิตล้มแล้วก็เสียหมด ความตั้งใจไว้ดี การกระทำที่ดีต่างๆ อันเกิดจากความตั้งใจดี ก็ล้มหมดไปตามจิตที่ล้ม

แต่ถ้าหากว่าตั้งจิตอยู่ได้มั่นนี่แหละคือตัวสมาธิ แม้ว่าจะมิได้มานั่งปฏิบัติทำสมาธิ ในขณะที่ประกอบกิจการต่างๆ อยู่โดยปรกตินั่นแหละ เมื่อมีจิตตั้งอยู่มั่นคงในทางที่ชอบ

แม้ว่าจะประสบอารมณ์จนบังเกิดกิเลส กองโลภก็ดี กองโกรธก็ดี กองหลงก็ดี ขึ้นก็มีธรรมะรักษาไว้ได้ ไม่แพ้อารมณ์ ไม่แพ้กิเลส จิตตั้งอยู่ได้ ดั่งนี้ ก็เรียกว่ามีธรรมะรักษา แต่ถ้าจิตหวั่นไหวไปเท่าไร โงนเงนไปเท่าไร ก็เรียกว่ามีธรรมะรักษาน้อย จนถึงล้มก็แปลว่าไม่มีธรรมะรักษา




สมาธิที่ต้องมีประจำตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น จึงต้องพิจารณาดูจิตของตนว่าเป็นอย่างไรให้รู้ตามเป็นจริง และก็ให้รู้ว่า ถ้าจิตนั้นโงนเงนจะล้มก็แปลว่าทิ้งธรรมะ ไม่นำธรรมะเข้ามาตั้งไว้ให้มั่นคง ดั่งนี้แหละคือขาดสมาธิ ก็เตือนใจให้นำธรรมะเข้ามาตั้งไว้ นำสติ นำขันติ นำปัญญาเข้ามาตั้งไว้ และเมื่อนำเข้ามาตั้งไว้ได้ ก็จะแก้ไขจิตที่หวั่นไหวโงนเงนจะล้มนั้นได้ ให้ตั้งอยู่ได้ดำรงอยู่ได้ นี้แหละคือสมาธิ เป็นสมาธิที่ต้องการให้มีอยู่ประจำตนทุกเวลา ไม่ใช่แต่ในขณะที่มานั่งทำสมาธิเท่านั้น

การที่มานั่งทำสมาธินี้เท่ากับว่ามาฝึกหัด เหมือนอย่างทหารที่ฝึกหัด การฝึกหัดนั้นก็เพื่อจะนำไปใช้จริง ในเมื่อเกิดการปฏิบัติหน้าที่ หรือในขณะสงคราม ผู้ปฏิบัติธรรมะก็เหมือนกัน ขณะที่มานั่งหัดปฏิบัตินี้เท่ากับมาฝึกหัด สำหรับที่จะไปเผชิญกับเหตุการณ์ทั้งหลาย ในเมื่อเลิกจากการนั่งสมาธินี้ไปแล้ว ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ในกิจการทุกๆ อย่าง เพราะจะต้องประสบกับข้าศึกคืออารมณ์และกิเลสทั้งหลายโดยรอบ

ฉะนั้น จึงต้องมีธรรมะรักษาอยู่อย่างมั่นคง ทำความรู้สึกอยู่เสมอว่า จะต้องมีธรรมรักษาอยู่อย่างมั่นคง ไม่ยอมให้บรรดาอารมณ์และกิเลสทั้งหลายมาทำจิตใจให้รวนเร ให้ล้ม บุคคลที่ประพฤติทุจริตต่างๆ ล้วนมีจิตล้มทั้งนั้น

ดังเช่นผู้ปฏิบัติหน้าที่การงานต้องรักษาทรัพย์ของผู้อื่น ตลอดจนถึงของหลวงของแผ่นดิน

เมื่อเห็นทรัพย์เข้าแล้วเกิดโลภขึ้น ถ้าใจล้มไปเพราะความโลภแล้ว ก็ย่อมจะประกอบการทุจริต คดโกงฉ้อฉลเป็นต้น ไปตามอำนาจของกิเลสกองโลภะ นี่เรียกว่าจิตล้ม โลภเข้ามาแล้วจิตล้ม ล้มความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งอาจจะได้เคยตั้งใจไว้ว่าจะปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ก็แปลว่าในขณะที่ยังไม่พบเครื่องล่อ ก็ดูเหมือนว่าจิตใจนี้ก็ซื่อสัตย์สุจริตดีอยู่ แต่ครั้นไปพบเครื่องล่อเข้าแล้ว ใจก็ล้มไปเพราะความโลภ เมื่อใจล้มก็เป็นอันว่าทำทุจริตได้

กองโทสะก็เหมือนกัน ก็ตั้งใจไว้ว่าจะตั้งอยู่ในความสุจริต จะประกอบกรรมอันเป็นกุศลต่างๆ แต่เมื่อประสบอารมณ์และกิเลสที่เป็นกองโทสะ ก็ทำให้ใจล้ม เพราะเหตุว่าไปปฏิบัติเป็นการประทุษร้ายผู้อื่นบ้าง ประทุษร้ายตนเองบ้าง ประทุษร้ายผู้อื่นนั้นก็คือว่าไปทำร้ายเขาด้วยความโกรธ ประทุษร้ายตนเองนั้นก็คือว่าเลิกละกิจที่ควรจะทำเพราะความโกรธ ก็เป็นอันว่าใจล้มนั่นเอง แต่ถ้าหากว่ามีธรรมะรักษาอยู่ก็จะตั้งใจไว้ได้

กิเลสกองโมหะคือความหลงถือเอาผิดต่างๆ ก็เหมือนกัน เมื่อประมาทปัญญาเสียอย่างเดียว คือไม่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้ดี หลงเชื่อ หลงถือเอาผิดด้วยเข้าใจว่าถูกต้อง เมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ล้มไปด้วยอำนาจของโมหะ คือความหลง โดยที่ไม่รู้ตัวเองว่าหลง เข้าใจว่าตัวเองถูก

แต่อันที่จริงนั้นผิด หลงดั่งนี้ก็น่าสงสารเพราะไม่รู้ว่าหลง คิดว่ารู้ คิดว่าถูก เพราะเหตุที่ประมาทปัญญา เผลอปัญญา ไม่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณา ไม่ใช้วิจารณญาณใคร่ครวญไตร่ตรองให้รอบคอบ แต่ถ้าหากว่าไม่ด่วนเชื่อ ไม่ด่วนถือเอาโดยง่าย พินิจพิจารณาเสียก่อน ย่อมจะหลงน้อยเข้า หรือว่าไม่หลง ในเมื่อรู้ถูกต้อง จิตก็จะตั้งอยู่ได้ด้วยปัญญาเป็นแสงสว่าง นำทางปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง

ปัญญานี้เป็นข้อสำคัญ แต่คนเราที่หลงปัญญาเผลอปัญญา ประมาทปัญญากันโดยมากนั้น

ก็เพราะว่ามิได้ควบคุมจิตใจให้เป็นสมาธิ และมิได้ตั้งอยู่ในศีลตามสมควร เมื่อเป็นดั่งนี้ จิตใจที่ขาดสมาธิก็เป็นจิตใจที่แกว่ง ดังที่เราเรียกว่าลำเอียง ก็เป็นความแกว่งนั้นเอง แกว่งไปด้วยอำนาจความชอบบ้าง ความชังบ้าง ความหลงบ้าง ความกลัวบ้าง ต่างๆ จึงจับความจริงไม่ได้ ก็ไม่เกิดปัญญา


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ถวายเครื่องสักการะแด่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมวัดป่าสาลวัน


สติปัฏฐานทำให้เกิดสติ ปัญญา
ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนให้ทำสติปัฏฐาน สำหรับที่จะได้ควบคุมจิตใจให้ตั้งอยู่ในความสงบ หัดให้จิตได้พบกับความสงบ ให้ตั้งมั่นอยู่ในทางที่ดี และให้ได้ปัญญาคือความรู้ในตนเอง ซึ่งเป็นข้อสำคัญ สติปัฏฐานทุกๆ ข้อนั้น ล้วนเป็นเครื่องทำให้เกิดสติพร้อมทั้งปัญญา รู้ในตนเองทั้งนั้น รู้ในลมหายใจเข้าออก รู้ในอิริยาบถ รู้ในอาการของกายต่างๆ อันเรียกว่าสติบ้างสัมปชัญญะบ้างเป็นต้น

และนอกจากนี้ยังจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีที่จะระงับกิเลส กองราคะโทสะโมหะเป็นต้นอีกด้วย เพราะกิเลสนี้เองหากว่ายังมีอำนาจมากอยู่ ก็จะครอบครองบุคคลให้ไปในอำนาจของกิเลสได้มาก และยังทำให้จิตใจนี้หลงมากขึ้นด้วย เพราะหลงไปนิยมชมชอบกิเลส ชอบกิเลสกองโลภะหรือราคะ กิเลสกองโทสะ กิเลสกองโมหะ เมื่อไปรักไปชอบกิเลสเข้าแล้วก็ทำให้ละกิเลสได้ยาก

และบรรดากิเลสเหล่านี้ กิเลสกองราคะท่านก็จัดไว้แล้วนำหน้า ราคะ โทสะ โมหะ ความติดใจยินดีก็เป็นตัวราคะ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในจิตใจเวลาที่ประสบอารมณ์ทั้งหลาย และตัณหาในจิตใจนี้เองก็ต้องการอารมณ์ของราคะก่อน คือต้องการจะได้อารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งนั้น แปลว่าตั้งราคะขึ้นหน้า ไม่มีใครต้องการจะได้อารมณ์ที่เป็นที่ตั้งของโทสะ ต้องการที่จะได้อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของราคะทั้งนั้น

จึงต้องการอารมณ์รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งนั้น เมื่อได้มาก็ยิ่งติดมากขึ้น ถ้าไม่ได้มาจึงจะเกิดโทสะความโกรธแค้นขัดเคือง และก็มีโมหะคือความหลงนี้หนุนอยู่ทั้งนั้น ทั้งในทางชอบ ทั้งในทางชัง จึงเรียกกันว่าหลงรักหลงชัง




เหตุที่ตรัสสอนข้อปฏิกูลปัพพะ
เพราะฉะนั้น เมื่อมีราคะนำอยู่ดั่งนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนข้อปฏิกูลปัพพะ คือข้อที่ให้พิจารณากายนี้ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ด้วยให้จับพิจารณาซึ่งกายนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ว่าเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สะอาดมีประการต่างๆ คือ

เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตโจ หนัง มังสัง เนื้อ นหารู เอ็น อัฏฐิ กระดูก อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ไต หทยัง หัวใจ ยกนัง ตับ กิโลมกัง พังผืด ปิหกัง ม้าม ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่ อันตคุณัง สายรัดไส้ อุทริยัง อาหารใหม่ กรีสัง อาหารเก่า ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด ปุพโพ น้ำหนองน้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท มันข้น อัสสุ น้ำตา วสา มันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆาณิกา น้ำมูก ลสิกา ไขข้อ มุตตัง มูตร เป็นอาการ ๓๑

แต่ว่าที่เรียกกันว่าอาการ ๓๒ นั้น เพราะในพระสูตรบางพระสูตรได้เติมเข้ามาอีกข้อหนึ่ง คือ มัตถเกมัตถลุงคัง ขมองในขมองศรีษะ เติมไว้ท้ายธาตุดิน ท้ายธาตุดินนั้นก็คือว่า กรีสัง อาหารเก่า แล้วก็เติม มัตถเกมัตถลุงคัง ขมองในขมองศรีษะ เข้าตรงนี้ แต่หากว่าแม้ไม่เติมท่านก็แสดงว่าสรุป มัตถเกมัตถลุงคัง ขมองในขมองศรีษะ เข้าในเยื่อในกระดูก อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก



กรรมฐานที่เป็นมูล
ตรัสสอนให้พิจารณากายนี้ จำแนกออกไปโดยอาการ ๓๑ หรือ ๓๒ ดั่งนี้ ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลไม่สะอาดทั้งนั้น และโดยจำเพาะ ๕ ข้อข้างต้น

ท่านให้สอนนาคผู้จะเข้ามาอุปสมบทหรือบรรพชาก่อน คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง ถือว่าเป็นมูลกรรมฐาน คือกรรมฐานที่เป็นมูล คือเป็นรากเหง้า เป็นมูลรากเหง้าของอะไร ก็ของกรรมฐานทั้งปวง ตลอดจนถึงวิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนถึงวิชชาวิมุติหรือมรรคผลนิพพาน คือกรรมฐานทั้ง ๒ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนถึงมรรคผลนิพพาน หรือวิชชาวิมุตินั้น ก็จะต้องมีกรรมฐาน ๕ ข้อนี้เป็นมูล เป็นรากเหง้า

ทั้งนี้ก็เพราะว่า เมื่อจิตนี้มีราคะนำอยู่ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น การปฏิบัติบำราบจิต คือ บำราบราคะในจิตลงไปด้วยกรรมฐาน ๕ ข้อนี้ และเมื่อบำราบลงไปได้ การที่จะปฏิบัติให้ก้าวหน้าในกรรมฐานทั้งปวงต่อขึ้นไปจึงจะทำได้ ท่านจึงเรียกว่ามูลกรรมฐาน กรรมฐานที่เป็นมูล

ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป


ที่มา https://sites.google.com/site/smartdhamma/mul-krrmthan
ขอบคุณภาพจาก http://www.oknation.net/,http://www.bloggang.com/,http://www.fungdham.com/,http://gallery.palungjit.com/
20389  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ปลาแผ่นดินไหว' King of herrings 'ปลาคล้ายพญานาค' (ชมภาพ) เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 05:05:36 pm


ปลาแผ่นดินไหว King of herrings ปลาคล้าย พญานาค

ปลาแผ่นดินไหว King of herrings ปลาคล้าย พญานาค ปลาแผ่นดินไหว King of herrings ราชาแห่งปลาเฮอริง ที่ก่อนหน้านี้ชาวบ้านที่เคยพบเห็น ต่างเชื่อกันว่าเป็นพญานาค โดยเจ้า ปลาแผ่นดินไหว อาศัยในน้ำลึกใต้ท้องมหาสมุทร และเมื่อเกิดแผ่นดินไหว มันจะตกใจและว่ายลี้ภัยมายังบริเวณน้ำตื้น นั่นเอง









ขอบคุณภาพข่าวจาก http://picpost.mthai.com/view/29636
20390  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านฮือฮา วัดสำปะซิว สุพรรณฯ ตั้งรูปปั้น 'ปริศนาธรรมโดเรมอน' ปิดหู-ตา-ปาก เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 04:55:29 pm

ชาวบ้านฮือฮา วัดสำปะซิว สุพรรณฯ ตั้งรูปปั้น 'ปริศนาธรรมโดเรมอน' ปิดหู-ตา-ปาก

วันที่ 4 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่าที่วัดสำปะซิว ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ชาวบ้านฮือฮาหลังทางวัดนำรูปปั้นโดเรมอน หรือ โดราเอมอน ตัวการ์ตูนอมตะของญี่ปุ่น ในท่าทางต่างๆที่แตกต่างกัน 4 ตัว มาตั้งไว้ที่บริเวณทางเข้าหน้าวัด

     โดเรมอนตัวแรก ใช้มือสองข้างปิดหูทั้งสองข้างซ้ายและขวา  ด้านล่างเขียนว่า ปิดหูซ้ายขวา
     ตัวที่สองปิดตาทั้งสองข้างโดยใช้มือทั้งสองปิดตาสองข้าง  ด้านล่างเขียนว่าปิดตาสองข้าง 
     ตัวที่สาม ใช้มือสองข้างซ้ายขวาปิดปาก ด้านล่างเขียนว่าปิดปากเสียบ้าง
     ตัวสุดท้ายนั่งชูแขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้างเหยียดยาวในท่าสบายๆ ป้ายด้านล่างเขียนว่าจะได้นั่งสบาย

     สร้างความฮือฮาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมากเพราะปกติท่าทางปริศนาธรรมเหล่านี้จะอยู่ที่รูปปั้นพระหรือเณรน้อย หรือ ลิง 3 ตัว



พระมหาอนันต์ กุสลาลงกาโร เจ้าอาวาสวัดสำปะซิว ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่าสำหรับที่มีการนำรูปปั้นดังกล่าวมาตั้งไว้ที่บริเวณทางเข้าหน้าวัดนั้น เนื่องจากในอุโบสถวัดสำปะซิวมีการเขียนภาพโดเรมอนเป็นปริศนาธรรมอยู่

     ซึ่งเมื่อมีโยมท่านหนึ่งเห็นจึงสั่งทำรูปปั้น "โดเรมอนปริศนาธรรม"
     นำมาถวายซึ่งก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นการสอดแทรกปริศนาธรรม
     เป็นการเรียกเด็กเข้าวัดซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีมากเพราะมีประชาชน
     โดยเฉพาะเด็กๆให้ความสนใจเป็นอย่างมาก


ภาพจาก http://www.posttoday.com/

นายรักเกียรติ เลิศจิตรสกุล ช่างเขียนภาพผนังโบสถ์โดเรมอน เปิดเผยว่าสำหรับตนเองขณะนี้เดินทางกลับมาที่วัดสำปะซิวอีกครั้งหนึ่งหลังจากเขียนภาพเสร็จแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน

ซึ่งมาครั้งนี้เพื่อมาซ่อมแซมภาพที่มีประชาชนโดยเฉพาะเด็กๆ เดินทางเข้ามาชมภาพให้มือจิ้มจนสีลอกร่อนออกมาหลายจุด ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการซ่อมแซมภาพโดยเฉพาะตรงที่โดเรมอนตกกระทะทองแดงจิ้มกันจนสีลอกหน้าโดเรมอนหายคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

ซึ่งตนก็เขียนป้ายบอกไว้แล้วว่าอย่าจับภาพ แต่ก็ทนความยากจิ้มอยากรู้อยากลองของผู้เข้ามาชมไม่ได้ ซึ่งทางวัดมีการนำรูปปั้นโดเรมอนขนดเท่าตัวเด็กมาตั้งไว้ที่บริเวณหน้าทางเข้าวัดสำปะซิวก็ยิ่งดึงดูดเด็กๆเข้ามาในวัดได้มากโดยเฉพาะในช่วงทำบุญวันพระก็จะมีประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมากถือว่าเป็นจุดขาย



นางสาวนาตยา ฉายอรุณ ชาวบ้านอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เดินทางเข้ามาที่วัดสำปะซิวเพื่อพาน้องและหลานๆเข้ามาดูภาพโดเรมอนเห็นรูปปั้นโดเรมอนปริศนาธรรมที่บริเวณหน้าวัดก็แปลกดีน่าสนใจดี เพราะไม่เคยเห็นรูปปั้นโดเรมอนปริศนาธรรมมาก่อน เคยเห็นแต่รูปปั้นพระและเณรน้อยวันนี้เดินทางมาถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว


     แต่กว่าจะหาภาพโดเรมอนครบทั้งหมดในอุโบสถก็แทบแย่
     เพราะจริงๆแล้วถ้าไม่สังเกตรับรองได้หาไม่เจออย่างแน่นอน
     ช่างเขียนภาพเข้าแทรกภาพไว้แบบกลมกลืนจริงๆเลย
     ใครไม่เชื่อลองเข้าไปดูที่วัดสำปะซิวได้เรียกว่าไม่บอกหาไม่เจอเลยจริงๆ



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME1UTTNNREF6Tmc9PQ==&subcatid=
http://www.web-pra.com/,http://ahph9thi.gotoknow.org/
20391  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ถ่านอนามัย' สร้างรายได้..ไม่ทำลายโลก เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 04:31:54 pm


'ถ่านอนามัย' สร้างรายได้..ไม่ทำลายโลก

มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ นายกกิตติมศักดิ์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ทรงตระหนักถึงความสำคัญในการที่จะช่วยฟื้นฟูวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วมในช่วงปีที่ผ่านมา

จึงได้เกิดโครงการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาชีพแก่ชุมชนที่เสี่ยงอุทกภัยตามแนวทางพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” เนื่องในงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ภายใต้ชื่อโครงการ “ชุมชนเข้มแข็งผลิตอาหารรับประทานใน 45 วัน”

ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเริ่มต้นให้เกิดการสร้างความมั่นคงทางอาหารด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง จนกระทั่งพัฒนาการสู่อาชีพที่มีรายได้ดี โดยจะต้องปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสร้างความมั่นคงให้สังคม ทั้งในระดับครัวเรือนและในระดับชุมชน

        รศ.ดร.นพ.พิชิต สุวรรณประกร รองประธานมูลนิธิฯ อธิบายถึงโครงการชุมชนเข้มแข็งฯ ว่าใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัย เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและฟื้นฟูอาชีพแบบยั่งยืน

        โดยริเริ่มให้ประชาชนได้ใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กินและใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เมื่อมีเหลือใช้แล้วจึงออกมาวางจำหน่ายสร้างรายได้อีกต่อหนึ่ง
         และหนึ่งในนั้นก็คือการผลิต “ถ่านอนามัย”
         ซึ่งนอกจากได้ถ่านคุณภาพสูงแล้ว ยังได้ “น้ำส้มควันไม้” ใช้ในการบำรุงพืชและลดศัตรูพืช ต่อยอดเป็น “น้ำส้มควันไม้กลั่น”

         สำหรับใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและอาหารประเภทรมควันต่างๆ เป็นผลพลอยของพอเพียงที่เกิดจากการพัฒนาทางการเกษตรแบบวิถีธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์อีกด้วย


         “ถ่านอนามัย" ถือเป็นนวัตกรรมอุตสาหกรรมสู่เชิงพาณิชย์
        โดยเริ่มต้นจาก ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก ร่วมกับ บริษัท ทรี โปรดักส์ จำกัด
        ทำการวิจัยปรับปรุงและพัฒนากระบวนการในการผลิตถ่านไม้ของไทย
        ให้ปราศจากสารก่อเกิดมะเร็งให้ความร้อนสูงแทบไม่มีเขม่าควัน จุดติดง่าย มีขี้เถ้าน้อย
        เพื่อให้ได้ถ่านไม้สะอาดคุณภาพสูงและมีความปลอดภัยต่อสุขภาพ มีน้ำหนักเบา สามารถบดอัดเป็นแท่งหรือสามารถทำให้มีรูปร่างสวยงาม นำมาใช้ประดับได้ เนื่องจากมีการคัดขนาดจากไม้ยูคาลิปตัสเพียงชนิดเดียว


         อีกทั้งสามารถจับกับมลภาวะและเชื้อโรคได้ จึงเหมาะกับการสร้างอนามัยในห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องต่างๆ ในบ้าน มี 2 ชนิด คือ
         ถ่านอนามัย พีพีพี-ชาร์โค (PPP - Charko)
         ใช้เพื่อปรับสภาพอากาศของที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน นำมาประดับได้ และ
         ถ่านอนามัย พีพีพี กริลล์ส (PPP Grills)   
         สำหรับหุงต้ม ปิ้งย่าง เพื่ออาหารปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"
รองประธานมูลนิธิฯ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20120704/134309/ถ่านอนามัยสร้างรายได้ไม่ทำลายโลก.html
20392  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “วัดอ่าวน้อย” งดงามสถาปัตยกรรม เลอล้ำถ้ำพระนอน เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 04:19:10 pm


“วัดอ่าวน้อย” งดงามสถาปัตยกรรม เลอล้ำถ้ำพระนอน

ประเทศไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในจังหวัดยอดฮิตหรือจังหวัดทางผ่านที่นักท่องเที่ยวมองข้าม วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปรู้จักอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความงดงาม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์น่าสนใจ วัดอ่าวน้อย (วัดถ้ำพระนอน) จ.ประจวบคีรีขันธ์

วัดอ่าวน้อย (วัดถ้ำพระนอน) ตั้งอยู่ เชิงเขาบริเวณอ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถึงจะตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวยอดฮิต แต่กลับมีคนรู้จักวัดอ่าวน้อยไม่มากนัก อาจเป็นเพราะอยู่ไกลจากหัวหินสถานที่ท่องเที่ยวหลักของจังหวัด ครั้งนี้ผมมีโอกาสได้มาชมความงามของ วัดอ่าวน้อย

ตามโครงการ "ชิลล์เอาท์ แอท ประจวบฯ" ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ภูมิภาคภาคกลาง ที่ต้องการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆของจังหวัดให้นักเดินทางได้รู้จัก และแวะเวียนเข้ามาชมความงาม พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวจากปากต่อปากเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์


โบสถ์ไม้สักทองทั้งหลัง วัดอ่าวน้อย



ภายในโบสถ์ไม้สักทองทั้งหลัง วัดอ่าวน้อย




ความงดงามของวัดอ่าวน้อยที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสได้เริ่มตั้งแต่ โบสถ์ไม้สักทองทั้งหลัง ที่ตั้งตระหง่านให้ผู้มาเยือนเห็นตั้งแต่ก่อนเข้ามายังบริเวณวัด โบสถ์ไม้สักทองทั้งหลังที่วัดอ่าวน้อย เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานนัก

แต่ด้วยทุนสร้างมหาศาล การออกแบบ และฝีมือช่างแสนประณีต ทำให้โบสถ์ไม้สักทองเสร็จออกมาสวยงามตระการตา ประดิษฐานพระพุทธรูปเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสักการขอพรเป็นศิริมงคล ประดับประดาด้วยงานจิตกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศานารอบผนังโบสถ์ ซึ่งทุกภาพมีความสวยงามชวนมอง

รอบบริเวณเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ทางวัดอนุรักษ์ไว้เพื่อสร้างความร่วมรื่น วัดอ่าวน้อยยังตั้งอยู่ติดกับภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์และเขียวขจี ทำให้อากาศบริเวณวัดสดชื่น เงียบสงบ เหมาะกับการเดินทางเข้ามาพักผ่อน หย่อนใจ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด อีกทั้งยังติดกับทะเลบริเวณอ่าวน้อย เพิ่มอีกมิติของความสดชื่นอย่างครบถ้วน นับเป็นวัดที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอย่างลงตัว รับรองว่าใครมีโอกาสมาเยือนจะต้องประทับใจและอยากกลับมาอีกครั้ง


ส่วนหนึ่งของถ้ำพระนอน




พระพุทธไสยยาสน์ ภายในถ้ำพระนอน


อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของวัดอ่าวน้อยคือ ถ้ำพระนอน ที่ตั้งอยู่บนภูเขาฝั่งติดทะเลอ่าวน้อย นักท่องเที่ยวจะต้องเดินขึ้นไปตามบันได พร้อมชมวิวทะเลจากมุมสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะมีจุดพักให้หนึ่งจุดสำหรับคนที่เดินระยะยาวไม่ไหว ถ้าเป็นนักเดินทางขาลุยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีก็สามารถเดินถึงถ้ำได้อย่างสบาย ผมแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องรีบเดินให้ถึงถ้ำ แต่ค่อยๆชมความงามของทิวทัศน์ทะเลด้านล่างระหว่างทางไปเพลินๆ ก็จะถึงจุดหมายโดยไม่รู้สึกเหนื่อย

ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ 2 องค์มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ห่มจีวรสีเหลืองลักษณะเดียวกันทั้งสององค์ ถึงจะเป็นถ้ำที่มีขนาดไม่ใหญ่แต่อากาศในถ้ำเย็นสบายและปลอดโปร่ง ชาวบ้านในพื้นที่เล่าให้ฟังว่า

สมัยก่อนถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งชาวเรือมักเข้ามาอาศัยหลบพายุฝนในช่วงมรสุม ความอัศจรรย์ของพระพุทธไสยาสน์ในถ้ำพระนอน ถือเป็นความงามที่หาชมได้ยากอีกสิ่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ควรเพิ่มโปรแกรมวัดอ่าวน้อยไว้ในตารางเดินทางสักครั้ง เพื่อเข้ามาสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวอันน่าค้นหาที่รอให้ทุกคนมาทำความรู้จัก


ภูเขาที่เต็มไปด้วยความเขียวขจี ติดกับวัดอ่าวน้อย


วิวทะเลอันแสนงดงาม ที่มองเห็นจากทางขึ้น ถ้ำพระนอน



วัดอ่าวน้อย (ถ้ำพระนอน) ตั้งอยู่ที่ ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ สอบถามเส้นทางการเดินทางและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ โทร 0 3251 3885


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/article/821/134091
20393  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมศิลป์ฟันธง 'ดาบพระนเรศวร' พบที่เชียงใหม่ ไม่เก่าจริง เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 03:55:01 pm

กรมศิลป์ฟันธง 'ดาบพระนเรศวร' พบที่เชียงใหม่ ไม่เก่าจริง

เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรฟันธง "ดาบพระนเรศวร" วัดเมืองกื้ดไม่ใช่ของเก่า อายุแค่ 50-60 ปี พบมีอักษรไทยกำกับ ขณะทางวิชาการพบข้อมูลใหม่ "สมเด็จพระนเรศวร" สิ้นพระชนม์ อ.เวียงแห จ.เชียงใหม่ เตรียมจัดเสวนา สืบค้นข้อมูลเพิ่ม...

จากกรณีปรากฏข่าวว่ามีผู้พบพระแสงดาบคู่กายที่ใช้สำหรับนำทัพของสมเด็จพระนเรศวร บูรพมหากษัตริย์ของไทย ในการสงครามมีอายุหลายร้อยปี ที่วัดเมืองกื้ด ต.กื้ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จนเป็นที่ฮือฮากันนั้น

ความคืบหน้าเมื่อช่วงสายของวันที่ 4 ก.ค. นายไกรสิน อุ่นใจจินต์ หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากที่ข่าวนี้เสนอออกไป ได้เชิญเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญและนักโบราณคดี ไปตรวจสอบมีดดาบที่วัดดังกล่าวเพื่อจะได้ร่วมกันพิสูจน์ข้อเท็จจริง และจากที่ได้ไปตรวจสอบมาแล้วเมื่อค่ำวานนี้ (3 ก.ค.)

โดยได้เข้าไปนมัสการ พระอธิการอินถา รตนวัณโณ เจ้าอาวาสวัดเมืองกื้ด และท่านได้นำมีดดาบที่พบนั้นมาให้คณะได้ตรวจสอบ พบว่ามีความยาวจากด้ามจดปลายประมาณ 1.2 เมตร มีความกว้างช่วงกลางดาบประมาณ 4 นิ้ว ด้ามดาบทำด้วยงาช้าง ขณะที่ตัวเล่มดาบคาดว่าทำจากเหล็กน้ำพี้ บนเล่มดาบยังปรากฏอักขระอักษรขอม และภาพราหูจารึกประทับไว้ตลอดทั้งเล่มทั้งสองด้าน



เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้ใช้ส่องกล้องขยายลงไปในเนื้อดาบ พบว่ามีอักษรภาษาไทยเขียนติดไว้ชัดเจน ว่าปลุกเสกโดยหลวงพ่อเดิม เกจิอาจารย์ท่านหนึ่งในภาคกลาง

เมื่อได้สอบถามที่มาที่ไปของมีดดาบจากพระอธิการอินถา ทราบว่า มีดดาบที่พบนั้น เป็นสมบัติของทางวัดที่มีการตกทอดสืบต่อกันมา ไม่ได้มาจากการขุดพบแต่อย่างใด หากมีดดาบได้จากการขุดพบ ทางกรมศิลป์จะต้องตรวจสอบต่อไปว่าขุดพบลึกจากพื้นผิวดินกี่เมตร มีวัตถุอื่นที่พบอยู่บริเวณเดียวกันมีอะไรบ้าง

แต่มีดดาบดังกล่าว ก็ไม่ได้มาจากการขุดพบ และก็มีอักษรภาษาไทย เขียนกำกับอย่างชัดเจน ว่ามีการปลุกเสกโดยหลวงพ่อเดิม จากการตรวจสอบดูแล้วเชื่อว่า มีดดาบน่าจะมีอายุราว 50-60 ปี ตนขอยืนยันว่าดาบที่พบนั้นไม่ใช่ดาบนำทัพที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

นายไกรสิน กล่าวต่อว่า ส่วนความเชื่อในด้านอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นความเชื่อของชาวบ้านในท้องถิ่น ทางกรมศิลปากรก็อยากจะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง

ส่วนเส้นทางสายกึ๊ดช้าง ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่าจะเคยเป็นเส้นทางทัพของสมเด็จพระนเรศวรในอดีตเดินทางออกไปพม่านั้น ตอนนี้ทางผู้เชี่ยวชาญ กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษายังไม่มีหลักฐานออกมายืนยัน เป็นเพียงความเชื่อของชาวบ้านในชุมชนเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็พบข้อมูลใหม่ พบว่าสมเด็จพระนเรศวร สิ้นพระชนน์ในที่พื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในอีก 2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ นักโบราณคดีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สืบค้นในเรื่องประวัติความเป็นมาของตำนานสมเด็จพระนเรศวร และจะได้มีการจัดเสวนากันขึ้นในท้องที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ด้วย.



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/273320
http://www.komchadluek.net/


   
    กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
    ฮือฮา.! พบดาบโบราณ..ใช้นำทัพพระนเรศวร
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8064.msg29939#msg29939
20394  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / สมาร์ทโฟน - แท็บเล็ตรุ่นใหม่ดาหน้าเข้าไทย - พุธ@สุดพิเศษ เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 11:42:11 am


สมาร์ทโฟน - แท็บเล็ตรุ่นใหม่ดาหน้าเข้าไทย - พุธ@สุดพิเศษ

ตั้งแต่กลางปีไปจนถึงสิ้นปี แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน รุ่นใหม่ ต่างทยอยเข้าเมืองไทยเป็นจำนวนมาก รองรับทุกกลุ่มราคา
       
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่น แนล โมบาย โชว์ 2012 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ ไบเทค บางนา ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตหลายค่ายต่างทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
       
ค่ายซัมซุง ได้เปิดตัวแท็บเล็ต รุ่น ซัมซุง กาแล็คซี่ แท็บ 2 ทั้ง รุ่น 10.1 และ 7.0 หลังจากประสบความสำเร็จจากรุ่นแรก โดยกาแล็คซี่ แท็บ 2 ทั้งสองรุ่น รองรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือและวิดีโอคอล ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 หรือไอซีเอส ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเร็วกว่าเดิม รองรับโปรแกรมแฟลชเพลเยอร์ ทำให้ดูเว็บไซต์ต่างๆ ได้โดยไม่มีข้อจำกัด หน่วยประมวลผลดูอัล คอร์ 1 กิกะเฮิรตซ์ โดยรุ่น 7.0 ราคา 12,900 บาท และรุ่น 10.1 ราคา 15,900 บาท



นอกจากนี้ซัมซุง ยังเปิดตัวสมาร์ทโฟน กาแล็คซี่ บีม และนำกาแล็คซี่ เอส 3 รุ่น สีน้ำเงินมาขายในเมืองไทยแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้นำเข้ามาเฉพาะรุ่นสีขาวเท่านั้น
       
ค่ายแอลจี ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟน ออพติมัส 4x สำหรับคอเกมโดยเฉพาะ หน่วยประมวลผลโฟร์ พลัส วัน ควอดคอร์ ซึ่งคอร์ที่ 5 จะช่วยเพิ่มประหยัดภาพการทำงาน และช่วยในเรื่องประหยัดพลังงาน แบตเตอรี่มีเทคโนโลยีพิเศษ ชื่อ ไซโอพลัส ทำให้ทนต่อการใช้งานได้เป็นวัน ๆ หน้าจอสัมผัส เรียกว่า ทรู เอชดี ไอพีเอส  (True HD IPS) ให้สีสันสวยสมจริงที่สุดในโลก

       

นายสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า  แอลจีพร้อมมากสำหรับตลาดสมาร์ทโฟนในไตรมาสที่ 3 ผ่าน แอลจี ออพติมัส 4x แบตเตอรี่ไซโอพลัส  ความจุ 2,150 mAh จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น ระบบประมวลผลแบบโฟว์ พลัส วัน ควอดคอร์

ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นโดย เทกร้า ซึ่งจะเพิ่มหน่วยประมวลผลที่ 5 ขึ้นมาเพื่อช่วยในการใช้พลัง งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มประสิทธิ ภาพการใช้งาน โดยหน่วยประมวลผลที่ 5 จะทำงานเมื่อเครื่องเข้าสู่โหมดสแตนด์บายเพื่อช่วยในการประหยัดพลังงานมากขึ้น
       
มียูสเซอร์อินเทอร์เฟสใหม่ ที่ช่วยให้การทำงานเร็ว แอพพลิเคชั่นควิก แมมโม ( Quick Memo) สามารถใช้นิ้วมือจดบันทึก และตกแต่งรูปภาพ
       
กล้อง 8 ล้านพิกเซล มีโปรแกรมพิเศษไทม์ แคช ช็อต ( Time Catch Shot) จะช่วยเลือกภาพถ่ายที่ดีที่สุด
       
แอลจี ออพติมัส  4x รองรับระบบ 3G ทุกเครือข่าย ราคา 18,900 บาท

       

ส่วนไอ-โมบาย โดยนายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตพร้อมกันหลากรุ่น โดยสมาร์ทโฟน รุ่น ไอ-สไตล์ 1 และ 2 ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.3 รองรับสองซิม ทั้ง 2G   และ 3G  หน่วยประมวลผล 800  เมกะเฮิรตซ์  กล้อง 3 ล้านพิกเซล มีกล้องหน้าให้ทำวิดีโอคอลด้วย
       
ไอ-สไตล์ คิว 1 และ 2  เป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ 4.0  ใช้งานสองซิมเช่นกัน ทั้งสองรุ่นกล้อง 8 ล้านพิกเซล จอซูเปอร์ไอพีเอส จะมีความคมชัดกว่ารุ่น ไอ-สไตล์ 1 และ 2 ที่แตกต่างก็คือมีไว-ไฟ

ทั้ง 4 รุ่น ราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท ตามสไตล์ไอ-โมบาย
       
แต่ที่โดดเด่นก็คือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ รุ่น ไอ-โน้ต ไว-ไฟ หากยังจำกันได้ ไอ-โมบาย มีแท็บเล็ตรุ่น ไอ-โน้ต เอสวางขายก่อนหน้านี้แล้ว แต่ในงานนี้เปิดตัว ไอ-โน้ต ไว-ไฟ ที่รองรับเฉพาะการใช้งานผ่านไว-ไฟ เท่านั้น ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์  4.0  จอ 7 นิ้ว แบบมัลติทัช หน่วยประมวลผล 1  กิกะเฮิรตซ์  กล้อง 3 ล้านพิกเซล มีกล้องหน้าด้วย เพิ่มหน่วยความจำผ่านไมโครเอสดีการ์ด ราคาเพียง 3,990 บาท เมื่อดูจากสเปก เทียบกับราคาแล้ว เป็นแท็บเล็ตที่น่าสนใจมาก ๆ



ใช่แต่จะมีแท็บเล็ตแบรนด์ดัง ๆ รายใหญ่เข้ามาขายในงานนี้ อีกมุมหนึ่งที่ขายดีไม่แพ้กันแม้จะเป็นบูธเล็ก ๆ นั้นก็คือ แท็บเล็ตของผู้นำเข้ารายย่อย ใช้แบรนด์ว่า เพลแพด (playpad) มีให้เลือกทั้งจอ 7  นิ้วและ 9.7 นิ้ว ราคา ประมาณ 4,000-8,000 บาท  สเปกใกล้เคียงกับแท็บเล็ตของไอ-โมบาย แต่มีครบครันตามสไตล์แท็บเล็ตสัญชาติจีนแบบแท้ ๆ นั่นก็คือ ด้านข้างมีทุกพอร์ตที่เราต้องการทั้งมินิยูเอสบี ยูเอสบี 2.0 พอร์ตเอชดีเอ็มไอ ไมโครโฟน และช่องเสียบแจ๊คหูฟัง น้ำหนักเครื่องก็ประมาณ 1 กิโลกรัม.



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dailynews.co.th/technology/134035
20395  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เทวดากับมนุษย์ ใครมีสติมากกว่ากัน.? เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 08:55:41 am



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ฐานสูตร

      [๒๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
               ไม่มีทุกข์ ๑
               ไม่มีความหวงแหน ๑
               มีอายุแน่นอน ๑
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ


       ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
               อายุทิพย์ ๑
               วรรณะทิพย์ ๑
               สุขทิพย์ ๑
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป
ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ


       ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป และเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
               เป็นผู้กล้า ๑
               เป็นผู้มีสติ ๑
               เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ


       จบสูตรที่ ๑


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๘๔๑๘ - ๘๔๓๔. หน้าที่ ๓๖๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=8418&Z=8434&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=225
ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/




อรรถกถา อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ สัตตาวาสวรรคที่ ๓
๑. ฐานสูตร
สัตตาวาสวรรควรรณนาที่ ๓
อรรถกถาฐานสูตรที่ ๑
           
       สัตตาวาสวรรคที่ ๓ ฐานสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
       บทว่า อุตฺตรกฺรุกา ได้แก่ คนทั้งหลายชาวอุตตรกุรุทวีป.
       บทว่า อธิคณฺหนฺติ ได้แก่ ย่อมเป็นใหญ่ คือเป็นผู้ยิ่ง เป็นผู้ประเสริฐ ผู้เจริญที่สุด.
       บทว่า อมฺมา ได้แก่ ไม่มีตัณหา. ส่วนในอรรถกถา ท่านกล่าวว่า ไม่มีทุกข์.
       บทว่า อปริคฺคหา ได้แก่ เว้นความหวงแหนว่าสิ่งนี้ของเรา.
       บทว่า นิยตายุกา ความว่า ก็คนทั้งหลายเหล่านั้นมีอายุพันปีเท่ากันทั้งนั้น
       แม้คติก็เท่ากัน คนเหล่านั้นตายจากนั้นแล้ว ย่อมเกิดในสวรรค์เท่านั้น.


       บทว่า สติมนฺโต ความว่า ก็พวกเทวดาย่อมมีสติไม่แน่นอน เพราะมีความสุขโดยส่วนเดียว.
       พวกสัตว์นรกก็ไม่แน่นอน เพราะมีความทุกข์โดยส่วนเดียว.
       ส่วนคนเหล่านี้ชื่อว่ามีสติมั่นคง เพราะมีทั้งสุขทั้งทุกข์ปนกันแล้ว
.

       บทว่า อิธ พฺรหฺมจริยวาโส ความว่า แม้การอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์แปด ย่อมมีในที่นี้เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในชมพูทวีป.

       จบอรรถกถาฐานสูตรที่ ๑ 
             


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=8417&Z=8434
ที่มา http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=225
ขอบคุณภาพจาก http://img219.imageshack.us/
20396  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "เปรตบรรลุธรรมได้"...เป็นไปได้อย่างไง.? เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2012, 07:11:46 am

"เปรตบรรลุธรรมได้"...เป็นไปได้อย่างไง.?

อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ปารายนวรรค
โปสาลมาณวกปัญหานิทเทส

อรรถกถาโปสาลมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๔

    บทว่า เอกจฺเจ จ วินิปาติกา วินิปาติกะ (ผู้ตกไปในอบาย) บางพวก คือ เวมานิกเปรตเหล่าอื่นมีอาทิอย่างนี้ คือ ยักษิณีผู้เป็นมารดาของปุนัพพสุ ยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ ยักษิณีผู้เป็นมิตรของปุสสะผู้ยินดีในธรรม พ้นจากอบาย ๔.

    ร่างกายของเวมานิกเปรตเหล่านั้นต่างๆ กันด้วยสีมีผิวขาว ดำ ผิวทองและสีนิล เป็นต้น ด้วยลักษณะมีผอม อ้วน เตี้ย สูง. แม้สัญญาก็ต่างกันด้วยสามารถแห่งติเหตุกะ ทุเหตุกะและอเหตุกะ เหมือนของมนุษย์ทั้งหลาย.

    แต่เวมานิกเปรตเหล่านั้นไม่มีศักดิ์มากเหมือนทวยเทพ มีศักดิ์น้อยเหมือนคนจนหาของกินและเครื่องปกปิดได้ยาก ถูกทุกข์บีบคั้นอยู่. บางพวกได้รับทุกข์ในข้างแรม ได้รับสุขในข้างขึ้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า วินิปาติกะ เพราะตกไปจากการสะสมความสุข.

    แต่ "เวมานิกเปรตที่เป็นติเหตุกะ" ย่อมเป็นผู้บรรลุธรรมได้
    ดุจการบรรลุธรรมของ "ยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ"
เป็นต้น.


ที่มา http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=30&i=467
ขอบคุณภาพจาก http://www.palungdham.com/


     
     หากไม่เข้าใจคำว่า "ติเหตุกะ" ไปอ่านกระทู้นี้ครับ
     หัวข้อ "ติเหตุกบุคคล คือใคร คะ"
     http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5695.0
20397  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เหตุที่..คนเราคบค้าสมาคมกัน เป็นเพราะ..'มีธาตุเดียวกัน' เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2012, 02:05:58 pm


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
๕. จังกมสูตร
    
     [๓๖๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้นแล         
     ท่านพระสารีบุตรจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระมหากัสสปก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระอนุรุทธก็จงกรมอยู่ ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระปุณณมันตานีบุตรก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระอุบาลีก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระอานนท์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     แม้พระเทวทัตต์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ฯ



     [๓๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
      พวกเธอเห็นสารีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีปัญญามาก

      พวกเธอเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีฤทธิ์มาก

      พวกเธอเห็นมหากัสสปกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธุตวาท

      พวกเธอเห็นอนุรุทธ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้มีทิพยจักษุ

      พวกเธอเห็นปุณณมันตานีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธรรมกถึก

      พวกเธอเห็นอุบาลีกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้ทรงวินัย

      พวกเธอเห็นอานนท์ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นพหูสูต

      พวกเธอเห็นเทวทัตต์กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีความปรารถนาลามก ฯ



      [๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี


      แม้ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายก็ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว โดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี


      แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายก็จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี


      แม้ในปัจจุบันกาล สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ฯ


      จบสูตรที่ ๕


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๔๐๘๗ - ๔๑๓๘. หน้าที่ ๑๗๐ - ๑๗๒.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=4087&Z=4138&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=365
ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/,http://www.tourwat.com/
20398  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขอให้ลืม..เมื่อทำดีกับผู้อื่น.!.? เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2012, 11:39:16 am


ขอให้ลืม..เมื่อทำดีกับผู้อื่น.!.?

ขอให้ลืมเมื่อทำดีกับผู้อื่น แต่ให้จดจำเมื่อผู้อื่นทำดีกับเรา : ปุจฉา - วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล

   ปุจฉา :  ท่านคิดเห็นยังไงกับคำพูดที่ว่า 'ทำคุณคนไม่ขึ้น' คะ นิมนต์ท่านช่วยบรรยายเป็นธรรมทาน
 
   วิสัชนา : คนที่พูดว่า “ทำคุณคนไม่ขึ้น” มักเป็นเพราะเขารู้สึกว่า ไม่ว่าจะทำดีกับใครหรือช่วยเหลือใครก็ตาม คนเหล่านั้นไม่เคยสำนึกในบุญคุณของเขาเลย ตรงนี้ก็ต้องใคร่ครวญดูด้วยว่า คนเหล่านั้นไม่สำนึกในบุญคุณของเขาเลยจริงหรือเปล่า ความจริงเขาอาจจะสำนึกในบุญคุณ แต่ไม่มีโอกาสตอบแทน หรือถึงจะตอบแทน แต่ก็ไม่มากเท่าที่คนผู้นั้นต้องการ ก็เลยรู้สึกว่าความดีที่ตนทำไปนั้นสูญเปล่า
 
     ปัญหาอย่างนี้มักจะเกิดกับคนที่เมื่อช่วยเหลือใครไปแล้ว
     คาดหวังให้เขาตอบแทน ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
     ความคาดหวังดังกล่าว มักนำไปสู่ความทุกข์ของทั้งสองฝ่าย
     กล่าว คือ ในด้านหนึ่งผู้ที่ช่วยเหลือมักเรียกร้องจากฝ่ายที่ได้รับความช่วยเหลือ(หรืออาจถึงกับ “ทวง/ลำเลิกบุญคุณ”)


    ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกถูกคาดคั้นรบเร้า เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา (บางคนถึงกับเกลียดชังไปเลย) ในกรณีที่ฝ่ายนั้นทำการตอบแทนแล้ว แต่หากไม่มากเท่ากับที่ผู้ช่วยเหลือคาดหวังเอาไว้ ฝ่ายหลังก็ย่อมเกิดความไม่พอใจ
 
     ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหานี้ เวลาจะช่วยเหลือใคร ก็อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะสำนึกในบุญคุณของเราหรือตอบแทนเรากลับคืน ถ้ามีความคาดหวังอย่างนี้ จะไม่มีความสุขเลย อีกทั้งยังบั่นทอนความสัมพันธ์ด้วย ถ้าจะช่วยใครก็ควรช่วยเพราะความปรารถนาดีล้วน ๆ หรือช่วยเพราะศรัทธาในคุณงามความดี ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ หาไม่ก็จะลงเอยเหมือนคนที่ทำดีแล้วเป็นทุกข์เพราะคนอื่นไม่เห็นความดีของตน จึงเอาแต่ตัดพ้อว่า “ทำดีแล้วไม่ได้ดี” จนถึงกับเสื่อมศรัทธาในความดีก็มี
 
      ทั้งหมดที่พูดมานี้ สรุปสั้นๆ ก็คือ "ขอให้ลืมเมื่อทำดีกับผู้อื่น แต่ขอให้จดจำเมื่อผู้อื่นทำดีกับเรา"




เสียใจที่หงุดหงิดกับพ่อแม่
 
    ปุจฉา : กราบนมัสการพระคุณเจ้า ลูกมีปัญหาอยากถามพระคุณเจ้า คือลูกมีความตั้งใจที่กลับมาอยู่ใกล้พ่อแม่ก็เพราะอยากดูแลท่าน อยากพาแม่ไปวัด แม่ก็ดีไปวัดกับลูกตลอด แต่ลูกไม่เข้าใจทำไมวันมาฆบูชาที่ผ่านมาลูกก็พาแม่ไปวัด หลวงพ่อประกาศชวนญาติโยมอยู่ปฏิบัติธรรม ลูกจะอยู่
    แต่พอคิดว่าจะอยู่ลูกมีอาการเหมือนคนเป็นไข้จึงกลับบ้าน พอกับมาถึงบ้านก็เหมือนเป็นไข้จริงๆ พ่อเดินมาคุยด้วยก็รู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้แสดงออก พยายามเตือนสติตัวเองตลอด แม่มาคุยด้วยก็ไม่อยากคุย เป็นอะไรที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ลูกคิดว่ามารกำลังครอบงำ จริงๆ แล้วเป็นเพราะอะไรคะ

 
     วิสัชนา : คงเป็นเพราะคุณไม่ค่อยสบายใจก็เลยหงุดหงิด ไม่อยากพูดคุยกับใคร ประกอบกับคุณคงไม่มีนิสัยชอบสุงสิงพูดคุยกับใครมากนัก ก็เลยมีปฏิกิริยาแบบนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่เข้ามาสนทนาด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จึงไม่ควรรู้สึกแย่กับตัวเองมากนัก
     อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่คุณอยากปรับปรุงแก้ไขตนเองโดยเฉพาะเวลามีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่

 
      สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้มาก เวลาคุณหงุดหงิดหรืออารมณ์ไม่ค่อยดี นั่นก็คือ
      รู้ตัวเวลาที่มีอาการแบบนั้น แค่รู้ตัวว่ากำลังหงุดหงิด ก็ช่วยให้ความหงุดหงิดสะดุดลง
      เวลารู้ตัวว่ากำลังโกรธ ความโกรธก็ชะงัก
      ถ้ารู้ชัดมากๆ ก็ทำให้อารมณ์เหล่านั้นหลุดไปจากใจได้

      แต่ใหม่ๆ ยังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น การรู้ตัวนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีสติที่ไว ไม่ลืมตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์

 
       ทีนี้เมื่อรู้ตัวแล้วว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี หากอารมณ์ยังคาหรืออ้อยอิ่งอยู่ในใจ ก็ต้องเตือนใจตัวเองว่าให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตน ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป เพราะพูดแล้วอาจเกิดผลเสีย ต่อเมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงค่อยพูดหรือทำในสิ่งที่สมควรทำ แต่ถ้าจำเป็นต้องพูดก็พยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้
 
      การหมั่นดูใจของตนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้มีสติหรือรู้ทันอารมณ์ได้ไวขึ้น เมื่อดูบ่อยๆ ก็จะเห็นว่า ความหงุดหงิดนั้นอันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง มันแยกจากกัน สติจะช่วยให้เห็นความหงุดหงิด แทนที่จะรู้สึกว่าฉันหงุดหงิด (คนที่ไม่มีสติ เวลาความหงุดหงิดเกิดขึ้น ก็จะรู้สึกว่าฉันหงุดหงิด แต่ไม่เห็นความหงุดหงิด) สองอย่างนี้ต่างกันมาก
 
      คุณลองมองดูให้ดี ถ้าคุณเห็นความหงุดหงิดบ่อยๆ มันจะมาเยือนใจคุณน้อยลง นานๆ จะมาสักครั้ง และอยู่ได้ไม่นานก็ไป



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.komchadluek.net/detail/20120703/134247/ขอให้ลืมเมื่อทำดีกับผู้อื่น.html
http://i178.photobucket.com/,http://gotoknow.org/
20399  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่งครูปฏิบัติธรรม มุ่งลดละเลิกอบายมุข เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2012, 09:56:51 pm


ศธ.ส่งครูเข้าปฏิบัติธรรมหลังลด ละ เลิก อบายมุข

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า จากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้มีมติรับทราบตามที่ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอขอความร่วมมือมายังสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ ในการจัดอบรมปฏิบัติธรรมให้ครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ทั่วประเทศ

ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ครูได้เข้าฝึกปฏิบัติธรรม และหวังให้ครูมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการลด ละ เลิกอบายมุข ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดหนี้สิน โดยโครงการนี้จะเริ่มในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งทาง พศ. ได้ส่งรายชื่อสำนักปฏิบัติธรรมที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆให้ทางสพฐ.ไปพิจารณาแล้ว 

โครงการนี้ทางสพฐ.จะเป็นผู้ดำเนินการ โดยทาง พศ.จะทำหน้าที่ในการคัดเลือกสำนักปฏิบัติธรรมแล้วส่งรายชื่อไปให้สพฐ.คัดเลือก ซึ่งในการอบรมนั้นจะเป็นการดำเนินการตามความสมัครใจ ไม่ได้เจาะจงว่าครูที่เข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรมครั้งนี้จะเป็นครูที่เป็นหนี้สิน หรือติดอบายมุข

พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการสำนักงานส่งเสริมคุณธรรมฯ กล่าวว่า สำหรับหลักสูตรในการอบรมนั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

     1.อบรมให้ครูแกนนำ จะใช้เวลาอบรม 3 วัน 2 คืน โดยจะให้ส่งครูมาอบรมเขตพื้นที่การศึกษาละประมาณ 100 คน 
     2.อบรมให้ครูทั่วประเทศ โดยจะขอความร่วมมือไปยังสถานศึกษาแต่ละแห่งให้อนุญาตครูไปปฏิบัติธรรมได้ครั้งละ 1 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา ซึ่งครูจะขอไปปฏิบัติธรรมกี่ครั้งก็ได้ ขึ้นอยู่ที่การพิจารณาของสถานศึกษาแต่ละแห่ง แต่การไปปฏิบัติธรรมแต่ละครั้งต้องมีหลักฐานการยืนยันจากสำนักปฏิบัติธรรมกลับมาแสดงยังสถานศึกษาด้วย


     ทั้งนี้เชื่อว่าการนำครูเข้าปฏิบัติธรรม จะช่วยให้ครูห่างไกลอบายมุข ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้สินลงไปได้ด้วย และจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการในวันที่ 11 ก.ค.นี้


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/133918
20400  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวเน็ตตื้นตัน คลิปอาหารมื้อเดิม เรียกน้ำตาได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2012, 12:44:53 pm


ชาวเน็ตตื้นตัน คลิปอาหารมื้อเดิม เรียกน้ำตาได้โดยไม่รู้ตัว

ชาวเวียดนามนับแสน สุดตื้นตันถึงกับน้ำตาซึมโดยไม่รู้สึกตัว หลังได้รับชมคลิป อาหารมื้อเดิม ที่ถูกรัังสรรค์ขึ้นเพื่อปลุกจิตสำนึกรักครอบครัวและรำลึกถึงพระคุณของมารดาผู้ให้กำเนิด....

ท่ามกลางสารพัดข่าวคาวๆ ในสังคมไทย ทั้งเรื่องวัยรุ่นหญิงชายไทย หนีเรียนเปิดโรงแรมมั่วสวิงกิ้ง หรือแม้แต่ไร้ความคิดขนาดไปมั่วเพศกันในที่สาธารณะอย่างโรงหนัง นักเรียนนักเลงเปิดศึกไร้สมองฆ่ากันตาย โดยมีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมารับเคราะห์โดยไม่รู้ตัว รวมทั้งรายการเกมโชว์ที่ทำได้ทุกอย่าง

แม้แต่จ้างผู้หญิงไม่มีทางสู้มาโชว์นมวาดรูป เพียงเพราะต้องการเพียงสิ่งเดียวคือคำว่า เรตติ้ง โดยไม่แยแสว่าจะทำให้เกิดอะไรขึ้นในสังคม หรือแม้แต่กระทั่งละครน้ำเน่าในประเทศของเรา ที่ต้องมีฉากบังคับ คือ ฉากนางเอกและนางร้ายตบกัน

โดยมีข้ออ้างเพียงสิ่งเดียวว่า บรรดาผู้ให้การสนับสนุนทั้งหลายชอบ และจะต้องมีฉากนี้ในละครไทย ที่มีการจัดฉายในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ ที่มีเด็กๆ และเยาวชนของเรา ดูกันอย่างแพร่หลาย



อัปโหลดโดย dangdinhchinh1988 เมื่อ 15 พ.ค. 2011

เราลองไปดูประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง เวียดนาม ที่ครั้งหนึ่งเราเคยมองว่าเป็นคู่แข่ง แต่ปัจจุบันการสร้างสรรค์สังคมอย่างเป็นระบบ ได้ทำให้เวียดนามเริ่มทิ้งเราไปไกลหลายช่วงตัวแล้วนั้น มีแง่มุมในการนำเสนอสิ่งที่ดีๆ ต่อสังคมและเยาวชนในชาติ ของเขาอย่างไร

เพราะนอกจากเรื่องระบบการศึกษาที่เวียดนามได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เทงบประมาณลงจำนวนมากกับระบบการศึกษา ที่ไม่ใช่แค่เพียงการซื้อแท็บเล็ตกิ๊กก๊อกแจกเด็ก ป.1 เพียงเพื่อหวังคะแนนเสียง โดยไม่ได้ดูเลยว่ามันเหมาะกับสภาพของโรงเรียนทั่วประเทศหรือไม่ เหมือนกับในบางประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกัน

โดยในวันแห่งครอบครัวของเวียดนาม เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่คลิปที่มีชื่อว่า "อาหารมื้อเดิม" เพื่อหวังปลุกจิตสำนึกให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าแห่งครอบครัว และพระคุณของมารดาผู้ให้กำเนิด ซึ่งมีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ จนประชาชนชาวเวียดนามที่ได้มีโอกาสชมคลิปดังกล่าวนับแสนคน ถึงกับบอกว่า คลิปนี้ได้ทำให้ตนเองน้ำตาซึมโดยไม่รู้สึกตัว...



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/272725
หน้า: 1 ... 508 509 [510] 511 512 ... 555