ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 556
81  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยพระพุทธรูปขุดพบฝั่งลาว เป็นพระสิงห์สาม เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 01:31:14 pm
.



เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยพระพุทธรูปขุดพบฝั่งลาว เป็นพระสิงห์สาม

เจ้าคณะจังหวัดเชียงรายชี้ พระพุทธรูปที่ขุดค้นเจอในแม่น้ำโขงฝั่ง สปป.ลาว เป็นพระสิงห์สาม ศิลปะเชียงแสน อายุระหว่าง 500-800 ปี

วันที่ 17 มี.ค. 67 จากกรณีที่มีการขุดค้นเจอพระพุทธรูปโบราณจำนวนหลายองค์ ที่ริมแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านดอนผึ้ง เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ทราบข่าวทั้งฝั่งลาวและไทยต่างพากันมากราบไหว้ โดยเช้าวันนี้ก็ยังมีผู้ที่ทราบข่าวมามุงดูการค้นหากันเป็นจำนวนมาก

โดยทางชุดค้นหาได้นำรถแบ็กโฮมาขุดทรายทำเป็นแนวรอบจุดที่จะทำการขุดค้น ขนาดประมาณ 15x20 ม. และใช้เครื่องไดโว่สูบน้ำที่อยู่ข้างในออกมา และนำรถแบ็กโฮลงขุดค้นเพิ่มเติม ซึ่งล่าสุดวันนี้ได้มีการขุดค้นเจอพระเครื่องทรงยืน สูงขนาดประมาณ 4 นิ้ว พระพุทธรูปไม่มีเศียร หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตักประมาณ 32 นิ้ว




ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ วัดพระธาตุดอยผาเงา ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อสอบถามพระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยว่า พระพุทธรูปที่ขุดค้นที่ฝั่งลาว เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน เป็นพระสิงห์สาม ซึ่งแต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน แต่มีช่วงหนึ่งในอดีตที่แม่น้ำโขงเปลี่ยนเส้นทางไหล และส่งผลให้พื้นที่บางส่วนก็กลายเป็นพื้นที่ของ สปป.ลาว ตามเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขง ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้พระพุทธรูปในครั้งนี้ถือว่าองค์พระมีสภาพสมบูรณ์ สวยงาม เสียดายที่ไม่ได้ค้นพบในฝั่งไทย



เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยอีกว่า การขุดพบพระพุทธรูปในฝั่งลาวในครั้งนี้เป็นการขุดพบครั้งที่ 3 ก่อนหน้านี้เคยมีการขุดพบพระพุทธรูปริมแม่น้ำโขงมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่บ้านดอนสะหวัน เมื่อปี 2553 ครั้งที่ 2 ที่บ้านใหม่ร่มเย็น เมื่อปี 2556 และครั้งล่าสุดที่บ้านดอนสะหวัน ทั้งหมดอยู่ในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว




บริเวณที่ขุดเจอพระพุทธรูปครั้งนี้น่าจะอยู่ใกล้กับพระพุทธนวล้านตื้อ ที่สูญหายไปเมื่อครั้งอดีตเมื่อน้ำโขงเปลี่ยนทางไหล ถ้าสามารถนำพระนวล้านตื้อขึ้นมาจากน้ำโขงสำเร็จคาดว่าจะส่งผลดีต่อทั้งพุทธศาสนิกชนทั้งฝั่งไทยและลาว และใน อ.เชียงแสน ก็จะได้รับความสนใจ จะมีคนมาท่องเที่ยวอีกมาก แต่การค้นพบในครั้งนี้ก็ต้องแสดงความดีใจกับพี่น้องชาวลาว ที่เจอพระพุทธรูปดังกล่าว ส่วนพุทธศาสนิกชนชาวไทยก็สามารถข้ามไปกราบไหว้สักการะบูชาได้

พระพุทธิญาณมุนี เผยอีกว่า การค้นพบพระหรือสมบัติในแม่น้ำโขง จะถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของทางฝั่ง สปป.ลาว เนื่องจากแม่น้ำโขงอยู่ในเขตของลาว ประเทศไทยจะลงไปขุดค้นของในน้ำโขงโดยพลการไม่ได้ จะถือเป็นละเมิดสิทธิ์ ในอนาคตหากแม่น้ำโขงลดระดับมากกว่านี้ อาจจะเจอทรัพย์สมบัติที่จมอยู่ใต้น้ำโขงอีกมากมาย.






Thank to : https://www.thairath.co.th/news/local/2771229
17 มี.ค. 2567 17:03 น. | ข่าว>ทั่วไทย>ไทยรัฐออนไลน์
82  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนพาลเห็นบาปเหมือนของหวาน เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 07:15:19 am
.



คนพาลเห็นบาปเหมือนของหวาน

ว่าด้วย : พระอุบลวรรณาเถรี
เหตุการณ์ : พระศาสดาทรงปรารภพระอุบลวรรณาเถรี ผู้ไปอยู่ในป่า ถูกข่มขืน จึงมีข้อกำหนดให้ภิกษุณีอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น

พระอุบลวรรณาเถรีตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามปทุมุตตระ กระทำบุญทั้งหลายสิ้นแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีในกรุงสาวัตถีในพุทธุปบาทกาลนี้
 
มารดาบิดาได้ตั้งชื่อนางว่าอุบลวรรณา เพราะนางมีผิวพรรณเหมือนกลีบอุบลเขียว เมื่อนางเจริญวัย พระราชาและเศรษฐีทั้งหลายต่างส่งบรรณาการไปขอนางจากบิดา เศรษฐีคิดว่าไม่สามารถเอาใจคนทั้งหมดได้ จึงได้ถามธิดาว่าจะบวชได้ไหม คำของบิดาเป็นเหมือนน้ำมันที่ต้มแล้วตั้ง ๑๐๐ ครั้ง อันเขารดลงบนศีรษะ เพราะความที่นางมีภพสุดท้าย นางจึงบวช
 
เมื่อบวชแล้วไม่นาน นางตามประทีป กวาดโรงอุโบสถ ยืนถือนิมิตแห่งเปลวประทีป แลดู ยังฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิด กระทำฌานนั้นให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย
 
@@@@@@@

ในกาลนั้น พระศาสดายังไม่ทรงห้ามการอยู่ป่าของพวกนางภิกษุณี พระเถรีนั้นเที่ยวจาริกไปในชนบท แล้วกลับมาสู่ป่าอันธวัน พวกชนสร้างกระท่อม ตั้งเตียงกั้นม่านไว้ในป่าแก่พระเถรีนั้น พระเถรีเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี แล้วออกมา

ฝ่ายนันทมาณพผู้เป็นบุตรของลุงของพระเถรี มีจิตปฏิพัทธ์ต่อพระเถรีตั้งแต่กาลที่ท่านยังเป็นคฤหัสถ์ ได้เข้าไปซ่อนภายใต้เตียงในกระท่อม เมื่อพระเถรีกลับมา เขาปลุกปล้ำข่มขืนพระเถระแล้วหนีไป แผ่นดินใหญ่ได้แยกออก สูบเขาลงไป เขาไปเกิดในอเวจีมหานรก
 
เมื่อพระศาสดาทรงสดับเรื่องแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า
    "บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพาล เมื่อทำกรรมลามก ย่อมยินดีร่าเริง ประะดุจได้เคี้ยวกินของหวานมีน้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด เป็นต้น"
 
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า
    "คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้น คนพาลย่อมประสพทุกข์"
 
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น


@@@@@@@

สมัยต่อมา มหาชนสนทนากันในธรรมสภาว่าพระขีณาสพทั้งหลายยังยินดีกามสุข ยังเสพกาม เพราะพระขีณาสพเหล่านั้นไม่ใช่ไม้ผุ ไม่ใช่จอมปลวก มีเนื้อและสรีระสดใสอยู่
 
เมื่อพระศาสดาทรงทราบ จึงตรัสว่า
 "พระขีณาสพทั้งหลายไม่ยินดีกามสุข ไม่เสพกาม  เหมือนอย่างว่า หยาดน้ำตกลงบนใบบัว ย่อมไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ย่อมกลิ้งตกไป และเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ที่ปลายเหล็กแหลม ย่อมกลิ้งตกไปแน่แท้ ฉันใด กามแม้ ๒ อย่าง ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น"
 
ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
    "เรากล่าวบุคคลผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำไม่ติดอยู่ในใบบัว เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดอยู่ที่ปลายเหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์ "

พระศาสดารับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมา แล้วตรัสเรื่องกุลธิดา บวชแล้ว อยู่ในป่าเหมือนอย่างกุลบุตรทั้งหลาย คนลามกถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมเบียดเบียนภิกษุณีผู้อยู่ในป่า ด้วยการดูถูกดูหมิ่นบ้าง ด้วยการทำอันตรายแก่พรหมจรรย์บ้าง เพราะฉะนั้น พระราชาควรทำที่อยู่ภายในพระนครแก่ภิกษุณีสงฆ์
 
พระราชาทรงรับสั่งให้สร้างที่อยู่เพื่อภิกษุณีสงฆ์ในพระนคร ตั้งแต่นั้นมาพวกภิกษุณีย่อมอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น







ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : พระอุบลวรรณาเถรี พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ ๔๑ หน้า ๒๑๓-๒๑๗
URL : https://uttayarndham.org/node/4714
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธแท้ - พุทธเทียม เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 07:01:53 am
.



พุทธแท้ - พุทธเทียม : ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

ธุ วา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติ ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น (พุทธพจน์)

เมื่อมีปัญหา คนส่วนใหญ่คิดว่าร้อนก็ไปหลบในที่เย็น เท่านี้ ยังไม่พอ ยังไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง!

ธรรมะจะเกิดขึ้นจริงๆ ต้องเอาใจใส่ รักษากาย วาจา ใจ จะคิดจะพูดจะทำอะไรให้มีสติอยู่เสมอ อยู่เฉยๆ นั่งดูเฉยๆ ธรรมะคงจะเกิดขึ้นได้ยาก เหมือนเราจะปลูกผัก นั่งดูเมล็ดผักกาดมันจะเกิดไหม เราก็ต้องเอาเมล็ดไปเพาะ ไปปลูก ไปรดน้ำมันจึงเกิดพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น

อย่างที่มีปัญหาเกี่ยวกับศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ จริงๆ แล้วพระพุทธศาสนาไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาคือคนที่บอกว่าตัวเองเป็นพุทธแต่ไม่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนต่างหาก ปัญหาไม่ใช่มาจากศาสนาอื่นด้วย เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า ในจำนวน ๑๐๐ คน มีกี่คนที่เป็นพุทธแท้ๆ จะได้สัก ๑๐ คนไหม ถ้าพุทธแท้ ๑๐ คนใน ๑๐๐ คน อยู่ที่ไหนก็ไม่มีปัญหา อยู่กับสิงสาราสัตว์ก็ไม่มีปัญหา อยู่กับคนก็ไม่มีปัญหา เพราะรู้หมด จะไปมีปัญหาอะไร แต่ที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ถ้ารู้แล้ว เข้าใจแล้วก็ไม่มีปัญหา

แต่คนไม่เข้าใจ ปากก็ว่าพุทธ แต่วิธีการไม่ใช่ ก็เหมือนสมัยพุทธกาล บวชกับพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังทะเลาะกันให้เห็น ถือพวก ถือตัวตน ถือเจ้าของจนลืมว่าอะไรควรไม่ควร สมัยนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าให้เห็น แต่ยังมีพระธรรมก็ยังไม่ปฏิบัติ สมัยก่อนมีพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ฟังกัน

@@@@@@@

ปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เพราะคนไม่ใส่ใจ ถ้าใส่ใจเรื่องศาสนา ก็จะไม่มีปัญหา พระวิ่งหาลาภ ยศ สรรเสริญ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ลาภไปหามาทำไม ยศ ไปหามาทำไม สรรเสริญ ไปหามาทำไม

สุดท้าย เราไม่ต้องไปแก้คนอื่น ต่างคนต่างดูของตัวเจ้าของ ต่างคนต่างชำระความไม่ดีในจิตในใจของตัวเองก็จะไม่มีปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ แต่นี่มันไม่ใช่ ต่างคนต่างเสริม ลาภ สักการะให้แก่กัน ก็เรื่องกิเลสทั้งนั้น เหมือนเรื่องหรูหรา มันเป็นเรื่องของกิเลสพระ พระจะไปหาอะไร ก็ต้องไปหาศีลหาธรรมสิ ธรรมวินัยมีก็หามาสิ โลกวัชชะ ก็มีอยู่ ทำอะไรให้โลกติเตียน คือมันไม่งาม ก็ยับยั้งเสีย

พระเราไม่ต้องไปมีหรอกรถ เอามาทำไม เอามาแสดงธรรม หรือแสดงกิเลส พระขอข้าวเขากินวันละมื้อ จะมีอะไรนักหนา อะไรที่มันเกินงาม เกินพอดีก็ต้องถามตัวเอง เหมือนโทรศัพท์นี้ บางทีเห็นพระใช้ดีกว่าฆราวาสอีก ทั้งๆ ที่ขอข้าวเขากิน เอามาอวดกิเลสเจ้าของ ขายความอยากให้เขาเห็น เป็นเรื่องขายขี้หน้าทั้งนั้น

ถ้ารู้ว่าตัวเจ้าของเป็นพระต้องสำนึกว่าเราเป็นผู้ขอ ถ้าเป็นผู้ขอเลยเถิดเช่น โยม อาตมาต้องการโทรศัพท์เครื่องใหม่ ต้องการรถคันใหม่ มันวิเศษตรงไหน มันประเสริฐตรงไหน ที่พระพุทธเจ้าให้หาอรรถหาธรรม ทำไมไม่หา ไม่ทำ

ทางดับทุกข์ก็เปิดกว้างสำหรับทุกคนอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับศาสนาด้วยซ้ำ ทำให้ได้ ทำให้ถึงพร้อมก็จะดีเอง ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน นับถือศาสนาไหนก็ตาม ถ้าได้ปฏิบัติก็จะพบธรรมแท้ เป็นพระแท้ด้วยตัวเอง

 




THANK TO :-
image by : https://www.pinterest.com/
website : https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/223681
07 มี.ค. 2559 | 00:00 น.
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Q & A : ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน จริงหรือ.? เมื่อ: มีนาคม 17, 2024, 07:03:49 am
.



Q & A : ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน จริงหรือ.?
โดย อาจารย์ไชย ณ พล

Q ถาม : อาจารย์ครับ ผมเอาสุภาษิตที่ถือกันมายาวนานที่ว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" มาทบทวน เพราะในช่วง crisis domino นี้ หลายคนที่ผลงานดี มีความสำเร็จมาก ก็ย่ำแย่อย่างไม่น่าเชื่อ จึงทำให้ผมสงสัยว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลงานจริงหรือเปล่า

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

ค่าของคนอยู่ที่ความบริสุทธิ์อันบรมสุข
ค่าของงานอยู่ที่การสร้างสรรค์ Better Value
ค่าของการบริหารอยู่ที่การประกอบถูกส่วน
ค่าของการจัดการอยู่ที่ Smart Solution

ค่าของระบบอยู่ที่ความเป็นธรรม
ค่าของความสำเร็จอยู่ที่ประโยชน์สุขทุกฝ่าย
ค่าของชีวิตอยู่ที่การทำสิ่งเหล่านี้ให้สัมฤทธิ์ผล
นี่เป็นสัจธรรม และเงาสะท้อนสัจธรรม





ขอขอบคุณ :-
ภาพ : https://www.pinterest.ca/
website : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6352/ค่าของคนอยู่ที่ผลของงานจริงหรือ
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กมธ.ศาสนาฯสภาฯ ดูงานวัด “ไอ้ไข่” แนะผลักดันวัดสู่ “Soft Power” ด้วยหลักอปริหานิย เมื่อ: มีนาคม 16, 2024, 06:35:30 am
.



กมธ.ศาสนาฯสภาฯ ดูงานวัด “ไอ้ไข่” แนะผลักดันวัดสู่ “Soft Power” ด้วยหลักอปริหานิยธรรม 7

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลา 15.30 น. ที่วัดเจดีย์ (ไอ้ไข่) ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช นางเทียบจุฑา ขาวขำ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะกรรมาธิการ เข้ากราบ พระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ หรือ อาจารย์แว่น เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ไอ้ไข่ เพื่อรับฟังเกี่ยวกับแนวทาง การส่งเสริมศาสนา

พระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ กล่าวว่าวัดนี้ในอดีตเกือบเป็นวัดร้าง อาตมามาเป็นลูกวัด ด้วยเพราะสมัยเด็กมีฐานะยากจนบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่ เมื่อมาบวชแล้วก็ได้เข้ามา จำพรรษาที่วัดเจดีย์เมื่อปี พ.ศ. 2542 สมัยนั้นต้องบอกว่าวัดเจดีย์เป็นวัดร้าง ไม่มีโบสถ์ ไม่มีพระอุโบสถ ภายหลังจำพรรษาเป็นเวลา 4 ปีได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส

หลักการของที่นี่ ก็คือ เอาชาวบ้านเป็นหลัก ตอนเย็นตนมักไปคุยกับชาวบ้าน เพื่อศึกษาความเป็นมา ซึ่งจุดเด่นของวัดนี้หากจะดำเนินการเรื่องวิปัสสนา เรื่องสวดมนต์ หรือเรื่องอื่นๆ ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก จุดเด่นของวัดคือ “ไอ้ไข่” ที่มีคนศรัทธาและมาจุดประทัดมาตั้งแต่โบราณ จึงเริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัด ได้ให้ชาวบ้านตั้งกลุ่มกันเป็นกลุ่ม 42 กลุ่มละ 4 คน หมุนกัน ดูแลด้านดอกไม้ จุดประทัด การประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

ซึ่งก็จะมีรายได้จากการบริการและขายอาหาร ในวัดไม่มีขาย เครื่องรางของขลังหรือของเซ่นไหว้ต่างๆ หากจะซื้อต้องไปซื้อข้างนอก ด้วยการบริหารเช่นนี้จึงไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างภายนอกและภายใน

ปัจจุบันได้ตั้งทุนมีเงินทุนถึง 2-3 ล้าน โดยกลุ่มชาวบ้านที่เริ่มต้นอายุมากแล้ว ตอนนี้เริ่มรุ่นหลาน ในช่วงที่รายได้ดี คนมาช่วยงานวัด อาจได้รายได้ต่อคนถึง 20,000 บาทต่อเดือน ในเวลาที่เหลือก็สามารถไปทำงานทำไร่ทำสวนปาล์มชาวบ้านก็มีความสุข อาตมาอยู่มา 25 ปี ทุกที่มีปัญหา ต้องช่วยกันแก้ ในอดีตตอนจัดบวชไม่มีคนบวชก็ขอทหารมาบวช




นางเทียบจุฑา กล่าวว่าตนและคณะหลังจากที่ได้ทราบข้อมูล โดยท่านเจ้าอาวาสท่านได้นำชมวัด สาระสำคัญคือที่นี่เน้นชาวบ้านเป็นศูนย์กลาง โดยมีการปรึกษาหารือมีการประชุมกันอย่างเนืองนิจตาม หลักอปริหานิยธรรม 7
ธรรม สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการความเจริญรุ่งเรืองแก่องค์กรที่ตนเองปกครองมี 7 ประการ คือ

1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม)
4. ท่านเหล่าใดเป็นใหญ่ ให้เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งควรรับฟัง
5. บรรดากุลสตรี กุมารีทั้งหลาย ให้อยู่โดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
6. เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
7. จัดให้ความอารักขาคุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้หมายความรวมถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรมเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนทั่วไปด้วย) โดยตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วขอให้โดยผาสุกด้วยการมีความสะอาดสะอ้าน บูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรือง

หาจุดเด่นของวัดและสร้างจุดเด่นเพื่อเป็นจุดขาย ส่งผลให้เป็น Soft Power ของพื้นที่ จนในที่สุดถือว่าเป็น Soft Power ของประเทศเลยทีเดียว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สามารถนำมาพัฒนามาเป็นต้นแบบ ทั้งการพัฒนา การเป็นแหล่งท่องเที่ยว การศึกษา เมื่อเชื่อมั่นว่าการพัฒนารูปแบบนี้จะทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองอย่างไร้ขีดจำกัด




สำหรับรายชื่อคณะเดินทางไปศึกษาดูงาน เกี่ยวกับการส่งเสริมศาสนา การอนุรักษ์พัฒนาศิลปะและวัฒนธรรมไทย ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 15 – 16 มีนาคม 2567 ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย

1. นางเทียบจุฑา ขาวขำ ประธานคณะกรรมาธิการ
2. นายปิยชาติ รุจิพรวศิน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง
3. นายษฐา ขาวขำ โฆษกคณะกรรมาธิการ
4. นางสาวกานสินี โอภาสรังสรรค์ โฆษกคณะกรรมาธิการ
5. นายภูริวรรธก์ ใจสำราญ กรรมาธิการ
6. นางสาวสกุณา สาระนันท์ กรรมาธิการ
7. นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล กรรมาธิการ
8. นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
9. นายคมสรรค์ สุนนทราช ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
10. นางณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
11. นายชุติพงศ์ พูนพล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
12. พันตรี ประเสริฐ สายทองแท้ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
13. นายประสิทธิ์ โชติรัตน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
14. นายนเรนฤทธิ์ ทีปสว่าง เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
15. นางสาวมาตา ขาวขำ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
16. นางสาวนรินทร์นิภา หาญคำอุ้ย เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
17. นางสาวชนิษฎา กอหงษ์ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
18. นางสาวชัญญา กรรณจนะศิลป์ ผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
19. นายศุภรัตน์ ศรีดีแก้ว วิทยากรชำนาญการพิเศษ
20. นายทีปกร มากเสมอ วิทยากรชำนาญการพิเศษ



Thank to : https://thebuddh.com/?p=78212
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “มจร” มอบพระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬา ฯ แก่ “มธ.” เพื่อกระชับสัมพันธ์เนื่องในปีมหามงคล เมื่อ: มีนาคม 16, 2024, 06:20:00 am
.



“มจร” มอบพระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬา ฯ แก่ “มธ.” เพื่อกระชับสัมพันธ์เนื่องในปีมหามงคล

วันที่ 15 มีนาคม 2567  ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มอบให้ พระราชวัชรสารบัณฑิต รองอธิการฝ่ายวางแผนและพัฒนา ปฎิบัติหน้าที่แทนในพิธีมอบพระไตรปิฎกฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โดยมี รองอธิการบดี คณบดี ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้า นิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมพิธี  โดยมี รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณาจารย์ และ เจ้าหน้าที่ ร่วมรับมอบ

พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวว่า วันนี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง โดยการดำเนินการของรองอธิการการบดีฝ่ายต่างประเทศ พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน ประธานคณะกรรมการดำเนินงานมอบพระไตรปิฏก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฺฉลิมพระเกียรติให้แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยท่านอธิการบดีเดินทางมารับด้วยตนเอง พร้อมกับคณาจารย์ เจ้าหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

พระไตรปิกฎที่มอบให้ในวันนี้ สืบเนื่องด้วยปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชมนมายุครบ 72 พรรษา ในวโรการปีมหามงคลนี้ประชาคมชาวมหาจุฬา ได้จัดกิจกรรมทั้งทางด้านวิชาการ จิตอาสา ทั้งด้านอื่น ๆ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และเพื่อเทิดทูนสถานชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ในปีมหามงคล

ในการมอบพระไตรปิฏกในครั้งนี้ เป็นฉบับภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นพระไตรปิฎก ที่ครูบาอาจารย์ ขอมหาจุฬา  ฯที่นำโดย พระเดชพระคุณ ศาตราจารย์ ดร.พระพรหมบัณฑิต อธิการบดีเป็นบรรณาธิการใหญ่ ในการแปลจากภาษาลี ซึ่งเป็นต้นฉบับ มาสู่ภาษาไทย

เป็นฉบับเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาค พระราชอิสริยยศของสมเด็จพระพันปีหลวง ในสมัยนั้น เป็นพระไตรปิฏกที่ได้รับการพูดถึงว่าอ่านแล้วเข้าใจง่าย แปลสำนวนที่ไม่ทิ้งของเดิม ไม่ทิ้งภาษาบาลี เป็นภาษาร่วมสมัย อ่านแล้วเข้าใจง่ายที่สุดฉบับหนึ่ง






    “เบื้องต้นนี้จึงเจริญพรเรียนท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขอมอบพระไตรปิฏกฉบับสำคัญนี้ ที่ลงทุนด้วยสติปัญญาและความอดทน ต่อประชาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไว้ ในวโรกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    นอกจากนั้น ที่ผ่านมาระหว่างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาตลอด มีความสัมพันธ์ทั้งด้านสถานที่ วิชาการ กิจกรรมด้านอื่น ๆ มากมาย ในเบื้องต้นนั้น ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีความเคารพนับถือใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านเป็นผู้สร้าง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในยุคเริ่มต้น เป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียง คือ พระพิลธรรม หรือ หลวงพ่ออาจ ประวัติศาสตร์บอกว่า ท่านสองนี้เป็นกัลยาณมิตรกัน ไปมาหาสู่กัน ปรึกษาหารือกัน และทั้งคู่เป็นผู้ที่มีความคิดล้ำสมัยตั้งแต่นั้น อันนี้ประการที่หนึ่ง

    ส่วนประการที่สอง เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มอบปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับ พระราชวรมุนี ปัจจุบันคือ พระพรหมบัณฑิต  ซึ่งท่านมีตำแหน่งทางวิชาการคือศาสตราจารย์ และเป็นศาสตราจารย์รูปแรกของ มจร ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากในคณะสงฆ์ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของไทยเห็นความสำคัญของพระภิกษุสงฆ์ 

    ส่วนเรื่องที่สามคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดกว้างทางวิชาการ ระยะแรกๆ  พระภิกษุ สามเณรจะไปศึกษามหาวิทยาลัยยากมาก แต่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยแรก ๆ ที่เปิดกระตู่กว้างให้กับพระภิกษุสามเณร ที่เรียกว่าเป็นเสรีภาพทางวิชาการ ใครก็ตามมีคุณสมบัติพร้อมก็มีสิทธิเรียน พวกเราพระภิกษุสามเณรที่สำเร็จจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็มีทางเลือกมากขึ้น  ซึ่งแต่เดิมไปได้เฉพาะอินเดีย เท่านั้น

ในนามพระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดีมหาจุฬา และชาวประชาคมมหาจุฬา ทั้งส่วนกลาง วิทยาลัยเขต 11 แห่ง วิทยาลัยสงฆ์ 28 แห่ง หน่วยวิทยบริการ 4 แห่ง และสถาบันสมทบในต่างประเทศ 5 แห่ง ขอมอบพระไตรปิฏกฉบับเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในปีมหามงคล 6 รอบ 72 พรรษา แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไปศึกษา เรียนรู้ และพัฒนาดังที่กล่าวมาแล้ว..”






ด้าน รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น กล่าวว่า “ในนามของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้รู้สึกยินดีปลาบปลื้มเป็นมาก ๆ ที่ได้มีพิธีกรรมที่น่าเลื่อมใส อยู่ด้วยแล้วมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับมอบพระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมีโอกาสรับมอบพระไตรปิฏกในวันนี้

สืบเนื่องจากการที่ทั้งสองสถาบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีความร่วมมือกันทางวิชาการ การศึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการวิชาการ ซึ่งสื่อให้เห็นถึงมิตรสัมพันธ์ ไมตรีทั้ง สองมหาวิทยาลัย ที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันมาอันยาวนาน

สุดท้ายขอของกราบขอบพระคุณ พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  โดยทาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเก็บพระไตรปิฏกฉบับนี้ ไว้เป็นสื่อ เพื่อศึกษา ค้นคว้า ให้กับคณาจารย์ นักศึกษา บุคคลากร ตลอดจนประชาชน หรือผู้สนใจ ได้ศึกษาต่อไป..”





Thank to : https://thebuddh.com/?p=78198
87  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “กมธ.ศาสนาฯสภาฯ” ลงพื้นที่เมืองคอน พร้อมหนุนวัดพระมหาธาตุเป็นมรดกโลก เมื่อ: มีนาคม 16, 2024, 06:09:26 am
.



“กมธ.ศาสนาฯสภาฯ” ลงพื้นที่เมืองคอน พร้อมหนุนวัดพระมหาธาตุเป็นมรดกโลก

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลา 09.30 น. นางเทียบจุฑา ขาวขำ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะกรรมาธิการ เข้ากราบสักการะพระธรรมวชิรกร เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 16,17,18 (ธรรมยุต) พระธรรมวชิรกรได้ให้โอวาทและฝากผลักดันให้วัดพระมหาธาตุ ที่มีการผลักดันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาเป็นเวลานาน ให้ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการได้ลงพื้นที่เข้าชมบริเวณโดยรอบของวัดพระมหาธาตุ พร้อมทำพิธีห่มผ้าพระธาตุฯ

สำหรับรายชื่อคณะเดินทางไปศึกษาดูงาน เกี่ยวกับการส่งเสริมศาสนา การอนุรักษ์พัฒนาศิลปะและวัฒนธรรมไทย ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 15 – 16 มีนาคม 2567 ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย

1. นางเทียบจุฑา ขาวขำ ประธานคณะกรรมาธิการ
2. นายปิยชาติ รุจิพรวศิน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง
3. นายษฐา ขาวขำ โฆษกคณะกรรมาธิการ
4. นางสาวกานสินี โอภาสรังสรรค์ โฆษกคณะกรรมาธิการ
5. นายภูริวรรธก์ ใจสำราญ กรรมาธิการ
6. นางสาวสกุณา สาระนันท์ กรรมาธิการ
7. นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล กรรมาธิการ
8. นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
9. นายคมสรรค์ สุนนทราช ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
10. นางณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
11. นายชุติพงศ์ พูนพล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
12. พันตรี ประเสริฐ สายทองแท้ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
13. นายประสิทธิ์ โชติรัตน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
14. นายนเรนฤทธิ์ ทีปสว่าง เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
15. นางสาวมาตา ขาวขำ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
16. นางสาวนรินทร์นิภา หาญคำอุ้ย เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
17. นางสาวชนิษฎา กอหงษ์ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ
18. นางสาวชัญญา กรรณจนะศิลป์ ผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
19. นายศุภรัตน์ ศรีดีแก้ว วิทยากรชำนาญการพิเศษ
20. นายทีปกร มากเสมอ วิทยากรชำนาญการพิเศษ




จากนั้น คณะกรรมาธิการเข้ารับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับแนวทางการอนุรักษ์ และพัฒนาศิลปะและวัฒนธรรมไทย รวมทั้งการดำเนินงานเพื่อขอขึ้นทะเบียนให้พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราชเป็นมรดกโลกจากผู้แทนส่วนราชการ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย

1.) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช
2.) ผู้อำนวยการกองโบราณคดี นายพงศ์ธันว์ สำเภาเงิน
3.) ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช
4.) วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช
5.) ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดนครศรีธรรมราช

ในจุดเด่นของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร คือพระมหาธาตุเจดีย์ซึ่งมีความสูง 37 วา 2 ศอก 1 คืบ (55.99 เมตร) นอกจากนี้ยังมีวิหารสำคัญหลายหลัง เช่น

    1.) พระวิหารหลวง สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้า ทรงธรรม กษัตริย์แห่งอยุธยา ต่อมาวิหารทรุดโทรมลง เจ้าพระยานครศรีธรรมราช สมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้ปฏิสังขรณ์ใหม่ใน พ.ศ. 2354 ถึง พ.ศ. 2382 วิหารหลังนี้จึงมีคุณค่าในแง่ของการ สืบทอดรูปแบบทางสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์จากสมัยอยุธยา
    2.) วิหารธรรมศาลาและวิหารพระด้าน สันนิษฐานว่าวิหาร สร้างขึ้นในราว พ.ศ. 1919 เพื่อทำหน้าที่เป็นวิหารทิศตะวันออก และทำหน้าที่เป็นศาลาอเนกประสงค์ และการเทศนาธรรม ส่วนวิหารคดสร้างขึ้นภายหลังเพื่อล้อมรอบผังทำให้เกิดพื้นที่เขต พุทธาวาส และเป็นขอบเขตของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
    3.) พระมหาธาตุเจดีย์และเจดีย์ราย เป็นการสถาปนา พระมหาธาตุเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นเจดีย์รายทรง ระฆังที่มีจำนวนมากที่สุดในคาบสมุทรไทย-มาเลย์ ที่ฐานเจดีย์มีวิหาร ทับเกษตรซึ่งมีช้างล้อม ถือเป็นมหาสถูปที่สร้างตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์
    4.) วิหารพระทรงม้าและวิหารเขียน วิหารพระทรงม้า เป็นวิหารที่อยู่ต่อจากวิหารเขียน มีหลังคาคลุมบันไดขึ้นสู่ลาน ประทักษิณขององค์พระมหาธาตุเจดีย์ ภายในมีประติมากรรม ปูนปั้นตอนออกบรรพชาอุปสมบท (มหาภิเนษกรมณ์) ที่งดงามยิ่ง
    5.) วิหารโพธิ์ลังกา เป็นสถาปัตยกรรม สัญลักษณ์ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ โดยนำหน่อต้น พระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้มาปลูกไว้กลางวิหาร

คุณค่าอันโดดเด่นเป็นสากลของวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร Outstanding Universal Value (OUV) of Wat Phra Mahathat Woramahawihan วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารมีคุณค่าอันโดดเด่นสอดคล้องตามเกณฑ์ที่ศูนย์มรดกโลกกำหนดไว้ในเกณฑ์ข้อ i และ vi ดังนี้

    เกณฑ์ข้อ (i) แสดงออกถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนคุณค่า ของมนุษย์ตามกาลเวลาในพื้นที่วัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง ของโลกในแง่สถาปัตยกรรม หรือทางเทคโนโลยี ศิลปะที่คงทน ถาวร ผังเมืองและการออกแบบภูมิทัศน์ และ
    เกณฑ์ข้อ (vi) มีความสัมพันธ์โดยตรงหรือเห็นสัมพันธ์เชิง รูปธรรม กับเหตุการณ์หรือประเพณีที่ยังคงอยู่ กับความคิด หรือความเชื่อ หรืองานศิลปะและวรรณกรรมที่มีความสำคัญและ มีความโดดเด่นเป็นสากล




สำหรับกรอบเวลาที่คาดว่าจัดทำเอกสารนำเสนอเป็นมรดกโลก (Nomination Dossier) มีดังนี้

    5 ม.ค. 2567 จังหวัดนครศรีธรรมราชส่งเอกสาร Nomination Dossier ถึงอธิบดีกรม (เพื่อเสนอต่อคณะทำงานของกระทรวงวัฒนธรรม)
    1 ก.พ. 2567 รับผลการตรวจแก้แนะนำเอกสาร Nomination Dossier
    1 มี.ค. 2567 จังหวัดนครศรีธรรมราชส่งเอกสาร Nomination Dosser (ฉบับภาษาไทย) ที่แก้ไขแล้ว ถึงคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพื่อพิจารณาความถูกต้อง
    1 เม.ย. 2567 แปลและพิมพ์ต้นฉบับ (ภาษาอังกฤษ) + ภาคผนวก
    1 มิ.ย. 2567 ส่งเอกสาร Nomination Dossier ไปยังคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญา คุ้มครองมรดกโลกเพื่อพิจารณาอนุมัติ
    15 มิ.ย. 2567 ส่งเอกสาร Nomination Dossier ไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบ และลงนามใน ฐานะผู้แทนรัฐภาคี
    30 ก.ย.2567 รัฐบาลไทยส่งเอกสาร Nomination Dossier ไปยังองค์การยูเนสโกเพื่อรับการพิจารณา
    15 พ.ย. 2567 สำนักเลขานุการศูนย์มรดกโลกตอบรัฐภาคีในเรื่องข้อคิดเห็นและการพิจารณาทบทวนร่าง แฟ้มเอกสารนำเสนอ โดยระบุถึงข้อมูลที่ยังขาดตกบกพร่องและจุดผิดพลาดที่จะต้องแก้ไข ให้ถูกต้อง
    1 ก.พ. 2568 วันสุดท้ายของการได้รับแฟ้มเอกสารนำเสนอ (Nomination Dossier) ที่สมบูรณ์ใน การพิมพ์ตามรูปแบบ เพื่อส่งต่อไปยังองค์กรที่ปรึกษา (Advisory Bodies) ที่เกี่ยวข้องทำการประเมิน

อย่างไรก็ตามนางเทียบจุฑา กล่าวว่า กรรมาธิการใน รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา129 มีอำนาจหน้าที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใดๆ รวมถึงการสอบหาข้อเท็จจริงนั้น ตามอำนาจหน้าที่ดังกล่าว คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมพร้อมสนับสนุน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ขึ้นเป็นมรดกโลก(World Heritage) ของ UNESCO ในประเทศไทย อันจะเป็น Soft power ของไทยต่อไป




Thank to : https://thebuddh.com/?p=78190
88  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว อยากมีลูก ไม่อยากมีผัว เมื่อ: มีนาคม 16, 2024, 05:55:34 am
.



หญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว อยากมีลูก ไม่อยากมีผัว

อยู่ก่อนแต่ง เป็นประเพณีดั้งเดิมของอุษาคเนย์รวมทั้งไทย มีเหตุจาก “หญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว” [หมายถึงหญิงมีอำนาจสูงกว่าชาย (ชายมีอำนาจบ้าง แต่ต่ำกว่าหญิง) เป็นคำคล้องจองของตระกูลไท-ไต มีมาแต่ยุคดั้งเดิมดึกดำบรรพ์]

เมื่อชายเป็นบ่าวรับใช้บ้านหญิง เพื่อหวังจะแต่งงานเป็นผัวเมียต่อไปข้างหน้า ต้องยอมเป็นบ่าวไปจนกว่าเครือญาติฝ่ายหญิงจะยอมรับ ซึ่งใช้เวลานานเป็นปีๆ หรือหลายปีก็ได้ เช่น 5 ปี 10 ปีก็มี ระหว่างนี้สังคมยุคนั้นยอมให้ “อยู่ก่อนแต่ง” แล้วมีลูกก็ได้

@@@@@@@

อยากมีลูก ไม่อยากมีผัว

“อยากมีลูก แต่ไม่อยากมีผัว” และ “ลูกรู้จักแม่ แต่ไม่รู้จักพ่อ” น่าจะเป็นร่องรอยวิถีชีวิตดั้งเดิมของอุษาคเนย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว ที่ยกย่องหญิงเป็นใหญ่ในพิธีกรรม (สมัยหลังเรียกเรียกแม่, เม)

หมัวซัวเป็นชื่อชนเผ่าหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนานในจีน ฝ่ายชายจะไปที่บ้านหญิงคนรักแล้วนอนค้างคืนด้วยกัน พอรุ่งเช้าฝ่ายชายก็กลับบ้านของตน

ในเอกสารจีนโบราณ (หมานซู) ระบุว่าบริเวณนี้ลงไปทางใต้จรดทะเล ราว 2,000 ปีมาแล้ว เป็นหลักแหล่งของชนเผ่าร้อยพ่อพันแม่

ยาย เป็นใหญ่สุดในครอบครัว ที่มีสมาชิกราว 40-50 คน

แม่ เป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการงานทุกอย่างในครอบครัว (ซึ่งประกอบด้วย ลุง, ป้า, น้า และเจ๊ๆ หลายคน)

ส่วนลุงและน้าชายมีหน้าที่ทำงานก่อสร้างซ่อมแซมเรือนและเครื่องมือเครื่องใช้

ไม่มีพ่อ ไม่รู้จักพ่อจริงๆ และไม่มีศัพท์คำว่า พ่อ, ผัว เป็นพยานการสืบสกุลทางฝ่ายหญิง เพราะหญิงเป็นเจ้าของบ้าน

@@@@@@@

หญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว

คําคล้องจองเก่าแก่ว่า “หญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว” มีมาครั้งไหน? ไม่มีใครบอกได้

แต่แสดงให้เห็นว่าสังคมดั้งเดิมของคนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ หญิงมีอำนาจสูงกว่าชาย (ชายมีอำนาจบ้างเหมือนกัน แต่มีต่ำกว่าหญิง) แล้วเป็นรากเหง้าให้เรียกหญิงชายในพิธีแต่งงานว่า เจ้าสาว-เจ้าบ่าว

“เอาแฮงโต๋ ต่างควายนา” เป็นภาษาลื้อ (สิบสองพันนา) ถอดเป็นคำไทยว่า เอาแรงตัว ต่างควาย

เป็นคำพังเพยเพื่อจะอธิบายว่าประเพณีลื้อ เมื่อหญิงชายจะแต่งงานเป็นผัวเมียกัน ชายต้องไปทำงานรับใช้พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่อยู่บ้านฝ่ายหญิง ต้องใช้แรงตัวเองของชาย ทำงานเหมือนควายให้ฝ่ายหญิง

ชาวขมุ ถือว่าบ้านไหนมีลูกสาว บ้านนั้นมั่งคั่งร่ำรวย เพราะต่อไปจะมีบ่าว คือชายมารับใช้ทำงานทำไร่ไถนาเพื่อเป็นเขย (อย่างนี้ทางปักษ์ใต้เรียก เขยอาสา ทางอีสานเรียก เขยสู่)

เมื่อชายเป็นบ่าวรับใช้บ้านหญิง เพื่อหวังจะแต่งงานเป็นผัวเมียต่อไปข้างหน้า ต้องยอมเป็นบ่าวรับใช้ไปจนกว่าเครือญาติฝ่ายหญิงจะยอมรับ ซึ่งต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ หรือหลายปีก็ได้ เช่น 5 ปี 10 ปีก็มี

ระหว่างนี้สังคมยุคนั้นยอมให้ “อยู่ก่อนแต่ง” ได้ แล้วมีลูกก็ได้ แต่ต้องเป็นบ่าวไพร่อยู่ในโอวาทฝ่ายหญิง จะทำขึ้นเสียงไม่ได้

นาง แปลว่า หัวหน้า, ผู้เป็นใหญ่ ใช้กับเพศหญิง (มีความหมายอย่างเดียวกับนายที่ใช้กับเพศชาย)

สาว หมายถึงวัยรุ่นหญิง หนุ่ม หมายถึงวัยรุ่นชาย

เจ้าสาว หมายถึงหญิงที่เข้าพิธีแต่งงาน เจ้าบ่าว หมายถึงชาย (ซึ่งเป็นหนุ่ม) ที่เข้าพิธีแต่งงาน แต่ไม่เรียกเจ้าหนุ่ม ต้องเรียกเจ้าบ่าว เพราะต้องทำงานรับใช้เป็นขี้ข้าในบ้านสาว

ในพิธีส่งเข้าหอ เจ้าบ่าวต้องเดินเกาะหลังเจ้าสาวที่เดินนำหน้า (มีตำนานบันทึกในราชพงศาวดารกัมพูชา)

แล้วต้องเป็นเขยอยู่บ้านเจ้าสาว เพราะเจ้าสาวเป็นผู้รับมรดกบ้านกับที่ดิน และสืบสายตระกูล เจ้าบ่าวต้องรับใช้ในบ้านเจ้าสาวตลอดไป



เจ้าบ่าวต้องไปไหว้ผีและเคารพญาติของฝ่ายเจ้าสาวในพิธีแต่งงานของไทดำ หรือชาวโซ่งที่ จ.สุพรรณบุรี (ภาพเมื่อ พ.ศ.2549)

ฉุด, หนีตาม

หญิงสาวชายหนุ่มรักใคร่ชอบพอกัน แต่ฝ่ายชายยากจน ไม่มีสินสอดพอจะสู่ขอแต่งงานได้ตามประเพณี หรือถูกกีดกันจากพ่อแม่เครือญาติฝ่ายหญิง

มีทางออกให้เลือก คือ ฉุด หรือ หนีตาม เพื่อรวบรัดเป็นผัวเมียกันก่อน แล้วฝ่ายชายจัดพิธีเสียผีขอขมาทีหลัง

ฉุด หมายถึงชายฉุดหญิงไปทำเมีย โดยทั่วไปเข้าใจกันด้านเดียวว่าชายใช้ความรุนแรงตามอำเภอใจฉุดหญิง แต่ในความจริงมักเกิดจากหญิงชายนัดแนะรู้กัน โดยหญิงเต็มใจไปในที่ให้ชายฉุด ส่วนที่ชายหักหาญตามอำเภอใจ เพราะหญิงไม่ชอบชายก็มีไม่น้อย

หนีตาม หมายถึงหญิงหนีพ่อแม่ตัวเองไปอยู่กับชายเป็นผัวเมีย เพราะพ่อแม่ไม่ยอมให้แต่งงาน ซึ่งมีคำชาวบ้านนินทาฝ่ายหญิงว่า “หอบผ้าผ่อนหนีตามผู้ชาย” เพราะร่านและแรดอยากมีผัว แต่พ่อแม่เครือญาติฝ่ายหญิงจะแก้ตัวว่าลูกสาวถูกฉุด

@@@@@@@

แต่งงาน

แต่งงาน หมายถึงพิธีเสียผีที่ฝ่ายชายขอขมาพ่อแม่ฝ่ายหญิงที่ฉุดลูกสาวเขาไปร่วมเพศทำเมียโดยมิได้สู่ขอ เมื่อพ่อแม่รวมทั้งเครือญาติฝ่ายหญิงและชุมชนยอมรับ จะได้อยู่กินเป็นผัวเมียมีลูกเต้าต่อไปตามปกติ [มีรายละเอียดในหนังสือ ปลูกเรือน-แต่งงาน ของเสฐียรโกเศศ สำนักพิมพ์สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2507 หน้า 110-121]

ครั้นนานเข้าก็เพิ่มเติมรายการอันเป็นมงคลต่างๆ จนไม่เหลือเค้าดั้งเดิม



เสาสลักรูปนมสองเต้าของ “ลองเฮาส์” คือบ้านยาวของหญิงที่แสดงวัฒนธรรมนับถือผู้หญิงเป็นใหญ่ของชาวเอเด (เรอแดว) บริเวณที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนาม

ท้องแรก, ท้องก่อนแต่ง

ท้องก่อนแต่ง หมายถึงหญิงกับชายมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงานเป็นทางการ แล้วฝ่ายหญิงตั้งท้องอ่อนๆ เลยต้องรีบจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีให้เป็นที่รู้ทั่วกัน

เมื่อครบกำหนดคลอดลูก บางทีมีชาวบ้านจับผิด แล้วนินทาว่าเพิ่งแต่งงานไม่กี่เดือน ทำไมคลอดเร็วนัก น่าสงสัย?

ผู้ใหญ่ที่มีเมตตาและรู้เท่าทันจะชิงอธิบายตัดบทว่า “ท้องแรกก็เป็นธรรมดาอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครครบเก้าเดือนหรอก เด็กในท้องมันดิ้นเร็ว”

ก็มีเซ็กซ์กันจนท้องก่อนแต่งเป็นปกติ ไม่เห็นจะต้องงง

@@@@@@@

ชายอยู่บ้านหญิง หลังแต่งงาน

เมื่อเลือกชายขยันทำมาหากินได้ถูกใจ ครอบครัวฝ่ายหญิงก็ให้มีพิธีแต่งงาน แล้วขยายเรือนมีครัวให้อยู่กินออกไปต่างหาก เรียก “แยกครัว” เพราะทำใหม่เพิ่มเฉพาะครัว แต่ตัวเรือนอยู่รวมกันลักษณะเรือนยาว (หรือ “ลองเฮาส์”) สมัยหลังถึงแยกเรือนอีกหลังหนึ่ง

หมายความว่าโดยประเพณีแล้วชายต้องอยู่บ้านหญิง เรียก “แต่งเขยเข้าบ้าน” เท่ากับคนเป็นผัวต้องสงบปากสงบคำ เพราะอยู่ท่ามกลางเครือญาติของเมีย ถ้าโหวตเมื่อไรผัวก็แพ้เมียวันยังค่ำ

เหตุมาจากหญิงเป็นผู้รับมรดกจากครอบครัว เป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน แล้วเป็นผู้สืบตระกูล ไม่ใช่ชาย •


 


ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2567
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_751932
89  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทัศนคติชนชั้นนำสยามต่อลาวล้านนา จากดูหมิ่น-เหยียด ก่อนยอมรับเป็นพวกเดียวกัน เมื่อ: มีนาคม 16, 2024, 05:38:13 am
.

คนเมือง หรือลาวล้านนา หยุดพักระหว่างเดินทาง ภาพถ่ายราว พ.ศ. 2469 (ภาพจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ อ้างใน สุรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 10. สำนักพิมพ์อมรินทร์, 2557)


ทัศนคติชนชั้นนำสยามต่อลาวล้านนา จากดูหมิ่น-เหยียด ก่อนยอมรับเป็นพวกเดียวกัน

เผยทัศนคติชนชั้นนำของ สยาม ต่อ ลาว ลาวล้านนา จากดูหมิ่น-เหยียด ก่อนยอมรับเป็นพวกเดียวกันในอดีตคำว่า “ลาว” ใช้เรียกกลุ่มคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อาศัยอยู่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไป และกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ทางสองฝั่งของแม่น้ำโขง

ทัศนคติของผู้คนในสมัยอยุธยามีต่อคนลาวในล้านนา คือ รับรู้ว่าเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งที่เป็นคู่สงครามกัน จึงมีทัศนคติแสดงการดูหมิ่นเกลียดชัง

ในสมัยธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ ชนชั้นนำของลาวในล้านนาและสยามได้ร่วมมือกันขับไล่กองทัพพม่า หลังช่วยเหลือล้านนาสำเร็จ สยามจึงแต่งตั้งเจ้าเมืองล้านนาเป็นเจ้าประเทศราชเพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านในการสืบข่าวและป้องกันศึกจากพม่า แม้ว่าชนชั้นนำของสยามจะเปลี่ยนท่าทีต่อคนลาวในล้านนาในทิศทางที่ดีต่อกันมากขึ้น แต่ทัศนคติที่ดูถูกความเป็นลาวว่ามีฐานะทางการเมืองต่ำต้อยกว่ายังคงปรากฏอยู่



ตลาดใน “ล้านนา” ภาคเหนือของ สยาม

ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ชนชั้นนำของสยามยังคงมีทัศนคติต่อคนลาวในล้านนาในเชิงดูถูกเหยียดหยาม โดยมองว่าสยามมีความเหนือกว่าทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ส่วนลาวด้อยกว่าในทุก ๆ ด้าน ดังที่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แม่ทัพใหญ่กองทัพสยามในศึกเชียงตุง วิจารณ์ว่า ลาวมีนิสัยสันดาน 3 ประการ คือ

   “…เป็นแต่อยากได้ของเขา ไม่อยากเสียของให้แก่ใคร กับเกียจคร้านเท่านั้น เหมือนกันตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ตลอดไปทุกบ้านทุกเมือง ไม่เหมือนชาติภาษาอื่น ๆ ที่จะต่ำช้าเหมือนภาษาลาวไม่มี ไม่รักชาติรักสกุล ถ้าใครให้เงินสักสองชั่งสามชั่งขอบุตรเจ้าเมืองอุปราชราชวงษ์เปนภรรยาก็ได้ ไม่ว่าไพร่ว่าผู้ดี ไม่ถือว่าจีนว่าไทย เอาแต่มีเงิน ถ้าใครได้บุตรเจ้าเปนภรรยาแล้วก็ยกย่องคนนั้นขึ้นเป็นเจ้าด้วย ลาวไม่มีสติปัญญาตรึกตราระวังหลังหามิได้”

ลาวในที่นี้เป็นคนลาวในล้านนาที่มีวัฒนธรรมที่ด้อยกว่าสยามหรือไทย โดยชนชั้นนำสยามรับรู้ว่าคนลาวด้อยกว่า และมีนิสัยที่ไม่ดี ขี้เกียจ ขี้ขลาด อยากได้ของของผู้อื่น และไม่อยากเสียของของตน

@@@@@@@

ทั้งนี้ ความเป็นลาวและการรับรู้ความเป็นลาวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอย ๆ แต่เกิดภายใต้เงื่อนไขของพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของสยาม ที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจเข้าสู่การค้าในระบบตลาดตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านโลกทรรศน์ของชนชั้นนำของสยาม จนทำให้เกิดมุมมองต่อความเป็นลาวว่าด้อยกว่าความเป็นไทย เพราะความเป็นลาวหรือหัวเมืองลาวล้านนายังอยู่ในระบบการผลิตเพื่อยังชีพอยู่ มิใช่การผลิตเพื่อขายหรือส่งออกอย่างสยาม ทำให้โลกทรรศน์และระบบคิดยังอยู่ในระบบจารีต จึงถูกรับรู้ว่าด้อยกว่า สยาม

ดังปรากฏในหนังสือกราบบังคมทูลรัชกาลที่ 4 ของกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ว่า

    “…พวกลาวนายหนึ่งคุมไพร่ร้อยหนึ่งสองร้อยก็จริง ก็แต่ว่าขี้ขลาดนัก ได้ยินเสียงปืนหนาไม่ได้ หลีกเลี่ยงหลบเหลี่ยมไป…”

หรือ“…นิสัยลาวมากไปด้วยความเกียจคร้านโดยธรรมดาประเพณีบ้านเมือง ถึงจะทำไร่นาสิ่งใด ถ้าแดดร้อนเข้าต้องหยุดก่อน ต่อเย็นจึงจะทำ เดินทางสายน่อยหนึ่งก็ต้องหยุด เย็น ๆ จึงจะไป ไม่ได้รับความลำบากยากเลย…

ครั้นพระยาราชสุภาวดี…ขึ้นไปอยู่เมืองน่านครั้งก่อน ลาวก็บ่นแทบทุกคน ว่าต้องเสียเงินเสียทองเป็นเบี้ยเลี้ยงแทบจะหมดบ้านหมดเมือง…ด้วยนิไสยสันดานลาวนั้นมีอยู่ 3 อย่าง เปนแต่อยากได้ของเขา ไม่อยากเสียของให้แก่ใคร กับเกียจคร้านเท่านั้น เหมือนกันตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ตลอดไปทุกบ้านทุกเมือง…”



การค้าขายที่ถนนท่าแพสมัยก่อนที่จะมีตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไย ซ้ายมือเป็นรั้วคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ (ภาพจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

อย่างไรก็ตาม หลังการรุกคืบของจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้สยามเสียสิทธิครอบครองพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงใน พ.ศ. 2436 สมัยรัชกาลที่ 5 ชาติตะวันตกล่าอาณานิคมแข่งกับสยามอย่างดุเดือน นั่นทําให้ชนชั้นนำของสยามเปลี่ยนท่าที และได้สร้างการรับรู้ใหม่ว่าคนลาวในล้านนา (รวมถึงคนลาวในหัวเมืองฝั่งขวาแม่น้ำโขง) เป็นคนไทยเช่นเดียวกันกับคนสยาม

ทั้งนี้ สยามพยายามใช้วิธีผูกใจเจ้านายในหัวเมืองลาวทั้งหลาย โดยหวังผลให้ราษฎรเข้ากับฝ่ายสยามเพื่อป้องกันการขยายอิทธิพลจากชาติตะวันตก

แม้จะมีความพยายามจะหมายรวมให้ “ลาว” กลายเป็น “ไทย” แต่ทัศนคติที่มองว่าคนลาวในล้านนาเป็นคนแปลกแยกจากต่างถิ่นและต่ำต้อยกว่ายังคงปรากฏอยู่ ดังเห็นได้จากกรณี พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ซึ่งเข้ามาถวายตัวใน พ.ศ. 2429 ยังได้รับการดูหมิ่นเช่นกัน โดยต่างพากันเรียกตําหนักของพระองค์ว่า “ตําหนักเจ้าลาว” ซึ่งคําเรียกดังกล่าวมีนัยยะของการดูถูกเหยียดหยามร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์กบฏเงี้ยว (รวมถึงกบฏผู้มีบุญในภาคอีสาน) ชนชั้นนำของสยามจึงพยายามปรับเปลี่ยนนโยบายในการปกครองใหม่ โดยสร้างคำอธิบายว่าคนลาวในล้านนาเป็นกลุ่มคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนสยาม อีกทั้งวางรากฐานการสอนหนังสือไทยเพื่อชักจูงให้คนลาวมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยาม ฯลฯ

อ่านเพิ่มเติม :-

    • “ลาวแพน” เพลงการเมืองเก่าแก่ ถากถางเยาะเย้ยเชลย “ลาว”
    • “แขก แม้ว แกว เจ๊ก” ที่มา-ความหมาย คำเรียกชาติพันธุ์เชิง “เหยียด”
    • สำเนียง คน “กรุงเทพฯ” (บางกอก) เคยถูกเหยียดว่า “บ้านนอก” สมัยนี้เหยียดสำเนียงอื่นแทน





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 20 ตุลาคม 2564
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_76398

อ้างอิง :-
- เนื้ออ่อน ขวัรทองเขียว. (มกราคม 2556). การรับรู้และทัศนคติของไทยต่อคำว่า “ลาว”. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 34 : ฉบับที่ 3.
- ชัยพงษ์ สำเนียง. (กรกฎาคม, 2558). “ประวัติศาสตร์ของ ‘กบฏ’ ‘กบฏ’ ของประวัติศาสตร์” : กบฏเงี้ยวเมืองแพร่. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 36 ฉบับที่ 9.
90  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรื่องพระนังคลกูฏเถระ | จงเตือนตนด้วยตนเอง | จงพิจารณาดูตนด้วยตนเอง เมื่อ: มีนาคม 15, 2024, 09:42:29 am
.



๑๐. นังคลกูฏเถรวัตถุ : เรื่องพระนังคลกูฏเถระ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕, พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต


(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้)

[๓๗๙] ภิกษุ เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง  จงพิจารณาดูตนด้วยตนเอง
          ถ้าเธอคุ้มครองตนเองได้แล้ว  มีสติ เธอก็จักอยู่เป็นสุข

[๓๘๐] ตนแล เป็นที่พึ่งของตน  ตนแล เป็นคติ(๑-) ของตน
          เพราะฉะนั้น เธอจงสงวนตน(๒-) ให้ดี  เหมือนพ่อค้าม้าสงวนม้าพันธุ์ดี ฉะนั้น


@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา


|๓๕.๓๗๙| อตฺตนา โจทยตฺตานํ  ปฏิมํเสตมตฺตนา
               โส อตฺตคุตฺโต สติมา  สุขํ ภิกฺขุ วิหาหิสิ ฯ

|๓๕.๓๘๐| อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ  อตฺตา หิ อตฺตโน คติ
               ตสฺมา สญฺญม อตฺตานํ   อสฺสํ ภทฺรํว วาณิโช ฯ


เชิงอรรถ :-
(๑-) เป็นคติ หมายถึง เป็นที่พำนัก หรือเป็นสรณะ (ขุ.ธ.อ. ๘/๘๒)
(๒-) สงวนตน หมายถึง ป้องกันการเกิดอกุศลกรรมที่ยังไม่เกิดในตน (ขุ.ธ.อ. ๘/๘๒)




ขอบคุณที่มา :-
- https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=25&siri=34
- https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=25&item=35&items=1





๑๐. เรื่องพระนังคลกูฏเถระ [๒๖๑]       
       


ข้อความเบื้องต้น     
         
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนังคลกูฏเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อตฺตนา โจทยตฺตานํ" เป็นต้น.

คนเข็ญใจบวชในพระพุทธศาสนา     
         
ดังได้สดับมา มนุษย์เข็ญใจผู้หนึ่ง ทำการรับจ้างของชนเหล่าอื่นเลี้ยงชีพ. ภิกษุรูปหนึ่งเห็นเขานุ่งผ้าท่อนเก่า แบกไถ เดินไปอยู่ จึงพูดอย่างนี้ว่า : "ก็เธอบวช จะไม่ประเสริฐกว่าการเป็นอยู่อย่างนี้หรือ."             
มนุษย์เข็ญใจ : ใครจักให้กระผมผู้เป็นอยู่อย่างนี้บวชเล่าขอรับ.
ภิกษุ : หากเธอจักบวช, ฉันก็จักให้เธอบวช.
มนุษย์เข็ญใจ : "ดีละ ขอรับ, ถ้าท่านจักให้กระผมบวช กระผมก็จักบวช."
               
ครั้งนั้น พระเถระนำเขาไปสู่พระเชตวัน แล้วให้อาบน้ำด้วยมือของตน พักไว้ในโรงแล้วให้บวช ให้เขาเก็บไถ พร้อมกับผ้าท่อนเก่าที่เขานุ่ง ไว้ที่กิ่งไม้ใกล้เขตแดนแห่งโรงนั้นแล. แม้ในเวลาอุปสมบท เธอได้ปรากฏชื่อว่า "นังคลกูฏเถระ" นั่นแล.

ภิกษุมีอุบายสอนตนเองย่อมระงับความกระสัน   
         
พระนังคลกูฏเถระนั้นอาศัยลาภสักการะซึ่งเกิดขึ้นเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เลี้ยงชีพอยู่ กระสันขึ้นแล้ว เมื่อไม่สามารถเพื่อจะบรรเทาได้ จึงตกลงใจว่า "บัดนี้ เราจักไม่นุ่งห่มผ้ากาสายะทั้งหลายที่เขาให้ด้วยศรัทธาไปละ"

     ดังนี้แล้ว ก็ไปยังโคนต้นไม้ ให้โอวาทตนด้วยตนเองว่า
    "เจ้าผู้ไม่มีหิริ หมดยางอาย เจ้าอยากจะนุ่งห่มผ้าขี้ริ้วผืนนี้ สึกไปทำการรับจ้างเลี้ยงชีพ (หรือ)."
     เมื่อท่านโอวาทตนอยู่อย่างนั้นแล จิตถึงความเป็นธรรมชาติเบา(คลายกระสัน) แล้ว.

ท่านกลับมาแล้ว โดยกาลล่วงไป ๒-๓ วัน ก็กระสันขึ้นอีก จึงสอนตนเหมือนอย่างนั้นนั่นแล ท่านกลับใจได้อีก. ในเวลากระสันขึ้นมา ท่านไปในที่นั้นแล้ว โอวาทตนโดยทำนองนี้แล.
               
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านไปอยู่ในที่นั้นเนืองๆ จึงถามว่า
"ท่านนังคลกูฏเถระ เหตุไร ท่านจึงไปในที่นั้น."
ท่านตอบว่า "ผมไปยังสำนักอาจารย์ ขอรับ"
ดังนี้แล้ว ต่อมา ๒-๓ วันเท่านั้น (ก็)บรรลุพระอรหัตผล.
             
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะทำการล้อเล่นกับท่าน จึงกล่าวว่า : "ท่านนังคลกูฏะผู้หลักผู้ใหญ่ ทางที่เที่ยวไปของท่าน เป็นประหนึ่งหารอยมิได้แล้ว, ชะรอยท่านจะไม่ไปยังสำนักของอาจารย์อีกกระมัง"
พระเถระ : อย่างนั้น ขอรับ, เมื่อกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้ กิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง ผมตัดเสียได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ไป.
               
ภิกษุทั้งหลายฟังคำตอบนั้นแล้ว เข้าใจว่า "ภิกษุนี่ พูดไม่จริง พยากรณ์พระอรหัตผล"
ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระศาสดา.

ภิกษุควรเป็นผู้เตือนตน        
     
พระศาสดาตรัสว่า "เออ ภิกษุทั้งหลาย นังคลกูฏะบุตรของเรา เตือนตนด้วยตนเองแล แล้วจึงถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

    ๑๐. อตฺตนา โจทยตฺตานํ  ปฏิมํเสตมตฺตนา
         โส อตฺตคุตฺโต สติมา  สุขํ ภิกฺขุ วิหาหิสิ.
         อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ  อตฺตา หิ อตฺตโน คติ
         ตสฺมา สญฺญม อตฺตานํ  อสฺสํ ภทฺรํว วาณิโช.

         เธอจงตักเตือนตนด้วยตน จงพิจารณาดูตนนั้นด้วยตน,
         ภิกษุ เธอนั้นมีสติ ปกครองตนได้แล้ว จักอยู่สบาย.
         ตนแหละ เป็นนาถะของตน, ตนแหละ เป็นคติของตน
         เพราะฉะนั้น เธอจงสงวนตน ให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้า สงวนม้าตัวเจริญ ฉะนั้น.


@@@@@@@

แก้อรรถ               
               
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โจทยตฺตานํ ความว่า จงตักเตือนตนด้วยตนเอง คือจงยังตนให้รู้สึกด้วยตนเอง.
บทว่า ปฏิมํเส คือ ตรวจตราดูตนด้วยตนเอง.
               
บทว่า โส เป็นต้น ความว่า ภิกษุ เธอนั้นเมื่อตักเตือนพิจารณาดูตนอย่างนั้นอยู่ เป็นผู้ชื่อว่าปกครองตนได้ เพราะความเป็นผู้มีตนปกครองแล้วด้วยตนเอง เป็นผู้ชื่อว่ามีสติ เพราะความเป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้ว จักอยู่สบายทุกสรรพอิริยาบถ.
               
บทว่า นาโถ ความว่า เป็นที่อาศัย คือเป็นที่พำนัก (คนอื่นใครเล่า พึงเป็นที่พึ่งได้) เพราะบุคคลอาศัยในอัตภาพของผู้อื่น ไม่อาจเพื่อเป็นผู้กระทำกุศลแล้ว มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า หรือเป็นผู้ยังมรรคให้เจริญแล้ว ทำผลให้แจ้งได้ เพราะเหตุนั้น จึงมีอธิบายว่า "คนอื่นชื่อว่าใครเล่า พึงเป็นที่พึ่งได้."
บทว่า ตสฺมา เป็นต้น ความว่า เหตุที่ตนแลเป็นคติ คือเป็นที่พำนัก ได้แก่เป็นสรณะของตน.
               
พ่อค้าม้าอาศัยม้าตัวเจริญ คือม้าอาชาไนยนั้น ปรารถนาลาภอยู่ จึงเกียดกันการเที่ยวไปในวิสมสถาน (ที่ไม่สมควร) แห่งม้านั้น ให้อาบน้ำ ให้บริโภคอยู่ ตั้งสามครั้งต่อวัน ชื่อว่าย่อมสงวน คือประคับประคองฉันใด,
               
แม้ตัวเธอ เมื่อป้องกันความเกิดขึ้นแห่งอกุศลซึ่งยังไม่เกิด ขจัดที่เกิดขึ้นแล้วเพราะการหลงลืมสติเสีย (ก็) ชื่อว่า สงวนคือปกครองตนฉันนั้น ; เมื่อเธอสงวนตนได้อย่างนี้อยู่ เธอจักบรรลุคุณพิเศษทั้งที่เป็นโลกิยะทั้งที่เป็นโลกุตระ เริ่มแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป.
               
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

               เรื่องพระนังคลกูฏเถระ จบ.     
         



ขอบคุณที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=10
ขอบคุณภาพจาก : https://uttayarndham.org/dhama-daily
91  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ สวดเป็นประจำ อยู่เย็นเป็นสุขจากสิ่งชั่วราย เมื่อ: มีนาคม 15, 2024, 07:30:22 am
.



คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ สวดเป็นประจำ อยู่เย็นเป็นสุขจากสิ่งชั่วราย

ใครได้สวด คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ จะสามารถป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่านานาชนิด และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้ ถ้าผู้ใดสวดเป็นประจำ ก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน และรอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลาย จงตั้งใจสวดทุกเช้าทุกเย็น ก่อนออกจากบ้านไหนก็ตาม ถ้าสวดคาถานี้จะเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง มีโชคมีลาภและป้องกันอันตรายต่างๆ

@@@@@@@

คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ


บูระพารัสมิง พระพุทธะคุณัง
บูระพารัสมิง พระธัมเมตัง
บูระพารัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

อาคะเนยรัสมิง พระพุทธะคุณัง
อาคะเนยรัสมิง พระธัมเมตัง
อาคะเนยรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

ทักษิณรัสมิง พระพุทธะคุณัง
ทักษิณรัสมิง พระธัมเมตัง
ทักษิณรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

หรดีรัสมิง พระพุทธะคุณัง
หรดีรัสมิง พระธัมเมตัง
หรดีรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

ปัจจิมรัสมิง พระพุทธะคุณัง
ปัจจิมรัสมิง พระธัมเมตัง
ปัจจิมรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

พายัพรัสมิง พระพุทธะคุณัง
พายัพรัสมิง พระธัมเมตัง
พายัพรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

อุดรรัสมิง พระพุทธะคุณัง
อุดรรัสมิง พระธัมเมตัง
อุดรรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

อิสานรัสมิง พระพุทธะคุณัง
อิสานรัสมิง พระธัมเมตัง
อิสานรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

อากาศรัสมิง พระพุทธะคุณัง
อากาศรัสมิง พระธัมเมตัง
อากาศรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ

ปฐวีรัสมิง พระพุทธะคุณัง
ปฐวีรัสมิง พระธัมเมตัง
ปฐวีรัสมิง พระสังฆานัง
ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร
วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
รักขันตุ สุรักขันตุ


@@@@@@@

บทคาถานี้ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้เมตตาประทานไว้ เชื่อกันว่าช่วยป้องกันภัยอันตรายจากทั้ง 10 ทิศ เสริมสิริมงคล โชคลาภ วาสนา ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ

อ่านเพิ่มเติม

    - พระคาถามงคลจักรวาลแปดทิศ สวดก่อนนอนแคล้วคลาดปลอดภัย




Thank to : https://www.sanook.com/horoscope/26109/
11 มี.ค. 67 (11:00 น.)
92  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ สวดก่อนนอนทุกวัน แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อ: มีนาคม 15, 2024, 07:26:09 am
.



พระคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ สวดก่อนนอนทุกวัน แคล้วคลาดปลอดภัย

พระคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ เป็นอีกหนึ่งบทสวดที่หลายๆ คนนำมาสวดก่อนนอน โดยเป็นบทสวดให้แคล้วคลาดปลอดภัย ป้องกันภัย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลในชีวิตตนเองด้วย

สำหรับการสวดคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ นั้น จะเป็นบทสวดก่อนนอน เมื่อเราสวดแผ่เมตตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยสวดคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ และอย่าลืมว่าการรักษาศีล 5 นั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ


@@@@@@@

บทสวดพระคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ

อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว

อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ

อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว

อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ ธัมมะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ

อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว

อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ ปัจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ

อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว

อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ สังฆะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ

@@@@@@@

อานิสงส์ของการสวดมนต์คาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ

การสวดมนต์คาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ เปี่ยมไปด้วยอานิสงส์มากมาย เชื่อกันว่าช่วยป้องกันภัยอันตราย เสริมสิริมงคล เสริมสร้างอำนาจบารมี ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้จิตใจสงบ ช่วยให้สมปรารถนา เป็นสิริมงคลแก่สถานที่ เป็นกุศลผลบุญ เชื่อมโยงกับพลังศักดิ์สิทธิ์ และฝึกฝนสมาธิ ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นทั้งด้านกาย ใจ และจิตวิญญาณ

คาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ เป็นบทสวดมนต์ที่มีพุทธคุณสูง เชื่อกันว่าช่วยเสริมสิริมงคล ป้องกันภัยอันตราย และทำให้จิตใจสงบ การสวดคาถามงคลจักรวาล 8 ทิศ แนะนำให้สวดทุกวัน เช้าหรือเย็น และควรนั่งสมาธิให้สงบก่อนสวด สวดด้วยความตั้งใจ และศรัทธา


อ่านเพิ่มเติม

    - คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ สวดเป็นประจำ อยู่เย็นเป็นสุขจากสิ่งชั่วราย





Thank to : https://www.sanook.com/horoscope/212697/
Mintra T. : ผู้เขียน |11 มี.ค. 67 (11:37 น.)
93  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบ ใบเสมา สมัยทวารวดี กว่า 80 ใบ เชื่อเป็นชุมชนโบราณ ชาวบ้านแห่กราบไหว้ เมื่อ: มีนาคม 15, 2024, 07:14:07 am
.



พบ ใบเสมา สมัยทวารวดี กว่า 80 ใบ เชื่อเป็นชุมชนโบราณ ชาวบ้านแห่กราบไหว้

พบ ใบเสมา สมัยทวารวดี กว่า 80 ใบ พร้อมชิ้นส่วนภาชนะดินเผา เชื่อเป็นชุมชนโบราณ ชาวบ้านแห่กราบไหว้ นำน้ำไปบูชา เชื่อศักดิ์สิทธิ์

วันที่ 14 มี.ค. 67 เจ้าหน้าที่กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ได้ทำการขุดค้นศึกษาแหล่งโบราณคดีโนนสำโรง บ้านปะเคียบ ต.ปะเคียบ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์  ในโครงการศึกษาและกำหนดอายุแหล่งโบราณคดี ประเภทใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดี 

โดยการขุดค้นครั้งนี้พบ ใบเสมา สมัยทวารวดีสภาพสมบูรณ์ และยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมไม่มีการเคลื่อนย้ายจำนวน 8 ใบ และพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาที่ใช้ในการดำรงชีวิต รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้พิธีกรรมความเชื่อของคนสมัยก่อนด้วย จากหลักฐานที่พบจึงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นชุมชนโบราณที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 16 และจากข้อมูลพบว่าในหมู่บ้าน ปะเคียบ ม.1 และบ้านหลักเมือง ม.16 ต.ปะเคียบ มีการค้นพบ ใบเสมาโบราณกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ประมาณ 80 - 90 ใบ ซึ่งมากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ   






แต่บางส่วนได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ตามวัดบ้าง ศาลากลางบ้าง แต่ยังคงมีพื้นที่โนนสำโรงแห่งนี้ ที่ใบเสมายังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมไม่มีการเคลื่อนย้ายออก ทางสำนักศิลปากรที่ 10  จึงได้ทำโครงการขุดค้นครั้งนี้ เพื่อศึกษาและกำหนดอายุแหล่งโบราณคดีโนนสำโรงแห่งนี้ โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บตัวอย่างดินและภาชนะดินเผาที่ขุดพบบางส่วนไปตรวจหาค่าทางวิทยาศาสตร์ เพื่อกำหนดอายุสมัยแหล่งโบราณคดีให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนที่เหลือก็จะเก็บไว้ที่เดิมแล้วทำการปิดหลุม  โดยให้ชุมชนร่วมกันดูแลอนุรักษ์

ขณะที่ชาวบ้าน ผู้สูงอายุที่ทราบข่าวก็ได้มาจุดธูปเทียนกราบไหว้ขอโชคลาภ และนำภาชนะใส่น้ำจากหลุมที่ขุดค้น  เพื่อนำไปบูชา และทาตามร่างกายตามความเชื่อ   เพราะเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์   

นายกิตติพงษ์ สนเล็ก ผอ.กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา กล่าวว่า   ที่ผ่านมากรมศิลปากรเคยมาสำรวจพื้นที่โนนสำโรงบ้านปะเคียบ ม.1 และบ้านหลักเมือง ม.16 ต.ปะเคียบ  อ.คูเมือง เมื่อปี 2532 และเคยมีรายงานที่บันทึกไว้ว่าพบ คูเมืองโบราณ และ ใบเสมามากถึง 80 – 90 ใบ ถือว่าเยอะมากหากเทียบกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆ จะค้นพบเพียง 30 – 40 ใบเท่านั้น และที่อื่นมีการเคลื่อนย้ายไปไว้ตามสถานที่ต่างๆ แต่ที่โนนสำโรงแห่งนี้ยังอยู่ตำแหน่งเดิมและสภาพค่อนข้างสมบูรณ์  จึงเชื่อว่าเป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดี ซึ่งการขุดค้นครั้งนี้ก็เพื่อกำหนดค่าอายุแหล่งโบราณคดีให้เกิดความชัดเจน และยังได้ศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมของคนสมัยโบราณด้วย   






ด้านนายอำนาจ ควินรัมย์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.1 บ้านปะเคียบ บอกว่า จุดที่ทำการขุดค้นเป็นพื้นที่ของนางสอน พอกแก้ว อายุ 67 ปี  แต่ที่ผ่านมาจะมีสภาพรกร้าง เพราะไม่มีกล้าเข้ามา จากคำบอกเล่าแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่เข้ามสำรวจในพื้นที่แห่งนี้ ก็จะเจอกับเรื่องลี้ลับที่มองไม่เห็นต้องทำพิธีขอขมา ซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านก็เชื่อว่าพื้นที่ตรงนี้ศักดิ์สิทธิ์ ในส่วนของผู้นำชุมชนก็จะขอความร่วมมือให้ชาวบ้านร่วมกับดูแลอนุรักษ์ 

ขณะที่นางสะอาด แดงศรีบัว หนึ่งในชาวบ้านที่มากราบไหว้ และนำภาชนะมาใส่น้ำจากหลุมที่มีการขุดค้นโบราณคดีดังกล่าว บอกว่า หลังจากทราบข่าวว่ามีชาวบ้านนำน้ำจากหลุมที่ขุดค้นไปทาแล้วอาการปวดขัดที่ขาดีขึ้น ก็เลยนำภาชนะมาใส่ไปบูชาและทาตามร่างกาย เพราะเชื่อว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ จากที่ผ่านมาไม่กล้าเข้ามาในพื้นที่นี้เลย เพราะมีเด็กเคยเข้ามาเอารังต่อในที่แห่งนี้แล้วไปปัสสาวะจนโดนเหมือนมีใครตบศีรษะอย่างแรงจนล้ม  จึงเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่แห่งนี้





Thank to : https://www.amarintv.com/news/detail/210167
14 มี.ค. 67
94  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สังคมตั้งคำถาม อาจารย์โพสต์ขายคอร์ส ไปนิพพาน จ่าย 25,000 เป็นอรหันต์ได้ เมื่อ: มีนาคม 15, 2024, 07:04:43 am
.



สังคมตั้งคำถาม อาจารย์โพสต์ขายคอร์ส ไปนิพพาน จ่าย 25,000 เป็นอรหันต์ได้

สังคมตั้งคำถาม อาจารย์โพสต์ขายคอร์ส ไปนิพพาน 25,000 บาท เป็นอรหันต์ได้ ใครสนใจบัตรเครดิตรูดได้ 0% 10 เดือน เคลมรู้สึกไม่จบ ยินดีคืนเงิน

เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์ เมื่อทวิตเตอร์ X ของ Red Skull โพสต์ข้อความตั้งคำถามถึง อาจารย์ท่านหนึ่งที่โพสต์เปิดคอร์สพิเศษผู้ที่เข้าเรียนสามารถจบมาเป็นอรหันต์ได้

โดย Red Skull เขียนข้อความ ระบุว่า นิพพานง่ายๆ หยุดการเกิดดับในราคา 25,000 บาท คือไม่มีหน่วยงานไหนที่กำกับดูแลพวกแบบนี้จริงๆเหรอ

ประเทศนี้แม่งแค่อุปโลกน์ตัวเป็นครูมีพลังวิเศษ ตั้งตนเป็นอาจารย์ หากินได้ง่ายๆแล้ว ผ่อน 0% 10 เดือนได้อีกตะหาก อรหันต์แบบใด

ทั้งนี้ในโพสต์ของอาจารย์รายดังกล่าว เขียนเชิญชวนผู้ที่จะเข้าร่วมอบรม ความว่า

คอร์สพิเศษ มีที่นี่ที่เดียว ดึงมะเร็ง ดึงตัวบันทึกกรรม และจบเป็นอรหันต์ ไม่มีตัวบันทึกกรรม ตัวบันทึกกรรม ให้ต้องเกิดคือตัว อวิชชา

คอร์ส จบกิจหยุดการเกิด คอร์สนี้มาเพื่อคนที่ต้องการการหลุดพ้น เป็นอรหันต์ในเพศฆราวาส โดยไม่ต้องนั่งปฏิบัติเอง ตัวบันทึกกรรมจะถูกถอดออนออกไป ผู้ลงคอร์ส จะทราบถึงความเปลี่ยนแปลงภายในวันนั้นเลย

*ถ้าไม่รู้สึกว่าจบ ยินดีคืนเงิน

*เรื่องแบบนี้ โกหกกันไม่ได้ มันเป็นเรื่องหลอกหลวงประชาชนสามารถรูดบัตรเครดิต 0เปอร์เซ็นต์นาน 10 เดือน

*ราคานี้เฉพาะเดือน กุมภาพันธ์ 2567 นะคะ เดือนมีนาคม ราคา 25,000 บาท นะคะ







Thank to : https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8139750
14 มี.ค. 2567 - 23:48 น.
95  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สงครามศาสนา” ในแผ่นดินเขมร ส่วนหนึ่งของ “ยุคมืด” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ: มีนาคม 14, 2024, 07:35:38 am
.

ภาพเขียนนครวัด โดย Lucille Sinclair Douglass (จาก Metropolitan Museum of Art)


“สงครามศาสนา” ในแผ่นดินเขมร ส่วนหนึ่งของ “ยุคมืด” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อกล่าวถึง “สงครามศาสนา” สงครามครูเสดอาจเป็นภาพจำแรก ๆ ที่หลายคนนึกออก อย่างไรก็ตาม ภูมิภาค “อุษาคเนย์” หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีหลักฐานความขัดแย้งทางศาสนาอยู่เช่นกัน นั่นคือระหว่าง พราหมณ์-ฮินดู กับ พุทธศาสนา หากแต่ปรากฏข้อมูลค่อนข้างน้อย เพราะอยู่ในห้วงเวลาที่นักวิชาการนิยามว่าเป็น “ยุคมืด” ทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้

ในความพร่าเลือนดังกล่าว ดินแดนเนื่องในวัฒนธรรมเขมรโบราณมีร่องรอยหลักฐานความขัดแย้งข้างต้นชัดเจนที่สุด โดย ไมเคิล ไรท เล่าถึงประเด็นนี้ไว้ตอนหนึ่งของบทความ “‘ยุคมืด’ หรือช่องว่างในประวัติศาสตร์สยาม ‘A Dark Age’, or Gap in Siamese History” ในหนังสือ ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย หลังบายน พุทธเถรวาท การเข้ามาของคนไทย (สนพ. มติชน, พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2559)

ไมเคิล ไรท วิเคราะห์ให้เห็นถึงสงครามศาสนาระหว่างพราหมณ์กับพุทธ จากศูนย์กลางบริเวณดินแดนลุ่มทะเลสาบ ซึ่งเขานิยามว่า “โลกเขมร” เพื่อสื่อถึงวัฒนธรรมหลักของกลุ่มชน แทนที่จะหมายถึงเขตแดนและเชื้อชาติ จากอิทธิพลแนวคิดสมัยใหม่ยุคจักรวรรดินิยมเมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา

สงครามศาสนาเกิดขึ้นตั้งแต่หลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรพระนครเป็นต้นไป โดยสะท้อนผ่านความเชื่อ (ที่แตกต่าง) ของกษัตริย์เขมรแต่ละพระองค์ รวมถึงร่องรอยโบราณสถาน-โบราณวัตถุ และความเปลี่ยนแปลงของบรรดารูปเคารพในปราสาทหลังต่าง ๆ

ไมเคิล ไรท ชี้ให้เห็นว่า สงครามศาสนาในโลกเขมรเป็นส่วนหนึ่งใน “ยุคมืด” ทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอุษาคเนย์ ห้วงเวลาที่วัฒนธรรมโบราณอย่างทวารวดี ศรีวิชัย ค่อย ๆ เลือนหายไป และนครเอกอย่างเมืองพระนครกับพุกามเสื่อมอำนาจลง ไล่เลี่ยกันนั้น รัฐของกลุ่มชนไทย-ลาว อย่าง อยุธยา สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนับถือพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เหมือนกัน ส่วนดินแดนหมู่เกาะ (ปลายคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะของอินโดนีเซีย) หันไปรับอิสลาม

ไทม์ไลน์ของสงครามศาสนาที่เกิดขึ้นใน “โลกเขมร” จากบทความของ ไมเคิล ไรท มีดังนี้ [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]




สงครามศาสนาในโลกเขมร

ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 12 (พ.ศ. 1656 / ค.ศ. 1113 – ราว พ.ศ. 1693 / ค.ศ. 1150) พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างนครวัดในศาสนาฮินดู (ไวษณพนิกาย) สวรรคตแล้วทรงพระนามว่า “บรมวิษณุโลก” เท่าที่เรามีหลักฐาน “โลกเขมร” สมัยนั้นโดยมากเป็นฮินดูอย่างมั่นคง (แม้ในต่างจังหวัดบางแห่ง เช่น ที่พิมายและศรีจนาศะเป็นพุทธมหายานอยู่แล้ว) อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่ามีความขัดแย้งกันถึงขนาดเกิดศึกสงครามทางศาสนา

ต่อมา พระเจ้ายโศวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1693-1708? / ค.ศ. 1150-1165?) ยังทรงบำรุงเทวสถานของพระบิดาจึงคงเป็นฮินดู

ต่อมา พระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมัน (พ.ศ. 1708-1720? / ค.ศ. 1165-1177?) มาแทรก เราไม่ทราบว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหนหรือทำอะไร แต่เป็นที่น่าสนใจว่าพระนาม “ภูวนาทิตย์” ไม่เคยปรากฏในจารึกเขมรก่อนหน้านั้น แต่เป็นที่นิยมบ่อยในจารึกและตำนานในโลกมอญ – พม่า ในพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 / คริสต์ศตวรรษที่ 12 – 13

ต่อมามีช่องว่างราว 4-5 ปี (พ.ศ. 1720-1724 / ค.ศ. 1177-1181) นักประวัติศาสตร์ตีความจารึกว่าเขมรคงรับศึกชาวจามจากทิศตะวันออกในเวียดนามปัจจุบัน แต่จารึกปราสาทบันทายฉมาร์ (ใกล้ชายแดนอรัญประเทศปัจจุบัน) ระบุว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และโอรสทรงเดินทัพออกไปรับศึกในทิศตะวันตก

ชะรอยชาวจามมีสัมพันธมิตรในทิศตะวันตก (โลกมอญ?) มาคอยจี้เขมรจากด้านหลัง?

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนครปี พ.ศ. 1724 / ค.ศ. 1181 แล้วทรงแปลงเมืองพระนครเป็นเมืองพุทธมหายาน เราไม่ทราบว่าพระองค์เป็นใคร มาจากไหน แต่อาจจะเป็นทายาทสืบวงศ์จากราชวงศ์ “มหิธรปุระ” ที่เคยครองอยู่เมืองพิมาย

ในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-1763? / ค.ศ. 1181-1220?) พระองค์ทรงแปลงพระนครเป็นเมืองพุทธมหายานโดยสร้างปราสาทบายน (พระนาคปรก/ไภษัชคุรุ/ชยพุทธมหานาถ) ปราสาทพระขรรค์ (อวโลกิเตศวร) และปราสาทตาพรหม (ปรัชญาปารมิตา)

เท่าที่เราทราบ ยังไม่เกิดความขัดแย้งทางพุทธศาสนา ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะแม้ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือพุทธเป็นหลัก แต่ยังคงรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นพราหมณ์ไว้เหมือนเดิม



พระอวโลกิเตศวร สันนิษฐานว่า ใบหน้าถ่ายแบบมาจาก พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1763-1786 / ค.ศ. 1220-1243 เชื่อกันว่าเป็นโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และน่าจะนับถือพุทธศาสนาเช่นเดียวกับบิดา จารึกเท่าที่เหลือไม่อ้างถึงกิจการหรือนโยบายของพระองค์ แต่น่าสงสัยว่าท่านอาจจะเล่นงานถอดถอนอภิสิทธิ์ของชนชั้นพราหมณ์ ทั้งนี้น่าเชื่อ เพราะปฏิกิริยารุนแรงที่เกิดขึ้นในรัชกาลต่อไป

พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1786-1838 / ค.ศ. 1243-1295 ทรงเป็นใครมาจากไหนไม่มีหลักฐาน แต่น่าจะเป็นพราหมณ์ที่นับถือฮินดูไศวนิกาย ในรัชกาลของพระองค์เกิดสงครามทางศาสนา (ฮินดูกับพุทธ) อย่างเห็นได้ชัด

พระพุทธรูปประธานในปราสาทบายนถูกทุบให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วทิ้งลงบ่อ พระพุทธรูปสลักนูนต่ำตามฝาและหน้าบันวัดอื่น ๆ ถูกสกัดออกให้มีแต่ช่องว่างหรือถูกดัดแปลงเป็นศิวลึงค์หรือฤษี จารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูกทุบแล้วฝังดินหรือถูกขีดเขียนจนเสียความอ่านปะติดปะต่อไม่ได้

ในสมัยหลังนี้ (40 ปีที่ผ่านมา) มีการขุดค้นพบไหขนาดใหญ่ภายในบรรจุพระพุทธรูปสำริดยุคบายนที่ถูกฝังมาแต่โบราณ เช่น ยุคสงครามศาสนาครั้งพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 จุดที่พบมีตั้งแต่สนามบินเมืองเสียมเรียบถึงอำเภอประโคนชัยในอีสานตอนใต้และสถาบันราชภัฏลพบุรี

แสดงว่าสงครามศาสนาไม่ได้เกิดเฉพาะเมืองพระนคร แต่คงแผ่ไปอีกถึงเขตโคราชและลพบุรีอย่างน้อย

@@@@@@@

เป็นที่น่าเชื่อถือว่าสงครามศาสนาระหว่างพุทธกับพราหมณ์ครั้งนี้มีความรุนแรงมาก และแผ่เกือบไปทั่วอุษาคเนย์แผ่นดินใหญ่ รวมทั้งโลกเขมร โลกมอญ และโลกลาว-ไทย

แต่นั้นมา พระเจ้าศรีนทรวรมัน เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 1838-1850 / ค.ศ. 1295-1307 ตามโดยโอรสชื่อ ศรีนทรชัยวรมัน (พ.ศ. 1850-1870 / ค.ศ. 1307-1327) ทูตจีน โจวต้ากวาน บันทึกในปี พ.ศ. 1840 / ค.ศ. 1297 ว่า “กษัตริย์องค์ใหม่เป็นลูกเขยองค์ก่อน พระธิดารักพระสวามีจึงลักพระขรรค์ชัยศรีมอบให้ แล้วพระสวามียึดอำนาจถอดถอนพระยุพราชองค์จริง”

หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี ได้เทียบหลักฐานของโจวต้ากวานกับหลักฐานในจารึกหลักที่ 2 (หน้า 1, บรรทัด 31-35) แล้วเสนอว่า พระเจ้าศรีนทรวรมัน กับ พระยาผาเมือง/ศรีอินทราทิตย์ น่าจะเป็นคนเดียวกัน

พระเจ้าศรีนทรวรมันจะเป็นใครก็ตาม พระองค์ทรงส่งเสริมรื้อฟื้นฟูพุทธศาสนา และอาจจะเป็นผู้สร้างวัดป่าเลไลย์ในนิกายเถรวาทติดกำแพงพระราชวัง ในรัชกาลของโอรส (พระเจ้าศรีนทรชัยวรมัน) ปรากฏจารึกภาษาบาลีครั้งแรกในเมืองพระนคร ระบุปี พ.ศ. 1852 / ค.ศ. 1309 แสดงว่าพุทธศาสนาฟื้นขึ้นมาได้แล้วและน่าจะเป็นนิกายเถรวาท-ลังกาวงศ์

พระเจ้ากรุงเขมรองค์สุดท้ายที่ปรากฎพระนามในจารึกคือ พระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร จารึกไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกิจหรือนโยบายของพระองค์ แต่พระนามนั้นน่าสนใจเพราะ “ชัยวรมัน” ทำให้นึกถึงพุทธกษัตริย์ (อย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ในขณะที่ “ปรเมศวร” สะท้อนความเป็นไศวะ

ชะรอยท่านหมายจะประสานแผลระหว่างพุทธกับพราหมณ์คล้ายกับพระสันตะปาปาจอห์น-ปอลที่ 1 และที่ 2 ที่ประสมชื่อ John ที่ 23 (ฝ่ายปฏิรูป) และ Paul ที่ 6 (ฝ่ายอนุรักษนิยม) เพื่อลดความขัดแย้งอย่างเดือดร้อนสุดขีดภายในศาสนจักรโรมันคาทอลิก


อ่านเพิ่มเติม :-

    • ยุคมืดในประวัติศาสตร์สยาม และ อุษาคเนย์ ในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ
    • ข้อสันนิษฐาน “รัฐทวารวดี” ล่มสลาย เพราะกัมพูชานำ “กลียุค” มาสู่ชาวรามัญ






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 12 มีนาคม 2567
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_128959
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปริศนาธรรม “รองเท้าฟองน้ำ” แสนทรหด เมื่อ: มีนาคม 14, 2024, 06:48:39 am
.



ปริศนาธรรม “รองเท้าฟองน้ำ” แสนทรหด

รองเท้าฟองน้ำคู่นี้ชราภาพมากแล้ว มันเต็มไปด้วยบาดแผล และริ้วรอยแห่งความบอบช้ำ คงจะผ่านการเดินทางสมบุกสมบันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าใครจะสวมใส่แล้วพามันเหยียบย่ำไปในที่หนใดก็ตาม จะเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามดินโคลนสกปรก หรือหนทางที่ปูลาดด้วยผืนพรมที่มีลวดลายอันวิจิตรงดงาม รองเท้าก็มิเคยได้รังเกียจรังงอน

แม้ทุกย่างก้าวจะสร้างความบอบช้ำให้กับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม แต่มันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างทรหด บางครั้งเหยียบถูกเศษแก้ว หรือเศษหินแหลมคมจนพื้นมันฉีกขาด แต่มันก็ยังพอคงสภาพอยู่ได้ แม้มันจะเก่าชราคร่ำคร่าจนหาความงามมิได้ แต่มันก็ยังทำหน้าที่ปกป้องฝ่าเท้าของผู้ที่เหยียบย่ำอยู่บนตัวมันได้อย่างดีเยี่ยมจนวินาทีสุดท้าย…

วินาทีที่เจ้าของจะโยนมันทิ้งไปอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตสู่สิ่งที่เรียกว่า…ถังขยะ คือที่สุดท้ายของทุกสรรพสิ่งก่อนที่จะถูกย่อยสลายไป

ร่างกายของคนเราก็เปรียบเหมือนรองเท้าฟองน้ำคู่นี้ ใจก็เปรียบเหมือนคนที่เหยียบย่ำลงไปบนรองเท้า ใจนี้ก็อาศัยร่างกายท่องเที่ยวไปกระทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย ทั้งเรื่องดี เรื่องชั่ว สมกับคำกล่าวที่ว่า  “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” อย่างแท้จริง

@@@@@@@

กาลเวลาที่ผ่านไป ก็บีบคั้นให้ร่างกายต้องชำรุดทรุดโทรมแก่ชราคร่ำคร่าอยู่ตลอดเวลา แม้ใจจะพยายามบำรุงบำเรอร่างกายนี้อย่างทะนุถนอมสักปานใด ยาดี ๆ อาหารดี ๆ มีเท่าไหร่ก็ไขว่คว้าหามาทุ่มเทให้กับมันหมด ก็ไม่อาจช่วยให้ร่างกายนี้สามารถต้านทานการบดขยี้ของโรคาพยาธิทั้งปวงได้

ยิ่งบางคนเอาสุรายาเมามาปรนเปรอร่างกาย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายนี้ถึงความวิบัติพินาศเร็วยิ่งขึ้น เหมือนรองเท้าคู่นั้น ถ้าเจ้าของไม่ใช้มันอย่างระมัดระวัง มันก็คงถึงแก่ความหายนะเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น แต่รองเท้าก็มิได้ทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้เป็นเจ้าของมันสักเท่าไหร่นัก

ร่างกายคนเราก็เป็นฉันนั้น คงทำหน้าที่รับใช้ใจนี้ไปจนถึงวินาทีสุดท้าย… จะต่างกันก็แต่ร่างกายใช่จะไม่เป็นภาระเหมือนรองเท้า

ร่างกายย่อมเป็นภาระอันหนักอึ้งของใจเพราะใจจำต้องถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูร่างกายให้ดีตลอดเวลา แต่กายก็หาดีด้วยไม่ ยังคงเอาโรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ชราคร่ำคร่ามากวนใจ ให้ใจต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอยู่เสมอ ๆ

จนวินาทีสุดท้ายที่ใจจำต้องสลัดร่างกายนี้ทิ้งไป ใจก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนกว่าจะสิ้นลม…

ป่าช้าคือที่สุดท้ายอันเป็นที่รวมลงของทุกสรรพสัตว์ ก่อนที่ร่างกายจะแตกทำลายไปตามกฏแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


@@@@@@@

การเดินทางท่องเที่ยวอันยาวนานของร่างกายก็จบลงที่ตรงนี้ ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญ หรือเสียงด่าทอของผู้คนที่หลงรักหลงชังในร่างกายอันนี้

แต่ใจไม่ได้จบลงพร้อมกับร่างกายเลย ใจเป็นธาตุอมตะที่ไม่มีวันตาย ไม่มีวันแตกสลาย ใจยังได้ไปต่อ… ไปหาร่างกายใหม่มาเป็นเครื่องอาศัยอยู่ต่อไป

เหมือนเจ้าของรองเท้า โยนรองเท้าคู่เก่าทิ้งลงถังขยะไปแล้ว ก็ไปหารองเท้าคู่ใหม่มาใส่แทน จะไฉไลกว่าเก่าหรือจะอัปลักษณ์กว่าเก่า ก็สุดแล้วแต่เงินในกระเป๋าจะบันดาลให้เป็นไป

ใจก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อสลัดร่างกายนี้ทิ้งไปแล้ว ใจก็จะไปหาร่างกายใหม่มาใส่แทน จะได้ดีกว่าเก่า หรือจะเลวร้ายกว่าเก่า ก็สุดแล้วแต่ความดี กับความชั่วที่สั่งสมเอาไว้ตอนเป็น ๆ อยู่นั่นแล จะบันดาลให้เป็นไป

ชื่อว่า “ความดี” จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ใจทุกดวงจะต้องเก็บสั่งสมให้มากเข้าไว้ อย่าได้รีรอเมินเฉยจนลมหายใจสุดท้ายมาเยือน

                                     เสียงธรรม จากดอยแสงธรรม





Thank to : https://www.thairnews.com/ปริศนาธรรม-รองเท้าฟองน/
โดย thairnews - 27/09/2562
97  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เสียงกลอง เสียงระฆัง เสียงแห่งสัญลักษณ์ “วิถีไทย-วิถีพุทธ” เมื่อ: มีนาคม 14, 2024, 06:29:25 am
 :25: :25: :25:

เสียงกลอง เสียงระฆัง เสียงแห่งสัญลักษณ์ “วิถีไทย-วิถีพุทธ”







ตีกลอง ตีฆ้อง ตีระฆัง

ในสมัยก่อนบ้านเมืองยังไม่เจริญอย่างในปัจจุบันนี้ นาฬิกามักจะมีเฉพาะตามวัดเท่านั้น พระท่านก็ต้องตีกลองหรือฆ้องระฆัง เป็นสัญญาณบอกให้ทราบเวลาเป็นระยะๆ ไป เช่น ในเวลา ๑๘.๐๐ น. ตามวัดต่างๆ ในชนบทท่านมักจะ ย่ำกลอง หรือ ย่ำฆ้อง ย่ำระฆัง เพื่อบอกเวลาให้ชาวบ้าน ด้วยเหตุที่ทุกวันนี้ชาวบ้านมักมีนาฬิกาใช้กันทั่วไปแล้ว การย่ำกลอง ย่ำฆ้อง หรือย่ำระฆัง ในปัจจุบันจึงชักค่อยๆ หมดไป

แต่ก็ยังคงพอได้ยินเสียงกลองเพล เสียงระฆัง รวมทั้งเสียง “ย่ำกลองย่ำฆ้อง” อยู่บ้าง จากวัดใน จ.นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นนทบุรี ปทุมธานี และ จ.พระนครศรีอยุธยา

เสียงกลองจากวัดที่เราได้ยินกันจนคุ้นหู คือ การตีกลองเพล เวลา ๑๑.๐๐ น. เพื่อบอกเวลาฉันเพล ทั้งนี้จะตีโดยใช้ไม้เดียว ๓ ลา หน่วยวัดจังหวะที่ว่า “ลา” มาจากการรัวกลองหรือระฆังจนข้อมือล้า จากช้าไปเร็วสุด จบด้วยการตี ๓ ส่วนเสียงระฆังนั้นหลายคนอาจจะไม่ค่อยได้ยินเท่าไรนัก โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมือง

การตีระฆัง ถ้าเป็นช่วงในพรรษาจะมีการตีระฆังในช่วงเช้ามืดทุกวัน เวลาประมาณ ๐๔.๐๐-๐๔.๓๐ น. โดยจะตี ๓ ลา และจะตีนานถึง ๓๐ นาที เพื่อปลุกพระให้ตื่นจากการจำวัด เพื่อลงประชุมทำวัตรสวดมนต์เช้ามืด เป็นการกำจัดกิเลส ทำตนให้เป็นเขตนาบุญ

เมื่อออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมในเวลาเช้า โยมจะได้บุญมากๆ จะมีผลต่อความเจริญของผู้ใส่บาตร ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการส่งสัญญาณให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาเตรียมกับข้าวกับปลาใส่บาตร อย่างไรก็ตาม การตีระฆังจะมีการตีอีก ๒ ช่วงเวลา เพื่อสวดมนต์ทำวัตร คือ
   ครั้งแรก ตีประมาณ ๐๘.๐๐ น. เพื่อส่งสัญญาณให้พระลงทำวัตรเช้า และ
   ตีอีกครั้งหนึ่งเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น จะตี ๓ ลา
   ทั้งนี้จะใช้เวลาตีไม่เกิน ๑๐-๑๕ นาที เพื่อส่งสัญญาณให้พระลงประชุมทำวัตรเย็น

เหตุที่ใช้เวลาตีนานต่างกัน เพราะตอนเช้ามืดพระท่านง่วง กลัวจะนอนเพลินไป ไม่ได้ลุกขึ้นทำวัตรเช้ามืด ส่วนตอนเย็นพระท่านตื่นอยู่แล้ว


@@@@@@@

สำหรับความพิเศษของการตีกลองตีระฆังส่งสัญญาณการทำวัตรนั้น ต้องยกให้ การตีกลองตีระฆังย่ำค่ำ กล่าวคือ ในช่วงพรรษา เมื่อทำวัตรเย็นจบแล้ว ประมาณ ๑๗.๓๐-๑๘.๐๐ น. จะมีการตีกลองย่ำค่ำ ซึ่งเป็นการตีกลองและระฆังประสานเสียงกัน โดยตีกลอง ๔ ครั้ง เป็นจังหวะ ตะ-ลุ่ม-ตุ่ม-ตุ่ม ทั้งนี้จะตีระฆังพร้อมๆ กับกลองในจังหวะตุ่มสุดท้ายพร้อมกัน จากนั้นก็จะเร่งจังหวะเร็วขึ้น ต่างรูปต่างรัวจนรัวไม่ไหว จึงเป็นอันว่าเสร็จ ๑ ลา และจะต้องตีเช่นนี้อีก ๒ ลา รวมเป็น ๓ ลา และทิ้งท้ายอีก ๓ ครั้ง เป็นการประกาศชัยชนะกิเลสของพระวัดนั้นๆ โดยผู้ที่อยู่ทางบ้าน หรือไกลออกไป เมื่อได้ยินเสียงกลองย่ำค่ำ ก็จะยกมือขึ้นประนมจบศีรษะอนุโมทนาบุญ

นอกจากนี้แล้ว ยังมีการตีกลองและระฆังอีก ๒ เรื่อง คือ

   ๑. ตีเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นในวัด เช่น ไฟไหม้ โจรปล้น พระภิกษุมรณภาพ หรือต้องอาบัติหนักถึงขั้นปาราชิก ทั้งนี้ จังหวะการตีกลองระฆังไม่เป็นจังหวะเหมือนย่ำค่ำ จะเป็นการตีรัวทั้งกลองและระฆัง เมื่อชาวบ้านได้ยินก็จะรีบออกไปที่วัดทันที และ

   ๒. ตีเมื่อเกิดจันทรคราส และสุริยคราส ก็จะตีกลองระฆัง แต่ใช้การตีแบบจังหวะย่ำหรือลีลาย่ำค่ำ จนกว่าจันทรคราส และสุริยคราสจะคลาย อันนี้ต้องใช้พระเณรหลายรูป ส่วนใหญ่ก็จะตีกันจนมือพอง ขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็จะตีปี๊บ ตีเกราะ เคาะไม้ เพื่อให้พระราหูคลายจากการอมพระอาทิตย์ พระจันทร์

อีกคติหนึ่งเนื่องจากพระเป็นโหราจารย์ คำนวณสุริยจักรวาลได้ เช่นเดียวกับ ร.๔ เป็นการส่งสัญญาณให้ชาวบ้านดูท้องฟ้า “สมเด็จพระญาณวโรดม” อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กทม. ท่านเคยอบรมพระเณรที่เรียนใน มมร.ว่า

    "พระเณรเดี๋ยวนี้ละเลยไม่ศึกษาวิถีพุทธวิถีไทย เรื่องตีกลองตีระฆัง บางรูปขึ้นไปบนหอระฆังได้คว้าไม้ตีระฆัง ก็ตีจ้ำเอ้า จำเอา ตี ๓ ลา ไม่ถึง ๕ นาที หมาอ้าปากจะหอนสักหน่อยก็ตีจบซะแล้ว ส่วนบางรูปก็ตีอ้อยสร้อย  หมาหอนจะขาตะไกค้างก็ยังตีไม่จบ"

นี่เป็นการแสดงความห่วงใยกระตุ้นให้พระเณรได้ศึกษา และรักษาวิถีพุทธวิถีไทย และวัฒนธรรมทางศาสนา

@@@@@@@

ประเพณีตีกลองของภาคอีสาน

1. ประเพณีตีกลองเดิก(ดึก)

กลองดึก คือ กลองตีสัญญาตอนเวลาประมาณ ๐๓.๐๐-๐๔.๐๐ น. เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ประชาชนรู้ว่า ถึงวันโกนวันพระ (ขึ้นหรือแรม ๗-๘-๑๔ และ ๑๕) แล้ว ให้งดเว้นสิ่งที่ควรงด ตื่นขึ้นมาสมาทานศีล ไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนา กลองดึกนี้เป็นสัญญาณเตือนก่อนตื่นนอน เพื่อให้ลุกขึ้นประกอบกรรมดีแต่เช้า กลางวันจะตั้งใจทำอะไรดีก็จะเตรียมตัวไว้แต่เช้า และจะไปบำเพ็ญความดีทั้งวัน ในวันโกนวันพระทั้งสองวัน เพื่อเตือนพระภิกษุสงฆ์ และญาติโยมว่า เป็นวันพระที่จะต้องทำกิจทางพระพุทธศาสนา

2. ส่วนประเพณีตีกลองแลง

คือ การตีกลองสัญญาณในตอนเย็น เพราะคำว่า แลง หมายถึง ช่วงตอนเย็นเป็นเวลาระหว่างเวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๓๐ น. จะตีกันในวันโกนวันพระขึ้นและแรม ในวันขึ้น ๘, ๑๔ และ ๑๕ ค่ำ ของทุกเดือน เมื่อถึงเวลา ๑๕.๐๐ น. จะมีการตีกลองแลง วันดังกล่าวเป็นวันพระ พระภิกษุสามเณรจะหยุดการศึกษาเล่าเรียน จะซักสบง จีวร ปัดกวาดบริเวณวัดให้สะอาด ลงฟังเทศน์ในวันพระ สำหรับญาติโยมจะหยุดพักงานมาทำบุญรักษาศีล ฟังเทศน์ การตีกลองแลงจะมีเฉพาะในพรรษาเท่านั้น

3. ในขณะที่ประเพณีตีกลองงัน

คือ การตีกลองเวลาค่ำคืนประมาณ ๑๙.๐๐-๒๐.๐๐ น. ซึ่งจะตีทุกวันในช่วงเข้าพรรษา จุดมุ่งหมายของการตี นอกจากจะเป็นการรักษาประเพณีในช่วงเข้าพรรษาเอาไว้แล้ว ยังเป็นการให้สัญญาแก่คนหนุ่มสาวไปร่วมกันที่บริเวณวัด ซึ่งเรียกว่า ลงวัด เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ดายหญ้า ฝึกร้องสารภัญญ์ เป็นต้น

ในสมัยก่อน จะมีการตีกลองงัน บรรดาชายหนุ่มหญิงสาว จะนำเครื่องสักการะ มีดอกไม้ ธูป เทียน หมากพลู บุหรี่ ไปถวายวัด แล้วพากันทำวัตรค่ำ รับศีลฟังเทศน์ หากมีเวลาก็จะหันสรภัญญ์ หรืออบรมศีลธรรมพอสมควร





ขอขอบคุณ :-
ไตรเทพ ไกรงู : รายงาน
https://www.thairnews.com/เสียงกลอง-เสียงระฆัง-เสี/
โดย thairnews - 04/10/2561
98  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / องค์แห่งทักษิณาทาน |กองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ เป็นบุญอันเลิศ เมื่อ: มีนาคม 13, 2024, 10:32:09 am
.



องค์แห่งทักษิณาทาน |กองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ เป็นบุญอันเลิศ



๗. ทานสูตร ว่าด้วยองค์แห่งทักษิณาทาน

[๓๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น อุบาสิกาชื่อนันทมาตา ชาวเมืองเวฬุกัณฑกะ ถวายทักษิณาอันประกอบด้วยองค์ ๖ ในหมู่ภิกษุมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นประธาน

พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นอุบาสิกาชื่อนันทมาตาชาวเมืองเวฬุกัณฑกะนั้นแล้ว จึงรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายอุบาสิกาชื่อนันทมาตาชาวเมืองเวฬุกัณฑกะนั้น ถวายทานอันประกอบด้วยองค์ ๖ ในหมู่ภิกษุมีสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นประธาน

    @@@@@@@

    ทักษิณาอันประกอบด้วยองค์ ๖ เป็นอย่างไร.?
    คือ ฝ่ายทายก(ผู้ให้) มีองค์ ๓ ประการ , ฝ่ายปฏิคาหก(ผู้รับ) มีองค์ ๓ ประการ
             
    องค์ ๓ ประการของทายก อะไรบ้าง.?
    คือ ทายกในธรรมวินัยนี้
       ๑. ก่อนให้ก็มีใจดี
       ๒. กำลังให้ก็ทำจิตให้เลื่อมใส
       ๓. ครั้นให้แล้วก็มีใจเบิกบาน
    นี้คือองค์ ๓ ประการของทายก

    องค์ ๓ ประการของปฏิคาหก อะไรบ้าง.?
    คือ ปฏิคาหกในธรรมวินัยนี้
       ๑. เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดราคะ
       ๒. เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโทสะ
       ๓. เป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโมหะ
    นี้คือองค์ ๓ ประการของปฏิคาหก

    องค์ ๓ ประการของทายก , องค์ ๓ ประการของปฏิคาหก มีด้วยประการฉะนี้
    ภิกษุทั้งหลาย ทักษิณาอันประกอบด้วยองค์ ๖ เป็นอย่างนี้แล

    @@@@@@@
                                                 
    ภิกษุทั้งหลาย การกำหนดประมาณบุญแห่งทักษิณาอันประกอบด้วยองค์ ๖ อย่างนี้ว่า ‘ห้วงบุญ ห้วงกุศลมีประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้ มีอารมณ์ดีเลิศ(๑-) มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ’ มิใช่ทำได้ง่าย แท้จริง ห้วงบุญ ห้วงกุศลแห่งทักษิณานั้นถึงการนับว่า ‘เป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้’

    เปรียบเหมือนการกำหนดปริมาณของน้ำในมหาสมุทรว่า ‘น้ำมีปริมาณเท่านี้ อาฬหกะ น้ำมีปริมาณเท่านี้ ๑๐๐ อาฬหกะ น้ำมีปริมาณเท่านี้ ๑,๐๐๐ อาฬหกะ หรือน้ำมีปริมาณเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ อาฬหกะ’ มิใช่ทำได้ง่าย แท้จริง น้ำในมหาสมุทรนั้นถึงการนับว่า ‘เป็นห้วงน้ำใหญ่ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้’ ฉันใด

    ภิกษุทั้งหลาย การกำหนดประมาณบุญแห่งทักษิณาอันประกอบด้วยองค์ ๖ อย่างนี้ว่า ‘ห้วงบุญ ห้วงกุศลมีประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้ มีอารมณ์ดีเลิศ มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ’ มิใช่ทำได้ง่าย แท้จริง ห้วงบุญ ห้วงกุศลของทักษิณานั้น ถึงการนับว่า ‘เป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้’ ฉันนั้น

    @@@@@@@

ทายกก่อนให้ก็มีใจดี เมื่อกำลังให้ก็ทำจิตให้เลื่อมใส ครั้นให้แล้วก็มีใจเบิกบาน นี้เป็นความถึงพร้อมแห่งยัญ(๒-)

ปฏิคาหกผู้สำรวมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย คือ ท่านผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่มีอาสวะ ย่อมเป็นเขตที่สมบูรณ์แห่งการให้

ทายกต้อนรับปฏิคาหกด้วยตนเอง ถวายทานด้วยมือตนเอง ยัญนั้นย่อมมีผลมาก เพราะตน(ทายกผู้ให้ทาน) และเพราะผู้อื่น(ปฏิคาหก)เป็นบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ มีศรัทธา มีใจพ้นแล้ว(๓-) บูชายัญอย่างนี้ ย่อมเข้าถึงโลกที่ปราศจากความเบียดเบียน เป็นสุข

                                           ทานสูตรที่ ๗ จบ



เชิงอรรถ :-
(๑-) มีอารมณ์ดีเลิศ ในที่นี้หมายถึงให้กามคุณ ๕ ประการ มีรูปเป็นต้นที่เลิศ (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๕๑/๓๔๘)
(๒-) ยัญ ในที่นี้หมายถึงทาน หรือเครื่องไทยธรรม (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๔๐/๓๔๑, องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๓๗/๑๑๘)
และดู ขุ.เปต. (แปล) ๒๖/๓๐๕/๒๑๖
(๓-) มีใจพ้นแล้ว หมายถึงมีใจพ้นจากความตระหนี่ลาภเป็นต้น (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๓๗/๑๑๘)





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๒ หน้า : ๔๘๖-๔๘๗ | พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต , ๔. เทวตาวรรค , ๗. ทานสูตร
website : https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=22&siri=288
ภาพจาก : https://uttayarndham.org/dhama-daily





อรรถกถาทานสูตรที่ ๗ 
             
พึงทราบวินิจฉัยในทานสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า เวฬุกณฺฏกี ได้แก่ เป็นชาวเมืองเวฬุกัณฏกะ.
บทว่า ฉฬงฺคสมนฺนาคตํ ความว่า ประกอบไปด้วยองค์คุณ ๖ ประการ.
บทว่า ทกฺขิณํ ปติฏฐาเปติ ความว่า ถวายทาน.

บทว่า ปุพฺเพว ทานา สุมโน ความว่า เป็นผู้ถึงความโสมนัสตั้งเดือนหนึ่งว่า เราจักถวายทาน.
อธิบายว่า บุรพเจตนา ในคำว่า ปุพฺเพว ทานา สุมโน นี้ ย่อมมีแก่ผู้เริ่มต้นทำนา โดยคิดอยู่ว่า เราจักถวายทานด้วยข้าวกล้าที่เกิดจากนานี้ จำเดิมแต่กาลที่เกิดความคิดขึ้นว่า เราจักถวายทาน.
               
ส่วนมุญจนเจตนา(ความตั้งใจสละ) ที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า เมื่อให้ย่อมยังจิตให้ผ่องใสดังนี้ ย่อมมีได้ในเวลาให้ทานเท่านั้น แต่อปรเจตนานี้ว่า ครั้นให้แล้วก็มีจิตปลาบปลื้มดังนี้ ย่อมมีแก่ผู้ระลึกถึงในภายหลัง ในกาลต่อๆ มา.

               
@@@@@@@

บทว่า วีตราคา ได้แก่ พระขีณาสพผู้ปราศจากราคะ.
บทว่า ราควินยาย วา ปฏิปนฺนา ความว่า ดำเนินปฏิปทาที่เป็นเหตุนำราคะออกไป.

และเทศนานี้เป็นเทศนาอย่างอุกฤษฏ์ แต่มิใช่สำหรับพระขีณาสพอย่างเดียวเท่านั้น แม้พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน โดยที่สุดแม้สามเณรผู้ถือภัณฑะบวชแล้วในวันนั้น ทักษิณาที่ถวายแล้วย่อมชื่อว่าประกอบไปด้วยองค์ ๖ ทั้งนั้น. เพราะว่า แม้สามเณรก็บวชเพื่อโสดาปัตติมรรคเหมือนกัน.

ความบริบูรณ์แห่งทาน ชื่อว่า ยัญสัมปทา.

บทว่า สญฺญตา ความว่า สำรวมแล้วด้วยคำสำรวมคือศีล.
บทว่า สยํ อาจมยิตฺวาน ความว่า ตนเองล้างมือ ล้างเท้า แล้วล้างหน้า.
บทว่า สเกหิ ปาณิภิ ความว่า ด้วยมือของตน. ปาฐะเป็น สเยหิ ก็มี.

บทว่า สทฺโธ ได้แก่ เชื่อคุณพระรัตนตรัย.
บทว่า มุตฺเตน เจตสา ความว่า มีจิตหลุดพ้นจากความตระหนี่ในลาภ เป็นต้น.
บทว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลกํ ได้แก่ เทวโลกที่ปราศจากทุกข์ มีแต่สุข และโสมนัสอันโอฬาร.

                             จบอรรถกถาทานสูตรที่ ๗       
       




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
website : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=308
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตามไปดู ยกโบสถ์วัดใหม่ยายแป้น “๑ เดียว” ในกรุงเทพมหานคร เมื่อ: มีนาคม 13, 2024, 07:53:49 am
.



ตามไปดู ยกโบสถ์วัดใหม่ยายแป้น “๑ เดียว” ในกรุงเทพมหานคร

“ผู้เขียน” บวชเรียนมา 15 พรรษา  เป็นสามเณร 8 ปี และเป็นพระภิกษุอีก 7 ปี  ผ่านโบสถ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 โบสถ์ คือ อาศัยวัดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 วัด ทั้งชั่วคราวและจำพรรษา ยังไม่เคยไปร่วมกิจกรรม “ยกโบสถ์” สักครั้งหนึ่งในช่วิต  ส่วนใหญ่ไปร่วมงาน “ปิดทองฝังลูกนิมิต” หรือไม่ก็ “งานวัดประจำปี” น้อยสุดเคยร่วมแค่ “ทาสีโบสถ์”

พระพรหมวชิรปัญญาจารย์  (ป.ธ.9 ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายคำว่า “โบสถ์” ไว้ว่า  เป็นคำเรียกสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมกันทำสังฆกรรมตามพระวินัย เช่นสวดพระปาติโมกข์ ให้อุปสมบท มีสีมาเป็นเครื่องบอกเขต คำว่า โบสถ์ เป็นคำที่ใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนา

“โบสถ์” เรียกเต็มคำว่า อุโบสถ หรือโรงอุโบสถ ถ้าเป็นของพระอารามหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ บางถิ่นเรียกว่า สีมา หรือสิม

“โบสถ์” เป็น “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์”  เป็นที่ “ประทับของพระพุทธเจ้า” เป็นเขตแดนที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่สงฆ์เป็นพิเศษ เรียกว่า “วิสุงคามสีมา” ก่อนที่จะมาเป็นโบสถ์ที่ถูกต้องตามพระวินัยจะต้องมีสังฆกรรมที่เรียกว่าผูกสีมา หรือผูกพัทธสีมาก่อน

@@@@@@@

ส่วนคำว่า “พัทธสีมา” พระพรหมวชิรปัญญาจารย์ ได้ให้ความหมายไว้ว่า สีมา หมายถึงเขตหรือแดนที่กำหนดไว้สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์ เป็นเขตชุมนุมสงฆ์โดยเฉพาะ ซึ่งพระสงฆ์กำหนดว่าผู้อยู่ในเขตนั้นจะต้องร่วมกันทำสังฆกรรมโดยความพร้อมเพรียงกัน

“พัทธสีมา” หมายถึงสีมา หรือเขตแดนที่พระสงฆ์ผูกไว้แล้ว คือพระสงฆ์ร่วมกันกำหนดให้เป็นเขตทำสังฆกรรมตามพระวินัย เรียกพิธีกรรมที่กำหนดอย่างนั้นว่า ผูกสีมา โดยทั่วไปเรียกพัทธสีมาว่า โบสถ์ หรืออุโบสถ เขตหรือแดนที่จะผูกเป็นพัทธสีมานั้น จะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน เพราะต้องเป็นเขตแยกต่างหากจากเขตแดนบ้าน ซึ่งเรียกว่า “วิสุงคามสีมา”

โบสถ์ เป็น “ศาสนสำคัญ” ในทางพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่สร้าง “คน” เสกคน ให้เป็น “พระภิกษุ”
ยุคโบราณ มีคำกล่าวว่า “คนร้าย”  หนีเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อหนีเข้าไปใน “โบสถ์” เจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่ตามจับ เพราะถือว่าเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และหมายความถึงว่า “ผู้ร้าย” ตนนั่น ยอมมอบตัวไว้ใน พระพุทธศาสนา แล้ว






“ผู้เขียน” ไปดูการ “ยกโบสถ์” วัดใหม่ยายแม้น เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวัดสร้างขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 คือ ประมาณปี 2390 โดย “คุณยายแม้น สตรีชาวมอญ”  หลักฐานเหล่านี้มีทั้ง “ระฆังใบเก่า” และบนหลังคาอุโบสถหลังเก่ามีไก่ 2 ตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสร้างเสร็จในปีระกา 2391

แต่ความจริง วัดแห่งนี้น่าจะมีอายุมากกว่านี้ เพราะธรรมดาทั่วไปคนมอญหรือคนไทยยุคเก่าเวลาจะสร้างวัดต้องนิมนต์พระมาอยู่ก่อน มาจำพรรษาสัก 5 -10 พรรษา เมื่อเห็นว่าพระอยู่ได้ ชาวบ้านศรัทธา จึงสร้างวัดแบบมั่นคงและถาวร

“วัดใหม่ยายแป้น” เจ้าอาวาสรูปก่อน ๆ มาจากภาคใต้คือ “จังหวัดพัทลุง” เป็นส่วนใหญ่ เพราะสืบเชื้อจากรุ่นต่อรุ่น ปัจจุบันก็ยังมีคนในตระกูล “ณ พัทลุง” มาคอยดูและอุปถัมภ์วัดอยู่ ซึ่งตระกลู ณ พัทลุงนี้ก็ใช่ใครอื่นๆ คือ “สายคุณหญิงแป้น” ที่ไปแต่งงานกับ “พระยาพัทลุงขุนคางเหล็ก” แล้วตามไปอยู่ภาคใต้ ตั้งรกรากอยู่ที่นั้น

เมื่อแต่งงานแล้ว “ขุนคางเหล็ก” ท่านก็เปลี่ยนจากการนับถือศาสนาอิสลามมาเป็นชาวพุทธ ไม่เหมือนยุคนี้..ใครแต่งงานกับคนอิสลามต้องเข้านับถือรีตอิสลามทันที ไม่ว่าจะเป็น “ชายหรือหญิง”

@@@@@@@

“เจ้าคุณหรรษา” พระเมธีวัชรบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้น ท่านเป็น “พระนักวิชาการ” มีตำแหน่งทางวิชาการ นอกจาก เป็น “ด๊อกเตอร์” แล้ว ยังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น “ศาสตราจารย์” ด้วย หากนับพระภิกษุในประเทศไทยเป็นรูปที่ 4 ของคณะสงฆ์
   - รูปแรก คือ พระพรหมบัณฑิต
   - รูปที่ 2 พระธรรมวัชรบัณฑิต
   - รูปที่ 3 พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ ซึ่งอยู่วัดใหม่ยายแป้นเช่นกัน และ
   - รูปที่ 4 ก็คือ พระเมธีวัชรบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณหรรษา” 

“ผู้เขียน” ยกมาเล่าแบบนี้เพื่อสื่อถึงว่า “โบสถ์” วัดใหม่ยายแป้น มิใช่โบสถ์ธรรมดา เป็นโบสถ์ที่ “สร้างพระนักวิชาการ” รับใช้สังคม รับใช้คณะสงฆ์ ถึง 2 รูป ยังไม่มีวัดใดทำได้ ขนาด “วัดหลวง”  วัดดัง ๆ ที่ว่ามีเงินเยอะ คนไปท่องเที่ยวเยอะ มีพระจำพรรษาเยอะ ยังสู้ “โบสถ์วัดใหม่ยายแป้น” วัดราษฎร์ไม่ได้

“ผู้เขียน” ถาม “เจ้าคุณหรรษา” ว่าใช้งบประมาณเท่าไร ท่านบอกว่าประมาณ 20 ล้านบาท ใช้เวลา 5 ปี  เพราะ “ยกโบสถ์” ขึ้นมาทั้งหลังตอนนี้ยังไม่มีเจ้าภาพหลัก ไม่มีเจ้าภาพรายใหญ่

สาเหตุที่ยกท่านบอกว่า เพราะวัดติดคลอง เวลาฝนตกน้ำทะลักขึ้นมาท่วมลานโบสถ์ และที่สำคัญพื้นลานโบสถ์ ต่ำมาก ในขณะที่ “ลานวัด” ถมที่สูง ระยะยาวปล่อยไว้นานโบสถ์ “จะทรุด”




“ผู้เขียน” ไม่กล้าถามต่อว่า งบประมาณสูงขนาดนี้เอาที่ไหน เพราะเท่าที่มีประสบการณ์รู้ว่า “พระนักวิชาการ” หาเงินยาก จะออกปากบอกโยม..“กระด้างปาก อาย เขิน เกรงใจ ไม่กล้า” ไม่เหมือนพวก “พระหมอดู-พระปลูกเสก-พระสร้างวัตถุมงคล” พวกนี้โยมเข้าหาเยอะ เงินแค่ 20 ล้าน สร้างพระรุ่นเดียว อย่าว่าแต่ “ยกโบสถ์” เลย สร้างโบสถ์ “ทั้งหลัง” ยังได้สบาย

ตอนนี้พระสงฆ์วัดใหม่ยายแป้น “เดือดร้อน” เวลาลงพระปาฏิโมกข์ คนในชุมชนบวช ต้องไปอาศัยวัดใกล้เคียง ยังคิดอยู่ว่า “รับกฐิน” ปีนี้จะไปทำ “สังฆกรรม” ที่ใด

เท่าที่สืบค้นหาข้อมูลดู การยกโบสถ์ มีอานิสงส์มาก ไม่ต้องคิดอื่นไกล “โบสถ์” คือสถานที่ สร้างคนให้เป็นพระ แค่เป็นเจ้าภาพบวชพระภิกษุ ชาวพุทธเราถือว่าได้บุญ ได้อานิสงส์มากแล้ว นี่คือ “อุโบสถ” สถานที่ “สร้างคนให้เป็นพระ” น่าจะสุดยอดแห่งบุญแล้ว 

และเท่าที่สอบถามจากเพื่อนๆบ้าง พระภิกษุสงฆ์บ้าง ณ ตอนนี้ วัดใหม่ยายแป้น น่าจะเป็นวัดเดียวในกรุงเทพมหานคร ที่ “ยกใหม่” ส่วนวัดอื่นๆ ยังไม่มีข้อมูลว่ามีการยกโบสถ์แล้วบูรณะใหม่เหมือน “วัดใหม่ยายแป้น”

@@@@@@@

ยกโบสถ์ ยกชีวิต “สายมู” บอกว่า “แก้เคราะห์” ได้ทุกชนิด ทั้งเจ็บป่วย ค้าขาย และอุทิศส่วนกุศลให้ “เจ้าเวร-นายกรรม” เป็นต้น

“ผู้เขียน”จึงเชิญชวนชาวพุทธ หากท่านใดเห็นว่าการยกโบสถ์สำคัญต่อวัด สำคัญต่อพระพุทธศาสนาขอเชิญชวน “ร่วมด้วยช่วยกัน” หรือไปเที่ยววัด ไปชมวัดที่สะอาดรื่นรมย์ 

ติดต่อได้ที่เบอร์สำนักงานโทร 096-256-5142 หรือหากไม่สะดวกจะไปที่วัด โอนเงินเข้าบัญชีวัด ธ.กรุงไทย หมายเลข 026-028-0135 ก็ได้บุญเฉกเช่นเดียวกัน





ขอบคุณ : https://thebuddh.com/?p=78079
100  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฟังพระเล่า : วิกฤตใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ.!! เมื่อ: มีนาคม 13, 2024, 07:04:25 am
.



ฟังพระเล่า : วิกฤตใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ.!!

วันที่ 12 มีนาคม 67  เพจสติ ได้นำคำบรรยายของ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งได้พูดถึง “วิกฤตใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ” ซึ่งสำรวจโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและธนาคารโลก ว่า

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีข่าวเล็ก ๆ อยู่ข่าวหนึ่ง ที่จริงไม่ควรจะเป็นข่าวเล็ก น่าจะเป็นข่าวใหญ่ เพราะเป็นเรื่องราวข่าวคราวข้อมูลเกี่ยวกับคนไทยทั้งประเทศ แล้วก็มีผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับตัวเราเองหรือว่าลูกหลานของเราถ้วนหน้าเลย แล้วก็เป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ น่าเป็นห่วง

ก็คือธนาคารโลก กับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเขาเปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานของคนไทยทั้งประเทศ เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการดำเนินชีวิต จะเรียกว่าเพื่อความอยู่รอดในสังคมสมัยใหม่ก็ได้

แต่ว่ามากกว่านั้นก็คือเพื่อชีวิตที่ปกติสุขด้วย เขาเรียกว่าเป็นทักษะพื้นฐานหรือว่าบางทีก็ใช้คำว่าทักษะทุนชีวิตเลย ซึ่งเป็นคำใหม่ เป็นทักษะที่เป็นต้นทุนสำหรับการดำเนินชีวิต มีอยู่ 3 อย่าง 
    1) ทักษะด้านการอ่าน 
    2) ทักษะด้านดิจิตอล 
    3) ทักษะทางสังคมและอารมณ์

@@@@@@@

ทักษะด้านการอ่าน และทักษะด้านดิจิตอล คนไทยเกือบ 70%  มีความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์ ต่ำกว่ามาตรฐาน นับว่าไม่ใช่น้อยเลย เท่ากับค่อนประเทศเลย ทักษะด้านการอ่านเขาไม่ได้หมายถึงเฉพาะอ่านออกหรือรู้หนังสือ แต่รวมถึงการเข้าใจแล้วก็นำไปปฏิบัติได้ ฉะนั้นเขาให้อ่านฉลากยา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนจะต้องอ่านเป็น แล้วเข้าใจ เอาไปปฏิบัติถูก คนไทยจำนวนไม่น้อยอ่านไม่ออก หรือที่อ่านนั้นถึงจะอ่านออกก็ปฏิบัติไม่ถูก ไม่เข้าใจ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก

ส่วนทักษะด้านดิจิตอล เขาไม่ได้หมายถึงเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือเป็น ออนไลน์เป็น สามารถใช้ Facebook โซเชียลมีเดียได้ แต่เขายังหมายถึงว่าสามารถใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ดิจิตอลได้ เช่น ค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์หรือว่าสามารถจะเอามาใช้หาข้อมูลที่จำเป็นกับการดำเนินชีวิตทุกอย่าง

ตัวอย่างเช่น เขาให้โจทย์มาเกี่ยวกับราคาค่าบริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็มีหลายตัวอย่าง ปรากฏว่าส่วนใหญ่ไม่สามารถจะบอกได้ว่าค่าบริการโทรศัพท์ของหน่วยงานใดมันถูกที่สุด คือไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้

แล้วยังรวมถึงความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตก็ยังทำไม่ได้ หาข้อมูลเกี่ยวกับดาราคู่จิ้นนั้นไม่ยาก แต่พอหาข้อมูลที่เกี่ยวกับรายจ่ายรายได้หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ทำไม่เป็น เปรียบเทียบไม่ได้ว่า อะไรดีกว่าอะไร อะไรถูกกว่า 70% ความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์

@@@@@@@

ส่วนทักษะด้านอารมณ์ เขาหมายถึงว่า การรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น รู้ว่าคนที่เรากำลังเกี่ยวข้องเขามีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร แล้วควรจะปฏิบัติกับเขาอย่างไร ควรจะพูดจาอย่างไร คือทักษะด้านการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น

ที่สำคัญรวมถึงทักษะด้านจัดการกับอารมณ์ของตัวและแก้ทุกข์ของตัวได้ อันนี้ดีหน่อย ดีหน่อยหมายความว่าแย่น้อยหน่อย 30% ของคนไทย มีความสามารถด้านนี้ทักษะด้านนี้ต่ำกว่าเกณฑ์

ที่ว่ามา 2 ทักษะแรก ต่ำกว่าเกณฑ์ถึง 70% ซึ่งมันน่าคิดว่าคนไทยเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลเลยก็ว่าได้ เด็กอนุบาลคือตั้งแต่เล็ก 2-3 ขวบก็เข้าอนุบาลแล้ว หรือว่าเข้าพรีอนุบาลแม้กระทั่งในชนบท ซึ่งโรงเรียนอนุบาลก็ไม่ได้สอนอะไร ไม่ได้ให้เด็กเล่นแต่ให้เด็กอ่านหนังสือ

เด็กไทยอ่านหนังสือตั้งแต่เล็กในขณะที่เด็กยุโรปเล็ก ๆ อนุบาลเขาไม่ให้อ่านหนังสือ เขาให้เล่นให้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกและชีวิต แต่เด็กไทยเรียนหนังสือตั้งแต่เล็ก เข้าเรียน อ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อนุบาล แล้ววัน ๆ หนึ่งแม้เด็กประถมเด็กมัธยมก็เรียนกันหลายชั่วโมง ยังไม่นับที่เรียนพิเศษ




เด็กไทยใช้เวลาในการเรียนหนังสือในห้องเรียนเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สิงคโปร์ ฟินแลนด์ หรือว่าสวีเดน จำนวนวันที่เด็กเรียนหนังสือน้อยกว่าของไทยเยอะเลย แต่ทำไมเด็กไทยหรือคนไทยกลับมีทักษะด้านการอ่านแย่

อันนี้ยังไม่ได้ทดสอบทักษะด้านภาษาต่างประเทศ เราก็เรียนตั้งแต่เล็ก แต่ว่าภาษาอังกฤษของเราต่ำมาก แพ้เวียดนามหลายช่วงตัวเลยทีเดียว ทั้งที่เวียดนามเกิดศึกสงครามมา 30 ปี เพิ่งจะเริ่มพัฒนาประเทศจริงจังก็เมื่อ 40 ปีที่แล้ว แต่เขาไปไกลแล้วด้านภาษา ยังไม่ได้พูดเรื่องภาษาต่างประเทศ เอาแค่ภาษาไทย อ่านรู้เรื่องแต่ว่าเข้าใจความหมายได้น้อยมาก

แล้วทักษะด้านดี ๆ ก็แปลกที่คนไทยใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้โซเชียลมีเดียวันหนึ่งหลายชั่วโมง ติดอันดับต้น ๆ ของโลกเหมือนกัน แต่ทำไมทักษะด้านนี้ถึงต่ำมาก หรือว่าเราใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อการเสพสุข หรือว่าเพื่อการปรนเปรอ เพื่อความสนุกสนาน แต่ไม่ได้ใช้เพื่อการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต

อันนี้นอกจากจะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความบกพร่องในการเรียนรู้ของคนไทย มันยังสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของการเลี้ยงดู หรือการให้การศึกษาแก่เยาวชน เริ่มตั้งแต่ครอบครัวจนถึงโรงเรียนเลย พ่อแม่คงไม่ค่อยได้เลี้ยงดูให้การศึกษาลูกเท่าไหร่

โรงเรียนก็เหมือนกัน เด็กไทยเรียนหนังสือเยอะแต่ว่าความรู้ อ่านออกเขียนได้ด้านภาษาต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งด้านคณิตศาสตร์ การคำนวณ ก็เรียกว่าถดถอยมาก

@@@@@@@

แต่แปลกทักษะประการที่ 3 ซึ่งไม่ค่อยได้เรียน หรือว่าสอนกันในโรงเรียน คือ ทักษะด้านสังคมและอารมณ์ คนไทยจำนวนน้อยกว่าที่มีทักษะด้านนี้ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ 30% แสดงว่าคงจะเรียนรู้จากวัฒนธรรม จากสังคม แต่ว่าก็ยังเรียนรู้ไม่พอ ไม่อย่างนั้นมันไม่มีตัวเลขแบบนี้

อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งทำให้หลายคนเขาวิตกมาก เฉพาะมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ  เขาบอกว่า ความตกต่ำด้านทักษะของคนไทยหรือทักษะด้านพื้นฐาน ถ้าคิดเป็นตัวเงินแล้วก็ประมาณ 20% ของ GDP หรือของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ก็หลายหมื่นล้านหรือแสนล้านเลยทีเดียว

ถึงบอกว่ามันเป็นข่าวใหญ่ ที่ไม่ควรจะเป็นข่าวเล็ก ๆ ที่พ่อแม่ หรือว่าโรงเรียน ครูบาอาจารย์ควรจะตื่นตัว แล้วก็ตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรการศึกษาของเรามันถึงจะดีขึ้นกว่านี้ ปฏิรูปกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ในช่วง 40 ปี แต่ว่ามันไม่ได้ดีขึ้นเลย มีคนเขาบอกว่ามันต้องยกเครื่องแล้ว ไม่ใช่ปะผุ ซ่อมตรงนี้ทีแก้ตรงนั้นที

แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ค่อยได้มีผู้นำประเทศนี่สนใจเท่าไหร่ กระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถด้านนี้ มาเป็นรัฐมนตรีก็เพียงเพราะมีตำแหน่งให้ลง แต่ว่าไม่ได้มีความสนใจที่จะผลักดันขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่รัฐมนตรีก็ไม่พอถ้าหากว่าระบบราชการทั้งหมดยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ก็คงยาก.





ขอบคุณ : https://thebuddh.com/?p=78072
101  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “มจร” เตรียมพร้อมจัดพิธีอัญเชิญ “พระพุทธมหาจุฬาฯ” เมื่อ: มีนาคม 13, 2024, 06:54:20 am




“มจร” เตรียมพร้อมจัดพิธีอัญเชิญ “พระพุทธมหาจุฬาฯ” 

วันที่ 11 มีนาคม 2567  พระเทพปวรเมธี รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2567 ที่จะถึงนี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีกำหนดการจัดพิธีอัญเชิญพระพุทธปฎิมา “พระพุทธมหาจุฬาลงกรณชุตินธรบวรศาสดา”

เพื่อประดิษฐานบนฐานชุกชี ณ มณฑลพิธี ลานเอนกประสงค์บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา




“ตอนนี้ฐานชุกชีสร้างเสร็จแล้ว พระพุทธรูปหล่อเรียบร้อยแล้ว ทางคณะผู้บริหาร มจร จึงได้กำหนดจัดงานเพื่ออัญเชิญมาตั้งในวันที่ 21 นี้ โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หรือ “เจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตโต” เป็นประธานในพิธี อาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ จะเป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ในขณะที่เจ้าภาพซึ่งเป็นประธานดำเนินการก่อสร้าง คือ คุณเพ็ญศรี ชั้นบุญ จะกล่าวถวายรายงาน

ต่อนั้นก็จะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนฐานชุกชี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ กล่าวสัมโมทนียกถา ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ญาติโยมที่มาร่วมงาน เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งพิธีดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกาเป็นต้นไป..”











ขอบคุณ : https://thebuddh.com/?p=78059
102  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตือน “พระอุปัชฌาย์ต่างประเทศ” ไม่ควรกลับมา ให้การบรรพชาอุปสมบทในไทย เมื่อ: มีนาคม 13, 2024, 06:41:24 am




เตือน “พระอุปัชฌาย์ต่างประเทศ” ไม่ควรกลับมา ให้การบรรพชาอุปสมบทในไทย

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประธานสมัชชามหาคณิสสร เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ เป็นประธาน เปิดการฝึกซ้อมอบรมพระสังฆาธิการ เพื่อสอบความรู้แต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ รุ่นที่ 57 ครั้งที่ 1

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประธานสมัชชามหาคณิสสร เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กล่าวในการเป็นประธาน เปิดการฝึกซ้อมอบรมพระสังฆาธิการ เพื่อสอบความรู้แต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ รุ่นที่ 57 ครั้งที่ 1 จำนวน 338 รูป เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่วัดสามพระยา ว่า

พระอุปัชฌาย์เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ โดยในจริยาพระอุปัชฌาย์นั้นระบุว่า ต้องเอื้อเฟื้อ สังวร ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และกฎหมายอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎ มส. ตามคำสั่งหรือคำแนะนำชี้แจงของผู้บังคับบัญชา ที่สั่งโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎ มส. และต้องระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้บกพร่อง

ซึ่งในทางพระธรรมวินัย พระอุปัชฌาย์ถือว่ามีความสำคัญ เพราะต้องมีหน้าที่กลั่นกรองกุลบุตรผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน เข้ามาเป็นสมาชิกในหมู่สงฆ์ ต้องเป็นประธานและรับผิดชอบในการบรรพชาอุปสมบท ทั้งต้องปกครอง ดูแล อบรม สั่งสอน สัทธิวิหาริก (คำเรียกผู้ที่ได้รับการบวชจากพระอุปัชฌาย์ใครเคยบวชจากพระอุปัชฌาย์รูปใดก็เป็นสัทธิวิหาริกของพระอุปัชฌาย์นั้น) ให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ ต้องขวนขวายให้ได้รับการศึกษาตามพระธรรมวินัย ซึ่งถือเป็นภาระ ธุระของพระอุปัชฌาย์ โดยสัทธิวิหาริกที่พรรษายังไม่พ้น 5 หากจะไปอยู่ที่ใด พระอุปัชฌาย์ต้องมีหน้าที่คอยติดตามด้วย




สมเด็จพระพุฒาจารย์ กล่าวต่อไปว่า ในที่นี้จะขอพูดถึงหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ และสัทธิวิหาริก ตามวินัยมุข ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เกิดจากความเคารพซึ่งกันและกัน

โดยหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ต่อสัทธิวิหาริก เรียกว่า สัทธิวิหาริกวัตร มีอยู่ 4 ข้อ
1. มุ่งการศึกษาของสัทธิวิหาริก
2. สงเคราะห์สัทธิวิหาริกด้วยสมณบริขาร
3. ป้องกันความเสื่อมเสียที่จะพึงเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วแก่สัทธิวิหาริก
4. ให้การรักษาพยาบาลเมื่อสัทธิวิหาริกเจ็บไข้ได้ป่วย

ส่วนหน้าที่ของสัทธิวิหาริอ ต่อพระอุปัชฌาย์ เรียกว่า อุปัชฌายวัตร มี 7 ข้อ
1. อุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์
2. มุ่งการศึกษา
3. ป้องกันความเสื่อมเสียที่จะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วกับพระอุปัชฌาย์
4. รักษาน้ำใจของพระอุปัชฌาย์
5. มีความเคารพต่อท่าน
6. ไปไหนมาไหนบอกกล่าวท่าน
7. เมื่อพระอุปัชฌาย์เจ็บไข้ ต้องรักษาพยาบาล

ทั้งนี้ เมื่อปฏิบัติต่อกันดังกล่าวจะเกิดความผูกพันกัน นอกจากนี้ ยังมีการอนุญาตให้พระอุปัชฌาย์ สามารถขับไล่สัทธิวิหาริก ที่ไม่มีความเลื่อมใส ไม่มีความละอาย ไม่มีความเคารพ และพระอุปัชฌาย์สามารถประณามสัทธิวิหาริกได้




สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) กรรมการ มส. ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม บรรยายพิเศษว่า สำหรับพระอุปัชฌาย์ที่เป็นพระธรรมทูตในต่างประเทศนั้น ในการจะดำเนินการบรรพชาอุปสมบทในต่างประเทศนั้น จะต้องทำให้ถูกกฎหมายในแต่ละประเทศ และถูกต้องตามพระธรรมวินัยด้วย ไม่ควรให้การบรรพชาอุปสมบทนอกเขตของตนเองที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในประเทศนั้นๆ

เพราะในแต่ละประเทศ ทางสมัชชาสงฆ์ไทยจะมีการแบ่งเขตในการปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว ถ้าให้การบรรพชาอุปสมบทนอกเขต ต้องขออนุญาตจากสมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศนั้นก่อน และพระอุปัชฌาย์ในต่างประเทศ เมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว ไม่ควรมาให้การบรรพชาอุปสมบทในประเทศไทย เพราะจะเกิดปัญหา แม้จะได้รับการนิมนต์ให้กลับมาทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ในไทย ก็ไม่ควรรับ ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วย





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3250086/
12 มีนาคม 2567 , 12:57 น. | การศึกษา-ศาสนา
103  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 3 อาหารต้องห้ามในงานศพ โบราณว่าไว้ อย่าเอามาเสิร์ฟ เมื่อ: มีนาคม 12, 2024, 06:58:13 am
.



3 อาหารต้องห้ามในงานศพ โบราณว่าไว้ อย่าเอามาเสิร์ฟ

”พิธีกรรมและความเชื่ออยู่คู่คนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ วันนี้ทางสายกินจะมาพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับอาหารต้องห้ามในงานศพ มีอะไรบ้างและเพราะอะไร

แน่นอนว่าคนไทยเรามีความเชื่อต่างๆสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณปู่ย่าตายายและถูกถ่ายทอดมายังลูกหลาน อีกทั้งยังมีประเพณีและพิธีกรรมต่างๆที่ถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น มีทั้งงานมงคล งานอวมงคล งานขาวดำต่างๆซึ่งในงานเหล่านี้ต่างก็มีความเชื่อเกี่ยวกับข้อห้ามต่างๆที่ห้ามทำในงานเหล่านั้น รวมถึงเรื่องของอาหาร มีทั้งอาหารที่เป็นมงคลและอาหารที่ไม่เป็นมงคลในแต่ละงาน วันนี้ทางสายกินขอพูดถึง เมนูอาหารต้องห้ามในงานศพ

โดยทาง The Ghost Radio เคยได้ให้ข้อมูลไว้ ความเชื่อตั้งแต่โบราณ ในงานศพเป็นงานที่สื่อถึงการจากลา พลัดพรากจากกัน และก็มีเมนูที่ไม่ควรนำมาเสิร์ฟในงานศพเพราะแฝงความหมายที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนอาหารที่ไม่ควรเสิร์ฟในงานศพมีอะไรบ้างนั้น ไปเริ่มกันที่อย่างแรกกันเลย




1. อาหารหรือขนมประเภทเส้น

เมนูไหนก็ตามที่เป็นอาหารประเภทเส้น ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดไทย ผัดหมี่ และพวกขนมหวานอย่างฝอยทองก็ไม่ได้ เพราะคนโบราณกล่าวไว้ว่า อาหารประเภทเส้นเหล่านี้ เป็นเหมือนเส้นใยผูกพัน ทำให้ญาติพี่น้องที่ยังคงมีชีวิตอยู่กับผู้เสียชีวิตอาจผูกพันกันจนไม่สามารถตัดขาดจากกันได้ เนื่องจากวิญญาณของผู้เสียชีวิตยังมีห่วงอยู่และไม่ไปเกิดใหม่ ทั้งยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการตายต่อ ๆ กันในเครือญาติ เนื่องจากความยาวของเส้นอาหารต่าง ๆ เป็นเหมือนเส้นใยนำทางให้วิญญาณนำพาชีวิตของคนในครอบครัวไปอยู่ด้วยนั่นเอง




2. อาหารที่ห่อด้วยใบตอง

ตั้งแต่ในอดีตคนโบราณมักนำใบตองหรือใบกล้วยที่มีขนาดใหญ่ มารองศพและปิดร่างศพเอาไว้ เพราะใบตองในสมัยนั้นหาง่าย ดังนั้นการนำอาหารที่ห่อด้วยใบตองมาเสิร์ฟในงานศพจึงเป็นเรื่องไม่ดีไม่เหมาะสม เป็นเหตุผลที่ไม่เห็นงานศพที่ไหนใช้ใบตองมาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดโต๊ะอาหาร




3. ขนุน

ตามความเชื่อโบราณ ขนุนเป็นผลไม้มงคลของคนไทย หากปลูกต้นขนุนไว้หน้าบ้าน จะมีคนคอยจุนเจือช่วยเหลือให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง รอดพ้นจากการนินทาว่าร้าย จะช่วยหนุนนำชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้น ช่วยเสริมสิริมงคล นำพาโชคลาภและเงินทองมาให้กับครอบครัว ขนุนจึงกลายเป็นอาหารต้องห้ามในงานศพ ที่ไม่นำมาเสิร์ฟในงานศพ เนื่องจากเหมาะนำไปเสิร์ฟงานมงคงพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานทำบุญ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ปัจจุบันอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โปรดใช้วิจารณญาณ




Thank to : https://www.thainewsonline.co/lifestyle/food/868065
11 มีนาคม 2567
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มจร.วัดไร่ขิง เตรียมวิจัยสร้างนวัตกรรมการเจรจาเยียวยาจิตใจ เน้นบุคคล-คนในชุมชน เมื่อ: มีนาคม 12, 2024, 06:52:17 am
.




มจร.วัดไร่ขิง เตรียมวิจัยสร้างนวัตกรรมการเจรจาเยียวยาจิตใจ เน้นบุคคล-คนในชุมชน

มจร.วัดไร่ขิง เตรียมวิจัยสร้างนวัตกรรมการเจรจาเยียวยาจิตใจ เน้นบุคคล-คนในชุมชน สร้างสังคมสันติสุข จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.67 ผศ.ดร.นพ.บรรพต ต้นธีรวงศ์ ผอ.หลักสูตรการเจรจาเพื่อเยียวยาและฟื้นคืนความสมานฉันท์ (จ.ย.ส.) วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร. วัดไร่ขิง กล่าวว่า เตรียมดำเนินการวิจัยค้นคว้าข้อมูล สร้างหลักสูตร เพื่อเร่งหานวัตกรรม การเจรจาเพื่อการเยียวยาการบาดเจ็บทางจิตใจ

โดยเน้นที่บุคคล และกลุ่มคนในชุมชน เพื่อสร้างสังคมสันติสุข จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ ในสังคม ซึ่งในปัจจุบันมักเกิดขึ้นบ่อยๆ ได้แก่ การกระทำทารุณ หรือทำร้ายทางกายในเด็ก คนชรา สตรี ทั้งการข่มขืน การกระทำทรมาน การกระทำทารุณ

รวมไปถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ การบังคับใช้ กฎหมายประหารชีวิต ความยากจน การไร้ที่อยู่อาศัย การเป็นผู้ลี้ภัย การลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และการขาดโอกาสในการเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน รวมถึงการสังหารหมู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามที่ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ การอยู่ภายใต้การยึดครองหรือในสภาวะจำยอมหรือระบบทาส ภัยพิบัติสาเหตุจากมนุษย์ สารเคมีรั่วทะลัก โรงงานระเบิด ไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ เช่น สึนามิ น้ำท่วม โคลนถล่ม การแพร่กระจายของโรค ระบาด การก่อการร้ายชีวภาพ




การทอดทิ้งผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ การสูญเสียอย่างกะทันหัน ได้แก่ บุคคลอันเป็นที่รัก การสูญเสียสถานภาพ อัตลักษณ์ทรัพย์สิน บ้าน ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงกระทันหันของกฎระเบียบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าบาดแผลทางจิตใจ มีหลากหลายสาเหตุและรูปแบบ ปัญหาคือ เราจะตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร ซึ่งจะต้องดำเนินการวิจัยเพื่อหาคำตอบ

ผศ.ดร.นพ.บรรพต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ มจร. วัดไร่ขิง ยังได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรวุฒิบัตรการเจรจาเพื่อเยียวยาและฟื้นคืนความสมานฉันท์ (จ.ย.ส.) รุนที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์

1. เพื่อให้ผู้อบรมสามารถวิเคราะห์สถานการณ์สะเทือนขวัญ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ความขัดแย้งที่ร้าวลึก การสูญเสียความเสียหาย สาเหตุ จุดยืน ความต้องการ ลักษณะความสัมพันธ์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

2. เพื่อให้ผู้อบรมมีความรู้ความเข้าใจ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับสภาวะการบาดเจ็บทางจิตใจ เทคนิควิธีการเยียวยา สร้างความสมานฉันท์การเจรจาอย่างมียุทธศาสตร์ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักสิทธิมมนุษยชน

3. เพื่อให้ผู้อบรมมีทักษะความเชี่ยวชาญ การเจรจาเพื่อเยียวยาและฟื้นคืนความสมานฉันท์ในสถานการณ์สะเทือนขวัญ และนำพุทธวิธีมาบูรณาการ โดยจัดอบรมตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. – 17 มี.ค. 2567





Thank to : https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_8133988
11 มี.ค. 2567 - 17:57 น.
105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "โถกหวาครัน ไม่ทุ่มพ่าน" ถอดรหัสบอกบุญวัดดัง มันแปลว่าอะไรนะหลวงพ่อ เมื่อ: มีนาคม 12, 2024, 06:48:29 am
.



"โถกหวาครัน ไม่ทุ่มพ่าน" ถอดรหัสบอกบุญวัดดัง มันแปลว่าอะไรนะหลวงพ่อ

วัดเลียบจัดให้! ขึ้นป้ายบอกบุญญาติโยมเป็นภาษาใต้ คนภาคอื่นอ่านแล้วเกาหัวไม่เข้าใจ แต่ถ้าคนใต้อ่านแล้วเก็ตทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดเลียบ อ.เมืองสงขลา ตอนนี้ใครที่ขับขี่รถผ่านไปมาหต้องสะดุดตากับป้ายภาษาใต้ที่ติดไว้ที่กำแพงวัด ตรงสี่แยกไฟแดง โดยมีข้อความเป็นภาษาใต้ว่า “พวงหรีดตัวอย่าง โถกหวาครัน ไม่ทุ่มพ่าน ได้บุญตรัน น้ะโยม เห็นด้วยและบอก ตต กันน้ะโยม”




หมายความว่า “ทางวัดมีความประสงค์ต้องการที่จะเปลี่ยนพวงหรีดที่ญาติโยมนำมาแสดงความเสียใจในงานศพให้กับผู้วายชนม์ โดยขอให้เปลี่ยนจากพวงหรีดมาเป็นต้นไม้อยู่ในกระถางและปักชื่อของผู้ที่มอบให้เนื่องจากราคาถูกกว่ามาก เสร็จงานแล้วนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ทิ้งเพ่นพ่านรวมทั้งได้บุญอีกด้วย หากเห็นด้วยขอให้บอกต่อๆกันไป”

พร้อมกับตัวอย่างของต้นไม้อยู่ในกระถางและปักชื่อของผู้ที่มอบให้เป็นตัวอย่างตั้งอยู่ใต้ป้ายให้ดูของจริง เรียกว่าใครที่ผ่านไปผ่านมาหน้าวัด ถ้าเป็นคนใต้อ่านแล้วก็เข้าใจได้ทันที แต่ถ้าคนภาคอื่นที่ไม่เข้าใจภาษาใต้ก็อาจจะงงๆ หรือไม่เข้าใจความหมายได้






พระครูนพกิจโกศล เจ้าอาวาสวัดเลียบ ซึ่งจะเป็นคนเขียนป้ายประชาสัมพันธ์กิจกรรมของวัดเองทั้งหมด และจะใช้ภาษาพูดภาษาถิ่นของชาวใต้มาเขียนให้อ่านได้เข้าใจกันง่ายๆ ไม่ต้องแปล ติดไว้ที่กำแพงหรือภายในวัดอยู่บ่อยๆ กล่าวว่า ตอนนี้ทางวัดมีแนวคิดว่าจะเปลี่ยนจากการใช้พวงหรีดที่ญาติโยมนำมาแสดงความเสียใจกับผู้วายชนม์บางครั้งมีเป็นจำนวนมากและราคาแพงอีกด้วย เมื่อเสร็จงานแล้ว ก็จะไม่รู้จะนำไปทิ้งไว้ที่ไหน มันเยอะเกินไป

จึงมีแนวคิดว่า หากเปลี่ยนจากพวงหรีด มาเป็นต้นไม้อยู่ในกระถาง ซึ่งราคาถูกกว่า และทางวัดยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ไปปลูกในบริเวณวัดเพื่อความร่มรื่นสวยงาม ก็จะดีกว่าอีกด้วย จึงได้ขึ้นป้ายสอบถามญาติโยมถึงแนวคิดข้อนี้ว่า เห็นด้วยไหม ซึ่งก็เป็นการได้บุญเช่นเดียวกัน แต่ราคาถูกกว่าพวงหรีดมาก เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีกทางหนึ่งด้วย





Thank to : https://www.amarintv.com/news/detail/209678
11 มี.ค. 67
106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อธิการบดี มจร. ลงนามประกาศผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2561 เมื่อ: มีนาคม 09, 2024, 08:03:00 am
.



อธิการบดี มจร. ลงนามประกาศผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2561

พระราชปริยัติกวี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ได้ลงนามในประกาศ มจร. เรื่องผลการคัดเลือกผลงานวิจัย และนักวิจัยดีเด่น ประจำปี 2561 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (1) แห่งพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.2540 และมติคณะกรรมการประจำสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์

โดยมีผลงานวิจัยระดับดีเด่น 3 ผลงาน ได้แก่
   1. ผลงานวิจัยเรื่อง ศึกษาวิเคราะห์แก่นธรรมจากชาดก โดยพระราชปริยัติกวี อธิการบดี มจร.
   2. ผลงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจับยึดและพลิกคัมภีร์ใบลานอัตโนมัติ โดยพระสุธีรัตนบัณฑิต ผอ.สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มจร.
   3. ผลงานวิจัยเรื่อง โรงเรียนผู้สูงอายุ : หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน โดยผศ.มงคลกิตติ์ โวหารเสาวภาคย์ มจร.วิทยาเขตแพร่

ระดับดีมาก 3 ผลงาน ได้แก่
   1. ผลงานวิจัยเรื่อง การส่งเสริมกระบวนการแห่งสัมมาชีพของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดพิจิตร โดยพระราชสิทธิเวที วิทยาลัยสงฆ์พิจิตร
   2. ผลงานวิจัยเรื่อง การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ได้เข้าร่วมโครงการการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยดร.จุฑามาศ วารีแสงทิพย์ บัณฑิตวิทยาลัย
   3. ผลงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาต้นแบบการปรับสภาพที่อยู่อาศัยเพื่อส่งเสริมสุขภาพชีวิตผู้สูงอายุ โดยดร.พุทธชาติ แผนสมบุญ คณะมนุษยศาสตร์ 

นอกจากนี้ยังมีการประกาศผลงานวิจัยระดับดี จำนวน 14 ผลงาน

@@@@@@@

สำหรับนักวิจัยระดับดีเด่น มี 3 ท่าน ได้แก่
   1. พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร บัณฑิตวิทยาลัย
   2. พระราชวชิรเมธี หน่วยวิทยบริการกำแพงเพชร
   3. รศ.ดร.เวทย์ บรรณกรกุล วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆษ

นักวิจัยระดับดีมาก จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
   1. นายสมคิด นันต๊ะ วิทยาลัยสงฆ์นครน่านฯ
   2. ผศ.ดร.เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง คณะสังคมศาสตร์
   3. ดร.จรัส ลีกา วิทยาเขตขอนแก่น

นอกจากนี้ ยังมีการประกาศรายชื่อนักวิจัยระดับดีอีก 14 รายด้วย





thank to : https://www.thairnews.com/อธิการบดี-มจร-ลงนามประก/
โดย thairnews - 06/05/2562
107  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แปลก!! วัดสร้างมา 81 ปี “ไม่มีโฉนด” ขณะชุมชนรอบวัดมีครบหมดแล้ว เมื่อ: มีนาคม 09, 2024, 07:50:57 am
.



แปลก.!! วัดสร้างมา 81 ปี “ไม่มีโฉนด” ขณะชุมชนรอบวัดมีครบหมดแล้ว

วันที่ 9 มี.ค. 67  วานนี้ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเป็นอนุกรรมาธิการศาสนาด้วย ได้โพสต์เฟชบุ๊คเล่าว่า  ตนเองได้ออกเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวโดยลูกสาวเป็นคนขับ จากที่พักในกรุงเทพมหานครเพื่อเดินทางไปยังวัดโคก สว่างตำบลห้วยแถลงอำเภอห้วยแถลงจังหวัดนครราชสีมา  ถึงวัดเวลา 12:00 น. ตามคำร้องขอของหลวงตาสอาด อริยะวังโส (สะอาด จันทร์ดี)

เมื่อไปถึงได้กราบนมัสการหลวงตาสะอาดและพระครูโอภาสเมธากร(จักรกฤษ์ สุเมโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านโคกสว่างซึ่งนั่งรออยู่แล้ว ได้สนทนาเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่วัดก็ทราบว่า วัดดังกล่าวเดิมเป็นที่ป่าช้า ชาวบ้าน มีมติตกลงยกให้เป็นวัด ที่ให้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 นับมาถึงวันนี้ก็ 81 ปี มีเนื้อที่ดิน 12 ไร่ วัดแห่งนี้เดิมไม่ได้อยู่ที่นี่อยู่ที่บ้านสวนหอมเป็นที่ดินที่ “ตระกูลจันดียกให้”  ที่วัดเดิมยกให้เป็นที่ของโรงเรียน สวนหอม จากที่เดิมยกให้โรงเรียนแล้วเลยวัดเกิดขึ้นสองวัดคือวัดอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า วัดป่าไชยมงคลซึ่งห่างออกไป 300 เมตรและวัดบ้านโคกสว่าง




ดร.นิยม เล่าต่ออีกกว่า พระครูโอภาสเมธากรบอกว่า ท่านไม่ใช่คนที่นี่ แต่ท่านเป็นคนมหาสารคามแต่มาอยู่อยู่ที่นี่ 30 ปีแล้วได้มาสร้างกุฎิวิหารอาคารหลายหลังจากที่เดิมมีเพียงหลังมี หอพระไตรปิฎกศาลาการเปรียญกุฎิอีกหลานหลังด้วย ปัจจุบันกำลังก่อสร้างพระอุโบสถ โดยไม่รอที่จะได้รับอนุมัติตั้งเป็นวัดมีพระจำพรรษา 4 รูป เคยส่งเรื่องไปขอทางวัดยันสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมาแล้วสองครั้ง

ครั้งแรกก็บอกว่า ผู้ว่าจะอนุมัติแล้วปรากฏว่า พอสำนักพุทธย้ายไปเรื่องก็เงียบไป ต่อมาส่งอีกครั้งหนึ่งในปัจจุบันผอ.สนง.พุทธคนปัจจุบัน ก็ได้รับการแจ้งว่ากำลังอนุมัติสองครั้งก็ต้องมีการตรวจสอบรังวัดพื้นที่วัดด้วยเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นจำนวนเงินมากพอสมควร ที่สำคัญยืนยันว่าที่ดินชาวบ้านบริเวณรอบวัดมีโฉนดหมดแล้ว

ขณะที่หลวงตาสะอาด  อริยะวังโส อายุ 86 ปี ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านยืนยันว่าที่ดินเดิมเป็นที่ดินของโยมแม่ยกให้วัดต่อ ตนเคยบวชเป็นสามเณรอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2495 มาก่อนก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมการขอตั้งวัดจึงยากนักทั้งที่เป็นความประสงค์ของชาวบ้าน จึงขอความเมตตาจากสำนักพุทธแห่งชาติช่วยดำเนินการให้ด้วย




ดร.มหานิยม กล่าวว่าตนเห็นสภาพของบริเวณวัดและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดแล้ววัดดังกล่าวน่าจะถูกต้องตามกฏหมายได้ ส่วนที่ได้สอบถามไปที่ผอ.สำนักพุทธจังหวัดนครราชสีมาท่านก็บอกว่า อยู่ระหว่างการประสานงานกับสำนักงานที่ดินจังหวัดรอคำตอบอยู่

ผมเป็นเป็นผู้ต้องการที่จะช่วยเหลือพระพุทธศาสนาพระสงฆ์ก็อยากให้วัดนี้เป็นวัดที่ถูกต้องไม่น่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ดินตามกฏหมาย 22484 เพราะบริเวณดังกล่าววัดมีเอกสารสิทธิ์หมดแล้ว เห็นควรที่จะนำเข้าสู่คณะกรรมธิการเพื่อช่วยเหลือวัดต่อไป





ขอบคุณ : https://thebuddh.com/?p=78017
108  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คณะสงฆ์ “ควรจำกัดที่พักสงฆ์” หรือไม่.!! เมื่อ: มีนาคม 09, 2024, 07:39:13 am



คณะสงฆ์ “ควรจำกัดที่พักสงฆ์” หรือไม่.!!

วันที่ 7 มีนาคม  2567  เฟชบุ๊ค Ch Kitti Kittitharangkoon ซึ่งเป็นเฟชบุ๊คส่วนตัวของ นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี ได้ตั้งคำถามว่า “คณะสงฆ์ : ควรจำกัดที่พักสงฆ์ หรือไม่!!“ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ที่พักสงฆ์ หมายถึง สถานที่พำนักพักพิงชั่วคราวของพระภิกษุสามเณร ซึ่งยังมิได้เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่พักสงฆ์ มิใช่เป็นสำนักสงฆ์หรือวัด ซึ่งได้รับการอนุญาตตั้งเป็นวัดถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น และไม่มีสิทธิใช้คำว่า “วัด” หรือ “สำนักสงฆ์” นำหน้าสถานที่ ใช้ไปก็ไม่ถูกต้อง

ที่พักสงฆ์ หากดำเนินการขอสร้างวัดและขอตั้งวัดไปตาม “กฎกระทรวง การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย และการยุบเลิกวัด การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา และการยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา พ.ศ. 2559 ” เมื่อได้รับอนุญาตให้สร้างวัดและอนุญาตการตั้งวัดถูกต้องตามลำดับแล้ว แม้จะไม่มีวิสุงคามสีมาหรือโบสถ์ ก็จัดเป็นสำนักสงฆ์หรือวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย






ทีนี้มากล่าวถึงเรื่อง คณะสงฆ์ควรจำกัดที่พักสงฆ์ หรือไม่.?

ที่ผู้เขียนตั้งประโยคคำถามขึ้นมาข้างต้น ไม่ได้มีเจตนาที่ ไม่อยากให้ชาวพุทธสร้างและตั้งวัดแต่อย่างใด ให้แยกประเด็นนะครับ อย่าเพิ่งดราม่า แต่ที่ยกขึ้นมา เพราะในปัจจุบัน มีที่พักสงฆ์ที่คณะสงฆ์ยังไม่ได้ประกาศให้เป็นที่พักสงฆ์ และหรือประกาศเป็นที่พักสงฆ์แล้ว ปรากฎมีพระภิกษุละเมิดพระวินัยและหรือไม่เอื้อเฟื้อต่อกฎมหาเถรสมาคม มติ ประกาศ คำสั่ง หรือระเบียบมหาเถรสมาคม ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อกฎหมายบ้านเมือง อยู่เนืองๆ

อีกทั้งบางแห่งไม่ปรากฎว่ามีหัวหน้าที่พักสงฆ์กำกับดูแลแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนผู้เขียนเกิดความรู้สึกว่า คณะสงฆ์ควรจำกัดการมีขึ้นของที่พักสงฆ์ ที่ไม่ได้มีเจตจำนงค์ว่า “จะสร้างวัดขึ้นมาในอนาคต” ดีกว่ามั้ย

“แหล่งข่าว” จากคณะอนุกรรมาธิการศาสนาท่านหนึ่งระบุว่า ปัจจุบัน ที่พักสงฆ์เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ สวนทางกับจำนวนพระภิกษุที่ลดลง โดยเฉพาะการเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ป่า ที่ดินของรัฐ โดยไม่ถูกต้อง ไม่ได้รับอนุญาตของพระสงฆ์  รัฐบาลหลายรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา แต่ปัญหามันแก้ไม่จบไม่สิ้น

@@@@@@@

จากข้อมูลของภาครัฐระบุว่าตอนนี้มีที่พักสงฆ์ทั่วประเทศมากกว่า 1 หมื่นแห่ง แต่เท่าที่เรามีข้อมูลปัจจุบันมีที่พักสงฆ์อยู่ในเขตที่ดินของรัฐ เช่น เขตอุทยาน เขตป่าไม้ สปก. เป็นต้น ประมาณ 8 พันแห่ง ซึ่งการเข้าไปอาศัยอยู่แบบนี้ ส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย ทางคณะอนุกรรมาธิการศาสนาก็พยายามช่วยเจรจาให้หน่วยงานภาครัฐขอขึ้นทะเบียนแล้วขออนุโลมให้อยู่ได้ 15 ไร่  ซึ่งทางหน่วยงานรัฐท่านก็ยอมให้ เพียงแต่ว่าหากจะสร้างอะไรเพิ่มเติมต้องบอกเขาด้วย

“ตอนนี้เท่าที่ทราบที่พักสงฆ์จากจากเกือบ 8 พันแห่ง ยังแก้ปัญหาได้ไม่ถึง 3 พันแห่ง อันนี้เรายังไม่ได้นับรวม สำนักสงฆ์หรือวัดที่มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับที่ดินรัฐ ที่ร้องมาที่คณะอนุกรรมาธิการศาสนา ขอให้แก้ปัญหาซึ่งมีทุกสัปดาห์อีกด้วย การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่จังหวัดสกลนคร ที่สั่งการว่าจะแก้ปัญหาที่ดินวัดทั่วประเทศ ตอนนี้ กำลังรอดูว่าทางรัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไร เพราะปัญหาที่ดินวัด สำนักสงฆ์ หรือ ที่พักสงฆ์ กลายเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งของคณะสงฆ์ไปแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งแก้ปัญหา ไม่ให้บานปลายในอนาคต..”






Thank to : https://thebuddh.com/?p=78011
109  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ที่มา : บทสวด "มหากรุณาธารณีสูตร" ความเป็นมาแห่ง 'มหามนตรา' เมื่อ: มีนาคม 08, 2024, 02:35:15 pm
.



บทสวดเจ้าแม่กวนอิม ที่มาบทสวด "มหากรุณาธารณีสูตร" ความเป็นมาแห่ง "มหามนตรา"| สวดมนตร์นี้คืนละ ๗ จบ ก็จะดับมหันตโทษจำนวนร้อยพันหมื่นล้านกัลป์ได้

"มหากรุณาธารณี" เป็นบทสวดสำคัญในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เป็นธารณีประจำองค์พระอวโลกิเตศวร ปางพันหัตถ์พันเนตร มีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายานภาษาสันสกฤตของอินเดีย พระภควธรรมเถระชาวอินเดียนำเข้าไปแปลในประเทศจีน สมัยราชวงศ์ถัง และมีฉบับแปลเป็นภาษาทิเบตด้วย

"มหากรุณาธารณี" เป็นมนตร์อันเกิดจากความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระอวโลกิเตศวรที่มีต่อสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ในโลก ในคัมภีร์กล่าวว่า ธารณีนี้มีชื่อต่างๆ กัน เช่น มหาไวปุลยสัมปุรณธารณี, อกิญจนมหากรุณาธารณี, อายุวัฒนธารณี, วิกรมอุตตรภูมิธารณี, มโนมัยอิศวรธารณี เป็นต้น อักษรหนึ่งตัวและประโยคหนึ่งในบทธารณีมนตร์นี้ ล้วนขยายเป็นอรรถธรรม อันจะนำเข้าถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ

 
@@@@@@@

ประวัติ
 
ในประเทศไทยธารณีสูตรฉบับนี้ได้แปลโดยหลวงจีนคณาจีนพรต (เย็นบุญ) เจ้าอาวาสวัดทิพย์วารีวิหาร แขวงบ้านหม้อ เขตพระนคร กรุงเทพ , ในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน คือ คัมภีร์ “สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตวไวปุลยสัมปุรณอกิญจนมหากรุณาจิตธารณีสูตรมหากรุณามนตระ” นำเข้าไปแปลในจีนโดยพระภควธรรม ชาวอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงบทสวดธารณีแห่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร คือ มหากรุณาหฤทัยธารณี อันจะยังอานิสงส์ความศักดิ์สิทธิ์ให้บังเกิดขึ้นแก่ผู้สวดนานัปการ
 
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พันหัสต์พันเนตร รูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรมีอยู่หลายปาง ทั้งภาคบุรุษ ภาคสตรี ไปจนถึงปางอันแสดงลักษณาการที่ดุร้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปราบมาร คือ สรรพกิเลส แต่ปางที่สำคัญปางหนึ่งคือ ปางที่ทรงสำแดงพระวรกายเป็นพันหัสถ์พันเนตร

ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏใน "พระสูตรสันสกฤต" คือ "สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตวไวปุลยสัมปุรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตรมหากรุณามนตร์" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "มหากรุณาธารณีสูตร" (大悲咒) นำเข้าไปแปลในจีน โดยพระภควธรรม ชาวอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึง บทสวดธารณีแห่งพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ คือ “มหากรุณาหฤทัยธารณี”

@@@@@@@

เนื้อหากล่าวถึง เมื่อครั้งที่พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โปตาลกะบรรพต ในกาลนั้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้ขอพุทธานุญาตแสดงธารณีมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ไว้ เพื่อเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ ซึ่งธารณีนี้ย้อนไปในครั้งกาลสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า "พระสหัสประภาศานติสถิตยตถาคต" พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสธารณีนี้ แก่พระอวโลกิเตศวร และตรัสว่า

    “สาธุ บุรุษ เมื่อเธอได้หฤทัยธารณีนี้ จงสร้างประโยชน์สุขสำราญแก่สัตว์ทั้งหลายในกษายกัลป์แห่งอนาคตกาลโดยทั่วถึง”

ตามเนื้อความของพระสูตรได้กล่าวว่า ในขณะนั้น เมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้สดับมนตร์นี้แล้ว ก็ได้บรรลุถึงภูมิที่ ๘ แห่งพระโพธิสัตว์เจ้า จึงได้ตั้งปณิธานว่า

    “ในอนาคตกาล หากข้าพเจ้าสามารถยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ได้ ขอให้ข้าพเจ้ามีพันเนตรพันหัตถ์ในบัดดล”

เมื่อท่านตั้งปณิธานดังนี้แล้ว พลันก็บังเกิดมีพันหัสถ์พันเนตรขึ้นทันที และเพลานั้นพื้นมหาพสุธาดลทั่วทศทิศก็ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น พระพุทธเจ้าทั้งปวงในทศทิศก็เปล่งแสงโอภาสเรืองรองมาต้องวรกายแห่งพระโพธิสัตว์ และฉายรัศมีไปยังโลกธาตุต่าง ๆ อย่างปราศจากขอบเขต

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า เนื่องจากปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ หากเหล่ามนุษย์และทวยเทพ ตั้งจิตสวดมหากรุณาธารณี มนตร์นี้คืนละ ๗ จบ ก็จะดับมหันตโทษจำนวนร้อยพันหมื่นล้านกัลป์ได้ หากเหล่ามนุษย์ทวยเทพสวดคาถามหากรุณาธารณีนี้ เมื่อใกล้ชีวิตดับ พระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ ทิศจะยื่นพระกรมารับให้ไปอุบัติในพุทธเกษตรทุกแห่ง
 
@@@@@@@

จากเรื่องราวในพระสูตรนี้ทำให้เกิดการสร้างรูปพระโพธิสัตว์พันหัสถ์พันเนตร อันแสดงถึงการทอดทัศนาเล็งเห็นทั่วโลกธาตุและพันหัสต์ แสดงถึงอำนาจในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ บทสวดในพระสูตรนี้เป็นภาษาสันสกฤตผสมภาษาท้องถิ่นโบราณในอินเดีย ที่หลงเหลือมาในปัจจุบันมีหลายฉบับที่ไม่ตรงกัน ทั้งในฉบับทิเบต ฉบับจีนซึ่งมีทั้งของพระภควธรรม พระอโมฆวัชระ ฯลฯ

ต่อมาได้มีการค้นคว้าและปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์โดย Dr.Lokesh Chandra และตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ.1988 เป็นบทสวดสำคัญประจำองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่พุทธศาสนิกชนมหายานสวดกันอยู่โดยทั่วไป
 
บทสวดนี้เป็นที่นับถือและสวดบูชาพระอวโลกิเตศวรกันอยู่ทั่วไป ในหมู่พุทธศาสนิกชน ตั้งแต่อินเดียเหนือ เนปาล ทิเบต ไปจนถึงจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี มหากรุณาธารณีนี้เป็นบทสวดของพระอวโลกิเตศวรปางพันหัตถ์พันเนตร ในคัมภีร์ระบุว่า ผู้ที่เลื่อมใสถวายสักการะต่อพระอวโลกิเตศวรอยู่เป็นเนืองนิตย์ ตั้งใจสวดสรรเสริญพระนาม ย่อมจะถึงพร้อมในกุศลทั้งปวง สามารถยังวิบากกรรมอันมิมีประมาณให้สิ้นสูญ ครั้นเมื่อวายชนม์จะไปอุบัติ ณ สุขาวดีโลกธาตุแห่งองค์พระอมิตาภพุทธเจ้า

 


คาถาสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิม
 
บทสรรเสริญพระคุณ นะโมกวงซิอิม ผ่อสัก
 
    นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโคว่ กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ
    กวงสี่อิมผู่สัก (กราบ)
    นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโคว่ กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ
    กวงสี่อิมผู่สัก (กราบ)
    นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโคว่ กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ
    กวงสี่อิมผู่สัก (กราบ)

นำโมฮูก นำโมหวบ นำโมเจ็ง นำโมกิวโคว่ กิวหลั่ง กวงสี่อิมผู่สัก ทั่งจี้โต
โอม เกียล้อฮวดโต เกียล้อฮวดโต เกียล้อฮวดโต ล้อเกียฮวดโต ล้อเกียฮวดโต
ซาผ่อออ เทียงล้อซิ้ง ตี่ล้อซิ้ง นั้งลี่หลั่ง หลั่งลี่ซิ้ง เจ็กเฉียก ใจเอียง ห่วยอุ่ยติ๊ง
นำโมม่อออป่อเยี๊ยปอล้อบิ๊ก (กราบ)

บทสวดมนต์ฮ่งไป่กวงอิม(สรรเสริญกิตติคุณพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม)

    ม้อเอี่ยซาผ่อออ จี้ซิมกุยเหม่งลี่
    กวงอิมผ่อสักไต่ฉื่อปุย กิ่วโต่วจงเซ็งบ่อจิงตี้
    จ๋อชิ่วจิบปั๊งกำโหล่วจุ้ย อิ๋วชิ่วจิบกีเอี่ยงลิวกี
    เท้าเจี่ยเต็งจุงอยู่ไหล่ฮุก เข้าตังเสี่ยเหนี่ยมออหนี่ท้อ

    อู่นั้งเหนียมติกกวงอิมจิ่ว ฮวยแคฮ่วยจ่อแปะโหน่ยตี๊
    เจียวเหนี่ยมกวงซี่อิม หมอเหนียมกวงซี่อิม
    จี่เต็กลิ้มตังกวงซี่อิม แปะโหน้ยตี๊ตังกวงซี่อิม
    ฉิ่มเซียกิ้วโค่วกวงซี่อิม แปะโชยบ่วงเอ็กกวงซี่อิม

    หกต่อฮุ้งตังคงลี่หิ่ง หกต่อกังโอ้วหลั่งหลีชิ้ม
    หกต่อเอี้ยงกังกิ้วจิกโค่ว หกต่ออิมฮู่โต่วจงเซ็ง
    หยิกยิกสี่ซี้ไหล่กิ้วโค่ว สี่ซี้กิ้วโค่วปุกหลี่ซิง
    ง้อกิมกี๋ซิ่วไป้กวงอิม หยุ่ยหงวงกวงอิมกั้งไหล่ลิ้ม

    ไต่ฉื่อปุยกิ้วโค่วหลั่ง นำมอเหล่งก้ำกวงซี่อิม
    ผ่อสักหม่อฮอสัก นำมอออนี้ถ่อหุก
    นำมอออนี้ถ่อหุก นำมอออนี้ถ่อหุก

คำแปล

ขอนมัสการพระรัตนตรัยด้วยจิตตั้งมั่นในหลักของศาสนาที่จะเข้าถึงธรรมะ ขอน้อมระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมผู้ทรงมีมหาเมตตาเป็นอนันต์ที่ทรงช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏะโดยไม่มีขอบข่าย พระหัตถ์ซ้ายของพระองค์ทรงถือแจกันน้ำอมฤตที่สามารถปราบมารได้ และพระหัตถ์ขวาทรงถือกิ่งหลิวอันศักดิ์สิทธิ์ไว้ สำหรับประพรมน้ำอมฤต บนเศียรทรงสวมรัตนมาลาที่มีสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงหมั่นสวดมนต์ภาวนาระลึกถึงพระพุทธเจ้าอมิตาภะอยู่เสมอ ผู้ใดหมั่นภาวนาพระคาถาบูชาพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมจนขึ้นใจย่อมที่จะพ้นจากทุกข์ร้อน และได้รับความร่มเย็นเหมือนดั่งความเย็นชื่นแห่งสระบัวขาว

ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมเสมอทั้งเวลาเช้าและเย็น ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ทรงเร้นพระวรกายอยู่ในป่าไผ่ ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ทรงประทับอยู่บนดอกบัวขาวในโบกขรณี ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ทรงบำบัดทุกข์ตามเสียงพร่ำเรียกของสัตว์โลก

ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ทรงอยู่ห่างเราเป็นหมื่นเป็นแสนโยชน์บางครั้งพระองค์จะทรงปรากฏพระวรกายอยู่บนปุยเมฆเพื่อช่วยเหลือเรา บางครั้งพระองค์จะทรงดั้นด้นในท่ามกลางคลื่นลมของแม่น้ำและมหาสมุทร เพื่อทรงค้นหาและช่วยเหลือเรา บางครั้งพระองค์จะทรงบำบัดทุกข์ให้สัตว์โลกในมนุษยโลก บางครั้งพระองค์จะทรงช่วยเหลือสัตว์ในนรกโลกทุกๆวันทุกๆเวลา

ขออ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จมาทรงช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่เราทุกๆเวลา ขอให้พระองค์เสด็จมาอยู่ใกล้ๆเราเพื่อทรงขจัดทุกข์ ในวโรกาสนี้ข้าน้อยขอสักการบูชาพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมด้วยความเคารพยิ่ง และหวังว่ากระแสแห่งการสักการบูชานี้ คงจะกระทบถึงพระองค์ให้ทรงรับทราบและเสด็จมาโปรดข้าน้อยทั้งหลายบ้าง ขอน้อมสักการในน้ำพระทัยอันล้ำลึกของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระมหาโพธิสัตว์ซึ่งขจัดทุกข์ให้แก่สัตว์โลกได้นะโมอนันตพุทธะ

 


บทสวดมหากรุณาธารณีสูตร

โชยชิ่ว โชยงั่ง บ่อไหง๋ ไต่ปุยซิมทอลอ นีจิ่ว (๓ จบ)
ปึงซือออนีทอ ยูไล้ (๓ จบ)

    - นำมอ ฮอลาตัน นอตอลา เหย่ เย
    - นำมอ ออลีเย ผ่อลูกิดตีซอปอลาเย
    - ผู่ทีสัตตอพอเย หม่อฮอสัตตอพอเย
    - หม่อ ฮอเกียลูนี เกียเยงัน สัตพันลาฮัวอี

    - ซูตัน นอตันเซ
    - นำมอ สิดกิด ลีตออีหม่งออลีเย
    - ผ่อลูกิด ตีสิด ฮูลาเลงถ่อพอ
    - นำมอ นอลา กินซี

    - ซีลี หม่อฮอพันตอซาเม
    - สะพอ ออทอ เตาซีพง
    - ออซีเย็น สะพอ สะตอ นอมอ พอสะตอ
    - นอมอ พอเค มอฮัว เตอเตา

    - ตันจิต ทองัน ออพอ ลูซี
    - ลูเกียตี เกียลอตี อีซีลี
    - หม่อฮอ ผู่ทีสัตตอ สัตพอ สัตพอ
    - มอลา มอลา มอซี มอซี ลีทอยิน

    - กีลูกีลูกิดมง ตูลู ตูลู ฟาเซเยตี
    - หม่อ ฮอฮัว เซเยตี ทอลา ทอลา
    - ตีลีนี สิด ฮูลาเย เจลา เจลา มอมอ ฮัวมอลา หมกตีลี
    - อีซี อีซี สิดนอ สิดนอ ออลาซัน ฮูลาเซลี

    - ฮัวซอ ฮัวซัน ฮูลา เซเย
    - ฮูลู ฮูลู มอลา ฮูลู ฮูลู ซีลี ซอลา ซอลา
    - สิดลี สิดลี ซูลู ซูลู ผู่ถี่เย ผู่ถี่เย ผู่ถ่อเย ผู่ถ่อเย
    - มีตีลีเย นอลา กินซี ตีลีสิด นีนอ

    - ผ่อเย มอนอ ซอผ่อฮอ สิดถ่อเย ซอผ่อฮอ
    - หม่อฮอ สิดถ่อเย ซอผ่อฮอ สิดทอยีอี
    - สิดพันลาเย ซอผ่อฮอ นอลากินซี ซอผ่อฮอ
    - มอลานอลา ซอผ่อฮอ สิดลาเซง ออหมกเคเย

    - ซอผ่อฮอ ซอผ่อหม่อฮอ ออสิดถ่อเย ซอผ่อฮอ
    - เจกิดลา ออสิดถ่อเย ซอผ่อฮอ ปอทอมอกิดสิดถ่อเย
    - ซอผ่อฮอ นอลากินซี พันเคลาเย ซอผ่อฮอ
    - มอพอลี เซงกิดลาเย ซอผ่อฮอ

    - นำมอห่อลาตัน นอตอลาเหย่เย
    - นำมอออลีเย ผ่อลูกิตตี ชอพันลาเย ซอผ่อฮอ
    - งัน สิดตินตู มันตอลา ปัดถ่อเย ซอผ่อฮอ


@@@@@@@

คำแปลและความหมาย โดยย่อ

1. นำมอ ห่อลาตันนอตอลาเหย่เย อ่านว่า นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เหย่ เย
   นำ มอ – ความนอบน้อม
   ฮอ ลา ตันนอ – ความเป็นรัตนะ
   ตอ ลา เหย่ – 3
   เย – นมัสการ

ความหมาย : ขอนอบน้อมนมัสการพระไตรรัตน์ทั้งสาม หมายถึง การน้อมเอาพระไตรสรณคมน์, พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ผู้ต้องการปฏิบัติให้ถึงพระองค์ จะต้องสาธยายมนตราด้วยความมีเมตตากรุณาและเปี่ยมด้วยศรัทธา ไม่ควรสวดด้วยเสียงอันดัง เกรี้ยวกราด และเร่งร้อน

2. นำมอ ออหลี่เย อ่านว่า นำ มอ ออ ลี เย
    นำ มอ – ความนอบน้อม
    ออ ลี – องค์อริยะ
    เย – นมัสการ

ความหมาย :  ขอนอบน้อมนมัสการแด่องค์พระอริยะ ผู้ห่างไกลจากบาปอกุศล , วัตถุประสงค์แห่งบทนี้ พระโพธิสัตว์ทรงสั่งสอนชาวโลกให้ปฏิบัติทางจิตเป็นมูลฐาน พระสัทธรรมทั้งหลายล้วนกำเนิดมาแต่จิต เหตุนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความชัดแจ้งแห่งจิต และมองเห็นสภาวะแห่งตน จึงจะสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อไม่แจ้งชัดในจิตก็ไม่สามารถเห็นสภาวะแห่งตน หากแต่จิตเป็นอจล มีความมั่นคง ก็สามารถเดินทางสู่พระนฤพานได้

3. ผ่อลูกิตตี ชอปอลาเย อ่านว่า ผ่อ ลู กิด ตี ซอ ปอ ลา เย
   ผ่อ ลู กิด ตี – การเพ่ง พิจารณา อีกนัยหนึ่งคือความสว่าง
   ซอ ปอ ลา – เสียงของโลกอันเป็นอิสระ
   เย – นอบน้อมนมัสการ

ความหมาย : ขอนอบน้อมคารวะแด่องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้เพ่งเสียงแห่งสรรพสัตว์ผู้ยาก , พระโพธิสัตว์ผู้สงสารชีวิตแห่งสรรพสัตว์ผู้ตกอยู่ในกองทุกข์ เขาเหล่านั้นล้วนมีความทุกข์อันเกิดจากการหลงลืมสภาวะเดิมของตน จำต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ พระองค์พิจารณาตามนี้ จึงเกิดเมตตาจิตที่จะโปรดสัตว์

4. ผู่ที สัตตอผ่อเย อ่านว่า ผู่ ที สัต ตอ พอ เย
   ผู่ ที (โพธิ) – ตรัสรู้
   สัต ตอ (สัตว์) – การมีชีวิต อารมณ์
   พอเย – น้อมคารวะ

ความหมาย : ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้ให้ความตรัสรู้แก่ทุกชีวิต , หากตั้งใจในธรรม นอบน้อมต่อความแจ้งในสภาวะเดิม ก็จะถึงความหลุดพ้น

5. หม่อฮอสัตตอผ่อเย อ่านว่า หม่อ ฮอ สัต ตอ พอ เย
    หม่อ ฮอ – ใหญ่มาก
    สัต ตอ – สัตว์โลก หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง ผู้กล้าหาญ
    พอ เย – น้อมคารวะ

ความหมาย : เมื่อน้อมคารวะผู้กล้าหาญ ก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้น , มวลสรรพสัตว์ในโลกอันไพศาล ถ้ารู้สึกตัวแล้วลงมือปฏิบัติ ล้วนถึงความหลุดพ้นได้

6. หม่อฮอเกียลูหนี่เกียเย อ่านว่า หม่อ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย
    หม่อ ฮอ -ใหญ่มาก
    เกีย ลู – กรุณา
    นี เกีย – จิต
    เย – คารวะ

ความหมาย : ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้มีมหากรุณาจิต

7. งัน (โอม) อ่านว่า งัน
    งัน (โอม) – นอบน้อม

ความหมาย : ขอนอบน้อม, บูชาถวายแด่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความเมตตากรุณาไม่มีประมาณ นำสัทธรรมอันเป็นความดับสูญโดยแท้จริง ปลุกให้มนุษย์ฟื้นคืนสภาวะเดิมที่มีอยู่ เข้าถึงสัทธรรมอันบริสุทธิ์

8. สัตพันลาฮัวอี อ่านว่า สัต พัน ลา ฮัว อี
    สัต พัน ลา – อิสระ
    ฮัว อี – อริยะ

ความหมาย : องค์อริยะผู้อิสระ ผู้มีกายใจอันบริสุทธิ์สะอาด , กายใจ จะบริสุทธิ์ได้ ต้องตั้งอยู่ในสัจธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีล

9. ซูตันนอตันแซ อ่านว่า ซู ตัน นอ ตัน เซ

ความหมาย : การปฏิบัติธรรมต้องถือความสัจเป็นพื้นฐาน ใช้ความเพียรเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสู่อริยสัจ , หากการปฏิบัติธรรมไม่ประกอบด้วยความสัจ ก็จะไม่พบหนทางสู่ความสำเร็จ เนื่องจากความสัจนั้นเป็นธรรมที่ปราศจากการหลอกลวง จิตจึงรวมเป็นหนึ่งได้ เมื่อมีความสัจ ก็จะมีความเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็จะมองเห็นความปลอดโปร่ง เมื่อปลอดโปร่งก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง และกลับกลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

10. นำมอสิดกิตหลี่ตออีหม่งออหลี่เย อ่านว่า นำ มอ สิด กิด ลี ตอ อี หม่ง ออ ลี เย
     นำ มอ – นอบน้อม
     สิด กิด ลี ตอ อี หม่ง – ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมได้รับความคุ้มครองจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
     ออ ลี เย – การปฏิบัติธรรมจะรีบร้อนให้ได้ผลในทันทีย่อมเป็นไปไม่ได้

ความหมาย : ฉะนั้นผู้ที่จะน้อบน้อมเข้าถึงองค์อริยะ จำต้องปฏิบัติธรรมโดยมานะพากเพียร มีจิตใจมั่นคงเป็นหนึ่ง จะกระทำโดยเร่งรีบไม่ได้  ต้องทำใจให้ว่างเข้าถึงองค์แห่งพระธรรมคัมภีร์ หมั่นในการปฏิบัติตามหลักธรรม มีความคิดดำริมั่นที่จะก้าวข้ามห้วงแห่งโอฆะ คิดจะกระทำประโยชน์แก่สรรพชีวิต

@@@@@@@

11. ผ่อลูกิตตีซือฮูลาเลงถ่อพอ อ่านว่า ผ่อ ลู กิด ตี สิด ฮู ลา เลง ถ่อ พอ
     ผ่อ ลู กิด ตี – จิตต้องกับธรรม
     สิด ฮู ลา – ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระ
     เลง ถ่อ พอ – เนื่องด้วยสำเร็จในมรรคผล

ความหมาย : ผู้ปฏิบัติต้องจงใจมุ่งไปข้างหน้า ฝึกฝนให้กายและจิตรวมเป็นหนึ่ง (เอกัคคตา)

12. นำมอนอาลากินชี อ่านว่า นำ มอ นอ ลา กิน ซี
     นำ มอ – นอบน้อม
     นอ ลา กิน ซี – การคุ้มครองคนดี นักปราชญ์ นักปฏิบัติ

ความหมาย : ด้วยความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ ทรงย้ำเตือนให้ยึดถือพระไตรสรณาคมน์ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในมนุษยธรรม ทำตนเป็นตัวอย่างเพื่อให้สาธุชนรุ่นหลังได้รับรู้ เป็นแบบอย่างและเจริญรอยตามสาธุชน ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธองค์และพระธรรมยิ่งต้องมีความเมตตากรุณา จิตและโพธิจิตเพื่อโปรดสัตว์ รักษาพระธรรมยิ่งกว่าชีวิตและเผื่อแผ่ทั่วไปไม่มีประมาณ

13. ซีหลี่มอฮอพันตอซาแม อ่านว่า ซี ลี หม่อ ฮอ พัน ตอ ซา เม
     ซี ลี หม่อ ฮอ – ความเมตตากรุณาอันไพศาล สามารถบำบัดทุกข์บำรุงสุขได้
     พัน ตอ ซา เม – ผู้มีบุญวาสนาจะได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้า มารทั้งหลายไม่สามารถมารบกวนได้

ความหมาย : พระโพธิสัตว์เล็งเห็นว่า ชาวโลกถือเอาความรวย, มีชื่อเสียง, ศักดินา เป็นที่นิยมศรัทธา อันเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ พระองค์จึงเตือนจิตให้มนุษย์ จงผ่อนใจในทางโลก โน้มน้าวจิตใจมาในทางมรรคผล เมื่อจิตว่างแล้ว พระสัทธรรมอันพิสุทธิ์ก็จะเจริญขึ้น

14. สัตผ่อออทอเตาซีพง อ่านว่า สะ พอ ออ ทอ เตา ซี พง
     สะ – การได้เห็น
     พอ – เสมอภาค
     ออ – พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์
     ทอ เตา ซี พง – ธรรมไม่มีขอบเขต

ความหมาย : ทุกคนที่ปฏิบัติสามารถรู้ได้เห็นได้ และบรรลุสู่พระพุทธภูมิได้โดยเสมอกัน

15. ออซีเย็น อ่านว่า ออ ซี เย็น

ความหมาย : ผู้ที่ทำความดีย่อมได้รับการชมเชย ผู้ทำบาปจะต้องสำนึกและขอขมาโทษ
 
16. สัตผ่อสัตตอ นอมอผ่อสัตตอ นอมอผ่อเค อ่านว่า สะ พอ สะ ตอ นอ มอ พอ สะ ตอ นะ มอ พอ เค
     สะ พอ สะ ตอ – พุทธธรรมอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุด สรรพสัตว์ในโลกนี้ล้วนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้
     นอ มอ พอ สะ ตอ – พุทธธรรมเป็นความเสมอภาค มิได้แบ่งแยกเป็นสูงหรือต่ำ
     นะ มอ พอ เค – พุทธธรรมมีความไพศาล ผู้ปฏิบัติตามจะสามารถระงับภยันตรายทุกสิ่ง

ความหมาย : ไม่ว่านักปราชญ์หรือผู้โง่เขลา เบาปัญญา คนหรือสัตว์ ล้วนสามารถหลุดพ้นได้ ถ้าเขาเหล่านั้นปฏิบัติธรรมด้วยความสัจ

17. มอฮัวเตอเตา อ่านว่า มอ ฮัว เตอ เตา

ความหมาย : ผู้ปฏิบัติต้องถือพระสัทธรรมเป็นสูญ ไม่ข้องแวะ ไม่ติดในรูป ไม่ยึดในจิต ถือเอาสัจธรรมเป็นใหญ่ และต้องละความวิตกกังวล กำจัดความโกรธ ความโลภ ความหลง โดยใช้หลักแห่งปัญญาดับกิเลสให้จิตสงบ เป็นอยู่ในโลกนี้โดยสันติสุข

18. ตันจิตทอ อ่านว่า ตัน จิต ทอ

ความหมาย : ความศรัทธาจริงอันต่อเนื่องกัน จิตต้องตรงกับพระธรรม ห้ามมิให้มีความคิดทางโลกเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ เนื่องจากว่าหากปล่อยให้ความคิดทางโลก เกิดขึ้นในจิต กาย ใจ ก็จะไม่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดการขัดแย้งกับพระธรรม ไม่อาจจะพบความสันติสุขได้

19. งันออผ่อลูซี อ่านว่า งัน ออ พอ ลู ซี
     งัน – นอบน้อม เป็นบทนำ
     ออ พอ ลู ซี – เป็นพระโพธิสัตว์ หมายถึง พระธรรมคือ ความสะอาดจิตสะอาดสดใสไร้ราคะ

ความหมาย : ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวต่อการก่อกวนของเหล่ามาร(กามกิเลส) หากสามารถตั้งจิตข่มจิตสำรวมกาย วาจา และจิต ละทิ้งโลกาวิสัยทั้งหมดก็จะเข้าถึงพุทธสภาวะที่มีอยู่เดิม , ถ้าทำให้จิตมีความสงบนิ่งอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะมีความสำเร็จในธรรมโดยมิรู้ตัว , พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์เจ้าได้หลุดพ้นในขณะที่อยู่ในโลกอันมากล้นไปด้วยกิเลสนี้

20. ลูเกียตี อ่านว่า ลู เกีย ตี

ความหมาย : เป็นโลกนาถ มีความเป็นอิสระ , มีกุศลจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มัวหมอง มีรัศมีสว่างรอบกาย และสามารถร่วมกับดินฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รักษาความมีกุศลจิต อย่าทำลายตนเอง อย่าหลงผิดเป็นชอบ สิ่งสำคัญ ต้องรักษาจิตให้บริสุทธิ์


@@@@@@@

21. เกียหล่อตี อ่านว่า เกีย ลอ ตี

ความหมาย : ผู้มีความกรุณา ผู้ปลดปล่อยทุกข์ เป็นผู้มีจิตในทางธรรม ดำรงมรรคมั่นคง มีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งใหญ่ เมื่อจิตมีความสงบก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นดี

22. อีซีหลี่ อ่านว่า อี ซี ลี

ความหมาย : กระทำตามโอวาท อย่ามีจิตหลงผิด

23. หม่อฮอผู่ทีสัตตอ อ่านว่า หม่อ ฮอ ผู่ ที สัต ตอ
     หม่อ ฮอ – ความไพศาลของพุทธธรรม ทุกคนน้อมนำไปปฏิบัติได้
     ผู่ที – เห็นโลกนี้เป็นสูญ
     สัต ตอ – การเน้นปฏิบัติอนัตตธรรม มองเห็นสรรพธรรมเป็นสูญ

ความหมาย : มองความรุ่งเรืองแห่งลาภยศ สรรเสริญเป็นสูญ มองให้เห็นเป็นเงาลวง ทำจิตใจร่างกายให้หมดจด

24. สัตพอสัตพอ อ่านว่า สัต พอ สัต พอ

ความหมาย : พุทธธรรมมีความเสมอภาค อีกทั้งยังอำนวยประโยชน์สุขแก่สัตว์โลก ผู้ที่มีปัจจัยแห่งบุญย่อมได้รับความสุข

25. มอลามอลา อ่านว่า มอ ลา มอ ลา

ความหมาย : ผู้ปฏิบัติจะได้มีมโนรถแก้วมณี แก้วมณีนี้แจ่มใสไม่มีอะไรขัดข้อง , ความคิดคำนึงเกิดมาแต่จิต จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานแห่งบุญและบาป ผู้ปฏิบัติต้องกำจัดความคิดอันเป็นอกุศล ความคิดฟุ้งซ่าน ระงับความวิตกกังวล เพียรพยายามเสาะหาสัจธรรม ชำระล้างอายตนะภายในให้สะอาดพิสุทธิ์ ละความห่วงใยใดๆให้สิ้นเชิง

26. มอซีมอซี ลีถ่อเย็น อ่านว่า มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน
     มอ ซี – ความมีอิสระทันที ผู้ปฏิบัติไม่มีเวลาใดที่ไม่เป็นอิสระคือมีอิสระทุกเมื่อ
     ลี ทอ ยิน – การปฏิบัติกระทั่งสำเร็จวิชชาธรรมกาย มีอาสน์ดอกบัวรองรับ

ความหมาย : โดยปกติแล้วผู้ที่มีจิตว่างก็จะมีความสะอาดทั้งกายและจิต เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ และก็จะตั้งอยู่เช่นนั้น ไม่มีวันเสื่อมถอย

27. กีลู กีลู กิตมง อ่านว่า กี ลู กี ลู กิด มง
     กี ลู – การเกิดความคิดปฎิบัติธรรมสามารถบันดาลให้เทพเจ้ามาปกปักรักษา
     กิด มง – ผู้ปฏิบัติจะต้องสร้างสมบุญบารมีเพื่อเป็นพื้นฐานในการบรรลุสู่มหามรรค (มรรคผล-นิพพาน)

28. ตูลู ตูลู ฮัวแซเหย่ตี อ่านว่า ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี
     ตู ลู – ผู้ปฏิบัติจะต้องยืนให้มั่นตั้งใจปฏิบัติ ไม่หลุ่มหลงด้วยพวกเดียรถี มีความแน่วแน่ มีสมาธิ มีความสงบ
     ฟา เซ เย ตี – มีความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่สามารถข้ามพ้นสังสารวัฏได้

29. หม่อฮอฮัวแซเหย่ตี อ่านว่า หม่อ ฮอ ฮัว เซ เย ตี

ความหมาย : พระสัทธรรมอันไพศาล สามารถระงับความเกิดดับแห่งกิเลสได้ ภัยพิบัติต่างๆไม่แผ้วพาน ทุกคนสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้เหมือนกัน กำจัดความหลงผิด ความเห็นแก่ตัว ปล่อยวางปัจจัยทางโลก

30. ทอลาทอลา อ่านว่า ทอ ลา ทอ ลา

ความหมาย : เมื่อปฏิบัติจิตให้มีสภาพเหมือนอากาศอันโปร่งใส ไร้ละอองธุลีแม้แต่น้อย ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมได้

@@@@@@@

31. ตีลีนี อ่านว่า ตี ลี นี
     ตี – โลก
     ลี – สัตว์ทั้งหลายล้วนสามารถรับการโปรดได้
     นี – พรหมจาริณีที่ปฏิบัติธรรมอยู่

32. สึดฮูลาเย อ่านว่า สิด ฮู ลา เย

ความหมาย : เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงความสมบูรณ์แห่งสภาวะเดิมแล้ว จะมีความสว่างปรากฏในกายของตน

33. เจลาเจลา อ่านว่า เจ ลา เจ ลา

ความหมาย : ความโกรธ ดุ สุรเสียงที่เปล่งออกมาดุจเสียงคำรามของฟ้า กระหึ่มไปทั่วสารทิศ , ธรรมเหมือนดังฟ้าร้องคำรามไปทุกสารทิศ เป็นเสียงแห่งพรหมเมื่อเหล่ามารได้ยินศัพท์สำเนียงนี้ ก็จะเกิดความสะดุ้งกลัว

34. มอมอฮัวมอลา อ่านว่า มอ มอ ฮัว มอ ลา
     มอ มอ – การกระทำดี สามารถทำลายความกังวลแห่งภยันตรายได้
     ฮัว มอ ลา – ธรรมะเป็นสิ่งลึกซึ้ง เข้าใจยาก และมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถประมาณ หรือคาดคิดได้ เป็นประโยชน์ที่ไม่มีสิ่งใดทัดเทียม

35. หมกตีลี อ่านว่า หมก ตี ลี

ความหมาย : หลุดพ้น ผู้ปฏิบัติได้เช่นนี้ ย่อมบรรลุสู่ภูมิแห่งพุทธ

36. อีซีอีซี อ่านว่า อี ซี อี ซี

ความหมาย : การชักชวนตามพระศาสนา ทุกสรรพสิ่งให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ , ทุกสิ่งปล่อยให้ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง อย่าฝืนกระทำตามใจชอบ

37. สึดนอสึดนอ อ่านว่า สิด นอ สิด นอ

ความหมาย : เป็นมหาสติ มีจิตใจมั่นคงสามารถเข้าสู่มหาปัญญา , ผู้ปฏิบัติธรรม มีความสว่างแห่งสติปัญญาอยู่ ถ้าใช้จิตนี้เป็นฐานใช้ธรรมให้เป็นประโยชน์ ก็จะได้รับฐานธาตุที่สดชื่น  แต่หากไม่มีจิตใจมั่นคงกำจัดกิเลสในตนไม่หมด ก็ไม่มีทางที่จะให้ความว่างแห่งสติปัญญาที่มีอยู่ดั้งเดิมปรากฏออกมาได้เลย

38. ออลาซันฟูลาแซลี อ่านว่า ออ ลา ซัน ฮู ลา เซ ลี
     ออ ลา ซัน – ความผ่านธรรมไปถึงธรรมราชา มีความอิสระในธรรม
     ฮู ลา เซ ลี – การได้พระธรรมกายอันบริสุทธิ์ ได้ดวงแก้วแห่งพระรัตนะ

39. ฮัวซอฮัวซัน อ่านว่า ฮัว ซอ ฮัว ซัน
     ฮัว ซอ – ผู้ที่มีธรรม ตั้งอยู่ในขันติธรรม
     ฮัว ซัน – ผู้บรรลุธรรม มีความสุขอันแท้จริงยากจะบรรยาย

ความหมาย : เป็นการอนุโมทนาตามเหตุตามปัจจัย ความสุขที่แท้จริง จะต้องได้จากการปฏิบัติที่ยากลำบาก ถ้าสามารถอดทนต่อความยาก ลำบากก็จะเข้าถึงความสุขอันยิ่งได้

40. ฟูลาแซเย อ่านว่า ฮู ลา เซ เย

ความหมาย : จะต้องมีความรู้ด้วยตนเอง ผู้จะบรรลุธรรมหากสามารถละการยึดเกี่ยวเข้าถึงสภาวะดั้งเดิม ก็จะพบพระพุทธเจ้าได้ทุกพระองค์
110  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เผยโฉม 'นางสงกรานต์ 2567' พร้อมเปิดคำทำนาย โหดกว่าทุกปี แนะสิ่งที่ควรระวัง เมื่อ: มีนาคม 08, 2024, 08:28:44 am
.



เผยโฉม 'นางสงกรานต์ 2567' พร้อมเปิดคำทำนาย โหดกว่าทุกปี แนะสิ่งที่ควรระวัง

เผยโฉม 'นางสงกรานต์ 2567' เปิดประวัติความเป็นมา พร้อมคำทำนายของปีนี้ โหดกว่าทุกปี แนะสิ่งที่ควรปฏิบัติและต้องระวัง

นางสงกรานต์ 2567 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศชื่อ นางสงกรานต์ ในปีนี้ พร้อมเผยคำทำนายตามหลักโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง สงกรานต์ 2567 ปีนี้ นางสงกรานต์ เป็นใคร คำทำนายว่าอะไรมาดูกัน

สงกรานต์ 2567 ปีนี้ วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันเสาร์ ที่ 13 เมษายน เวลา 22 นาฬิกา 17 นาที 24 วินาที จันทรคติ ตรงกับ วันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือนห้า ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2567 ปีมะโรง (เทวดาผู้ชาย ธาตุทอง) ทางจันทรคติ เป็นปกติ มาสวาร ทางสุริยคติ เป็น อธิกสุรทิน

นางสงกรานต์ 2567 นามว่า นางมโหธรเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกสามหาว (ผักตบชวา) อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร-พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จนอนลืมตา มาเหนือหลังมยุรา (นกยูง) เป็นพาหนะ

 

นางสงกรานต์ 2567

 
คำทำนายนางสงกรานต์ 2567

1. เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ อังคารเป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 300 ห่า
    • ตกในเขาจักรวาล 120 ห่า
    • ตกในป่าหิมพานต์ 90 ห่า
    • ตกในมหาสมุทร 60 ห่า
    • ตกในโลกมนุษย์ 30 ห่า
2. เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีตุล ชื่อวาโย (ธาตุลม) น้ำน้อย พายุจัด
3. เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้ นาคราชให้น้ำ 7 ตัว ทำนายว่า ฝนแล้ง
4. เกณฑ์ธัญญาหารได้เศษ 5 ชื่อวิบัติ ข้าวกล้าในพื้นนา จะเกิดกิมิชาติ จะได้ผลกึ่งเสียกึ่ง



นางสงกรานต์ 2567

 


 
ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : Om โอมรัชเวทย์ Style
URL : https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/general-knowledge/570220
07 มี.ค. 2567 | 15:13 น. | เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
111  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดวิธีปล่อยปลาให้ได้บุญ ปล่อยปลาอะไรดี เมื่อ: มีนาคม 08, 2024, 08:20:10 am
.



เปิดวิธีปล่อยปลาให้ได้บุญ ปล่อยปลาอะไรดี

”ปล่อยปลาให้ได้บุญ เป็นทริคดีๆ เกี่ยวกับสายมูอีกแล้ว ใครมีปัญหาในเรื่องการเงิน ลองใช้วิธีนี้ดู พร้อมเปิดวิธีปล่อยปลาให้ได้บุญ ปล่อยปลาอะไรดี ไปดูกัน

ปล่อยปลาให้ได้บุญ วันนี้ทีมข่าวปาฏิหาริย์ มีทริคดีๆ เกี่ยวกับสายมู สายบุญมาฝากคะ โดยเฉพาะ ราศีเมถุน ให้เริ่มทำได้ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป และ วิธีปล่อยปลาให้ได้บุญ ปล่อยปลาอะไรดี ไปดูกัน

วิธีปล่อยปลาให้ได้บุญ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการทำบุญไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น และถ้าหากอยากปล่อยปลา แบบได้บุญ ต้องรู้ด้วยว่าปล่อยปลาอะไรดี ปล่อยแหล่งไหน ทำยังไง ไปดูกันเลย




เปิดวิธีปล่อยปลาให้ได้บุญ ปล่อยปลาอะไรดี ก็คือ...

ปลาที่ปล่อยได้ ปลาไหล ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลากราย ปลาบู่ หอยโข่ง หอยขม ปล่อยได้ที่ไหนบ้าง ศึกษาแหล่งน้ำที่จะปล่อย เช่น ลักษณะแหล่งน้ำ (แม่น้ำ คลอง บึง ฯลฯ) น้ำเน่าไหม เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็ม

สิ่งสำคัญที่ต้องดูก็คือ : ศึกษาว่าปลาและสัตว์น้ำที่ปล่อยเหมาะกับแหล่งน้ำแบบไหน ดูสุขภาพของปลาและสัตว์น้ำ หากป่วยหรืออ่อนแอมากๆ ก็ควรรักษาก่อน เพราะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำทันทีอาจทำให้ตายได้ง่าย และจะแพร่โรคสู่สัตว์อื่นๆ ในแหล่งน้ำได้ด้วย

ปลาที่ห้ามปล่อย เพราะจะไม่ได้บุญ ก็คือ...

ห้ามปล่อยปลาดุก ปลานิล ปลาทับทิม  ปลาดุกอัฟริกัน ปลาดุกลูกผสม หรือ "บิ๊กอุย" กุ้งเครย์ฟิช เต่าญี่ปุ่น หรือ  เต่าแก้มแดง ปลาหางนกยูง ปลากดเกราะดำ ปลากดเกราะลาย ตะพาบไต้หวัน ปลาหมอสีคางดำ

คำแนะนำ : งดปล่อยลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยานะคะ







ขอขอบคุณ : -
ข้อมูลจาก : สำนักงานประมงจังหวัดนนทบุรี
URL : https://www.thainewsonline.co/belief/belief/867898
07 มีนาคม 2567
112  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จิตวิทยาการทำงานที่จะช่วยให้คุณทำงานได้ง่าย และดีขึ้น เมื่อ: มีนาคม 08, 2024, 08:14:25 am

.



จิตวิทยาการทำงานที่จะช่วยให้คุณทำงานได้ง่าย และดีขึ้น

วิธีการทางจิตวิทยาที่มีประโยชน์ สามารถปรับใช้ในการทำงานได้ทั้งกับตัวเอง เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้า เป้าหมายหลักของการใช้วิธีการทางจิตวิทยานี้ก็คือ การทำให้สถานที่ทำงานเป็นสถานที่เชิงบวก และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานที่สบายใจกับทั้งตัวคุณเอง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าและทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ลองมาดูกันซิว่าการเพาะปลูกพลังงานเชิงบวกในที่ทำงานนั้นสามารถทำอย่างไรได้บ้าง


@@@@@@@

• จัดการการทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด

เริ่มจากการทำงานของตัวคุณเองก่อน จัดการระบบการทำงานของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ แบ่งงานใหญ่ ๆ ให้ออกเป็นงานย่อย ๆ เริ่มจากทำงานที่ยากก่อน หลังจากนั้นค่อยไล่ระดับไปสู่งานที่ง่าย จัดการงานให้ตรงกับช่วงเวลาที่ได้รับมอบหมาย และตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด

• ฝึกการหายใจ เพื่อคลายความเครียด

การทำงาน อาจทำให้หลายคนรู้สึกเครียด เหนื่อย มีความล้าเกิดขึ้นได้บ้าง แต่คุณสามารถผ่อนคลายความเครียดหรือความเหนื่อยล้านี้ได้ ด้วยการลุกขึ้นยืน สูดหายใจเข้าและออกลึก ๆ ผ่อนคลาย ชมนกชมไม้เดินไปชงกาแฟบ้าง จะช่วยปรับอารมณ์การทำงานได้

• มีความเข้าอกเข้าใจต่อเพื่อนร่วมงาน

ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ โดยทำความเข้าใจถึงมุมมองและอารมณ์ของผู้อื่น สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ มีความเข้าใจกันมากขึ้น และมีการซัปพอร์ตซึ่งกันและกัน

• มีการสื่อสารต่อกันด้วยความชัดเจน

และตรงไปตรงมาด้วย เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ซึ่งจะทำให้การทำงานสามารถดำเนินการต่อไปได้แบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น กรณีเกิดข้อสงสัยให้ถามเพื่อความเคลียร์

• แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการรับฟัง

เป็นเรื่องปกติที่สังคมการทำงานจะมีความขัดแย้งกันบ้าง เพราะว่าการทำงานเป็นสังคมขนาดใหญ่ และนำคนจากทุกเจนมารวมกัน แต่สิ่งสำคัญคือการหาวิธีก้าวข้ามผ่านความขัดแย้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้เกิดผิดใจกันในภายหลัง โดยจะต้องมีการรับฟังพูดคุยกัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

• ความสามารถในการปรับตัว

ในกรณีที่คุณพึ่งเข้าไปทำงานในบริษัทใหม่ ๆ คุณจะต้องแสดงให้เพื่อนร่วมงานเห็นถึงความสามารถในการปรับตัว และความเต็มใจที่จะเรียนรู้ เปิดใจรับฟังความคิดเห็นและแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถพัฒนาได้

และในกรณีที่ที่ทำงานของคุณมีคน TOXIC ที่ไม่มีการเปิดใจรับฟังมุมมองความคิดเห็นของผู้อื่น สิ่งที่คุณทำได้คือพยายามหลีกเลี่ยงบุคคลคนนั้นให้ได้มากที่สุด และข้องแวะกันเพียงแต่เรื่องงานเท่านั้น ไม่นำความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด และอย่าพยายามจับโฟกัสไปที่บุคคลคนนั้น

แต่ให้หันไปขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก หรือชื่นชมหัวหน้าที่ดีมากกว่า ซึ่งจะช่วยทำให้คุณประคองสติ รักษาสุขภาพจิต และทำงานต่อไปได้อย่างมีความสุข

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ OOCA (อูก้า) ปรึกษาปัญหาใจ





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : PositivePsychology
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
URL : https://www.beartai.com/life/health/1355161
โดย ภูษิต เรืองอุดมกิจ | 30/01/2024
113  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เครื่องเศร้าหมองของจิต" เมื่อ: มีนาคม 07, 2024, 07:38:34 am
.



"เครื่องเศร้าหมองของจิต"

"กิเลส แปลว่า เครื่องเศร้าหมอง" ตรัสว่า "เป็นอาคันุกะ คือสิ่งที่จรมาอาศัย" เหมือนอย่างแขกคือผู้ที่มาหา "ไม่ใช่เจ้าของบ้าน" และที่เรียกว่า "เครื่องเศร้าหมอง" ก็เพราะมาทำให้จิตใจที่ผุดผ่องอยู่โดยธรรมชาติต้องเศร้าหมอง "เหมือนอย่างผงธุลีที่ปลิวมาทำน้ำที่ใสสะอาดให้สกปรก"

เมื่อกิเลสไม่ใช่เป็นเจ้าของบ้าน คือ "ไม่ใช่ธาตุแท้หรือเนื้อแท้ของจิต เป็นเพียงสิ่งที่จรมาอาศัย" แม้จะอาศัยอยู่นานสักเท่าไร มาถือสิทธิครอบครองอย่างไร ก็คงไม่สามารถละลายธาตุแท้ของจิตได้

ฉะนั้น จึงอาจขัดเกลาชำระจิตให้พ้นจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงได้

                   สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร





Thank to : http://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=3342
โดย วิริยะ12  | 6 มี.ค. 2567
114  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดย “หลวงพี่น้ำฝน” แจกข้าวสาร 11 ชุมชนรอบวัด เมื่อ: มีนาคม 07, 2024, 07:33:31 am
.



มูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดย “หลวงพี่น้ำฝน” แจกข้าวสาร 11 ชุมชนรอบวัด 222 ครัวเรือน แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่วัดไผ่ล้อม ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ดำเนินกิจกรรมมูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม  แจกข้าวสาร 11 ชุมชนรอบวัดไผ่ล้อม รวมจำนวน 222 ครัวเรือน เพื่อแบ่งเบาค่าครองชีพ โดยมีคณะกรรมการชุมชนต่างๆ รวบรวมรายชื่อชาวชุมชนที่เดือดร้อนแจ้งมาทางวัดไผ่ล้อม เพื่อขอรับข้าวสาร

ในส่วนโครงการช่วยเหลือต่างๆ มูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม ได้ดำเนินการตั้งแต่เจ็บป่วยจนถึงตาย และโครงการสวดเผาฟรี  ญาติโยมสามารถแจ้งมาที่พระลูกวัดหรือเจ้าหน้าที่วัดได้ หากทางมูลนิธิฯช่วยได้จะรีบดำเนินการทันทีหากเกินกำลังก็จะเป็นผู้ประสานงานให้กับญาติโยมในทุกเรื่อง








หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า วันนี้มูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม ได้ร่วมกับคณะกรรมการมูลนิธิฯได้แจกข้าวสารให้กับประชาชนจาก 11 ชุมชน เข้ามาทำการรับข้าวสาร ประกอบด้วย
1.ชุมชนบ้านมอญ 47 ครัวเรือน
2.ชุมชนไผ่เตย 50 ครัวเรือน
3.ชุมชนสวนอนันต์ 20 ครัวเรือน
4.ชุมชนถมทอง 25 ครัวเรือน
5.ชุมชนมะขามแถว 20 ครัวเรือน
6.ชุมชนคชกฤต 10 ครัวเรือน
7.ชุมชนอยู่คง 20 ครัวเรือน
8.ชุมชนปฐมธานี 8 ครัวเรือน
9.ชุมชนพุทธรักษา 15 ครัวเรือน
10.ชุมชนพระประโทน 5 ครัวเรือน
11.ชุมชนสามตำบล 222 ครัวเรือน








ทั้งนี้มูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม ได้ดำเนินการช่วยญาติโยมมาอย่างต่อเนื่องตามเจตนารมณ์ของพระเดชพระคุณของหลวงพ่อพูล ซึ่งคณะสงฆ์ของวัดไผ่ล้อมจะทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียนที่ญาติโยมมีความเดือดร้อนเพื่อมารายงานแล้วนำไปสู่การช่วยเหลือเยียวยาในเรื่องต่างๆ ต่อไป สำหรับพื้นที่ของวัดไผ่ล้อมได้จัดให้มีศูนย์รับร้องทุกข์เรื่องต่างๆ ของญาติโยม โดยเฉพาะการเปิดศูนย์รับบริการตรวจโรคเจาะเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน  สำหรับผู้สูงอายุ 

ญาติโยมจะสามารถมาใช้งานร่วมกันอย่างเกิดประโยชน์ รวมทั้งฌาปนสถานซึ่งมีโครงการสวดเผาฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายก็เป็นการช่วยเหลือญาติโยมทั่วประเทศที่มีความเดือดร้อน นอกจากนี้ยังส่งเสริมด้านการศึกษาศิลปวัฒนธรรมและความสามัคคีในชุมชนก็ยังเป็นส่วนที่ยังมีการขับเคลื่อนอยู่ตลอด โดยเฉพาะโครงการธนาคารเตียงและรถวีลแชร์ก็ยังทำหน้าที่อยู่ทุกวัน

“ข้าวสารที่นำมาแจก ทางวัดไผ่ล้อมจะพยายามกระจายให้ทั่วถึง โดยวันนี้มีประชาชนได้เดินทางเข้ามารับเองที่วัดเป็นจำนวนมาก  ส่วนที่ขาดเหลือตกหล่นก็จะประสานผู้นำชุมชนให้มีการนำไปส่งให้ถึงครัวเรือน นี่ก็เป็นอีกส่วนที่เป็นความตั้งใจของวัดไผ่ล้อมที่จะช่วยเหลือญาติโยมในทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาในชุมชนของเราต่อไปนั่นเอง” หลวงพี่น้ำฝน กล่าว









Thank to : https://www.thairnews.com/มูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ-2/
โดย thairnews - 05/03/2567
115  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.ชี้ พิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ ช่วยสร้างรายได้ชุมชน เมื่อ: มีนาคม 07, 2024, 07:25:18 am
.



พศ.ชี้ พิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ ช่วยสร้างรายได้ชุมชน

นายสุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสถาปนา เลื่อน และตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์ เป็นพระราชาคณะ จำนวน 97 รูป เป็นพระครูสัญญาบัตรตั้งใหม่ จำนวน 1,308 รูป และโปรดพระราชทานเลื่อนชั้นพระสังฆาธิการ จำนวน 1,116 รูป รวม 2,521 รูป

ซึ่งในส่วนของพระครูสัญญาบัตรนั้น พระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายสมเด็จพระสังฆราชเสด็จประทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ในโอกาสอันสมควร โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระบัญชามอบผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ประกอบพิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร แด่พระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ 5 แห่ง ดังนี้

วันที่ 4 ก.พ. เขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ที่วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ
วันที่ 7 ก.พ. เขตปกครองคณะสงฆ์หนใต้ ที่วัดกะพังสุรินทร์ จ.ตรัง
วันที่ 21 ก.พ. เขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก ภาค 9, 11 และ 12 ที่วัดพุทธวนาราม จ.มหาสารคาม
วันที่ 28 ก.พ. เขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก ภาค 8 และ 10 ที่วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม
วันที่ 25 มี.ค. เขตปกครองคณะสงฆ์หนเหนือ ที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่ นั้น

โฆษกพศ. กล่าวต่อไปว่า จากพิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร แด่พระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ 4 ครั้งที่ผ่านมา ที่วัดพระศรีมหาธาตุ วัดกะพังสุรินทร์ วัดพุทธวนาราม และวัดพระธาตุพนม พบว่า

นอกจากจะมีพระสงฆ์ในพื้นที่มาร่วมพิธีจำนวนมากแล้ว ยังมีญาติโยมจำนวนมากติดตามพระสงฆ์มาด้วย ส่งผลให้เกิดมิติในด้านการสร้างรายได้ให้กับร้านค้าและชุมชนรอบวัด รวมไปถึงจังหวัดที่ใช้เป็นสถานที่ในการจัดพิธี นับเป็นอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้นจากพิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร แด่พระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ โดยจากนี้ยังเหลือการจัดพิธีดังกล่าวอีก 1 ครั้ง คือ วันที่ 25 มี.ค. เขตปกครองคณะสงฆ์หนเหนือ ที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่





Thank to : https://www.thairnews.com/พศ-ชี้-พิธีพระราชทานสัญญ/
โดย thairnews - 05/03/2567
116  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อดีตพระพรหมสิทธิ “ปลื้มปีติ” น้ำใจ “คณะสงฆ์มหายาน” เมื่อ: มีนาคม 07, 2024, 07:17:59 am
.



อดีตพระพรหมสิทธิ  “ปลื้มปีติ” น้ำใจ “คณะสงฆ์มหายาน”

วันที่ 6 มีนาคม 2567 วานนี้ ณ วัดสระเกศ ราชวรมหาวริหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร พระอาจารย์จีนราชธรรมานุสิฐ หรือพระอาจารย์ฝ่าเจ้า (Shi Fa Zhao) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) ประเทศสิงคโปร์ สหธรรมิกอดีตพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) และศิษย์ร่วมสายธรรมในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ได้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับอดีตพระพรหมสิทธิ ภายหลังจากทราบข่าวเกี่ยวกับการพิพากษาคดีของอดีตพระพรหมสิทธิถึงที่สุด พร้อมกันนี้ศาลฎีกาในคดีแพ่งสั่งให้รัฐคืนเงินอดีตพระพรหมสิทธิทั้งหมด หลังตรวจสอบไม่พบความผิดฐานทุจริตและการฟอกเงินตามที่เป็นข่าวตั้งแต่ปี 2561

พระอาจารย์จีนราชธรรมานุสิฐ ได้กล่าวอวยพรแก่อดีตอดีตพระพรหมสิทธิ ตอนหนึ่งว่า  “ขอแสดงความยินดีที่ได้รับความยุติธรรมบางส่วนกลับคืนมา ส่วนเรื่องอื่น  ๆ คงจักได้รับคืนความยุติธรรมที่เสียไปโดยเร็ว และจะได้ร่วมกันเดินหน้าทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาเถรวาท-มหายาน ให้กลับมาได้อย่างเต็มที่ ..”




ก่อนจากกัน พระอาจารย์จีนราชธรรมานุสิฐ  ได้กล่าวว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าจะมาประเทศไทยอีกครั้ง หวังว่า ในเวลานั้น อดีตพระพรหมสิทธิจะได้รับการคืนความยุติธรรมแล้ว จะได้ถือโอกาสนำศิษยานุศิษย์ มาร่วมฉลองการคืนความเป็นธรรมในโอกาสนั้นด้วย..

ส่วนภารกิจ พระอาจารย์ฝ่าเจ้า หรือ พระอาจารย์จีนราชธรรมานุสิฐ วันนี้ เวลา 09.00 น.จะเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อถวายทุนการศึกษาแก่นิสิต มจร เป็นเงินจำนวน 2,200,000 บาท 

โดยแยกเป็นทุนการศึกษาแก่นิสิตปริญญาเอก 50 ทุนๆ ละ 10,000 บาท ทุนการศึกษาแก่นิสิตปริญญาโท 120 ทุน ๆ ละ 5,000 บาท ทุนการศึกษาแก่นิสิตปริญญาตรี จำนวน 300 ทุน ๆ ละ 3,000 บาท และทุนการศึกษาแก่นักเรียนมัธยมโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา มจร จำนวน 100 ทุน ๆ ละ 2,000 บาท..









Thank to : https://thebuddh.com/?p=77973
117  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ม.รังสิต เก็บข้อมูล พบคนไทยไม่มีศาสนาราว 1.3 ล้านคน เมื่อ: มีนาคม 06, 2024, 08:07:56 am
.



ม.รังสิต เก็บข้อมูล พบคนไทยไม่มีศาสนาราว 1.3 ล้านคน ระดับ “มัธยมปลาย-มหาวิทยาลัย” มากสุด

'ธำรงศักดิ์' เผยผลสอบถามปมศาสนา 'ทั้งประเทศ' ระบุ 'ไม่มีศาสนา' 2% ขณะที่ ม.ปลาย 6.6% มหา'ลัย 9%

นักวิชาการรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เผยข้อมูลผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับ “ศาสนา” พบ 'ทั้งประเทศ' ระบุ 'ไม่มีศาสนา' 2% ขณะที่ Gen Z มัธยมปลาย 6.6% Gen Z มหาวิทยาลัย 9% ชี้คนไทยทั่วประเทศระบุว่าไม่มีศาสนาสูงกว่าข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และมีแนวโน้มว่าคน Gen Z ระบุว่าไม่มีศาสนามากกว่าที่เราเคยรับรู้กัน

4 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ และผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์รายงานวิจัยผ่าน เฟซบุ๊ก 'ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์' โดยระบุว่า คำถามข้อมูลผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับ “ศาสนา”

ผลการวิจัยพบว่า

  • คนไทยทั้งประเทศ (18 ปีขึ้นไป: 4,559 คน) ระบุว่า ไม่มีศาสนา ร้อยละ 2.0
  • Gen Z ทั้งประเทศ (อายุ 18-26 ปี: 1,047 คน) ระบุว่า ไม่มีศาสนา ร้อยละ 5.50
  • Gen Z มัธยมปลาย (อายุ 15-19 ปี: กรุงเทพและปริมณฑล: 503 คน) ระบุว่า ไม่มีศาสนา ร้อยละ 6.60
  • Gen Z มหาวิทยาลัย (อายุ 18-26 ปี: 490 คน) ระบุว่า ไม่มีศาสนา ร้อยละ 9.0

ธำรงศักดิ์ อธิบายด้วยว่า ประเทศต่างๆ ในโลกยอมรับความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนามากขึ้น ดังนั้น ในการสำรวจข้อมูลประชากร หรือแม้แต่ในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล จึงมีช่องให้ติ๊ก “ไม่มีศาสนา” หรือ “ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใด” (no religion, non-religious, unaffiliated) ทั้งนี้ เพื่อยอมรับอัตลักษณ์ของแต่ละคน เสรีภาพทางศาสนา และเป็นข้อมูลสำคัญในการคาดการด้านการตลาด เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง




ข้อมูลของ The World Factbook เมื่อปี 2563 ประมาณว่าประชากรในโลก เป็นศาสนาคริสต์ ร้อยละ 31.1 มุสลิม ร้อยละ 24.9 ฮินดู ร้อยละ 15.2 พุทธ ร้อยละ 6.6 ศาสนาท้องถิ่น ร้อยละ 5.6 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 15.6 ที่เหลือเป็นศาสนาอื่นๆ

อังกฤษ มีการสำรวจข้อมูลศาสนาของประชากรปี 2564 พบว่า ผู้ตอบไม่มีศาสนาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคนอายุตั้งแต่ 40 ปีลงมา และผู้ตอบว่าเป็นคริสต์มีน้อยลง ประชากรทั้งอังกฤษมี 56.49 ล้านคน เป็นคริสต์ ร้อยละ 46.3 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 36.7 มุสลิม ร้อยละ 6.7 ฮินดู ร้อยละ 1.8 ที่เหลือเป็นศาสนาอื่นๆ

สหรัฐอเมริกา ประชากร 339.66 ล้านคน เป็นคริสต์ ร้อยละ 68.2 ยิว ร้อยละ 3.5 มุสลิม ร้อยละ 0.9 ฮินดูและพุทธ ร้อยละ 0.7 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 22.8 ที่เหลือเป็นศาสนาอื่นๆ

จีน ประชากร 1,413.14 ล้านคน ศาสนาพื้นเมือง ร้อยละ 21.9 พุทธ ร้อยละ 18.2 คริสต์ ร้อยละ 5.1 มุสลิม ร้อยละ 1.8 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 52.1 ที่เหลือเป็นศาสนาอื่นๆ

สิงคโปร์ ประชากร 5.97 ล้านคน เป็นพุทธ ร้อยละ 31.1 คริสต์ ร้อยละ 18.9 มุสลิม ร้อยละ 15.6 เต๋า ร้อยละ 8.8 ฮินดู ร้อยละ 5 อื่นๆ ร้อยละ 0.6 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 20

ไทย ปี 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าคนไทยอายุ 13 ปีขึ้นไป เป็นพุทธ ร้อยละ 94.6 อิสลาม/มุสลิม ร้อยละ 4.6 คริสต์ ร้อยละ 0.7 ศาสนาอื่นๆ และไม่มีศาสนา ร้อยละ 0.1

@@@@@@@

จากการเก็บข้อมูลแบบสอบถามของผู้วิจัย (2566-2567) ชี้ว่า คนไทยทั่วประเทศระบุว่าไม่มีศาสนาสูงกว่าข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และมีแนวโน้มว่าคน Gen Z ระบุว่าไม่มีศาสนามากกว่าที่เราเคยรับรู้กัน

คนไทยทั่วประเทศที่ระบุไม่มีศาสนาร้อยละ 2 นั้น ก็คิดเป็นประชากรราว 1.3 ล้านคน

คน Gen Z ระดับมหาวิทยาลัย ระบุว่าไม่มีศาสนาร้อยละ 9 ก็คิดเป็นประชากรราว 1.3 แสนคน

หมายเหตุ : คำว่า “ไม่มีศาสนา” หรือ “ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใด” ไม่ได้หมายถึงการไม่มีความเชื่อความศรัทธาในแนวคิดใด ไม่ใช่ไม่มีค่านิยม จริยธรรม คุณธรรม และประเพณีทางสังคม แต่หมายถึงการไม่ได้ระบุตัวตนว่าตนได้สังกัดในศาสนาใดศาสนาหนึ่งเพียงเท่านั้น

ข้อมูลพื้นฐาน

คนไทยทั่วประเทศ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-17 เมษายน 2566
Gen Z ทั่วประเทศ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 14-25 มีนาคม 2566
Gen Z มหาวิทยาลัย เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 13-15 กันยายน 2566
Gen Z มัธยมปลาย ในเขตกรุงเทพฯและจังหวัดปริมณฑล สมุทรปราการ นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร รวม 6 จังหวัด เก็บข้อมูลระหว่าง 13 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2566






Thank to : https://prachatai.com/journal/2024/03/108302
ประชาไท / ข่าว | Submitted on Mon, 2024-03-04 01:24

รายการอ้างอิง :-
- “Census data suggests UK faces ‘non-religious future’, say campaigners.” The Guardian < https://www.theguardian.com/.../census-data-england-wales...
- Religion in England < https://en.wikipedia.org/wiki/Religion_in_England
- Religion in USA < https://www.cia.gov/the-world.../countries/united-states/
- Religion in China < https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/china/...
- Religion in Singapore < https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/singapore/
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2555 < http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/pubs/sns/5510-12.pdf
118  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัฐบาลยกระดับดูแลสุขภาพ “พระสงฆ์-สามเณร” ตั้งเป้า มี “กุฏิชีวาภิบาล” ทุกอำเภอ เมื่อ: มีนาคม 06, 2024, 07:22:56 am

 :25: :25: :25:

รัฐบาลยกระดับดูแลสุขภาพ “พระสงฆ์-สามเณร” ตั้งเป้า มี “กุฏิชีวาภิบาล” ทุกอำเภอ ทั่วประเทศ

วันที่ 4 มี.ค. 67 เพจไทยคู่ฟ้า รายงานว่า รัฐบาล เปิด โครงการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยสร้างกลไกการดำเนินงานให้เอื้อต่อการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ระดับพื้นที่ ครอบคลุมทั้งการให้ความรู้ส่งเสริมสุขภาพ การดูแลรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล การเข้าถึงสิทธิการรักษา

การจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลและสถานชีวาภิบาลสำหรับดูแลพระสงฆ์อาพาธ มีเป้าหมายจัดตั้ง กุฏิชีวาภิบาล อำเภอละ 1 แห่ง โดยปัจจุบันมีกุฏิ/บ้านชีวาภิบาล ที่พร้อมดำเนินการแล้ว 788 แห่งทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ข้อมูลปี 2564 ทั่วประเทศไทยมีวัดกว่า 43,000 แห่ง พระสงฆ์-สามเณร ประมาณ 2.4 แสนรูป กว่า 50% อยู่ในวัยสูงอายุ อาพาธโรคเรื้อรัง รวมถึงอาพาธระยะท้าย ซึ่งการดูแลส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล การควบคุมโรคและการจัดการปัจจัยคุกคามสุขภาพ ต้องเป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยและธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ พ.ศ.2566






Thank to : https://thebuddh.com/?p=77942
119  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระนักวิชาการแนะ “ร่าง พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับศาสนา” ควรดึงแกนนำ 5 ศาสนาร่วม เมื่อ: มีนาคม 06, 2024, 07:17:58 am
.



“เจ้าคุณหรรษา” พระนักวิชาการชื่อดังแนะ “ร่าง พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับศาสนา” ควรดึงแกนนำ 5 ศาสนาที่รัฐรับรองเข้ามาร่วม

วันที่ 5 มีนาคม 2567 พระเมธีวัชรบัณฑิต  หรือ “เจ้าคุณหรรษา” ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (IBSC) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัว “ธรรมหรรษา DhammaHansa “

ได้พูดถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็น ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ..ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การลบหลู่ ดูหมิ่น หรือเหยียดหยามต่อชื่อของพระเจ้าศาสนาของศาสนา ภรรรยา บรรดาสาวก ผู้นำศาสนา คำสอน ความศรัทธา ปรัชญาการใช้ชีวิต หรือความรู้สึกของผู้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ฯลฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้

“รัฐกับศาสนา” รัฐควรจะออกกฏหมายเพื่อปกป้องศาสนาอย่างเดียว หรือจะให้ศาสนาอำนวยความผาสุกแก่พลเมืองไทย

รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 67 ได้ตราเอาไว้ว่า รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ค่อนข้างจะชัดเจนว่า รัฐมุ่งให้ศาสนา หรือองค์กรศาสนาทำหน้าที่อำนวยประโยชน์แก่ประชาชน โดยชี้ชัดว่าให้รัฐส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจ และปัญญา ในขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ย้ำว่า รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการให้พุทธศาสนิกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางมาตรการ หรือกลไกในการป้องกันด้วย

@@@@@@@

ส่วนตัวมองว่า ถ้าจะออกมาตรการในการคุ้มครองและป้องกัน โดยการแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาในประเทศไทย โดยเฉพาะ 5 ศาสนาหลักที่รัฐบาลให้การรับรองนั้น จึงเห็นสมควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจาก 5 ศาสนาหลักมาปรึกษาหารือกัน เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ใน 5 ศาสนาหลักนั้น มีทั้งศาสนาแบบอเทวนิยมที่ไม่นับถือพระเจ้า คือพระพุทธศาสนาหนึ่งเดียวในประเทศไทย กับศาสนาอื่นๆ อีก 4 ศาสนาที่เป็นศาสนาแบบเทวนิยมที่นับถือพระเจ้า

รายละเอียดเหล่านี้ มีความหลากหลายและซับซ้อนค่อนข้างมาก และการที่จะแก้ไขเพิ่มเติมในกฏหมายอาญาในประเด็นดังกล่าว จึงจำเป็นต้องศึกษารายละเอียด และที่สำคัญจะต้องไม่แก้ด้วยอารมณ์และความรู้สึก รวมถึงความต้องการจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วตีรวบ จำกัดกรอบให้ทุกคนเห็นด้วย หรือเอาด้วยกับเราแต่เพียงฝ่ายเดียว การดำเนินการเช่นนี้ ย่อมมิสามารถออกกฏหมายเพื่อแก้ไขได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมรอบด้าน

ในประเด็นนี้ รัฐเองจำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อน วิเคราะห์บริบท และผลกระทบที่จะต้องมาอย่างรอบด้าน ครอบคลุม และรัดกุม โดยมิให้กลุ่มบุคคลใด โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองมากระทำการอันใดที่จะทบต่อบรรยากาศการอยู่ร่วมกันของพี่น้องชาวไทยที่มีความเชื่อและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม

หาไม่แล้ว ความหวังดีของบางกลุ่มที่มุ่งจะปกป้องอุดมการณ์ ศาสนา และความเชื่อของตนเอง ก็จะกลายเป็นฝันร่ายของกลุ่มอื่นๆ เมื่อนั้น ก็จะทำให้สูญเสียบรรยากาศการอยู่ร่วมกันของพลเมืองไทย จนนำไปส่ความหลาดระแวง และหวาดกลัวซึ่งกันและกัน และก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันและกันทั้งในระยะสั้น และระยะยาวในที่สุด


@@@@@@@

คำถามคือ รัฐจะทางออกในประเด็นนี้อย่างไร.? เชื่อเองว่าซึ่งมาจากพรรคการเมืองกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ คงจะมีแนวทางที่เหมาะสมในประเด็นเหล่านี้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดถ้าประเด็นเหล่านี้ ออกมาจากฐานคิดและความเชื่อของผู้นำองค์กรสูงสุดของแต่ละศาสนา ทั้ง 5 ศาสนาที่รัฐให้การรับรอง โดยมีรัฐสร้างเวทีพูดคุย

เชื่อว่าแม้จะใช้เวลาในการแสวงแนวร่วม แต่เชื่อว่าสังคมไทยในภาพรวมก็จะเกิดบรรยากาศแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยมีสถาบันศาสนาเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างสังคมสันติสุข

รายละเอียดร่าง พ.ร.บ.









Thank to : https://thebuddh.com/?p=77963
120  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ชนชั้น’ ในไทย สมัยแรก เมื่อ: มีนาคม 06, 2024, 06:59:29 am
.



‘ชนชั้น’ ในไทย สมัยแรก

ชนชั้นสมัยเริ่มแรกมีในชุมชนเกษตรกรรม 3,000 ปีมาแล้ว พบหลักฐานจากพิธีกรรมหลังความตาย

ชนชั้นนำ มีฐานะทางสังคมเหนือคนทั่วไปในชุมชนเดียวกัน

ผู้หญิงมีอำนาจเหนือผู้ชาย (หรือเป็นใหญ่ในพิธีกรรม) ดูได้จากพิธีกรรมของชุมชนเผ่าพันธุ์ ซึ่งแต่ละชุมชนเผ่าพันธุ์มีพิธีกรรมตลอดปี (12 เดือน) แต่ละพิธีมีครั้งละนานเป็นเดือน

ในพิธีกรรมมีผู้หญิงเป็นใหญ่ หรือเป็นหัวหน้าประกอบพิธี ซึ่งเรียก “แม่หมอ” (คำว่า “แม่” หมายถึง ผู้เป็นใหญ่หรือหัวหน้า) เพราะเป็นผู้มีพลังแก่กล้าสื่อสารกับผีฟ้า (อยู่บนฟ้า) แล้วเชิญผีฟ้ามาบำบัดโรคภัยไข้เจ็บและกำจัดผีร้ายได้ จึงได้รับยกย่องเป็นหมอ เรียกแม่หมอ [ตรงกับภาษาเขมรว่า เมม็วต หรือ มะม็วต ไทยเรียกตามคำเขมรว่าแม่มด หมายถึงแม่หมอ (คำว่า มด กับ หมอ มีความหมายเดียวกัน คือผู้ชำนาญ หรือผู้เชี่ยวชาญ จึงมีภาษาพูดทั่วไปเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยต้องไป “หามดหาหมอ”) แต่โดยทั่วไปในไทยมักเข้าใจว่าแม่หมอ หรือแม่มด คือหมอผี (มีความหมายทางลบ)]

ผู้ชายมีอำนาจนอกพิธีกรรม ได้แก่ ปะทะการบุกรุกปล้นสะดมจากชุมชนเผ่าพันธุ์อื่น, ปกป้องและไล่ล่าสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ (เช่น ช้าง, เสือ ฯลฯ) เป็นต้น


ชนชั้นนำเพศหญิงเริ่มแรกในไทย “เจ้าแม่โคกพนมดี” (ชื่อสมมุติของโครงกระดูกเพศหญิง) ที่ประดับประดาด้วยลูกปัดเปลือกหอย (แบบตัว I และแบบแว่นกลมบาง) มากกว่า 100,000 เม็ด (ราวหนึ่งแสนเม็ด) นอกจากนั้นยังพบแผ่นวงกลมมีเดือย, กำไลข้อมือ, เครื่องประดับศีรษะ ฯลฯ อายุราว 3,000 ปีมาแล้ว (ขุดพบที่โคกพนมดี อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี)

พิธีกรรมหลังความตาย

มี 2 ระดับ คือชาวบ้านทั่วไป กับ ชนชั้นนำ

ชาวบ้านทั่วไป เมื่อมีคนตาย เอาศพวางให้แร้งกากิน (ไม่ฝังศพ)

ชนชั้นนำ เมื่อตาย ต้องมีพิธีกรรมใหญ่โต และมีที่ฝังศพของชนชั้นนำและโคตรตระกูลอยู่ลานกลางบ้าน ซึ่งเป็นศูนย์กลางพิธีกรรมของชุมชน

1. พื้นที่ฝังศพ โดยทั่วไปเป็นพื้นที่พิเศษอยู่ในชุมชน (ไม่อยู่นอกชุมชน) ที่สมัยหลังเรียก “ลานกลางบ้าน” เป็นที่ฝังศพของชนชั้นนำและโคตรตระกูลของชุมชนนั้น ซึ่งเป็นโคตรตระกูลใหญ่มีฐานะทางสังคมลดหลั่นไป ได้แก่

หัวหน้าเผ่าพันธุ์ มีเครื่องใช้และเครื่องประดับคับคั่ง และ โคตรตระกูลเครือญาติทั่วไป เครื่องใช้และเครื่องประดับไม่มาก (หรือไม่มี)

แต่บางแห่งมีลักษณะเฉพาะต่างจากแหล่งทั่วไป คือ โคกพนมดี (อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี) เนินดินเนื้อที่ 30 ไร่ สูงประมาณ 12 เมตรจากพื้นราบ โดดเด่นอยู่กลางทุ่งนากว้างไกล เป็นที่ฝังศพชนชั้นนำและโคตรตระกูล มีเครือญาติหลายระดับลดหลั่นเกือบ 200 โครง

โคกพนมดีเป็นเนินดินสูง ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนากว้างใหญ่ล้อมรอบในเขต อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี [โคก แปลว่า ที่เนินสูง, พนม เป็นภาษาเขมรแปลว่าภูเขา, ดี กลายจาก ฎี ในภาษาเขมร (อ่านว่า เด็ย) แปลว่าดิน เมื่อรวมความแล้ว “โคกพนมดี” หมายถึงเขาดิน]

เนินดินโคกพนมดีไม่ใช่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ ได้แก่
    (1.) ฝังศพ เฉพาะชนชั้นนำและโคตรตระกูล
    (2.) พิธีกรรมเซ่นผี มีประจำทั้งปี มีคราวละหลายวัน ได้แก่ ขึ้นฤดูกาลใหม่ (เดือนอ้าย), เซ่นแม่ข้าว (แม่โพสพ), เซ่นผีเครื่องมือทำหากิน (เดือน 5) เป็นต้น

ที่อยู่อาศัยของชนชั้นนำและโคตรตระกูลเป็นเรือนครื่องผูกอยู่บริเวณที่ราบรอบเนินดินและปริมณฑล อยู่ปนกันกับประชากรทั่วไป

2. หลุมฝังศพ ถูกขุดดินเตรียมไว้ก่อนด้วยแรงงานคนจำนวนหนึ่งในชุมชน ซึ่งเป็นบริวาร (สมัยหลังเรียก “บ่าวไพร่”) ของชนชั้นนำ



สัญลักษณ์ของอำนาจ (ซ้าย) วัตถุคล้ายกำไลมีขอบหยักๆ ทำจากกระดองเต่า หรือกระดองตะพาบ และหิน (ควอทไซท์?) ขุดพบที่บ้านโคกพลับ ต.โพหัก อ.บางแพ จ.ราชบุรี (ภาพจากหนังสือ ราชบุรี กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ.2534 หน้า 70) (ขวา) ดินเผาคล้ายกำไลมีขอบหยักๆ ขุดพบที่อีสาน (ไม่มีข้อมูล)

3. สิ่งของมีค่าในหลุมศพ นอกจากร่างคนตายแล้ว หลุมศพชนชั้นนำยังมีสิ่งของมีค่ากับสัญลักษณ์อำนาจฝังรวมด้วย

     (ก.) สัญลักษณ์ของอำนาจ คล้ายกำไลคล้องข้อมือหรือแขน บางแห่งพบวัสดุวงกลมเจาะกลวง ขอบหยัก เป็นตัวแทนขวัญของคนตาย หรือประเพณีผูกข้อต่อแขน

ชนชั้นนำเมื่อยังไม่ตาย มีเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเป็นของมีค่าซึ่งมีเทคโนโลยีสูง ครั้นตายไปก็เอาสิ่งของเหล่านั้นฝังรวมกับศพด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามความเชื่อว่าขวัญไม่ตาย แต่มีวิถีปกติ เพียงจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น และต้องมีสิ่งของเครื่องใช้ปกติเหมือนยังไม่ตาย

สัญลักษณ์สายขวัญในหลุมศพ ทำจากวัสดุมีค่า เช่น กระดองเต่า, กระดองตะพาบ, หินหายาก, โลหะ เป็นต้น มีทั้งทรงกลมมีขอบเป็นหยักๆ และทรงกลมรูปกำไลไม่มีหยัก แล้วสวมข้อมือหรือข้อเท้าคนตาย เสมือนผูกข้อมือในพิธีสู่ขวัญปกติเพื่อเชิญขวัญสิงร่างคนตายจะได้ฟื้นคืนชีวิต

อีกแบบหนึ่งของสัญลักษณ์สายขวัญ ได้แก่ วัตถุทรงกลมแบน มีขอบนอกเป็นหยัก (คล้ายกงจักร) แล้วเจาะกลางกลวงกว้าง (คล้ายกำไล) ขุดพบสภาพเดิมคล้องข้อมือข้างขวาของโครงกระดูกศพมนุษย์ 2 โครง ซึ่งฝังดินราว 2,500 ปีมาแล้ว บริเวณที่ราบลุ่มต่ำบ้านโคกพลับ ต.โพหัก อ.บางแพ จ.ราชบุรี [จากรายงาน “การฏิบัติงานขุดสำรวจแหล่งโบราณคดีที่โคกพลับ จังหวัดราชบุรี” ของ สด แดงเอียด พิมพ์ในนิตยสาร ศิลปากร (ปีที่ 22 เล่มที่ 4) พ.ศ.2521 หน้า 22-30]

    (ข.) เครื่องประดับจำนวนมาก ทำจากวัสดุมีค่า มาจากชุมชนห่างไกลที่มีการติดต่อถึงกัน
    (ค.) เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ทำจำลองใช้เฉพาะพิธีศพ (ส่วนมากมักไม่ใช้ในชีวิตจริง)
    (ง.) แผ่นไม้รองรับซากศพ
    (จ.) โปรยดินเทศ (ผงสีแดง) ทั่วซากศพ

4. เฮือนแฮ้ว หมายถึงเรือนผี คือเรือนจำลองจากเรือนจริงใช้ปลูกคร่อมหลุมฝังศพให้ผีขวัญเจ้าของโครงกระดูกที่ฝังในดินได้ใช้งานเหมือนยังไม่ตาย ซึ่งยังพบสืบเนื่องในประเพณีฝังศพของผู้ไทในเวียดนาม

นักโบราณคดีขุดค้นที่โคกพนมดี อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี พบร่องรอยแล้วมีรายงานว่า “บริเวณที่ฝังศพมีรอยวงกลมของหลุมเสาเป็นระยะล้อมรอบอยู่ สันนิษฐานว่ามีอาคารไม้สร้างคลุมหลุมฝังศพ”

[ภาพและข้อมูลจากหนังสือ สยามดึกดำบรรพ์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยสุโขทัย โดย ชาร์ลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน์ (ฉบับภาษาไทย) สำนักพิมพ์ริเวอร์ บุ๊คส์ พิพม์ครั้งแรก พ.ศ.2542 หน้า 55] •


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2567
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_749797
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 556