ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สวรรค์แบบพุทธที่เทวดาตกชั้นได้ จาก “ฉกามาพจร” ในไตรภูมิพระร่วง  (อ่าน 757 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
จิตรลดาวันอุทยานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ภาพจาก “สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา เลขที่ 6”. ใน สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรงศรีอยุธยา-ฉบับกรุงธนบุรี เล่ม 1. กรมศิลปากรจัดพิมพ์ พ.ศ. 2542)


สวรรค์แบบพุทธที่เทวดาตกชั้นได้ จาก “ฉกามาพจร” ในไตรภูมิพระร่วง

“ถ้าเรากระทำความดีตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้ากระทำความชั่วจะต้องตกนรก” เป็นหนึ่งแนวคิดความเชื่ออันคุ้นเคยที่ถูกแฝงในพุทธศาสนา เพื่อสั่งสอนและตักเตือนไม่ให้บุคคลประพฤติผิดจากศีลและผิดจากหลักธรรมคำสอน

พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของ สวรรค์ ไว้ว่า โลกของเทวดา, เมืองฟ้า อาจหมายความว่า “สวรรค์” อยู่บนฟ้าและเป็นที่พำนักของเทวดา ซึ่งหนังสือไตรภูมิพระร่วงก็ได้อธิบายว่า สวรรค์มีอยู่หกชั้น ทั้งหมดนี้เรียกว่า “ฉกามาพจร”

ฉกามาพจร ทั้ง 6 ชั้น มีชื่อดังนี้

ชั้นที่ 1 จาตุมหาราชิกา มีท้าวจตุโลกบาลดูแลรักษาโลกทั้งสี่ทิศ
ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ (หรือ ไตรดรึงษ์) เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย
ชั้นที่ 3 ยามา อยู่สูงกว่าวิถีโคจรของพระอาทิตย์ มีแต่เวลาหรือยามดีตลอดไปไม่มีค่ำ
ชั้นที่ 4 ดุสิต เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ผู้สร้างสมภารอันจะลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
ชั้นที่ 5 นิมมานรดี เหล่าเทวดาในชั้นนี้ถ้าปรารถนาสิ่งใดก็เนรมิตได้เองดังใจ ไม่ต้องให้มีใครถวาย
ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตดี เป็นที่อยู่ของเทวดาและมารด้วย สามารถจะเนรมิตสิ่งที่ปรารถนาเองหรือจะให้ผู้อื่นเนรมิตแทนก็ได้

“ฉกามาพจร” มีการเกิดและดับได้อยู่เช่นเดียวกับโลกมนุษย์ เทวดาที่อยู่บนสวรรค์เมื่อสิ้นบุญแล้วก็ต้องจุติไปเกิดตามกรรมของตน ตามพระพุทธวัจนะที่เรื่องกามนิตได้อ้างไว้ ดังนี้

    "มีเกิดก็มีตาย ถึงแก่ความทำลายไปจนสิ้น เหมือนกับสวนในโลกและดอกฟ้าในสวรรค์ย่อมร่วงโรยไป จงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นไปในอนาคตนั้นแล ย่อมดับเสียจนกระทั่งรัศมีมหาพรหม"


สวรรค์ชั้นดุสิต (ภาพจาก “สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา เลขที่ 6” ใน สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรงศรีอยุธยา-ฉบับกรุงธนบุรี เล่ม 1. กรมศิลปากรจัดพิมพ์ พ.ศ. 2542)

พุทธวัจนะข้างต้นแสดงให้เห็นว่า “สวรรค์” ทางพุทธศาสนาไม่ใช่สถานที่ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วก็อยู่เป็นนิรันดร์ ไม่ต้องตายอีก เหมือนดังความเชื่อของฝรั่งหรือของแขก โดยการที่หมู่เทวดาทั้งหลายจะสิ้นอายุจากสวรรค์ได้นั้น มีสาเหตุอยู่ 4 ประการ คือ

ประการแรก อายุขัย ถ้าเทวดาหมู่ใดๆ กระทำบุญมาแต่ปางก่อนมา เมื่อสิ้นอายุในชั้นสวรรค์ของตน เช่น จุติในชั้นดุสิตจะมีอายุได้ถึง 4,000 ปีทิพย์ เมื่อหมดอายุแล้วต้องไปเกิดใหม่ในสวรรค์ชั้นเดิมหรือชั้นอื่นก็ตาม

ประการที่สอง บุญขัย เทวดาหมู่ใดกระทำบุญแต่ปางก่อนมา แม้อายุยังไม่ถึงกำหนดตามอายุขัยเทวดาในสวรรค์ชั้นนั้น แต่หมดบุญก่อนก็จะจุติจากสวรรค์นั้นไปเกิดที่แห่งอื่น

ประการที่สาม อาหารขัย เทวดาบางจำพวกเพลิดเพลินกับการเล่นสนุกกับเหล่านางฟ้าอัปสรจนลืมกินอาหาร จึงสิ้นชีวิต แม้จะลืมกินเพียงมื้อเดียวและกินทดแทนภายหลังอีกร้อยครั้งก็ไม่อาจคืนชีวิตได้ เพราะเนื้อเทวดามีความอ่อนราวดอกบัว การอดอาหารเปรียบเสมือนการนำดอกบัวไปตากไว้กับแผ่นหินอันถูกแดดร้อน แม้จะนำมาแช่น้ำเท่าใด ดอกบัวก็ไม่อาจกลับมาสดชื่นดังเดิม เทวดาเองไม่อาจคงชีวิตไว้เช่นกันถ้าขาดอาหาร

ประการสุดท้าย โกธาพลขัย เทวดาบางพวกอาจมีใจริษยาหรือโกรธกัน จึงทะเลาะกัน ถ้ามีเทวดาองค์ใดระงับความโกรธได้ทั้งสองก็จะไม่ต้องไปจุติ แต่ถ้าเกิดวิวาทกัน หัวใจของเทวดาทั้งสองก็จะกลายเป็นไฟเผาไหม้กายและสิ้นชีวิตลง


@@@@@@@

โดยก่อนจุติเจ็ดวัน เทวดาผู้มีบุญจะเห็นนิมิต 5 ประการเป็นสัญญาณของการสิ้นบุญในสวรรค์ คือ

    ๑. ดอกไม้ในวิมานตนเหี่ยวแห้งไม่มีกลิ่นหอม
    ๒. ผ้าที่สวมใส่ประดับอยู่ดูมีความหม่นหมองลงไป
    ๓. ไม่มีความสุข มีเหงื่อไคลไหลออกจากรักแร้
    ๔. อาสน์ที่นั่งและนอนมีความร้อนและแข็งกระด้าง
    ๕. กายของตนเหี่ยวแห้ง มีความเศร้าหมอง ดูไม่มีรัศมีดังแต่ก่อน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยไปทุกส่วน

ส่วนเทวดาองค์อื่นๆ ที่มีบุญน้อยจะไม่เห็นนิมิตรเหล่านี้ หลังจากเทวดาผู้มีบุญเห็นนิมิตทั้งห้านี้แล้ว เทพเทวดาองค์อื่นๆ อันเป็นที่รัก รวมทั้งนางฟ้าและบริวารทั้งหลายจะมาเยี่ยมเยียนและร่วมทุกข์โทมนัสด้วยกัน และชักชวนกันไปเล่นสระและสวนที่สนุกเพื่อให้เทวดาผู้ต้องจุติคลายทุกข์ นางฟ้าผู้เป็นบริวารก็จะร้องไห้อ้อนวอนให้เทวดามาเกิดใหม่ในวิมานเดิม แต่จะไปเกิดที่ใดนั้น ก็คงต้องตามแต่บาปและบุญของเทวดาองค์นั้นที่กระทำมาแต่ปางก่อนนั่นเอง

 

อ้างอิง : เกื้อพันธุ์ นาคบุปผา. พื้นฐานการอ่านวรรณคดีไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : เลิฟ แอนด์ ลิฟ เพลส, 2540
ผู้เขียน : อารยา ธงรัตกัมพล
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 17 กันยายน พ.ศ.2563
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ : เมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ.2561
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_10923
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 18, 2020, 05:49:01 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ