ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์  (อ่าน 485 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28436
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์
« เมื่อ: กันยายน 18, 2020, 06:07:35 am »
0



คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง : ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์

สมัยก่อนเรามักเรียกเด็กผู้ชายด้วยคำน่าเกลียดอย่างน่ารักว่าไอ้หมูไอ้หมา หรือใช้เครื่องเพศเรียกอย่าง ไอ้ไข่ ไข่นุ้ย บักหำน่อย อาหลั่นเจี๊ยว (ภาษาจีน) ฯลฯ ผู้ใหญ่ว่าเรียกเด็กด้วยคำน่าเกลียดผีจะได้ไม่เอาไป เรียกไปเรียกมาก็เลยกลายเป็นชื่อเล่นของหลายๆ คนไปเลย

ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ชื่อแบบนี้อีกแล้ว เพราะความเชื่อและค่านิยมเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้มีอยู่ “ไอ้ไข่” หนึ่งซึ่งดังระเบิดระเบ้อเปรี้ยงปร้าง แล้วทำให้ชื่อแบบนี้กลับมาคุ้นหูกันอีก ทว่าไอ้ไข่ดังกล่าวไม่ใช่คน แต่เป็นผีเด็กอยู่ที่วัดเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มักเรียกกันว่าไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์

ไอ้ไข่โด่งดังเพราะผู้คนพากันแห่แหนไปกราบไหว้ขอหวยและโชคลาภนานาประการ ลือกันทำนองว่า “ขอได้ไหว้รับ” คนหนุ่ม-สาวกรุงเทพฯ ต้องจับเครื่องบิน จับรถทัวร์ไปยังจังหวัดนครฯ แก้บนกันด้วยประทัดจนกองเป็นภูเขาเลากา ทำให้เศรษฐกิจแถวนั้นกระเตื้องขึ้น ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเป็นเพียงวัดเล็กๆ ในต่างจังหวัดที่ไม่มีใครรู้จัก

ไอ้ไข่ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจหรือเป็นภาระที่ต้องพิสูจน์ เพราะใครอยากจะนับถืออะไรก็นับถือไป เป็นสิทธิของคนคนนั้น แล้วก็รับผิดชอบตัวเองไปครับ แต่ที่ผมสนใจคือ เหตุใดไอ้ไข่จึงโด่งดังขนาดนั้น ความโด่งดังนี้เกิดขึ้นภายใต้สภาพสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมแบบไหน


@@@@@@@

จากข้อมูลในสื่อต่างๆ รูปแกะสลักไอ้ไข่เพิ่งจะสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2524 โดยผู้ใหญ่เที่ยง เมืองอินทร์ ผู้ฝันถึงเด็กชื่อไอ้ไข่ ส่วนวัดเจดีย์เดิมเป็นวัดร้างก็เพิ่งบูรณะขึ้นใหม่ในราวปี พ.ศ.2500

ดังนั้น ตำนานเกี่ยวกับไอ้ไข่จึงพอๆ กับอายุของผมคือสามสิบปลายๆ เท่านั้น แต่ได้มีการเชื่อมโยงตำนานไอ้ไข่กับตำนานหลวงปู่ทวด ซึ่งเป็นเรื่องสมัยอยุธยาว่า ไอ้ไข่เป็นศิษย์ของหลวงปู่ทวด และได้รับมอบหมายให้เฝ้าวัดนี้ จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เฝ้าวัดไป

ผมไม่ทราบว่าชาวบ้านรู้จักหรือนับถือไอ้ไข่หรือตาไข่มากน้อยแค่ไหน ก่อนความโด่งดังของไอ้ไข่จะมีขึ้น แต่ไอ้ไข่คงอยู่ในฐานะ “ผีในวัด” เหมือนอีกหลายวัดในประเทศไทยที่ทำหน้าที่ช่วยชาวบ้านในแง่ความต้องการอย่างโลกๆ เช่น ควายหาย ผัวหาย อะไรทำนองนั้น

แม้จะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันตำนานดังกล่าว ผมกลับเห็นว่าความคลุมเครือได้กลายเป็นจุดแข็งของวัตถุมงคลใหม่ๆ ในทางการตลาดสินค้าความเชื่อ ตัวอย่างเช่น จตุคามรามเทพที่มีความคลุมเครือพอๆ กันหรือมากกว่าไอ้ไข่ด้วยซ้ำ และเคยโด่งดังเปรี้ยงปร้างมาแล้วเช่นกัน

ความคลุมเครือได้ทำให้ตำนานถูกสร้างขึ้นใหม่ได้เสมอ พูดง่ายๆ คือ ผู้สร้างวัตถุมงคลมีโอกาสที่จะใส่ความหมายที่ต้องการเข้าไปในวัตถุมงคลนั้นได้ตลอดเวลา และทำให้วัตถุมงคลดังกล่าวโด่งดังในวงกว้างได้ง่าย

เทพบางองค์ที่มีความชัดเจนในทางเทวตำนานหรือความเชื่ออย่างพระพิฆเนศวรหรือพวกเทพฮินดูจึงขายค่อนข้างยาก จะใส่ความหมายใหม่ก็จะมีคนแย้งว่าผิดกับคัมภีร์ การตลาดของวัตถุมงคลแบบนี้จึงเน้นกินยาวๆ ไม่ได้ดังตูมเดียวแบบอย่างอื่น

@@@@@@@

นักสร้างวัตถุมงคลเขาจึงพยายามมองหาสินค้าใหม่ๆ เสมอนะครับ นับว่าเป็นนักการตลาดที่ขยันทีเดียว หลังความนิยมจตุคามรามเทพสิ้นสุดลง มีผู้ทำนายว่าสินค้าวัตถุมงคลจะโยกย้ายไปที่เกจิอาจารย์ แต่ผมกลับพบว่าแนวโน้มของวัตถุมงคลกลับมาอยู่ที่ “ผี” แทน

ผีในที่นี้รวมเอาทุกสายของผีมาไว้ด้วยกันนะครับ ไม่ว่าจะไทยจีนแขกพม่าลาวเขมร ลูกเทพก็ผี อาแปะโรงสีนี่ก็ผีครับ เทพทันใจนี่ก็ผี ไอ้ไข่นี่ผีแน่ๆ อยู่แล้ว

ผีนั้นง่ายกว่าที่จะทำการตลาด เพราะผีไม่มีองค์กรมาบังคับให้ต้องเป็นไปตามระเบียบ จะนึกสร้างยังไงก็ได้ จะใส่ความหมายลงไปยังไงก็ได้ กระนั้นต้องบอกว่า ผีที่เอามาขายส่วนมากเป็นผีใหม่หรืออย่างน้อยก็แต่งตัวใหม่ ผีบางอย่างก็ไม่สามารถเอามาขายได้ง่ายนักเพราะยังมีลักษณะเฉพาะมากๆ หรือยังแฝงฝังในวิถีชาวบ้านบางกลุ่ม ซึ่งคือผีเก่าๆ นั่นแหละครับ

ส่วนพระพุทธรูปที่เฮี้ยนๆ เหมือนกับผี ผมเข้าใจว่าลดน้อยลงหรืออย่างน้อยก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ไม่เหมาะที่จะเอามาขายอีกแล้ว เหตุเพราะกระแสความต้องการพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ หรือการที่ผีค่อยๆ ออกมาจากพื้นที่วัดมากขึ้น จะขายพระพุทธรูปว่าเฮี้ยนจึงทำการตลาดยาก เพราะจะโดนโจมตีได้ง่าย โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่หรือปัญญาชน

แต่ในขณะเดียวกัน ความต้องการของสมัยใหม่ ที่ต้องการรวยเร็วรวยไวรวยปัง ผลักดันให้วัตถุมงคลต้อง “แรง” ความแรงดังคือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้สอดรับกับความต้องการดังกล่าว ผีจะแรงจริงหรือไม่จริงไม่เกี่ยว แต่ต้องบอกว่าแรงไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวขายไม่ได้

ผีนั้นสร้างให้แรงได้ง่ายกว่าอะไรอื่น เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของผีมีลักษณะแรง คือให้คุณให้โทษได้มาตั้งแต่แรก บิดความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมาให้เป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ ก็จะทำให้ผีนั้นติดตลาดได้ไว


@@@@@@@

หากกล่าวในสายเงินๆ ทองๆ อำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือความแรงที่สุดในปัจจุบันคือการบันดาลให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งนะครับ เพราะการถูกหวยรางวัลที่หนึ่งจะยกคุณให้พ้นไปจากกับดักรายได้ระดับกลางรวมถึงความยากจนทั้งหมดทั้งมวล การถูกหวยรางวัลที่หนึ่งจึงเป็นความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนธรรมดาๆ

แต่การถูกหวยคือโชค และเมื่อเป็นโชคจึงพ้นไปจากอำนาจกำหนดสั่งการของเรา ดังนั้น อำนาจภายนอกที่ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องเข้ามาทำหน้าที่นี้ แล้วทำไมเราจึงปรารถนาที่จะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งขนาดนั้น ผมตอบแบบง่ายๆ ว่า ก็เพราะเราอยู่ในสังคมการเมืองที่ห่วยแตกไร้สวัสดิการไงครับ

ไม่มีอะไรรับประกันรายได้ของคุณ คุณทำงานโดยปราศจากความมั่นคงใดๆ คุณผ่อนบ้านในกรุงเทพฯ หรือคอนโดฯ ในราคาสูง จ่ายค่ารถไฟฟ้าค่าเดินทางที่มาก คุณต้องเก็บเงินเอาไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า ไม่ว่าจะเอาไว้เข้าโรงพยาบาลเอกชนเพื่อรักษาตัวเพราะรอคิวโรงพยาบาลรัฐไม่ไหว หรือเพื่อซื้อบ้านพักคนชราให้ตัวเอง จ่ายค่าเทอมแพงๆ ให้ลูกเข้าโรงเรียนเอกชนดีๆ จ่ายค่าคุ้มครองหากคุณทำธุรกิจหลายๆ อย่าง จ่ายแป๊ะเจี๊ยะ โอ้ย สารพัด

ผมผู้ซึ่งสอนในมหาวิทยาลัยยังอยากถูกรางวัลที่หนึ่งเลยครับ เงินเดือนผมไม่ได้มากมาย และงานอาจารย์ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เคยคิดกันอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้วันดีคืนดีจะไม่ต่อสัญญาตอนไหน ไม่มีสวัสดิการนอกจากประกันสังคมซึ่งก็รู้กันอยู่ว่าเป็นอย่างไร

@@@@@@@

ลัทธิไลฟ์โค้ชสอนให้เราโทษตัวเอง เรายังขยันไม่พอ วิธีคิดเรายังไม่ถูกต้อง ทัศนคติเราผิด แต่ไม่ได้ให้เรามองปัญหาในทางโครงสร้าง ในทางสังคมการเมืองที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตที่ดีในรัฐที่มีสวัสดิการได้ งบประมาณจำนวนมากในรัฐถูกนำไปใช้ทำอะไร ผมคงไม่ต้องบอก รวมทั้งการผูกขาดในทางธุรกิจและอะไรต่อมิอะไรที่ดาหน้าโผล่มาให้เห็นตอนนี้

ที่ยกวิธีคิดแบบไลฟ์โค้ชมาก็เพราะมันคล้ายวิธีคิดทางไสยศาสตร์ครับ คือไม่สามารถมองอะไรพ้นไปจากตัวเองได้ แต่ไสยศาสตร์อาจโหดกว่าไลฟ์โค้ชด้วยซ้ำ เพราะไลฟ์โค้ชอาจเรียกโชคว่าจังหวะ แต่ในทางไสยศาสตร์ โชคเป็นของที่สิ่งอื่นบันดาลให้มีขึ้น เราไม่มีศักยภาพมากพอที่บันดาลโชคให้ตัวเอง

ไอ้ไข่ ผีเจ้าแกละ เจ้าส้มฉุน และผีน้องๆ ไอ้ไข่ที่หลายวัดหลายสำนักพยายามโปรโมตกัน จึงเกิดขึ้นมาสอดรับกับวิธีคิดและสภาพชีวิตแบบนี้พอดี

สำหรับผมแล้ว ข้อดีของไอ้ไข่มีเพียงอย่างเดียวคือ ให้ชาวบ้านในท้องถิ่นเขามีงานทำ มีรายได้ แต่เชื่อผมเถอะครับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกโปรโมตในทางการตลาดมีอายุของมัน วันหนึ่งหากนักการตลาดวัตถุมงคลได้ของใหม่แล้วและกระแสไอ้ไข่ซาลง ชาวบ้านจะทำยังไงกันต่อ

ดังนั้น พูดแบบน้องๆ เยาวชนปลดแอกเลยว่า ถ้าการเมืองดี เราก็ไม่ต้องรบกวนไอ้ไข่หรือผีไหนๆ




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11-17 กันยายน 2563
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 17 กันยายน พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_347355
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ