ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมสาระวันนี้ "เข้าใจ ธาตุ ก็เข้าใจ นามรูป รู้ที่ตั้งที่ดับ เพราะ อุปาทายรูป "  (อ่าน 50507 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ก็ได้ วิตก วิจารย์
      แต่การรู้ยิ่ง ปฐวิโดยความเป็นปฐวี หมายถึงรู้ด้วยสัญญาที่แตกต่างจากปุทุชน หรือรู้ด้วยญาณอันพิเศษยิ่ง
          ครูอาจารย์ว่าไว้ว่า เมื่อรู้ยิ่ง ในปฐวี ก็รู้ว่า ปฐวี ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(ครูบาอาจารย์ว่าไว้แค่นี้)
      ต่อจากนี้คือความเห็นแบบมนุษย์ ว่าวิจารย์แบบปริยัตินะ  ต้องเป็นผู้ที่ฉลาดชุมนุมกรรมฐาน ฉลาดชุมนุม อานาปา 9 จุด ปฐวีกสิน กายคตา จักรสุกิตติมา ท่าข้ามรอบด้าน(ช่อง) สโตริกาญาณชุมนุม รูปที่สั้น ยาว ละเอียด หยาบ
       รูปยาวรูปสั้นรูปหยุด  รูปลม 16 ข้อ(หายใจเข้า-ออก กลายเป็นอาการ 32)และเป็น สติปัฏฐานเต็มๆ มี กาย เวทนา จิต ธรรม อุปาทายรูปก็ย่อมตั้ง อยู่มิได้ ในรูปวัตถุ 16(วาง เกิดฃึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในลม)และเห็นด้วยญาณพิเศษ คือ ญาณสติ 200 ธาตุย่อมตั้งอยู่มิได้ ในวิญญาณ ที่หลุด ทะยาน พุ่งไป หมุนซี่กงล้อ หมุนอวิชชาทั้งแปด ไม่มีที่สิ้นสุด  แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเห็นไตรลักษณ์ ว่าฉลาดเว้นธรรมที่เป็นอุปการะ และ ที่ไม่เป็นอุปการะ ถือมาก ถือน้อย วางมาก วางน้อย รึวางหมด ทั้งรูป และอารมณ์
          สองส่วนดับ เหมือนทลายตาลทั้งคู่นั้น หรือเปล่า ขอคุยเล่นๆเป็นเพื่อนแค่นี้
               
         
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
พระสุตตันตปิฏก  ขุททกนิกาย  มหานิทเทส  [อัฎฐกวรรค]
 ๒.  คุหัฏฐกสุตตนิทเทส                 
  ว่าด้วยผัสสะต่าง ๆ           


      คำว่า    กำหนดรู้ผัสสะแล้ว    ก็ไม่ติดใจ    อธิบายว่า
      คำว่า    ผัสสะ(๑)    ได้แก่   
  จักขุสัมผัส(สัมผัสทางตา)   
  โสตสัมผัส(สัมผัสทางหู)
  ฆานสัมผัส(สัมผัสทางจมูก)   
  ชิวหาสัมผัส(สัมผัสทางลิ้น)   
  กายสัมผัส(สัมผัสทางกาย)
  มโนสัมผัส(สัมผัสทางใจ)   
  อธิวจนสัมผัส(สัมผัสที่เกิดทางมโนทวาร)   
  ปฏิฆสัมผัส(สัมผัสแห่งการกระทบใจ)   
  สุขเวทนียผัสสะ(ผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา)   
  ทุกข-เวทนียผัสสะ(ผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา)   
  อทุกขมสุขเวทนียผัสสะ(ผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา)   
  ผัสสะที่เป็นกุศล   
  ผัสสะที่เป็นอกุศล   
  ผัสสะที่เป็นอัพยากฤตผัสสะที่เป็นกามาวจร   
  ผัสสะที่เป็นรูปาวจร   
  ผัสสะที่เป็นอรูปาวจร   
  สุญญตผัสสะ
  อนิมิตตผัสสะ   
  อัปปณิหิตผัสสะ   
  ผัสสะที่เป็นโลกิยะ   
  ผัสสะที่เป็นโลกุตตระ   
  ผัสสะที่เป็นอดีต   
  ผัสสะที่เป็นอนาคต   
  ผัสสะที่เป็นปัจจุบัน   
       ผัสสะ ความถูกต้อง  กิริยาที่ถูกต้อง ภาวะที่ถูกต้องเห็นปานนี้ นี้ตรัสเรียกว่า ผัสสะ


(๑) ผัสสะ  หมายถึงความสัมผัสอารมณ์ที่มากระทบ  เช่น  ตากระทบกับรูป  หรือตาเห็นรูป  เรียกว่า  จักขุสัมผัส
   เป็นต้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 14, 2012, 08:23:27 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

เพียงเ็พ็ญ ก่ำสุข

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 68
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระสุตตันตปิฏก  ขุททกนิกาย  มหานิทเทส  [อัฎฐกวรรค]
 ๒.  คุหัฏฐกสุตตนิทเทส                 
  ว่าด้วยผัสสะต่าง ๆ           


      คำว่า    กำหนดรู้ผัสสะแล้ว    ก็ไม่ติดใจ    อธิบายว่า
      คำว่า    ผัสสะ(๑)    ได้แก่   
  จักขุสัมผัส(สัมผัสทางตา)   
  โสตสัมผัส(สัมผัสทางหู)
  ฆานสัมผัส(สัมผัสทางจมูก)   
  ชิวหาสัมผัส(สัมผัสทางลิ้น)   
  กายสัมผัส(สัมผัสทางกาย)
  มโนสัมผัส(สัมผัสทางใจ)   
  อธิวจนสัมผัส(สัมผัสที่เกิดทางมโนทวาร)   
  ปฏิฆสัมผัส(สัมผัสแห่งการกระทบใจ)   
  สุขเวทนียผัสสะ(ผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา)   
  ทุกข-เวทนียผัสสะ(ผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา)   
  อทุกขมสุขเวทนียผัสสะ(ผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา)   
  ผัสสะที่เป็นกุศล   
  ผัสสะที่เป็นอกุศล   
  ผัสสะที่เป็นอัพยากฤตผัสสะที่เป็นกามาวจร   
  ผัสสะที่เป็นรูปาวจร   
  ผัสสะที่เป็นอรูปาวจร   
  สุญญตผัสสะ
  อนิมิตตผัสสะ   
  อัปปณิหิตผัสสะ   
  ผัสสะที่เป็นโลกิยะ   
  ผัสสะที่เป็นโลกุตตระ   
  ผัสสะที่เป็นอดีต   
  ผัสสะที่เป็นอนาคต   
  ผัสสะที่เป็นปัจจุบัน   
       ผัสสะ ความถูกต้อง  กิริยาที่ถูกต้อง ภาวะที่ถูกต้องเห็นปานนี้ นี้ตรัสเรียกว่า ผัสสะ


(๑) ผัสสะ  หมายถึงความสัมผัสอารมณ์ที่มากระทบ  เช่น  ตากระทบกับรูป  หรือตาเห็นรูป  เรียกว่า  จักขุสัมผัส
   เป็นต้น



  อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ อยู่ดีคะ ว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับหัวข้อคะ

   :25: :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
ประเทศชาติมีได้ เพราะมีสถาบัน ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์
หยุดทำร้ายซึ่งกันและกัน เสียเถิด เพราะเราเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมว่า พระอาจารย์กำลังบรรยาย อายตนะธาตุ อยู่นะครับ

  อายตนะธาตุ ที่ผมรู้ คือ 6 คู่

 ตา  ผัสสะ รูป
 หู   ผัสสะ เสียง
 จมูก ผัสสะ กลิื่น
 ลิ้น ผัสสะ รส
 กาย ผัสสะ โผฏฐัพพะ
 ใจ  ผัสสะ ธรรมารมณ์

  อันนี้พระอาจารย์ ยกให้รู้ละ้เอียดเพิ่มขึ้น ผมว่า อายตนะธาตุ อยู่ตรงพระสูตรนี้ นะครับถ้าพิจารณาให้ดี

 
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมนึก ถึง Email ได้ฉบับหนึ่งของพระอาจารย์ แต่เสียดายลบไปแล้วครับ กล่าวถึงเรื่องรูป
แต่พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ
โดยเริ่มต้นอธิบาย ถึงธาตุ คือ รูป คือ หทัยรูป คืออายตนะรูป (ผัสสะที่นำเสนออยู่) และ อุปาทายรูป ต่อมาเป็น พหุรูป บัญญัติรูป ปรมัตถรูป และ นามรูป

  เท่านที่จำได้ก็อย่างนี้ ตอนนั้นอ่านไม่รู้เรื่อง ท่านกล่าวว่าเป็นการทดสอบความเข้าใจของผู้ภาวนากรรมฐาน น่าเสียดายฉบับเต็ม 3 หน้า ประมาณ 70 บรรทัดถ้าจำไม่ผิด

  นึกไปนึกมา ทำไมพระอาจารย์ไม่นำมาโพสต์ในเว็บเรื่องนี้ และ ความอุตาสาหในการพิมพ์มาให้อ่าน

   สาธุ สาธุ สาธุ

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

winyuchon

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมนึก ถึง Email ได้ฉบับหนึ่งของพระอาจารย์ แต่เสียดายลบไปแล้วครับ กล่าวถึงเรื่องรูป
แต่พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ
โดยเริ่มต้นอธิบาย ถึงธาตุ คือ รูป คือ หทัยรูป คืออายตนะรูป (ผัสสะที่นำเสนออยู่) และ อุปาทายรูป ต่อมาเป็น พหุรูป บัญญัติรูป ปรมัตถรูป และ นามรูป

  เท่านที่จำได้ก็อย่างนี้ ตอนนั้นอ่านไม่รู้เรื่อง ท่านกล่าวว่าเป็นการทดสอบความเข้าใจของผู้ภาวนากรรมฐาน น่าเสียดายฉบับเต็ม 3 หน้า ประมาณ 70 บรรทัดถ้าจำไม่ผิด

  นึกไปนึกมา ทำไมพระอาจารย์ไม่นำมาโพสต์ในเว็บเรื่องนี้ และ ความอุตาสาหในการพิมพ์มาให้อ่าน

   สาธุ สาธุ สาธุ

 :25: :25: :25:

 น่าเสียดาย นะครับ ถ้านำมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน อาจจะได้รับประโยชน์กับหัวข้อนี้ได้มากเลยนะครับ  แต่ก้แปลกนะครับ พระอาจารย์ไม่ใช่จะส่งข้อความยาว ๆ ให้ใคร นะครับ แสดงว่าคุณสมภพ นี้ต้องเป็นศิษย์เอกแน่ เลยนะครับ จึงได้รับคำแนะนำที่ลึกซึ้ง

 :49:
บันทึกการเข้า

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


 น่าเสียดาย นะครับ ถ้านำมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน อาจจะได้รับประโยชน์กับหัวข้อนี้ได้มากเลยนะครับ  แต่ก้แปลกนะครับ พระอาจารย์ไม่ใช่จะส่งข้อความยาว ๆ ให้ใคร นะครับ แสดงว่าคุณสมภพ นี้ต้องเป็นศิษย์เอกแน่ เลยนะครับ จึงได้รับคำแนะนำที่ลึกซึ้ง

 :49:
[/quote]

  ผมไม่ด้เป็น ศิษย์เอก ไม่กล้าแอบอ้างครับ ยังไม่เคยพบพระอาจารย์เลยครับ ยังไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน ด้วยเลยครับ แต่ผมถามปัญหาไปทางเมล ค่อนข้างจะลึกซึ้งมากในคำถาม นะครับ เท่านั้นครับ

   :13: :13: :13:
บันทึกการเข้า

pichai

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 99
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อยากให้เพื่อน วางใจ อย่างนี้นะครับ เวลาที่เราอ่านบทความธรรม แล้วไม่เกิดความเข้าใจเลยนั้น

  1.ให้รู้ตัว ว่าเรายังขาดการภาวนาระดับนัน ๆ อยู่
  2. เป็นโอกาสที่จะได้สอบถาม เรืองที่จะไม่เข้าใจ
  3. ที่สำคัญเป็นโอกาสที่เราจะละมานะ ว่าเราเก่ง เราด้อย เราเสมอกับผู้อื่นออกไปครับ
  4. ยังได้อุ่นใจที่ยังมีผู้ชี้นำทางให้เกับเราอยู่ครับ เวลาที่เราคิดว่า เราเก่งกว่าผู้อื่นก็มักจะคิดว่าเรารู้แจ้งธรรมแตกฉาน ผมติดตามอ่านบทความพระอาจารย์มา 2 ปีแล้ว รู้สึกที่รู้ ๆ มานั้นใช้ไม่ได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้เดาคำตอบของพะอาจารย์ไม่ได้เลยครับ เพราะผมอ่านบทความคำถามเพื่อน  แล้ว ก็คิดว่าพระอาจารย์ต้องตอบอย่างนี้ เรื่องนี้น่าจะตอบเป็นพิเศษ เรื่องนี้ท่านจะไม่ตอบ เดี๋ยวนี้พูดได้เลยครับ ว่าเดาไม่ได้แล้วครับ คือไม่รู้ว่าพระอาจารย์จะตอบแง่มุมไหน แตก็รู้อยูว่าต้องตอบไปเพื่อ มรรค ผล นิพพาน แน่นอน ครับ

   :49:
บันทึกการเข้า

montra

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 76
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้าเป็นไปตามที่ คุณ สมภพ แนะนำมาก็แสดงให้เห็นว่า ลำดับในพระกรรมฐาน ที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัศนะ นั้นต้องเข้าไป รู้ ตามลำดับ อย่างนี้ใช่หรือไม่ครับ

                       1. ธาตุ   2 หทัยรูป  3.อายตนะธาตุ  4. อุปาทายรูป  5. รูปาวจร  6.อรูปาวจร 7. นามรูป 8.นิพพาน ( วิญญาณ )

   ใช่แบบนี้หรือไม่

      1.ธาตุ มีเริ่มต้นตั้งแต่ ธาตุ ดิน ไฟ น้ำ ลม อากาส ( มากกว่ามหาภูตรูป )
      2.หทัยรูป กล่าวว่า อยู่ที่อากาศธาตุ ที่สถิตย์ คือ หัวใจ บรรจุ เจตสิก โดยตรง
      3.อายตนะธาตุ มีผัสสะ เป็นที่รู้ เรียกว่า มนายตนะธาตุ คือ ธาตุรู้ ๆ เพื่อดับอารมณ์เบื้องต้น คือการปล่อยวาง   
      4.อุปาทายรูป หมายถึงรูปที่มีใจครอง โดยในการภาวนาใส่ไว้ ในธาตุต่างแยกเป็นส่วน เรียกว่าโกฏธาตุ มีตั้งแต่ เกสา โลมา เป็นต้น ธาตุเหล่านี้ มีใจครองเป็นของตน ไม่เกี่ยวข้องด้วยหัทัยรูป จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่สนใจ ในใจของเรา ไม่เป็นไปตามอำนาจบังคับบัญชา

      5.รูปาวจร คือ อารมณ์ที่เข้ไปร่วมกับรูป ที่เป็น ปฐมฌาน ถึง จตุตฌานยังจัดว่ามีรูปอยู่
      6.อรุปาวจร คือ อารมณืเข้าไปร่วมกับอรูป ที่เป็น ฌาน 5 ถึง ฌานแปด
      7.นิพพาน คืออารมณืที่ยกสถานะขึ้นไปสู่ สภาวะอาสวักขยญาณเป้นไปเพื่อการดับกิเลส

   คือจำมาได้ ก้เพียงเท่านี้นะครับ รู้สึกว่ามีกระทู้เรื่องนี้อยู่ผมพยายามค้นอยู่ 3 วัน แล้วอ่านตอนนั้นยังไม่ค่อยจะเข้าใจ พอได้อ่านธรรมวิจารณ์ ส่วนนี้รู้สึกว่าแจ่มแจ้งขึ้น และนึกถึงกระทู้นั้นได้ เสียดายเป็นคำตอบที่ตอบลงไปในช่วงกลาง ๆ ไม่ใช่หัวข้อกระทู้เลยค้นอยากตรงส่วนนี้พระอาจารย์ได้กล่าวอธิบาย เรื่องธาตุ อย่างละเอียดจนกระทั่ง เป้น รูป

    ใครค้นได้ ขออนุโมทนาด้วย นะครับ

     :c017: :25:
บันทึกการเข้า

timeman

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 91
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมว่าปัญหา อยู่ที่ 2.หทัยรูป กล่าวว่า อยู่ที่อากาศธาตุ ที่สถิตย์ คือ หัวใจ บรรจุ เจตสิก โดยตรง
ว่าตอนนี้ หทัยรูป ปรากฏหรือยัง หรือเข้าถึงหรือยัง  พระลักษณะ พระรัศมี ได้หรือยัง ที่ ผรณาปีติธรรม

ผมว่าส่วนนี้ ที่เรายังไม่เข้าถึง หรือ ยังไม่เข้าใจ
 ส่วนการสัมปยุตธรรม ผมเคยรับฟัง ทางรายการหลายครั้ง ซึ่ง เป็นการยกจิตเข้าสุ่สภาวะวิปัสสนา แบบอ่อน ๆ

  รู้สึกดีครับ ได้ฝึกแบบนี้ และรู้สึกถึงกรรมฐาน ได้ก้าวหน้าครับ ถึงแม้ว่าวันนี้ ธรรมที่เป็นส่วนลึกจะอ่านยังไม่เข้าใจแต่คิดว่า สักวันหนึ่งถ้าเราปฏิบัติภาวนาถึงตรงนั้นแล้วก็จะสามารถเข้าใจได้ครับ

  :13: :13: :13: :49:
บันทึกการเข้า
ทะลุมิติ มาหา ความจริง ของตัวเอง

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นวความสำคัญใน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้น ว่ามีมาในพระไตรปิฏก ซึ้งควรค่าแก่การเผยแผ่ แก่การรักษาสืบไป  จึงเห็นควรให้มีการช่วยกันเผยแผ่ออกไป ให้มากๆ (ที่สำคัญมากๆ ผู้พูด ผู้รู้ ผู้ศึกษา ต้องปฏิบัติด้วย)
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

Sitti

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การภาวนา สำหรับกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

   เริ่มที่ห้องพระธรรมปีติ มี ขุททกาปีติ เป็นธาตุดิน
                             ขณิกาปีติ เป็นธาตุไฟ
                             โอกกันติกาปีิติ เป็นธาตุน้ำ
                              อุพเพงคาปีติ เป็นธาตุลม
         
                            สี่ปีตินี้จัดเป็น รูป เรียกว่า รูป คือ มหาภูตรูป 4 มีดิน ไฟ น้ำ ลม
                         
                             ผรณาปีติ เป็นธาตุอากาศ คือ หทัยวัตถุ เป็นที่สถิตย์ของใจ ซึ่งจับต้องไม่ได้เหมือนอากาส ใช้ความรู้สึก นึกคิด รับรู้ได้ ส่วนนี้ เลยต่อมา คือ การกำหนดรู้ อายตนะธาตุ คือ ผัสสะที่พระอาจารย์ อธิบาย โดยยกพระสูตรมา ต่อจากนี้ ก็จะเข้าใจ อุปาทายรูป ธาตุ 18

         วิธีปฏิบัติ ก็คือ พุทโธ ตั้งมั่นในฐานจิต เช่นเดิม การกำหนดยกองค์บริกรรม เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นั้น เป็น วิปัสสนาอ่อนๆ ในเบื้องต้น

                 :25: :25: :25:

                           
บันทึกการเข้า
สิทธิ มาแว๊ว มาตามคำเชิญ แก๊งค์  อ๊บ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา กับ ข้อคิดเห็นของทุกท่านแสดงว่า ทุกท่านยังมีความสนใจในการภาวนาส่วนนี้อยู่ ทุกท่านถึงแม้จะเป็นเืรื่องที่เข้าใจยาก แต่ก็ต้องอ่านหลาย ๆ เที่ยวคะ

  :c017: :25:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

samapol

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 304
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 :67: :67: :67: :67:

   ตามอ่านมาเป็นเวลา  หลายวัน ขบคิด นั่งพิจารณา แง่มุมในการอธิบายให้กับตนเอง แต่แล้วก็ติด เพราะคิดค้อไม่ออก คิดไปหลายรอบ สุดท้าย คำที่ติดคือคำที่ไปยังไม่ถึง นั้นก็คือคำว่า วิญญาณ ( นิพพาน ) มาทบทวนดูแล้วอะไรเป็นหัวใจของสาระบทความนี้ ก็พิจารณาเห็นสิ่งที่โพสต์ไว้ในตอนต้น

    ฉลาดในการเข้าสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเลือกอาหารและฤดูที่เหมาะแก่การเจริญสมาธิ  (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๒๔/๑๐๙)
         ฉลาดในการตั้งอยู่ในสมาธิ  หมายถึงสามารถตั้งจิตให้เป็นสมาธิได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙)
         ฉลาดในการออกจากสมาธิ  ในที่นี้หมายถึงกำหนดเวลาที่จะออกจากสมาธิได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙
         ฉลาดในความพร้อมในสมาธิ  หมายถึงสามารถทำจิตให้มีความร่าเริงได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙)
         ฉลาดในโคจรในสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเว้นธรรมที่ไม่เป็นอุปการะแก่สมาธิแล้วเลือกเจริญแต่ธรรมที่   เป็นสัปปายะและเป็นอุปการะโดยรู้ว่า  “นี้คือกามารมณ์ที่เป็นนิมิต  (เครื่องหมาย)  สำหรับทำให้จิตกำหนด   นี้คืออารมณ์ที่เป็นไตรลักษณ์”  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๒๐๙)
         ฉลาดในอภินิหารในสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเจริญสมาธิขั้นปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตติยฌาน  และ   จตุตถฌาน  ตามลำดับจนเกิดความชำนาญแล้วเข้าสมาธิขั้นสูงขึ้นไป  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๑๐)



    พอเห้นปั๊บ ก็พิจารณาถึงเนื้อหา ก็เลยบางอ้อบ้าง ที่แท้ การที่จะอธิบายให้เข้าใจ นั้นเราต้องมุ่งที่การอธิบายให้กับตัวเรานะ ไม่ใช่มุ่งอธิบายให้กับใคร และการจะอธิบายได้ก็อยู่ที่

       ฉลาดในการเข้าสมาธิ ฉลาดในการตั้งอยู่ในสมาธิ ฉลาดในการออกจากสมาธิ   ฉลาดในความพร้อมในสมาธิ  ฉลาดในโคจรในสมาธิ   ฉลาดในอภินิหารในสมาธิ 

       ก็หมายถึง เราจะเข้าใจได้ก็ต้อง มีฉลาดในการภาวนาสมาธิ การภาวนาสมาธินับว่าเป็นขั้นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา เป็น อริยมรรคสุดท้ายที่คนส่วนใหญ่จะละเลยกัน ใช่หรือไม่ครับ เพราะวันหนึ่ง ๆ นั้นเราต้องใช้สมาธิสนับสนุนแต่เป็นสมาธิที่เป็นพั้นฐานที่เราเองวนั้นมีอยู่กันทุกคนอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่สมาธิแบบนี้จึงมีคนใช้กันอยู่มาก และก็คิดว่าสมาธิระดับที่มีกันอยู่แล้วนี้จะสามารถเข้าใจธรรม ขั้นสูงสุดของพระพุทธศาสนาได้ เพราะเราคิดอย่างนี้จึงไม่ได้สนใจในการฝึกสมาธิกันให้ก้าวหน้า พอเจออุปสรรคกันหน่อยในการภาวนา ก็ไปโทษสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราเอง แทนที่จะหันกลับมาพิจารณาว่าความฉลาดในสมาธิ นั้นเรามีหรือไม่ เราฉลาดในการเจริญหรือไม่  ฉลาดในการตั้งอยู่ในสมาธิหรือไม่ ฉลาดในการออกจากสมาธิหรือไม่ ฉลาดในความพร้อมหร้อไม่ ฉลาดในการโคจรสมาธิหรือไม่ ฉลาดในอภินิหาในสมาธิหรือไม่

     ผมว่าคำตอบสำหรับพวกเราก็อยู่ที่วิธีการ นะครับ


   สาธุ สาธุ สาธุ กับบทความทดสอบนี้ครับ


  :c017: :c017: :c017: :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ฉลาดในการเข้าสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเลือกอาหารและฤดูที่เหมาะแก่การเจริญสมาธิ  (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๒๔/๑๐๙)
         ฉลาดในการตั้งอยู่ในสมาธิ  หมายถึงสามารถตั้งจิตให้เป็นสมาธิได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙)
         ฉลาดในการออกจากสมาธิ  ในที่นี้หมายถึงกำหนดเวลาที่จะออกจากสมาธิได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙
         ฉลาดในความพร้อมในสมาธิ  หมายถึงสามารถทำจิตให้มีความร่าเริงได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙)
         ฉลาดในโคจรในสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเว้นธรรมที่ไม่เป็นอุปการะแก่สมาธิแล้วเลือกเจริญแต่ธรรมที่   เป็นสัปปายะและเป็นอุปการะโดยรู้ว่า  “นี้คือกามารมณ์ที่เป็นนิมิต  (เครื่องหมาย)  สำหรับทำให้จิตกำหนด   นี้คืออารมณ์ที่เป็นไตรลักษณ์”  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๒๐๙)
         ฉลาดในอภินิหารในสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเจริญสมาธิขั้นปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตติยฌาน  และ   จตุตถฌาน  ตามลำดับจนเกิดความชำนาญแล้วเข้าสมาธิขั้นสูงขึ้นไป  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๑๐)


   แล้วทำอย่างไรดีครับ ในความฉลาดในสมาธิ หรือก่อนมีสมาธิ หรือขณะทรงสมาธิ

ฉลาดในการเข้าสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเลือกอาหารและฤดูที่เหมาะแก่การเจริญสมาธิ  (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๒๔/๑๐๙)

   อันนี้อ่านดูแล้ว ดูเหมือนจะไม่ยาก นะครับ อาหาร ฤดู สถานที่ อันนี้พอจะเข้าใจครับ คือเรื่อง สัปปายะใช่หรือไม่ครับ แต่ว่าที่ไหนดีครับ ที่บ้าน หรือ ที่วัด หรือ ที่ ๆ มีการฝึกอบรมโดยตรง

  ฉลาดในการตั้งอยู่ในสมาธิ  หมายถึงสามารถตั้งจิตให้เป็นสมาธิได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙)

   อันนี้หมายถึงการเข้าสมาธิ ใช่หรือไม่ครับ คือระหว่างในการดำเนินสมาธิ ขั้นตอนการกำหนดจิตในสมาธิ ใช่หรือไม่ครับ

  ฉลาดในความพร้อมในสมาธิ  หมายถึงสามารถทำจิตให้มีความร่าเริงได้  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๐๙)

   อันนี้หมายถึงผลสมาธิเบื้องต้น ที่มีปิติ ปราโมทย์ ใช่หรือไม่ครับ

  ฉลาดในโคจรในสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเว้นธรรมที่ไม่เป็นอุปการะแก่สมาธิแล้วเลือกเจริญแต่ธรรมที่   เป็นสัปปายะและเป็นอุปการะโดยรู้ว่า  “นี้คือกามารมณ์ที่เป็นนิมิต  (เครื่องหมาย)  สำหรับทำให้จิตกำหนด   นี้คืออารมณ์ที่เป็นไตรลักษณ์”  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๒๐๙)

   อันนีี้เริ่มจะเข้าใจยาก ขึ้นนะครับ รอท่านผู้รู้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมกันดีกว่า

  ฉลาดในอภินิหารในสมาธิ  หมายถึงฉลาดในการเจริญสมาธิขั้นปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตติยฌาน  และ   จตุตถฌาน  ตามลำดับจนเกิดความชำนาญแล้วเข้าสมาธิขั้นสูงขึ้นไป  (องฺ.ฉกฺก.อ.  ๓/๒๔/๑๑๐)

    ส่วนอันนี้ไม่กระดิกเลยครับ

  ติดตาม ธรรมวิจารณ์ จากเพื่อน ๆ ทุกท่านกันอยู่นะครับ

  อนุโมทนา ครับ

   :25:

 
บันทึกการเข้า

poepun

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 134
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ไม่ได้เข้ามา เกือบเดือน สังเกตเรื่องนี้ มีการตอบ วิจารณ์กันมากนะครับ น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะครับ เพราะดูหลาย ๆ ท่านมีความสนใจ ถามตอบกันมากกว่าเรื่อง อื่น ๆ อันที่จริง แก่นของเรื่องนี้ อยู่ตรงไหน ผมว่าอยุ่ที่ความฉลาดในสมาธิ แน่ ๆ นะครับ อ่านจากที่ พี่พล และ พี่ดอน  สรุปไว้ทั้ง ๆ ที่สองท่านปฏิบัติในแนวสายวัดป่า ผมคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่ การภาวนา หรือ ความฉลาดในสมาธิ ที่นี้ ความฉลาดในสมาธิ นี้มีหลายระดับ ระดับไหน ถึงจะไปตอบคำถามได้ ถึงขึ้น วิญญาณ ผมว่่าน่าจะเป็นระดับ ฉลาดในโคจรสมาธิแล ฉลาดในอภินิหารของสมาธิ นะครับ

  ก็ลองร่วมด้วย ช่วย ธรรมวิจารณื นะครับ ไม่ใช่มาอวดรู้ อย่างน้อย ได้ถือว่าทำข้อสอบร่วมกับเพื่อน ๆ ด้วยกันครับ

  สาธุ สาธุ สาธุ
   :s_hi:
บันทึกการเข้า

chutina

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 99
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านมาตั้งแต่ เช้า กว่าจะมาถึงที่สุดทำความเข้าใจ ตามมา ถึงจะนาน ๆ มาทีก็พอจะเข้าใจนะคะ หัวข้อนี้ น่าจะเป็นบทความทดสอบ ลูกศิษย์ จากพระอาจารย์มากกว่า คือท่านคงต้องการทราบว่า ลูกศิษย์ มีความเข้าใจถึงระดับไหนแล้วเป้นแน่แท้ ถ้าตอบอย่างทั่วไป ก็คือ มีความเข้าใจว่าพระนิพพาน นั้น ไม่มีธาตุ 4 ไม่มีนามรูป ดังนั้น การเข้านิพพาน ก็ต้องดับ นามรูป การดับนามรูป ก็ต้องได้ด้วยจิตที่กำลังด้วย สมาธิ และ วิปัสสนา ดังนั้นวิปัสสนา อาศัยสมาธิ และสมาธิ จะนำไปสู่การวิปัสสนา ขั้นสูง  ที่สำคัญ สมาธิ จัดเป็นอริยมรรค ท้าย ๆ ที่เราเอง ( ตัวเอง )นะคะที่หลักเลี่ยงการภาวนา ตรง ๆ อยุ่เสมอ เพราะไม่ขอบกับการหยุด นิ่งนั่งหลับตา ปวดหลัง ปวดเอว คะ มันเมื่อย

   แต่อ่าน ๆ ดูแล้ว เราคงจะเลี่ยงจากเรื่อง สมาธิ นี้ไม่ได้นะคะ
     :25: :25: :25: :58:
บันทึกการเข้า

nonestop

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ก็อ่านมาหลายวัน เหมือนกัน ครับ แต่ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ง่าย ๆ เพราะเกินจากวิสัยของปุถุชนจะเข้าใจ ว่าแต่ศิษย์กรรมฐาน โดยตรง ไม่แสดงความเห็นกันบ้างหรือครับ จะได้เพิ่มพูนความรูให้ผมบ้างนะครับ

   :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า
nonestop  หยุดทำ้ร้าย หยุดเบียดเบียน หยุดการกลับมาเกิด กันเถิดครับ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เจริญพรทุกท่าน สำหรับ หัวข้อนี้ ก็เป็นโจทก์ทดสอบศิษย์ จริง ๆ เพระาว่าได้รับจดหมาย เสียงบ่น ว่าตอนนี้ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ตั้งแต่ปฏิบัติมาไม่ได้อะไร และหลายท่่านที่พยายามคาดคั้นการเรียน กรรมฐาน คือต้องให้สอนกรรมฐานเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ท่านทั้หลายไม่มีความก้าวหน้าในการภาวนา ด้วยสาเหตุหลาย ๆ ประการ

   สิ่งสำคัญที่สุด ศิษย์ส่วนใหญ่ ไม่ได้นำจิตเข้ามามองตน ดูปณิธานการภาวนาที่ตนเองตั้งความปรารถนาไว้ในเบื้องต้นว่าต้องการอะไรในการภาวนา บางครั้งก็เลยพาลส่งจิตออกไปเห็นเพื่อนสำคัญ เห็นวัดสำคัญ เห็นสถานที่สำคัญ เห็นอะไร ต่อ อะไร ที่เป็นภายนอกนำมาเป็นปัจจัยเงื่อนไข ให้ตนเองไม่ภาวนา นั่นเพราะว่าหลงลืม สิ่งที่ตนเองต้องการในการมาภาวนากรรมฐาน ปณิธาน เพื่อการไม่เวียนว่ายตายเกิด เสื่อมถอยจึงทำให้มีความรู้สึกว่า เหมือนไม่ได้อะไรจากการภาวนา ทั้ง ๆ ที่หลายท่าน มีครูอาจารย์นำมาจนถึง จุดที่เกินจากจุดเริ่มต้นมากมาย

   การที่ออกธรรมสาระบทนี้มา เจตนา เพื่อเตือนท่านทั้งหลายที่หลงผิดคิดว่าตนเองเข้าถึงนิพพานแล้ว ไม่ต้องเรียนอีก บางท่านติดอยู่แค่ปราโมทย์ หรือ บางท่านอยู่แค่ปีติ ไม่เข้าใจ และ ยังไม่เข้าถึง ห้วงเวลาของการเห็น ที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัศศนะ ( ห้วงเวลาพิเศษเฉพาะผู้ที่สมาธิสมบูรณ์ )

    สาระธรรม ที่ท่านควรจะได้เข้าถึงไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ ธาตุ เป็นต้นไป

  ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงใส่ใจในการภาวนาให้มากขึ้น อย่าหลงลืมปณิธานในการภาวนา ที่ท่านมาภาวนากรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นี้เพื่ออะไร?

    เจริญพร / เจริญธรรม

     ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

เจมส์บอนด์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 186
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ดังนั้น การภาวนาพึงต้องเข้าใจ เรื่อง ธาตุ ก่อนใฃ่หรือไม่ครับ

 ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ

 เจริญธรรมยามเช้าครับ

  :25:
บันทึกการเข้า
ps2 psx nds n64 rom nes play1 play2 gamepc xbox wii castlevania finalfantasy nds ps1 sega
ผมชอบเล่นเกมส์ แต่ ก็แบ่งเวลานั่ง กรรมฐาน ครับ คนรุ่นใหม่ไม่กลัวกรรมฐาน

SAWWALUK

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 246
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ใช้ ก็พระขุทกา เป็นในส่วนของธาตุดิน
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

GodSider

  • ผู้อุปถัมภ์
  • กำลังแหวกกระแส
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 121
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
กว่าจะอ่านตั้งแต่จนมาถึงตรงนี้ สามวัน เหนื่อย เหมือนกันครับ เพราะความเข้าใจไม่มีมาก่อนนะครับ

  :41: :25:
บันทึกการเข้า
สุดเขต เสลดเป็ด ไกลสุดกู่ ใกล้แค่ ปลายจมูก

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เจริญพรทุกท่าน สำหรับ หัวข้อนี้ ก็เป็นโจทก์ทดสอบศิษย์ จริง ๆ เพระาว่าได้รับจดหมาย เสียงบ่น ว่าตอนนี้ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ตั้งแต่ปฏิบัติมาไม่ได้อะไร และหลายท่่านที่พยายามคาดคั้นการเรียน กรรมฐาน คือต้องให้สอนกรรมฐานเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ท่านทั้หลายไม่มีความก้าวหน้าในการภาวนา ด้วยสาเหตุหลาย ๆ ประการ

   สิ่งสำคัญที่สุด ศิษย์ส่วนใหญ่ ไม่ได้นำจิตเข้ามามองตน ดูปณิธานการภาวนาที่ตนเองตั้งความปรารถนาไว้ในเบื้องต้นว่าต้องการอะไรในการภาวนา บางครั้งก็เลยพาลส่งจิตออกไปเห็นเพื่อนสำคัญ เห็นวัดสำคัญ เห็นสถานที่สำคัญ เห็นอะไร ต่อ อะไร ที่เป็นภายนอกนำมาเป็นปัจจัยเงื่อนไข ให้ตนเองไม่ภาวนา นั่นเพราะว่าหลงลืม สิ่งที่ตนเองต้องการในการมาภาวนากรรมฐาน ปณิธาน เพื่อการไม่เวียนว่ายตายเกิด เสื่อมถอยจึงทำให้มีความรู้สึกว่า เหมือนไม่ได้อะไรจากการภาวนา ทั้ง ๆ ที่หลายท่าน มีครูอาจารย์นำมาจนถึง จุดที่เกินจากจุดเริ่มต้นมากมาย

   การที่ออกธรรมสาระบทนี้มา เจตนา เพื่อเตือนท่านทั้งหลายที่หลงผิดคิดว่าตนเองเข้าถึงนิพพานแล้ว ไม่ต้องเรียนอีก บางท่านติดอยู่แค่ปราโมทย์ หรือ บางท่านอยู่แค่ปีติ ไม่เข้าใจ และ ยังไม่เข้าถึง ห้วงเวลาของการเห็น ที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัศศนะ ( ห้วงเวลาพิเศษเฉพาะผู้ที่สมาธิสมบูรณ์ )

    สาระธรรม ที่ท่านควรจะได้เข้าถึงไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ ธาตุ เป็นต้นไป

  ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงใส่ใจในการภาวนาให้มากขึ้น อย่าหลงลืมปณิธานในการภาวนา ที่ท่านมาภาวนากรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นี้เพื่ออะไร?

    เจริญพร / เจริญธรรม

     ;)

   อย่างโยมไม่เข้า ใจเลยคะ ก็แสดงว่ายังสอบไม่ผ่าน เลยใช่หรือไม่คะ
   อย่างนี้ถอดใจ กับกรรมฐาน เลย

   แต่มาระลึกได้ถึงคำสั่งสอน ของท่านอยู่ ก็จะไม่ย่อท้อคะ รู้ตัวเองคะว่า ภาวนาน้อยในกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ยังนึกเป็น วิปัสสนึกมากอยู่คะ ปัจจุบันยังนั่งกรรมฐาน ไม่ทนเลยคะ นั่งได้สัก 20 นาทีคะ

   :c017: :25:
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

pamai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คิดว่าเป็นเรื่องปกติ นะคะ ถ้ามีการทดสอบ ก็จะมีผลอยู่ 2 ประการคือ สอบผ่าน กับ สอบไม่ผ่าน คะ

  :88: :58: :bedtime2:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
5. วิญญาณ คือ นิพพาน  วิญญาณในนี้น่าจะหมายถึงการดับการปรุงแต่งที่ผัสสะ แล้วทำไม วิญญาณ จึงเป็นนิพพานไปได้ ละครับ อย่างนี้จัดเป็นบัญญัติใหม่หรือไม่ ครับ เห็นในทางอภิธรรม ให้ความหมายของนิพพานมี 28 แบบ แต่ไม่มี วิญญาณ

วิญญาณ เป็น นิพพาน น่าจะหมายถึง นิพพานอายตนะ หรือ อายตนะนิพพาน กระทบกับ รูป  วิญญาณ เกิดแล้วรู้แจ้ง ( นิพพาน ) ว่าเป็นเพียงสักว่ารูป อย่างนี้ มั้งครับ อันนี้น่าจะอยู่ใน ธาตุ 18     

  1. วิญญาณ เป็น นิพพาน ได้อย่างไร ?

  2. อุปาทายรูป หมายถึง อะไรในการภาวนา กำหนดรู้ได้อย่างไร ในขณะที่เรา ภาวนา "พุทโธ" อยู่นั้นจะกำหนดอย่างไร หรือ มีวิธีการเห็นหรือรู้ อุปาทายรูป ได้อย่างไร ?

  3. จิรมกวิญญาณ คือ อะไร? มีคำว่า วิญญาณ (นิพพาน )

  4. ถ้าอย่างนั้น วิญญาณ ในขันธ์ ทั้ง 5 คือ นิพพาน หรือ ไม่ ?

ผมนี้ คือ ธาตุ  เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ  เป็นธาตุดิน
ธาตุนี้มี จึงมีมองเห็นจึงสัมผัส จึงรู้จัก จึงเรียกชื่อ
รูปนามจึงมี อุปาทายรูปจึงมี  จริมกวิญญาณจึงมี



ธาตุชุมนุมอันไร้ซึ่งวิญญาณครอง(สักแต่เพียงรูป(ธาตุ)ไม่มีนาม)นี้ส่วนหนึ่ง ทั้งอุปาทายรูปอันหมายใจนี้ครองมีอยู่(สักแต่รูป(ธาตุ)มีนาม)นี้อีกส่วนหนึ่ง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น ไม่มีที่สุด นั่นคือนิพพานสภาวะอันหาเครื่องเสียดแทงมิได้ เพียงอาศัยธาตุรู้แจ้งคือวิญญาณนี้เท่านั้นที่จักอ้างอิงได้แก่ตน รูป-นามนี้ไม่มีดับมอดสิ้นเชื้อแล้ว ด้วยจริยกวิญญาณ(ธาตูรู้แจ้งในสิ่งเนื่องกระทำ(ปรุง))ดับไป ชื่อว่ารูป-นามจึงดับในวิญญาณ นิพพานจึงแจ้งเป็น

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ,
          เป็นธรรมที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

ดังนั้นกรรมฐาน คือที่ตั้งแห่งการงานเดียวที่เนื่องเข้าสู่การรู้แจ้งดับวางในธาตุ/อุปาทายรูป/รูป-นาม นิพพานจึงกล่าวได้ว่ามีเหตุแต่จริยกวิญญาณ(ธาตูรู้แจ้งในสิ่งเนื่องกระทำ(ปรุง))ดับ รูป-นามจึงดับในวิญญาณ(นิพพาน) ดังนี้ ครับ!

งงกันไหมเนี้ย!



http://www.vcharkarn.com/vcafe/185550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 21, 2012, 11:02:52 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

sakol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จิต ในความหมายของท่านอสังคะ ควรจะหมายความว่า ความคิด thought , ความเห็น idea , แนวคิดconception 
ชื่งจุดนี้มีการกล่าวถึงไว้ในคำภีร์ของฝ่ายเถรวาทเช่นกัน และท่านอสังคะได้แต่งคัมภีร์ เช่น abhidharma samuccaya ซึ่งหลายๆแห่งในหนังสือเล่มนี้ตรงกับคำสอนในคำภีร์ฝ่ายเถรวาท ทั้งในเรื่อง ขันธุ์5 อนัตตา ฯลฯ ยกตัวอย่าง ท่านอสังคะ ยกคำสอนของพระพุทธเจ้ามา ว่า 
 
รูป เปรียบดั่ง ก้อนโฟม 
เวทนาเปรียบดั่ง ฟองน้ำ 
สัญญา เปรียบดั่ง (mirage) ภาพลวงตา,พยับแดด 
สังขาร เปรียบดั่ง ต้นกล้วย 
วิญญาณ เปรียบดั่ง มายา(illusion)
และท่านอสังคะ กล่าวว่า พระพุทธเจ้ากล่าวมาทั้งหมดนี้ หมายความว่า "ขันธ์5 เหล่านี้ปราศจากซึ่งตัวตน ปราศจากซึ่งแก่นสาร"
บันทึกการเข้า

sakol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
[๒๔๗]    พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้วว่า
       รูปอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ เวทนาอุปมาด้วยฟองน้ำ สัญญาอุปมาด้วย
         พยับแดด สังขารอุปมาด้วยต้นกล้วย และวิญญาณอุปมาด้วยกล.
    ภิกษุย่อมเพ่งพิจารณาเห็นเบญจขันธ์นั้นโดยแยบคายด้วยประการ
          ใดๆ  เบญจขันธ์นั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า
       ด้วยประการนั้นๆ ก็การละธรรม ๓ อย่าง อันพระพุทธเจ้า ผู้มี
          ปัญญาดังแผ่นดิน ปรารภกายนี้ทรงแสดงแล้ว ท่านทั้งหลาย
      จงดูรูปอันบุคคลทิ้งแล้ว. อายุ ไออุ่น และวิญญาณย่อมละ
          กายนี้เมื่อใด เมื่อนั้น กายนี้อันเขาทอดทิ้งแล้วย่อมเป็นเหยื่อ
      แห่งสัตว์อื่น หาเจตนามิได้ นอนทับถมแผ่นดิน. นี้เป็น
             ความสืบต่อเช่นนี้ นี้เป็นกลสำหรับหลอกลวงคนโง่  เบญจขันธ์
       เพียงดังว่าเพชฌฆาตผู้หนึ่ง  เราบอกแล้ว สาระย่อมไม่มีใน
            เบญจขันธ์นี้. ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วมีสัมปชัญญะ มีสติ
       พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน. ภิกษุเมื่อ
            ปรารถนาบทอันไม่จุติ (นิพพาน) พึงละสังโยชน์ทั้งปวง พึงกระทำ
       ที่พึ่งแก่ตน พึงประพฤติ  ดุจบุคคลผู้มีศีรษะอันไฟไหม้ ดังนี้.
จบ สูตรที่ ๓.


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=3132&Z=3191



ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.academic.nu.ac.th
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ว่ากันไปตามลำดับ คือ ทำความเห็นในเรื่อง ธาตุ กันก่อน เพราะเรื่องธาตุ เป็นเรื่องที่สำคัญเบื้องต้น ก่อนทีจะรู้ รูป เพราะรูป ประกอบด้วยธาตุ 4

  การรู้ธาตุ ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ รู้สองอย่างในสมาธิ คือ รู้เวทนาเนื่องด้วยสมาธิ รู้สภาวะสัญญาในสมาธิ รู้รูปรปมัตถ์ในสมาธิ รู้หยุดการปรุงแต่งด้วยอำนาจสมาธิ

  ดังนั้นเบื้องต้นเข้าไปรู้ธาตุอย่างนี้

  เมื่อจะเรียนรู้ธาตุ จับทุกส่วนไม่ได้ จึง ต้องจับต้องเป็นส่วน เช่น กำหนด เกสา ขึ้นมา ในธาตุนั้น เป็นต้นซึ่งในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับส่วนพระธรรมปีติ ก็มีการจำแนกแยกธาตุไว้แล้ว และ มีธาตุเป็นส่วน ๆ ให้เข้าถึง อยู่แล้ว

   ผลการปฏิบัติ เข้าถึง พระลักษณะ และ เข้าถึงพระรัศมี เป็นไปตามลำดับอย่างนี้

   วิจารณ์ธรรมกันต่อไป นะ
   แนะนำเวลาวิจารณ์ ให้ว่ากันเป็นเรื่อง อย่าไปคุม สาระพัดเรื่อง จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการถามและธรรมวิจารณ์

เจริญธรรม / เจริญพร
  ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้าไล่ตามลำดับ ธาตุ แล้ว ก็พอจะเข้าใจบ้างแ้ล้วคะ
  เพราะธาตุ เริ่มตั้งแต่ พระธรรมปีติ คะ และมีรายละเอียด ให้อ่านเข้าใจและยังภาวนาในส่วนนี้อยู่คะ

  :c017:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
สาธุ  แล้วได้มีโอกาสขึ้นกรรมฐานกรือยังจ๊ะ?
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สาธุ  แล้วได้มีโอกาสขึ้นกรรมฐานหรือยังจ๊ะ?

 ขึ้นแล้วคะ ขึ้นที่ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม คะ

  :s_hi:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ดีจัง  อย่างนี้ก็เรียนกันเต็มร้อยเลย   :72:  สาธุ  สาธุ   :08:
 :25:    :25:    :25:
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ว่ากันไปตามลำดับ คือ ทำความเห็นในเรื่อง ธาตุ กันก่อน เพราะเรื่องธาตุ เป็นเรื่องที่สำคัญเบื้องต้น ก่อนทีจะรู้ รูป เพราะรูป ประกอบด้วยธาตุ 4

  การรู้ธาตุ ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ รู้สองอย่างในสมาธิ คือ รู้เวทนาเนื่องด้วยสมาธิ รู้สภาวะสัญญาในสมาธิ รู้รูปรปมัตถ์ในสมาธิ รู้หยุดการปรุงแต่งด้วยอำนาจสมาธิ

  ดังนั้นเบื้องต้นเข้าไปรู้ธาตุอย่างนี้

  เมื่อจะเรียนรู้ธาตุ จับทุกส่วนไม่ได้ จึง ต้องจับต้องเป็นส่วน เช่น กำหนด เกสา ขึ้นมา ในธาตุนั้น เป็นต้นซึ่งในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับส่วนพระธรรมปีติ ก็มีการจำแนกแยกธาตุไว้แล้ว และ มีธาตุเป็นส่วน ๆ ให้เข้าถึง อยู่แล้ว

   ผลการปฏิบัติ เข้าถึง พระลักษณะ และ เข้าถึงพระรัศมี เป็นไปตามลำดับอย่างนี้

   วิจารณ์ธรรมกันต่อไป นะ
   แนะนำเวลาวิจารณ์ ให้ว่ากันเป็นเรื่อง อย่าไปคุม สาระพัดเรื่อง จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการถามและธรรมวิจารณ์

เจริญธรรม / เจริญพร

  ;)

 จับเนื้อหาคำแนะนำ ไว้ สองประการครับ
 
   1.ทำความเห็นในเรื่อง ธาตุ กันก่อน เพราะเรื่องธาตุ เป็นเรื่องที่สำคัญเบื้องต้น ก่อนทีจะรู้ รูป เพราะรูป ประกอบด้วยธาตุ 4
   
    ส่วนนี้ชี้แจง ว่าการปฏิบัติควรเข้าไปกำหนดธาตุ ก่อน อื่นเป็นอันดับแรก เหมือนดั่งกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับเริ่มที่ห้องพระธรรมปีติ ก็แยกธาตุเป็นส่วน ๆ เป็นพวกเป็นกลุ่ม พี่น้องทุกท่านทบทวนกันนิดนะครับ

    พระธรรมปีติ
      พระุขุททกาปีติ ธาตุดิน
      พระขณิกาปีติ ธาตุไฟ
      พระโอกกันติกาปีติ ธาตุน้ำ
      พระอุพเพงคาปีติ ธาตุลม
      พระผรณาปีติ ธาตุอากาศ

   2. เมื่อจะเรียนรู้ธาตุ จับทุกส่วนไม่ได้ จึง ต้องจับต้องเป็นส่วน เช่น กำหนด เกสา ขึ้นมา ในธาตุนั้น
   
     ในธาตุดิน มี 21 เริ่มตั้งแต่ เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เป็นต้น นะครับ การจับเป็นส่วนคือการเข้าไปบริกรรมเฉพาะเรื่อง หรือส่วนนั้นใ่ช่หรือไม่ครับ

    คือสงสัยลักษณะ การปรากฏ นั้น ปรากฏเป็นส่วน ด้วยเช่นกันใช่หรือไม่ครับ ?

 
         
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ว่ากันไปตามลำดับ คือ ทำความเห็นในเรื่อง ธาตุ กันก่อน เพราะเรื่องธาตุ เป็นเรื่องที่สำคัญเบื้องต้น ก่อนทีจะรู้ รูป เพราะรูป ประกอบด้วยธาตุ 4

ดังนั้นเมื่อจะเรียนรู้ธาตุ จับทุกส่วนไม่ได้ จึงต้องจับเป็นส่วน เช่น กำหนด เกสา ขึ้นมาในธาตุนั้น เป็นต้น ซึ่งในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ส่วนพระธรรมปีติ ก็มีการจำแนกแยกธาตุไว้แล้ว และ มีธาตุเป็นส่วน ๆ ให้เข้าถึง อยู่แล้ว

ผลการปฏิบัติ เข้าถึง พระลักษณะ และ เข้าถึงพระรัศมี เป็นไปตามลำดับอย่างนี้



ผังภาพนี้อธิบายได้ถึง การเข้าวัตร ออกวัตร อนุโลมเป็นไปในส่วนล้างธาตุ ปฏิโลมเป็นไปในส่วนเสริมธาตุ ท่านใด

ที่ภาวนาด้วยลักษณะนี้สม่ำเสมอบ้าง มีผลสำฤทธิ์อย่างไร บอกกล่าวเล่าไว้ก็ดี สำหรับผมนั้นจะอนุโลมปฏิโลมเมื่อ

เวลามีให้มากพอ หลายครั้งที่ผมอนุโลมอย่างเดียวแล้วจะเกิดอาการที่เรียกว่าล้างธาตุขึ้นคือ จะมีอาการคล้ายป่วย

ไข้แต่เคลื่อนไหวประกอบกิจการงานได้ปกติไม่ถึงกับนอนซม จะพักผ่อนนอนทานยาอย่างไรก็ไม่หายครับ ต้องกลับ

ไปนั่งภาวนาปฏิโลมเสริมธาตุจึงจะหายได้ น่าแปลก! อย่างล่าสุดวันนี้ครับ!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 24, 2012, 05:52:13 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

VongoleX

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สิ่งที่ทำให้เห็นในกระทู้นี้ ครับ

   1. กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีในพระไตรปิฏก สืบทอดกันมาไม่มีขัดกับพระสูตร

   2. กรรมฐาน มัชฌมาิ แบบลำดับ มีความลึกซึ้ง เป็นไปตามลำดับ อันไหนผู้ภาวนาไม่ได้ภาวนา ก็เกินภูมิธรรมที่คุยกันรู้เรื่อง ดังนั้น จึงสื่อสารเข้าใจ ธรรมปฏิบัติ

   3. ความรู้ของครูอาจารย์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่หมิ่นได้ เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่เมื่อครูอาจารย์นำมาเปิดเผยให้ทราบก็รู้เลยว่าที่รู้มาันั้น ยังไม่พอแก่การภาวนา ครับ

   4.การร่วมธรรมวิจารณ์ นำมาซึ่งความเข้าใจในธรรม ครับ
   
    :49: :s_hi: :welcome:
บันทึกการเข้า
ผู้พิทักษ์รุ่นที่ 10 แห่ง Vongole จับมือกับ แก็งค์ อ๊บ อ๊บ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
สิ่งที่ทำให้เห็นในกระทู้นี้ ครับ

   1. กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีในพระไตรปิฏก สืบทอดกันมาไม่มีขัดกับพระสูตร

   2. กรรมฐาน มัชฌมาิ แบบลำดับ มีความลึกซึ้ง เป็นไปตามลำดับ อันไหนผู้ภาวนาไม่ได้ภาวนา ก็เกินภูมิธรรมที่คุยกันรู้เรื่อง ดังนั้น จึงสื่อสารเข้าใจ ธรรมปฏิบัติ

   3. ความรู้ของครูอาจารย์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่หมิ่นได้ เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่เมื่อครูอาจารย์นำมาเปิดเผยให้ทราบก็รู้เลยว่าที่รู้มาันั้น ยังไม่พอแก่การภาวนา ครับ

   4.การร่วมธรรมวิจารณ์ นำมาซึ่งความเข้าใจในธรรม ครับ
   


   นับว่าวิเคราะห์ ได้ตรงกับเจตนา ที่อาตมาได้ลงบทความไป เนื่องด้วยการภาวนาในปัจจุบันนั้น คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ลึกลับ เกินไป อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ลึกลับ เปิดเผยให้นำไปปฏิบัติได้ แต่ที่ไม่ได้สอนก็เพราะว่า บุคคลที่จะเรียนไม่พร้อม เพราะกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นเป็นกรรมฐาน ปฏิบัติ ไม่ใช่ปริยัติ ถึงแม้นำปริยัติมาสอน แต่หากไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนกับกระทู้นี้ ที่ผู้อ่านหลายท่านจะแสดงความเห็นว่า อ่านไม่ค่อยจะเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ ก็ให้ได้ทราบว่า การภาวนาที่มีมานั้นยังไม่เพียงพอที่จะทราบได้ ดังนั้นครูอาจารย์จึงอาศัยการสอนถ่ายทอดธรรมสู่ศิษย์ ตามลำดับ เรียนไปตามลำดับ ไม่ตัดลัด ไม่ข้ามเนื้อหา ที่สำคัญเพราะมีเป้าหมายส่งเสริมพระธรรมในแนวทางแห่งมรรค เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อันเป็นบรมสุข

     ดังนั้นท่านทั้งหลาย เมื่ออ่านมากันมากแล้ว ก็ควรจะภาวนากันบ้าง ปฏิบัติกันบ้าง อย่าเพียงแต่บัณฑิตที่เอาแต่ทรงจำ ถือตำราวิชากรรมฐาน แม้จะดีขนาดไหน หากผู้ภาวนาไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นเพียงตำราเล่มหนึ่งที่อยู่ในชั้นหนังสือ เป็นเพียงเศษกระดาษที่ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีผู้ปฏิบัติ ดังนั้นท่านทั้งหลายมีโอกาสที่ครูอาจารย์ยังมีกำลังถ่ายทอด ก็พึงเรียนไปด้วย ภาวนาไปด้วยเถิด

    เจริญธรรม / เจริญพร

     ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

drift-999

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 239
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
๑ ในพระนิพพานแม้จิตก็ดับไปและไม่มีจิตดวงไหม่ใดๆเกิดขึ้นอีก

อีกประการหนึ่ง เมื่อสัมปชานบุคคลปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-
*นิพพานธาตุ ความเป็นไปแห่งจักษุนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจักษุ
อื่นก็ไม่เกิดขึ้น ความเป็นไปแห่งหู ฯลฯ ความเป็นไปแห่งจมูก ความเป็นไป
แห่งลิ้น ความเป็นไปแห่งกาย ความเป็นไปแห่งใจนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความ
เป็นไปแห่งใจอื่นก็ไม่เกิดขึ้น นี้ความครอบงำความเป็นไปแห่งสัมปชานบุคคล
สูญมีประโยชน์อย่างยิ่งกว่าความสูญทั้งปวง ฉะนี้แล ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=9514&Z=9682&pagebreak=0

๒ พระโพธิสัตว์แสวงหาแดนที่ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายและในที่สุดก็พบพระนิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนริยปริเยสนา ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยปริเยสนา การแสวงหาอย่างประเสริฐ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีชรา
เป็นธรรมดาแล้ว ย่อมแสวงหานิพพานอันไม่มีชรา เป็นแดนเกษมจากโยคะ
อย่างเยี่ยม ๑ ตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีพยาธิเป็นธรรมดา
แล้ว ย่อมแสวงหานิพพานอันไม่มีพยาธิ เป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ๑
ตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีมรณะเป็นธรรมดาแล้ว ย่อม
แสวงหานิพพานอันไม่ตาย เป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ๑ ตนเองเป็นผู้มี
ความเศร้าหมองเป็นธรรมดา รู้โทษในสิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาแล้ว
ย่อมแสวงหานิพพานอันไม่เศร้าหมอง เป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยปริเยสนา ๔ ประการนี้แล ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=6569&Z=6722

๓ ทรงแสวงหาหนทางของชีวิตอมตะจนพบ

[๗๓๒] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันไม่ตาย และทาง
ที่จะให้ถึงธรรมอันไม่ตายแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมอันไม่ตายเป็นไฉน ฯลฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=9079&Z=9327&pagebreak=0

๔ ได้พบวิถีทางทำให้แจ้งซึ่งอมตะนั่นคือสติปัฏฐานสี่

                                  ฉันทสูตร
ผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ชื่อว่าทำให้แจ้งอมตะ
            [๘๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ย่อมละความพอใจในกายนั้นได้ เพราะละความพอใจได้ จึงเป็นอันชื่อว่าทำให้แจ้งซึ่งอมตะ.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=4804&Z=4819
บันทึกการเข้า

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
นิพพาน ธาตุ นั้นเป็นธรรม เป็น ธาตุ มีบรรยายไม่ได้แต่รู้ได้ เมือสิ้นกิเลสอย่างสิ้นเชิง สำเร็จพระขีณาสพบุุคคล เนื่องด้วย นิพพาน ไม่มีธาตุ ไม่มีอุปาทายรูป ไม่ปรากฏ นามและรูป ดังนั้นพระอรหันต์ ต้องเข้านิพพานส่วนนี้อีกครั้งหนึ่ง ใช้คำว่า "เข้าสู่นิพพาน "  ดังนั้น โลกุตตรธรรม 9 แบ่งไว้เป็นสัดส่วนที่ชัดเจน คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1

     มรรค 4 ผล 4  บุคคลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ด้วยอรหันต์มรรค ด้วยอรหัตผล ดับกิเลสโดยสิ้นเชิง แต่ยังไม่นิพพาน มีการกล่าวว่า ดังนั้นผลของพระอรหัตตผล นั้น อธิบายกันด้วย ธรรมที่เรียกว่า อนัตตา สุญญตา สุญญธาตุ อาการที่เป็น ผลเหล่านี้เรียกว่า วิหารสมาบัติ นิโรธสมาบัติบ้าง สัญญาเวทยิตนิโรธ บ้าง ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมในขณะที่ พระอรหันต์ มีชิวิตอยู่ คือ ยังไม่ละสังขาร ใช้พูดอธิบาย สื่อความหมายได้ในโลกมนุษย์เท่านั้น

      ส่วนนิพพาน ที่มีจากการละสังขารนั้น ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้นจากพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสแสดงไว้ ก็จะเห็นมุมมองว่า ไม่มีธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่ากับไม่รูปร่างลักษณะ ไม่มีอุปาทยรูป ไม่มีใจครองในธาตุกล่าวไม่ได้ว่ามีชิีวิต หรือไม่มีชีวิต นามรูป ดับนั้นที่นั้น อันนี้หมดเลย ไม่มี นาม และ รูป ดังนั้นใครอธิบายตรงนี้ อธิบายไม่ได้ คิดไม่ได้ ฝันไม่ได้ เพราะไม่ใช่ดินแดน สถานที่ เป็นเพียงแต่เรียกว่า นิพพาน เท่านั้นสำหรับ ปุุถุชน หรือ ผู้เป็น โยคาวจร

      เราเพียงแต่รู้ว่า การดับกิเลส เป็นส่วนสำคัญในการเข้าถึง โลกอุดร หรือ โลกุตตระ

      ดังนั้นท่านทั้งหลายเมื่อภาวนากัน ก็พึ่งศึกษา การดับกิเลส วิธีการดับกิเลส วิธีการชำระบรรเทากิเลส เถิด อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญในการภาวนา ในการปฏิบัติ

     เจริญธรรม / เจริญพร


    ;)
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

VongoleX

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12

   วันนี้พอมาได้อ่านซ้ำ เริ่มจะเข้าใจ ที่พระอาจารย์ พยายาม พูดเรื่อง ธาตุ มาตั้งนานแล้ว หลายตอน เพื่อน ๆ ท่านใดที่ยังไม่ได้อ่าน ผมว่า ลองทบทวน กันหน่อยก็ดีนะครับ

   :49:
บันทึกการเข้า
ผู้พิทักษ์รุ่นที่ 10 แห่ง Vongole จับมือกับ แก็งค์ อ๊บ อ๊บ