ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ยอดชาย
หน้า: [1] 2
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรียนธรรมะ แท้ ๆ ของพุทธ ต้องเรียน กับ พระบ้าน หรือ พระป่า ถึงจะดี ครับ เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 10:22:39 am
เรียนธรรมะ แท้ ๆ ของพุทธ ต้องเรียน กับ พระบ้าน หรือ พระป่า ถึงจะดี ครับ คือสงสัยว่า พระป่า ปฏิบัติดีกว่า พระบ้าน ใช่หรือไม่ ครับ และเราควรเรียน ธรรมะแท้ ๆ ที่เป็น วิถึพุทธ กับพระป่าใช่หรือไม่ครับ เราถึงต้องหาเวลาออกไปที่ป่า ที่ไกลจากบ้าน หรือ เราจะสามารถเรียน ธรรมะแท้ ๆ ได้จากพระบ้าน ที่อยู่ใกล้บ้าน ครับ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่า พระบ้านปฏิบัติดี กว่าพระป่า หรือ พระป่า ปฏิบัติดีกว่า พระบ้านครับ

ถามเองก็งงเองเหมือนกันครับ
ขอคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ
   :41:

2  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธรรมะสั้น ๆ จากหลวงปู่ชา "ที่รวมสมาธิ" เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 10:24:13 am
ที่รวมสมาธิ

เมื่อนั่งหลับตาให้ยกความรู้สึกขึ้นเฉพาะลมหายใจ
เอาลมหายใจเป็นประธาน
น้อมความรู้สึกตามลมหายใจ
เราจึงจะรู้ว่าสติมันรวมอยู่ตรงนี้
ความรู้มันจะมารวมอยู่ตรงนี้




3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคลียร์ไม่จบ ! พระหลวงปู่แผ้ว รุ่นตำรวจสร้างยังอึมครึม ต่างฝ่ายต่างพูด เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 08:31:10 am
เคลียร์ไม่จบ !

 

พระหลวงปู่แผ้วรุ่นตำรวจสร้างยังอึมครึม

 

ต่างฝ่ายต่างพูด

 

วัดก็ปฏิเสธว่า "ผู้สร้างไม่ได้ขออนุญาตจากทางวัด"

ตำรวจก็อ้างว่า "หลวงปู่อนุญาตแล้ว"

ระหว่างเจ้าอาวาสกับหลวงปู่ไม่รู้ใครใหญ่กว่าใคร


 

 

เรื่องปลุกเสก

ตำรวจอ้างว่า "หลวงปู่เป่าแล้ว ถือว่าสำเร็จ"

แต่เจ้าอาวาสบอกว่า "ไม่ได้ทำพิธี ไม่มีฤกษ์ ไม่ขลัง"

 

ถามว่าเสกที่ไหน ตำรวจบอก "ก็ในกุฏิ"

เจ้าอาวาสเถียง "ไม่ถูกต้อง ต้องทำในโบสถ์เท่านั้น"

ตำรวจเลยงง ไม่รู้ว่าใครเป็นพระเกจิกันแน่

 

หลวงปู่ก็งง

 จะบอกว่า "เจ้าอาวาสพูดผิด" ก็พูดไม่ได้ เพราะอยู่ด้วยกันมันก็ต้องให้เกียรติกัน ครั้นจะบอกวา "ที่เสกไปนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่ได้ทำพิธีในโบสถ์ตามเจ้าอาวาสบอก" ก็ไม่ได้อีก งั้นก็จะแสดงว่าหลวงปู่ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะของจริง เสกที่ไหนก็ต้องดี โอ๊ยยุ่งตายห่า !
 

 

เหรียญหลวงปู่แผ้ว รุ่นบูชาครู

แต่ไม่บูชาเจ้าอาวาส เลยเกิดปัญหา



เชื่อพระหรือเชื่อตำรวจดี ? กรณี..."พระหลวงปู่แผ้ว รุ่นเจริญพร - รุ่นบูชาครู"

 
จากกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ตำรวจภูธรภาค 7 โดย พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผู้บัญชาตำรวจภูธรภาค 7 ได้จัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดประชาราษฎร์บำรุง หรือวัดรางหมัน ต.รางพิกุล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 2 รุ่น คือ รุ่นเจริญพร และรุ่นบูชาครู โดยออกให้สั่งจองทั่วประเทศ แต่วัตถุมงคลรุ่นดังกล่าวไม่ได้มีการขออนุญาตจากวัด จนเกิดโกลาหลประชาชนแห่เข้าคืนใบจองที่วัด ก่อนพบป้ายประกาศของวัดว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจัดสร้างวัตถุมงคลครั้งนี้ ติดตั้งอยู่ทั่วบริเวณวัด

 

จนกระทั่งต่อมา พระสมศักดิ์ อินโท หรือหลวงพี่โก๋น เจ้าอาวาสวัดประชาราษฎร์บำรุง (รางหมัน) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่า สาเหตุที่วัดได้ขึ้นป้ายดังกล่าวนั้น เพราะที่ผ่านมาได้มีประชาชนจากทั่วประเทศติดต่อและเดินทางมาขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ ซึ่งเมื่อวัดได้ปฏิเสธว่าวัดไม่ได้เป็นผู้จัดสร้าง หรือเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ประชาชนและผู้ที่จองพระรุ่นดังกล่าวจึงเดินทางมาติดต่อขอคืนใบจองกับวัดทั้ง 2 รุ่น ซึ่งวัดไม่สามารถที่จะรับผิดชอบได้ เพราะวัดไม่ได้เป็นผู้สร้าง

ทั้งนี้ มีประชาชนที่ไม่เข้าใจได้เดินทางมาจากต่างจังหวัดมากมายทั่วสารทิศ และพยายามที่จะมาให้วัดรับผิดชอบ และพยายามที่จะติดต่อและถามหลวงปู่แผ้ว ขอความชัดเจน จนหลวงปู่เครียด วัดจึงต้องขึ้นป้ายประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน อีกทั้งการสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้ไม่มีการประสานงาน หรือขออนุญาตให้วัดทราบมาก่อน และที่มีข่าวออกมาว่า หลวงปู่แผ้วปลุกเสกให้ตำรวจภูธรภาค 7 ให้เป็นกรณีพิเศษนั้นก็ไม่เป็นความจริง ในวันดังกล่าวผู้มาพบได้แจ้งเพียงว่าผู้บัญชาการภาค 7 เอาของมาถวายและกราบไหว้ขอพรเท่านั้น ไม่ได้มีการให้มาปลุกเสกวัตถุมงคลแต่อย่างใด

ล่าสุด พล.ต.ท.พงษ์สันต์ ได้รับมอบเงินจำนวน 1,200,000 บาท จากการให้เช่าบูชาวัตถุมงคลหลวงปู่แผ้ว ปวโร รุ่นเจริญพรและรุ่นบูชาครู จากคณะกรรมการผู้จัดสร้าง เพื่อนำเป็นทุนการศึกษาให้แก่บุตร-ธิดาของข้าราชการตำรวจภูธรภาค 7 และเหรียญหลวงปู่แผ้ว เนื้อปลอกลูกปืนจำนวน 2,000 เหรียญ เพื่อแจกแก่ข้าราชการตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมกับออกข่าวว่า ในการจัดสร้างครั้งนี้ มีวัดกำแพงแสนและวัดหนองพงนก เป็นผู้ร่วมจัดสร้าง

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.พงษ์สันต์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวถึงกรณีการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่แผ้วในครั้งนี้ว่า การจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่แผ้วรุ่นเจริญพรและรุ่นบูชาครูทั้ง 2 รุ่นนั้น มีคณะกรรมการการประกวดพระได้เข้ามาพบตน พร้อมทั้งเชิญให้ตนเข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีการปลุกเสก พร้อมแจ้งว่าได้ร่วมกันสร้างวัตถุมงคลขึ้นมา 2 รุ่น คือ รุ่นเจริญพรและรุ่นบูชาครู

โดยทั้ง 2 รุ่นเป็นเหรียญหลวงปู่แผ้ว ซึ่งลูกศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างจากหลวงปู่แผ้วแล้ว โดยหลวงปู่แผ้วได้ให้ฤกษ์ยามในการทำพิธีมาเรียบร้อย พร้อมกับแจ้งกับตนว่า วัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งจะนำเงินที่ได้มอบให้เป็นทุนช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจภูธรภาค 7 ที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ และเป็นรางวัลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับคนร้ายตามปฏิทินหมายจับภาค 7

ตนจึงเห็นว่าเป็นเรื่องดีกับผู้ใต้บังคับบัญชาและส่วนรวม ซึ่งผู้สร้างวัตถุมงคลก็ได้เชิญให้ตนเป็นประธานในการทำพิธีตามวันเวลาที่หลวงปู่แผ้วให้มา ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส ซึ่งตนเห็นว่าไม่เสียหายอะไร จึงได้เดินทางเข้าร่วมพิธี และเมื่อไปถึงผู้ใกล้ชิดของหลวงปู่แผ้ว ก็ได้แจ้งกับตนว่า ให้รอสักครู่ ยังไม่ถึงฤกษ์ทำพิธี ก่อนที่หลวงปู่แผ้วท่านจะออกมาทำพิธีปลุกเสกให้ โดยมีพระเลขาฯ เป็นคนพยุงเดินมา และก็เริ่มพิธีการเป็นไปตามที่กำหนดไว้ ซึ่งวัดจะบอกว่าวัดไม่รู้เรื่องก็คงไม่ได้ เพราะในคืนวันนั้น เจ้าอาวาสก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และอยู่ก่อนที่หลวงปู่แผ้วจะออกมาเสียอีก

ผบช.ภ.7 ยังกล่าวต่ออีกว่า เรื่องป้ายที่วัดขึ้นป้ายว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสร้างวัตถุมงคลทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็เป็นเรื่องจริง เพราะคณะกรรมการจัดประกวดพระเป็นผู้สร้าง วัดไม่ได้เป็นผู้สร้าง ส่วนป้ายโฆษณาและโบว์ชัวร์ที่ออกมานั้น ตนก็ไม่ทราบว่าผู้สร้างจะใช้ชื่อตนเป็นผู้จัดสร้าง เพราะไม่ได้มีการแจ้งให้ตนทราบมาก่อน มาทราบอีกทีก็มีป้ายติดตั้งไปทั่วแล้ว ซึ่งตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะในฐานะที่ตนอยู่ตรงนี้ ถ้าออกไปปฏิเสธ แล้วมีข่าวว่าตนไม่ช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาเลย มันก็ไม่เป็นเรื่องดี ส่วนวัตถุมงคลที่สร้างออกมาทั้ง 2 รุ่นนั้น ก็ต้องให้ประชาชนตัดสินใจกันเองว่าจะเช่าบูชาหรือไม่อย่างไร และตนขอย้ำอีกครั้งว่า วัตถุมงคลทั้ง 2 รุ่นนี้ มีการปลุกเสกจริง และตนก็อยู่ในพิธีปลุกเสก พร้อมทั้งยังมอบเงินทำบุญจำนวนหนึ่งให้หลวงปู่แผ้วด้วย ส่วนการจำหน่ายวัตถุมงคลทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นเรื่องของผู้สร้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจำหน่ายแต่อย่างใด

 

โปรดอ่านและทำความเข้าใจอีกครั้ง


“ขณะนี้ได้มีประชาชนบางท่านได้มาติดต่อสอบถามและขอเช่าบูชาสั่งจองวัตถุมงคลหลวงปู่แผ้ว ปวโร รุ่นเจริญพร และรุ่นบูชาครู วัดรางหมันขอแจ้งให้ทราบว่า วัตถุมลคลรุ่นดังกล่าว วัดมิได้เป็นผู้จัดสร้าง หรือเกี่ยวข้องแต่ประการใด จึงประกาศขอให้ทราบโดยทั่วกัน”

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นประกาศของคณะกรรมการวัดประชาราษฎร์บำรุง ซึ่งติดไว้บริเวณลานหน้าอุโบสถ หน้ากุฏิร่มเย็น (กุฏิของหลวงปู่) และบริเวณด้านหน้าของศาลาให้เช่าบูชาวัตถุมงคลของวัด

“วัตถุมงคลรุ่นดังกล่าว วัดไม่ได้เป็นผู้จัดสร้างหรือมีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใด จึงได้ขึ้นป้ายให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบโดยทั่วกัน ไม่มีการนำเงินจาการสร้างวัตถุมงคลรุ่นดังกล่าวถวายวัด หรือถวายหลวงปู่แผ้วแต่อย่างใด ซึ่งไม่มีกรรมการวัดท่านใดรู้เห็น” นี่เป็นคำยืนยันของเจ้าอาวาสวัดรางหมัน

หลวงพี่โก๋น บอกว่า วัตถุมงคลรุ่นนี้ไม่ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกตามตำราใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการกำหนดฤกษ์ ไม่มีพิธีบวงสรวงอัญเชิญเทวดา ไม่มีการจุดและดับเทียนชัย ไม่มีพระพิธีธรรม รวมทั้งไม่ได้เสกในอุโบสถ แต่ถ้าเป็นของที่วัดสร้างเอง พิธีกรรมต้องครบถ้วน วัตถุมงคลที่ออกในนามของวัดจึงเป็นที่นิยม เพราะคนเชื่อว่ามีพุทธคุณเข้มขลัง

นอกจากนี้เรื่องความชัดเจนของการจัดสร้างวัตถุมงคลนั้น ที่ผ่านมาวัตถุมงคลของวัดทุกรุ่น วันปลุกเสกจะมีบล็อกที่ถูกทำลายแล้วมาร่วมพิธีด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าจะไม่มีการทำเสริม หรือวัตถุมงคลไม่ได้เข้าพิธีปลุกเสก อย่างกรณีวัตถุมงคลรุ่นที่วัดขึ้นป้ายประกาศไม่มีความชัดเจนใดๆ ผู้เช่าต้องใช้วิจารณญาณเอาเอง ดังนั้นการจัดทำหนังสือรวมประวัติการสร้างวัตถุมงคลของวัดรางหมัน จะไม่มีการบรรจุไว้ในทำเนียบวัตถุมงคลของวัดรางหมัน

“ไม่ทราบว่าผู้สร้างจะใช้ชื่อตนเป็นผู้จัดสร้าง เพราะไม่ได้มีการแจ้งให้ตนทราบมาก่อน มาทราบอีกทีก็มีป้ายติดตั้งไปทั่วแล้ว ซึ่งตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”

 

 

ข่าว : คมชัดลึก
26 พฤษภาคม 2554
4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ติดสุข ติดสุข สุขใดควรกลัว สุขใดควรเสพ เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 09:15:55 am
ติดสุข ติดสุข  สุขใดควรกลัว สุขใดควรเสพ


…ก็ข้อนั้น อันเรากล่าวแล้วว่า บุคคลควรรู้จักการวินิจฉัย (ตัดสินใจ) ในความสุข
เมื่อรู้จักการวินิจฉัยความสุขแล้ว ควรประกอบความสุขชนิดที่เป็นภายใน,
ข้อนั้นเรากล่าวเพราะอาศัยเหตุผลอะไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! กามคุณมีห้าอย่างเหล่านี้. ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือ
รูปที่เห็นด้วยตา, เสียง ที่ฟังด้วยหู, กลิ่นที่ดมด้วยจมูก, รส ที่ลิ้มด้วยลิ้น, และโผฏฐัพพะที่สัมผัสด้วยกาย,
(แต่ละอย่างล้วน) เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นสิ่งที่ยวนตายวนใจให้รัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยซึ่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ ;
ภิกษุ ท.! สุข โสมนัสอันใดเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณห้าเหล่านี้,
สุข โสมนัสนั้น เราเรียกว่า กามสุข อันเป็นสุขบุถุชน เป็นสุขทางเมถุน (มิฬหสุข) ไม่ใช่สุขอันประเสริฐ.
เรากล่าวว่า สุขนั้น บุคคลไม่ควรเสพ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรทำให้มาก, ควรกลัว.

ภิกษุ ท.! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าถึงซึ่ง ปฐมฌาน…ทุติยฌาน... ตติยฌาน...จตุตถฌาน…แล้วแลอยู่.
นี้ เราเรียกว่า สุขอาศัยเนกขัมมะ เป็นสุขเกิดแต่ความสงัดเงียบ สุขเกิดแต่ความเข้าไปสงบรำงับ สุขเกิดแต่ความรู้พร้อม.
เรากล่าวว่า สุขนั้น บุคคลควรเสพให้ทั่วถึง ควรทำให้เจริญ ควรทำให้มาก, ไม่ควรกลัว.
อุปริ. ม. ๑๔/๔๒๗/๖๕๙



http://www.dmycenter.com/site/images/stories/information/2553/i53m26.jpg
5  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ซาตาน กับ พญามาร หรือ ไม่ คือ บุคคลเดียวกันหรือไม่ครัีบ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 03:20:07 pm
ซาตาน กับ พญามาร หรือ ไม่ คือ บุคคลเดียวกันหรือไม่ครัีบ

ตามหัวข้อเลยนะครับ อยากรู้ครับ มีหลักฐาน อะไรทางพระไตรปิฏก กล่าวถึงเรื่องนี้หรือไม่ครับ

แล้ว ซาตาน กับ พญามาร เป็นผู้ทำลายโลก ใช่หรือไม่ครับ

 :c017:

6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อากงสอนหลาน เมื่อ: มิถุนายน 11, 2011, 02:02:40 pm
อากงสอนหลาน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีอากงแก่ๆอยู่คนนึ่งอยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้ หลานๆตามปะสาคนแก่อากงจึงเรียกหลานๆ ทั้งสี่มานั่งล้อมโต๊ะสี่มุมแล้วบอกหลานทั้งสี่ว่า เอาล่ะหลานๆ ตอนนี้หลับตานะหลับตาิ พอหลานๆ หลับตาอากงก็เดินเข้าไปห้องเก็บของแล้วหยิบโคมไฟเก่าๆ มาอันนึ่ง

อากงเปิดฝาครอบจุดไฟแล้วปิดฝาครอบ แล้วอากงก็บอกหลานทั้งสี่ว่า ลืมตาขึ้นแล้วบอกอากงซิว่าโคมไฟสีอะไร? เด็ก ทั้งสี่ลืมตาขึ้นตอบไล่ๆ กัน ตอบไม่เหมือนกันและเริ่มทะเลาะกัน....

คนที่นั่งด้านนึ่งบอกว่า สีแดงอีกด้านนึ่งบอกว่า เขียว สีเหลือง และน้ำเงิน ตามลำดับ ทั้งสี่ทะเลาะกันพักนึ่งก็มีเด็กคนนึ่งถามอากงว่า อากงทำไม ของอย่างเดียวกันมีตั้งหลายสี? อากงก็เลยบอกว่าเดี๋ยวนะ อากงจะทำอะไรให้ดู อากงเดินมาที่โต๊ะหยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดูปรากฎว่า ฝา ครอบสี่ด้านสี่สี แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน

หลังจากนั้นอากงก็บอกว่าเอ๊าตอนนี้บอกอากงซิโคมไฟสีอะไร?หลานๆตอบเหมือนกันคือสีของเปลวไฟ
อากงเลยบอกว่า เอาล่ะหลาน อากงถามอะไรชักสองข้อนะ....

ข้อที่1เมื่อสักครู่นี้ครั้งแรก ไครผิด หลานตอบว่า ไม่รู้ อากงบอกว่า รึว่าอากงผิด อากงเลยบอกอีกว่า ฟังนะเจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน มองของอย่างเดียว กัน ในเวลาเดียวกันยังเห็นไม่เหมือนกันเลย ทำไม? ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ.... อากงเลยบอกว่า
ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมองของตัวเอง เห็นในสี่งที่ตัวเองเห็น แต่ ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขาเห็น เจ้าก็เดินไปมองที่มุม ของเขา แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น
 
แต่ถ้าลองนึกภาพนะเจ้าทั้งสี่ นั่งอยู่ที่เดียวกันมองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเล๊ย ในอนาคตเวลาที่อยู่ในสังคม เป็นไปได้มั๊ย คนก็มองสี่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา ใครผิด?

ในอนาคตนะ เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น อย่าไปโกรธว่าเขาผิด อย่าไปกลัวว่า ตัว เองผิด เพราะคนแต่ละคน ก็เห็นสี่งต่างๆ จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เจ้าก็เดินไปมุมของเขาและเมื่อเจ้ายอมเข้าใจคนอื่น อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมาและเข้าใจเจ้า

คำถามที่2 อากงบอกว่าที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลัง เป็นของอย่างเดียวกันมั๊ย? หลานบอกว่า อย่างเดียวกัน แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย?ครั้งแรกเห็นอะไร? หลานตอบว่า ฝาครอบ และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ

อากงเลยบอกว่า หลานๆเอ๊ย ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ

อย่ามองสี่งต่างๆเพียงแค่ที่เห็น
จงเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างที่เป็น
7  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อย.เชือด โฆษณา "เอนไซม์เจนิฟู้ด" หลังดื้อแพ่งไม่ระงับโฆษณา เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 11:28:55 am
อย.เชือด โฆษณา "เอนไซม์เจนิฟู้ด" หลังดื้อแพ่งไม่ระงับโฆษณา

อย.สั่งเชือดโฆษณา ผลิตภัณฑ์เอนไซม์เจนิฟู้ด หลังดื้อแพ่งโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์ดาวเทียม และเคเบิลทีวีอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีคำสั่งให้ระงับโฆษณา ส่อเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย และทำธุรกิจอย่างไร้จริยธรรม หลอกลวงผู้บริโภคให้หลงเชื่อ ลั่นเอาจริง ลงโทษหนัก ทั้งโฆษณาเป็นเท็จ มีโทษจำคุก และโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะปรับทุกครั้งที่พบการโฆษณาทั้งผู้โฆษณา และสื่อที่เผยแพร่ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ เพราะเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากโรคที่เป็นอยู่จะไม่หายแล้ว อาจลุกลามเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากการที่มีผลิตภัณฑ์อาหาร “เอนไซม์ เจนิฟู้ด” นำเข้าโดย บริษัท เบสไฟว์ อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งขอขึ้นทะเบียนกับ อย.เป็นเครื่องดื่มพืชผักผลไม้ผสม (ตราเจนิฟู้ด) เลขสารบบอาหาร 10-3-10838-1-0001 มีการโฆษณาอ้างว่าเป็น “เอนไซม์” ทางสื่อโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีกว่า 10 ช่อง โดยมีข้อความโฆษณาอวดอ้างรักษาได้สารพัดโรค เช่น ป้องกัน ยับยั้ง ต่อต้าน ทำลายโรคต่างๆ เป็นทางเลือกที่ได้ผลสูง, รักษาแผลกดทับ เนื่องจากอัมพฤกษ์, ใช้โรยแผลที่มีเนื้อมะเร็ง แผลบวม มีหนองจะช่วยดูดซับสารพิษทั้งหมด โดยนำบทสัมภาษณ์ผู้ป่วย อาทิ ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน เบาหวาน ความดัน มะเร็ง ไขมันอุดตัน มะเร็งเต้านม หัวใจตีบ ที่รับประทานผลิตภัณฑ์เอนไซม์ดังกล่าวแล้วอาการป่วยดีขึ้น หรือหายจากอาการป่วย หรือนำผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในสังคมมาโฆษณา เพื่อจูงใจให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้ ซึ่ง อย. ได้มีคำสั่งระงับโฆษณาดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งแจ้งไปยังสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีให้งดเผยแพร่ แต่จากการตรวจสอบ พบว่า ยังมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร “เอนไซม์ เจนิฟู้ด” ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีหลายช่อง ได้แก่ Home Channel, I Channel, OHO Channel, DooDee Channel, Nice Channel, MYTV, Thai Vision, เกษตร แชนแนล, MY MV5, Hi Channel, Star Channel และช่องลายไทย

นพ.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าเจตนาละเมิดคำสั่งการระงับโฆษณา ซึ่ง อย. เตรียมดำเนินการอย่างเข้มงวดตามนโยบายคุ้มครองความปลอดภัยผู้บริโภคของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดย จะดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาโฆษณาด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท และฝ่าฝืนคำสั่งระงับโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับเป็นรายวันวันละไม่น้อยกว่า 5 ร้อยบาท แต่ไม่เกิน 1 พันบาท ตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง นอกจากนี้ สื่อที่ทำการเผยแพร่โฆษณาดังกล่าว อันได้แก่ สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวี จะมีความผิดในข้อหาโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท และอาจถือว่ามีเจตนาร่วมกันหลอกลวง ซึ่งจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทาง สื่อต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิด เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ขอ ให้ผู้ประกอบการทุกรายมีจริยธรรม และเห็นแก่ความปลอดภัยของผู้บริโภค อย่าโฆษณาด้วยวิธีต่างๆ ในลักษณะที่เกินเลยความเป็นจริง สำหรับผู้บริโภคอย่าได้อย่าหลงเชื่อการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารที่อวดอ้างรักษา โรค เพราะนอกจากโรคที่เป็นจะไม่หายแล้ว อาจทำให้เจ็บป่วยมากขึ้นเดิม สิ้นเปลืองเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้เสียโอกาสในการรักษาโรคอย่างถูกวิธี และอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต และ หากพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดเกินจริง ขอให้แจ้งร้องเรียนได้ที่ศูนย์เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ชั้น 1 ตึก อย.หรือสายด่วน อย.1556 หรือ E-mail : หรือ ตู้ ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี 11004
8  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตือนภัย : สายจาก(อ้างว่า) ธนาคารกรุงเทพ เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 11:19:29 am
 

วันนี้ที่ทำงานได้รับโทรศัพท์อัตโนมัติจากธนาคารกรุงเทพข้อความว่า "ท่านได้กดเงินจำนวน ______ บาทจากตู้ ATM ธนาคารกรุงเทพ ถ้าไม่ใช่ตัวท่าน ต้องขออภัย กด 1 เพื่อฟังซ้ำ กด 9 ติดต่อเจ้าหน้าที่" ตั้งแต่เช้าถึงสายๆ ก่อนเที่ยง มันจะวนเวียนกึ่งสุ่ม (เยอะมาก น่าจะเป็นร้อยสาย) และเท่าที่ได้ยิน ยอดตัวเลขแต่ละคนไม่เท่ากัน โดยมีคน (ลอง) กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ ถามซักไซ้ดูพบพิรุธ เพราะอ้างว่ามาจากฝ่ายสินเชื่อ ที่สำคัญธนาคารใหญ่ขนาดนี้น่าจะหาเสียงผู้หญิงที่สวยน่ารักกว่าเสียง อัตโนมัติที่ได้ยิน มีการถามชื่อ นามสกุล เช็คกับระบบ และบอกว่าไม่มีชื่อในระบบด้วย

คาดว่าเป็นมิจฉาชีพที่สุ่มหาเหยื่อ หากเจอเหยื่อที่บังเอิญกดเงินที่ตู้ ATM แต่ยอดน้อยกว่าที่มันกล่าวอ้าง อาจจะให้โอนเงินคืน (ต่อมาจะมีสายที่อ้างว่าเป็นตำรวจโทรมาขู่จนเหยื่อหลงกล) แต่ถ้าเหยื่อไม่มีบัตร ATM ก็ฟาวล์ไป

ระวังๆ กันไว้ด้วยนะครับ แก๊งคอลเซนเตอร์เดี๋ยวนี้น่ากลัวจริงๆ โดนกับตัวมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกก็สรรพากรโทรบอกได้เงินภาษีคืน


Credit :  http://www.oknation.net/blog/sunny/2011/06/01/entry-1
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประเทศไทย เรื่องที่ชาวต่างชาติ อึ้ง เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 11:17:01 am
1. ประเทศไทย...ทำไมมีสรรพนาม เรียกแทน ตัวเองและฝ่ายตรงข้ามมากมายหลายคำ ?

ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะมีแค่ I กับ You ถ้าเป็นภาษาจีน ก็มี หว่อ
กับ หนี่ แต่ภาษาไทยนี่มีเยอะมากกกก ตั้งแต่ ฉัน-เธอ , เรา-แก , ข้า-เอ็ง ,
ผม-คุณ , เดี๊ยน-หล่อน และอีก สารพัด เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ต่างๆ
ถ้าคุยกับพ่อแม่อาจจะเรียกตัวเองว่า หนู
ถ้าคุยกับน้องสาวอาจจะเรียกตัวเองว่าฉัน แต่พอไปคุยกับเพื่อน
อาจเรียกตัวเองว่าเรา เอ๊ะ นั่นน่ะสิ ทำไมคนไทยถึงมีสรรพนามเรียก
แทนตัวเองและคนอื่นเยอะขนาดนี้นะ ? น่าสงสัยเหมือนกันนะ !

2. ประเทศไทย .... ทำไมเมืองหลวงชื่อยาวมาก ?

ชาว ต่างชาติมักรู้จักกรุงเทพฯ ในนาม Bangkok แต่ถ้าใครได้รู้ชื่อ
เมืองหลวงเต็มๆ ของกรุงเทพฯ รับรองว่าอึ้งทุกราย ก็ชื่อเมืองหลวง เต็มๆ
ของกรุงเทพฯ เค้ามีชื่อว่า "กรุงเทพมหานคร อมรรัตน โกสินทร์ มหินทรายุธยา
มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" ว่าแต่น้องๆ ท่องกันได้รึเปล่าล่ะ ?

3. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยนามสกุลยาวจัง ?

ในขณะที่ชาวต่างชาติเค้า นามสกุลสั้นๆ แค่ 2-3 พยางค์
บางชาติก็แค่พยางค์เดียว แต่คนไทยส่วนมากนามสกุลย๊าวยาว บางคนยาวกว่า 8-9
พยางค์ บางคนยาวเป็น 10 พยางค์ก็มี เวลากรอกเอกสารสำคัญๆ
เรียกว่าเขียนเกินหน้ากระดาษกันเลยทีเดียว

4. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยชอบ พิมพ์ 5555 ?

ก็เพราะว่าเลข 5 ในภาษาไทยออกเสียงว่า 'ห้า' หรือ พ้องไปเป็น
'ฮ่า' ดังนั้นเวลาพิมพ์หรือแชทกัน แล้วรู้สึก ตลกหรือขำ ก็จะพิมพ์แทน
'ฮ่าฮ่าฮ่า' ว่า '555' บาง คนเผลอเอาไปพิมพ์แชทกับเพื่อน ต่างชาติ
รับรองว่า ฝรั่งงงทุกรายแน่ๆ 555 ไปๆ มาๆ เพื่อนต่างชาติของ
เราดันติดเอาไปใช้คุยกับคนอื่นต่ออีกแน่ะ 555 อ้อ
แต่บางทีคนไทยด้วยกันเองก็มีงงบ้าง เช่น
ค่ารถ เท่าไรอะ
55
จะขำทำไม
เปล่า เฟ้ย หมายถึงค่ารถ 55 บาท

5. ประเทศไทย .... ทำไมอะไรๆ ก็ตีเป็นเลขได้ ?

อู้ ยยย อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยที่แปลกใจ
คนไทยด้วยกันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมทุกอย่างถึงสามารถตีเป็นเลขได้
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้(ต้นไม้ร้องไห้ มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา)
สัตว์(ควายแรกเกิดมี 2 หัว) ของกิน(แตงโมเผือก)
และอะไรอีกสารพัดก็สามารถเอามาตีเป็นเลขได้ คนไทยนี่สุดยอดจริงๆ เลยนะเนี่ย
อิอิ

6. ประเทศไทย .... ทำไมชื่อเล่นคนไทยถึงแปลกจัง ?

ก็ชื่อเล่นคนไทยมีทั้งชื่อสัตว์(แมว กวาง นก กระต่าย) ผลไม้(ส้ม
เปิ้ล มะปราง ชมพู่) ผัก(คะน้า แตงกวาต้นหอม ขิง) ขนม(วุ้น ปุยฝ้าย เค้ก
ลูกกวาด) เครื่องประดับ (แก้ว แหวน สร้อย) เลข(หนึ่ง สอง สาม สี่)
และอะไรอีกสารพัด เล่นเอาคนต่างชาติอึ้งว่าทำไมถึงตั้งชื่อกันอย่างนี้

มีเพื่อนคนนึงชื่อแตงกวา
คุณเธอไปเรียนต่อที่เกาหลีเลยจัดแจงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น 'โออี' (ภาษา
เกาหลีแปลว่าแตงกวา) ตอนออกไปแนะนำตัวหน้าชั้น
ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนขำกันยกใหญ่ว่าคนอะไรชื่อแตงกวา
หารู้ไม่ว่าที่เมืองไทยชื่อแตงกวาออกจะน่ารัก ก็แหม
มีใครเคยเจอชาวต่างชาติชื่อ cucumber rabbit necklace อะไรอย่างนี้มั้ยล่ะ?
ไม่มี๊ไม่มี
มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละที่สามารถเอาสิ่งรอบตัวมาตั้งเป็นชื่อเล่นได้ !
สุดยอดปะล่ะ !

7. ประเทศไทย .... ทำไม....ไหว้อะไรกันที่หน้า บ้าน ?

นั่นก็หมายถึงศาล พระภูมิเองล่ะค่ะ ฝรั่งบางคน(หรือแทบทุกคน)
ได้เห็นแล้วต้องเป็นงงว่า 'นี่คืออะไร บ้านนกเหรอ?' แล้วทำไม
ต้องจุดธูปกับเอาของกินมาถวายบ้านนกด้วยล่ะ ? ดังนั้นก็ต้อง
อธิบายกันซะยืดยาวว่าจริงๆ แล้วนั่นคือศาลพระภูมิที่เชื่อกันว่าเป็นที่
สิงสถิตย์ของเจ้าที่ที่คอยคุ้ม ครอง

แต่แหม พี่ฝรั่งบางคนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่ทราบ ดันซื้อกลับ
ประเทศไปซะหลายหลัง - -"อย่างนักบอลชื่อดังเดวิด เบคแฮม ก็เป็น
อีกรายที่ซื้อศาลพระภูมิกลับประเทศไปตรึม

8. ประเทศไทย .... ทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉายในโรงหนัง ?

รับรองเถอะค่ะ
ร้อยทั้งร้อยของชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้เข้าไปในโรงหนังของบ้านเรา
ต้องสงสัยทุกรายว่าทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉาย
ยังไงก็อย่าลืมอธิบายให้เค้าฟังด้วยนะคะว่า 'ต้อง
ยืนตรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี' (ไม่
ว่าจะอยู่ในโรงหนังหรือไม่ก็ตาม)
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยนั่น
เองค่ะ ..... เชื่อมั้ยคะว่า
ชาวต่างชาติบางคนรู้สึกขนลุกและประทับใจต่อเพลงสรรเสริญฯ มาก
บางคนมาเมืองไทยทีไร ต้องหาเวลาเข้าโรงหนัง ไม่ได้เข้าไปดูหนังหรอกนะคะ
แต่เข้าไปยืนตรงแล้วฟังเพลง

9. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยต้องติดรูปนี้ไว้บนฝาบ้าน ?

นั่นก็คือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเองค่ะ
ซึ่งเป็นรูปที่คนไทยต้องมีกันทุกบ้านไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของประเทศไทย
คนไทยบางคน(โดยเฉพาะในเมืองนอก)ถึงกับพกพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์
ติดกระเป๋าสตางค์ พอฝรั่งเห็นเข้าก็แปลกใจว่า เอ๊ะ พกรูปใครมาน่ะ Do you
know him personally (รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวเหรอ) ?
เราไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว
แต่ท่านคือพ่อของคนไทยทุกคนที่พวกเราทั้งรักและจงรักภักดีต่างหาก.... 
10  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / กำลังจะซื้อบ้านครับ ญาตผมมาเสนอขายให้ แต่.... เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 08:31:39 am
กำลังจะซื้อบ้านครับ



จากรูป เพื่อนสมาชิกช่วยแนะนำหน่อยครับ
ฮวงจุ๊ยใช้ได้หรือไ่ม่ครับ

11  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / อยากทำโพลล์ ให้คะแนนเรื่องกับนักโพสต์ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 02:15:28 pm
ตอนนี้ผมเข้าไปดู สถิติ ของนักโพสต์แล้ว เห็นว่ามีระดับหลายคลาสครับ

เข้าชมสถิติ โดยรวมตรงนี้นะครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?action=stats

อยากให้ลงคะแนน ความชื่นชอบให้กับนักโพสต์ ตอบคำถามครับ ว่าใครตอบได้ดีตรงประเด็นยกเว้น
พระอาจารย์ออกรูปเดียวครับ

ตอนนี้นักโพสต์ที่ผมชื่นชอบ นะครับ

1. nathaponson มีเรื่องสาระ มาฝากสม่ำเสมอ และ จัดรูปแบบเรื่องที่โพสต์ให้อ่านด้วย ซึ่งผมเองได้อาศัย
นำไปทำรายงานหลายเรื่องแล้วครับ

2. หมวยจ้า ครับ แต่ตอนนี้ไม่เห็นโพสต์ เพราะผมจะได้อ่านเรื่องแนวๆ วัยรุ่น จาก fwd mail มากจริง ๆ นะครับ

และอีกหลายท่านครับ
สมควรแก่การอนุโมทนาจริง ๆ ครับ ที่ 1 ปีกว่า ๆ นี้ยังมีเรื่องโพสต์ให้อ่านตลอดครับ
ซึ่งต่างจากผมเอง ผู้ถามก็คิดไม่ออกว่าจะถามอะไร ?


 :58: :58: :58:
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "เป็นเศรษฐีได้ด้วยซากหนูตายเพียงตัวเดียว" เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 03:05:57 pm
ในเมืองพาราณสี มีเศรษฐีท่านหนึ่ง มีนามว่าท่านจุลลกเศรษฐี เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม เป็นบัณฑิตที่รู้จักปรากฏการณ์ต่าง ๆ รู้นิมิตต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
วันหนึ่งจุลลกเศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระราชา ในระหว่างทางเห็นหนูตายอยู่ตัวหนึ่ง ท่านเศรษฐีมองดูท้องฟ้าแล้วกล่าวขึ้นว่า

"กุลบุตรผู้มีดวงตา คือปัญญา อาจเอาหนูตัวนี้ไปกระทำการเลี้ยงดูภรรยา และประกอบการงานได้"

ขณะนั้น ชายผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ จูฬันเตวาสิก ได้ยินท่านเศรษฐีกล่าวเช่นนั้น ก็คิดว่า ท่านเศรษฐีไม่รู้จริงคงไม่พูด จึงเอาซากหนูตายตัวนั้นไปขายคนเลี้ยงแมวเพื่อให้เป็นอาหารแมว ได้ทรัพย์จากคนเลี้ยงแมวมากากณึกหนึ่ง (กากณึก เป็นมาตราเงินอินเดียในสมัยนั้นที่มีค่าน้อยที่สุด เทียบมาตราเงินไทย ๑ สตางค์)
กากณึก [กา-กะ-หฺนึก] น. ทรัพย์มีค่าเท่าค่าแห่งชิ้นเนื้อพอกานำไปได้; เป็นชื่อมาตราเงินอย่างต่ำที่สุด.

จากนั้น จูฬันเตวาสิกก็นำทรัพย์หนึ่งกากณึกหนึ่งนั้น ไปซื้องบน้ำอ้อย (น้ำอ้อยที่เคี่ยวแล้วทำเป็นแผ่นเล็ก ๆ) แล้วนำหม้อใบหนึ่งตักน้ำ ไปยืนคอยพวกช่างดอกไม้ที่เดินทางกลับจากป่า ให้ชิ้นน้ำอ้อยชิ้นเล็ก ๆ กับช่างดอกไม้เหล่านั้น และให้ดื่มน้ำคนละกระบวย พวกช่างดอกไม้เดินทางมาเหนื่อย ได้งบน้ำอ้อยกับน้ำดื่มก็มีความพอใจ สดชื่น ชื่นกาย ชื่นใจ จึงต่างมอบดอกไม้คนละกำมือแก่เขาเป็นเครื่องตอบแทน

จูฬันเตวาสิก จึงเอาดอกไม้นั้นไปขาย ได้เงินกลับมามากขึ้น ก็นำเงินนั้นไปซื้องบน้ำอ้อย แล้วไปยืนคอยพวกช่างดอกไม้เช่นเดิม เขาทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ จนเขามีเงินถึง ๘ กหาปณะ (๔ บาทเท่ากับ ๑ กหาปณะ) "เริ่มรวยแล้ว"

วันหนึ่ง ฝนตก เกิดพายุหนัก กิ่งไม้แห้งบ้าง สดบ้าง ถูกพายุพัดหักหล่นลงมาในพระราชอุทยานเป็นอันมาก คนเฝ้าอุทยานไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรดี จูฬันเตวาสิกได้พบเข้าจึงรีบไปบอกกับคนเฝ้าพระราชอุทยานว่า ถ้าให้ใบไม้ กิ่งไม้เหล่านั้นแก่เขา เขาอาสาจะขนออกไปให้เอง คนเฝ้าสวนดีใจที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยขนเอง จึงรีบบอกให้เขามาขนออกไปได้ในทันที

พอได้ความดังนั้น จูฬันเตวาสิกจึงรีบกลับไปที่สนามเด็กเล่น นำน้ำอ้อยเลี้ยงแก่เด็ก ๆ แล้วขอแรงเด็ก ๆ ให้ช่วยกันขนกิ่งไม้ออกมาจากพระราชอุทยาน ในเวลาไม่นานกิ่งไม้จำนวนมากก็ถูกขนมากองอยู่ที่หน้าประตูพระราชอุทยาน ก็พอดีกับช่างหม้อหลวงที่มาเที่ยวหาฟืน เพื่อนำไปเผาภาชนะดินของหลวงพบเข้า จึงขอซื้อกิ่งไม้เหล่านั้นจากจูฬันเตวาสิกในทันที

จากการขายไม้ ชายยากจนอย่างจูฬันเตวาสิก จึงมีทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น ๑๖ กหาปณะแล้ว
เมื่อมี ทรัพย์มากขึ้น เขาจึงจะขยายกิจการออกไป โดยการตั้งตุ่มน้ำไว้ไม่ไกลจากประตูเมือง เพื่อคอยให้บริการแก่คนหาบหญ้า ๕๐๐ คน เหล่าคนหาบหญ้าพอใจในบริการที่มีน้ำใจของเขา จึงเอ่ยปากว่า หากจูฬันเตวาสิกต้องการให้พวกตนช่วยอะไร ขอให้บอกได้เลย

นอกจากคนหาบหญ้าแล้ว จูฬันเตวาสิกยังได้ผูกมิตรกับคนมากหน้าหลายตา ทำให้เขาเป็นที่รู้จัก และมีเพื่อนฝูงมากมาย
วันหนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกข่าวแก่เขาว่า พรุ่งนี้จะมีพ่อค้าม้านำม้า ๕๐๐ ตัวมายังนครแห่งนี้ จูฬันเตวาสิกจึงไปพบคนหาบหญ้า และขอซื้อหญ้าจากคนหาบหญ้าทั้งหมดมาเตรียมเอาไว้

วันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อค้าม้านำม้า ๕๐๐ ตัวมาถึง ก็พบว่ามีเพียงจูฬันเตวาสิกเท่านั้นที่มีหญ้าขาย จึงขอซื้อหญ้าทั้งหมดจากจูฬันเตวาสิก เขาได้กำไรจากการขายหญ้าในครั้งนี้ถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ

โอกาสต่อมา ก็มีเพื่อนมาแจ้งข่าวแก่เขาว่า จะมีพ่อค้านำเรือสำเภาขนาดใหญ่มาจอดเทียบท่า
จูฬันเตวาสิกไม่รอช้า รีบไปขอเหมาสินค้าทั้งลำเรือเอาไว้ เมื่อพ่อค้ารายอื่นมาถึง หาสินค้าไม่ได้จึงต้องมาขอซื้อสินค้าจากเขา สุดท้ายเขาได้ทรัพย์มาเป็นจำนวนถึง ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ (กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว!)

เมื่อได้ทรัพย์เป็นจำนวนมากเช่นนี้ จูฬันเตวาสิกก็เกิดความคิดว่า "เรารวยขึ้นมาได้เพราะท่านจุลลกเศรษฐี เราควรเป็นคนกตัญญู นำทรัพย์ที่ได้ไปตอบแทนพระคุณท่านเศรษฐี"

เร็วเท่าใจคิด จูฬันเตวาสิกถือทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะไปมอบให้เศรษฐีเพื่อเป็นการตอบแทน พอท่านเศรษฐีทราบเรื่องทั้งหมด เห็นสติปัญญา และความเฉลียวฉลาด จึงยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย และเมื่อท่านจุลลกเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว จูฬันเตวาสิกก็ได้เป็นเศรษฐีแห่งเมืองนั้นสืบต่อมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมยิ่งทีเดียว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

"บุคคลผู้มีปัญญา รู้จักใคร่ครวญ ย่อมตั้งตนได้ด้วยทรัพย์อันเป็นต้นทุนแม้มีประมาณน้อย เหมือนคนก่อไฟกองน้อย ให้เป็นกองใหญ่ ฉะนั้น"

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การเชื่อฟังท่านผู้รู้ ไม่ดูเบาต่อคำสั่งสอน พยายามปฏิบัติตาม และทำอย่างมีปัญญา ใคร่ครวญพิจารณาให้ดี มีความคิดรอบคอบ และเมื่อได้ทรัพย์มาแล้วก็ระลึกถึงผู้มีพระคุณ บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมไม่ตกต่ำ มีแต่จะตั้งตนได้และเจริญรุ่งเรือง ความรู้ ความประพฤติ และการงานที่ดีย่อมเป็นที่พึ่งพิงของบุคคลได้ดีกว่าสิ่งอื่น ดังภาษิตที่ว่า "ไม่มีมิตรใดเสมอได้ด้วยวิชชา"

ชะตากรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยั่ง ถึงได้ แต่ความเพียรพยายามเป็นสิ่งที่เรารู้ได้และอยู่ในอำนาจของเรา การทำความเพียรให้เป็นหน้าที่ของเรา การให้ผลเป็นหน้าที่ของกรรม

เมื่อหวังความสำเร็จผล ก็ต้องรู้จักรอคอย และควรคอยอย่างสงบ ไม่ใช่กระวนกระวายใจ อะไรที่ควรได้ ย่อมได้มาเองโดยผลแห่งกรรม หรือความเพียรชอบนั้นแล

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากหนังสือ "เพื่อเยาวชน" ของสำนักพิมพ์คนรู้ใจ
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนมีราคา แค่ 66.50 บาท เท่านั้น เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 02:59:50 pm
คนเรานั้น มีน้ำสาม สิบแปดลิตร
อย่าแคลงจิต แม่นแท้ แน่หนักหนา
ฟอสฟอรัส คือกำมะถัน ตามสัญญา
มีอยู่ใน กายา ทุกตัวคน
ทำหัวไม้ ขีดสองพัน สองร้อยก้าน
ใช่ประมาณ แพทย์เขาแยก แจกเป็นผล
ยังมีอีก ธาตุเหล็ก ในตัวตน
แยกแล้วย่น ได้ตะปู เพียงหนึ่งตัว
ยาวสามนิ้ว เท่านั้น อัศจรรย์แท้
ใช่จะแส่ พูดเล่น เป็นชวนหัว
แล้วยังมี ไขมัน คั้นจนทั่ว
ผสมกลั้ว เป็นสบู่เหลว ได้เจ็ดก้อน
เราควรเร่ง เพ่งพิศ คิดดูเถิด
ว่าคนเกิด มีราคา น่าอาวรณ์
ที่รู้ได้ แพทย์เขาบอก ใช่หลอกหลอน
คิดเขียนกลอน เพื่ออ่านเล่น เป็นปัญญา
เมื่อรวมแล้ว ค่าตก หกสิบหกบาท
ไม่ผิดพลาด สิบห้าสตางค์ เท่านั้นหนา
หากไม่เพิ่ม คุณความดี มีวิชา
เพียงราคา ต่ำกว่าสัตว์ ถนัดใจ
ประกอบแต่ ศีลธรรม คุณความดี
ก็จะมี คุณค่า จักหาไหน
มีชีวิต ก็สุขกาย สบายใจ
เมื่อตายไป ชื่อหอมอยู่ คู่โลกาฯ.

พระอาจารย์สรวง ปริสุทฺโธ
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๘
(เขียนที่ศาลาสระน้ำ)
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แฟชั่นสวยสยอง! สมัยโบราณ เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:32:47 am
แฟชั่นสวยสยอง! สมัยโบราณ

อันดับ 6 คริโนไลน์(crinoline)


คริโนไลน์ (crinoline) เป็นกระโปรงที่สวมบนสุ่ม (เพื่อให้กระโปรงบานออก) เป็นชุดที่มีกระโปรงบานๆ บานมากบานจนเหมือนสุ่มไก่บ้านเราโดยเขาจะทำเป็นโครงให้ให้มันบานใหญ่ โดยโครงทำมาจากมันทำจากขนม้า, เส้นป่าน หรือเหล็ก ซึ่งมันได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงในศตวรรษที่ 19

ทำไมมันถึงน่า กลัว? การออกแบบคริโนไลน์ของมันตอบสนองได้ดีทีเดียวเลยแหละเมื่อมีลมแรงๆ มาพัดอย่างกะทันหัน กระโปรงบานๆ ของเจ้าหล่อนจะถูกพัดเหมือนกับร่ม(กาง)ที่ปลิวของลมนั้นแหละ มีหลายรายถูกลมพัดดันให้ตกจากที่สูง(ที่ออกงานของพวกเธออยู่ที่สูงๆ ทั้งสิ้นนี้) และบางรายเพราะหายใจไม่ออกเพราะลมพัดแรงจนโครงเหล็กรัดตัวเธอจนกระดูกหัก บางรายกระโปรงเกิดไปเกี่ยวกับรถม้าและลากผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดตาม ท้องถนน

แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือกระโปรงนี้ติดไฟง่ายสุดๆ และเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ตายเพราะกระโปรงตัวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1863 ในSantiago ประเทศซิลี ในอเมริกาใต้ มีคนตายกว่า 2000 - 3000 คน ในขณะไฟไหม้โบสถ์ เมื่อไฟผ้าคลุมหน้าต่างโบสถ์เกิดติดไฟ ผู้คนต่างพยายามหนีตายหาทางออกจากประตู แต่เจ้ากรรม ด้วยความกว้างของกระโปรงบานของเจ้าหล่อนดันไปขว้างติดประตูซะนี้(หลายคน พยายามออกประตูเดียว) แถมเอาออกยากซะด้วยสิเพราะมันทำจากโครงเหล็กนี้น่า ซึ่งมันทำให้ทางออกถูกปิดโดยสิ้นเชิง ที่นี้ก็ลองคิดละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...ก็ตายยกหมู่

 

อันดับ 5 เดอะ คอร์ซิท (The Corset)

 
เดอะ คอร์ซิท (The Corset) เป็นเสื้อรัดลำตัวสตรี,เสื้อยกทรงรัดรูปของสตรี และชุดชั้นในผู้หญิงที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้ารูปทรง นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1830-1839 สมัย วิกตอเรียนที่ตั้งกฎเกณฑ์ศิลธรรมให้ผู้หญิงต้องใส่ ไม่ใส่ถือว่าผู้หญิงคนนั้นสกปรก ต่ำต้อย ไม่มีมารยาทและไม่มีศิลธรรม และสมัยศตวรรษที่ 19นิยมให้สตรีมีเอวคอดกิ่ว อกตั้ง ทำให้เสื้อนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว

ทำไมมันถึงน่ากลัว? เนื่องจากการใส่คอร์ซิทต้องรัดแน่นมากๆ แน่นจนทำให้กระดูกผิดรูป หรือ เราเรียกว่าเอวคอด ซี่โครงจะเจ็บปวดชา อวัยวะเครื่องในจะถูกเคลื่อนย้ายลงต่ำมาถึงก้น ทั้งเป็นสาเหตุให้การไหลของเลือดภายในผิดปกติ ใน1903 มี ผู้หญิงที่ตายทันทีเพราะเสื้อรัดลำตัวสตรีที่เป็นเหล็กกระแทกหัวใจของเธอ แต่กระนั้นแฟชั่นนี้ก็ถูกดัดแปลงให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันมาเป็นชุดชั้นใน สุดเซ็กซี่ออกศึกที่นิยมของสาวๆ ทั้งหลาย

อันดับ 4 ฟุตบาดดิ้ง (Footbinding)


ฟุตบาด ดิ้ง (Footbinding) เป็นการพันเท้าผู้หญิงให้เป็นรูปดอกบัว เป็นประเพณีปฏิบัติของผู้หญิงจีนโบราณ ซึ่ง เป็นที่นิยมในจีนสมัยศตวรรษที่ 8 โดยมันเริ่มมาจากสมัยก่อนจักรพรรดิ์มีเมียหลายคน แต่ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่กับเมียน้อยเหล่านี้มากนัก ทำให้หลายนางแอบไปมีชู้ จักรพรรดิจึงใช้วิธีป้องกันโดยการรัดเท้าเพื่อให้พวกเธอเดินเหินไม่สะดวก ซึ่งต่อมากลายเป็นค่านิยมที่ผู้หญิงในวังต้องวัดเท้า ชาวบ้านก็นึกว่าเป็นแฟชั่นของไฮโซเลยทำตามบ้าง จึงกลายเป็นค่านิยมของจีนในที่สุด โดยเกิดวลีว่า "ผู้หญิงที่เท้าเล็ก ยิ่งเซ็กซี่"

ทำไมมันถึงน่ากลัว? กระบวนการพันเท้านั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 5-6 ขวบ โดยคนเป็นแม่จะใช้วิธี หักนิ้วน้อย ๆ สี่นิ้ว แล้วงอย้อนกลับไปทางด้านหลัง แล้วก็เอาผ้ามาพันเอาไว้ โดยจะพันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เท้าที่เล็กตามต้องการ(บาง ตำราก็เขียนว่าให้เอาเท้าแช่ปัสสาวะและกระเพาะแพะ) นอกจากนี้ผู้ที่ทำการพันเท้า กล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณสะโพกลงไปจะต้องเกร็งมากในการเดินแต่ละครั้ง เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแลดูสวยงาม จะเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกระหน่ำแทงพวกเธอราวกับขุนนรกโลกันต์ เท้าที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา กลิ่นจะเหม็นมากๆ จนเป็นแผลเน่า และเลวร้ายที่สุดคือเธอไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกเกิดมีไฟไหม้บ้าน โจรมาข่มขืนละก็คงแล้วแต่ดวงแหละเพราะหนีไม่ได้...เหอๆ


อันดับ 3 ฟองตางเก (The Fontange)


ผมทรงฟอง ตางเก(The Fontange) เป็นการทำเกล้าให้ผมสูงไว้กลางศีรษะ มัดโบเล็กๆ หลายอันด้านหน้า จากนั้นประกบด้วยลูกไม้จีบและมัดมวยผมเป็นแผง 3 - 4 ชั้น วนไล่ขึ้นไปเป็นยอด ด้านหลังกับด้านข้างทิ้งปอยหยิกห้อยและผูกโบว์ยาวซึ่งยิ่งผมสูงยิ่งดีแสดง ถึงฐานะ โดยแฟชั่นนี้นิยมในฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 -18

ทำไมมันถึง น่ากลัว? ทรงผมนี้มันติดไฟง่ายครับ ยิ่ง งานราตรีที่มีโคมไฟระยิบระย้ายิ่งติดไฟง่ายไปใหญ่แถมเวลาไฟติดบนหัวของเจ้า หล่อนละก็ตัดยากสุดๆ เพราะหัวเธอเต็มไปด้วยวัสดุติดไฟง่ายทั้งนั้น และจากผมก็จะลามมาถึงคอและหน้าและมือ จากสาวสวยกลายเป็นสุเทพ สีใสทันที ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดขึ้นกับ Angelique de Fontanges ชู้รักคนโปรดของกษัตริย์อังกฤษคนหนึ่งที่ตายเพราะทรงผมของเธอตัดไปโดนเทียน ทำให้หัวของเธอติดไฟ

อันดับ 2 ลีด เมคอัพ(Lead Makeup)


เป็นการทำ ให้หน้าขาวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของตะกั่ว ว่ากันว่าต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีกในยุคโบราณกว่า2,000 ปีมาแล้ว และนิยมในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 14 -19 ซึ่งสังคมนั้นมันชั้นสูงมากๆ แบบใครผิวดำถือว่าเป็นคนไม่มีเงิน(เพราะคนผิวดำมักทำงานหนัก คนผิวขาวไฮโซไม่ต้องทำงาน) ซึ่งคนดังที่ใช้แป้งข่าวทานั้นก็มีสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ

ทำไมมันถึงน่ากลัว? แน่นอนเพราะมันมีส่วนประกอบของตะกั่ว ซึ่งทางอนามัยโลก จัด เป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอยู่แล้ว โดยลีด เมคอัพเครื่องสำอางโบราณนั้นมี ส่วนประกอบคือตะกั่วขาวผสมกับขี้ผึ้ง ไขมันสัตว์ น้ำมันและไข่ขาว ซึ่งสารตะกั่วนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน มึนงง แขนขาชา ตาบอด และหายใจไม่ออก บางครั้งอาจเสียชีวิตได้ หรือถ้าร่างกายสะสมตะกั่วมากๆ อาจเป็นมะเร็งได้

โดยในปี 1760 Marie Gunning สตรีชั้นสูงชาวไอริชที่มีชื่อเสียงในด้านหน้าขาวของเธอกลายเป็นเหยื่อรายแรก ของการใช้สารตะกั่วพิษ และในปี 1878 คุณนาย Madame Rachel,ก็ตายเพราะพิษของตะกั่วที่ทาบนหน้าเช่นกัน

อันดับ 1เดอะ สตีฟ ไฮ คอลล่า (The Stiff High Collar)

 

เป็น คอเสื้อแข็งๆ ใส่เพื่อให้ปกเสื้อสูงขึ้น นิยมใช้กับผู้ชายในศตรรษที่ 19 โดยคอเสื้อจะเป็นสีขาว เวลาใส่ก็เอาชุดเชิ๊ตมาใส่ทับอีกที ทำให้เหมือนเป็นคนขี้โอ่ มีอำนาจ โดยบุคคลสำคัญที่ใส่ก็มี ออสกา ไวลด์Oscar Wildeนักประพันธ์ชาวไอซ์แลนด์

ทำไมมันถึงน่ากลัว? ที่เยอรมัน, เดนมาร์ก และดัชท์ เรียกเจ้าปลอกคอนี้ว่า"พ่อมือสังหาร father killer " ซึ่ง ดูรูปร่างคงจะทราบแล้วมั้งว่ามันน่ากลัวยังไง คือมันทำให้ทำให้คนสวมหายใจลำบากและอึดอัดที่ลำคอเพราะมันค่อนข้างบีบรัดคอ พอสมควร ซึ่งคนสวมมักเสียชีวิตในขณะใส่ชุดนี้ตอนเวลานอนและพอมันรัดคอคนสวมมักตาย เพราะขาดอาการหายใจอย่างไม่รู้ตัว และทำให้เกิดฝีในสมอง เวลากินข้าวก็ผ่านลำคอยากแต่ที่ร้ายสุดๆ คือมันเหมือนกิโยตินแบบพกติดตัวคือในปี 1800 ชายคนหนึ่งหัวขาดเพราะคอเสื้อไปเกี่ยวกับรถขณะวิ่งมาแล้ว

เป็นไงบ้างค่แต่ละแฟชั่น คงสวยถูกใจทุกคนน่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.moonsthailand.com/smf/index.php?topic=544.0;wap2
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จำคุกหมอดูกฤษณ์ 6 เดือนปรับ 75000บ. หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม ศาลฯ สั่งจำคุก หม เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 02:29:46 pm
จำคุกหมอดูกฤษณ์6เดือนปรับ75000บ.
หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม
ศาลฯ สั่งจำคุก หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม 6 เดือน หมิ่นประมาท ลีเดีย นักร้องสาวชื่อดัง
ศาลอาญาพิพากษา หมอดูกฤษณ์ คอนเฟิร์ม ในคดีหมิ่นประมาท ลีเดีย นักร้องดัง ซึ่งทำนายดวงลิเดียผ่านสื่อมวลชนว่ามีเกณฑ์ตั้งท้อง จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีโทษจำคุก 8 เดือน ปรับ 1 แสนบาท แต่ให้การเป็นประโยชน์ คงเหลือโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 75,000 บาท แต่จำเลยประกอบอาชีพสุจริตไม่เคยประพฤติผิดมาก่อน จึงให้โอกาสปรับตัวโดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี พร้อมให้ลงข้อความขอโทษลิเดียในหนังสือพิมพ์รายวัน 1 ฉบับ เป็นเวลา 1 วัน

หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม
ศาลฯ สั่งจำคุก หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม 6 เดือน หมิ่นประมาท ลีเดีย นักร้องสาวชื่อดัง
ศาลอาญาพิพากษา หมอดูกฤษณ์ คอนเฟิร์ม ในคดีหมิ่นประมาท ลีเดีย นักร้องดัง ซึ่งทำนายดวงลิเดียผ่านสื่อมวลชนว่ามีเกณฑ์ตั้งท้อง จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีโทษจำคุก 8 เดือน ปรับ 1 แสนบาท แต่ให้การเป็นประโยชน์ คงเหลือโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 75,000 บาท แต่จำเลยประกอบอาชีพสุจริตไม่เคยประพฤติผิดมาก่อน จึงให้โอกาสปรับตัวโดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี พร้อมให้ลงข้อความขอโทษลิเดียในหนังสือพิมพ์รายวัน 1 ฉบับ เป็นเวลา 1 วัน
16  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นิทานธรรมะ – บุญที่ให้ทานแก่ปลา เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 01:45:49 pm
นิทานธรรมะ – บุญที่ให้ทานแก่ปลา



ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้า ขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่ง แม่น้ำคงคา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพ สัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงิน นั้น
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้น ว่า
” พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ ”
” เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ ” พี่ชายตอบ
เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัว หนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความ กระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียว ที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร
หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า
” ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ ”
ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า ” ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ ” จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้า ร้านนั้น
พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า
” ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ ”
” ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ ” ชาวประมงตอบ
เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
” แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ ”
ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า
” เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น ”
แล้วได้กล่าวคาถาว่า
” ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่
ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา ”
กล่าวคาถาจบก็หายร่างไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง

17  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เทศกาลถอดกางเกงขึ้นรถไฟเริ่มแล้วอีกครั้ง เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 12:23:24 pm
เทศกาลถอดกางเกงขึ้นรถไฟเริ่มแล้วอีกครั้ง

http://video.nationchannel.com/data/6/2011/01/10/ibgbjbd7iffbijj658df6.flv


เทศกาลถอดกางเกงขึ้นรถไฟจัดขึ้นอีกครั้งแล้วที่สถานีรถไฟใต้ดินใน นครนิวยอร์กของสหรัฐเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยจัดติดต่อกันครั้งนี้เป็นปีที่ 10 แล้วและจุดกระแสให้มีการจัดงานขึ้นในอีกหลายประเทศ




ผมว่าเป็นเทศกาลบ้องตื้น ทำเพื่อสนุก
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาพสวย ๆ ที่อุทยานเขาสก คร๊าบ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 02:54:10 pm
















ขอบคุณภาพ จาก teenee.com
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถามตอบ ธรรมะ แบบพระลำปาง เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 12:31:26 pm











ขอบคุณภาพ

http://lampangnha.ob.tc/-View.php?N=27
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อ่านขำ อย่าซีเรียส นะครับ เรื่องของ คนต่อต้านการมีเมีย.... เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 06:41:20 pm
สาเหตุที่ไม่ควรมี ภรรยา!!

 
สาเหตุที่ไม่ควรมี ภรรยา

ผมสามารถเอ็นจอยxxxในราคาที่คุ้มค่าเที่ยวทุกอาทิตย์ =2,000 x 4 = 8,000 บาท/เดือน = 8000x12 = 96,000 บาท/ปี
เลือกได้ทุกรุ่นทุกขนาดใหม่ล่าสุดแกะกล่อง
ไม่มีข้อผูกพันใดๆรับประกันคุณภาพและการบริการ
หาเมีย:

ต้นทุนระหว่างจีบ = 100,000 up
ต้นทุนดาวน์ = 300,000 บาท up
ค่าที่อยู่อาศัยให้ = 1,500,000 up
ค่าพาหนะ = 600,000 up
ค่าบำรุงรายเดือน = 50% ของเงินเดือนup

ไม่รวมค่าเสียเวลาและประสาทเสียจากการแทรกแซงและการไร้คุณภาพเป็นพักๆของ
ผลิตภัณฑ์ ซื้อแล้วห้ามเปลี่ยนห้ามใช้ผลิตภัณฑ์อื่นร่วม

ผลิตภัณฑ์มีอายุยืนยาวแต่คุณภาพเสื่อมทันทีที่ซื้อ
ผลิตภัณฑ์อาจเป็นสินค้ามือสองแต่จำหน่ายในราคาเต็ม

คุณไม่มีสิทธิ์ครอบครองผลิตภัณฑ์แต่ผลิตภัณฑ์มีสิทธิ์ครอบครองคุณและทุกสิ่งที่
คุณเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกิดแตกหน่อ รายได้ข้างต้นที่ว่ามาทั้งหมด
ต้องหักออกอีก 30%ของรายได้...
ภรยตามา ปรมา ทุกขา" การมีภรรยามีทุกข์อย่างยิ่ง

มีเมีย เหมือนมือถือ.........เป็นเหมือนสื่อคอยติดตาม
มีเมีย เหมือนมียาม .........คอยสอบถามยุ่มย่ามใจ
มีเมีย เหมือนมีบ้าน .........อยู่นานนานย่อมเบื่อได้
มีเมีย เหมือนมอ´ไซค์......ซิ่งเร็วไปอาจเสี่ยงตาย
มีเมีย เหมือนมีรถ ...........ราคาหดเวลาขาย
มีเมีย เหมือนผีพราย ........หากร่างกายไม่แต่งเติม
มีเมีย เหมือนม้าห้อ .........ควบไม่รอยามฮึกเหิม
มีเมีย เหมือนบัตรเสริม ....ต้องคอยเติมเงินเรื่อยไป
มีเมีย เหมือนปีศาจ ..........ยามอาละวาดน่าตกใจ
มีเมีย เหมือนมีไห ...........ปลาร้า....ใส่หลายร้อยปี
มีเมีย เหมือนมีคอมพ์ .......ต้องคอยซ่อมบ่อยเหลือที่
มีเมีย เหมือนปลากระดี่ .....ได้น้ำดีก็จากไป
มีเมีย เหมือนดั่งเสือ.........ขย้ำเหยื่อจะเหลือไร
มีเมียเหมือนกรรไกร........ ตัดทีไรขาดทุกที
มีเมีย ชอบจ่ายดะ ..............ซื้อไม่ละ..นะคุณพี่
มีเมีย ชอบเซ้าซี้ ................บ่นทุกทีที่เจอกัน
มีเมีย ละเหี่ยใจ.................. แล้วทำไมชอบมีกัน
มีเมีย ไม่สร้างสรรค์ ............จำให้มั่น อย่ามีเมีย

แหล่งข้อมูล: Mail จาก

ขออภัยหากเรื่องนี้ไม่เหมาะสม แต่อยากให้ได้ขำกันบ้างครับ

21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใจ เราคืออะไร เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 06:29:35 pm
ฝากกลอน ให้พี่ ๆ ป้า ๆ ลุง ๆ น้อง ๆ ได้อ่านกันครับ

อยากแต่งกับเขาบ้าง


ใจเรา เหนื่อยที่ไร้ร่องรอย

ใจเรา คอยที่ไร้ความหมาย

ใจเรา เดินที่ไร้ที่ไป

ใจเรา เป็นใจที่ไร้พักพิง

   แล้วใจ อันนี้ คืออะไร ?
22  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / คลายเครียดนิดนะครับ เรื่อง ครูยอมดีกว่า..ก่อนที่จะพลาด เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2010, 04:04:10 pm

ครั้งหนึ่งในวันครู เด็กนักเรียนอนุบาลโรงเรียนหนึ่งจัดหาของขวัญมาให้คุณครูที่รักของพวกเขา

เด็ก คนแรกเป็นลูกสาวร้านดอกไม้เธอเอาของขวัญใส่กล่องมาให้ครู
"ครูว่าต้อง เป็นดอกไม้แน่ๆเลย" คุณครูว่า
"คุณครูเก่งจังค่ะ รู้ได้ยังไงคะ" หนูน้อยแปลกใจ
"ครูเดาเอาน่ะจ้ะ" คุณครูอมยิ้ม

เด็กคนที่ สองเป็นลูกคนขายขนม
"ครูว่าต้องเป็นขนมแน่ๆเลย" คุณครูบอก
"คุณครู เก่งจังเลยค่ะ" หนูน้อยช่างซื่อซะจริงๆ
เช่นเคยคุณครูตอบว่า
"ครู เดาเอาน่ะจ้ะ"

เด็กคนที่สามเป็นลูกชายร้านขายเหล้านอก เขาเอากล่องของขวัญกล่องใหญ่ น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อย คุณครูสังเกตเห็นตรงมุมกล่องมีน้ำซึมเปียกอยู่ด้วย
"ต้องเป็นไวน์แน่ๆ เลย" ครูเดา
"ไม่ใช่ครับ" ไอ้หนูยิ้มอย่างภูมิใจที่ครูเดาใจเขาไม่ถูก
ครู เอานิ้วแตะน้ำที่ซึมตรงมุมกล่องขึ้นมาชิมดูแล้วเดาใหม่
"แชมเปญเอ้า!"
"ฮี่ ฮี่ ไม่ถูกอยู่ดีครับ" ไอ้หนูชอบใจ
"ครูยอมดีกว่าจ้ะ อะไรอยู่ในกล่องจ๊ะ" ครูสาวยอมแพ้เพราะเธอไม่สันทัดเรื่องเมรัย

"ขอ เฉลยว่า..." ไอ้หนูทำท่าภูมิอกภูมิใจในชัยชนะ "ลูกหมาครับ!!!"
23  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุทยาน แห่งชาติภูสระดอกบัว เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 02:41:46 pm

   อุทยาน แห่งชาติภูสระดอกบัว มีเนื้อที่อยู่บนแนวเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คืออำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร อำเภอชานุมารและอำเภอเสนานิคม จังหวัดอุบลราชธานี มีเนื้อที่ประมาณ 232 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 145,000 ไร่

ลักษณะภูมิประเทศ
    สภาพ ภูมิประเทศโดยทั่วไป เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ทอดตัวเป็นแนวจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลงสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยป่าอันอุดมสมบูรณ์หลายชนิด พื้นที่หลายแห่งมีลานหินขนาดใหญ่ ชาวท้องถิ่นเรียกว่า “ดาน” กระจายอยู่ตามยอดเขาต่างๆ มียอดภูกระซะ เป็นยอดสูงสุดประมาณ 481 เมตร จากระดับน้ำทะเล ยอดอื่นมีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 350-450 เมตร พื้นที่เหล่านี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำหลายสาย เช่น ห้วยทม ห้วยกะบก ห้วยก้านเหลือง ห้วยลำกลาง ห้วยขี้เหล็ก ห้วยหินขัว ห้วยตูบ และห้วยไห เป็นต้น

พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
    ป่า ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง กระจายอยู่ตามเทือกเขาต่างๆ มีไม้มีค่า อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น มะค่าโมง มะค่าแต้ ประดู่ ชิงชัน พยุง แดง ตะเคียนทอง ยาง กระบาก เป็นต้นบริเวณพื้นที่ป่าเหล่านี้มีสัตว์ป่าอยู่หลายชนิดโดยเฉพาะที่เทือกเขา ภูสระดอกบัวซึ่งเป็นพื้นที่ป่าขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำ
    เราสามารถพบสัตว์ป่าได้หลายชนิด เช่น เก้ง หมูป่า หมาไน สุนัขจิ้งจอก อีเห็น ลิง เม่น กระจง บ่าง ค้างคาว สัตว์ปีกประเภทต่างๆ ได้แก่ ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ป่า เป็นต้น
24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มายาการแห่งหลอดด้าย โดยท่าน ว . วชิรเมธี เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:42:11 am
มายาการแห่งหลอดด้าย โดยท่าน ว . วชิรเมธี



  เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย เมื่อสอบถามถึงสาเหตุเธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า

" ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจจึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก ... แกนด้ายมันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ ... "

พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก
เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ " คุณค่าของชีวิต"
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน
สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน
ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ

ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา" สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง " พอมีเวลา " ต่างหาก

แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ

ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า " วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต " ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน

เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที   สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์

ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
" ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"

ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า

" คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ "

ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงาม ไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป

เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก
หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณะ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต

ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ

ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้

ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา

เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา

ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้

 
25  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / นำธรรมะมาฝาก ครับ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:51:53 pm
ยึดติด

โดย
พระไพศาล วิสาโล


สุด .. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูก
เผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย
แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงิน
มากกว่าคือ ๒ , ๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไป
ทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อ
ได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่
เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็
หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

แม้เราจะมี " โชค " หรือได้ของดีที่ถูกใจ
แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด
สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า
หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ

บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ
ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้
เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ
ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที
ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ
ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้
ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์
เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี

แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป
เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น
แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก

ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด
เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา แต่
วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา
และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา

คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป
พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ
ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต
อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง
สิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า
เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่
น่ารังเกียจ

คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะร ุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้
หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว
แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก
ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น

การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน
แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว
ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่
แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต
กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา
ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ
หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น

อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง
แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้!
แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว
เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย
แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์

ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค
พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา
เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้
นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน

ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์
แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ
จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ
ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน
แต่เป็นเ พราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย
ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย
ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว
เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว
แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน
เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน
ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไป
ได้

บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน
โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า
ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้
อย่างไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง
เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด
สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น
กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง
เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย
เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร
ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ

การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง
เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง
แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย

วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว
แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว
จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง
สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน
ควักปืนออกมายิงกราด
ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่
กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที

การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์
ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา
แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา
สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์
และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ

กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน
เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา
พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้
เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า
แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย
ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่
ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก
อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม !
แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ
ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข
ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง

อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว
แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ
เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า
ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้

การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ
บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น
มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต
ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว
เลยเป็นเดือด เป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง
ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป

การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน
สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา
ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา

ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น " ความคิดของฉัน "
สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน
หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน " ตัวกู ของกู "

นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า
เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา
มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ " ตัวฉัน "
ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย
วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป
เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่
จึงยังมีเยื่อใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ
เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่
จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่
ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ " ของฉัน "
ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย

ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า
ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้
อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า " นี่กูนะ "
อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้
แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง
จนอาจคำรามว่า " รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?"
ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

การ ยึดติดใน " ตัวกู ของกู หรือนี่กูนะ " เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์
นานัปการ
นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน
เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา
ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า

ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ
ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ
เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน
เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย
แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า " ฉันปวด "
ความปวดเป็นของฉัน

เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ
ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า " ฉันโกรธ " ความโกรธเป็นของฉัน
ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน
มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ
รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ
ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป

ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้
เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน
เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่
แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ
หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้

สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ
จากความเจ็บปวดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
กลายเป็น " ผู้ดู " มิใช่ " ผู้ปวด " หรือ " ผู้โกรธ "
จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง

การปล่อยว างดังกล่าว
คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย
เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว
ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด
ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน
ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน
เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้
ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป

สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต
พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า
เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว
คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง
เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด
ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง

สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ
ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้
เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่
เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่
ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า " ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?"

ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก

แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า
เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม
ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน
แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย
ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา
หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน
พอ! ไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ " หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ "
ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน
แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ
พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา
" นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา "

รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก
นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที
สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา
เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ
จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา
ก็ทรงถามว่า " เป็นไง ?"

คำตอบของเขาคือ " หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว "
" อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?"
สมเด็จรับสั่ง " ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี
มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง "

กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ
ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้
แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด
ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เรา! ทุกข์ได้

ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนัก
และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น
เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง
แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]
โดย พระไพศาล วิสาโล
26  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไม เวลาปฏิบัติกรรมฐาน ต้องสมาทานศีลก่อน ครับ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:39:51 pm
ทำไม เวลาปฏิบัติกรรมฐาน ต้องสมาทานศีลก่อน ครับ

ผมฟังในรายการ RDN เวลาภาวนากรรมฐาน ต้องรับศีลก่อน

ถ้าผมอยู่ที่บ้าน แล้วจะนั่งกรรมฐาน อย่างนี้ ผมจะรับศีลกับใครครับ ?

 :25:
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 25 วิธีมีความสุข เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 10:40:31 am

25 วิธีมีความสุข ไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่

ชีวิตคนเรามีทั้งขึ้นและลง ถ้าอยากมีความสุข คุณต้องรู้จักซึมซับความรู้สึกอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความโกรธที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งยอมรับในสิ่งที่คุณมีและสถานภาพที่คุณเป็น เพื่อจะได้มีความสุขกับชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หากคุณหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่มีความสุขทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ลำบากยาก แค้นอะไร ลองอ่านข้อคิดต่อไปนี้เพื่อจะได้ระลึกว่า ?เราเองก็มีชีวิตที่ดีทีเดียว?

1 คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักหรือเผชิญกับอุบัติเหตุใกล้ตาย เห็นโศกนาฏกรรมหรือสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักมักมีมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลายคนบอกว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างหรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี ?พรุ่งนี้? ก็ได้

2 จดบันทึก เขียนเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกยังช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย ลองเริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ผลแน่

3 มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์และถูบ้านทุกวันหรือ แล้วที่คุณพลาดการแสดงละครของลูกที่โรงเรียนเมื่อปีที่แล้วเพราะติดประชุม เล่า ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อมองย้อนกลับไป

4 อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถคันข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลนก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมหากพลาดรถเที่ยวเช้า หากาแฟดื่มขณะนั่งรอคันต่อไปดีกว่า

5 ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้วอย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จแทนที่จะมัวกังวลและคิดจนรกสมอง

6 เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงหน้าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลกใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง ถ้าเอาแต่นอนตื่นสายทุกวันอาทิตย์ก็น่าจะลุกขึ้นมาแต่เช้าไปกินอาหารอร่อยๆ นอกบ้าน หรือไปตลาดแล้วจ่ายกับข้าวมาทำอาหารมื้ออร่อยกินกันที่บ้าน

7 อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ เครื่องเสียงแพงๆ รุ่นล่าสุด หรือรถหรูใหม่เอี่ยมไม่ต้องสนใจ หากดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่าคนพวกนี้ต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอหน้าคนในบ้านหรือเพื่อนฝูง หรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี แล้วชีวิตอย่างนี้ดีจริงหรือ

8 กำจัดข้าวของรกในบ้าน เสื้อผ้าที่ไม่เคยใส่มาเป็นปี เครื่องครัวที่ตั้งอยู่ตรงนั้นจนน้ำมันจับเป็นคราบหนา ไหนจะของเล่น หนังสือเก่า และเครื่องเรือน ยกไปบริจาคเถิด นอกจากจะได้บุญแล้ว ชั้นวางของและห้องต่างๆ ในบ้านจะโล่งและเป็นระเบียบมากขึ้น

9 รู้จักเอ่ยคำว่า ?ไม่? ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่องเพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำเรื่องโน้น สะสางเรื่องนี้ ปล่อยให้สมองมีที่ว่างเพื่อคิดหรือทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง

10 รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็น ที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรือ (คิดให้ดีก่อนตอบ) ของทุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเป็น ธรรมดา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาก็เช่นกัน ต้องมีการดูแลใส่ใจกันบ้าง

11 อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อนหรือผู้อื่น คู่ครองหรือคนในครอบครัวคุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และคุณเองก็ควรได้เกียรติจากคนในครอบครัวเช่นกัน

12 มอบความรักให้ครอบครัวและเพื่อนๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่าคุณรักพวกเขาตรงไหน เมื่อเขาทำอะไรดีๆ ให้ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยทำร้ายใคร

13 อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณ ก็ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นเสาหลักให้เขาพิงอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง

14 ติดต่อเพื่อนเก่า คุณอาจขาดการติดต่อกับเพื่อนไปนาน แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา และนานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้คุยกับป้า ท่านอยากได้ยินเสียงคุณจะแย่แล้ว

15 บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ ผักผลไม้ราคาไม่แพงมาแต่งบ้านให้สดใส คุณเคยมีสวนกระถางในบ้านไม่ใช่หรือ นำกลับมาอีกครั้ง แล้วบ้านคุณจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาแน่นอน

16 ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดระยับ ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

17 สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน งานปั้น เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้

18 สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้างๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว

19 ออกไปเดินเล่น การออกกำลังเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณทั้งร่างกายและจิตใจตั้งแต่เดินเล่นครั้งแรกเลยที เดียว การออกกำลังสม่ำเสมอจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นทุกวัน

20 ดูหนังตลกและหัวเราะให้สบายใจ ร้านให้เช่าวิดีโอมีหนังเบาสมองให้เลือกมากมาย จะเป็นหนังไทยหรือฝรั่งไม่สำคัญ ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

21 ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้องและผนังใหม่ด้วย รับรองว่าบรรยากาศที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้วันหยุดเลยทีเดียว

22 รอคอยสิ่งดีๆ เช่นวันหยุดพักร้อน  ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ไปนวดแผนโบราณ

23 ชวนเพื่อนมากินมื้อค่ำ จัดห้องและโต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลหรือแชมเปญ เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือ แล้วค่ำคืนนั้นก็จะครึกครื้น

24 ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อก็ลองยิ้มดูสิ

25 ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง เริ่มจากอดกลั้นไม่บีบแตรไล่รถที่วิ่งเหมือนเต่าคลาน หรืออาสาช่วยงานกุศล เพียงเท่านี้ การใช้ชีวิตให้สุดคุ้มก็ไม่ยากอย่างที่คิด

เรียบเรียงจาก Nature & Health โดย Wendy McCready
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บริหารสมองให้สมองใส (Health Plus) เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 10:24:50 am
บริหารสมองให้สมองใส (Health  Plus)

ลับสมองให้เฉียบคมด้วยแผนปฏิบัติต่อไปนี้  ฝึกทุกวันเพื่อให้สมองฉับไว  ลืมไปได้เลยอาการขี้หลงขี้ลืมเพราะวัยที่เพิ่มขึ้น...

           ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า คนเราใช้ศักยภาพของสมองตนเองไม่ถึง 1%  เราสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น หรือแม้แต่แก้ปัญหาซับซ้อนได้  ถ้าเรารู้จักดึงศักยภาพทั้งมวลของสมองออก ใช้  ข่าวดีคือเราสามารถบริหารสมองของเราให้เฉียบคมและฉับไวได้

           มีหลักฐานยืนยันว่า การบริหารสมองช่วยให้สมองทำหน้าที่ได้ดีขึ้น  เบอร์รี่กอร์ดอน ผู้อำนวยการ The Memory Clinic  และศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา  และวิทยาศาสตร์การเรียนรู้แห่ง สถาบันการแพทย์จอห์น ฮอปกิ้นส์ สหรัฐฯ กล่าว "ไม่มีใครทราบเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้  แต่มีคำอธิบายหนึ่งที่น่าเป็นไปได้คือ การออกกำลังกายเป็นประจำ  จะช่วยให้การเชื่อมติดต่อกันของเซลล์สมองมีมาก ขึ้น มีการสร้างเซลล์สมองใหม่  และสามารถใช้เซลล์สมองที่มีอยู่แล้ว ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น"

การบริหารสมองช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้  มีผลการศึกษาวิจัยมากมายระบุ ว่า  การที่ผู้สูงอายุรับเบี้ยบำนาญที่สมองยังเฉียบคมเหมือนใบมีดโกน  เป็น เพราะพวกเขามีชีวิตที่แอ็คทีฟ ใช้สมองเป็นประจำ การศึกษาวิจัย ครั้งล่าสุดในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการฝึกฝนการรับรู้ ซึ่งดำเนินการโดยสถาบัน  The National Institute on Aging พบว่าการบริหารสมองสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง  เป็นเวลา 5 สัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้คนอายุ 65 ปีขึ้นไปมีความจำและสมาธิ  มีทักษะในการแก้ปัญหาดีขึ้น ผลการวิจัยยังระบุด้วยการเล่นเกมลับสมอง เช่น  เล่นไพ่และหมากรุกจะช่วยให้สมองฉับไว

มีกลเม็ดเคล็ดลับมากมาย  ที่จะช่วยให้สมองของคุณแจ่มใสและตื่นตัว อยู่เป็นประจำ  วิธีบริหารสมองที่ทำได้ไม่ยากเหล่านี้ช่วยลับสมองให้เฉียบ คม  จำไว้ว่ายิ่งคุณลับสมองมากเท่าไร สมองของคุณก็จะยิ่งแหลมคมมากเท่านั้น

คิดว่า ตัวเองฉลาด

          หลายคนชอบตำหนิตัวเอง  โดยเฉพาะชอบว่าตัวเองโง่ ได้เวลาเปลี่ยนความคิดฝังหัวนั้นซะ  การตอกย้ำกับตัวเองบ่อย ๆ ว่าหัวทึบ คิดอะไรช้า  หรือสมองเสื่อมไม่ต่างอะไรกับการร่ายเวทมนตร์คาถาด้านลบ  มันจะ ทำให้สิ่งที่คุณพูดกลายเป็นความจริง  ทำไมไม่ลองสร้างสรรค์คำพูดที่ก่อ ประโยชน์และพลังดูบ้าง เช่น พูดว่า "ฉันมีมันสมองที่วิเศษและทรงประสิทธิภาพ"  หรือ "สมองของฉันทำหน้าที่ได้สุดยอด" บอก กับตัวเองเช่นนี้บ่อย ๆ แล้วคุณจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่าง

เล่นคำ

           การเล่นกับภาษาเป็นเรื่องสนุกและท้าทายสติปัญญาไม่น้อย  ไม่เชื่อลองนำ พยัญชนะและสระที่กำหนดให้  มาผสมให้ได้คำที่มีความหมายมากที่สุดเช่น กำหนดพยัญชนะ ก น ย บ ด และสระ า ไ  เ-า โดยเล่นแข่งกันภายในเวลาที่กำหนด
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คำคมสั้น ๆ จากผู้ที่เรารู้จักว่าเป็น อัจฉริยะ เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 01:09:44 pm
คำคมสั้นๆ..ของคนดัง (เรื่องที่ควรอ่าน)


ขงจื้อ
- ถ้ามีคนสองคนเดินผ่านมาทุกเรื่องราวสามารถสอนข้าพเจ้าได้ สำหรับคนดีข้าพเจ้าจะเอาอย่างเขา สำหรับคนเลวข้าพเจ้าจะไม่เอาอย่างเขา


มหาตมะ คานธี
- จงเป็นคนที่ผลักดันให้โลกเปลี่ยน ในแบบที่คุณอยากเห็นมันเปลี่ยน


เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล
- ถ้าเรามัวทะเลาะด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ เราจะสูญเสียวันพรุ่งนี้


ลีโอนาโด ดาวินชี
- ทำไมในยามฝัน เราจึงเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อนึกจินตนาการในยามตื่น


กาลิเลโอ กาลิเลอี
- ปรัชญาที่เขียนในหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา ข้าพเจ้าหมายถึงจักรวาล ทว่า เราไม่สามารถเข้าใจมันถ้าเราไม่เรียนภาษาเสียก่อนและจับความหมายของ สัญลักษณ์ที่ใช้เขียน


ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน (นักเขียนและนักปรัชญาชาวอเมริกัน)
- สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา


เบนจามิน แฟรงคลิน
- เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต


อัลเบิร์ต ไอสไตน์
- ระหว่างผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามากที่สุด กับ ผู้ที่มีความรู้มีการศึกษาน้อยที่สุด มีความแตกต่างในระดับเล็กน้อยที่ไม่อาจเอ่ยอ้างถึงได้ เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆที่เรายังไม่รู้

30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำบุญวันเกิด แบบเด็กไทย เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:52:56 pm
วิธีปฎิบัติตัวก่อนการทำบุญวันเกิด
ทำบุญวันเกิด วันเกิดของเรานั้นสามารถเริ่มต้นทำบุญได้ง่ายโดยการบริจาค แค่นี้ก็เป็นการทำบุญวันเกิดแล้ว
วิธีปฏิบัติตัวก่อนการทำบุญวันเกิด

เพื่อนๆ อาจเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ค่ะแล้วแต่สะดวก เลย  แต่ถ้าเพื่อนๆจะใส่บาตรเฉยๆเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เป็นการทำบุญวันเกิดของเพื่อนๆเช่นเดียวกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วเรามาอ่านกันดีกว่า ว่ามีอะไรน่าทำบ้างในวันเกิดปีนี้

1. ตักบาตรพระสงฆ์เท่าอายุ
หรือ เกินอายุก็ได้ครับ จะกี่รูปก็ได้แล้วแต่เพื่อนๆสะดวกเลยค่ะ
2. บำเพ็ญกุศล อุทิศแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ที่เรียกว่า ทักษิณานุประทานก่อนแล้วจึงบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันเกิด
3. ทำบุญวันเกิด สวดมนต์ เลี้ยงพระ หรือมีพระธรรมเทศนาด้วย ยิ่งดีเลยค่ะ
4. ถวายสังฆทาน แด่พระ
5. ทำทานให้คนยากไร้ หรือ ช่วยชีวิตสัตว์ เช่น ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยสัตว์นานาชนิด หรือส่งเงินไปบำรุงโรงพยาบาล หรือจะทำบุญโรงศพก็ได้นะค่ะ หรือกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์อื่นๆ
6. หมั่นรักษาศีล5 ในช่วงระหว่างทำบุญวันเกิดยิ่งดีเลย เป็นศีลที่รักษาได้ง่ายที่สุดแล้วค่ะ หรือบำเพ็ญภาวนาตั้งจิตอฐิษฐาน
7. กราบขอรับพรจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ ส่วนนี้คือส่วนสำคัญเลยค่ะ เพราะท่านเป็นบุคคลที่มีพระคุณกับเรา และเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็กๆค่ะ
8. บำเพ็ญคุณประโยชน์อื่นๆ โดยมุ่งที่การให้ มากกว่า เป็นการรับ อานิสงส์หรือผลดีของการทำบุญวันเกิด
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ที่มาของคำว่า สีกา พระต้องเรียก สีกา เพราะว่า .... เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 01:42:17 pm

หากเราสงสัยกันว่า ทำไมพระท่านถึงเรียกผู้หญิงว่าสีกา เป็นสีอื่นไม่ได้เหรอ มีคำตอบให้ว่า

เป็นสีอื่นไม่ได้หรอก ต้องเป็นสีกานั่นแหละ เพราะ คำนี้ตัดมาจากคำว่า อุบาสิกา ซึ่งเป็นคำที่บรรพชิตเรียกคฤหัสถ์ผู้หญิงที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง คำ อุบาสิกา คงจะยาว เรียกไม่สะดวกปาก จึงถูกตัดเหลือเพียง "สิกา" แล้วกลายเป็น "สีกา" ในที่สุด

เมื่อมีอุบาสิกาแล้วก็ต้องมีอุบาสก ซึ่งหมายถึงชายผู้แสดงตนเป็นคนนับถือพระพุทธศาสนา เรียกอย่างสั้นว่า "ประสก"

อุบาสิกาจึงคู่กับอุบาสก และสีกาก็คู่กับประสก







ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
32  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ซื้อฝันวันละ 6 บาท เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 01:36:05 pm

วงเหล้าแห่งนึง คนขายล็อตเตอรี่เดินเข้ามาเร่ขาย ตามโต๊ะต่างๆ
เป็นภาพที่เรา ๆ ท่านชินตากันเป็นอย่างดี
และแล้วคนขายล็อตเตอรี่ก็มาหยุดที่โต๊ะของชายทั้ง 3

ชายศูนย์ " ไม่เอา น้อง พวกพี่จะกินเหล้า "

คนขายล็อตเตอรี่กำลังจะหันหลังเดินจากไป

ชายหนึ่ง : " เดี๋ยวๆน้อง พี่เอาใบหนึ่ง เลขอะไรก็ได้
หยิบมาให้พี่คู่นึง น้องขาย
คู่ละเท่าไหร่"

คนขายล็อตเตอรี่ : " 90 พี่ "

ชายสอง : " แกซื้อล็อตเตอรี่บ่อยเหรอวะ "

ชายหนึ่ง : " ก็ซื้องวดละใบ "

ชายศูนย์ : " เฮ้ย goo ถามอะไรหน่อย
ตั้งแต่มึงซื้อมาเคยถูกบ้างมั้ยว่ะ "

ชายสอง : " มึงเรียน stat มาก็น่าจะรู้นี่หว่า
ว่าโอกาสถูกมันน้อยจะตาย "

ชายหนึ่ง : " กู ก็รู้ ว่าโอกาสถูกมันน้อย ก็ตั้งแต่กูซื้อมาก็หลายปี กูก็ไม่เคยถูกเลยซักที แต่กูถือว่า กูเสียเงินไป 90 บาท แต่กูได้ฝันตั้งครึ่งเดือน ว่า....ถ้ากูถูกขึ้นมา กูจะเอาเงินไปใช้ในสิ่งที่กูอยากจะทำ มึงลองคิดดูง่ายๆ 15 วัน 90 บาท ก็ตกวันละ 6 บาท ซื้อฝันวันละ 6 บาท เป็นมึง มึงจะซื้อมั้ย "

-- - - - - - มีอยู่สิ่งนึงที่คนคิดที่จะฆ่าตัวตายไม่มีคือ ความฝัน - - - - -

จาก บล็อคหมูฟ้าใส
33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องดี ๆ ที่ ม.6 อยากทำจริง ๆ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 05:40:11 pm

1.สอบให้ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 สักครั้งในชีวิตนักเรียน

2.บอกรักรุ่นน้องที่เราแอบรักมานาน แล้วชวนไปเที่ยวด้วยกัน > < ( ถ้าไม่มี ดูข้อ 2.1 )
2.1 บอกรักเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เราแอบชอบอยู่ เพราะปีหน้าก็จะจบแล้วน้ะจ้ะ      ( ถ้าเพื่อนร่วมห้อง ดูข้อ 2.2 )
2.2สารภาพ ความในใจเพื่อนร่วมห้องที่เราแอบชอบ ไม่ว่าเราจะรักเขาแบบไหน แล้วเขาเป็นเพศอะไรก็ตาม แต่ก็บอกความจริงในใจไม่เถอะ ถ้าไม่บอกออกไป โอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันอาจไม่หวนมาตลอดชีวิต แล้วจะมานั่งนึกเสียใจทีหลังน้ะ (อันนี้เคยเกิดกะหลายๆคนแล้ว)

3.โดดเรียนวิชาที่อาจารย์โหดหินสุดๆสักครั้ง   !!

4.  พาเพื่อนๆทั้งหลายแล้วนำพวงมาลัย มาขอขมาอาจารย์ที่พร่ำสอนสักครั้ง

5. นัดกับเพื่อนๆทั้งห้องไปเที่ยวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเอาไว้ เพราะอีกหน่อย เมื่อเราได้ไปในสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง ความทรงจำที่เราเคยมากับเพื่อนทั้งห้อง ไม่ว่าจะนานผ่านไป 1 2 3 5 10 ปีก็ยังอยู่ตรงนั้นตลอดไป

6. รีบเขียนเฟรนด์ชิพซะ !! ห้ามลืมเลยรู้มั้ย สำคัญมากๆ ข้อนี้สุดๆ

7.ขึ้น ไปนำร้องเพลงเคารพธงชาติ หน้าเสาธงสักครั้ง / หรือออกไปพูดหน้าเสาธงว่า "ผมรักเพื่อนๆ คุณครูทุกคน และ รร.นี้ครับ" กล้ามั้ยล่ะ ?

8.ถ่ายรูปกับคนที่เราแอบปลื้มในวันจบการศึกษา งานปัจฉิม

9. รวมพลคน ม.6 ทำความสะอาด รร. ครั้งใหญ่สักครั้ง เป็นการตอบแทนก่อน จะจบจากโรงเรียน ไป

10.ร้องเพลงเหล่านี้ กับเพื่อนๆสักครั้งก่อนจะอำลาจากกันไป (น้ำตาท่วม)   
กว่าจะรัก –XYZ (ซึ้งมากๆเพลงนี้) /
หัวใจผูกกัน – บอย  /
เราและนาย – เสก โลโซ /
highschool never end – Bowling for Soup  (ถ้าพวกอินเตอร์)

11.เก็บ รวบรวมความทรงจำดีๆ ที่ได้รู้จักกับเพื่อน อาจารย์ รวมทั้งประสบการณ์ที่ได้จากโรงเรียนแห่งนี้ ที่ได้รู้จักบทเรียนต่างๆ ได้สุข ได้ทุกข์ หัวเราะ และ ร้องไห้  แล้วเก็บมันไว้ในหัวใจตลอดไป
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 05:30:15 pm
ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย



มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้น สุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งาน ต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปส ุคติหรือลงสู่นรกภูมิ




1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ



2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว



3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท





- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)



- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย



- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ



- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก




เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?



ดวง วิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณขอ งมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่




วิญญาณ บาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด



หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโล กที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ



เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตา ยต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น



เจ็ดวันรอบแรก



วิญญาณ ผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา



ส่วนวิญญาณผู้ ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย



เจ็ดวันรอบที่ สอง



เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น



ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย



เจ็ดวันรอบที่ สาม



เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว



ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด



เจ็ดวันรอบที่ สี่



เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุ ษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโย ชน์



เจ็ดวันรอบที่ ห้า



วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับก ารตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์



เจ็ดวันรอบที่ หก



เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้ส ร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให??ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา



เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด



เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่ มโทษเป็นเท่าตัว.



ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สรรพคุณของพืขผัก และอาหารบำบัดโรค เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 08:34:27 pm
สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ     '
     ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ' เช่น
    1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
    น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จ ะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

    2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
    3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมัน
    ไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

    4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็น ประจำ
    สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

    5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

    6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
    ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )
    น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

    7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก
    และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

    8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว)
    กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

    9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย
    ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

    10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด
    ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

    11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ
    ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

    12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง
    กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

    13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

    14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
    โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี
    ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม
    ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

    15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ
    อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

    16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี
    ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

    17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
    ช่วยให้อาการปั่นป่วน ในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง

    18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต '
    ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้

    19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
    ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง

    20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง
    ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้

    พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วย สร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง
    คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
    โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็น ภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ ลูกหลาน
    ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผล ประโยชน์จากทรัพย ากรธรรมชาติของ
    เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า
    และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้
    ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.

    อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
    1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ
    ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
    หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด
    เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

    2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
    หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

    3. มะเร็งรังไข่ อาการ
    ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
& nbsp;   มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง

    4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย)
    อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
    หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง
    ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

    5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ
    มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ
    เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร
    น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

    7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

    8. มะเร็งสมอง อา การ ปวดศีรษะนาน ๆ
    และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า
    และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ
    การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
    ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

    9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก
    < SPAN lang=TH>หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน


    10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
    มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน
    ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

    11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
    อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวด เร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย
    รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

    12. มะเร็งทรวงอก
    อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
    บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10
    คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
    เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์
    ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

    13. มะเร็งลำไส้ อาการ
    น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
    **** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ
    ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ
    อาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

    14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้
    เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

    15. มะเร็งผิวหนัง
    อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง
    ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา
    (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น
    กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด
    ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมี อัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
    ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
    ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน       6 วัน วิธีรักษา - ไปที่ร้านย าจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
    นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
    สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
    นำส่วนที่เหลือมารับประทาน
    ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ
    เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ

    *** ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็น เงินค่ารักษา
    และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด
    หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน
    ท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข ความสมหวังทุกประการ

 :25: :25:
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกี่ยวกับเรื่องสังฆทาน ถึงจะดูตลก แต่ ก็น่าคิด ครับ เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 10:05:41 am
พอดีตามเข้าไปดูเว็บ วัดเขาสวนวาง เห็น youtube เข้าท่าครับ

เลยนำมาโพสต์ ให้ชมกันในที่นี้ครับ

37  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใจ ใจ ใจ เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 08:44:05 am
ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า   เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น  สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยน ไปทันที  เป็นต้นว่าเรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง..........เมื่อ .........

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป  ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป  ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป  ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป  ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป  ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี
 
ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย 
ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ  ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน
เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป  ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป  ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป  ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป  ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป  ก็จะกลายเป็นคนใจลอย

เห็นด้วยหรือไม่ว่า  ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย  เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้   พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ  ใจเป็นผู้สร้างสรรค์ ....... หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ  โลโก แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ โลกในที่นี้ หมายถึง  ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา  หมุ ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ  สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง ...

38  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปัญหามีให้สู้ ไม่ได้มีไว้ถอย เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 08:48:35 am
ปัญหามีให้สู้ ไม่ใช่ให้ถอย !!!



" ก๊อกๆๆๆๆ "
เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มาพร้อมๆกับเสียง
ที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า " ตื่นนอนได้แล้ว
จะได้ช่วยกันทำงาน "
เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงีย สลึมสลือ
มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น

" อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว "
" นี่วันหยุดนะเนี่ย " เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง

" เดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปถอนหญ้าที่ไร่นะ "
พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย
เด็กน้อยพยักหน้าตอบและลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ
เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด
แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณ
สภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งาน
ซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่

ในระหว่างทางเด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด
เขาป้อนคำถามที่อยากรู้
ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด
โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภาระกิจที่จะต้องทำ
" ถอนหญ้า "ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย
ซึ่งหญ้าเปรียบเสมือน " ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่ "

" เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ "
พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิวไปที่แปลงผัก
เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผักทีละต้น
ทีละต้น
จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่
หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น
" ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ปะ "
เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก
" กลับมาเร็วๆนะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง "
เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย

หลังจากได้พักกินน้ำ
พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อยพร้อมกับพูดว่า
" เอ้า...เอาไปถากหญ้า "
เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภาระกิจต่อ
ดูเหมือนกับว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน

เหตุผลก็คือ
มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว
ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับ
ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ
หลังจากที่ภาระกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน
ระหว่างทางเด็กน้อยถาม
" ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ
ทั้งๆที่ทำงานได้เร็วกว่า "
พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว

ผ่านไป 1 สัปดาห์ พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก
สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ
** แปลงที่ใช้มือถอน
บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลยแม้แต่ต้นเดียว แต่...
** แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม
" ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ " เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย
ทั้งๆที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พ่อตอบ
" แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน
ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ
เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น
มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก
มันก็เหมือนกับปัญหาต่างๆที่เราพบเจอนั่นแหละ
ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้
ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก

แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันอาจจะยากสักนิด
แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้ "
เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ

" จงหันหน้าสู้กับปัญหา.....อย่าท้อถอย "
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีฝึกม้าในพระพุทธศาสนา เมื่อ: กันยายน 07, 2010, 01:29:19 pm
การฝึกม้า การฝึกพระภิกษุ


ครั้งหนึ่ง เกสีผู้ฝึกม้าได้เข้ามากราบทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า… พระองค์ฝึกสาวกอย่างไร? พระพุทธเจ้าก็เลยย้อนกลับเกสีผู้ฝึกม้าว่า แล้วท่านล่ะฝึกม้าอย่างไร?

เกสีบอกว่า เราฝึกด้วยวิธีละมุนละไม บางทีก็ฝึกด้วยวิธีลงแส้ ลงปฏัก แล้วแต่ม้าตัวนั้นมันจะอยู่ในสภาพอย่างไร ถ้าหากว่าไม่ไหว ก็พาไปฆ่าทิ้ง

พระองค์ก็บอกว่า เราก็เป็นเช่นนั้น เราก็ฝึกสาวกด้วยวิธีละมุนละไม และลงแส้บ้างคือขนาบบ้าง และถ้าเห็นว่าไม่ไหวเราก็ฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน เกสีบอกว่า เอ้า เป็นพระแล้วจะไปฆ่าได้ยังไง ไม่ผิดศีลหรือ?

พระองค์ก็ทรงบอกว่า การฆ่าในธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ฆ่าเหมือนชาวโลก ที่ใช้ปืน ใช้มีด ใช้หอก ใช้ดาบ ฆ่าในความหมายของเราก็คือให้ตายจากความดี ฆ่าในอริยวินัยนี้ก็คือ ไม่พูด ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยให้เน่าอยู่กับความชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้น การที่ไม่มีใครคอยเตือน คอยสอน คอยห้าม นั่นถือว่าเราถูกฆ่าให้ตายจากความดี และจมอยู่กับความชั่วร้ายอย่างเน่าฟอนเฟะ เพราะฉะนั้นการฆ่าที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ การปล่อย ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยให้จมอยู่กับความชั่ว ให้เน่าเฟะอยู่กับความชั่ว คิดชั่ว นั่นแหละเป็นการถูกฆ่าที่ร้ายกาจที่สุด

ท่านทั้งหลาย…ถ้าเราไม่มีใครเตือน ไม่มีใครสอนเราเลย จงรู้สึกไว้เสียเถิดว่าเรากำลังจะถูกฆ่าอย่างน่ากลัวที่สุด


--

--

ภาพไหนหรือข้อความใดซ้ำก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย
หรือไม่ก็ลบทิ้งไปได้เลยครับไม่ต้องสนใจกับเมล์นี้
ขอบคุณ
40  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ผู้ที่เข้าสู่นิพพาน แล้วจะกลับมาเกิด อีกได้หรือป่าวครับ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 05:00:43 pm
คือผมได้ไปอ่านตำนาน เกี่ยวกับพระอรหันต์ฺ จี้กง ว่าเป็นวิสุทธิเทพ ร่างทองแล้ว

แต่ ท่านเสียสละ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อช่วยชาวโลก

ผมก็เลยสงสัย ว่า พระอรหันต์ ที่เข้าสู่นิพพาน แล้ว จะกลับมาเกิดอีกได้หรือครับ

 :17: :17: :17:
หน้า: [1] 2