ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - wayu
หน้า: 1 2 [3] 4
81  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ทหาร ตำหรวจ ตุลาการศาล เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 01:50:23 am
พระเจ้าสุทโทธนะ เป็นกษัตริย์ ย่อมมีภารกิจในการทำนุประชา ด้วยกฏหมาย ตามระบบ สมบูรณาญาสิทธิราช

คือกษัตริย์ เป็นใหญ่ ก็คิดดูครับ พระพุทธองค์ก็ไปโปรด ตอนใกล้สวรรคตครับ ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ด้วย

ดังนั้น ความเป็นห่วงของเราต่อบุพพการี น่าชื่นชมครับ แต่เรื่องรีบด่วนคือการภาวนาของเราครับ ถ้าเราภาวนาได้

ในระดับ ระดับหนึ่ง เช่น พระโสดาบัน เป็นต้น อันนี้ก็จะได้เริ่มชี้นำให้บุพพการีได้ครับ แต่ถ้าเรายังภาวนาไม่ได้

ทุกข์โทษเวรภัย สังสารวัฏ ไม่ต่างกันครับ เพราะยังไม่พ้นนรก ใช่ว่า จะไปสวรรค์เสมอไปนะครับ

 บุญ เราอาจจะยังทำไม่พอ หรือ หมดบุญก่อน ก็เป็นได้ครับ...


  อัปปะมาโท อะมะตัง ปะทัง ความไม่ประมาท เป็น อมตะ ครับ

  ความไม่ประมาท ก็คือ สติ

  สติ ก็คือ หนทางสู่ อริยะมรรค อันประกอบด้วยองค์ 8 ประการ

   :25: :88:
82  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: วิปัสสนา ตั้งจิตอย่างไร และ ควรปฏิบัติ ตอนไหน คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 01:45:43 am
ไม่ทราบว่าตอนนี้ปฏิบัติ กรรมฐาน ในแนวกรรมฐาน อันใดอยู่รึ ครับ

เพราะถ้าจะตอบจะได้โดนใจ ตามจริตครับ....

 :67:
83  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถ้าพบพระอาจารย์ยังไม่ได้ช่วงนี้ อยากทราบศิษย์เอกพระอาจารย์มีใครพอสนทนาได้บ้างครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 01:44:29 am
เป็นที่ทราบกันแล้วว่า พระอาจารย์ปลีกวิเวกไม่ยุ่งกับสังคมวัดในช่วงนี้
อยากทราบถ้าจะสนทนาธรรม เรื่องกรรมฐานโดยตรง มีศิษย์เอกท่านไหนพอจะ private กันได้บ้างครับ

ในกรณีที่ยังพบพระอาจารย์ยังไม่ได้ช่วงนี้ อยากทราบศิษย์เอกพระอาจารย์มีใครพอสนทนาได้บ้างครับ
 :25: :91:

เท่าที่ทราบไม่มีศิษย์เอกครับ

มีแต่ศิษย์ใกล้ชิดมากกว่า ครับ

อาทิ คุณธรรมธวัช คุณnathaponson เป็นต้นครับ

 :character0029: :character0029:
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เผยภาพวงจรปิดนาทียิงทหาร ชุดคุ้มครองพระ ยะลา เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:32:36 pm


ฆ่าทหาร - ภาพวงจรปิดนาทีก่อนคนร้ายยิงทหารตาย 2 ศพขณะเดินคุ้มครองพระบิณฑบาต โดยมือปืนนั่งท้ายรถปิกอัพใช้ปืนเอ็ม 16 และอาก้ายิงถล่มในเขตเทศบาลเมืองยะลา เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.โจรใต้ถล่มดับ 2 ทหารชุดคุ้มครองพระสยองกลางเมืองยะลา กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ขณะคนร้ายขับรถกระบะ ผ่านอย่างช้าๆ ก่อนที่ 4 มือปืนในกระบะท้ายเปิดฉากกราดยิงตายอนาถทั้งคู่ คนร้ายยังเอาอาวุธปืนเอ็ม 16 ไปด้วย ส่วนพระภิกษุโดดหลบหมอบลงกับพื้นรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ รองผู้การยะลาจัดกำลังไล่ล่าคนร้ายกระชั้น

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 18 ธ.ค. ร.ต.ท. อนุมัติ รื่นพานิช ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองยะลา รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันบริเวณถนนอุตสาห กรรม ตัดกับถนนเลียบแม่น้ำปัตตานี เขตเทศบาลนครยะลา หลังรับแจ้งจึงรายงานพ.ต.อ. สุริยา ไชโยธา รอง ผบก.ภ.จว.ยะลา ทราบ พร้อมนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

เมื่อ มาถึงที่เกิดเหตุบริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบเพียงรอยหยดเลือด รองเท้าแตะ และปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 อาก้า และลูกซอง ตกอยู่เกลื่อนจำนวนหลายปลอก ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่งร.พ.ศูนย์ยะลา คือ พลทหารซันสุดี มะแซ อายุ 28 ปี และส.ท.สุริยะ ชัยยัณห์ อายุ 48 ปี ทหารสังกัดหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 2 นาย ถูกอาวุธปืนของคนร้ายยิงเข้าตามลำตัว ศีรษะ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนั้นยังมีพระสวาท เขมวิโณ อายุ 48 ปี พระภิกษุที่ประจำอยู่ที่วัดหัวสะพาน ได้รับบาดเจ็บมีแผลถลอกที่แขนขวาเล็กน้อย

จากการสอบสวนทราบว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 2 นาย กำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้พระภิกษุหลังบิณฑบาตเสร็จ เพื่อไปส่งที่วัดหัวสะพาน ขณะกำลังเดินมาเพื่อจะไปที่รถ ได้มีคนร้ายซึ่งใช้รถยนต์กระบะมิตซูบิชิ สีเขียวตอนครึ่ง โดยมีคนร้ายนั่งอยู่ที่ด้านหน้า 2 คน ด้านหลัง 4 คน ขับรถยนต์มาจอดแล้วใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 2 นายทันทีทำให้เจ้าหน้าที่ทหาร 2 นายล้มลง โดยหนึ่งในคนร้ายได้นำอาวุธปืนเอ็ม 16 ของเจ้าหน้าที่ทหารไปด้วยจำนวน 1 กระบอก ส่วนพระภิกษุในขณะเกิดเหตุก้มหมอบลงทำให้ได้รับบาดเจ็บมีรอยถลอกเพียงเล็ก น้อย

หลังเกิดเหตุพ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร พิพัฒน์เพ็ชรภูมิ รอง ผบก.ภ.จว.ยะลา สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตั้งจุดสกัดเพื่อค้นหาคนร้ายและนำกล้องวงจรปิดมาตรวจ สอบแล้ว โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

ต่อ มาเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าว เอาไว้ได้ พบว่า ก่อนเกิดเหตุ กลุ่มคนร้ายขับรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ แบบตอนครึ่ง สีเขียว มาจอดอำพรางอยู่กับรถยนต์ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 เมตร โดยพบว่ามีคนร้ายนั่งอยู่ในกระบะหลังจำนวน 4 คน ภายในรถ 2 คน สวมหมวกปีกคล้ายคนงานก่อสร้าง เพื่อปิดบังใบหน้า และขับเคลื่อนออกจากจุดที่จอดรถ หลังพลทหารซันสุดี มะแซ และส.ท.สุริยะ ชัยยัณห์ เดินรักษาความปลอด ภัยพระสวาท เขมวิโณ เพื่อกลับไปยังวัด

โดย ภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพในขณะที่รถยนต์กระบะของคนร้ายเคลื่อนออก จากจุดที่จอดรถ แล้ววิ่งตรงมายังเจ้าหน้าที่ทหาร โดยในขณะที่รถกำลังวิ่งผ่านทหารอย่างช้าๆ คนร้ายจำนวน 4 คน ที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะได้ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงถล่มทหารทั้งสองนายทันที จนเสียชีวิต โดยขณะเกิดเหตุ พระสวาทวิ่งหลบหนีไปหาที่กำบังทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเป็นแผลถลอกที่แขน โดยคนร้ายยังได้วิ่งลงไปหยิบอาวุธปืนของทหาร ก่อนที่จะวิ่งขึ้นรถ แล้วขับหลบหนีไป

นอกจากนี้กล้องวงจรปิดยังสามารถบันทึกภาพเส้นทางการ หลบหนีของคนร้าย ซึ่งกล้องบางจุดยังสามารถบันทึกหมายเลขทะเบียนของรถได้อย่างชัดเจน โดยครั้งสุดท้ายสามารถบันทึกภาพในขณะรถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าไปในยังถนนสิโร รส ซอย 12 ย่านตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา

อีกคดีเมื่อเวลา 08.30 น. วันเดียวกัน ร.ต.ท.อนุมติ รืนพานิช ร้อยเวร สภ.เมืองยะลา รับแจ้งว่าพบผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ศพ ที่บริเวณริมถนนศรีเมือง ถนนเลียบแม่น้ำปัตตานี ใกล้สะพานโรงเรียนคณะราษฎร์ 2 เขตเทศบาลนครยะลา จึงได้เดินทางเข้าตรวจสอบ พบศพชายวัยรุ่นไม่ทราบชื่อจำนวน 2 ราย อายุประมาณ 20-25 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ สภาพถูกของมีคมฟันศีรษะและลำตัวจำนวนหลายแห่ง โดย 1 ใน 2 ศพ ถูกคนร้ายตัดมือไปด้วย โดยศพทั้งสองคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ช.ม. เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งส่วนตัว หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติด แต่ยังไม่ตัดประเด็นสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

สนับสนุนเนื้อหา / รูปภาพประกอบ:

http://www.sarakhamclick.com/webboard/index.php?topic=1016
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เผยภาพวงจรปิดนาทียิงทหาร ชุดคุ้มครองพระ ยะลา เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:27:36 pm


คลิปเผยหาดูไม่เจอ ๆ แต่ภาพ รปภ. พระที่ยะลา
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เผยภาพวงจรปิดนาทียิงทหาร ชุดคุ้มครองพระ ยะลา เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:23:46 pm
เรื่องนี้น่าสนใจมาก ๆ ครับ เพราะว่าเหมือนภาคใต้ จะสงบลงอยากจริง ๆ ครับ

กรรม หนอกรรม น้ำท่วม น่าจะท่วมคนเลวพวกนี้ให้หมดไปซะ
 :'( :'( :'(
87  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นำไตเติ้ล ตัวอย่าง วีดีโอ กรรมฐาน ชุดพิเศษ จะจัดทำเดือน ก.พ. หรือ มี.ค. เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:14:07 pm
ดูไตเติ้ล แล้ว รู้สึกดีครับ

เนื้อหา เกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างครับ

 :25:
88  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: นิมิตฝันว่าเห็นพระสงฆ์หลายรูปสนทนาธรรมกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร(พระอรหันต์) เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:12:08 pm
อนุโมทนา ครับ กับเรื่องราวของหลวงปู่ ผมนั่งอ่านเกือบ ชม. เลยครับ

 :25:
89  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เห็นเพืื่อน ขโมยของ และเราก็ไปเห็นตอนที่เขาทำ ควรทำอย่างไรดีคะ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 11:11:09 pm
คุณ P63 แนะนำได้ดี มีทางเลือกให้หลายแบบ

  แต่ผมว่าที่สำคัญที่สุด นั้น เพื่อน ที่เราเห็นนั้นเป็นประเภทไหนครับ ระวังโดนทำร้ายนะครับ

  เขารู้หรือป่าว ว่าเรารู้ อันนี้น่าเป็นห่วง...

  ถ้าเขารู้ ก็โทษของการขโมยของ นะครับ จากญาติผมเอง ขโมย กินน้ำอัดลม 1 ขวดเจ้าของไม่ยอมคดี

  ติดคุก 3 ปี ( ลดหย่อนแล้วเหลือ 1 ปี ) อันนี้ผมมีตัวอย่างนะครับ

  จะเห็นว่า น้ำอัดลมสมัยนั้นราคาแค่ 5 บาทเองครับ

   

   คำแนะนำ นะครับจงช่างใจดูก่อน เพราะยิ่งปรึกษาคนมาก ความลับแตกครับ .....

   อยู่ให้ห่าง คนพวกนี้ไว้ก่อน นะครับ....

   ข้อความส่วนตัวกับผมได้ ในบอร์ดนะครับ....

   :67:
90  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โธ่ ตายซะดีกว่าไหม ( เล่าด้วยภาพ หวาดเสียว ) เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 11:11:22 pm
91  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรม ภาคเหนือ คะ เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 11:10:17 pm
2.วัดบรรพตสถิตย์ ตั้งอยู่ที่ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง

ความสำคัญของวัด ปัจจุบันเป็นสถานที่อบรมค่ายคุณธรรม จริยธรรม ของสถาบันการศึกษา ทั่วลำปาง

โดยมีพระมหานพดล สุวณฺณเมธี (รองเจ้าคณะอำเภอวังเหนือ) เป็นเจ้าอาวาส



92  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรม ภาคเหนือ คะ เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 11:02:15 pm
ยกตัวอย่าง นะครับ



1. วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร
ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่



แนวปฏิบัติ

สำนักวิปัสสนากรรมฐาน หนเหนือ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร มีพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ วิ. (พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล) หัวน้าพระวิปัสสนาจารย์หนเหนือ กองการวิปัสสนาธุระ และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นเจ้าสำนักวิปัสสนากรรมฐาน ให้การสอน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ในแนว สติปัฐฐาน ๔ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนถึงระดับสูง สำหรับภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนผู้ที่สนใจ ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ และมีการจัดให้สอบอารมณ์ ทุกวัน (ยกเว้นวันพระ)

สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดพระธาตุศรีจอมทอง รองรับการฝึกฝน การปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  โดยมีที่พัก รองรับ ทั้ง แบบ เดี่ยว และแบบหมู่คณะ โดยมีกุฏิสำกรับผู้ปฏิบัติธรรม  กว่า ๒๐๐ หลัง

คำแนะนำสำหรับโยคีผู้ปฏิบัติธรรม
การ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถปฏิบัติได้ ภายในกุฏิของตนเอง หรือสถานที่อื่นตามแต่ผู้ปฏิบัติจะเลือก ในการเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมแต่ละท่านจะได้รับคำแนะนำการปฏิบัติจากพระอาจารย์ผู้สอน โดยจะเป็นไปตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งการปฏิบัติจะประกอบด้วย การนั่งสมาธิ ซึ่งให้ความสำคัญที่การพอง และ ยุบของหน้าท้อง ขณะหายใจ และการเดินจงกรม ซึ่งให้ความสนใจที่การเคลื่อนไหวของเท้า ระหว่างการเดิน การปฏิบัติจะแบ่งออกเป็นชุด (บัลลังค์) โดยเริ่มจากการกราบ ตามด้วยการเดินจงกลม และการนั่งสมาธิ ผู้ที่เริ่มต้นฝึกอาจจะเริ่มที่การเดินจงกลม และการนั่งสมาธิอย่างละ ๑๐ นาที และค่อยๆเพิ่มระยะเวลาการเดิน และการนั่งต่อไป

ชุดที่ใช้ใส่ระหว่างปฏิบัติเป็นสีขาว และสุภาพเรียบร้อย นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติะธรรม จะต้องอาราธนา
ถือศีล ๘ คือ

ทาง สำนักจะจัดอาหารให้กับผู้ปฏิบัติวันละ ๒ มื้อคือ เช้าเวลา ๐๖.๐๐ น. และเพล เวลา ๑๑.๐๐ น. โดยมีให้เลือกแบบธรรมดาและมังสะวิรัติ สำหรับช่วงเวลาหลังเที่ยงไปจนถึงเช้ามืดของวันรุ่งขึ้นนั้น ผู้ปฏิบัติไม่สามารถรับประทานอาหารอีก (สามารถดื่มนม ชา กาแฟ ได้)  สำหรับผู้ที่มีความต้องการเรื่องอาหารเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของสำนักได้เมื่อมาถึง
 
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ
๑๕๗ บ้านหลวง ต. บ้านหลวง อ. จอมทอง จ. เชียงใหม

เบอร์โทรศัพท์ ๐๕๓-๓๔๑-๗๒๕, ๐๕๓-๘๒๖-๘๖๙
เบอร์โทรสาร(แฟกซ์) ๐๕๓-๓๔๒-๑๘๕
เว็บไซต์ : www. watphradhatusrichomtong.com
 
 การเดินทาง
            รถยนต์ส่วนตัว
            จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๒ ถึง จ.นครสวรรค์ เข้าทางหลวงหมายเลข ๑ ผ่าน จ.ตาก ถึง อ.เถิน จ.ลำปาง แยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๐๖ ไปทาง จ.ลำพูน ก่อนถึง อ.บ้านโฮ่ง จะมีทางแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๐๑๐ ไป อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข ๑๐๘ ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปตามทาง วัดอยู่ฝั่งซ้าย
            รถโดยสาร
มีรถโดยสารกรุงเทพ(หมอชิต) - จอมทอง  สอบถามเพิ่มเติมที่โทร. ๐-๒๙๓๖-๒๘๕๒-๖๖
            เครื่องบิน
            สายการบินไทยและสายการบินบางกอกแอร์เวย์ มีเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกทุกวัน สอบถามเพิ่มเติมที่บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน) โทร. ๑๕๖๖, ๐-๒๒๘๐-๐๐๖๐ บริษัทบางกอกแอร์เวย์ จำกัด โทร. ๐-๒๒๖๕-๕๕๕๕

 :25: :25: :25:
93  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรม ภาคเหนือ คะ เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 10:58:38 pm
แนะนำเพิ่มได้หรือป่าวครับ

 แบบว่า ลงรูปภาพด้วย บอกแนวปฏิบัติ เบอร์โทรติิดต่อ ประมาณนี้ ได้หรือป่าวครับ


   ขอมากไปหรือป่าวครับ
94  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ภาวนากรรมฐาน แล้ว มีอาการกึ่งหลับ กึ่งตื่น เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 10:57:12 pm
สาธุ สาธุ สาธุ
 :25:
95  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: ตำนานลำดับพระกรรมฐาน ประวัติพระราหุลมหาเุถรเจ้า เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:55:24 pm
เห็นด้วยครับ ที่ลุงกิตติศักดิ์ มาโพสต์เป็นตอน ๆ ครับ ผมอาจจะช่วยด้วยครับ

บอกตรง ๆ ครับผมดาวน์โหลดไปก็ยังไม่ได้อ่านครับ สู้อ่านแบบเป็นตอน ๆ อย่างนี้ ดีครับ จะได้เลือกอ่านได้

 :25: :25:
96  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมงานเททองหล่อพระ ณ วัดหนองบัวหิ่ง ราชบุรี เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:53:31 pm
พรุ่งนี้ มีเจริญพระพุทธมนต์ ที่วัดราชสิทธาราม เห็นแล้วน่าจะต้องไปหน่อยครับ

พระอาจารย์ไปด้วยหรือป่าวครับ

 :25:
97  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:52:21 pm
ยินดีต้วยครับ ครบปีแล้ว นาน ๆ ผมเข้ามาที ครบปีแล้วหรือ เนี่ย .....

ขอให้ทีมงาน ประสพความสำเร็จ มีสุขกันถ้วนหน้า นะครับ เจริญธรรมก้าวหน้าไว ๆ จะได้มาช่วย

แนะนำผมกันบ้างนะครับ

สาธุ อนุโมทามิ
 :25: :25: :25:
98  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกกรรมฐานใน พระขณิกา ปีติแล้วมีอาการอย่างนี้ ไม่ทราบว่าปฏิบัติผิดหรือป่าวครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:50:33 pm
ในวีดีโอ เป็นผลเกิดจากการฝึกสมาธิ ด้วยหรือครับ เป็นการฝึกแบบไหนครับ แบบกรรมฐาน มัชฌิมา มีแบบนี้
ด้วยหรือครับ

 :25:
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: หมื่นตา ตอน ช่างมันเถิด เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:48:48 pm
มีสาระจริง ๆ ครับ คงต้องไปซื้อมาอ่านสักเล่มแล้วครับ
 :25:
100  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:47:28 pm
อนุโมทนาครับ กับศิษย์พี่ ๆ ทุกท่านนำร่องก่อน เลยครับ
ผมอยู่ที่ กทม. คิดถึงพระอาจารย์ ด้วยครับ

สาูธุ สาธุ สาธุ
101  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระนามของพระพุทธเจ้า เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:45:07 pm
ผมพึงรู้ว่า พระนามของพระพุทธเจ้า มีมากมายขนาดนี้ครับ

ขอบคุณมาก ๆ ครับ

 :25:
102  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: วันธงไชย ปี 2554 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 09:43:32 pm
ไม่อยากให้หัวข้อนี้หายไปครับ

 :13: :13: :13:
103  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นามผู้สร้างหนังสือพระกรรมฐานห้อง ๔ เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 01:08:51 am
สาธุ ครับ มีคนสนใจเยอะเหมือนกันนะครับ ดูจากรายชื่อแล้ว

 :25:
104  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ในพรรษา พระอาจารย์ภาวนาอะไร คะ เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 01:07:39 am
อ้างถึง
สูงสุดนั่งกรรมฐานติดต่อแบบยาว ๆ ได้เพียง 96 ชั่วโมง 1 ครั้ง  48 ชั่วโมง  5 ครั้ง
24 ชม. 12 ครั้ง 3 - 5 ชม. 74 ครั้ง
ไม่รู้จักพระอาจารย์ แต่อ่านแล้ว น่าสนใจในกรรมฐาน มาก ๆ

จะได้เจอตัวจริง บ้างหรือไม่ ?

 :25:

105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปลี่ยนชีวิตด้วยวิถีแห่งโดราเอมอน เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 01:05:19 am
ที่จริง ในโลกจินตนาการของเด็ก ๆ นั้น สิ่งที่เรียกว่า น้ำใจ คุณธรรม ล้วนแล้วถูก

สอดแทรก คติในการ์ูตูนเรื่องนี้มาก

สมัยผมเป็นเด็ก ก็ชอบดูเรื่องนี้

จนกระทั่งวันนี้ ผมมีลูก และ มีหลาน แล้ว การ์ตูนเรื่องนี้ ก็ยังคงอยู่ในใจ ตลอดมา

ลูกสาว ผมชอบดู มาก หลานผม อีก สี่ คน ก็ชอบดู

ส่งเสริม จินตนาการของเด็ก ๆ เุถอะครับ กับการ์ตูน เรื่องนี้

 :25:
106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปลี่ยนชีวิตด้วยวิถีแห่งโดราเอมอน เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 01:02:19 am

 
เปลี่ยนชีวิตด้วยวิถีแห่งโดราเอมอน
 


ไม่ว่าจะเติบโตมากับยุคสมัยไหน เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า "โดราเอมอน" ผลงานเขียนของ "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" เป็นหนึ่งในตัวการ์ตูนในดวงใจของเด็กๆ จำนวนมาก
       ในประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของโดราเอมอนเองได้ประกาศให้โดราเอมอนเป็น วรรณกรรมเอกประจำชาติเรื่องหนึ่ง และผู้อ่านโดราเอมอนก็พัฒนาระดับการอ่านจากอ่านเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อ จรรโลงใจเป็นอ่านในเชิงวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นต่างๆ เกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า  "โดราเอมอนศึกษา"  ขึ้นมา โดย "โยโกยาม่า ยาสุยุกิ" ก็ได้เป็นอาจารย์สอนวิชานี้อยู่ด้วย ที่มหาวิทยาลัยฟุคุยะมา และเป็นผู้ก่อตั้ง  "ห้องสมุดโดราเอมอน"  และผู้สร้างโฮมเพจ "หลักสูตรโดราเอมอนศึกษา"

ก่อนหน้าหนังสือ  "วิถีแห่งโดราเอมอน ฝึกสอนคนขี้แพ้ให้เป็นผู้ชนะ"  มีหนังสือชื่อ  "วิถีแห่งโนบิตะ ชัยชนะของคนไม่เอาถ่าน"  ออกมาก่อนแล้ว โดยผู้เขียนคนเดียวกัน จากหนังสือการ์ตูนบันเทิงใจเด็กๆ กลายเป็นเป็นหนังสือ how to ที่สามารถแนะนำคนขี้แพ้ คนไม่เอาถ่าน ลุกขึ้นมาทำหลายๆ เรื่อง ที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้

     พอมาถึงหนังสือเล่มนี้ จะถูกมองในอีกมุมหนึ่ง นั้นคือวิถีแห่งโดราเอมอน ทำอย่างไรถึงสามารถทำให้ "โนบิตะ" คนขี้เกียจ ชอบนอนกลางวัน ไม่ชอบทำอะไรใหม่ๆ ที่คิดว่ายาก ตัวเองทำไม่ได้หรอก ไม่ชอบทำอะไรที่ต้องออกแรง ใช้กำลัง และอีกมากมายก่ายกอง ที่เสมือนเป็นหลุมดำในจิตใจของโนบิตะ และหากสิ่งเหล่านี้ยังสั่งสมต่อไปเรื่อยๆ อนาคตของโนบิตะคงหนีไม่พ้นคำว่าล้มเหลวในชีวิต

 " นั่นเพราะหลายสิ่งที่โดราเอมอนปฏิบัติต่อโนบิตะนั้นล้วนมีความหมาย "


แม้ว่าในทุกๆ เหตุการณ์ ในทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโนบิตะ จะมีโดราเอมอนคอยเป็นผู้ช่วย แต่ถ้าสังเกตดีๆ โดราเอมอนไม่เคยทุ่มลงไปทั้งตัว เพียงแต่คอยชี้แนะหนึ่งวิธีที่ใช้คือ  "การดุด่า " จนทำให้รู้สึกว่าโดราเอมอนนี้ขี้บ่นเหมือนคนแก่จริงๆ เลยแต่ในความจู้จี้ขี้บ่นของโดราเอมอนนั้นแฝงไปด้วยความรัก ความห่วงใย ความเมตตา   

     และคำดุด่านั้นไม่ใช่การดุด่าที่บั่นทอนกำลังใจ ในความ "โหด" มีความ "รัก" บางครั้งการด่าว่าของโดราเอมอนเสมือนการเบรก เพื่อให้ชะลอในการคิดหรือการทำอะไรให้ตรึกตรองถี่ถ้วนเสียก่อน    ไม่ใช่การเบรกกระชากให้หัวคว่ำเสียหลัก และบางครั้งการด่าของโดราเอมอนก็เป็นแรง "ฉุด" ให้โนบิตะเกิดความฮึกเหิม ฮึด มีพลังที่จะกระทำในเรื่องนั้นๆ

   "ไม่ว่าใครก็ทำผิดพลาดได้ทั้งนั้น และการบอกลูกน้องให้รู้ถึงความคาดหวัง หรือการเฝ้ารอต่างหาก ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกน้องขยับแข้งขยับขาเพื่อต่อสู้กับการแก้ไขปัญหา ด้วยทัศนคติที่แข็งแกร่ง"

     นอกจากด่าแล้ว  "ลูกยอ"  ของโดราเอมอนก็มี ถ้าจำกันได้คงคุ้นๆ ประโยคนี้ในหลายๆ ตอน "เห็นไหมโนบิตะก็ทำได้" หรือ "แหม ความคิดนายนี่เข้าท่าไม่สมกับเป็นนายเลยแฮะ" นี่แหละคำชมจากโดราเอมอนสู่โนบิตะ ส่วนในหนังสือเล่มนี้ก็มีกฎของการชมว่า "จะใช้คำพูดและการกระทำแบบไหนดีที่จะเพิ่มศักยภาพของคนได้" เพราะการชมไปเรื่อย ชมได้ทุกเรื่อง ก็ส่งผลด้านลบเหมือนกัน ทั้งทำให้คนถูกชมหลงระเริง หรือทำให้ไม่เห็นค่าในคำชม

    "เพิ่มศักยภาพในการชมทันทีเมื่อสำเร็จ  ถ้ามีข้อดีสักนิดถึงแม้จะไม่ใช่ความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรนักก็อย่าลืมที่จะชม เพื่อเพิ่มศักยภาพในตัวเขา  เพิ่มศักยภาพโดยการชมต่อ หน้าเพียงลำพัง เพิ่มศักยภาพโดยการชมอยู่เสมอกับการกระทำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และเพิ่มศักยภาพโดยการชมบ้างเป็นบางครั้งกับเรื่องที่เขาทำอยู่เป็นประจำ"


  "ของวิเศษ"  ที่โดราเอมอนเอามาจากกระเป๋ามิติที่ 4 มาช่วยเหลือโนบิตะตามลำดับเวลานั้น เป็นเพียงเครื่องมือหรือไอเดียของกระบวนการทำในเรื่องราวต่างๆ เท่านั้น ไม่ใช่ของวิเศษที่นำพาโนบิตะไปสู่ความสำเร็จ จะเห็นได้ว่าในหลายๆ ครั้งผลลัพธ์ของการใช้ของวิเศษก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเหมือนกัน   และการนำของวิเศษออกมานั้นโดยปกติแล้วโดราเอมอนให้ความสำคัญกับการแก้ไข ปัญหาภารกิจของโนบิตะที่อยู่ตรงหน้าก่อนเสมอ        โดยไม่ค่อยสนใจกับสถานการณ์หรือนิสัยของโนบิตะ   และทุกครั้งไปสิน่าที่โนบิตะเมื่อได้ของวิเศษแล้วมักไม่ยอมคืนให้โดราเอมอน ง่ายๆ ไม่ว่าโดราเอมอนจะทวงคืนยังไง   จนถึงขั้นทำทีท่าไม่สนใจ หรือใช้สายตามองอย่างผิดหวังในตัวโนบิตะ ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้ผลต่อจิตสำนึกของโนบิตะเอง ที่รู้สึกผิด และรู้สึกละอายใจ จนผลลัพธ์ที่ออกมาสุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความคิดและการกระทำของโนบิตะ ที่มีโดราเอมอนเป็นโค้ชให้นั้น ก็ล้วนถูกส่งขับมาจากพลังภายในใจของโนบิตะทั้งสิ้น

          ในโลกแห่งความเป็นจริงของมนุษย์ทุกคนไม่มีโดราเอมอนมาคอยช่วยเหลือ ไม่มีของวิเศษมาช่วยดลบันดาลอะไรให้ง่ายขึ้น    ทว่าทุกคนมีสองมือ มีมันสมอง   เพียงแต่เลือกแนวทางให้ถูกต้อง และวิถีแห่งโดราเอมอน   เป็นอีกหนึ่งวิถีที่คนในระดับหัวหน้าจะนำมาเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนพลัง ของลูกน้อง

posttoday
107  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การ์ตูนธรรมะ เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:53:31 am


108  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด!! หญิงชราบ้านน้ำท่วม ลูกไม่แล ดิ่งแม่น้ำ เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:50:11 am

สลด!! หญิงชราบ้านน้ำท่วม ลูกไม่แล ดิ่งเจ้าพระยา

จ. พระนครศรีอยุธยา (25 ต.ค.) เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ เมื่อหญิงชราตัดสินใจกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสมาคมอยุธยารวมใจรีบนำเรือออกไปช่วยหญิงชราดังกล่าว ซึ่งลอยคออยู่กลางแม่น้ำ หลังจากกระโดดลงมาจากสะพานปรีดีธำรง โดยเจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือนำร่างขึ้นมาบนเรือ ซึ่งความช่วยเหลือเป็นไปอย่างทุลักทุเลเนื่องจากหญิงชราคนดังกล่าวมีอาการ ป่วยเป็นอัมพฤกษ์เดินไม่สะดวก นอกจากนี้ยังอยู่ในอาการเสียใจร้องไห้ตลอดเวลา เมื่อช่วยได้แล้วจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาเป็นการเร่งด่วน

ทราบชื่อต่อมาคือ นางสมคิด แสงเปี่ยม อายุ 70 ปี บ้านอยู่ 71/8 ม. 1 ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยาจ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากพักรักษาตัวแล้ว นางสมคิดเปิดเผยว่าตนพักอาศัยที่หมู่บ้านในซ.โพธาราม ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งโดนน้ำท่วมมาหลายวันแล้ว แต่ปรากฎว่าลูกสาวและลูกเขยไม่เคยมาเหลียวแลเลยสักครั้ง ตนเองไม่รู้จะพึ่งใครสภาพร่างกายก็ไม่แข็งแรงจึงเกิดความน้อยใจ ตัดสินใจใช้ไม้เท้าเดินลุยน้ำออกจากซอยซึ่งมีระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร จากนั้นตนได้เดินขึ้นไปบนสะพานปรีดีธำรง และตัดสินใจกระโดดลงไป

แต่เนื่องจากน้ำมีระดับสูง ปริมาณน้ำมากร่างจึงไม่กระแทกกับอะไร ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้รีบโยนขอนไม้ให้ตนเกาะไว้ จนกระทั่งมีหน่วยกู้ภัยมาช่วยเหลือ

อนึ่ง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้ประสานงานให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาดูแลต่อไป
109  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดื่มนมตอนเช้า อิ่มยาวถึงมื้อกลางวัน เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:48:22 am

ดื่มนมตอนเช้า อิ่มยาวถึงมื้อกลางวัน
 


          การศึกษาใหม่ระบุว่าการดื่มนมปราศจากไขมันแทนการดื่มน้ำผลไม้ในอาหารเช้าจะ ช่วยให้รู้สึกอิ่ม และรับประทานอาหารกลางวันน้อยลง นักวิจัยชาวออสเตรเลียทำการศึกษากับผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 34 คน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงสุขภาพดี (น้ำหนักเกินแต่มีสุขภาพดี) โดยผู้เข้าร่วมจะทำการทดสอบ 2 รอบ รอบแรกผู้เข้าร่วมจะดื่มนมปราศจากไขมันประมาณ 20 ออนซ์ และอีกรอบจะได้รับเครื่องดื่มจากผลไม้ (โดยเครื่องดื่มทั้งคู่จะมีปริมาณของแคลอรีประมาณ 250 แคลอรี่ของอาหารมื้อเช้า) ต่อจากนั้นในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง ระหว่างอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ผู้เข้าร่วมทุกคนจะต้องได้รับการประเมินเกี่ยวกับความรู้สึกอิ่ม และยังได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารกลางวันได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ผลการศึกษาครั้งนี้นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มนมจะมีความรู้สึกอิ่มแปล้ และอิ่มยาวนานกว่าปกติส่งผลให้รับประทานอาหารกลางวันลดลง (จำนวนแคลอรี่ลดลง) เมื่อเทียบกับการดื่มน้ำผลไม้ 

          ซึ่งนักวิจัยคาดคะเนว่าผลของความอิ่มที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากปริมาณของโปรตีน ในนม ปริมาณของแลคโตส หรืออาจจะเกิดจากความหนาแน่นของนมที่มีบทบาทช่วยให้ผู้ที่บริโภคนมรู้สึก อิ่มมากขึ้น ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเติมเต็มความอิ่มอย่างเต็มที่ให้ กับกระเพาะอาหารและร่างกาย ย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญ และเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้เช่นเดียวกัน
110  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ธรรมชาติบำบัดกับการสั่งจิตใต้สำนึก เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:45:44 am

ธรรมชาติบำบัดกับการสั่งจิตใต้สำนึก
 

การสั่งจิตใต้สำนึกอยู่บนทฤษฎีที่ว่า จิตของเราเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของร่างกาย หรือเรียกว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" จิตของเราประกอบขึ้นด้วย 2 ส่วน ได้แก่จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก

จิตสำนึก

เป็นตัวกำหนดกริยาท่าทาง การเข้าสังคม เดินเหิน ทำการงานในชีวิตประจำวัน มีพลังงานเพียง 10 % เท่านั้น

ส่วนจิตใต้สำนึก

เป็นตัวเก็บรับข้อมูลต่างๆ ทั้งหลายในชีวิตตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้นจนถึงปัจจุบัน สั่งจิตให้เพิ่ม-ลดน้ำหนักคน สั่งจิตใช้กระดาษตัดตะเกียบให้ขาด


ทั้งข้อมูลที่ดีและเลว จิตใต้สำนึกยังควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ทั้งหัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ตับม้าม ต่อมฮอร์โมนต่างๆ โดยระบบประสาทอัตโนมัติ จิตใต้สำนึกมีอำนาจถึง 90%

ถ้าจิตใต้สำนึกของเรารับรู้แต่ข้อมูลดีๆ อวัยวะภายในของเราก็ทำงานสงบเรียบร้อย เป็นปกติ แต่ถ้าจิตใต้สำนึกของเรารับรู้แต่ข้อมูลแย่ๆ ความเร่งรีบ เคร่งเครียด ผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนเราจะต้องมีสิ่งที่ไม่สมหวังในชีวิตบ้าง แต่ถ้าไม่รู้จักวิธีที่จะระเหิดความกดดันเหล่านั้นออกไป ประสบการณ์และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้จะถูกสะสมอยู่ในจิตใต้สำนึก และรบกวนการทำงานของอวัยวะภายในได้ เช่นผู้ที่เครียดจัด มักอาหารไม่ย่อย ปวดกระเพาะ ใจเต้นสั่น หอบเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ อารมณ์แปร ปรวน น้ำตาลในเลือดสูง กระทั่งมีภาวะไขมันในเลือดสูงด้วย เนื่องจากการทำงานของตับ ของต่อมฮอร์โมนต่างๆ รวนเรไป ไม่สามารถหมุนใช่ไขมันในร่างกายให้เป็นปกติได้

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเรามีวิธีผ่อนคลายความเครียดก็เท่ากับช่วยเปิดโอกาสให้อวัยวะในทำงานเข้า สู่ภาวะปกติ ซึ่งถ้าได้รับการปฎิบัติผ่อนคลายด้วยการสั่งจิตใต้สำนึกให้สงบ เช่น การฝึกสมาธิ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า - ออก หรืออาณาปานสติ ก็จะทำให้จิตสงบ สะอาด สว่าง และว่องไวในการทำงาน ช่วยลดความเครียดปรับสภาพร่างกายและจิตใจสู่ดุลยภาพ จึงใช้วิธีนี้บำบัดโรคได้อีกหลายโรค เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคความดันเลือดสูง ภูมิแพ้ หอบ หืด เครียด ภาวะอาหารไม่ย่อย โรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
111  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การฝึกให้ตัวเรามองโลกในแง่ดี เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:44:05 am

...

การฝึกให้ตัวเรามองโลกในแง่ดีทำได้หลายวิธี ทว่า... วิธีที่ไม่ยากจนเกินไปวิธีหนึ่งคือ การหัดพูดคำ "ขอโทษ ขอบคุณ ขอบใจ" ให้ได้ทุกวัน

คำ "ขอโทษ" ทำให้คนอื่นมีความทุกข์น้อยลง และเป็นกาวใจที่ทำให้คนเราโกรธ หรือเป็นศัตรูกันน้อยลง เป็นมิตรกันมากขึ้น

...

คำ "ขอบคุณ ขอบใจ" ทำให้คนอื่นมีความสุขมากขึ้น... คุณครูภาษาไทยสอนว่า คนที่รู้จักพูดคำว่า "ขอโทษ ขอบคุณ ขอบใจ" ได้อย่างพอดีเป็นคนน่ารัก และคู่ควรกับความรักด้วย

วิธีฝึกมองโลกในแง่ดีอีกวิธีหนึ่งคือ หัดชมคนรอบข้างให้ได้วันละครั้ง และค่อยๆ เพิ่มเป็น 3 ครั้งหลังอาหาร

...

การชมคนอื่นทำให้คนอื่นมีความสุขก็จริง ทว่า... ความสุขนั้นติดต่อกันได้คล้ายโรคระบาด

คนที่ช่วยทำให้คนอื่นทุกข์น้อยลง หรือทำให้คนอื่นสุขมากขึ้นอย่างพอดี (เช่น ไม่ถึงทำให้ตัวเองลำบากไปด้วย ฯลฯ) นั้น...

...

แท้จริงแล้วการพูด "ขอโทษ ขอบคุณ ขอบใจ" และชื่นชมคนอื่นอย่างพอดีจะมีคนที่มีความสุขทันที 3 ฝ่ายด้วยกัน

คนที่มีความสุขคนแรกคือ คนที่ส่งความปรารถนาดีออกไป (ผู้ให้), คนที่มีความสุขคนที่สองคือ คนที่ได้ยินได้ฟังคำพูดดีๆ (ผู้รับ), และคนที่ความสุขอีกหลายๆ ครั้งคือ ผู้ให้

...

ปรากฏการณ์ นี้คล้ายกับคลื่นที่กระทบแล้วสะท้อนกลับได้ หรือคล้ายการจุดเทียนต่อๆ กันไป ยิ่งจุดยิ่งสว่าง ซึ่งถ้าคนในสังคมใดส่งความปรารถนาดีออกไปมากๆ... สังคมนั้นจะเป็นสังคมแห่งความสุขได้ต่อไป

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ

...

ที่มา                                                     

    *
      ขอขอบพระคุณ > อมรากุล อินโอชานนท์. พลังสุขภาพจิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส. กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ > [ Click ] > 7 พฤษภาคม 2552.
    *
      นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์
112  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 ลักษณะคนสู้ชีวิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:35:39 am
ปัจจัยลักษณะที่พบร่วมกันในเด็กที่ฮึดสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จกลุ่มนี้ได้แก่

    *
      (1). สติปัญญาปานกลาง
    *
      (2). สุขภาพแข็งแรง
    *
      (3). อารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใจ

...

    *
      (4). มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม
    *
      (5). สนใจทำงานอดิเรกกับเพื่อนๆ เช่น เล่นฟุตบอล เล่นหมากรุก ฯลฯ
    *
      (6). มีผู้ใหญ่ (ที่ไม่ใช่พ่อแม่) คอยให้ความอบอุ่นทางใจ ให้กำลังใจ และเป็นตัวแบบที่ดี เช่น ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ ฯลฯ (ให้เด็กๆ เลียนแบบ)

...

    *
      (7). ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานตั้งแต่เล็ก เช่น งานบ้าน ช่วยพ่อแม่ทำงาน ฯลฯ ทำให้พัฒนาความมีวินัยในตัวเอง (self-discipline) ขึ้นมาได้
    *
      (8). มีความรู้สึกดีต่อตัวเอง (self-esteem) เช่น รู้สึกว่า ตัวเองมีค่าต่อครอบครัวหรือญาติสนิทมิตรสหาย ฯลฯ
    *
      (9). มีจุดมุ่งหมายในชีวิต (มีฝันที่ไม่ไกลเกินจริง) ลงมือทำ (ฝันให้เป็นจริง) และยืนหยัดไม่ยอมแพ้ (แม้มีอุปสรรคเพื่อไปให้ถึงฝัน)

...

ลักษณะดังกล่าว 9 ข้อเป็นลักษณะของคนสู้ชีวิต (resilience) คือ ฮึดสู้ขึ้นใหม่ได้แม้จะล้มเหลว หรือผิดหวังหลายๆ ครั้ง

อาจารย์อมรากุลท่านแนะนำว่า การที่จะพัฒนาตัวเราให้เป็นคนสู้ชีวิตได้... คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งคือ การมองโลกในแง่ดี

นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์
113  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) มีปณิธาน แล้วไม่ท้อถอย เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:32:20 am
สุวิมล ฟองแก้ว คนดี คนใฝ่รู้ คนสู้ชีวิต คนไม่คิดฆ่าตัวตาย

รูปภาพของ ssspoonsak


นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว คนดี คนใฝ่รู้ คนสู้ชีวิต คนไม่คิดฆ่าตัวตาย

นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะมีชีวิตที่ดีได้

ลองดูผลงานของเธอซิครับ คลิกที่นี่

      สำหรับเยาวชนตัวอย่างคนแรกที่เราจะนำเสนอ เธอเป็นสุภาพสตรี ผมไปพบเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 เนื่องจากผมเดินทางไปให้ความรู้ เกี่ยวกับการสร้างเว็บ สร้างสื่อการสอนที่โรงเรียนเถินวิทยา อ.เถิน จ.ลำปาง เธอเป็นนักศึกษาจากสถาบันราชภัฏลำปาง เธอฝึกสอนวิชาคอมพิวเตอร์ เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง 1 ใน 4 ของรุ่น แต่... เธอพิการมาแต่เด็ก ไม่มีมือ แขน ทั้งสองข้าง แต่เธอไม่เคยยอมแพ้ เธอสู้ตลอด เธอไม่คิดฆ่าตัวตาย เธอไม่คิดจะเป็นคนเลวของสังคม เธอไม่เคยคิดจะเป็นภาระของสังคม ผมชอบคำพูดของอาจารย์นพดล อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนเถินวิทยา ว่า

        ใครว่าคอมพิวเตอร์ยาก แสดงว่าไม่สู้ ขนาดเด็กฝึกสอนของผมไม่เคยใช้มือทำ เธอใช้เท้าทำตลอด และทำได้ดี ไม่เชื่อก็ลองมาดูซิครับ

 

      แล้วคุณยังคิดจะฆ่าตัวตาย
      คิดจะเป็นคนเลวของสังคม
      คิดจะเป็นภาระของสังคม
      ทั้งที่คุณมีร่างกายครบ
      ช่างน่าอายและไร้สติสิ้นดี



อมูลเพิ่มเติม

ชีวิตคือการต่อสู้...ยอดคนยอดครูสาวพิการกาย

ชีวิตคือการต่อสู้ คนที่ไม่เคยต่อสู้ ก็ย่อมไม่รู้ว่าชีวิต คืออะไร? ชีวิตของ นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว ครูสาววัย ๒๘ ปี จากเมืองรถม้า จ.ลำปาง สาวพิการแต่กำเนิด แขนซ้ายกุดด้วนถึงต้นสะบักบ่า แขนขวาเหลือเพียงข้อศอก ขาซ้ายเป็นโปลิโอฝ่าเท้าคดงุ้มงอ แต่ด้วยอุดมคติและจิตใจมุ่งมั่นที่จะประกอบวิชาชีพครู เพื่อสอนเด็ก ๆ ให้เป็นคนดี สาวน้อยผู้อาภัพจึงได้ใฝ่รู้ใฝ่มุมานะเรียนและขวนขวายพยายามที่ จะฝึกทักษะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยเท้าซ้ายและแขนเทียม ตั้งแต่ยังเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาประจำตำบล เรื่อยมา จนถึงระดับอุดมศึกษาที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เมื่อเรียนจบก็สมัครสอบบรรจุเป็นครู จนกระทั่งสอบขึ้นบัญชีได้เป็นครูสมใจนึกบรรจุเป็นครูผู้ช่วยที่ ร.ร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม หมู่ ๕ ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา

?หนูอยากเป็นครูแต่การเป็นครูก็ต้องเขียนอธิบายบนกระดาน ตอนเด็ก ๆ ก็ลองหัดเขียนชอล์กแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะชอล์กจะแตกเมื่อถูกแขนเทียมหนีบ แต่พอเห็นครูคอมพิวเตอร์ใช้ปากกาไวท์บอร์ดเขียนกระดาน จึงทำให้คิดว่าเราน่าจะทำได้ จึงแอบหัดเขียนกระดานโดยใช้ปากกาไวท์บอร์ด เพื่อที่ว่าวันหนึ่งความฝันที่จะได้เป็นครูเป็นความจริงขึ้นมาจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อวิชาชีพ และถ้าหากว่าความฝันไม่เป็นจริงขึ้นมา ไม่ได้เป็นครูอย่างที่ฝันไว้ อย่างน้อยความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากวิชาคอมพิวเตอร์สามารถที่จะนำมาประกอบ อาชีพอิสระได้ สามารถที่จะมีรายได้เลี้ยงดูตนเอง ไม่เป็นภาระกับพ่อแม่ต่อไป การที่คนเราจะเรียนอะไรนั้นไม่สำคัญ ขอให้เลือกเรียนสิ่งที่ตนเองสนใจ ตัวเองถนัดและไม่เดือดร้อนใครก็พอ? ครูสุวิมล บอกเล่าพลางสาธิตการ ใช้คอมพิวเตอร์ด้วยอุ้งเท้าซ้าย โดยใช้นิ้วหัวแม่เท้าคลิกเมาส์สืบค้นข้อมูลได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนคนปกติ ใช้มือจับเมาส์ การพิมพ์ก็ใช้ท่อนแขนที่เหลือเพียงศอกด้านขวาเป็นอวัยวะเคาะแท่นคีย์บอร์ด พิมพ์หนังสือแผนการสอน รายงานการสอนได้อย่างรวดเร็วชนิดที่คนมือเท้าดี ๆ บางคนก็ยังพิมพ์และใช้เมาส์ได้ไม่คล่องแคล่วรวดเร็วเท่า

?แรก ๆ ตอนคุณครูสุวิมลมารายงานตัว ที่โรงเรียน ก็ตกใจเกรงว่าครูจะสอนลำบาก เพราะวิชาคอมพิวเตอร์เป็นวิชาที่ต้องใช้ทักษะมือและนิ้มือทั้งสองข้างเป็น อวัยวะสำคัญ แต่พอทราบว่าคุณครูสุวิมลจบการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกคอมพิวเตอร์ศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางก็คิดว่าคงต้องผ่านทักษะการ ใช้คอมพิวเตอร์ด้วย เท้าหรือแขนเทียมมาอย่างโชกโชนจนชิน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง คุณครูสุวิมลสามารถใช้เท้าในการพิมพ์งาน ควบคุมเมาส์ได้เหมือนคนปกติใช้มือ และสอนนักเรียนได้อย่างดี ตนจึงมอบหมายให้เป็นครูประจำชั้น ม.๒ และรับผิดชอบวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ง ๔๑๒๐๑) ระดับชั้น ม.๔, วิชาฐานข้อมูล ชั้น ม.๓ และวิชา excel ชั้น ม.๒ ซึ่งคุณครูสุวิมลก็สอนได้เหมือนคนปกติ เด็กนักเรียนในระยะแรก ๆ ก็ประดักประเดิดบ้างแต่ต่อมาก็ชินและรู้สึกเฉย ๆ มุ่ง ที่จะรับความรู้จากครู มากกว่าที่จะไปมัวสนใจความผิดปกติของครู ผลสัมฤทธิ์และคุณภาพก็ปรากฏชัดเจน ซึ่งล่าสุดเด็กนักเรียนระดับชั้น ม.๔ ลูกศิษย์ของคุณครูสุวิมลก็ประสบความสำเร็จคว้าเหรียญเงิน ประกวดการเขียนโปรแกรม e-book ในการแข่งขันศิลปหัตถกรรม นักเรียนภาคเหนือของ จ.เชียงราย ที่ รร.ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ อ.เมือง จ.เชียงราย?

นายเฉลิมศักดิ์ ศิริประภา ผู้อำนวยการโรงเรียน วัดถ้ำปลาวิทยาคม บอกเล่าถึงคุณครูสุวิมล ฟองแก้ว ยอดคนยอดครูอย่างชื่นชมและปลาบปลื้มใจ ด.ญ.จุฬารัตน์ สิทธิชัยวงศ์ นักเรียนชั้น ม.๓ รร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม ลูกศิษย์คนหนึ่งของครูสุวิมลเล่าว่า "ประทับใจครูสุวิมลมาก ตอนแรกที่เห็นครูมารายงานตัวเพื่อสอนนักเรียนก็รู้สึกตกใจและแปลกใจเพราะครู เป็นคนพิการไม่พร้อมทั้งแขนและขา แต่ก็ยิ่งแปลกใจมากกว่าเมื่อรู้ว่าครูจะสอนประจำวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งครูสุวิมลก็ใช้เท้าบังคับเมาส์ ใช้แขนเทียมพิมพ์หนังสือ อธิบายให้ความรู้ได้อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นที่ชินตาของนักเรียนไปแล้ว ทราบว่าครูเขาใช้เท้าซักผ้า รีดผ้า ก็อยากไปช่วยคุณครูที่บ้านพักครู แต่ครูสุวิมลบอกว่าครูช่วยตนเองโดยใช้เท้าทำงานในชีวิตประจำวันเป็นปกติได้ ดีแล้ว"

ด้าน นาง ขนิษฐา เครือจักร์ นักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต ๓ แสดงความคิดเห็นว่า "ตนเดินทางเข้าไปหาข้อมูลครูพิการเพื่อเป็นแบบอย่างของคนสู้ชีวิตและไปพบครู สุวิมลที่ รร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม ต.โป่งงาม อ.แม่สาย ได้พูดคุยกับครูและทราบประวัติมาว่าคุณพ่อ-คุณแม่เป็นชาวไร่ชาวนาไม่มีความ รู้อะไรแต่ครูสุวิมลซึ่งเป็นลูกคนเล็กในจำนวนพี่น้อง ๒ คนต้องพิการ ซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ได้รับกำลังใจและการสนับสนุนส่งเสริมจากผู้ปกครองจน เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่เป็นภาระของครอบครัวแถมยังเลี้ยงดูครอบครัวได้อีกด้วยจนดูเหมือนว่า สภาพร่างกายที่ผิดปกติมิใช่ปัญหาและอุปสรรคสำหรับคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนแต่อย่าง ใด" สำหรับผู้ที่อยากจะให้กำลังใจ และชื่นชมคุณครูพิการผู้ทำหน้าที่สอนคอมพิวเตอร์รายนี้สามารถติดต่อได้ที่ รร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย โทร. ๐-๕๓๗๐-๙๖๑๐ หรือ ๐๘-๑๐๓๓-๑๙๘๗ หรือจะเข้าไปที่โฮมเพจอันเป็นผลงานได้ที่ school.obec.go.th/ tpk_cr/

โดย เดลินิวส์ออนไลน์ โดย กริช มากกุญชร ๑๐ ส.ค. ๒๕๕๐ - 11 ส.ค. 50

ครูสาวพิการสู้ชีวิต..

สุดทึ่งครูสาว ชร.พิการ สอนหนังสือแบบไร้แขน-ขา ต่อสู้ชีวิตจนจบการศึกษาสุดท้ายสวรรค์ลิขิตให้สอบรับราชการครูแม่พิมพ์ของ ชาติท่ามกลางความภาคภูมิใจของญาติพี่น้อง

เมื่อวันที่ 17 ม.ค.51 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม หมู่ 5 ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีเสียงเล่าขานตำนานครูพิการ ต่อสู้ชีวิตและทำหน้าครูสอนหนังสือลูกศิษย์ ด้วยจรรยาบรรณของการเป็นครู โดยไม่ย่อท้อ ทำให้วันครูแห่งชาติ วันที่ 16 มกราคม 2551 มีนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว เข้าแสดงมุทิตาจิตแก่อาจารย์สาวรายดังกล่าว ทราบชื่อคือ นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว อายุ 29 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่บ้านเลขที่ 47 หมู่ 1 ต.สมัย อ.สบปราบ จ.ลำปาง ที่ยังคงทำหน้าที่สอนหนังสือตามปกติ

โดยสภาพครูหัวใจเหล็กรายนี้ มีร่างกายพิการโดยไม่มีแขนทั้งสองข้างและขาซ้ายเป็นโปลิโอ แต่ยังใช้ขาขวาทำหน้าที่แทนได้ดี ทำการสอนนักเรียนที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม สร้างความชื่นชมและสร้างตัวอย่างของความอดทนในการทำหนย้าที่อย่างไม่ย่อท้อ ต่อชะตากรรมชีวิต ทำให้บรรดาครูอาจารย์ และลูกศิษย์ ปลาบปลื้มใจอย่างมาก

นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว ตัวอย่างแม่พิมพ์ของชาติ กล่าวว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ จ.ลำปาง เป็นบุตรของคุณพ่อเล็ก คุณแม่สังวาล ฟองแก้วมีพี่น้อง 2 คน ครูสุวิมลเป็นคนเล็ก จบการศึกษามัธยมตอนปลายที่ อ. สบปราบ จ. ลำปางมีร่างกายพิการโดยไม่มีแขนทั้งสองข้าง พิการมาตั้งแต่กำเนิดและขาซ้ายเป็นโปลิโอ ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจนจบการศึกษา  เมื่อสอบถามการดำเนินชีวิตของครู ก็เล่าว่า พึ่งสอบเป็นครูที่โรงเรียนได้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2549
                   
เมื่อมีการประกาศรับสมัคร จึงรีบไปสอบแข่งขัน เพราะมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กที่อยากจะเป็นครู จนกระทั่งได้รับสอบผ่าน จึงได้เป็นครูสมใจฝัน โดยได้มาประจำการสอนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ทำการสอนนักเรียน ม.1 ม.5 ม.6 แผนกคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม ซึ่งตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ครู ไม่เคยย่อท้อ เพราะคิดว่าเป็นงานที่รัก ต้องการเห็นเยาวชนของชาติ มีการศึกษา จะได้ช่วยชาติพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญๆ ครูสาวหัวใจทรนง ยังกล่าวทิ้งท้ายเนื่องในวันครูแห่งชาติ ปี 2551 ว่า ขอให้เด็กนักเรียนทุกคนตั้งใจเรียน เพื่อเป็นอนาคตและเป็นพลเมืองที่ดีต่อสังคม.

ข่าวจาก เชียงใหม่นิวส์

เปิดหัวใจสู้ ?ครูสาวพิการแขน? ร.ร.ถ้ำปลาแม่สายเมืองพ่อขุนฯ


    ปลื้ม ครูสาวเมืองพ่อขุนฯ ที่ร่างกายพิการไร้แขนทั้ง 2 ข้าง แถมขาเป็นโปลิโอ แต่ ยังเดินหน้าสอนหนังสือแบบไร้แขน-ขา ตามความฝันวัยเด็ก พร้อมขอของขวัญวัน ครู 51 ให้เด็กทุกคนตั้งใจเรียน ผู้สื่อข่าวรายงาน จาก จ.เชียงราย วันนี้ (16 ม.ค.) ว่า ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลา วิทยาคม หมู่ 5 ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีเสียงเล่าขานตำนานครู พิการ ต่อสู้ชีวิตและทำหน้าครูสอนหนังสือลูกศิษย์ ด้วยจรรยาบรรณของความเป็น ครูโดยไม่ย่อท้อ คือ นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว อายุ 29 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ บ้านเลขที่ 47 หมู่ 1 ต.สมัย อ.สบปราบ จ.ลำปาง ทำให้วันครูแห่งชาติ วัน ที่ 16 มกราคม 2551 มีนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว พร้อมใจกันเข้าแสดง มุทิตาจิตแก่อาจารย์สาวรายดังกล่าว สภาพครูรายนี้มีร่างกายพิการโดยไม่มีแขน ทั้งสองข้าง และขาซ้ายเป็นโปลิโอ แต่ยังใช้ขาขวาทำหน้าที่แทนได้ดี ทำการสอน นักเรียนที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม สร้างความชื่นชมและสร้างตัวอย่างของ ความอดทนในการทำหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อต่อชะตากรรมชีวิต ทำให้บรรดาครู อาจารย์ และลูกศิษย์ปลาบปลื้มใจอย่างมาก นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว ตัวอย่างแม่ พิมพ์ของชาติ กล่าวว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ จ.ลำปาง เป็นบุตรของคุณพ่อ เล็ก คุณแม่สังวาล ฟองแก้ว มีพี่น้อง 2 คน ตนเองเป็นคนเล็ก จบการศึกษามัธยม ปลายที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง มีร่างกายพิการโดยไม่มีแขนทั้งสองข้างมาตั้งแต่ กำเนิดและขาซ้ายเป็นโปลิโอ ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ ลำปางจนจบการศึกษา เมื่อสอบถามการดำเนินชีวิต ครูสุวิมล ก็เล่าว่า เพิ่งสอบ เป็นครูที่โรงเรียนได้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2549 เมื่อมีการประกาศรับ สมัครจึงรีบไปสอบแข่งขัน เพราะมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กที่อยากจะเป็นครู จน กระทั่งสอบผ่านจึงได้เป็นครูสมใจฝัน โดยได้มาประจำการสอนในชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ทำการสอนนักเรียน ม.1 ม.5 ม.6 แผนกคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลา วิทยาคม ซึ่งตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ครูไม่เคยย่อท้อ เพราะคิดว่าเป็นงานที่ รัก ต้องการเห็นเยาวชนของชาติมีการศึกษาจะได้ช่วยชาติพัฒนาบ้านเมืองให้ เจริญ ครูสาวกายพิการยังกล่าวทิ้งท้ายเนื่องในวันครูแห่ง ชาติ ปี 2551 ว่า ขอให้เด็กนักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนเพื่อเป็นอนาคตและเป็น พลเมืองที่ดีต่อสังคม


ขอบคุณที่มา

http://www.thaigoodview.com/node/651
114  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) มีอายุยืน ก็ต้องสู้อย่าท้อถอย เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:27:41 am
ใครผ่านไปแถวๆ ซ.มหาดไทย รามคำแหง
อย่าลืมอุดหนุนคุณยายกันด้วยนะ
ขนมถุงละ 10 บาทเอง


คนสู้ชีวิต

 

 


 

 

 


ผมไม่รู้ว่าจะผิดกฎทางเวปหรือเปล่านะครับ แต่ลองโพสดู ถ้าไม่เหมาะสมหรือผิดกฎยังไงก็ขออภัยล่วงหน้าก็แล้วกันนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ยายคนนี้แกขายขนมอยู่แถวๆที่ผมพักอยู่แถวรามคำแหง อยู่ในซอยมหาดไทยครับ ยายอายุคงเยอะมากๆแล้ว ขนาดเดินแกยังเดินแทบไม่ค่อยจะไหวเลยครับ
แกค่อยๆย่องๆอย่างช้าๆ ช้าๆ เพื่อเข็บรถเข็ญของแกเพื่อมาขายของครับ
ยายแกขายขนมถุงละ 10 บาท ซึ่งคิดดูว่ากำไรแกคงจะได้ประมาณ 3-4 บาทต่อถุง
แล้ว ถ้าจะได้กำไรสัก 100 บาทเนี่ย แกต้องขายขนมวันละกี่ถุง
และในตำแหน่งที่แกขายนั้นคนเดินผ่านก็น้อยมากๆ ถ้าช่วงไหนผมมีเงินผมก็จะช่วยอุดหนุน
แกอยู่ประจำครับ บางวันก็ 40 บาทแล้วก็หยิบขนมยายมา 1-2 บางวันก็เอามา4ถุงจ่ายไป 100บาทอะไรประมาณนี้อะครับ
แกจะได้กำไรมากๆหน่อย ถ้าจะไม่เอาเลย เกรงว่าจะเหมือนไปดูถูกแกอะครับ
แต่ขนมที่แกขายอร่อยนะครับ กรอบอร่อย ล่าสุดก็วันที่ถ่ายรูปนี่แหละครับ

รูปแรกนั้น พอซื้อเสร็จผมก็บอกแก่ว่า เอ้ายาย ยิ้มหน่อยๆ แล้วแกก็ยิ้ม ........
เวลาแกยิ้มน่ารักเชียว ดูอบอุ่น ผมก็มีความสุขครับ

ส่วน รูปที่สองนี้ คือสีหน้าแกตอนปกติที่ไม่ได้ยิ้มครับ ท่าทางแกคงใช้ชีวิตแบบลำบากอย่างนี้มานานแล้ว อายุขนาดนี้ไม่น่าจะต้องออกมาตากแดด ตากลมเลยนะครับ น่าจะใช้ชีวิตสบายๆ
พักผ่อน เปิดพัดลมเย็นๆอยู่ที่บ้าน เล่นกับลุกกับหลาน

จริงๆผมไม่รู้ว่าฐานะแกเป็นยังไงนะครับ แต่ผมเดาเอาว่าคงไม่ดีนัก คิดดูว่าถ้าวันนึงแกขายของได้กำไรแค่ 30-40 บาทต่อวัน แล้วชีวิตแกจะลำบากขนาดไหน

ผม เลยคิดว่าถ้าตัวผมคนเดียวช่วยยายคงไม่ไหวแน่ๆ ผมคิดมานานแล้ว ว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยยายได้ อยากให้แกมีเงินไว้ใช้จ่าย อยากกินอะไรอร่อยๆก็จะได้ซื้อกิน ถ้าแกขายดีดี
ก็ต้องมีเงินเก็บ วันไหนไม่สบาย ก็จะได้หยุดพัก ไม่ต้องฝืนมาขายของ

ผมเลยคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือว่าผมอยากให้ท่านๆทั่งหลาย
ถ้า ผ่านมาแถวรามคำแหง ก็แวะมาอุดหนุนแกหน่อยพอจะได้ไหมครับ ซื้ออะไรอร่อยๆมาฝากแกบ้าง หลายๆคนช่วยกันคนละนิดคนละหน่อย ผมว่าแกคงจะขายดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆครับ หรือถ้าคุณอยู่ไกล ไม่สามารถมาอุดหนุนแกได้
ก็ช่วยด้วยการไปโพสเรื่องของยาย ในเวปต่างๆที่คุณเข้าอยู่เป็นประจำ หรือส่งเมล์ไปให้คนที่คุณรู้จัก ผมเชื่อว่าปราฎิหารมีจริงครับ

คุณอยากเห็นรอบยิ้มของยายเหมือนภาพแรกไหมหละครับ หวังว่าคงได้รับความร่วมมือจากทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ ขอบคุณครับ

ใจจริงผมอยากโพสเรื่องนี้ที่เวปพันทิพย์ แต่ผมโพสไม่เป็น ผมคิดว่าน่าจะมีคนอ่านเยอะ
จะได้ช่วยๆกันบอกต่อๆกันอะครับ ยังไงรบกวนหน่อยนะครับ
คิดว่ายายคนนี้เป็นยายจริงๆของเราซิครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ

เดี๋ยวผมจะลงรูปแผนที่ ที่ที่ยายเข็ญรถเข็ญมาขายประจำให้นะครับ เผื่อท่านใดว่างๆและไปแถวนั้นจะได้ไปหายายถูก ช่วยๆอุดหนุนกันหน่อยครับ ขอบคุณแทนคุณยายล่วงหน้านะครับ
สำหรับน้ำใจที่ทุกท่านกำลังจะมอบให้คุณยาย ขอบคุณครับ

ขอบคุณที่มา
http://nicky1544.storythai.com/200905/fw
115  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) สู้เถิดเพราะชีวิตยังมีโอกาส อย่าท้อถอย เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:25:51 am
คนสู้ชีวิต พิการกาย แต่ใจไม่ไร้รัก

            สอง ผัวเมียพิการท่อนล่าง นักสู้ชีวิตแห่งปากน้ำโพ ชีวิตระทมทุกข์ ถูกผู้คนดูถูกเอารัดเอาเปรียบ หันเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าส่งเสียลูกสาววัย 8 ขวบ ชนิดคนมือเท้าดียังอาย พบชีวิตรักดั่งนิยาย หลังประสบอุบัติเหตุเสียขา หมดอาลัยถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กระทั่งมาพบรักกันที่ศูนย์สิรินธร ก่อนจะสานสัมพันธ์ฝ่าฝันอุปสรรค์ ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากคนรอบข้าง ลบคำสบประมาทหวั่นลูกเกิดมาเป็นภาระสังคม

                ชีวิต คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ เอสลัด พัฒนบุตร กับ ณัฐทัตภัทร์ ศรีภูธร สองสามีภรรยาผู้พิการตระหนักในสิ่งนี้ดี ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 48/3 หมู่ 1 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นอาคารพาณิชย์ชั้นครึ่ง ห้องมุมสุดซ้ายมือเปิดเป็นร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า “เอ อิเลกทรอนิกส์”

ขณะที่ “คม ชัด ลึก” ซึ่งได้รับแจ้งถึงเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของคู่รักพิการเดินทางมาพบนั้น ทั้งคู่กำลังขมักเขม้นอยู่กับการเคลื่อนย้ายทีวีสี 29 นิ้ว ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทั้งสองมีความสูงน้อยกว่าทีวีเครื่องที่กำลังจะย้ายเสียด้วยซ้ำ แต่เขาและเธอก็ไม่เคยร้องขอให้ช่วยแม้สักคำเดียว ตรงกันข้ามกลับเร่งมือเพื่อให้งานเสร็จสิ้นเสียโดยเร็ว

เอส ลัด พัฒนบุตร หรือเอ วัย 38 ปี พื้นเพเป็นคน จ.กระบี่ ฐานะค่อนไปทางยากจน ทำงานรับจ้างมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งของปลายปี 2527 ขณะเดินทางไปทำงานกับเพื่อนคู่หูที่ทำหน้าที่ขับรถเกิดหลับใน รถเสียหลักประสานกับรถบรรทุก 10 ล้อ เป็นเหตุให้เขาต้องตัดขาทั้งสองข้างตั้งแต่โคนขาลงไป นับจากนั้นเป็นต้นขาเขาก็ดำเนินชีวิตอยู่ในฐานะผู้พิการเต็มขั้น

                ขณะ ที่ ณัฐทัตภัทร์ ศรีภูธร หรือภัทร์ อายุ 36 ปี เป็นคน จ.นครสวรรค์ ปี 2534 ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปเรียนหนังสือ เธอถูกรถบรรทุกพ่วงเกี่ยวล้มและทับขาทั้งสองข้าง จนต้องตัดขาทิ้งไม่แตกต่างไปจากสามี เด็กสาววัยเพียง 19 ปี ต้องหยุดเรียนและเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นอกจากจะรักษาอาการทางกายแล้วก็เพื่อเยียวยาความบอบช้ำทางจิตใจยาวนานถึง 5 ปี โดยไม่ออกไปไหนเลยนอกจากโรงพยาบาลเท่านั้น

                แต่ ดูเหมือนโชคชะตาจะลิขิตชีวิตของทั้งคู่เอาไว้แล้ว เมื่อเอสลัดตัดสินใจเข้ามาทำกายภาพบำบัดและทำขาเทียมที่ศูนย์สิรินธรเพื่อ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับณัฐทัตภัทร์เริ่มทำใจได้เข้ามาที่ศูนย์แห่งนี้เมื่อ ปี 2539 ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบกันเป็นครั้งแรก

                “พอผมเจอภัทร์ก็เริ่มรู้สึกว่าผมรักผู้หญิงคนนี้และต้องการเธอมาเป็นคู่ครอง” เอสลัดเล่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ

                นับ ตั้งแต่เอรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในเขาก็สานสัมพันธ์กับภัทร์เรื่อยมาจน พัฒนากลายเป็นความรัก มีการให้กำลังใจซึ่งกันและกันยามที่ท้อแท้ กระทั่ง 1 ปีผ่านไป เอจึงตัดสินใจสมัครสอบไปที่มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีช่างไฟฟ้า เพื่อพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นคุณค่าของคนพิการ ที่สำคัญคือเพื่อให้ชีวิตคู่ของเขาและภัทร์ที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า สมบูรณ์แบบ

                ปี 2541 เอเดินทางไปเรียนที่ชลบุรีเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ระหว่างนี้เขายังคงติดต่อกับภัทร์ตลอดเวลา ในยุคที่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคม แต่เอกลับใช้วิธีง่ายๆ และสุดแสนจะคลาสสิกขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความโรแมนติก นั่นคือการส่งจดหมายสัปดาห์ละ 1-2 ฉบับ

                 ความ สัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ภายใต้การจับจ้องของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่ต่างก็เป็นห่วงและกังวลถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ด้วยกริ่งเกรงว่าหากเกินเลยไปมากกว่านี้ เนื่องจากหลายคนอาจคิดว่า ทั้งคู่เป็นคนพิการและที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีเท่าที่ ควรจะเป็น หากอยู่กินด้วยกันแล้วมีลูกขึ้นมาก็รังแต่จะเป็นภาระสังคม

                ทว่า ท่ามกลางการทักท้วงด้วยความเป็นห่วงของคนรอบข้างก็ไม่สามารถทัดทานความรัก ของหัวใจทั้งสองดวงนี้ได้ ปี 2543 เอและภัทร์จึงเข้าสู่พิธีวิวาห์และแยกครอบครัวออกมาทำมาหากินตามลำพัง แม้จะพบพานกับความยากลำบากสักเพียงใด ทั้งคู่ก็ฝ่าฝันกันมาได้และพิสูจน์ให้คนรอบข้างได้ประจักษ์แก่ตา

                “พอ เราแยกครอบครัวออกมาตอนนั้นยังไม่มีงานทำ ฉันก็ทำอะไรไม่เป็น ฉันไม่เคยลำบาก พ่อแม่ดูแลเป็นอย่างดี ก็ได้แต่โทรศัพท์เข้าไปสมัครงานให้พี่เอตามร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่พอเขารู้ว่าเราพิการก็ปฏิเสธทุกรายไป เราลำบากมาก เดือดร้อนมาก ไม่มีเงิน แต่เราทั้งสองก็ตั้งใจไว้แล้วว่า แม้จะอดตายก็ไม่ยอมไปขอทานเด็ดขาด” ภัทร์ เล่าถึงความขมขื่นเมื่อหนหลัง

                ความ ทุกข์อยู่กับเราไม่นานหากเราไม่จมจ่อมอยู่กับมัน เอก็เช่นกันไม่นานเขาก็ได้ทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เอต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้เถ้าแก่เห็นว่าเขาไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นเลย แม้ว่าร่างกายจะพิการก็ตามเถอะ

                เอ ต้องปั่นรถวีลแชร์ไปทำงานวันละ 1 กิโลเมตรอยู่นานกว่า 1 ปี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ค่าจ้างที่น้อยแสน้อยถูกหักไปกับค่าอื่นๆ นักต่อนัก บางเดือนก็ไม่ได้รับเงินค่าจ้างเลย ในขณะที่เขามีภาระค่าใช้จ่ายอยู่ล้นมือ ไหนจะค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีค่าตรวจครรภ์สำหรับภัทร์ที่กำลังจะให้กำเนิดพยานรักในอีกไม่กี่เดือน ข้างหน้านี้

                สุด ท้ายเอเลยตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าของตัวเองในปี 2543 และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของคู่รักพิการ ทุกวันนี้น้อยคนนักใน อ.เมืองนครสวรรค์จะไม่รู้จัก “เอ อิเลกทรอนิกส์”

                “ตอน ที่พี่เอลาออกจากงานมานั้นไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว เราตระเวนหาห้องแถวเปิดร้าน โชคดีมีคนเห็นใจให้เราเช่าโดยยังไม่เก็บค่าเช่า ประกอบกับเถ้าแก่ที่ขายอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยอมให้เครดิตซื้ออะไหล่เลย ช่วยให้มีวันนี้” ภัทร์เล่า

                ปัจจุบัน ร้านเอ อิเลกทรอนิกส์ เต็มไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิดตั้งอยู่เรียงราย แสดงให้เห็นถึงฝีมือและความไว้เนื้อเชื่อใจของช่างผู้เป็นเจ้าของร้าน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้แฝงความจริงอันแสนเจ็บปวด ไม่เฉพาะกับเจ้าของร้านเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ด้วย เนื่องจากพิษเศรษฐกิจและวิกฤตราคาน้ำมัน ทำให้ลูกค้าไม่มีเงินมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้

                “ลูกค้า ไม่มีเงินมารับ ผมก็ไม่คิดจะขาย ถึงแม้จะได้รับผลกระทบ ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไหล่ ค่าอยู่ ค่ากิน ค่าเล่าเรียนของลูกสาวที่กำลังโตขึ้นทุกวัน” เอ เล่าถึงปัญหาที่พานพบ แต่เขาและภรรยาก็ยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า เมื่อหันไปมอง ด.ญ.ปรีญาภัสสร์ พัฒนบุตร หรือน้องอารัว ลูกสาววัย 8 ขวบ ที่นั่งอยู่ข้างๆ

                ปัจจุบัน น้องอารัวเรียนอยู่ที่ ร.ร.สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ชั้น ป.2 เด็กหญิงเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพ่อแม่มีความผิดปกติไปจากคนทั่วไป แต่ในความแตกต่างบนพื้นฐานของคำว่าพิการนั้น กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเป็นปมด้อยหรือน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ตรงกันข้ามความรักความห่วงหาอาทรที่บุพการีทั้งสองมีให้เธอกลับทำให้เด็ก หญิงรักและเทิดทูนพ่อแม่มากยิ่งขึ้น

                “หนู ไม่เคยอายเพื่อนๆ หรอกค่ะ แล้วเพื่อนๆ ก็ไม่เคยล้อเลียนถึงปมด้วยที่หนูมีด้วย ทุกคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคุณครูให้ความรักความเมตตาหนูมาก หนูรู้ว่าพ่อกับแม่เหนื่อยมาก จะทำอะไรก็ลำบากไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขา ตอนนี้หนูอยากโตไวๆ จะได้ทำงานหาเงินมาช่วยพ่อกับแม่ ตอนนี้หนูก็ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ไม่ดื้อไม่ซน” อารัว กล่าวฉะฉานเกินเด็กวัยเดียวกัน

                ด้วย ความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงนี้เอง น้องอารัวได้แสดงให้พ่อกับแม่เห็นด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด เมื่อผลการเรียนออกมาดีชนิดโรงเรียนต้องมอบทุนการศึกษาให้ในฐานะเด็กที่มีผล การเรียนดีแต่ยากจน

                “คม ชัด ลึก” บอกลาสามพ่อแม่ลูก เมื่อหันกลับไปจึงเห็นภาพแห่งความประทับใจอีกครั้ง เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยๆ ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เอสลัดกับณัฐทัตภัทร์รู้สึกวิตกกังวลในวันที่เธอลืมตา ดูโลก ก่อนจะกลายมาเป็นความภาคภูมิใจในปัจจุบัน กำลังช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้าน หุงหาข้าวปลาอาหาร และรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลูกค้านำมาซ่อม ซึ่งเป็นภาพที่ผู้คนละแวกนี้พบเห็นจนชินตา

                ส่วน เอนั้นขอตัวเดินตรงไปที่รถกระบะนิสสัน เอ็นวี ที่ดัดแปลงขึ้นมาสำหรับคนพิการขาเช่นเขาโดยเฉพาะ พาหนะคู่ใจที่พาเขาและครอบครัวไปไหนต่อไหน รวมถึงเดินทางไปรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดมาซ่อม พาหนะที่เกิดจากความคับแค้นใจที่เขาได้รับจากรถรับจ้างที่ขูดค่าโดยสายเสีย จนไม่เหลือกำไรจากการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อวันวาน

ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/Sp-Report/2008/07/31/entry-1
116  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) ถ้าจะท้อใจอะไร ก็ดูคนที่ไม่พร้อม เขายังสู้ สิ เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:23:10 am
ถ้า วันไหน เราเศร้ามากๆ ... ก็ให้มองดูคนพิการเอาไว้นะ พวกเค้าพยายามต่อสู้ชีวิต เพื่อที่จะอยู่ได้ในสังคมของคนปกติ ทั้งๆ ที่บางคนเค้ามีความยากลำบากมากมายที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ได้ คนพิการที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร และ ไม่ท้อแท้ต่อชีวิต เค้าจะมีความสุข และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากมาย มีคนพิการอีกมากมายที่เค้าสู้ชีวิต และ ประสบความสำเร็จในหลายๆ สาขาอาชีพ มีครอบครัวที่มีความสุขอีกด้วย

แล้วทำไม ... คนปกติธรรมดาอย่างเราๆ จะไม่พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาของเราอย่างสร้างสรรค์ต่อสังคมและตัวเองบ้าง ทำไมจึงชอบที่จะคิดแต่ในทางลบให้กับชีวิต ชีวิตก็ตกต่ำไปตามที่คิดได้ทุกวัน เราควรซื่อสัตย์กับสิ่งที่เรายึดมั่น ความแข็งแกร่ง และ พลังในการมีชีวิต และ ภาพที่เรานึกฝันอยากจะเป็น เกิดจากสิ่งต่างๆ ที่เราให้คุณค่าอย่างมุ่งมั่น และ จริงจัง

ทุกชีวิตในโลกนี้ ... มีความสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
ในวิกฤติย่อมมีโอกาสอื่นๆ รออยู่เสมอ ลองตั้งใจดูดีๆ นะ

 

 

พาไปดูชีวิตของน้องหมวยเพื่อจะปลุกแรงสู้ได้บ้าง..........

เรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิดเห็นเคยโพสต์ไปกระทู้ เรื่องหนึ่งแล้ว











117  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) นุ่มพิการหัวใจนักสู้ "จรินทร์ วงษ์ษา" ปลูกผักขายเลี้ยง เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:18:40 am
หนุ่มพิการหัวใจนักสู้ "จรินทร์ วงษ์ษา" ปลูกผักขายเลี้ยงแม่
คนสู้ชีวิต...โดย ศิริลักษณา
ที่ล่องลอยในสายชล         บางครั้งมีคลื่นลม     บ้างสงบพบสุขใจ   
บางลำต้องอับปาง   บางลำช่างแกร่งกว่าใคร
ล่องลอยไปดั่งใจ     ถึงฝั่งได้โชคดี

   ฉบับนี้เป็นเรื่องราวของ หนุ่ม หรือ จรินทร์   วงษ์ษา วัย 45 ปี ที่เกิดมาโชคร้าย เป็นเหยื่อของโรคโปลิโอ ขาลีบจนเดินไม่ได้ ต้องใช้แขนช่วยพยุงตัวเวลาไปไหน แต่เขาไม่เคยย่อท้อนอนรอโชคชะตา ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาชีวิต ด้วยการปลูกผักสวนครัว ขนใส่รถเข็นนำไปขายหาเงินเลี้ยงตัวและแม่ได้อย่างน่าชืนชม
   ณ บ้านไม้มุงสังกะสีที่เก่าซอมซ่อ ปลูกอยู่บนคันดินเหนือร่องน้ำ ริมคลองวัดนาวงศ์ ตำบลหลักหก อ.เมือง ปทุมธานี หนุ่มกำลังโยกรถเข็นกลับเข้าบ้าน หลังจากออกไปตระเวนขายผัก ในหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ไม่ไกลจากที่เขาพักเท่าใดนัก
   “หนุ่ม” บอกกับเราว่า “ครอบครัวมีฐานะยากจน ยึดอาชีพทำนาและปลูกผักสวนครัวเลี้ยงชีพ โดยเช่าที่ดินเขา มีพี่น้องรวมทั้งหมด 7 คน เกิดและเติบโตอยู่แถววัดนาวงศ์ ปทุมธานี ตอนเด็กๆ ก็มีร่างกายปกติ อยู่มาวันหนึ่งก็รู้สึกเจ็บขา ปวดหัวเข่า จนเดินไม่ได้ แม่ต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็เจาะหัวเข่าเพื่อหาวิธีรักษา ผมต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในโรงพยาบาล    เหมือนเป็นบ้านไปเลย สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาได้ หมอเขาวินิจฉัยว่า ผมเป็นโปลิโอ”

   หลังออกจากโรงพยาบาล เขาก็อยู่กับแม่มาตลอด จากนั้นไม่นานขาของหนุ่มก็เริ่มลีบเล็กลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หดเหลือเพียงนิดเดียว ทำให้เขาเดินไม่ได้ ต้องใช้พลังจากแขนพยุงและพาตัวเองไปตามที่ต่างๆ ทำให้การเดินทางไปไหนต่อไหนเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาต้องหารถ 3 ล้อ มาเป็นพาหนะคู่ใจ
ก่อนหน้าจะมาปลูกผักขาย เคยทำอาชีพอื่นก่อนไหม?
“ผมก็ไปขายของชำอยู่กับพี่ชาย แถววัดเขียนเขต คลอง 3 ปทุมธานี จนกระทั่งพ่อผมเสีย เขาโดนรถชน ตอนนั้นพ่ออายุ 54 ปี ผมจึงตัดสินใจกลับมาอยู่กับแม่เพราะแม่ไม่มีใครดูแล”
ตอนนี้ปลูกอะไรบ้าง?
    “ก็ปลูกทุกอย่าง มะพร้าว ผักบุ้ง กวางตุ้ง เอามามัดเป็นกำ แล้วก็ใส่รถเข็นขาย ก็ช่วยกันปลูกและดูแล 3 คน วันนี้ผักที่ไปขายก็มี ผักบุ้ง ชะอม มีกุ้ง แฟง แตงกวา ไปขายในหมู่บ้านอมรพันธ์ อยู่ห่างจากที่นี่ 2 กิโล” ส่วนภารกิจที่ปฏิบัติทุกวันของหนุ่มก็คือ ตื่นตอนตี 4 อาบน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จ พายเรือไปเก็บผัก ซึ่งตอนนี้มีทั้ง คะน้า ผักบุ้งจีน ผักกาดขาว กับกวางตุ้ง นำมาล้างทำความสะอาด มีแม่กับหลานสองคนมาช่วยคัดแยกและมัดผักเป็นกำใส่รถเข็นไปขายให้ลูกค้า ช่วง 9 โมงเช้า ถ้าฝนตกวันไหนเก็บผักไม่ทัน ก็ไม่ไปขาย หรือไม่ก็ออกตอนบ่าย ถ้าวันไหนเก็บผักได้เยอะ ก็ได้ตังค์เยอะ เพราะขายเพียงกำละ 5 บาท กำละ 2 บาท
ไปขายตรงไหนบ้าง?
    “ก็มี อมรพันธ์ ดาวทอง แล้วก็อู่เจริญ ถ้าของหมดไปไม่ถึง ก็อยู่แถวอมรพันธ์กับดาวทอง ถ้าเข้าสามซอยบางทีก็หมด” แล้วต้องซื้อยาฆ่าแมลงไหม? “แทบจะไม่ใช้เลย ผมจะใช้พวกน้ำหอยเชอร์รี่ สะเดา ตะไคร้ เอามาหมักรวมกันทำปุ๋ย ฉีดไล่แมลงปลอดภัยทั้งคนกิน คนใช้ สูตรก็คิดเอง ทำเอง ลองไปฉีดดูก่อนว่าได้ผลไหม ก็ได้ผลบ้าง แต่ว่าไม่เต็มที่ อันไหนที่แมลงกินก็ปล่อยเขากินไป รายได้ก็พออยู่ได้ครับ แบ่งให้แม่ใช้ ซื้อกับข้าวกับปลา ผมมีหน้าที่ทำแล้วก็ออกไปขาย แล้วก็มีหลานอีกคนมาอาศัยอยู่ด้วย คนนี้ก็เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่เขาแยกทางกัน ส่วนตัวเล็กๆ นั่นเป็นลูกของน้า แฟนเขาเสีย มาขออาศัยนอน พอเช้าก็ไปทำงาน เป็นแม่บ้าน”
    วิถีชีวิตทุกวันนี้ของหนุ่มเป็นไงบ้าง? “ผมเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ดีกว่า รู้สึกชีวิตดีขึ้น ได้ออกกำลังกาย ได้สงบจิตใจ เช้าก็ตื่นมาเก็บผัก เข็นเอาไปขาย เสร็จแล้วก็กลับมากินข้าว ตกบ่ายก็พายเรือออกไปดูแลผักที่ปลูก พอค่ำก็กลับไปนอน มีความสุขดี มีวิทยุนอนฟังเพลงลูกทุ่ง ผมพอใจแล้วครับ คนสมัยนี้ไม่สู้ชีวิต อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ฆ่าตัวตาย ผมว่าไร้สาระ อย่างผมนี่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ผมไม่เคยท้อแท้สิ้นหวัง
     อยากเป็นกำลังใจ หรืออยากจะช่วยเหลือนักสู้อย่าง “หนุ่มจรินทร์” โทร.ไปหาเขาได้ที่หมายเลข 086-903-3451

ขอบคุณที่มา

http://www.lifenewsonline.com/index.aspx?ContentID=ContentID-090917175021026
118  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:15:03 am
           ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

           1.ธรรมชาติของมนุษย์คือ  มีความโลภ   มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด   โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น
             2.ความรักความเข้าใจ   ความเห็นอกเห็นใจกัน     เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข
             3.ความมีน้ำใจ  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   ต่อเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีที่ควรกระทำ
             4.การใจเร็วด่วนได้   หรือการชิงสุกก่อนห่าม  เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เราพบกับความลำบากในชีวิต
             5.ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนไทย
             6.คนเราถ้ามีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะทำอะไร  ก็จะสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งนั้นๆได้
             7.คนเราจะเห็นใจกันหรือรู้ว่าใครคิดอย่างไรกับเราก็ต่อเมื่อมีความยากลำบากหรืออุปสรรคเกิดขึ้น
             8.ความผูกพันระหว่างพ่อ  แม่   ลูก  เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งยากที่จะตัดขาด และ พ่อ แม่  พร้อมที่จะให้อภัยลูกเสมอ
             9.ความอดทน    ความขยันหมั่นเพียร   รวมทั้งการเป็นคนที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี      จะนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จในชีวิต










                                         รายงาน
เรื่อง           ชีวิตต้องสู้


เสนอ         

จัดทำโดย            นาย    ภุมริน         วุฒิไตรรัตน์        3800382
119  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:14:08 am
                                       ชีวิตต้องสู้

เนื้อเรื่องย่อ
                 ชีวิตต้องสู้เป็นเรื่องราวชีวิตของครอบครัวๆหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกอีกสองคน     ซึ่งพ่อมีชื่อว่าเชษฐ์     แม่มีชื่อว่าไพลิน     ส่วนลูกคนโตชื่อเมตต์
และคนเล็กชื่อสายชล     ทั้งหมดอาศัยอยู่ ณ ไร่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดและในตอนนี้
ข้าวโพดกำลังออกฝักมากมาย   แต่บริเวณไร่รอบๆไร่ของครอบครัวนี้ได้ถูกผู้มีอิทธิพล
กว้านซื้อที่ดินไปจนหมดแล้วยังเหลือก็แต่ไร่ของเชษฐ์นี่แหละ    ทางเสี่ยตงผู้มีอิทธิพลก็
ได้ส่งลูกน้องมาขู่หลายต่อหลายครั้งแต่เชษฐ์ก็ไม่ยอมตกลงเนื่องจากเป็นไร่ที่เขาได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างมา     แต่ต่อมาพอหนักๆเข้าเขาก็ห่วงความปลอดภัยของภรรยาและลูกๆจึงตัดสินใจขายให้เสี่ยตง       วันนัดรับเงินเสี่ยตงเล่นไม่ซื่อโดยการส่งลูกน้องมาดักปล้นเงินของเชษฐ์       ทำให้เชษฐ์และครอบครัวต้องอพยพหนีตายเข้าไปในป่าอย่างไม่คิดชีวิต      หนีเข้าป่ามาหลายวันจนได้มาพบกับพรานแสงพรานผู้ใจดี   เชษฐ์ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นให้พรานแสงฟัง     พรานแสงก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ
จึงได้แนะนำให้เชษฐ์และครอบครัวไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง    ชื่อหมู่บ้านไพศาลี  แต่ก็ต้องเดินทางอยู่หลายวันกว่าจะมาถึง        ณ    ที่หมู่บ้านแห่งนี้เองที่เขาใฝ่ฝันว่าจะมา
ก่อร่างสร้างตัวแทนที่เดิมที่เคยอยู่    โดยเขาให้สัญญากับไพลินภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ
เขาว่าจะต้องเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆของเขาให้อยู่ดีมีสุข    เพราะตลอดทางที่หนีตายกันมานั้นไพลินไม่เคยปริปากบ่นหรือทำอะไรให้เขาไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย    แถมยังคอยให้กำลังใจเชษฐ์ตลอดเวลา     จึงทำให้เชษฐ์รู้สึกรักใคร่และห่วงใยไพลินมาก และรู้สึกว่าเขาเป็นหนี้เธอมาก   จึงอยากที่จะตอบแทนเธอด้วยการทำให้เธอมีความสุขมากๆ
                         แต่เดิมที่เดียวนั้นไพลินมิใช่ชาวไร่แต่เป็นถึงลูกนายทหารซึ่งเชษฐ์ก็เป็นทหารรับใช้ในบ้านของพ่อของไพลินต่อมาทั้งคู่เกิดรักใคร่ชอบพอกันจึงได้พากันหนีมาเพราะรู้ว่าถ้าพ่อแม่ของไพลินรู้ก็คงไม่ได้สมรักกันแน่นอน      แต่ตลอดเวลาเชษฐ์ก็ดูแลให้ความสุขกับเธอเป็นอย่างดีเพียงแต่ว่าฐานะยังไม่ดีขึ้นเท่านั้นเอง




เวลาล่วงเลยมาหลายวันเชษฐ์และครอบครัวก็มาถึงยังหมู่บ้านไพศาลีและได้ซื้อที่ดิน
แปลงหนึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่ดีนักเนื่องจากที่ดินยังรกอยู่มากแต่เชษฐ์เป็นคนหนักเอาเบาสู้อยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา     เขาค่อยๆถากถางหญ้าและสิ่งที่รกในที่ดินของเขาทุกๆวันจนเตียนโล่ง     แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกหนามตำเท้าเลือดออกมากซึ่งตัวเขาคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ   แต่ชาวบ้านบอกว่าที่ดินตรงที่เขาซื้อไว้นั้นเจ้าที่แรงนัก  ใครมาอยู่ก็จะมีอันเป็นไป    แต่เชษฐ์ก็ไม่เชื่อแต่ก็มิได้ลบหลู่เขาตั้งศาลเพื่อเป็นการขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง      หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
                      ที่หมู่บ้านแห่งนี้เมตต์และสายชลได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้านแต่
เนื่องจากว่าตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าหนาวเด็กๆจึงหนาวกันมากจนครูต้องสั่งให้เอาผ้าห่มไปโรงเรียนด้วย      เมตต์เป็นเด็กที่มีน้ำใจเขามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนขาเป๋เขาคอยช่วยเหลือเพื่อนคนนี้อยู่เป็นประจำ         อาชีพส่วนใหญ่ของคนในหมู่บ้านไพศาลีนี้ก็คือการ
เข้าป่าไปหาของป่ามาขายยิ่งเข้าไปในป่าลึกก็จะยิ่งได้ของที่ดีมีราคามาขาย   แต่ก็ต้องเสี่ยงกับอันตรายจากสัตว์ร้าย    โดยเฉพาะกับเสือซึ่งถือว่าอันตรายมากที่สุด     วันหนึ่ง
มีคนหาของป่ามาบอกผู้ใหญ่บ้านว่า   เพื่อนของเขาที่เข้าไปหาของป่าด้วยกันแต่แยกกันเนื่องจากเพื่อนของเขาเข้าไปในที่ที่ลึกกว่าเพื่อที่จะไปหาน้ำผึ้งมาขาย แต่ยังไม่กลับออกมา      ผู้ใหญ่จึงเกณฑ์คนออกไปช่วยกันตามหาซึ่งเชษฐ์ก็ไปกับเค้าด้วย  ออกตามหากันอยู่สองวัน    แต่พอพบก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเป็นดังที่ชาวบ้านคาดกันไว้ไม่มีผิดว่าชายคนนี้ถูกเสือกัดตาย       ทุกคนต่างเสียใจและจัดการเผาศพของชายผู้นี้ในป่าเนื่องจากสภาพศพแหลกเละไม่มีชิ้นดีจึงนำกลับไปยังหมู่บ้านไม่ได้        ต่อจากนั้นมาไม่นานเสือตัวดังกล่าวก็ออกอาละวาดที่หมู่บ้านอีก    จึงทำให้ผู้ใหญ่ต้องระดมคนออกตามล่าและก็จัดการฆ่าเสือตัวนั้นได้ในที่สุด
                          ระหว่างนี้ไร่ของเชษฐ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเขาปลูกผลไม้และพืชไร่หลายๆอย่าง   เช่น     มะม่วง      มะขาม      ข้าวโพด         กล้วย    เป็นต้น    โดยเข้าไปซื้อพันธุ์มาจากในเมือง           ด้วยความพยายามและขยันอดทนของเขาทำให้พืชพันธุ์ออกดอกผลเป็นที่น่าพอใจ       และด้วยความเป็นคนมีน้ำใจเขามักจะนำของจากไร่ไปแบ่งปันให้เพื่อนบ้านอยู่เสมอๆ

                      ต่อมาเขาได้ตั้งชื่อไร่เพื่อเป็นของขวัญให้กับภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของเขาว่า
บ้านไร่ไพลิน       ไพลินภูมิใจในตัวสามีของเธอมากดีใจที่เธอดูและเลือกคนไม่ผิด   เชษฐ์เคยดีกับเธออย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้นเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแล้วเชษฐ์เคยพูดหรือสัญญาอะไรกับเธอไว้ก็ทำได้ดังปากว่าทุกอย่าง        ต่อมาเชษฐ์ได้ข่าวพรานแสงที่เคยช่วยเหลือตนไว้เมื่อครั้งหนีตายจากเสี่ยตงก็ได้ให้ความช่วยเหลือเจือจานตามสมควร
เชษฐ์และครอบครัวมีฐานะดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ       และด้วยความมีน้ำใจจึงเป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้าน     ใครมีปัญหาอะไรถ้าช่วยได้ขอให้บอกเชษฐ์ยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจ       
                        และแล้วข่าวดีที่สุดที่ทุกคนในหมู่บ้านได้ยินดีกันถ้วนหน้าก็คือ  สมเด็จย่าจะเสด็จมาเยี่ยมเยือนพร้อมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อมารักษาผู้ที่ป่วยไข้ในหมู่บ้าน     ชาวบ้านต่างพากันตื่นเต้นดีใจที่จะได้เข้าเฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด  ซึ่งรวมทั้งครอบครัวของเชษฐ์ด้วยซึ่งเชษฐ์เตรียมผลไม้หลายอย่างไว้ถวายท่าน     เมื่อถึงวันที่สมเด็จย่ามาถึงทุกคนต่างเต็มไปด้วยความปิติยินดี    เชษฐ์และครอบครัวได้ถวายผลไม้ให้กับสมเด็จย่าท่านยังทรงตรัสว่า      ผลไม้ของเจ้าช่างสวยงามเหลือเกินอีกหน่อยคงทำกำไรให้ผลตอบแทนความมุ่งมั่นพยายามของเจ้าเป็นแน่     หลังจากรับเสด็จกันเสร็จเรียบร้อยหน่วยแพทย์ก็ทำการรักษาชาวบ้านที่ป่วยไข้       เชษฐ์และครอบครัวรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก          ไม่เพียงความสุขเท่านี้ที่เชษฐ์และครอบครัวได้รับเพราะว่าหลังจากรับเสด็จเสร็จเรียบร้อยไพลินได้เดินมาหยุดที่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง   และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น    โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ตามเสด็จมาด้วยเดินตรงมาที่ไพลิน     ไม่น่าเชื่อว่านายทหารผู้นั้นก็คือบิดาของเธอนั่นเองทั้งสองต่างโผเข้ากอดกันและต่างก็ร้องไห้ออกมาด้วยกันทั้งคู่      หลังจากนั้นก็ถามถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่าเป็นสุขทุกข์เพียงใดบ้าง           ไพลินพาพ่อของเธอไปหาเชษฐ์     เชษฐ์ตกใจมากแต่ก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวคำขอโทษเป็นการใหญ่ผู้เป็นพ่อตาไม่ถือโทษโกรธเคืองอีกต่อไป
โดยบอกว่า     เธอได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่าเธอรักลูกสาวฉันจริง       และก็ขอให้รักและดูแลเค้าตลอดไปด้วย        หลังจากนั้นขบวนของสมเด็จย่าก็เสด็จกลับไปพ่อของไพลินก็ตามเสด็จไปด้วยแล้วสัญญาว่าจะกลับมาเที่ยวอีกพร้อมทั้งจะพาแม่ของไพลินมาด้วย
                        หลังจากนั้นไม่นานคุณตาและคุณยายของเมตต์และสายชลก็กลับมาที่บ้านไร่อีก      ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีต      และพูดถึงเรื่องในอนาคตว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป       ตายายชวนเมตต์และสายชลไปอยู่กับท่านที่กรุงเทพแต่เด็กทั้งสองอยากที่จะอยู่กับพ่อแม่มากกว่า     สรุปก็คือถ้าคุณตาคุณยายว่างเมื่อไหร่ก็จะมาเยี่ยมหลานๆ        นับแต่นั้นมาครอบครัวของเชษฐ์ก็อยู่กันอย่างมีความสุข  ณ  ที่บ้านไร่แห่งนี้
120  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บะหมี่น้ำหนึ่งชาม เมื่อ: กันยายน 08, 2010, 06:50:50 am
เรื่องนี้ยาว ซักหน่อย แต่ผมกว่าจะค้นได้จากเมล์ผล ก็ 3 ชั่วโมงทีเดียว

คงมีสาระให้กับเพื่อนนักอ่านในที่นี้บ้างนะครับ



บะหมี่น้ำหนึ่งชาม





เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคมซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี่ “ฮอกไก บนถนนซัปโปโร
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น เป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี
ร้านฮอกไกนี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน
จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน
ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ

เถ้าแก่ของร้านฮอกไก เป็นคนซื่อและเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป
ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบ กับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่าๆเชยๆ

“เชิญนั่งครับ” เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา

หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า “ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า “บะหมี่น้ำหนึ่งชาม”

บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน
เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง
"ทานเถอะครับ” ลูกคนพี่พูด
"แม่ทานหน่อยสิครับ” ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)”
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)”
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

ทำงานไปวันแล้ววันเล่า ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น
และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ฮอกไกก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั
่นเอง

"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ”

“ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ”

เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า
“บะหมี่น้ำหนึ่งชาม”

เถ้าแก่รับคำพลาลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
“ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม”

เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
“นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ”

"ไม่ได้ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอาย และไม่สบายใจได้รู้มั๊ย”

สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
“เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ”

ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น แล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ"
ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว
ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ”

กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)”
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง


ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา
พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
พอคนกลับไปหมดแล้ว เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า
“บะหมี่ชามละสองร้อยเยน” ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า “บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน”

30 นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้ายจองแล้ว ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้ว ถึงจะมาอย่างนั้นแหละ
22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ

มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ”

“ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ”

เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
แล้วรีบเอาป้าย”จองแล้ว”ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิเกิดขึ้น
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
"บะหมี่น้ำสองชาม”

“ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน

สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก”

"ขอบคุณ ? ทำไมครับ”

"เรื่อง เป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคน ได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน”

"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ” ผู้เป็นพี่ตอบ

ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว”

"จริง ๆ หรือครับ แม่”

"จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆอีก
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด”

"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ”

"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ"

"ไอ้น้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ”

"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ"

"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือ
ในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน โรงเรียนของน้องได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียน ในวันพบผู้ปกครอง
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
เรียง ความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆของน้องนะครับ ผมถึงทราบ
ดังนั้น ในวันนั้น ผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง”

"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ”

"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ “ความปรารถนาของข้าพเจ้า"
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย”

เรียงความเขียนว่า…

หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้
คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…”
ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำอร่อยมาก…
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็ง ที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…”
ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้น น้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…”

สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ๆก็หายตัวไป
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ

"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ”

"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดีน้องผมม
ต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อนๆทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็น ก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆไม่ได้
เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร
เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ
ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่า
"เป็นความอายจริงๆ“

“หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้น
ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ”

สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆปี
จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณ ค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
พร้อมกับกล่าวว่า
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)”

และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง
พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย”โต๊ะจอง”
ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย

ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่
โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

"นี่มันเรื่องอะไรกัน” ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา..
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา

โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า “โต๊ะแห่งความสุข”
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆกันไปมีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้
ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้

ผ่านวันที่ 31 ธันวาคมไปอีกหลาย ๆ ปี
เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว
ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง
แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว

ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆเป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า
วันนี้”โต๊ะจอง”ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมามานาน
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆออกๆ
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง
คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง
ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่
ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆเรื่อง
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น. ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่า
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
"ขอโทษค่ะที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ”
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น

ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโน เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
"อ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมค๊ะ”

ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า
เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก
“พวกคุณ .. พวกคุณ” เขาพูดได้เพียงแค่แค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูก ก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า
"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้
หลังจากนั้น ก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว”

วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดที่เริดเรออย่างหนึ่งก็คือ
ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่าพวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่
ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย”

สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า
“อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ
อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้โต๊ะจองตัวนั้นไง
ที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า”

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง”

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม”....

หากดูกันตามจริงแล้ว
สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไป มันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
มัน เป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า “ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) ก็เท่านั้นเอง..
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับ ได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง
ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้
บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา …
เพื่อนพ้องทั้งหลาย …
อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตา
ที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ
จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก ….
ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น
แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว
มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริง ๆ
หน้า: 1 2 [3] 4