สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: มานพ ที่ ธันวาคม 31, 2010, 11:40:10 am



หัวข้อ: ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย ฮือฮา... อีกแล้ว เกจิดังวัดแม่แตง ศพ20ปีไม่เน่า
เริ่มหัวข้อโดย: มานพ ที่ ธันวาคม 31, 2010, 11:40:10 am
ฮือฮา... อีกแล้ว เกจิดังวัดแม่แตง ศพ20ปีไม่เน่า

ฮือฮา... อีกแล้ว เกจิดังวัดแม่แตง ศพ20ปีไม่เน่า

ข่าวจา กนสพ.ข่าวสดรายวัน ของวันที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2550 รายงานเรื่องพระสมศักดิ์ ปัญญาวโร รองเจ้าอาวาสวัดทุ่งหลวง วัดทุ่งหลวง ต.สันมหาพน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้เปิดวิหารให้ผู้สื่อข่าวได้เข้าชมสรีรสังขารของพระครูวรเวทย์วิสิฐ หรือครูบาธรรมชัย ธัมมชโย ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในโลงแก้วรูปทรงแบบที่ใช้กับมัมมี่อียิปต์ พร้อมกับให้ดูกลไกของสถานที่เก็บศพของครูบาธรรมชัย ที่ได้เก็บศพของครูบาธรรมชัยมาจนครบ 20 ปี สภาพร่างหรือสรีระยังคงสภาพเดิมทุกส่วนกลายเป็นดินแข็งโดยไม่เน่าเปื่อยแต่ อย่างใด ซึ่งครูบาธรรมชัย ธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งหลวง ได้มรณภาพไปตั้งแต่ วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2530 แล้ว สิริอายุ 73 ปี 6 เดือน พรรษา 53 เมื่อครูบาธรรมชัยมรณภาพลง ทางลูกศิษย์และคณะกรรมการวัดก็จัดพิธีการเก็บศพของครูบาธรรมชัยไว้ โดยได้สร้างห้องกระจกขึ้นมาภายในติดตั้งกลไกสำหรับทำความสะอาดศพไว้ และนำโลงแก้วโดยรูปทรงโลงแก้วนั้นจัดสร้างเป็นรูปทรงพีระมิดแบบเก็บศพของ มัมมี่ ประเทศอียิปต์ บรรจุร่างของครูบาธรรมชัย โดยใช้การหักเหของแสงช่วยในการรักษาศพให้คงสภาพ โดยแรกๆ หลังครูบาธรรมชัยได้มรณภาพและทำการบรรจุศพของครูบาธรรมชัยในโลงแก้วพีระมิด ก็มีการสร้างห้องกระจกอีกชั้นหนึ่งพร้อมระบบกลไกในการเคลื่อนย้ายศพขึ้นลง และภายในห้องกระจกได้นำรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งของครูบาธรรมชัยตั้งไว้ และบริเวณฐานตั้งโลงแก้วนั้นจะมีสลักสามารถเคลื่อนศพของครูบาธรรมชัยขึ้นลง ได้

(http://www.bloggang.com/data/travelaround/picture/1196698636.jpg)
พระ สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ช่วงแรกประมาณ 1 เดือนก็จะเคลื่อนศพของครูบาธรรมชัยมาทำความสะอาดโดยใช้น้ำและน้ำยาวาสลี นเช็ดที่สรีระของครูบาธรรมชัย ต่อจากนั้นก็จะเป็น 3 เดือนทำครั้ง 6 เดือนทำครั้ง และ 1 ปี ทำครั้งหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ศพเกิดเน่าเปื่อย จนปัจจุบันนี้สรีระของครูบาธรรม
ชัย ไม่ต้องทำความสะอาดอีกเลยเวลาผ่านไป 20 ปี สภาพศพเริ่มแข็งกลายเป็นดินแข็งคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง สรีระของครูบาธรรมชัย จากสีขาวเหลืองก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มและดำในที่สุดจนทุกวันนี้ อีกนานไปสภาพศพก็จะกลายเป็นหินไปในที่สุด

ในวันที่ 30 ธ.ค. นี้ จะเป็นวันครบรอบการมรณภาพของครูบาธรรมชัย ครบ 20 ปี ทางวัดจะได้ทำบุญสวดสืบชะตา-เสริมสิริมงคลแก่คณะศิษย์และศรัทธา บำเพ็ญกุศลครบรอบการมรณภาพ 20 ปี เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบุพการี โดยจะอาราธนาพระเถรานุเถระ 60 รูป มาสวดธัมมนิยาม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ศรัทธาประชาชนได้กราบนมัสการสรีระของครูบาธรรมชัย


(http://www.bloggang.com/data/travelaround/picture/1196698677.jpg)

ด้าน นายวัลลภ นามวงศ์พรหม คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เรื่องการเก็บศพหรือสรีระพระเกจิชื่อดังไว้ไม่ทำการฌาปนกิจศพนั้น ในทางกฎระเบียบทั้งทางกฎหมายและระเบียบสงฆ์ไม่ได้มีการบังคับไว้ ทำให้ศรัทธาหรือกรรมการวัดเมื่อพระเกจิของวัดนั้นๆ ได้มรณภาพจึงได้ทำการเก็บศพไว้ จุดประสงค์มีอยู่ 2 อย่างคือหวังว่าจะให้ศรัทธานั้นมากราบไหว้และมาทำบุญที่วัดเพื่อหาปัจจัย เข้าวัดต่อไป เพราะตอนที่เกจิชื่อดังมีชีวิตอยู่ก็จะมีประชาชนเข้าวัดจำนวนมาก และเมื่อสิ้นพระเกจิ ศิษยานุศิษย์กลัวว่าจะไม่มีใครเข้าวัดแล้ววัดจะขาดปัจจัยจึงได้เก็บศพพระ เกจินั้นไว้ ใส่โลงแก้วและตั้งในวิหาร เพื่อหวังว่าศรัทธาจะกลับมาที่วัด อีกอย่างที่เก็บศพพระเกจิไว้เพื่อต้องการรำลึกถึงคุณงามความดี แต่มีส่วนน้อย ส่วนมากเพื่อหวังปัจจัยเพื่อมาบำรุงวัด จริงๆ แล้วเมื่อพระเกจิชื่อดังมรณภาพควรจะทำการฌาปนกิจแล้วเก็บกระดูกหรืออัฐิของ ท่านไว้ให้คนได้กราบไหว้บูชาจะดีที่สุด

สาเหตุอีกอย่างที่เหล่า ศิษยานุศิษย์และคณะกรรมการวัดเก็บศพพระเกจิของวัดนั้นๆ ไว้เพราะมีตัวอย่างวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ มีหลวงปู่แหวนเป็นเจ้าอาวาส เมื่อสิ้นหลวงปู่แหวนและได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ปรากฏว่าหลังจากนั้นวัดก็ไม่มีประชาชนเข้าไป วัดขาดรายได้ เงินที่จะเข้าไปบำรุงสิ่งปลูกสร้างในวัดก็ไม่มี วัดถูกปล่อยให้รกร้าง หลายวัดที่มีพระเกจิชื่อดังเห็นเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่นั้นมาก็พากันเก็บศพพระเกจิชื่อดังของวัดตนเองไว้ไม่ยอมเผา เพราะกลัวจะเป็นอย่างวัดของหลวงปู่แหวนที่ไม่มีคนเข้าไปหรือไปน้อยมากจนทุก วันนี้ การที่คนจะเข้าวัดหรือไม่เข้านั้นขึ้นอยู่กับศรัทธาพระเกจิรูปนั้นๆ หากเป็นทางเมตตามหานิยมก็จะยั่งยืนคนจะศรัทธามาก หากเป็นแบบไสยศาสตร์เวทมนตร์รักษาคนไข้ วัดเหล่านี้หากสิ้นพระเกจิทุกอย่างก็จะจบไปด้วยพร้อมกับพระเกจิรูปนั้น

แพทย์ ประจำแผนกนิติเวช ร.พ.มหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เรื่องกรณีการเก็บศพไม่ให้ศพเน่าเปื่อยนั้น มีหลายวิธีซึ่งเป็นเทคนิคของทางการแพทย์ ตัวอย่างการใช้วิธีดองศพด้วยน้ำยา หากต้องการเก็บไว้นานๆ ให้คงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด สำหรับกรณีพระเกจิชื่อดังที่เหล่าคณะศรัทธาหรือลูกศิษย์ที่เก็บศพท่านไว้ใน โลงแก้วนานๆ จนศพแห้งและไม่เน่าเปื่อยนั้น เพราะใช้วิธีให้อากาศแห้งและอุณหภูมิสม่ำเสมอ ประกอบกับพระสงฆ์ระดับเกจิส่วนมากนั้นจะผอมการถูกฉีดยากันศพเน่าครั้งเดียว ประกอบกับอยู่ในบริเวณจุดที่อากาศแห้งก็จะทำให้ศพไม่เน่า สภาพอากาศที่แห้งจะทำให้ศพแห้งไม่เน่าเปื่อย บางแห่งก็จะใช้วิธีนำไส้หรืออวัยวะภายในออกให้หมดเหลือแต่ร่างกายและเก็บไว้ ในโลงที่มีอากาศแห้งก็จะไม่เน่าได้เช่นกัน

ส่วนที่ทำเป็นโลงพีระมิด บรรจุศพลงไป โลงศพทรงพีระมิด ที่ทำขึ้นไม่ได้ช่วยให้ศพไม่เน่าแต่อย่างใด เป็นรูปทรงเพื่อความสวยงามหรือทำตามแบบเท่านั้น เป็นความเชื่อที่ผิดไม่ได้ส่งผลหรือมีผลต่อกระบวนการรักษาศพ การรักษาศพนั้นก่อนที่จะนำไปบรรจุลงโลงต้องทำให้ศพแห้งและอุณหภูมิจุดนั้น ต้องสม่ำเสมอ อากาศแห้งแล้วศพก็จะไม่เน่า จะแห้งไปตามกาลเวลาคงสภาพไว้จนศพดำและกลายเป็นดินแข็ง หากถูกกระทบด้วยของแข็งก็จะแตกสลายไปในที่สุด

(http://www.bloggang.com/data/travelaround/picture/1196698894.jpg)

จาก ข่าวดังกล่าว ทำให้เกิด 2 มุมมองขึ้น ฝ่ายหนึ่งก็จะว่า การที่ศพไม่เน่าเปื่อยนั้น เป็นการจงใจที่จะรักษาสภาพศพไว้ด้วยวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกฝ่ายก็เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์จริง ในกรณีนี้ เราจะเห็นว่าทางวัดได้มีความตั้งใจที่จะเก็บรักษาศพตั้งแต่ต้น คือหลังจากมรณภาพใหม่ๆ ดังนั้นการคงสภาพของสรีรสังขารนี้จึงไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ว่าเกิดจากอะไร ซึ่งวิธีการนี้ก็มีหลายวัดหลายสำนักที่มีวัตถุประสงค์การเก็บรักษาศพไว้ เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้กราบไหว้ต่อไปไม่ทำการฌาปนกิจตามปกติ แต่ในกรณีที่ทางวัดไม่ได้จงใจที่จะเก็บศพไว้ แต่เก็บเพื่อรอกำหนดการเผา เช่น 100 วัน 1 ปี อะไรทำนองนี้ จึงไม่ได้มีการกระทำที่เป็นการรักษาสภาพศพมากกว่าธรรมดา แต่เมื่อจะทำการฌาปนกิจจึงพบว่าศพไม่เน่าเปื่อย ก็จึงจะเก็บรักษาไว้ให้สานุศิษย์กราบไหว้ต่อไป อย่างนี้ก็จะมีประเด็นเดียวคือเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของท่านจริงๆ คือหลวงพ่อท่านละสังขารแล้ว แต่สังขารท่านไม่ยอมละโลกไปตามวัฏจักร กลับอยู่คงทนไม่เน่าเปื่อยอย่างศพคนธรรมดาสามัญ

ที่จริงการที่ศพไม่ เน่าเปื่อยนี้ ผมถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ประการใด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับพระปฏิบัติ ที่บรรลุธรรมได้ขั้นหนึ่ง แม้เน่าเปื่อย หรือทำการฌาปนกิจไปแล้วอัฐิของท่าน ก็สามารถกลายเป็นพระธาตุ รูปพรรณต่างๆกันไปได้อีก ในเมืองไทยนี่จากอดีตมาจนปัจจุบัน สามารถนับรวมสรีรสังขารของพระเกจิอาจารย์ต่างๆได้ถึง 400-500 องค์ทีเดียว (ใครสนใจลองเข้าไปดูรายชื่อที่เวป : รวบรวมรายชื่อ พระที่ทิ้งสังขารไม่เน่า
http://board.dserver.org/r/ruttanatri/00000076.html (http://board.dserver.org/r/ruttanatri/00000076.html) ) เป็นพระที่อยู่ตามวัดทั่วประเทศ ทุกภาคทุกจังหวัดเลยก็ว่าได้ แต่พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั้น ท่านไม่อวดอ้าง ไม่สร้างวัตถุมงคล ท่านให้แต่ธรรมะ อยู่อย่างสมถะ คนก็ไม่ชอบ ไม่ฮือฮาตอนเป็น แต่มาฮือฮาเอาตอนตาย... ก็สายเสียแล้ว! เพราะการฟังเทศน์ ฟังธรรม ทำบุญกับพระอริยสงฆ์นั้น ได้บุญมากจริงๆ ยิ่งกว่าการทำบุญใดๆ

ประวัติครูบาธรรมชัย

หลวง ปู่ครูบาธรรมชัย เกิดที่บ้านสันป่าสัก อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2457 บิดามารดาประกอบอาชีพทำนาและรับจ้าง ในช่วงที่ท่านเกิดมีถุงรกคลุมศีรษะออกมาคล้ายสวมหมวก ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทราบข่าวต่างพากันมาดูมารกน้อย และร่ำลือกันไปว่า เมื่อเติบใหญ่ทารกน้อยนี้จะเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย เพราะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาโปรดชาวบ้านต่างพากันขนานนามทารกน้อยนี้ว่า "เด็กชายหมวก"

เด็กชายหมวกได้เข้าศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนบ้านสันป่าสัก ด้วยความที่เป็นคนขยันหมั่นเพียร อ่อนน้อมถ่อมตน จนได้รับเมตตายกย่องเป็นนักเรียนตัวอย่างและเป็นหัวหน้าชั้นทุกปี จนอายุได้ 14 ปี จึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสันป่าสัก โดยได้นามใหม่ว่า "กองแก้ว" มีครูบาคำมูล ธมฺมวงฺโส วัดบ้านตองเป็นพระอุปัชฌาย์

หลัง จากที่เดินทางเข้าสู่ร่มกาเสาวพักตร์ สามเณรกองแก้วได้ฝึกฝนสมถะ วิปัสสนากรรมฐานตามควรแก่เวลาและโอกาสอย่างสม่ำเสมอ จนสอบนักธรรมตรีได้เมื่ออายุ 19 ปี สอบ และสอบนักธรรมโทได้อีกในปีต่อมา จนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2476 สามเณรกองแก้วได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีครูบาคำมูล ธมฺมวงฺโส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระชัยยะเสนา วัดบ้านหลุกเป็นพระกรรมวาจา และพระคำปัน วัดทุ่งยาวเป็นพระอนุสาวนาจารย์ พร้อมพระสงฆ์ 50 รูป ณ วัดหนองหล่ม ต.ทุ่งยาว อ.เมือง จ.ลำพูน ได้รับฉายาว่า "ธมฺมชโย ภิกขุ"


พระ กองแก้ว รับหน้าที่เป็นครูสอนนักธรรมแก่สามเณรและสอนหนังสือแก่เด็กนักเรียนโรงเรียน สันป่าสักได้ 6 ปี จนทราบข่าวว่า ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญแห่งล้านนาท่านได้มาสร้างวิหารอยู่ที่วัดจามเทวี พระกองแก้วจึงได้เดินทางไปกราบนมัสการมอบกายเป็นศิษย์ ขออยู่ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติสมถะวิปัสสนากรรมฐานจากครูบาศรีวิชัย พระกองแก้วได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติจากท่านครูบาศรีวิชัยที่วัดจามเทวีเป็น เวลา 1 ปี จากนั้นท่านจึงได้ออกเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น วัดร้าง ถ้ำคูหา ป่าช้า และสถานที่ชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด



กระทั่ง ปี พ.ศ.2491 ท่านได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำตับเตา อ.ไชยปราการ และได้อยู่บุกเบิกพัฒนาจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จากนั้นได้มีศรัทธาญาติโยมบ้านทุ่งหลวงและบ้านหนองบัว อ.แม่แตง ได้พร้อมใจกันมานิมนต์ท่านให้มาพัฒนาสร้างวัดทุ่งหลวงและนิมนต์มาปฏิบัติ ธรรมจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งหลวง ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาธรรมชัยได้เดินลัดข้ามทุ่งนามาปฏิบัติกรรมฐานที่บริเวณวัดร้าง ที่บ้านหนองบัว ซึ่งแต่เดิมเป็นวัดร้างชื่อ "วัดสามเศรษฐี" นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าวัดนี้น่าจะมีอายุราว 1,300 ปี หลวงปู่ได้บูรณะวัดร้างแห่งนี้เพื่อใช้สำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและฝึก กรรมฐาน โดยตั้งชื่อว่า "เมืองนิพพาน" อยู่บริเวณเนินเขามีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การท่องเที่ยวพักผ่อนและฝึกบำเพ็ญภาวนา มีพระสถูปเจดีย์ 8 เหลี่ยมสูง 9 ชั้นภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุล้อมรอบด้วยคูน้ำ แต่ละมีห้องสำหรับนั่งวิปัสสนาสมาธิ 51 ห้อง





บริเวณ ห้องโถงชั้นล่างเป็นสถานเพื่อการสักการะและแสดงพระธรรมเทศนา มีภาพเขียนพระพุทธประวัติ ภาพเขียนปางชนะมาร ภาพปริศนาธรรม พระพุทธรูปต่าง ๆ รวมถึงรูปปั้นของพระเกจิชื่อดัง นอกจากนั้นยังมีตู้แสดงเครื่องอัฏฐบริขารของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ภายในบริเวณกว่า 40 ไร่นั้น ร่มรื่นไปด้วยหมู่พรรณไม้ยืนต้น ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ ทั้งยังมีไม้หายากและสมุนไพร สมดั่งเจตนารมย์ของหลวงปู่ที่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติ ธรรมเพื่อจรรโลงให้ไว้เป็นศาสนาสมบัติทางพระพุทธศาสนาต่อไป ทว่าน่าเสียดายที่การก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ยังไม่แล้วเสร็จ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านก็ได้ละสังขารด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2530 รวมอายุ 83 ปี 62 พรรษา ท่ามกลางความโศกเศร้าของศิษยานุศิษย์


ที่มา : ข่าวสดรายวัน
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXhNVEF5TVRJMU1BPT0= (http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXhNVEF5TVRJMU1BPT0=)§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd055MHhNaTB3TWc9PQ
และ
http://www.chiangmainews.co.th (http://www.chiangmainews.co.th) โดยนายจักรพงษ์ คำบุญเรือง