ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - noppadol
หน้า: [1] 2 3 4
1  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ปทุมธานี-ประตูกั้นน้ำพังหลายจุด เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:49:53 pm
น่าเป็นห่วง จริง ๆ ครับ โดยเฉพาะชาว ภาคกลางตั้งแต่ นครสวรรค์ มาจนถึง อยุธยา นี่น่าจะโดนหนักที่สุดครับ
ก็ช่วยกันส่งทั้งกำลังทรัพย์ และกำลังใจไปช่วยกันนะครับ

 :'(
2  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ร่วมปฏิบัติธรรมเดือน ตุลาคม ระหว่างวันที่ 22-23/10/54 วัดราชสิทธาราม คณะ 5 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:48:10 pm
อนุโมทนา ครับ ช่วงนี้ผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปที่วัดราชสิทธารามครับ เพราะตอนนี้ต้องฟื้นฟู สวน ที่ถูกน้ำท่วมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ช่วงนี้ก็มีเค้าว่า จะท่วมกันอีกแล้วนะครับ ที่สุราษฏร์ และ ชุมพร

  :25: :smiley_confused1:
3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ทำบุญที่วัดศรีชุม ลำปาง คะ เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:46:35 pm
อนุโมทนากับบุญที่ทุกท่านได้ทำกันมา และยังทำำกันอยู่ ตอนนี้ก็ได้ผ่านล่วงเลยพรรษาแล้ว
ก็น่าจะได้รับฟังข่าวดี ๆ ตามกันมาว่า มีผู้ภาวนาได้สำเร็จกันบ้างนะครับ

 อนุโมทนา ในความดี ทุกท่านที่ได้ร่วมกระทำกันมา ครับ

  :25: :25: :25: :25:
4  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สภาพทางรถไฟที่ ขุนตาล คะ เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:44:53 pm
เห็นสภาพแล้ว ถ้าวิ่งต่อไปคงลงหลุมกันแน่่  ๆ นะครับ

 :hee20hee20hee: :hee20hee20hee:

ได้ทราบมาว่า ยังมีหลายจุดที่น้ำพัดดินใต้รางขาด ช่วงนครสวรรค์ พิจิตร และ ลพบุรี ด้วยนะครับ

 ???
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เวลานอนหลับ จิตเราออกนอกกาย จริง หรือไม่ ครับ เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:42:57 pm
ผมเองก็เคยฝัน ๆ บ่อย ๆ ฝัน แปลก ๆ ครับ

 ส่วนเรื่องจิตออกนอกกาย ถ้าตามความเชื่อของ ผม ก็เชื่อนะครับ ส่วนการที่กลับมาไม่ได้ ผมก็เคยเห็นคนไหลตายมาหลายคนแล้วครับ นอนยิ้มตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุการตายเลย ทางบ้านผมเรียกว่าว ไหลตาย คนพวกนี้น่าจะเป็นพวกที่ เส้นวิญญาณขาด กระมังครับ

  :hee20hee20hee: :hee20hee20hee:
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อาจารย์สอนกรรมฐาน ควรใช้ face book หรือไม่ครับ เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:40:53 pm
ก็เห็นด้วยครับ สำหรับเว็บบอร์ด และ email นี้ก็น่าจะเกินกำลังของพระอาจารย์แล้วนะครับ
ถ้าเป็น facebook ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของ ทีมงาน มัชฌิมา หรือ ศิษย์ทำแทนเถอะครับ
อันนี้ถ้าหมายถึง facebook ของพระอาจารย์นะครับ

 ส่วนถ้าเป็น facebook ของพระวิปัสสนาจารย์ ฝ่ายกรรมฐาน แล้วผมเชื่อว่า พระวิปัสสนาจารย์ฝ่าย
กรรมฐาน น่าจะไม่ใช่เรื่องของสื่อ คอมพิวเตอร์ หรือ อินเตอร์เน็ตกันนะครับ

  :25:
7  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Blue Screen of Death จอสีฟ้าแห่งความตาย เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 07:20:14 pm
ลองดูตามนี้เลยคับ
Blue Screen of Death จอสีฟ้าแห่งความตาย
มาดูสาเหตุและการแก้ไข Blue Screen กัน

คำว่า Blue Screen คนเล่นคอมจะรู้จักดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่อยากให้เกิดกับ เครื่องของตนเพราะถ้าเกิดนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าคอมของตนเริ่มม ีปัญหาแต่ที่น่าเจ็บใจคือมันบอกเป็นเลขระหัสที่เราๆ ท่านๆต้องงงเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และจะมีทางแก้ไขอย่างไรผมไปอ่านเจอมาว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร ก็ลองแปลมาให้คุณๆ ได้อ่านคิดว่าน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ได้บ้าง รหัสที่แจ้งของ Blue Screenจริงๆมีเกินร้อยตัว แต่ผมจะลงเฉพาะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จากการสำรวจ(ของเวปเมืองนอกเขา)

มาเริ่มต้นกันเลย

1.(stop code 0X000000BE)Attempted Write To Readonly Memory
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่นไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstallโปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ rollback ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง(กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก serviceต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ

2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardwareคือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออกถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmwareของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virusด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส

3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์แวร์เสียหายซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,Cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ,ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป) และเมนบอร์ดเสีย

4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ serviceขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ”Hibernate” แนวทางแก้ไขถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstallตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ

6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm
สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือSCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือFirmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1

8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของ ไฟล์ระบบหรื อ Boot partitionsได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือ ไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์Boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบ Multi OSให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน Config ของ OS ขัดแย้งกัน
อีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ Compatibleให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgradeวินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์เวอร์รุ่นล่าสุด

9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memoryคือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSIผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

10.(stop code 0X00000077)Kernel Stack Inpage Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการและสาเหตุเดียวกับข้อ 9

11.(stop code 0X0000001E)Kmode Exception Not Handled
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำและ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการuninstall โปรแกรมหรือทำการ Roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น
ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control softwareของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวกNetworking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่
Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ

12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL)มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HALมีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ว่าแอปพลิเค ชั่นตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให ้ถูกต้อง ยกตัวอย่างคุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็นSingle CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่
สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dllหมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา originalไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไ ฟล์ที่เสีย

13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual MemoryManager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEsซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบmulti monitors
ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้
1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSe  ssion ManagerMemory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitorให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM
128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง

14.(stop code 0X00000024) NTFS File System
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFSอ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controllerของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerrorนี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > runแล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ errorโดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochkในหมวด Application

15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแ รมการแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไ ม่ก็หาโปรแกรมที่test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่

16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15

17.(stop code 0X000000EA)Thread Stuck In Device Driver
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุดเช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้สาเหตุอาจจะเกิดจาก Bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อยการแก้ไขให้พยายามทำตามนี้
1.ให้ดูที่ Power supplyของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณ หรือไม่ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ Power supply ของคุณก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2ครั้ง คือ
-1.1 ประสพการณ์ครั้งแรก เกิดจากคอมเครื่องที่สอง (ผมมีคอมตั้งโต๊อยู่ 2 เครื่อง ปัจจุบันใช้ Notebook ) สเปคหลักๆนะครับ
CPU:AMD Barton 2500 (210*11=2310)
M/B:Abit A7N
Ram:1G Dual Kington
Powersupply: Enamax 465P-VE
และอุปกรณ์ตกแต่งตรึม แรกๆเครื่องก็ดีโปรแกรมหรือเกมที่ว่าหนักๆมารับได้หมด อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดอาการ error ตามข้อนี้
-1.2 ประสพการณ์ที่สอง เกิดกับคอมเครื่องแรก สเปค
CPU:AMD T-Bred 1700 (166*11=1826)(Over clock ขึ้นสมอง)
M/B:Soltek 75FRN2-RL
Ram:512MB Dual Geil
Powersupply: Enamax 351P-VE
และอุปกรณ์ตกแต่งตรึมเหมือนกันเครื่องก็เหมือนเคยใช้ได้ไม่มีปัญหาอยู่ก็มี error แบบนี้อีกคราวนี้ไม่กลัวเข้าใจว่าคงเหมื่อนเครื่องที่แล้วตรวจ ที่ Biosก็เป็นเหมือนเคยก็จัดการทำการแก้ไขเหมือนเคยที่แล้วม าผลไม่หายครับเป็นอีก นั่งงมอยู่วันเต็มๆด้วยถอดชิ้นส่วนเครื่องทั้งหมดมาตรวจ ก็เจอปัญหาจนได้ก็คือ ตัว Capacitorที่เมนบอร์ดตัวที่จ่ายไฟเลี้ยง CPU บวมมีขี้เกลือเกาะเต็มไปหมด
ที่เขียนมายาวก็เพื่อเล่าประสพการณ์จริงให้รู้เพื่อค  ุณๆ อาจจะมีปัญหาเหมือนผมจะได้เป็นแนวทางแก้ไข
2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุดถ้าแนใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้ว ยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollbackไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา
3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น
4. ดูที่ Bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปคของการ์ดหรือไม่
5. เช็คดูที่ผู้ผลิดเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไ  ม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ
6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น “PXE Resume/Remote Wake Up” โดยไปปิดที่ BIOS

18.(stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก Overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAMส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไปหรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ Overclock วิธีแก้ก็คือลด clockลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume
สาเหตุและแนวทางแก้ไขอาการที่วินโดวส์หา ฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ(ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัวหนึงในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน


Credit: NewweN (Siamcafe.net)
ขอบคุณทีมา http://www.skupload.com/blue-screen-of-death-%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99/
8  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาพถ้ำสวย ๆ มาฝาก คลายสมอง คร้บ เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 07:17:40 pm










ขอบคุณภาพจาก
http://www.nookjung.com/picpost/?p=496
9  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญร่วมปฏิบัติธรรม สิงหา ราชินี วันที่ 12 - 13- 14 ส.ค. 54 วัดราชสิทธาราม คณะ 5 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 07:08:48 pm
อนุโมทนา ด้วยครับ

 :25:
10  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ถ้า 2012 จะมีภัยพิบัติ แล้วเราจะฝึกกรรมฐาน ไปเพื่ออะไรครับ เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2011, 11:49:01 pm
ผมว่า คุณ hero อาจจะต้องออกโรง แล้วนะครับ

 เพราะตอนนี้ นารี ขี่ม้าขาว กำลังสร้าง กระแส แล้วนะครับ

 แต่ผมว่า นโยบาย ข้อที่ 1 นั้นทำไม่สำเร็จ ครับ ปราการป้องกันเมือง 3 จังหวัด

อ่านแล้วคัน... ต้องไปวิจารณ์กันต่อ ที่ พันทิพย์ ราชดำเนิน นะครับ ....

  :49:
11  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ขอความช่วยเหลือทีครับ เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2011, 11:46:04 pm
;)  สวัสดีครับทุกท่านที่เข้ามาในกระทู้นี้
กระผมไม่มีปัยหาในการที่จะเริ่มนั่งสมาธิครับ หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ(ตอนเย็น)จะบอกตัวเองว่าจะนั่งสมาธิทุกวัน แต่บางวันก็นั่งบางวันต้องบังคับตัวเองให้นั่ง  มันรู้สึกขี้เกียดไงไม่รู้แต่ลึกๆอยากทำสมาธิอยู่

แล้วอย่างเช่น ไกล้รุ่ง ตี 3 ตี 4 บอกตังเองจะลุกขึ้นมาทำสมาธิยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ลุกเลยใจอยากทำ แต่ทำไม่ได้ กิเลสหนาเหลือหลาย  ช่วยทีครับ :25: ???

งง กับ คุณ notebook123 นะครับ
แนะนำเบื้องต้น นะครับ

 นั่งสมาธิ สัก สอง สามนาทีก็ได้ครับ เอาเป็นว่า ดู ลมหายใจเข้า ออก แล้วนอนต่ออย่างที่ผมเคยอ่านที่คุณเล่าในกระทู้ก่อนก็ได้นะครับ แล้วหลับไป หวังผลเพียงสมาธิ เบื้องต้นก่อนก็ได้นะครับ

 ส่วนเรื่องความขี้เกียจนั้น เป็นเรื่องของกำลังใจ ครับ หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริง ๆ แ้ล้วเราคงไล่ได้ยากครับ
มีเหตุผล ที่จะขี้เกียจ เยอะมากนะครับ

 :s_hi: :bedtime2:
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มีใครเคยคิดว่า ตนเอง เป็นพระโสดาบัน บ้างครับ ? เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2011, 07:13:37 pm
บอกตรง ๆ ว่าเมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่า เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน

แต่วันนี้เคลียร์แล้วครับ พอได้ฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จึงรู้ตามความเป็นจริง

ในกำลังจิตของเราครับ


เป็นคำถามที่ดี เหมือนกันครับ

 :25:
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชวนทุกท่านมาปลุก พลังบวก ในตัวเราให้แกร่งเถิดครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 12:07:32 am


นพ.จอม : สร้างพลังบวกให้ลูกรัก
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชวนทุกท่านมาปลุก พลังบวก ในตัวเราให้แกร่งเถิดครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 12:05:51 am


เปลี่ยนโลก เริ่มต้นจากแปลงตัวตน
15  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชวนทุกท่านมาปลุก พลังบวก ในตัวเราให้แกร่งเถิดครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 12:04:01 am


น่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนของชนชาวไทยทุกคนในตอนนี้นะครับ
16  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชวนทุกท่านมาปลุก พลังบวก ในตัวเราให้แกร่งเถิดครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 12:01:28 am


พลังบวก


เพิ่มระบบ พลังบวก  พลังบวกคืออะไร Huh? ร่วมจุดประกายพลังบวก  ร่วมสร้างแรงบันดาลใจ โดยการ กด [เพิ่มพลังบวก] ใต้ชื่อผู้ที่คุณต้องการเพิ่มพลังบวกให้ เช่น บทความดีๆ ข้อมูลดีๆ ความคิดเห็นดีๆ คำเสนอแนะที่ดีๆ  การช่วยเหลือที่ดีๆ  เป็นการให้กำลังใจแก่ผู้โพส  พลังบวกนี้ไม่สามารถบวกให้ตัวเองได้  บอร์ดนี้จะเต็มไปด้วยพลังบวก ปลุกพลังบวกในตัวคุณ เปลี่ยนประเทศไทย
17  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญชมภาพงานพุทธาภิเษก ใครไปมาแล้ว รำลึกภาพวันงาน ที่วัดพลับ ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 11:37:06 pm
งานนี้ผมก็ไปมาครับ ผมสหายธรรมเราเยอะครับนั่งกันข้างนอก เพราะพื้นที่อย่างที่เห็นครับ
อนุโมทนากับ ลิงก์ไปดูภาพครับ
 :25:
18  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: งานปริวาสกรรม วัดทุ่งเซียด ๒๖ มี.ค. ถึง ๔ เม.ย. พ.ศ.๒๕๕๔ สุราษฯ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 11:35:58 pm
มาแล้วนะครับ ไม่ได้หายไปไหนครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้อ่าน โพสต์ไม่เก่งครับ
ติดตามอ่านตลอดครับ

 :08:
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถ้าพบพระอาจารย์ยังไม่ได้ช่วงนี้ อยากทราบศิษย์เอกพระอาจารย์มีใครพอสนทนาได้บ้างครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 11:30:48 pm
อนุโมทนา ครับ

  :25:
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: วัดเขาแก้ววรวิหาร ต.ต้นตาล จ.สระบุรี พระูบรมธาตุประจำจังหวัด เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 10:01:59 pm
วัดเขาแก้ววรวิหาร

          พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ ๑ ตำบล ต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี     เดิมเป็นราษฎร์ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๑๗๑  สมัยกรุงศรีอยุธยา  ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม    ต่อมาในรัชกาลที่๔ กรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เสด็จนมัสการพระพุทธบาทและจะเสด็จนมัสการพระพุทธฉายทรงแวะไพร่พล ขบวนราบที่พลับพลาท่าหินลาดหน้าวัดเขาแก้ว ได้ทอดพระเนตรทรงเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ตั้งอยู่บนเขาเล็กๆแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามเป็นที่สงบเหมาะสำหรับการ บำเพ็ญสมณธรรม พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงทรงรับสั่งให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) เป็นแม่กองควบ คุมการก่อสร้าง เจ้าพระยานิกรบดินทร์ ได้จัดการให้พนักงานนำเครื่องงาน และสิ่งก่อสร้างจากกรุงเทพฯ มาบูรณปฏิสังขรณ์  พระอุโบสถปรับปรุงขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ก่อกำแพงรอบของ พระอุโบสถขึ้นใหม่ สร้างกุฏิไว้ด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ บูรณะองค์พระเจดีย์ให้มั่นคง และทรงสถาปนาวัดเขาแก้วขึ้นเป็น  พระอารามหลวง พระราชทานนามว่า วัดคีรีรัตนาราม

         ต่อมาในปี  พ.ศ.๒๔๕๖  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรม พระยาวชิรญาณวโรรสองค์สังฆประมุข เสด็จออกตรวจการณ์  คณะสงฆ์จังหวัดสระบุรี เสด็จทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเห็นป้ายที่ติดไว้ที่ท่าหินลาดหน้าวัดว่า วัดคีรีรัตนาราม รับสั่งว่าเป็นคำมคธทรงให้เรียกเป็นคำไทยว่า วัดเขาแก้ว ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 

สภาพฐานะและที่ตั้งวัด

อาณาเขต

    * ทิศเหนือ    ติดกับที่นาเอกชน
    * ทิศใต้        ติดกับที่นาเอกชน
    * ทิศตะวันออก    ติดกับที่นาเอกชน
    * ทิศตะวันตก      ติดกับที่นาเอกชน

          ลักษณะโดยทั่วไปของบริเวณที่ตั้งวัดเขาแก้ววรวิหารอยู่บนภูเขาลูกเล็ก ๆ ซึ่งมีลักษณะรูปทรงกลม  เป็นดินปูนสูงจากพื้นดินประมาณ  ๑๕  เมตร  ห่างจากแม่น้ำป่าสักประมาณ  ๒๐๐  เมตร  มีพื้นที่ราบบนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัด  ๒  ไร่  ๓  งาน  ๗๕ ตารางวา  เนื้อที่โดยรอบเชิงเขา  ๒๕  ไร่  ๒  งาน  ๘๒  ตารางวา  ตามไหล่เขามีต้นสักขึ้นอยู่โดยรอบทั่วไป  พื้นที่รอบภูเขาเป็นที่นา

โบราณสถานวัดเขาแก้ววรวิหาร

    * พระเจดีย์
    * พระพุทธบาทจำลอง
    * พระอุโบสถ

พระเจดีย์

         รูปทรงไทย  ๕  ยอด  ชนิดมีเรือนทาสแบบย่อมุมไม้สิบสองทิ้งบนฐานทักษิณ  ๓  ชั้น  ประกอบด้วยมุขจระนำ ๔    ด้านด้านทิศตะวันตกออกแบบประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติด้านทิศเหนือ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึงด้านทิศตะวันตก  ประดิษฐานพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร  ด้านทิศใต้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา  องค์ระฆังกลมประกอบด้วยบัวกลุ่มปลียอดพระเจดีย์สูง  ๓๔  เมตร  กว้างโดยรอบ ๓๔.๕๐ เมตร  ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  และพระธาตุสาวก

พระปรางค์

          รูปลักษณะ  ๕  ยอด มี  ๓ มุข  มุขกลางด้านทิศใต้  ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง  ด้านทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาสิไลยก์  ด้านทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
21  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: เชิญเที่ยวชมวัดอุโมงค์ อีกหนึ่งตำนานของชาวเชียงใหม่ ติดดอยสุเทพ ข้าง ม.เชียงใหม่ เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 09:54:46 pm

ขอ วัดเจ็ดยอด ที่เชียงใหม่ อีกสักวัด ได้ไหมครับคุณครู

ขอภาพเทวดาที่ผนังวัดด้วยนะ (ขอเยอะไปต้องขออภัย)

 :49: :58: :25:

ลิงก์นี้ครับ สำหรับวัดเจ็ดยอด โดยครู อริสา ( เห็นว่าถ้าไม่ทำลิงก์ เดี๋ยวหากันไม่เจอ )
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2480.0
22  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติหลวงพ่อทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 09:41:59 pm
ประวัติหลวงพ่อทิม อิสริโก
วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง
หลวงปู่ทิม นามเดิมชื่อทิม นามสกุลงามศรี เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ ๒ ตำบลละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันเป็นชายทั้ง ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ เกิดเมื่อ ปีมะแม วันศุกร์ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๑๖ เดือน มิถุนายน ๒๔๒๒ เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี

หลวงปู่ทิมเป็นหลานของหลวงปู่ สังข์ โดยมารดาของท่านเป็นน้องสาวหลวงปู่สังข์ หลวงปู่สังข์นี้เป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น หลวงปู่สังข์องค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมาก น้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น ๆ จะแตก เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าในวิทยาอาคมของท่าน จึงนิมนต์มาอยู่ที่วัดเก๋งจีน และได้สร้างพระเนื้อตะกั่ววัดเก๋งจีนขึ้น ก่อนที่จะไปอยู่วัดเก๋งจีนนั้น หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งตำราและวิทยาการต่าง ๆ ไว้ที่วัดละหารไร่ทั้งหมด เพราะท่านไม่หวงแหนในวิชาของท่านแต่อย่างใด ท่านกล่าวว่า "ใครมีปัญญาก็ค้นคว้าเอาเอง" บรรดาตำราและวิทยาการต่าง ๆ หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งไว้ที่วัดละหารไร่นี้เองที่หลวงปู่ทิมก็ได้ใช้ศึกษาใน เวลาต่อมา

เมื่อท่านพระครูภาวนาภิรัติหรือหลวงพ่อทิม มีอายุเจริญวัยได้ ๑๗ ปี นายแจ้ผู้เป็นบิดาได้ส่งเสียและนำตัวของหลวงปู่ทิมไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์ ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับท่านพ่อสิงห์พระอาจารย์เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี และมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจเขียนได้อ่านออกดีแล้ว นายแจ้ผู้เป็นบิดาของท่านจึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์ขอตัวหลวงปู่ทิม ให้กลับมาอยู่ที่บ้านเช่นเดิมเพราะไม่มีคนช่วย หลวงปู่ทิมจึงได้ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูก ที่ดี ผู้มีความกตัญญูกตเวที รู้จักปฏิบัติพ่อแม่มาด้วย ดีตลอด

ใน วัยหนุ่มของหลวงปู่ทิมนั้น ท่านเป็นคนคะนองเอาการอยู่ โดยท่านจะเป็นคนไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวด้วยการยิงนกตกปลาและออกเที่ยวล่า สัตว์ใหญ่ เพื่อนำไปขาย ซึ่งท่านทำไปด้วยความคึกคะนองประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวของท่าน

จนเมื่อ ท่านอายุได้ ๑๙ ปี ท่านจึงถูกคัดเลือกเป็นทหารและได้เข้าประจำการที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง ๔ ปีเศษ จึงได้รับการปลดปล่อยกลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิม และเมื่อกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน บิดาของท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ

อุปสมบท

หลวง ปู่ทิมอุปสมบท เมื่อวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ๒๔๔๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม โดยมีพระคุณเจ้าท่านพระครูขาว วัดทับมาเป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์เกตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สิงห์ (พระอาจารย์ของท่าน ในขณะที่ท่านได้ศึกษาครั้งแรก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ณ พัทธสีมา วัดละหารไร่ ได้ฉายาว่า อิสริโก เมื่อท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านก็มาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์สิงห์ได้ ๑ พรรษา ขณะที่ท่านอยู่กับพระอาจารย์สิงห์นั้น ท่านได้ค้นคว้าและศึกษาตำราของหลวงปู่สังข์ทีท่านได้ทิ้งไว้ให้ตามตู้พระ ไตรปิฎกอย่างตั้งใจ เพราะท่านมีความสนใจในทางปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง

หลวง ปู่ทิม อิสริโก นับว่าเป็นพระอาจารย์ที่แปลกกว่าพระอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน คือ ท่านต้องการฝึกฝนตนเองด้วยการออกไปหาประสบการณ์ด้วยการออกเดิน
ธุดงค์ ซึ่งพระในรุ่นเดียวกันไม่มีใครคิดที่จะออกไปแสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนา ไพรอย่างท่าน เพราะต้องการศึกษาในทางพระปริยัติธรรมเท่านั้น

เมื่อ อยู่ครบพรรษาแล้วท่านก็ได้ขออนุญาตและมนัสการกราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลาย จังหวัดเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านก็มาพิจารณาว่า ท่านก็ได้ใช้เวลานานพอสมควรแล้ว จึงควรเดินทางกลับมาพักเสียที เมื่อคิดดังนั้น ท่านก็เดินทางกลับมาจังหวัดชลบุรีและท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูมเป็น เวลา 2 พรรษา ระหว่างนั้นท่านก็ได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์หลายอาจารย์ด้วยกัน รวมทั้งฆราวาส โยมเริ่ม โยมรอด และโยมสาย นอกจากนั้นยังศึกษาตำราซึ่งตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของหลวงปู่ทิม เป็นเวลา 2 ปี เศษ และต่อมาท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดละหารไร่หรือ (วัดไร่วารี) ตามเดิมและท่านได้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์และอื่น ๆ อีกหลายอาจารย์ด้วยกัน

วัดละหารไร่ เดิมชื่อวัดไร่วารี เพราะมีน้ำอยู่ล้อมรอบ และเป็นที่กันดารมาก ถ้าใครได้หลงเข้าไป เป็นได้หลงป่าไปเลย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่เองท่านยังต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอยู่ ในสมัยนั้นทางรถก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ทางเดินแคบ ๆ เท่านั้น หลวงปู่ท่านจึงต้องพัฒนากันใหญ่ ด้วยความร่วมมือจากญาติโยมในท้องถิ่นนั้น คือได้มีชาวบ้านศรัทธาท่านมากถึงกับบวชเพื่อติดตามปรนนิบัติท่านถึง ๓ คน คือ นายทัต นายเปี่ยม และ นายแหยม ซึ่งทั้ง ๓ คนนี้มีความสนใจในวิชาทางศาสนาเป็นอย่างมาก

เมื่อหลวงปู่ทิมมาอยู่ วัดละหารไร่แล้ว ต่อมาคณะสงฆ์ได้มอบหมายให้ท่านเป็น พระอธิการทิม อิสริโก เจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะ บูรณะซ่อมแซมกุฏิ และอื่น ๆ อีกหลายอย่างพร้อมด้วยญาติโยมทั้งหลายก็มีความเลื่อมใสต่อท่านมาก เพราะท่านเป็นพระที่เคร่งในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก ต่อมาท่านจึงชักชวนบ้านและญาติโยมทั้งหลายได้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น 1 หลัง ประมาณ 1 ปีเศษ ก็แล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาเรียบร้อยในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น และในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ หลวงพ่อทิมได้จัดให้มีการเปิดโรงเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อสอนกุลบุตรกุลธิดาของประชาชน โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานที่สอน ต่อมาชาวบ้านเห็นดีด้วยกับการศึกษาจึงร่วมมือกับหลวงพ่อสร้างอาคารเรียนขึ้น ๑ หลัง ตามแบบ ป.๑ ข. โดยใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จเรียบร้อย ซึ่งปัจจุบันอาคารหลังนี้ชำรุดทรุดโทรมและรื้อถอนไปไม่ได้ใช้แล้ว ต่อมาท่านก็ชักชวนชาวบ้านช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง สร้างหอฉันและศาลาการเปรียญสำเร็จ ด้วยเงินกว่า ๔ ล้านกว่า งานของท่านก็ได้บรรลุถึงความสำเร็จโดยเรียบร้อยทุกประการ

ด้วยผลงาน ดังกล่าว ในปี ๒๔๗๘ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน ต่อมาในปี ๒๔๙๗ ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร และในปี ๒๕๐๗ ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูภาวนาภิรัติ

ในครั้ง แรกท่านไม่ใยดีกับยศตำแหน่งที่ทางการคณะสงฆ์ได้มอบให้ และถูกทางคณะสงฆ์เร่งรัดให้ท่านเดินทางไปรับพัดยศที่จังหวัด ซึ่งท่านก็ไม่ไปรับ จนกระทั่งชาวบ้านรู้ข่าว จำต้องพร้อมในกันจัดขบวนแห่ไปรับพัดยศและตราตั้งมาถวายให้กับท่านถึงวัด ท่านจึงต้องจำยอมรับอย่างเสียมิได้ โดยมีนายสาย แก้วสว่าง ในฐานะเป็นไวยาวัจกรและศิษย์ผู้ใกล้ชิด เป็นผู้นำคณะชาวบ้านไปรับพัดยศมาถวาย

หลวงปู่เป็นพระที่น่าเคารพและ บูชาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมและวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส ท่านฉันเช้าประมาณ ๗ โมงเช้าและน้ำชาก็เวลา ๔ โมงเย็น ถ้าเลยเวลาหลวงปู่ไม่ยอมฉันแม้แต่น้ำชา ท่านฉันข้าวมื้อเดียวมาประมาณ ๔๗ ปี และ เนื้อ หมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิด ท่านไม่ยอมฉัน มา ๔๗ ปีแล้ว แม้แต่น้ำปลาก็ไม่ฉัน อาหารที่ท่านฉันเป็น ผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่นอย่างนี้อยู่เป็นนิจตลอด
มรณภาพ

ท่านได้ มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ณ หน้าหอสวดมนต์ วัดละหารไร่ หลังจากที่ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา เป็นเวลา ๒๓ วัน คณะศิษย์ได้จัดพิธีศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดละหารไร่ หลังจากทำบุญ ๑๐๐ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับหลวงปู่ทิมแล้ว ได้เก็บศพไว้ที่ศาลา ภาวนาภิรัต ศาลาการเปรียญ วัดละหารไร่ จนกระทั่งได้ทำการพระราชทานเพลิงศพท่านไปเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๖

ขอบคุณที่มาเนื้อหา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=chinpei&date=01-08-2008&group=13&gblog=8
23  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 09:39:49 pm
หลวงพ่อเดิม
ในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ วันพุธ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๒๒ ตรงกับวันที่
๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๓ ฟ้าก็ได้ส่งให้หลวงพ่อมาจุติในโลกมนุษย์เพื่อยังความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ พุทธศาสนิกชนคู่วัดหนองโพ และจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อท่านถือกำเนิดมาเป็นลูกผู้ชายของตระกูล ย่อมเป็นที่ยินดีปรีดาของ
โยมบิดามารดา เป็นที่ยิ่ง จึงขนานนามท่านว่า "เดิม"
สำหรับนามของท่านนี้มีนัยสันนิษฐานได้สองทางซึ่งจะยกมากล่าวได้ค
พี่น้องร่วมท้องของหลวงพ่อ หลวงพ่อมีพี่น้องร่วมท้องดังลำดับได้คือ
๑. นางทองคำ คงหาญ
๒. นางพู ทองหนุน
๓. นายดวน ภู่มณี
๔. นางพันธ์ จันทร์เจริญ
๕. นางเปรื่อง หมื่นนราเดชจั่น
ชีวิตเมื่อเยาว์วัยของหลวงพ่อ
เนื่อง จากหลวงพ่อเดิมเกิดในตระกูลชาวนาน เมื่อเยาวัยท่านก็ได้รับการนำเข้าไปหาพระหาวัด โดยการศึกษาของชาวนาหนองโพในตอนนั้นมีศูนย์กลางคือวัดหนองโพ เมื่อพ่อแม่ต้องการให้ลูกของตัวมีความรู้ก็นำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปถวายเจ้า อาวาส น้อมถวายบุตรแห่งตนเข้าเรียนในสำนักโดยกล่าวคำปวารณาว่า "ขอฝากลูกของกระผม หรือดิฉัน ไว้ในปกครองดูแล จะดุด่าว่าตี สั่งสอนอย่างไร ก็แล้วแต่ขรัวเจ้าจะเห็นสมควร" ระยะที่จะนำบุตรมาฝากวัดก็อยู่ในฤดูแล้ง คือระหว่าง เดือน ๙ เดือน ๑๐ และเดือน ๑๑ เพราะว่าระยะนั้นว่างจากงานไร่นา เด็กจะได้ไม่เอาเวลาว่างไปเที่ยวเกะกะเกเรเข้าพวกพ้องการศึกษาในสมัยนั้นจาก บันทึกกล่าวไว้ว่า กระดานชะนวนหายาก พ่อแม่จึงหาไม้กระดานใสให้เรียบแล้วทำกรอบให้ถือถนัดมือ ลมไฟให้ดำ และเอาเขม่าดินหม้อทาให้ดำ และใช้ดินสอพองอย่างชนิดผสมคล้ายๆชอล์คในปัจจุบันเขียนลงไป เมื่อเวลาพระให้เขียนแล้วอ่าน เมื่อเขียนเต็มแล้วก็เอาน้ำลายลบเวลาลบถ้าสีดำที่ทาไว้ลอก ก็ต้องหาดินหม้อผสมกันแล้วทาทับตากให้แห้งจึงนำเอามาเขียนต่อ การเรียนเขียนอ่านมักจะทำเวลากลางวันเป็นส่วนใหญ่ โดยมีพระบ้าง ฆราวาสบ้าง ช่วยกันสอนให้เขียนอ่านตกเย็นถึงกลางคืนหลังจากกลับบ้านไปกินข้าวกินปลาแล้ว พระทำวัตรเย็นเสร็จก็พากันมาวัดต่อการเรียนกับพระที่วัด สิ่งที่สอนกลางคืนก็คือ การสวดมนต์บทต่างๆ อันเป็นพระพุทธมนต์ เช่น พระอิติปิโสถวายพรพระ และพระคาถาต่างๆ วิธีการเรียนก็คือเข้าไปหาพระตามกุฎิแล้วขอเรียน โดยท่านจะสอนให้วันละท่อนสองท่อนแล้วแต่สติปัญญาของเด็กแต่ละคน
ใคร หน่วนก้านดีก็ต่อมากหน่อย ใครท่าทางปัญญาทึบก็สอนน้อยหน่อย ท่องต่อหน้าท่านแล้วก็กลับบ้าน วันรุ่งขึ้นก็มาใหม่เมื่อได้เวลาก็มาหาท่านแล้วท่องตอนที่สอนให้ไปท่องให้ คล่องไม่ผิดอักขระวิธีแล้ว ก็ต่อท่อนต่อไปให้ ถ้าท่องไม่ได้ก็ต้องท่องให้ได้ หรือไม่ก็ต้องกินไม้เรียวแทน เรียกว่าใครไม่เอาใจใส่ก็มีแนวโน้มไม้เรียวไปอวดพ่อแม่แน่

แต่สิ่ง ที่ดีก็คือจะได้รับการอบรมจากพระให้มีจิตใจสะอาด ไม่ข่มเหงใคร ให้รู้จักศีล รู้จักธรรม บางครั้งท่านก็เล่านิทานธรรมะให้ฟัง เช่น เรื่องในนิทานชาดกต่างๆ สนุกสนาน จนลืมนอนก็มี

การสอนนั้นบางองค์ก็ใจดี เด็กๆ ชอบเรียน บางองค์ก็ดุเพราะวิชาอาคมแข็งเรียกว่า
ร้อน วิชาเด็กก็มักจะกลัว แต่พ่อแม่ชอบว่าพระดุดี กำหราบจอมแก่นแทนพ่อแม่ได้ และมักจะสอนดี มีคนมาฝากลูกหลานเข้าเรียนกันมากจนรับไม่ไหว

การสอน หนังสือไทยสอนจนอ่านออกเขียนได้ตามความจำเป็นในการดำรงชีวิต จึงให้หัดหนังสือขอม(หนังสือใหญ่) คือหัดเขียน หัดอ่านหนังสือขอม อันเป็นภาษาที่จารึกพระเวทย์วิทยาดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ ท่องสูตร สนธิ การเรียกนาม เรียกสูตร มูลกัจจาย์เป็นช่วงๆ ไป พอถึงหน้าทำนาทำไร่ คือ เดือน ๖ เป็นต้นไป ก็เรียกลูกกลับจากวัด มาช่วยงานในไร่ในนา เพราะลูกชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานตั้งแต่ตัวเล็กๆ เพราะพ่อแม่ก็ต้องทำมาหากินควบไปด้วย เรียกว่าช่วยกันทำช่วยกันกิน

เป็น อยู่อย่างนี้ทำให้การศึกษาไม่ติดต่อเหมือนปัจจุบันนี้ เรียนบ้างหยุดบ้าง พอจะเรียนได้ก็ลืมเสียกลับมาเรียนใหม่ก็ต้องเริ่มใหม่เรียกว่ายากลำบากเหลือ เกินในการหาความรู้ บางคนเรียนมาถึงอายุ ๑๕-๑๖ ปี พ่อแม่ก็ให้บวชเณรเป็นระยะเพื่อเรียนวิชา ที่บวชแล้วเรียนเรื่อยไปถึงบวชพระก็มี

เมื่อได้บวชเป็นพระในวัดก็ แบ่งออกเป็นสองแผนก คือ พระองค์ไหนบวชใหม่แล้วมีปัญญาดีชอบทางอักษรศาสตร์ ก็จะเล่าเรียนบาลี การแปรพระธรรมบท และอักขระเลขยันต์ คาถาอาคม ตลอดจนการปลุกเสก วิปัสสนากรรมฐาน พระเวทย์วิทยามนต์ การแพทย์แผนโบราณ เรียกว่าเรียนเพื่อเป็นพระอาจารย์เขา มีทั้งลบผง เสกผง และอุปเทห์ต่างๆ ตามคำภีร์โบราณ ซึ่งการเรียนอย่างนี้ส่งผลให้เกิดพระอาจารย์เจ้าที่มีอาคมขลังมามากต่อมา แล้ว ประเภทนี้โดยมากบวชแล้วไม่ยอมสึกตลอดชีวิต

อีกแผนกหนึ่งบวชแล้วปัญญาไม่ดี หรือไม่ประสงค์จะเรียนทางวิชาอักษรศาสตร์
ก็ เรียนทางการช่างต่างๆ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างปั้น การช่างฝีมือสารพัด เรียกว่าเมื่อครบพรรษาแล้วสึกออกมาก็มีความรู้ติดตัวออกมาประกอบอาชีพได้ สารพัด ประเภทหลังนี้มักจะบวชชั่วคราวเพียงพรรษาเดียว หรือสองพรรษา แล้วก็สึกไปทำมาหากิน

ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น คือ การให้ศึกษาของวัดหนองโพต่อบุตรหลานของบ้างหนองโพ แต่หลวงพ่อเดิมมิได้ไปศึกษาดังเช่นเขาอื่น เพราะเป็นบุตรคนหัวปีของพ่อแม่ จึงไม่ค่อยจะได้เข้าวัดเรียนหนังสืออาจจะเรียนบ้าง แต่เนื่องจากความลำบากในการเรียนที่กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อเลยไม่ยอมเข้าเรียนก็เป็นได้

ชีวิตในวัยรุ่นของหลวงพ่อเดิม

เมื่อกล่าวถึงชีวิตในเยาวัยของหลวงพ่อแล้ว ก็จะขอว่าถึงชีวิตในวัยรุ่นของหลวง พ่อ
ดังปรากฏในบันทึกว่า

ก. ชอบเลี้ยงสัตว์ เมื่อท่านอยู่ในวัยรุ่นท่านชำนาญในเรื่องนกเขามาก เรียกว่า
ดู ลักษณะและฟังเสียงได้คล่อง เข้าใจว่าเรียนมาจากนายพรานดักนกในหมู่บ้าน ท่านชอบดักนก และต่อนกเขามาก มีนกต่อเสียงดีหลายตัว ทำการต่อนกเขามาเลี้ยง มีบางครั้งท่านเห็นใครมีนกดีก็เอาของไปแลกกับเขา ถ้าชอบใจแล้วเป็นไม่บ่น รักสัตว์ทุกชนิด
มาแต่รุ่นหนุ่ม จึงติดมาถึงเมื่อบวชแล้วก็รักสัตว์และเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานก่ไปแลกนกเขา เรื่องรักสัตว์นี้ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าครั้งหนึ่งโยมบิดาได้ซื้อตุ้มหูระย้าให้ข้างหนึ่งให้ใส่ หู ท่านได้นำตุ้มหูไปแลกนกเขา ความรู้ไปถึงหูโยมบิดามารดา จึงถูกว่ากล่าวเอาบ้าง ท่านก็ลงทุนไปเหลาเพลาเกวียนขายเพื่อรวบรวมเงินมาคืนให้โยมบิดามารดาจบครบ ไม่ยอมเสียนกเขา

ข. ลักษณะพิเศษประจำตัว (ผ้าขาวม้าโพกศรีษะ) ปกติหลวงพ่อเดิมเมื่อรุ่นหนุ่มจะไปไหน มักจะเอาผ้าขาวม้าโพกศรีษะอยู่เสมอ เรื่องนี้เล่าว่า โบราณเขาว่า คนผมหยิก หน้ากร้อ
คอสั้น ฟันขาว มักจะไม่มีใครคบ แต่หลวงพ่อเองแม้จะมีผมบนศรีษะหยิก แต่ท่านกลับมีผิวขาว
สูงโปร่ง หน้ายาว ศรีษะนูนอันผิดกับตำรา แต่เมื่อท่านมีผมหยิกท่านจึงเอาผ้าโพกเสียเพื่อ
ไม่ให้ถูกล้อเลียน อาจจะเป็นปมด้อยของท่านท่านอาจจะคิดไปว่าคนคงจะไม่ชอบจึงตัดปัญหาเสียด้วยการปิดบังศรีษะ)

ค. ไม่มีนิสัยติดโลกีย์ ในวัยหนุ่มสาวนั้นหนุ่มสาวในหมู่บ้านหนองโพมักจะไปร่วมงานต่างๆ เช่น ช่วยบ้านสาวปั่นด้าย ทอผ้า ช่วยทำนา ช่วยทำงานรอบกองไฟในเวลากลางคืน หมายตาสาวๆ ไว้เพื่อเป็นคู่หมั้นคู่หมายต่อๆ ไป เรียกว่า มีโอกาสก็เกี้ยวพาราศีกันตามทำนอง อยู่ในศีลธรรมอันดี ซึ่งสมัยโบราณเขารักษาประเพณีอันดีงามไว้ ผิดกับสมัยนี้มาก แต่ในจำนวนนั้นไม่มีหลวงพ่อเดิมอยู่ด้วย เพราะท่านไม่ชอบ คืออาจะเป็นกุศลประจำตัวของท่านที่จะได้บวชเรียนทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธ ศาสนา เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะไม่ได้เป็นหลวงพ่อเดิมให้เราได้พึ่งบารมี ก็ได้ ในระหว่างที่หนุ่มสาวเขานั่งคุยกัน ช่วยกันทำงานนั้น หลวงพ่อจะทำบ้างก็คือ มักจะแอบเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาก้อนดินบ้าง คันยิงกระสุนบ้าง หรือท่อนไม้บ้าง มาปาใส่กองไฟ เพื่อให้เขาตกใจเอะอะกันพอเขาวุ่นวายท่านก็ชอบใจแอบไปหัวเราะคนเดียวใครๆ เขาก็รู้ว่าเป็นฝีมือท่านเขาก็ให้อภัย เพราะรู้ว่าท่านชอบสนุกและไม่มีเจตนาจะทำให้ใครแตกกับใครหรือหันมารักท่าน

ง. ไม่เคยศึกษามาก่อนเลยในวัยรุ่น เป็นการแน่นอนว่าเมื่อท่านยังอยู่ในวัยรุ่นนั้น ท่านมิได้เล่าเรียนมาก่อนเลย แต่หากเรียนทีหลังทั้งนั้น(เมื่อบวชแล้ว) ท่านศึกษาเอาจากประสพการณ์ทั้งทางด้านช่างด้านการเลี้ยงสัตว์ ด้านการทำของต่างๆที่จำเป็น เรียกว่าแม้จะไม่เรียนหนังสือแต่ก็หาประสพการณ์เอาไว้หลายด้าน

สรุป แล้วหลวงพ่อเดิมท่านออกจะแปลกกว่าคนอื่น ในรุ่นเดียวกันคือไม่ติดในกิเลสความรักของหนุ่มสาว ในวัยอันสมควร ไม่ยินดียินร้าย จึงเป็นสาเหตุให้ท่านบวชได้นานจนตลอดชีวิต โดยมิได้เคยมีความรักหรือรู้จักความรักมาก่อนเลยในชีวิต เรียกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก่อนจะเข้าอุปสมบท มีบุญเก่ามาเกื้อหนุนให้ท่านได้ดำเนินตามรอยพระพุทธบาทจวบจนสิ้นอายุขัยของ ท่าน

สู่ความเป็นพระพุทธบุตร

เมื่อท่านอายุครบบวชแล้ว โยมบิดามารดาได้สอบถามความสมัครใจของท่านในการจะอุปสมบท
ท่านไม่ขัดข้อง โยมบิดามารดาจึงจัดเตรียมอัฐบริขารการอุปสมบท นำไปอุปสมบทหลวงพ่อเข้าเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา

ท่านได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เมื่อวันอาทิตย์
แรม ๑๓ ค่ำ เดื อน ๑๑ ปีมะโรง โทศก ตรงกับวันที่ ๓๑ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ โดยมี

๑. หลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม (วัดใน) เป็นอุปัชฌาย์
๒. หลวงพ่อเงิน(พระครูพยุหานุศาสก์)วัดพระปรางค์เหลือง ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอยุพหะคีรี
(ครูสวด)
๓. หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ตำบลสระทะเล อำเภอพยุหะคีรี (คู่สวด) ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาก็คือ "พุทธสโร"
เมื่อุปสมบทแล้วได้เดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดหนองโพ เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามทางที่พระนวกะ จะพึงได้รับ
ความยิ่งยงแห่งพระอุปัชฌาย์และคู่สวดของทาง

๑. หลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม (วัดใน) เป็นพระเถระที่มีความคงขลังเป็นที่เคารพนับถือ ของชาวจังหวัดนครสวรรค์ เชี่ยวชาญพระเวทย์วิทยาการ การวิปัสสนากรรมฐาน อิทธิปฏิหารย์มากมาย หลวงพ่อเดิมไปศึกษากับทางหลายอย่าง (โดยเฉพาะ นะ ปัดตลอด)

๒. หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง เป็นเจ้าคณะอำเภอพยุหะคีรี เป็นผู้มีความยิ่งยงในพุทธาคมเป็นอันมากเป็นลูกศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อ เฒ่า ( รอด) วัดหนองโพ เชี่ยวชาญทางด้านอาคม ทางวิปัสสนา มีวิชาที่ยอดเยี่ยมเป็นเอกคือ น้ำมนต์จินดามณีสารพัดนึก ใครได้รดน้ำมนต์จากท่านแล้วจะมีโชคชัย เคราะห์ร้ายหายดี ปราถนาทุกประการได้ดั้งประสงค์ เมื่อคราวล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จประภาสหัวเมืองเหนือ ได้แวะที่วัดพระปรางค์เหลือง และโปรดให้รดน้ำมนต์ถวาย ดังมีพระราชหัตถ์จดหมายเหตุประภาสต้น เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๔๔๙

๓. หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เป็นพระเถระที่เป็นอมตะ อาคมขลัง วาจาสิทธิ์ เป็นที่ยำเกรงดีทาง
วิปัสสนา และน้ำมนต์ ตลอดจนมหาอุตม์ ไม่เคยออกของมงคลเป็นรูปท่านนอกจากพระเครื่องบ้าง
เป็น ครั้ง ว่ากันว่าเมื่อท่านมรณะภาพไปแล้ว รูปหล่อก็ถ่ายรูปไม่ติด และมีการแห่รูปของท่านไปดูงิ้วในงานประจำปีนครสวรรค์เป็นประจำ มีเกร็ดว่า ทางกรรมการวัดทำเหรียญของท่านไปให้หลวงพ่อเดิมปลุกเศกเพื่อให้เกิดความขลัง เอาใส่ห่อผ้าขาววางไว้บนพานนำไปถวายท่านหลวงพ่อเดิมรับมาแล้วไม่ได้แก้ห่อ ออกยกขึ้นเหนือ
ศรีษะของท่าน แล้วส่งคืนกำชับว่า " ของดีแล้วไม่ต้องปลุกเสก ดีอยู่ที่ตัว" ทั้งที่กรรมการวัดก็ได้บอกท่านเลยว่าเป็นของหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล กรรมการวัดไม่เชื่อเอากลับไปลองยิงปรากฏว่าปืนด้านหมด

การศึกษาหาความรู้ของหลวงพ่อเดิม

ดัง ได้กล่าวไว้แต่ต้นไว้แล้วว่าตั้งแต่วัยเด็กมาจนกระทั่งรุ่นหนุ่ม หลวงพ่อมิเคยได้รับการศึกษาเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อนจนกระทั่งได้บวชเรียน และนำมาจำพรรษา
อยู่ที่วัดหนองโพ ท่านจึงมาเรียนเป็นล่ำเป็นสัน ท่าในมีความมานะพยายามเล่าเรียนศึกษาดังได้เล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า

๑. เล่าเรียนคัมภีร์พระธรรมวินัย และท่องคัมภีร์พระธรรมวินัย ๑๐ ผูก อันเป็นหลักสำคัญ
ของ พระนวกะ ในสมัยนั้นจะต้องเรียน เป็นรากฐานการศึกษาต่อไปในการเป็นนักเทศนา แตกฉานในภาษาบาลีอันเป็นแกนไปสู่การกระทำวิปัสสนากรรมฐานต่อไป ท่านเล่าเรียนวิชาการนี้กับ
หลวงตาชม เจ้าอาวาสวัดหนองโพ ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อเฒ่ารอด หลวงตาชมชื่นชอบความมานะพยายามของหลวงพ่อเดิมมาก ได้ทุ่มเทพลังการอบรมวิชาความรู้ที่มีอยู่ให้หลวงพ่อเดิม อย่างหมดไส้หมดพุง และยังแนะนำสถานศึกษาที่จะเพิ่มเติมให้อีกด้วย รวมเวลาเรียน ๗ พรรษา นับแต่บวชพรรษาแรก

๒. เล่าเรียนพระปริยัติธรรม และคาถาอาคมเบื้องต้น นอกจากจะศึกษากับหลวงตาชมแล้วหลวงพ่อยังได้ไปมอบตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ พันธ์ ชูพันธ์
ซึ่งเป็นฆราวาส เป็นลูกศิษย์สายตรงของหลวงพ่อเฒ่าดังกล่าวแล้วเบื้องต้นอาจารย์พันธ์ เชี่ยวชาญมากทางปริยัติในสมัยนั้นในละแวกใกล้เคียง หาตัวจับยาก เมื่อหลวงพ่อได้รับการศึกษาจากอาจารย์พันธ์(ฆราวาส) เป็นบันไดก้าวแรก และก็ทำให้หลวงพ่อเดิมแตกฉานยิ่งขึ้นแต่เป็นที่น่าเสียด้ายว่า เมื่อหลวงพ่อเดิมได้เล่าเรียนได้ไม่นานนัก อาจารย์พันธ์ก็ถึงแก่กรรมหลวงพ่อจึงคงเล่าเรียนกับหลวงตาชม จนในที่สุดก็ได้รับการแนะนำให้ไปเรียนกับ

๓. หลวงพ่อมี วัดบ้านบน ต.ม่วงหัก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ท่านได้เล่าเรียนต่อทางพระปริยัติต่อกับหลวงพ่อมี ได้รับการถ่ายทอดจนก้าวหน้าแตกฉานออกไปอีกจนสิ้น ความรู้ของหลวงพ่อมีท่านก็ไม่ละความพยายาม ได้เสาะแสวงหาสำนักเรียนต่อ หลังจากเรียนกับ
อาจารย์มี ๒ พรรษา ได้ย้ายต่อไป

๔. อาจารย์แย้ม (ฆราวาส) วัดสระทะเล ได้เข้าเรียนพระปริยัติขั้นสูงต่อไปกับอาจารย์แย้ม
(ฆราวาส) ซึ่งหลวงพ่อได้ตั้งอกตั้งใจเรียนจนเข้าใจแจ่มแจ้ง สามารถแปลเข้าสอบเปรียญในสนามหลวงได้ทีเดียว แต่ท่านกลับหลีกเลี่ยงการแปลธรรมใน
สนามหลวง ท่านได้เรียนเพื่อศึกษาหาความรู้เท่านั้นมิได้หวังเปรียญ หรือเป็นมหาแต่อย่างใด เมื่อเรียนพระปริยัติได้สมบูรณ์แล้ว ท่านรับการแนะนำให้ไปเรียนการเทศนา เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่ท่านได้เรียนมาให้ญาติโยมสาธุชน พ่อแม่ พี่ป้า น้าอา ได้สดับท่านได้ไปศึกษาวิชาการเป็นนักเทศน์กับ

๕. พระอาจารย์นุ่ม วัดเขาทอง เมื่อได้รับมอบตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์นุ่ม วัดเขาทองแล้วก็ได้รับการสั่งสอนถึงการเทศน์ การอ่านใบลานเทศน์และทำนองเทศน์อันเป็น
อักขระภาษาบาลี เป็นหลักสำคัญเนื่องจากท่านมีรากฐานความมั่นคงอยู่แล้วทำให้ง่ายแก่การเรียน ท่านเล่าเรียนอย่างเอาใจใส่จนหมดความรู้ของหลวงพ่อนุ่ม ท่านจึงเดินทางกลับสู่วัดหนองโพตามเดิม

๖. หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เมื่อหลวงพ่อเรียนปริยัติแล้ว ได้ไปศึกษาหาความรู้ทางวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล อันเป็นพระคู่สวดของท่าน ได้รับการถ่ายทอดวิชาการทางวิปัสสนาคาถาอาคม การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ตามที่หลวงพ่อเทศ ถนัดทุกประการ จะเรียนอะไรบ้างนั้น หลวงพ่อมีได้บอกไว้ละเอียด คงรู้แต่เพียงว่าท่านเรียน
กับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล

๗. หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง ทางวิปัสสนากรรมฐานและการเจริญกษิน และที่แน่นอนคือ
" วิชาน้ำมนต์จินดามณีสารพันนึก" เพราะน้ำมนต์ของหลวงพ่อเดิมต่อมาก็คล้ายกับหลวงพ่อเงินวัดพระปรางค์เหลือง

๘. หลวงพ่อวัดเขาห่อ อ.ชนแดน บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ไม่ทราบชื่อหลวงพ่อแน่นอนแต่ท่านได้ศึกษาวิชาด้วย วิชาใดไม่ปรากฏ เพียงแต่ท่านพูดถึงอยู่เสมอ

๙. หลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว ได้ยินมาจากบางที่ว่าท่านไปเรียนวิชามีดหมอกับหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว เพราะต่อมาท่านชำนาญในเรื่องมีดหมอและมีชื่อเสียงมาก พอท่านเรียนสำเร็จหลวงพ่อขำก็มรณะภาพขาดทายาทสืบต่อไประยะหนึ่ง ต่อมาหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้วจึงตามมาเรียนกับหลวงพ่อเดิม และกลับไปทำมีดหมอที่วัดเขาแก้ว

การเรียนวิชาของหลวงพ่อนับแต่ปริยัติ คาถาอาคม วิปัสสนา และการทำของขลัง สรุปรวมแล้ว
กิน เวลาถึง ๑๒ ปี นับแต่บวชมาทำให้ท่านมีความรู้มากมาย เป็นที่เคารพรักของชาวหนองโพทุกคน ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่มักจะคิดกันว่า หลวงพ่อเฒ่ารอด กับชาติมาเกิดเพื่อดูแลวัดของท่าน

ปฏิปทา วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อเดิม

เมื่อได้กล่าวถึงการเล่าเรียนของท่านแล้ว จะได้กล่าวถึงองค์ท่านต่อไปอีก เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เห็นภาพพจน์ของหลวงพ่อได้ถนัด

หลวงพ่อเดิม ท่านเป็นพระที่รูปร่างสูงใหญ่ผิวค่อนข้างขาว ศรีษะของท่านยาวและเป็นสง่า
ไม่ ว่าท่านจะนั่ง ยืน เดิน ดูแล้วน่าเลื่อมใส่ เจรจาพาทีมีแต่คำหวานหู ไม่แช่งด่าใคร เมตตา ปราณี แววตาของท่านฉายแววสันติ และเปี่ยมด้วยความกรุณา ต่อสัตว์ผู้ยากทุกตัวตน
ลักษณะพิเศษของท่านคือ นั่งยืดตัว ลำตัวตรง ไม่ค้อมเอียงไปด้านใด หรือหลังค่อม ยิ้มแย้มแจ่มใส่เป็นนิจไม่เคยเห็นท่านหน้าบึ้งเลยแม้ว่าจะมีอารมณ์โกรธ ขอให้ดูภาพถ่าย
ของท่านประกอบ ต่อไปจะว่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านต่อไป


ก. มานะ อดทน พากเพียร เรื่องนี้จะเห็นได้จากการเล่าเรียนของท่านในพรรษาต้นๆ ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องราวมาแล้ว ว่าหลวงพ่อเดิมไม่เคยเล่าเรียนมาก่อน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ พึ่งจะเริ่มเรียนเอาเมื่อบวช คนที่ไม่มีรากฐาน
มาก่อนเลยตั้งแต่เด็ก แม้แต่เณรก็มิได้บวชเพื่อเล่าเรียนเสียก่อน ท่านจึงใช้ความวิริยะ อุตสาหะ
พาก เพียรมาก เมื่อเรียนพระคำภีร์กับหลวงตาชมและเรียนพระปริยัติกับอาจารย์พันธ์ (ฆราวาส) ท่านหมั่นท่องจำตามคำสอนของพระอาจารย์ หนักเอาเบาสู่ ไม่ให้เป็นที่อิดหนาละอาใจต่อผู้สั่งสอน สอนอะไรก็จดจำเอาไว้ คิดไปค้นไป ไม่เข้าใจถาม ถามแล้วก็ไม่ถามอีกพยายามจดจำ ซึ่งท่านเคยพูดให้ลูกหลานของท่านฟังว่า " ท่านมีนิสัยทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ ไม่สำเร็จเป็นไม่ละ คิดอะไรไม่ได้ก็ต้องคิดไปจนคิดได้ เห็นอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ความก็คิดค้นดัดแปลงแก้ไขไปจนกระทั่งสำเร็จเป็น รูปเป็นร่าง" ซึ่งความอดทนของหลวงพ่อทำให้หลวงพ่อได้รับความรู้ความชำนาญจากอาจารย์ผู้สอน ซึ่งถ้าท่านไม่ความอดทนแล้ว ท่านคงจะเลิกเรียนกลางคันเป็นแน่ หลักฐานพิสูจน์ความมานะพยายามของท่านคือ ระยะเวลา ๗ ปี แห่งความพากเพียรเรียนหนังสือ
ของท่านแล้ว

ข. เป็นพระธรรมกถึกเอก เมื่อท่านได้เล่าเรียนมา ๗ พรรษาแล้วชำนาญในพระธรรมวินัย จึงเริ่มเป็นนักเทศน์ ทั้งเทศน์เดี่ยวและปุจฉาวิสัชนา ฝีปากของท่านในการเทศน์ว่ากันว่าเป็นเยี่ยม ไปเทศน์ที่ใดญาติโยมมาฟังกันแน่น ทั้งเข้าใจง่ายทั้งสนุกไม่ชวนเบื่อ เนื่องจากหลวงพ่อมีพระอาจารย์ดี ไม่ว่าจะเป็นเทศน์มหาชาติ เทศน์ชาดก หรืออะไรก็ตาม ท่านได้รับนิมนต์ไม่ว่างเว้น พอกลับมาถึงวัดเจ้าภาพก็มาคอยอยู่แล้ว ถวายของเพื่อให้รับนิมนต์ เรียกว่าไม่ได้อยู่ติดวัด ใครๆ ก็อยากฟังหลวงพ่อเทศน์ หาพระธรรมกถึกมาเทียบหลวงพ่อยากในสมัยนั้น ท่านเทศนาสั่งสอน
เขามากเข้าๆ ในที่สุดบารมีเก่าของท่านก็ส่งตามมาส่งเสริม

ค. เทศน์สั่งสอนเขา สอนตัวเราบ้าง วันหนึ่งจะเป็นด้วยกุศลของท่านที่จะส่งให้ท่านเป็นพระอาจารย์ที่เป็นที่เคารพบูชา ของคนทั้งประเทศ
ก็เป็นได้ บุญเก่าของท่านตามมา ท่านได้หยุดรับนิมนต์เทศน์เสียเฉยๆ ทำให้ญาติโยมที่มานิมนต์ท่าน
ผิด หวัง แต่ท่านก็ได้จัดพระที่วัดหนองโพไปเทศน์แทนท่านทุกคราวไป เมื่อท่านเลิกเทศน์แล้ว มีลูกศิษย์ลูกหามาถามท่านว่าทำไมไม่เทศน์เหมือนเก่าเล่าขอรับ ท่านตอบเป็นปริศนาว่า "สอนคนอื่นให้เขาทำดีมามากมแล้ว ต้องหันมาสอนตัวเองเสียบ้าง" หลังจากนั้นท่านจึงได้เดินทางรอนแรมไปศึกษาวิชากับพระอาจารย์ที่เคยอุปสทบ ทท่าน เช่น หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลืองหลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม เป็นต้น ทางวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อสอนตัวเอง คือทำให้ท่านมีความลุ่มลึกในพระธรรมวินัย และญาณอันแก่กล้าตามแนวทางที่พระเถราจารย์เจ้าแต่โบราณาได้ใช้ให้เป็น ประโยชน์สืบต่อมา เพราะถ้าท่านเป็นนักเทศน์อยู่แล้ว เราท่านอาจจะไม่ได้รู้จักหลวงพ่อเดิมเหมือนที่เราได้รู้จักท่านอยู่เดี่ยว นี้ก็เป็นได้

ง. สันโดษ ไม่ลุ่มหลงในลาภยศ สรรเสริญ เมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสนั้นท่านก็เป็นไปตามธรรมดา ไม่มุ่งหวังในยศศักดิ์ ครองจีวรเก่าคร่ำคร่า ไม่ชอบครองจีวรใหม่ จะครองต่อเมื่อมีญาติโยมมาถวายเพื่อให้ญาติโยมเหล่านั้นได้ชื่นใจในกุศลที่ ตั้งใจถวาย พอลับหลังแล้วท่านก็ถอดเก็บเอาไว้ เมื่อมีพระในวัดหรือวัดอื่นที่ขาดแคลนท่านก็ให้ต่อไป จีวรของท่านบางครั้งถึงกับประชุนก็มี ลาภสักการะของถวาย ของทานต่างๆ ที่เขาถวายมา
ท่านก็ไม่แยแส ใครมาขอก็ให้ไป ของนั้นจะมีค่ามากหรือน้อยไม่สำคัญ ใครขอเป็นให้ อาทิ นาฬิกา ตะเกียงลาน ปั้นน้ำชา กระโถน ถ้วยชามลายครามของกินของใช้ต่างๆ หมอนปัก หมองอิง มาถึงวัดใครมาขอก็ให้ แต่มีกฏว่าขอแล้วต้องเอาไปเลย เพราะถ้าทิ้งไว้กับท่านแล้วมีคนมาขอต่อ
ท่านก็ให้ไป เมื่อมีเจ้าของที่ขอท่านแล้วกลับมา ของท่านก็บอกว่าให้คนอื่นไปแล้วก็นึกว่าจะไม่เอา เมื่อท่านแจกไม่มีใครจะทัดท่านเพราะเกรงใจ

จากคำบอกเล่าของท่านพระ ครูนิพันธ์ธรรมคุต เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันกรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ตอนนั้นหลวงพ่อเดิมท่านแจกของเขาไปจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว ท่านจึงได้ขอเอาไว้บ้างไม่ใช้เพื่อท่านเอง แต่เพื่อจะเหลือของไว้เป็นอนุสรณ์ของหลวงพ่อบ้าง เป็นตู้ไม้สักแกลายแบบเก่าหนึ่งตู้ภายในบรรจุของที่มีผู้ถวายเขียนไว้ที่ตู้ ว่า ต้นทานของท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ อยู่ที่กุฏิของท่านเดี๋ยวนี้ ถ้าท่านไม่ขอคงจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว

อีกอย่างหนึ่งที่ท่านพระครู นิพันธ์ธรรมคุต ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังเพิ่มเติมก็มี ว่ามีคุณหลวงทางกรุงเทพ ถวายโต๊ะหมู่ไม้ชิงชันประดับมุกไฟอย่างดีหนึ่งชุด พร้อมนาฬิกาปารีสประดับมุกเหมือนกัน หลวงพ่อรับถวายไว้ยังไม่มีใครมาขอ วันหนึ่งท่านพระครูจึงคลานเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วเอ่ยปากว่า "หลวงพ่อขอรับ ผมขอโต๊ะหมู่และนาฬิกาเป็นสมบัติของวัดหนองโพ" หลวงพ่อเดิมท่านถอยหายใจมีสีหน้าแช่มชื่นกล่าวตอบ "อ้ายพ่อคุณเอ๋ย อยากให้ขอมานานแล้ว" ถ้าช้าไปวัดอื่นที่เขายากจนมาขอก่อนก็จะให้เขาไปของที่กล่าวมานี้ปัจจุบันไป ดูได้ที่วัดหนองโพ ให้เห็นเท็จและจริง

แม้แต่เงินทองที่เขามาถวาย ท่านหรือมาเช่าวัตถุมงคลท่านก็ไม่ใส่ใจ ท่านมีหน้าที่อย่างเดียว คือแจกและปลุกเสก เงินทองที่เขาถวายก็เอาใส่ตู้ไว้ ท่านไม่หยิบไม่ต้อง ไม่เกี่ยว กรรมการวัดจัดการเอาเองท่านพระครูเจ้าอาวาสกล่าวว่า วันหนึ่งๆ มีรายได้เข้าในตู้ประมาณไม่ต่ำกว่าหมื่นกว่าบาททุกวัน เมื่อท่านจะต้องการเงินไปช่วยเหลือวัดอื่นๆ สร้างถาวรวัตถุท่านจะขอจากกรรมการวัดไปมอบให้วัดนั้นๆ หรือไม่ท่านก็ไปเป็นประธานแล้วทำวัตถุมงคลออกเช่าจำหน่ายจ่ายแจก ที่วัดนั้นๆ เอาเงินมาสร้าง
ถาวรวัตถุต่างๆ นายธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวไว้อย่างเหมาะสมที่สุดว่า "เงินทองกระทบเพียงแต่นัยน์ตาของหลวงพ่อเท่านั้นมิได้กระเทือนเข้าไปถึงข้าง ใน (จิตวางเฉยไม่ยินดี"

จ. ยศศักดิ์ไม่ยินดี เรื่องนี้หลวงพ่อมีความสมถะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ยังคงเหมือนก่อนที่เคยเป็นมา แม้แต่เมื่อทางราชการได้เห็นคุณงามความดีของท่าน ได้ช่วยกิจการพระพุทธศาสนา มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ท่านมีสมณศักดิ์เป็นที่
"พระครูนิวาส ธรรมขันธ์" เจ้าอาวาสวัดหนองโพและ เจ้าคณะอำเภอหยุหคีรี แทนที่พระครูพยุหานุศาสก์(สิทธิ์) ซึ่งมรณภาพลง ท่านก็วางเฉย ลูกศิษย์ลูกหาต้องเป็นธุระไปรับพัดยศ และแห่แหนไปให้ท่านถึงวัด ซึ่งท่านก็วางเฉยไม่ยินดียินร้าย เมื่อได้มาก็เอาไว้เป็นที่ชื่มชมของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ส่วนหลวงพ่อคงยินดีแต่จะให้เรียกท่านว่า "ท่านอธิการเดิม" "หลวงพ่อเดิม" หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ พระครูเดิม เท่านั้น ท่านถือว่าสมณศักดิ์เป็นของทางโลกกีดขวางทางสงบ "พระครูนิวาสธรรมขันธ์" นั้นคือพัดยศ แต่ท่านก็คือหลวงพ่อเดิม แม้แต่ในเหรียญรุ่นแรกที่ท่านอนุญาตให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ก็ระบุเพียง "หลวงพ่อพระครูเดิม วัดหนองโพ" ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงรู้จักท่านในนามของ "หลวงพ่อเดิม" มากกว่ายศของท่าน คือท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์

จ. มีความเป็นอยู่เรียบง่ายไม่ชอบความสบาย จำเดิมแต่ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองโพต่อจากหลวงตาชม ท่านไม่ชอบอยู่กุฏิ ท่านชอบอยู่ที่ศาลาเล็กของท่านโปร่งทั้งสี่ด้านมีเพียงเสื่อลำแพนกั้นกันลม กันฝนเท่านั้น
สมบัติมีค่าของท่านไม่มี เพราะมีแจกให้เขาหมด มีคนศรัทธาปลูกกุฏิให้ท่านก็ไม่อยู่ท่านบ่ายเบี่ยง เมื่อสร้างศาลาการเปรียญก็มาอยูศาลาการเปรียญ ในที่สุดท่านก็กลับไปศาลาเล็กของท่านอีกไม่อยู่กุฏิ จนในที่สุดพรรษาหลังๆ ที่ท่านชราภาพมากแล้ว ลูกศิษย์ขอร้องงรบเร้าท่านจึงใจอ่อน ด้วยลูกศิษย์ใช้วิธีขออนุญาติรื้อศาลาเล็กของท่านไปเป็นศาลาข้างเมรุเผาศพ เสีย เพื่อให้ประโยชน์แก่บรรดาญาติผู้ตายในการทำฌาปนกิจ แล้วช่วยกันนิมนต์ท่านไปอยู่กุฏิที่ปลูก
ให้จนมรณะภาพ อันที่จริงท่านบอกว่าท่านไม่ค่อยได้อยู่วัดเพราะต้องไปช่วยเขาก่อสร้าง มากกว่า และอีกประการหนึ่งท่านพอใจในความเป็นอยู่ง่ายๆ ดังพุทธพจน์ที่ว่า "บุตรตถาคถต้องเป็นคนเลี้ยงง่าย"

ช. พุทโธวาทเตือนตนจนชั่วชีวิต เรื่องนี้ยืนยันได้หลายคนที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดปรนนิบัติหลวงพ่อเดิม จะเห็นว่าตอนเช้าเวลาประมาณตีสี่ตีห้า อันเป็นเวลาสงบงัดเงียบ ท่านจะตื่นขึ้นมาทำวิปัสสนา และก่อนนั้นท่านจะอ่านหนังสือใบลานสั้นๆ อยู่เล่มหนึ่ง ที่ว่าเป็นเล่มนั้นมิใช้เล่มหนังสือปัจจุบัน แต่หากว่าเป็นการเอาใบลานมาตัดแล้วจารย์อักษรลงไป ท่านอ่านอยู่อย่างนั้นตั้งแต่หนุ่มๆ จนกระทั่งถึงพรรษาสุดท้าย นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้สอบถามจากคนรุ่นก่อนตัวเขาเอง หลังจากที่ได้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อนอนอยู่ปลายเท้าหลวงพ่อ และตื่นมาเห็นหลวงพ่ออ่านหนังสือ
ใบลานสั้นๆ อยู่ก็ได้ความตรงกันว่า ไม่ว่าหลวงพ่อจะอยู่วัดหรือเข้าป่าไปตัดไม้ ไปธุดงค์ หรือไปกิจนิมนต์ที่ใดก็ตาม ท่านจะติดหนังสือนี้ไปตลอดเวลาคู่ชีวิตท่าน แต่ไม่มีใครกล้าขอท่าน
ดูเพราะเกรงใจ จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพแล้วรดน้ำศพของท่าน นายธนิต อยู่โพธิ์ได้ขึ้นไปค้นดู พบหนังสือนี้เข้าจึงนำมาเปิดดูโดยขอขมาลาโทษดวงวิญญาณของท่าน จึงได้ความจริงว่าหนังสือที่หลวงพ่ออ่านทุกเมื่อเชื่อวัน จนตลอดชีวิตนั้นคือ คัมภีร์ปริศนาธรรมสำนวนเก่าทั้งปุจฉาและวิสัชนาเกี่ยวกับคำสอนอันลุ่มลึกของ
องค์ พระชินสีห์มีอยู่ ๖๒ ลาน (จารย์ลงในใบลานสั้น ๖๒ ใบ) คือ มูลกันมัฏฐานและวัปัสนา อีกคัมภีร์หนึ่งคือพะรอธิธรรมภายใน มีอยู่ ๑๖ ลาน จึงแจ่มแจ้งว่าหลวงพ่อท่านสอนตัวท่าน
เองด้วยพุทโธวาท จนตลอดชีวิตสมดังที่ท่านกล่าวกับศิษย์ก่อนจะเลิกเป็นพระธรรมกถึกเอกว่า "สอนคนอื่นมากมาย ต้องสอนตัวเองเสียทีหนึ่ง และมิใช่ว่าสอนเพียงวันสองวันแต่หากตลอดชีวิตของท่านเลยทีเดียว"

เมื่อ สรุปความจากปฏิปทาของหลวงพ่อเดิมที่กล่าวมาทำให้เห็นว่า หลวงพ่อเป็นผู้มีความเพียรเป็นเลิศ บำเพ็ญเพียรจนหน่ายกิเลศ ไม่ติดในลาภสักการะ โลกธรรมแปด เป็นผู้สำรวมระวังในศีลาจารวัตร
จนตลอด ชีวิต เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์โดยแท้จริง เป็นผู้ให้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่เป็นผู้ที่ชอบรับ ถึงรับมาให้ต่อเขาไปหมด เงินทองท่านไม่ยินดี ลาภยศสรรเสริญไม่อยู่ติด ความเป็นอยู่เรียบง่าย เมตตาเพื่อนมนุษย์ผู้ตกยาก จึงทำให้พระกิตติคุณของท่านขจรขจายมาถึงปัจจุบันนี้

หลวงพ่อรับสมณศักดิ์

เนื่อง จากคุณงามความดีของหลวงพ่อเดิมเป็นที่เลื่องลือมาก ทางการจึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ "พระครูนิวาสธรรมขันธ์" เมื่อวันที่
๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้ท่านมิได้ไปรับพัดยศเอง คงให้ลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือ เช่นนายอำเภอ
และกรรมการวัดไปรับมา เมื่อมาถึงสถานีรถไฟมีการแห่แหนสัญญาบัตรพัดยศ ด้วยขบวนช้างม้า ตลอดจนพ่อค้าประชาชน และลูกศิษย์ลูกหาที่พากั
24  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติหลวง ปู่สี ฉันทสิริ เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 09:37:19 pm
ประวัติหลวงปู่สี

ชาติภูมิ
หลวง ปู่สี ฉันทสิริ ชาติภูมิ หลวงปู่สี ท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเกิดเมื่อปีจอ พ.ศ.๒๓๙๒ ตรงกับสมัยของรัชกาลที่๔ ส่วนเกิด วัน เดือน ใด ท่านไม่เคยบอก เมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร เมื่อปลดจากการเป็นทหารแล้วท่านก็มายึดอาชีพค้าวัว ค้าควาย และเป็นพรานอยู่แถว ช่องแค-ตาคลี ซึ่งแต่เดิมมีสภาพเป็นป่าดงดิบ และยังไม่ได้ตั้งเป็นอำเภอตาคลี เมื่อมีการใช้นามสกุลขึ้น ตระกูลของท่านก็ใช้นามสกุลว่า “ดำริ” ชีวิตตอนเป็นหนุ่ม ท่านเป็นคนจริงไม่เคยเกรงกลัวใคร

พระครูธรรมขันสุทร (ม.ร.ว เอี่ยม) พระัอุปัชฌาย์
ท่านใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มอยู่นานหลายปี จนกระทั่งบังเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้อุปสมบท โดยท่านบอกว่า ท่านบวชที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านเส้า (อำเภอบ้านหมี่ ในปัจจุบัน) โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนคู่สวดท่านไม่ได้บอกว่ามีพระอาจารย์รูปใดบ้าง เมื่อบวชได้ระยะหนึ่งท่านได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำเขาเสียบ เขตตำบลช่องแค อำเภอตาคลี เพราะว่าก่อนบวชท่านเคยอยู่ในเขตนี้มาก่อน

หลวงปู่ท่านถือปฏิบัติในการออกธุดงค์ ตลอดเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย จากเหนือถึงใต้ ตะวันออกถึงตะวันตก ท่านไปมาทั้งหมดเคยธุดงค์ไปฝั่งประเทศลาว จำพรรษาอยู่ในประเทศลาวหลายปี ธุดงค์เข้าประเทศพม่าเลยไปประเทศอินเดีย ไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อจะไปนมัสการพระบาทสี่รอย เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ท่านเดินหลงป่าไม่ได้ฉันอะไรเลยเป็นเวลา ๗ วัน จนรุ่งเช้าของวันที่ ๘ มีช้างป่านำหัวบัว และอ้อยมาถวายท่าน (ไม่ทราบว่าเป็นเทวดา หรือว่าเทวานุภาพดลใจให้ช้างนำมาถวาย ?) ท่านจึงนำหัวบัวต้มกับน้ำอ้อยฉัน และช้างยังเดินนำทางท่านไปจนพบกับบ้านของชาวบ้านป่า ท่านเล่าว่า ท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พบชายหญิงกำลังกินอะไรกันอยู่ ท่านจึงเดินไปถามว่า ทำอะไรกันอยู่หรือ ทั้งสองก็ตอบหลวงปู่ว่ากำลังกินยาอายุวัฒนะกันอยู่แต่หลวงพ่อมาช้าไป ยาหมดเสียแล้วจะมีเหลืออยู่ก็ตามใบไม้เท่านั้นเอง และทั้งสองคนก็เก็บยาที่ติดอยู่ตามใบไม้ให้ท่านฉัน ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ท่านบอกว่าที่ท่านมีอายุยืนก็เพราะยานี้แหละ และยานี้ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรง ไม่หลงลืมเหมือนคนแก่ทั่วๆไป

ในการออกธุดงค์ของหลวงปู่นั้น หลานชายของท่านคนหนึ่งเคยติดตามไปด้วย ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นยังเป็นสามเณรได้ติดตามหลวงปู่ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี ค้างคืนที่พระพุทธบาท รุ่งเช้าพอฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็พาออกเดินทางกลับตาคลีทันที โดยหลวงปู่บังคับให้ผู้เล่าเดินออกหน้าตลอดเวลา หลวงปู่จะเป็นคนเดินท้ายปรากฏว่ามาถึงตาคลีเป็นเวลาฉันอาหารเพลพอดี ซึ่งระยะทางจากพระพุทธบาทมาถึงตาคลีให้เดินเก่งอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเดินถึงได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่หลวงปู่พาเดินได้

ในระหว่างที่เดินธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือภาคอีสานนั้น หลวงปู่ท่านได้รู้จักกับพระเกจิอาจารย์ดังมากมาย อาทิเช่น หลวงปู่แหวน แห่งดอยแม่ปั๋ง เพราะมีคนจากตาคลีขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน แล้วหลวงปู่แหวนพูดถึงหลวงปู่สีให้เขาเหล่านั้นฟัง พ่อค้าในตลาดตาคลีชวนพวกรวม ๔ คนขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน เพื่อขอวัตถุมงคล แต่หลวงปู่แหวนไม่ยอมให้ โดยหลวงปู่แหวนบอกกับคนทั้งสี่ว่า ที่มากันนั้นดีๆ ไม่เอากัน มาเอากันถึงที่นี่ ทั้งหมดจึงถามหลวงปู่แหวนว่า ที่หลวงปู่พูดถึงน่ะหลวงพ่ออะไรครับ หลวงปู่แหวนจึงตอบว่าในคอพวกเอ็งก็ยังคล้องกันมาเลย ปรากฏว่าทั้ง ๔ คนที่ไปมีคล้องพระไปเพียงคนเดียว และพระที่คล้องไปคือเหรียญหลวงปู่สี เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงตาคลีก็รีบพากันมาที่วัด เช่าเหรียญหลวงปู่สีกันเป็นการใหญ่ ทั้ง ๔ คนนี้ข้าพเจ้ารู้จักดี จะเขียนชื่อ นามสกุลลง แต่ก็ได้รับการขอร้องไว้

ก่อนที่จะมาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลีนั้น หลวงปู่สีท่านอยู่ที่วัดหนองลมพุก อำเภอโนนสังข์ จังหวัดอุดรธานี ในปีพ.ศ.๒๕๑๒ พระครูนิวิฐปริยัติคุณ พร้อมด้วยชาวบ้าน ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่ให้มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค เพื่อช่วยสร้างวัดให้เจริญ ซึ่งขณะนั้นมีเพียงกุฏิเก่าๆเพียงสองสามหลังเท่านั้น หลวงปู่สีท่านก็เต็มใจมา เนื่องด้วยเพราะท่านเคยอยู่ในแถบนี้มาก่อน ในวันที่คณะผู้จะไปนิมนต์หลวงปู่จะไปถึงนั้น หลวงปู่ท่านทราบล่วงหน้าแล้วว่าจะมีคนไปนิมนต์ท่าน ท่านเก็บของเครื่องใช้จำเป็นรอเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และสั่งที่วัดหนองลมพุกว่า วันนี้จะมีคนมารับให้ไปอยู่ที่ตาคลีเพื่อช่วยสร้างวัด ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านบอกไว้ทุกประการ

ในระยะแรกที่หลวงปู่มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคนั้น ท่านจำพรรษาอยู่ที่กุฏิไม้ หลังเล็กๆหน้าปากทางขึ้นถ้ำ (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) ในขณะนั้นคนในตลาดตาคลียังไม่ค่อยมีใครรู้จักหลวงปู่ และท่านก็ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อันใดให้ใครรู้ วันหนึ่งๆท่านจะนั่งตะบันหมากฉัน การฉันหมากของท่านก็ไม่เหมือนใคร เพราะท่านไม่ได้ฉันเปลือกไม้ที่มีขายตามท้องตลาดเหมือนที่คนกินหมากทั่วไป ซื้อมากิน หลวงปู่ท่านจะฉันแก่นไม้คูนแดงซึ่งจะมีคนตัดมาถวายตลอด ท่านจะนำมาฟันเป็นชิ้นๆ แล้วนำลงตำให้ละเอียดแล้วจึงฉันกับหมากแทนเปลือกไม้

ในราวปลายปี พ.ศ.๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้ทราบจากเพื่อนว่า มีพระเป็นหลวงปู่แก่ๆ มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ข้าพเจ้าจึงชวนเพื่อนๆมาหา จุดประสงค์ที่มาหามิใช่ที่จะต้องการเครื่องรางของขลังแต่ประการใด แต่เพราะต้องการจะมาหาเลขเด็ด เพราะเพื่อนบอกว่าท่านบอกหวยได้แม่นยำมาก ในวันแรกที่มาหาท่านก็ไม่ได้แจกอะไรให้ แต่บอกใบ้หวยให้ ซึ่งหวยก็ออกตามที่ท่านบอก นับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็จะไปหาหลวงปู่เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเห็นหลวงปู่มีอารมณ์ดี ข้าพเจ้าจึงถามหลวงปู่ว่ามีของดีอะไรบ้าง ผมอยากจะได้เอาไว้ป้องกันตัว หลวงปู่ท่านขณะนั้นกำลังกินหมากอยู่ ก็คายชานหมากออกมาใส่ผ้าเหลืองที่ท่านใช้ทำเป็นผ้าขี้ริ้ว แล้วผูกส่งให้ข้าพเจ้าพร้อมทั้งบอกว่า”ห้ามแก้ออกนะ” ท่านยังบอกอีกว่าหากใครเขาอยากยิงมึง มึงก็ถ่างก้นให้มันยิงเลย สามวันสามคืนก็ไม่ถูกมึง (ขออภัยครับ กระผมเปลี่ยนถ้อยคำไปบ้างนะครับ เพราะหลวงปู่ท่านพูดภาษาชาวบ้านแท้ๆ :คนรู้น้อย)

(คำพูดอันนี้มีนัยยะ คือคนที่เขามีของขลัง หรือสักยันต์กินว่าน ที่ว่าหนังเหนียวตีไม่แตกนั้น ถ้าจะฆ่าเอาชีวิตกันก็จะต้อง ใช้ไม้รวกทะลวงก้น เหมือนในเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ที่แสนตรีเพชรกล้า แม่ทัพเชียงใหม่ ฆ่าฟันเท่าไรก็ไม่ตายจนขุนแผนต้องเอาหลาวทะลวงก้นจึงถึงแก่ความตาย... หลวงปู่ท่านมีความมั่นใจมากในการอธิษฐานจิตของท่าน ถึงแม้คนที่ใช้ของๆท่านจะโดนยิงที่จุดตายจุดสำคัญก็ตาม ท่านรับรองว่าปลอดภัย) ข้าพเจ้ารับมาแบบไม่ค่อยเชื่อถือเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนๆ ถึงเรื่องนี้ ขณะนั้นมีพ่อค้าวัว-ควาย เป็นชาวปาทานอยู่ในตาคลีนั่งฟังอยู่ด้วย ซึ่งเขาบอกว่าเขาอยากลองยิงดู ข้าพเจ้ามอบชานหมากของหลวงปู่ให้เขาไป เขานำไปคล้องคอไก่แล้วยิงปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .๓๘ ระยะห่างประมาณ ๑ วาเศษเท่านั้น เขายิงหมดไป ๖ นัดไม่เคยถูกไก่เลย สักนัดเดียว ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ยิงปืนได้แม่นยำมากคนหนึ่ง นับแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงเชื่อถือในชานหมากหลวงปู่

หลังจากที่ชาวปาทานยิงไก่ได้ประมาณสัก ๑ อาทิตย์ ได้มีนายทหารอากาศกองบิน ๔ ชื่อ เรืออากาศโทครรชิต บัวอำไพ (ปัจจุบันยศนาวาอากาศเอก ข้าพเจ้าขอกราบประทานอภัยที่ต้องเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย) ได้มาคุยกับข้าพเจ้าเรื่องชานหมากของหลวงปู่ ในลักษณะที่ท่านไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่จะยิงไม่ถูก ข้าพเจ้าจึงมอบชานหมากที่มีอยู่ให้ไป ๑ ก้อนเพื่อให้ไปทดลอง เที่ยงวันรุ่งขึ้น เรืออากาศโทครรชิตฯ ได้มาหาข้าพเจ้าที่บ้านพร้อมกับเพื่อนนายทหารอากาศอีก ๕-๖ คนโดยขอให้ข้าพเจ้าช่วยพาไปวัดหน่อย ต้องการจะได้ชานหมากอีก พร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า เมื่อได้รับชานหมากไปจากข้าพเจ้าแล้วจึงได้นำไปทดลอง โดยนำไปคล้องคอเป็ดแล้วยิง แต่ยิงเท่าไรก็ไม่ถูก ใช้ปืนถึง ๔ กระบอก และคนยิงก็เป็นมือปืนของกองบินทั้งนั้น ครั้นนำเป็ดออกเอาก้อนหินไปวางแทน ยิงก้อนหินกระเด็นเลย แต่ยิงเป็ดยิงเท่าไรก็ไม่ถูกเป็นที่มหัศจรรย์ใจมาก จึงพาเพื่อนทหารที่อยู่ในเหตุการณ์มาหาข้าพเจ้า เพื่อให้ช่วยพาไปพบหลวงปู่ซึ่งข้าพเจ้าก็พาไปพบ และก็ได้ชานหมากกันมาทุกคน ส่วนก้อนที่นำไปทดลองยิงเป็ดนั้น เรืออากาศโทครรชิตได้นำไปเลี่ยมทองคล้องอยู่จนทุกวันนี้

หลังจากนั้นมาทหารอากาศกองบิน ๔ ตาคลี ต่างก็หลั่งไหลมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่อย่างมากมาย สถานีวิทยุกระจายเสียงทหารอากาศกองบิน ๔ ก็ออกอากาศเรื่องของหลวงปู่ทุกวัน ทำให้หลวงปู่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และใครๆ ก็อยากได้ชานหมาก และวัตถุมงคลของหลวงปู่ ทำให้หลวงปู่ต้องเคี้ยวหมากแจกทั้งวัน ...... (ท่านสามารถอ่านเรื่องของหลวงปู่ฯ เพิ่มเติมได้ จากหนังสือ ”สู่แสงธรรม” ของท่าน พลอากาศตรี มนูญ ชมพูทีป (ยศเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยงข้องกับหลวงพ่อฤาษีฯ ของเราด้วย ซึ่งที่ซอยสายลมยังมีวางจำหน่ายอยู่ครับ)

กระผมขอกราบนมัสการ แทบเท้าหลวงปู่สี ฉันทสิริ ด้วยความเคารพอย่างสูง ธรรมใดที่ท่านบรรลุแล้ว ขอให้กระผมได้เข้าถึงธรรมนั้น โดยเร็วพลันด้วยเทอญ .....

และกระผมขอกราบอาราธนาบารมี ของหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ รวมทั้งครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงทุกๆท่าน ได้โปรดคุ้มครอง ปกปักรักษาให้ทุกๆ ท่านโชคดี มีความสุข และได้บรรลุธรรมตามที่ท่านปรารถนาทุกประการ...ครับ

ขออภัยครับ กระผมมีข้อมูลมาเพิ่มเติมอีกครับ เนื่องจากประวัติของหลวงปู่สี มีนักเขียนหลายท่านที่เขียนไว้ และแต่ละท่านก็อ้างว่าได้รับฟังมาจากหลวงปู่ฯ หรือศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิด มีทั้งส่วนที่คล้ายคลึงกัน และแตกต่างกันบ้าง เพื่อให้เรื่องของท่านมีความสมบูรณ์ กระผมก็ขอนำเรียนเสนอเท่าที่พบ หากข้อความใดไม่เป็นความจริง กระผมขอกราบแทบเท้าหลวงปู่ฯ กรุณาอดโทษให้แก่กระผมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยเถิดครับ...


ท่านนักเขียนที่ใช้นามว่า เต๋อ บางตัน เล่าว่า

หลวงปู่สีท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ในปลายสมัยรัชกาลที่๔ ที่ อ.รัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างโชกโชน จนอายุ ๒๙ ปีจึงเข้ารับราชการเป็นทหารเรือ อยู่ในกรุงเทพฯหลายปี แล้วออกจากราชการ ไปมีอาชีพค้าวัวค้าควายอยู่ระยะหนึ่ง จวบจนอายุได้ ๓๙ ปี ก็เกิดความเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย เห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านจึงตัดสินใจทำการอุปสมบทที่วัดบ้านเส้า ซึ่งอยู่ใน อ.บ้านหมี่ในปัจจุบัน โดยมีพระครูธรรมขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชได้ประมาณ ๕ วันได้เดินธุดงค์มาจำพรรษาที่ถ้ำเขาไม้เสียบ ต.ช่องแค จ.นครสวรรค์ เป็นเวลา ๓ ปี

ขณะที่อยู่ถ้ำเขาไม้เสียบนั้น ท่านพยายามฝึกฝนสมาธิจิต จนมีความกล้าแข็งพอสมควรแล้ว(แสดงว่าท่านพอมีพื้นฐานทางด้าน คาถาอาคม และการฝึกจิตมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส) ท่านก็ได้เริ่มออกเดินธุดงค์สู่สถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งเสาะหาอาจารย์ที่เก่งกล้าในเวทย์วิทยาคมเพื่อขอศึกษาเล่าเรียน โดยเดินขึ้นเหนือบ้าง อีสานบ้าง บางครั้งก็เข้าประเทศลาว ท่านเคยเดินธุดงค์จากพม่าเข้าไปประเทศอินเดีย ถึง ๒ ครั้ง ท่านเคยหลงอยู่ในป่าดงดิบแถบประเทศพม่าหลายวัน โดยไม่ได้ฉันอาหารเลย จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ด้วยสมาธิจิตที่กล้าแข็ง วันหนึ่งหลวงปู่สีก็เดินไปพบกับชาวบ้าน ๒ คนผัวเมียกลางป่า...

สองผัวเมียนั้นบอกท่านว่า แถบนี้ไม่มีบ้านผู้คนอยู่เลยสักหลังเดียว อีกทั้งเสือ สาง ช้างป่า ก็ชุกชุม มีคนหลงป่าตายในป่าแถบนี้หลายรายแล้ว พร้อมทั้งมอบยาให้ท่าน ๑ เม็ด บอกว่าเป็นยาสมุนไพร ปรุงจากรากไม้หลายชนิด เมื่อฉันแล้วจะทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง และทำให้ไม่หิวข้าว หิวน้ำ เมื่อท่านลองฉันดูก็เป็นจริงดังที่ชาวบ้าน สองผัวเมียบอก จึงคิดจะขอบใจแต่ปรากฏว่าหายไปแล้ว จึงรู้ว่าที่แท้แล้วเป็นเทวดามามอบยาทิพย์ให้ท่านนั่นเอง เพราะแถบนั้นไม่มีบ้านคน ซึ่งจากยาที่ท่านฉันนี่เองกระมัง ท่านจึงมีอายุยืนยาวถึง ๑๒๘ ปี

เมื่อพบกับเทวดาแล้ว ท่านก็เดินหาทางออกจากป่าลึก ไม่นานก็พบกับช้างป่าโขลงใหญ่ ท่าทางดุร้าย แต่แปลกที่ช้างทั้งหมดคุกเข่าลงชูงวงแสดงความเคารพหลวงปู่ฯ เป็นที่อัศจรรย์ ท่านจึงขึ้นขี่คอช้างจ่าฝูง ให้มันพาออกจากป่าไปส่งที่ชายแดนพม่า ชาวบ้านป่าเห็นเข้าก็ตกอกตกใจกันใหญ่ ถามว่าเพราะเหตุใดช้างป่าจึงไม่ทำร้าย เพราะช้างป่าโขลงนี้ ปกติหากพบคน ไม่ว่าชาวบ้านหรือพระธุดงค์ มักจะเหยียบจนตาย แต่มันไม่ทำอะไรหลวงปู่ฯ ทั้งยังพากันมาส่งถึงชายป่า ท่านก็ไม่ว่ากระไร หัวเราะหึๆ แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย

คราวหนึ่งมีชาวบ้านตาคลีเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ พอหลวงปู่แหวนรู้ว่ามาจากตาคลี ท่านก็ไล่ให้กลับ บอกว่า “มีเพชรอยู่ในบ้าน ยังไม่รู้จักอีก หลวงปู่สีน่ะ เป็นอาจารย์ของฉันเอง ฉันจะเก่งกว่าท่านได้อย่างไร” ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็เดินทางกลับตาคลี มากราบหลวงปู่สีถามถึงเรื่องนี้ว่า จริงเท็จประการใด หลวงปู่ฯเล่าว่าหลวงปู่แหวนมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านนานแล้ว ก่อนที่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มั่น โดยท่านพบกับหลวงปู่แหวนที่จังหวัดเลย ขณะนั้นหลวงปู่แหวนยังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่

หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า กับหลวงปู่สีมีความสนิทสนมกันมาก บางครั้งหลวงปู่สีจะมาจำพรรษาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และแลกเปลี่ยนวิชาบางอย่างกัน วิชาของทั้งสองท่านจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่น การย่นระยะทาง การเสกใบไม้ เป็นต้น หลวงปู่ศุขมีอายุมากกว่าหลวงปู่สีประมาณ ๒ ปี ฉะนั้นหลวงปู่สีจึงมักเรียกหลวงปู่ศุขว่า หลวงพี่

หลวงปู่สี เล่าให้ศิษย์ฟังว่า ในวันออกพรรษาท่านมักจะออกจากวัดที่ท่านจำพรรษา เพื่อธุดงค์ต่อไปที่อื่นๆ ในคราวที่จำพรรษาอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น หลังจากออกพรรษาแล้วหลายวัน ท่านก็คิดว่าจะเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขขอให้ท่านรั้งอยู่ที่วัดก่อนรอให้ท่านกลับมาแล้วค่อยไป แต่ท่านอาจจะเห็นว่าเลยกำหนดมาหลายวันแล้ว พอหลวงปู่ศุขออกบิณฑบาต ท่านก็เก็บของ แล้วออกเดินทางทันทีไม่ยอมอยู่ตามคำขอ เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ถามพระเณรในวัดก็รู้ว่าหลวงปู่สีไปแล้ว ท่านจึงสั่งให้พระเณรฉันข้าวไปก่อน แต่ให้ฉันรอท่านด้วย แล้วหลวงปู่ศุขก็เข้ากุฏิหอบเอาคัมภีร์ไสยศาสตร์ ๓ เล่มตามหลวงปู่สีไป ปรากฏว่าไปทันกันที่อ.ตาคลี จึงมอบคัมภีร์ทั้ง ๓ เล่มให้หลวงปู่สี แล้วจึงกลับมาที่วัด ปรากฏว่าพระเณรที่วัดเพิ่งฉันข้าวได้ไม่กี่คำเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะระยะทางจากวัดปากคลองมะขามเฒ่า ไปอ.ตาคลี ประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร นั่งรถยนต์ยังต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง แสดงว่าหลวงปู่ศุขใช้วิชาย่นระยะทาง พวกลูกศิษย์ก็ถามหลวงปู่สีว่า ชั่วเวลาที่หลวงปู่ศุขไปบิณฑบาต หลวงปู่สีเดินจากวัดปากคลองมะขามเฒ่ามาถึงตาคลีได้อย่างไร ท่านนิ่งไม่ตอบ แล้วล้มตัวลงนอนทันที ลูกศิษย์เลยไม่กล้าซักต่อ

หลวงปู่สีท่านเดินธุดงค์ไปหลายจังหวัด หลายประเทศเกือบตลอดระยะเวลาที่ท่านบวช จนท่านอายุได้ประมาณ ๙๐ ปี ครั้งสุดท้ายท่านไปสร้างวัดหนองลมพุก อ.โนนสังข์ จ.อุดรธานี ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ (สมบูรณ์) จึงไปนิมนต์ท่านลงมาช่วยสร้างวัดเขาถ้ำบุญนาค ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒

หลวงปู่ท่านเป็นพระที่ไม่สะสม ไม่ยึดติดในความสะดวกสบาย ท่านอยู่กุฏิไม้เก่าๆ หลังเล็กๆ ท่านพระครูฯเจ้าอาวาสจะสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ แต่ท่านไม่ชอบ บอกว่าจะไม่ไปอยู่ พอช่างก่ออิฐเสร็จจะฉาบปูน ปรากฏว่าตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฉาบไม่ติด จนต้องเลิก พระรักษ์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่จึงไปเรียนถามหลวงปู่ว่า ทำไมไปแกล้งช่างปูน หลวงปู่ว่าท่านไม่ได้แกล้งเพียงแต่ท่านไม่อยากอยู่กุฏิใหม่ พระรักษ์จึงบอกว่า หากหลวงปู่ไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร ให้ช่างปูนเขาสร้างให้เสร็จเถิด หลวงปู่ฯ จึงบอกให้ช่างมาทำใหม่ และทำเสร็จในวันนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยใช้เลย จนท่านมรณภาพแล้ว จึงนำร่างของท่านบรรจุในโลงแก้ว แล้วประดิษฐานไว้ที่กุฏินี้

ประมาณปี ๒๕๑๙ ทาง วัดโพธิ์ทอง อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ต้องการหารายได้ เพื่อก่อสร้างถาวรวัตถุ จึงมาขอบารมีท่านหล่อรูปเหมือนขนาด ๓ นิ้ว ของท่านเพื่อให้ประชาชนเช่าบูชา แต่ปรากฏว่าท่านอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล จึงขออนุญาตจากเจ้าอาวาส ต่อมาข่าวนี้ออกทางวิทยุ หลวงปู่ท่านได้ยิน ท่านลุกจากเตียงทันทีแล้วถามว่า ใครเอารูปกูไปหล่อ พระรักษ์ตอบว่า วัดโพธิ์ทองครับหลวงปู่ มาขอกับเจ้าอาวาสแล้ว ท่านบอกว่า ”มันไม่เคารพกู หล่อรูปกูไป ถ้าไม่เอามาให้กู ก็จำหน่ายไม่ออก” ปรากฏว่าจำหน่ายไม่ออกจริงๆ จนต้องนำมามอบให้หลวงปู่ ๘๐๐ องค์ เก็บไว้ที่วัดโพธิ์ทอง ๒๐๐ องค์ ส่วนที่ถวายหลวงปู่นั้นมีคนมาเช่าบูชาเกือบหมด แต่ที่วัดโพธิ์ทองไม่มีคนไปเช่าบูชาเลย นับว่าวาจาของหลวงปู่สีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

เมื่อต้นปี ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค มีงานประจำปีตรงกับวัดหนึ่งทางชลบุรี ซึ่งมานิมนต์หลวงปู่สีไปเป็นประธาน โดยท่านรับปากว่าจะไปในวันที่ ๑๘ มีนาคม พอถึงวันที่กำหนด พระเณรก็เห็นท่านอยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน แต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ชาวชลบุรีที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ ก็เหมารถตามมาที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ถามหาหลวงปู่สี แล้วถามว่า เมื่อวานนี้หลวงปู่ใช่ไหมที่ไปพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมที่ชลบุรี พระเณรที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับงง ถามว่าหลวงปู่ไปกับใคร หลวงปู่ไม่ตอบ ล้มตัวลงนอนตามเคย พอถึงเพล ชาวชลบุรีก็นำอาหารที่เตรียมไปมาถวาย ท่านก็ลุกขึ้นมารับประเคน แล้วนั่งยองฉันอาหาร มีแมวหมาล้อมหน้าล้อมหลัง ชาวชลบุรีเห็นอย่างนั้นก็หมดศรัทธา ว่าท่านไม่ค่อยสำรวม ได้เดินทางต่อไปวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีฯ และได้เล่าให้หลวงพ่อฤาษีฯ ฟังถึงหลวงปู่สี ว่าเป็นพระไม่น่านับถือ หลวงพ่อฯ กลับตอบว่า กราบฉันแสนครั้งยังไม่เท่าได้กราบหลวงปู่สีครั้งเดียว ต่อมาศิษย์ชาวชลบุรีกลุ่มนี้กลายมาเป็นศิษย์ที่นับถือหลวงปู่สีมากที่ สุดกลุ่มหนึ่ง

ที่อำเภอตาคลีมีเด็กคนหนึ่ง พ่อแม่นับถือหลวงปู่มากได้เอาเหรียญของท่านให้เด็กห้อยคอ ต่อมาเด็กเป็นหัดแล้วตาย พ่อแม่ก็จัดการเผาตามประเพณี ปรากฏว่าเผาศพหมดถ่านไป ๒ กระสอบ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไหม้ จึงลองเขี่ยดูตามตัว พบเหรียญผูกเชือกร่มห้อยคออยู่ จึงนำมาดูด้วยความแปลกใจเพราะแม้แต่เชือกร่มก็ยังไม่ละลาย ต้องนำเหรียญออกจึงเผาได้ตามที่ต้องการ

ศิษย์ของท่านคนหนึ่ง มีบ้านเดิมอยู่ที่จังหวัดพิจิตร เป็นเจ้าของวงดนตรี และเป็นนักร้องรูปหล่อ (หากบอกชื่อ นักฟังเพลงทุกคนจะต้องรู้จัก) เคยมาหาท่านแล้วปรับทุกข์ว่า เงินที่ขายที่ทางได้หลายล้านนั้น เลี้ยงลูกวงไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่แสนบาท ขอให้หลวงปู่แนะนำว่าควรจะเลิกวงดนตรี หรือเล่นต่อไป หลวงปู่สีบอกว่าให้เล่นต่อเพราะว่าต่อไปนี้จะดังไปทั่วประเทศ ศิษย์คนนั้นก็ให้สัจจะว่า ถ้าดังทั่วประเทศเหมือนหลวงปู่ว่าจริง จะมาเล่นฟรีให้วัดปีละครั้งทุกปี ต่อมาก็ปรากฏว่าวงดนตรีนี้มีชื่อเสียง ระดับเดียวกับวงดนตรีสายัณห์ สัญญา รับงานแสดงทั่วประเทศ สร้างความร่ำรวยให้เป็นอย่างมาก และเขาก็นำวงมาแสดงตามสัญญาทุกปี จนกระทั่งหลวงปู่สีมรณภาพ ก็ยังมาเล่นให้ฟรีจนถึงปี ๒๕๒๕ ก็ไม่มาเล่นเช่นเคย พอปี ๒๕๒๖ ชื่อเสียงของวงก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในปี ๒๕๒๗ จึงกลับมาขอขมาเล่นให้ฟรีอีก ปัจจุบันนี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้ง (ตอนเขียนเรื่องนี้ปี ๒๕๒๘ นะครับ) ใครเคยให้สัจจะไว้กับหลวงปู่ฯ ถ้าไม่รักษาสัจจะ จะต้องมีอันตกต่ำไม่มีความเจริญ

ปกติหลวงปู่ท่านชอบหมอลำมาก (เข้าใจว่าเป็นแหล่เทศน์ แต่ลูกศิษย์เข้าใจว่าเป็นหมอลำ) เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วทุกปีในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ทางวัดจะจัดงานครบรอบวันมรณภาพของท่าน โดยมีหนังกลางแปลง ๑ จอ และหมอลำ จัดมาได้สองปี ปีต่อไปงดหมอลำ ให้มีหนังกลางแปลงอย่างเดียวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ปรากฏว่ารถฉายภาพยนตร์ไปเสียกลางทาง จน ๓ ทุ่มจึงได้ตั้งจอ พอจะฉายไฟดับ ต้องแก้ระบบไฟฟ้า และฝนตั้งเค้ามาทันทีทันใด แล้วตกอย่างหนัก เป็นอันว่าฉายภาพยนตร์ไม่ได้ จนต่อมาต้องมีหมอลำ (แหล่เทศน์)ถวายท่านด้วย (นี่แหละครับ ถือเป็นบทเรียน ลูกศิษย์เวลาจะทำอะไรต้องเคารพครูบาอาจารย์ ต้องขออนุญาตท่านก่อน เมื่อคราววัดโพธิ์ทองหล่อรูปหลวงปู่ฯ ก็ครั้งหนึ่งแล้ว น่าจะจำกันไว้ พวกเราลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ก็ขอให้ถือเป็นแบบอย่าง อะไรไม่แน่ใจให้เรียนถามท่านก่อน มโนมยิทธิก็ได้กันเยอะแยะ จะทำอะไรเรียนถามท่านก่อนจะปลอดภัยที่สุดครับผม)

หลวงปู่สีท่านป่วยด้วยโรคต่อมลูกหมากบวม โดยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ และเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่ ๒-๓ ครั้ง พอถึงปลายเดือน ๓ ท่านก็บอกกับพระเณรในวัดว่า เดือน ๔ ท่านจะไปแล้ว ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ท่านมรณภาพในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๓ โมงเย็น ตรงกับ วันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ อายุ ๑๒๘ ปี

ก่อนท่านมรณภาพ ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ ถามท่านว่า หากหลวงปู่ไปแล้วใครจะสร้างศาลาต่อล่ะ เพราะยังสร้างค้างอยู่ ท่านบอกว่า เสร็จแน่ จะมีคนช่วยสร้างเยอะ อย่าเอาศพท่านไปเผาก็แล้วกัน ซึ่งต่อมาศพของท่านก็ไม่เน่าเปื่อย มีผู้คนศรัทธาไปร่วมทำบุญสร้างศาลากันมาก จนศาลาเสร็จเรียบร้อย และยังมีเงินเหลือพอที่จะสร้างหอสวดมนต์ได้อีก ๑ หลัง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ๓ ปี คณะศิษย์ได้นำศพท่านออกมาจากโลงแก้ว เพื่อจะเปลี่ยนผ้าครองให้ท่านใหม่ ช่างภาพในอำเภอตาคลี มาขอกรรมการถ่ายรูปท่านไป ๕ รูป เมื่อล้างฟิล์มออกมา ปรากฏว่าไม่ติดสักรูปเดียว รูปอื่นๆ อีก ๓๑ รูป มีภาพทุกใบ เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะแม้แต่ศพของท่านยังถ่ายรูปไม่ติด หากผู้ใดจะถ่ายรูปศพท่าน จะต้องจุดธูป ๙ ดอก ขอต่อท่านก่อน มิฉะนั้นจะถ่ายรูปไม่ติดเพราะเป็นเช่นนี้หลายรายแล้ว ชาวตาคลีรู้เรื่องนี้ดีทุกคน

มีบางคนไปนมัสการพระศพของหลวงปู่สี แล้วนำเอาเถ้าขี้ธูป และก้านธูปในกระถางหน้าศพท่าน กลับไปเลี่ยมห้อยคอแทนพระเครื่อง ปรากฏว่ามีอานุภาพดีมากทางป้องกันอันตรายต่างๆ อีกทั้งโชคลาภค้าขายก็ไม่ใช่ย่อย ฉะนั้นก้านธูป และขี้ธูปในกระถางธูปหน้าศพท่าน จึงมักไม่ค่อยมีเหลือ หากผู้ใดไปนมัสการท่าน ลองจุดธูปแล้วอธิษฐานขอจากหลวงปู่ แล้วดึงเอามาบูชาเพียงก้านเดียวก็พอ อย่าโลภมากเป็นอันขาด รับรองว่าใช้แทนวัตถุมงคลของท่านได้เป็นอย่างดี ...

ขอบคุณที่มาเนื้อหา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=chinpei&date=13-07-2008&group=13&gblog=1
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: คุณคิดว่า ตนเองด้อย และ เสียโอกาส หรือ แพ้ โปรดอ่าน.... เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 09:32:04 pm
เป็นการให้กำลังใจเบื้องต้นที่ดี ครับ

 :25:
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 10:21:44 pm
ผมว่าในแนวคิด ก็ถูกครับ แต่หัวใจ คำเตือน คือ ความไม่ประมาท

  กาลเวลา ย่อมกินกับทั้งสรรพสัตว์และตัวมันเอง

 ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผมได้ยินบ่อย เพราะพระสวนโมกขพลาราม มักจะใช้บรรยายภาพ

ปฏิจจสมุปบาท ของธิเบต ประจำ

 เนื้อหา ของผู้แสดง ต้องการให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ครับ

  พระอาจารย์ส่งเมลบทหนึ่ง บรรยายเรื่อง ลมหายใจ เอื้อกับการปฏิบัติ ถ้าเราใช้ลมหายใจนั้นถูก

  ก็สามารถเข้าถึง นิวาสตะ ได้คือ ถึง อุปสมานุสสติ ได้อันเป็นระดับกรรมฐานของ พระสกทาคามี เป็นต้นไป

  ขอบคุณธรรมต้นปี ครับ

   :25: :25: :25:
27  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: บุพนิมิต แห่ง มรณะ เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 10:17:40 pm
บุพพนิมิต น่าจะเป็นเฉพาะ อุปัตติเทพ ใช่หรือป่าวครับ

 :25: :25: :25:
28  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ปีใหม่ วันนี้ 1 ม.ค.2554 ทำอะไรดีคร้า.... เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 10:15:05 pm
อ้างถึง
อีกอย่างทีีอยากบอกก็คือ คำสอนของ กรรมฐานมัชฌิมา เป็นไปตามพระไตรปิฎก
ดังนั้น สติปัฏฐาน๔ ก็เป็นข้อธรรมที่ผู้สืบทอดกรรมฐานมัชฌิมาทุกท่าน ต้องสอนอยู่แล้ว
สติปัฏฐาน ๔ หรือกรรมฐานทุกสายทุกกอง ล้วนมีสมาธิ(สมถะ)เป็นบาททั้งสิ้น

ขอให้ระมัดระวังคำกล่าว ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่
อย่าได้แยก "กรรมฐานมัชฌิมา ออกจากคำสอนของพระพุทธองค์"
และอยากจะให้เข้าใจว่า กรรมฐานทุกสาย มีอาจารย์ใหญ่อยู่พระองค์เดียวเท่านั้น คือ พระพุทธเจ้า
จะต่างกันบ้างตรงที่ "อุบายการสอน" เท่านั้น

ขอชื่นชม กับคณะทีมงานมัชฌิมา สระบุรี จริง ๆ ครับ
เพราะผมเองก็ไม่ประสพความสำเร็จที่ บ้านผมที่ เกาะสมุย

เพราะพระส่วนใหญ่ เลือกปฏิบัติตาม แนวสวนโมกข์ แล้ว ปฏิเสธ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

โดยที่ไม่ได้ศึกษา ผมได้รับหนังสือ ส.ค.ส. จากพระอาจารย์ 1 เล่ม ปรากฏข้อความ

ห้องที่ 4 คือ พระอานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรค มีข้อความของพระไตรปิฏก ทั้งหมด

และพิศดารด้วย

ผมว่า ชน ส่วนใหญ่ เลือกที่จะปฏิเสธโดยไม่เรียนกรรมฐาน แท้ที่จริงอาจจะไม่ใช่ผู้ภาวนา จริง ๆ ครับ

 :25: :25: :25:
29  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน นครศรีธรรมราช เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 10:10:03 pm
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ ( พ่อท่านคล้าย )

พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์

ประวัติพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน , ประวัติพ่อท่านคล้าย วัดพระธาตุน้อย
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน วัดพระธาตุน้อย พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พ่อท่านคล้าย” ประวัติพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ เทวดาเมืองคอน วัตถุมงคลพ่อท่านคล้าย
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์” นามตามสมณศักดิ์ท่านคือ พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช
พ่อท่านคล้าย นามเดิมว่า “คล้าย สีนิล” เกิดตรงกับ วันที่27ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด จ.ศ.1238 ร.ศ.95 ที่บ้านโคกทือ ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล มีพี่สาว 1 คน ชื่อนางเพ็งเป็นภรรยานายซ้าย เพ็ชรฤทธิ์ ไม่มีบุตรสืบสกุลแต่มีบุตรบุญธรรมหนึ่งคน ชื่อนายครื้น เพ็ชรฤทธิ์


พ่อท่านคล้าย มีลักษณะนิสัย เป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยนละมุนละไม จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ครูอาจารย์และญาติมิตรเป็นอันมาก

เมื่ออายุ ๑๕ ปี หลวงพ่อคล้าย ประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้ายได้ใช้มีดตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ

ขาของพ่อท่านคล้ายนั้นเสียข้างหนึ่ง คือ ขาด้านซ้ายขาดตั้งแต่ตาตุ่มลงไป  (เสียตั้งแต่สมัยเด็กๆ โดนต้นไม้ทับที่บ้านญาติของท่านที่ จ.กระบี่ ขาเป็นหนองเลยต้องตัดทิ้ง โดยท่านใช้มีดปาดตาลตัดเอง) ท่านเลยต้องใส่กระบอกไม้ไผ่แทน

พ่อท่านคล้าย ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2438 (อายุ 19 ปี) บรรพชาที่วัดจันดี ต.หลักช้าง บรรพชาโดยอาจารย์ พระอธิการจันเจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) และพ่อท่านสามารถท่อง พระปาฏิโมกข์จนได้แม่นยำ

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุทกุกเขปสีมา หรือศาลาน้ำ ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ โดยมีพระครูกราย คงคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดทุ่งปอน หรือวัดจันดี
การศึกษาเบื้องต้น พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เริ่มศึกษาเบื้องต้นที่บ้าน โดยบิดาเป็นผู้สอน เรียนวิชาคำนวณ และวิชาอักษรโบราณ จนสามารถอ่านออกเขียนชำนาญ ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอม ต่อมาศึกษาต่อในสำนักนายขำ ที่วัดทุ่งปอน บ้านโคกทือ จนจบหลักสูตร ต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้ายมีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมาก

ต่อมาปี พ.ศ.2441 พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล พอแปลบาลีได้ ศึกษาอยู่เป็นเวลา 2 พรรษา

ปี พ.ศ.2443 ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน

ปี พ.ศ.2445 พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครูกราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุที่พระครูกราย เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาและทรงวิชาคุณทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น

ปี พ.ศ.2447 พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาเพื่อศึกษาภาลีและอภิธรรมเพิ่มเติม

ปีพ.ศ.2448 พ่อท่านกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอน (จันดี) ตลอดเวลาที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษา บาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ติดต่อกันมาโดยมิได้ประมาท ด้านการก่อสร้างก็ได้สร้างใว้ตามวัดต่างๆพอสมควร

พ่อท่านคล้าย เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน
ในปี พ.ศ.2448 พระปลัดคง เจ้าอาวาสวัดสวนขัน ลาสิกขาบท คณะอุบาสกอุบาสิกาของวัดสวนขัน ได้ร่วนกันเสนอไปยัง ท่านพระครูกรายเจ้าคณะแขวงฉวาง ขอแต่งตั้ง”พ่อท่านคล้าย”เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขันแทน ท่านพระครูกรายก็เสนอไปยังเจ้าคณะเมือง (ม่วง เปรียญ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระศิริธรรมมุนี เจ้าคณะเมือง ได้แต่งตั้งให้พ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันแต่นั้นมา

ประวัติวัดสวนขัน
วัดสวนขันเป็นวัดราษฎร์ เดิมตั้งอยู่ที่ วัดราษฎร์บำรุง ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดคุดด้วน เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งคลองคุดด้วน มีพระปลัดคงเป็นเจ้าอาวาส แต่ที่ตั้งเป็นที่ไม่เหมาะบางประการ เนื่องจากฤดูน้ำก็ถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่คับแคบ จึงทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน สร้างวัดขึ้นมาใหม่ใน ป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของอุบาสกผู้มีศรัทธาถวายให้วัด และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า วัดสวนขัน
วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง จ.นครศรีฯ พระปลัดคงได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระปลัดคงเป็นลูกศิษย์ของพระครูกราย ต่อมาลาสิกขาบทพระครูกรายเสนอพ่อท่านคล้ายให้เป็นพ่อท่านคล้าย ตลอดมาเป็นเวลา65ปี จนถึงวันมรณะภาพ
พ่อท่านเคยแต่งบทกลอนกำดัดสอนนาคใว้น่าฟังดังนี้

ศีลสิบโดยตั้ง  รักษาโดยหวัง
องค์ศีลทั่วผอง  สองร้อยยี่สิบเจ็ด
สิ้นเสร็จควรตรอง  ศีลสิบหม่นหมองสองร้อยมรณา

สมณศักดิ์พ่อท่านคล้าย
ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามชื่อเดิมว่า พ่อท่านคล้าย
ตำแหน่ง
– ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ จนมรณภาพ
- เป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.๒๕๐๐ เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดีหรือวัดทุ่งปอน ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า วัดพระธาตุน้อย และแต่งตั้งให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว วัดนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว

งานด้านศาสนา
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก ผลงานสำคัญ ดังเช่น สร้างวัด พ่อท่านคล้ายเห็นความสำคัญของปูชนียสถาน จึงได้สร้างวัดขึ้นหลายแห่ง ได้แก่ วัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๐ ทายาทอึ่งค่ายท่าย ถวายที่ดิน และวัดที่สำคัญที่สุดคือวัดพระธาตุน้อย หรือคนทั่วไปเรียกว่า วัดพ่อท่านคล้าย

ขอบคุณเจ้าของบทความและอ่านประวัติต่อที่เว็บนี้นะครับ

30  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติ หลวงพ่อแดง ติสฺโส วัดแหลมสอ เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 10:05:25 pm

[ชื่อพระ] ประวัติ หลวงพ่อแดง ติสฺโส วัดแหลมสอ เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี

[รายละเอียด] หลวง พ่อแดง ติสฺโส เป็นบุตรของ นายแก้ว-นางอ่อน ทองเรือง เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๓๔ ที่บ้านเขาปุก ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีพี่น้องด้วยกัน ๔ คน หลวงพ่อแดงท่านเป็นลูกคนที่สองของครอบครัว เมื่ออายุครบ ๒๑ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๕๕-๒๔๕๖)บิดามารดาผู้มั่นคงในพระพุทธศาสนา เห็นว่าลูกชายสมควรที่จะได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ท่านได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสำเร็จ โดยมี พระครูวิบูลธรรมสาร (เพชร ติสฺโส) เป็นพระอุปัฌชาย์ พระครูทีปาจารคุณารักษ์ (รักษ์ อินฺทสุวณฺโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ทับ วัดแจ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วก็เคร่งครัดต่อพระวินัย เอาใจใส่ในกิจวัตร ตามหน้าที่ของพระใหม่จะพึงกระทำ อยู่เป็นพระได้ ๒ พรรษา ก็มีเหตุบังเอิญให้เป็นโรคผิวหนังคันไปทั้งตัว รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาเพื่อออกไปรักษาในเพศฆราวาส เมื่อรักษาหายแล้ว บิดามารดาเห็นว่าลูกชายได้บวชเรียนแล้วควรมีเหย้ามีเรือนต่อไป จึงได้สู่ขอ น.ส.แปลก บุตรสาวของนายเพชร-นางเหลือ ชาวบ้านสระเกศให้มาเป็นภรรยาท่าน เมื่อทำการสมรสเรียบร้อยแล้วอยู่กินกันมาเป็นเวลาประมาณ ๙ เดือนเศษ ก็มีเหตุให้ท่านต้องแยกทางกัน ภายหลังหย่าร้างอยู่ระยะเวลาหนึ่ง บิดามารดาก็เกลี้ยกล่อมให้ท่านมีครอบครัวใหม่(เพื่อมีบุตรหลานสืบสกุลตาม ธรรมดาของวิสัยชาวบ้านโดยทั่วไป แต่ด้วยจิตใจที่ไฝ่ในธรรม ท่านได้ปฏิเสธความประสงค์ของบิดามารดา ในที่สุดหลังจากได้ออกมาครองเพศฆราวาสยังไม่ถึง ๑ ปี ท่านก็ได้สละเพศคฤหัสถ์เข้าวัดบรรพชาอุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง ณ พัทธสีมาวัดสำเร็จโดยมี พระครูวิบูลธรรมสาร (เพชร วชิโร) วัดอัมพวัน เกาะพงัน อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่ ๒ เป็นพระอุปัฌชาย์ พระครูทีปาจารคุณารักษ์ (รักษ์ อินฺทสุวณฺโณ วัดประเดิม ภายหลังเป็นเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่ ๓)และ พระอาจารย์ทับ วัดแจ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า"ติสฺโส" หลังจากท่านได้อุปสมบทแล้วก็ได้ติดตามพระอุปัฌชาย์(หลวงพ่อเพชร วชิโร)ไปอยู่ที่เกาะพงัน เพื่ออบรมสมถวิปัสสนากรรมฐาน รวมทั้งอุปัฏฐากอุปัฌชาย์อาจารย์ตามหน้าที่ของบรรพชิตผู้บวชใหม่ เป็นเวลาประมาณ ๗ เดือน จึงได้ลากลับมาพำนักอยู่ที่วัดสำเร็จ ภายหลังเห็นว่าที่พำนักสงฆ์เขาเล่เป็นที่สงบสงัดเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม จึงได้ออกจากวัดสำเร็จมาพำนักที่พำนักสงฆ์เขาเล่เป็นเวลาหลายปี (เขาเล่สร้างมาตั้งแต่ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕ และเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สมเด็จพระปิยมหาราชเคยเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗และ ร.ศ.๑๐๘) ต่อมาวัดท้องกรูด(วัดสันติวราราม) เกิดขาดเจ้าอาวาส อุบาสกอุบาสิกาจึงพร้อมใจกันมานิมนต์ท่านไปอยู่ ท่านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจึงรับนิมนต์ ท่านมาอยู่ที่วัดท้องกรูดเป็นเวลาหลายปี จนพระอุปัฌชาย์มอบหมายให้ทำหน้าที่พระอนุสาวนาจารย์ในการบวชกุลบุตร ท่านได้ทำหน้าที่อยู่หลายปี และสิ่งต่างๆที่ท่านได้สร้างขึ้นก็มีหลายอย่างเช่น โรงอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิที่อยู่ เป็นต้น ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดท้องกรูด (วัดสันติวราราม) อยู่ประมาณ ๗ ปี ก็เกิดเบื่อหน่ายในภารกิจวงจรชีวิตของสมภาร โอกาสที่จะบำเพ็ญสมณธรรมลดน้อยลง จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส มุ่งหน้าหาความวิเวกสงบสงัดเป็นที่ตั้ง สถานที่ต่างๆที่ท่านได้จาริกธุดงค์ไปอยู่เช่นถ้ำยายละไม (ที่ซึ่งท่านและหลวงพ่อแดง วัดคุณาราม ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานจากพระครูประยุตธรรมโสภิต(ทองไหล ผลผลา) อดีตเจ้าอาวาสวัดละไม) แหลมสอ แหลมเสร็จ น้ำรอบ วัดโพธิ์แหลมสอ วัดโพธิ์บ้านทะเล ท้องตะโหนด ตรอกยวน รูเหล็ด วัดพระคอหัก เกาะแตน เกาะมัดสุม เกาะราบ เกาะฟาน เป็นต้น เมื่อท่านปลดเปลื้องสิ่งที่หนักลงจากบ่าแล้ว หลวงพ่อแดงท่านได้สร้างเรือใบขนาดเล็กขึ้นมาลำหนึ่ง ท่านได้อาศัยเรือลำนี้ ข้ามท้องทะเลอันกว้างใหญ่ เที่ยวธุดงค์รอนแรมหาความวิเวก ฝึกจิตใจให้เหนือวิสัยแห่งโลก อยู่ตามเกาะต่างๆรอบอาณาบริเวณเกาะสมุย บางครั้งก็ธุดงค์ขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่หรือไปบกบ้าง เมื่อหลวงพ่อแดง มาพำนักอยู่แถวริมทะเลใกล้เขาพระเจดียhttp://www.taradpra.com/itemDetail.aspx?itemNo=531955&storeNo=4918
31  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: บวชชีพราหมรณ์ ที่วัดพุคำบรรพต พระพุทธบาท สระบุรี เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2010, 09:49:31 pm

วัดพุคำบรรพตตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขาอีมด  ตำบลพุคำจานอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ห่างจากถนนหลวงสายกรุงเทพฯ-ลพบุรี ประมาณ 1500 เมตร ในอดีตวัดพุคำบรรพตเป็นสำนักสงฆ์ถ้ำเขาอีมด โดยมีพระอาจารย์มหาอ่อน สวาทโร จากวัดธาตุทอง ธุดงค์มาพบ และใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ต่อ มาท่านอาจารย์ได้แสดงเจตนารมณ์ถวายให้ท่านเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์ เจ้าอาวาสวัดธาตุทอง รับอุปการะสร้างเป็นวัดและสถานที่ปฏิบัติิธรรมสำหรับชาวบ้าน และพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป

ท่านเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์  ต้องการให้วัดแห่งนี้ เป็นศูนย์รวมของการศึกษา และ ศูนย์วัฒนธรรมทางธรรมชาติ  เป็นที่พักผ่อนของประชาชนทั่วๆ ไปที่ต้องการศึกษาธรรมชาติกับคน เพื่อคนจะได้ไม่รังแกธรรมชาติ ท่านได้เริ่มปรับปรุงซ่อมแซมถนนสำหรับชาวบ้าน  พร้อมวางโครงการปลูกป่าทดแทน พร้อมๆ กับการสร้างวัด ร่วมกับประชาชนพระภิกษุสงฆ์ หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน ตามโครงการปลูกป่าของป่าไม้ อำเภอพระพุทธบาท
 
และเริ่มปลูกต้นไม้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 จำนวน 2000 ต้น ปี พ.ศ.2524 ปลูกเพิ่มอีก2000 ต้นและ ปี พ.ศ.2525 ปลูกเพิ่มจำนวน  4000 ต้น ปัจจุบันต้นไม้เหล่านั้นได้เจริญเติบใหญ่ปกคลุมพื้นที่แห้งแล้งแต่เดิม ให้ความชุ่มชื้น เขียวขจี เป็นที่อาศัยของนกกา และสัตว์อื่นๆ

เขาอีมดเป็นจุดเริ่มต้นของเทือกเขาเขียว มีแนวยาวตลอดไปถึงเพชรบูรณ์ รอบๆ บริเวณที่ตั้งวัดล้อมด้วยเทือกเขาต่างๆ เช่น เขาแผงม้า เขาน้อย เขาช่องลม เป็นต้น ปัจจุบันเทือกเขาเหล่านี้ได้ถูกทำลายจนเสียสภาพของป่าเขา วัดพุคำบรรพต มีเจตต์จำนงจะ รักษาสถานที่นี้ และบริเวณโดยรอบให้คงความเป็นป่าตลอดไป

วัดจึงได้สร้างถาวรวัตถุ และสภาพแวดล้อมรอบๆ เขาไว้ให้ประชาชนทั่วไป ได้้ศึกษาธรรมชาติ เช่น ถนนขึ้นเขา ศาลาที่พัก สวนคติธรรม สวนฤาษีดัดตน ไม้ป่าสมุนไพร  และพระพิทักษ์ไพรวัน พระพุทธรูปปางสมาธิ ที่ประดิษฐานอยู่บนเขา สามารถมองเห็นได้จากถนนหลวงสายกรุงเทพฯ-ลพบุรี  เด่นสง่าเพื่อเตือนใจและคุ้มครองป่าไม้แห่งนี้ให้คงอยู่คู่ขุนเขา และให้เป็นศูนย์วัฒนธรรมทางธรรมชาติสืบต่อไป
32  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / บวชชีพราหมรณ์ ที่วัดพุคำบรรพต พระพุทธบาท สระบุรี เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2010, 09:48:36 pm
วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี มีถือศีลและบวชชีพราหมรณ์

 ที่วัดพุคำบรรพต พระพุทธบาท สระบุรี

โทร.ถามได้ที่ 089-2415817 และ 081-9949982
33  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ตารางงานปริวาสกรรม ภาค วัด พร้อมเบอร์ติดต่อ เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2010, 09:31:37 pm
ขออาราธนานิมนต์ พระภิกษุสามเณรร่วมประพฤติวัตร

ปฎิบัติธรรม เข้าปริวาสกรรม ณ.วัดไทรโพธิ ต ควนสุบรรณ อ บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี

ดำเนินงานโดย...พระครูศีลธรรมโสภิต

วันที่ ๒๙ ธ.ค - ๗ ม.ค ๕๔ จัดเป็นปีเเรกเเละจะจัดขึ้นทุกๆปี
ติดต่อสอบถาม....
พระอาจารย์ กบ โทร ๐๘๔-๗๕๗๖๑๘๕
พระครูศีลธรรมโสภิต โทร ๐๘๗-๘๙๘-๘๘๖๒
พระอาจารย์ทูล โทร.๐๘๗-๗๔๕-๙๑๐๐, พระอาจารย์เพ็ง โทร.๐๘๗-๕๑๗-๖๑๗๓

ดำเนินงานโดย...พระอาจารย์ ทองคำ ฉนฺทคโม โทร.๐๘๑-๒๗๙-๙๒๖๘
34  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: น้ำท่วม ถึงคิวภาคใต้แล้ว ครับ ปีนี้ท่วมหนักมาก ทุกที่ทุกเขต เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 07:48:15 am
ข้อมูลน้ำท่วมภาคใต้ล่าสุด


กรมอุตินิยมวิทยา รายงานเพิ่มเติมว่า 15.00 น.ที่ผ่านมาพายุเข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นที่จังหวัดพังงาแล้วก็ทำให้ฝนตกทั่วภาคใต้ อย่างแน่นอน พูดง่ายๆครับตอนนี้ฝนตกเป็นอันเรียบร้อยแล้ว น้ำท่วมหนักอย่างแน่นอน


ศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยเส้นทางถนนทางหลวงต่างๆ


จังหวัด สงขลา 


ทางหลวงหมายเลข 42 และ 43 


สามแยกนาวี ไปทางแยกเทพฯ,นาหม่อม – จะนะ ผ่านไม่ได้ อำเภอนาทวี ผ่านไม่ได้ทั้งหมดครับ โดนตัดขาดเรียบร้อยแล้ว

ระดับน้ำสูงสุดตอนนี้อยู่ที่ 80 เซนติเมตร อยู่ที่แยกทางหลวงหมายเลข 34 – นาทวี ครับ

เรือเล็กเข้าไปได้ ทางทหารเรือส่งเรือเข้าไปช่วยเรียบร้อยแล้วครับ

ผลกระทบทางธุรกิจนั้น นักท่องเที่ยวมาเลเซียคงไม่ได้เข้ามาเที่ยวแน่นอน ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวของภาคใต้ทางด้านหาดใหญ่

แล้วจะอัพเดท อีกช่วงคือช่วงเช้ามืดครับ

อ่านต่อที่นี่นะครับ เพื่อน ๆ ที่อยู่สงขลา ตะโนด

http://www.oknation.net/blog/Tarnold
35  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: น้ำท่วม ถึงคิวภาคใต้แล้ว ครับ ปีนี้ท่วมหนักมาก ทุกที่ทุกเขต เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 07:46:33 am


"ชินวร" เผยศธ.สั่งปิดรร.ในพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้แล้ว 152 แห่ง ระบุหลังน้ำลด 2 วันถึงประเมินความเสียหายได้

นายชินวร บุญเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จากสถานการณ์น้าท่วมที่เกิดขึ้นทำให้โรงเรียนรับผลกระทบจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ได้สั่งการให้ปิดโรงเรียนในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจำนวน 152 แห่ง รวมทั้งยังต้องเฝ้าระวังอีก 7 พื้นที่การศึกษาใกล้ชิดที่อาจจะถูกน้ำท่วม

ส่วนงบประมาณที่จะต้องมีการชดเชย และซ่อมแซมอุปกรณ์การเรียน เบื้องต้นจะต้องใช้เวลา 2 วันหลังจากน้ำลด

เพื่อ ทำการประเมินความเสียหายอีกครั้ง สำหรับอุปกรณ์การเรียนที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอยู่ในโครงการเรียนฟรี 15 ปีนั้น รัฐบาลจะต้องชดเชยให้กับนักเรียนด้วย ส่วนในเรื่องงบประมาณในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน

http://tnews.teenee.com/crime/57756.html
36  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: น้ำท่วม ถึงคิวภาคใต้แล้ว ครับ ปีนี้ท่วมหนักมาก ทุกที่ทุกเขต เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 07:17:37 am
วันนี้ (2 พ.ย.2553) นายกรัฐมนตรี นาย อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ได้กล่าวถึงปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ว่า ได้จัดส่งเครื่องบิน C-130 ไป ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่แล้ว และในวันนี้จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอ เรนซ์ เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

 

นายกฯ กล่าวต่อว่า สิ่ง ที่เป็นปัญหาและน่ากังวลในขณะนี้ คือ การที่เส้นทางเข้าสู่ตัวเมืองถูกตัดขาด สำหรับการเตือนภัยกับนักท่องเที่ยวได้มีการดำเนินการไปแล้วเมื่อสองวันที่ ผ่านมา

 

อย่างไรก็ดี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นห่วงสถานการณ์ใน 8 จังหวัด ภาคใต้ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่ไปดูแลสถานการณ์ใน จ.พัทลุงโดยเฉพาะ
       

นอก จากนี้ ยังเป็นห่วงการเคลื่อนที่ของพายุดีเปรสชั่น ที่ย้ายไปฝั่งอันดามัน ทำให้สถานการณ์ที่ จ.พังงา และกระบี่ขณะนี้ มีความน่าเป็นห่วงอย่าง แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสั่งการให้ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแล้ว

 

ในขณะที่ นาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บ่ายวันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมน้ำท่วมที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะสถานการณ์น่าห่วงที่สุด และลำดับแรกจะเร่งอพยพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ที่ยังไม่สามารถออกจากบ้านพักได้ และจะเร่งรักษาพื้นที่โรงพยาบาลไม่ให้ถูกน้ำท่วม

 

ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมว่า ทางกองทัพโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ได้ส่งกำลังพลลงไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เต็มที่ ส่วนเรื่องของงบประมาณ ยังคงใช้งบของกระทรวงกลาโหม ไม่มีการขอเพิ่มเติมในขณะนี้ แต่หลังจากนี้อาจมีการของบในการดูแลยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกันยังไม่ได้รับรายงานเรื่องค่ายทหารได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม แต่อย่างใด

 

 

เรือข้ามฟาก – เรือเฟอร์รารี ประกาศหยุดเดินเรือ

 

สำหรับการให้บริการเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเกาะสมุย, เกาะพะงันและหมู่เกาะต่าง ๆ ทางบริษัทเดินเรือทั้ง 2 บริษัทคือบริษัทซีทรานส์เฟอร์รี่กับราชาเฟอร์รี่ได้ประกาศหยุดเดินเรือ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. วันนี้ (2 พ.ย.) เนื่องจากในทะเลมีคลื่นลมแรงโดยคลื่นสูงประมาณ 3-4 เมตร บางช่วงสูงมากกว่า 4 เมตร

 
บ้านผมเองครับ ตอนนี้การเดินเรือ หยุดติดแหงกครับ น้ำดื่มเป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุดครับ



ขณะที่บริเวณริมแม่น้ำตาปีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นทุกแห่ง โดยระดับน้ำเกือบล้นตลิ่งในบางจุดแล้ว

รวม ทั้งในเขตตัวเมืองสุราษฎร์ธานีที่อยู่ริมแม่น้ำได้อพยพขนย้ายข้าวของไปอยู่ ในที่สูงเกือบทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ทางเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีได้นำกระสอบทรายไปแจกจ่ายตามบ้านพักของ ชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมขังแล้ว ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนได้ไปนำกระสอบทรายมาปิดกั้นน้ำกันเอง

 

 

ผู้ว่าฯ อุบล สั่งอพยพ ปชช. หลัง น้ำชีจ่อทะลัก

 

นาย สุรพล สายพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า วันนี้น้ำมูลจาก จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ในพื้นที่ของ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ส่วนน้ำชีอยู่ในพื้นที่ของ จ.ร้อยเอ็ด คาดว่าแม่น้ำมูลและแม่น้ำชีรวมถึงลำน้ำสาขาต่างๆ จะไหลมาใน จ.อุบลราชธานี ช่วงวันที่ 8-15 พฤศจิกายน จึงขอให้หมู่บ้านที่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ให้เตรียมการอพยพเคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าออกจากพื้นที่ โดยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดำเนินการเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน ส่วนเกษตรกรขอให้เร่งเก็บเกี่ยวข้าวไว้ในยุ้งฉาง

 

ด้านนางคนึงนิจ โกศัลวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 7 อุบลราชธานี เปิดเผยว่า ในขณะนี้เกิดภาวะน้ำท่วมในหลายจังหวัด ทำให้ประชาชนขาดรายได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมและแก้ไขปัญหา การว่างงาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 7 อุบลราชธานี เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น ได้แก่ การทำกาแฟสด ปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้ การผสมเครื่องดื่ม น้ำดื่มสมุนไพร หลักสูตร 1 วัน สำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วมหรือผู้ว่างงานที่สนใจ สอบถามรายละเอียดและสมัครเข้ารับการอบรมอาชีพระยะสั้นได้ที่ ฝ่ายประสานการพัฒนาฝีมือและศักยภาพแรงงาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 7 อุบลราชธานี ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 โทรศัพท์หมายเลข 045-319550

 

 

พายุดีเปรสชั่น เข้าระนอง เกิดดินถล่ม

 

นาย ชาสันต์ คงเรือง ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า จากปริมาณฝนที่ยังตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตพื้นที่จังหวัดระนอง จากอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่นที่พัดผ่านประเทศไทย ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดระนองมีสภาวะเสี่ยงที่จะเกิดดินเลื่อนไหล และดินโคลนถล่ม อันเป็นผลจากดินอุ้มน้ำมานาน ประกอบกับลักษณะของพื้นที่ที่เป็นภูเขา และมีภูมิประเทศลาดชัน ทาง สนง.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระนอง จึงได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวโดยการเตรียมแผน รับมือกับทุก ๆ สถานการณ์เอาไว้ พร้อมทั้งประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับพื้นที่ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมิสเตอร์เตือนภัย กรมอุตุนิยมวิทยา พร้อมทั้งส่งเอกสารแผนงานและจำนวนสถานที่เสี่ยงภัยไปให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ได้ทราบ หากเกิดเหตุการณ์จะได้สามารถแจ้งเตือนหรือช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วง ทีและมีประสิทธิภาพ

 

จังหวัดระนองมีพื้นที่เสี่ยงภัยที่เกี่ยวกับดินโคลนถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก ใน 5 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.กระบุรี อ.ละอุ่น อ.กะเปอร์ และอ.สุขสำราญ รวม 28 ตำบล 84 หมู่บ้าน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอกระบุรี และอำเภอละอุ่นได้มีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนของน้ำตกนั้นมี 6 แห่ง ได้ประสานกับอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ ในการเฝ้าระวังน้ำป่า และประกาศเตือนภัยนักท่องเที่ยวให้งดเล่นน้ำบริเวณน้ำตกในระยะนี้

 

 

สธ. เฝ้าติดสถานการณ์น้ำท่วม

 

นาย จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขในขณะนี้ได้สั่งปิดโรงพยาบาลนาทวี จ.สงขลา เป็นการชั่วคราว หลังจากที่พบว่ามีน้ำท่วมขึ้นสูง รวมทั้งได้ย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจะนะ และโรงพยาบาลหาดใหญ่ ส่วนการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น ได้ตั้งศูนย์โรงพยาบลชั่วคราวขึ้นที่ว่าการอำเภอนาที สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้หากเพิ่มขึ้นก็จำเป็นต้องมีการ พิจารณาย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ไปยังโรงพบาลอื่น

 

 

แจ้งรายงาน ฝนตกหนัก เสียหายหลายเมือง

 

ฝนตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมเป็นต้นมา รวมระยะเวลา 3 วันแล้ว ทำให้เกิดระดับน้ำขึ้นสูงในแม่น้ำลำคลองและที่ราบลุ่มต่างๆ ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมขังขึ้นใน 5 อำเภอแล้ว ได้แก่ อำเภอเมือง มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 3 ตำบล อำเภอห้วยยอด มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 2 ตำบล อำเภอรัษฎา มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 2 ตำบล อำเภอย่านตาขาว มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 8 ตำบล และอำเภอนาโยง มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 5 ตำบล รวมประชาชนได้รับความเดือดร้อนแล้วประมาณ 1,000 ครัวเรือน

 

ทั้ง นี้ ทำให้บ้านเรือน สัตว์เลี้ยง และพื้นที่ทางการเกษตร ได้รับความเสียหายมากพอสมควร โดยเฉพาะในเขตพื้นที่อำเภอนาโยง ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากน้ำที่เอ่อล้นลงมาจากเทือกเขาบรรทัด ได้ไหลลงมาเข้าท่วมถนนสายตรัง-พัทลุง ในหลายช่วง โดยเฉพาะที่บริเวณตลาดเทศบาลตำบลนาโยงเหนือ ระดับน้ำสูงประมาณ 50-80 เซนติเมตร รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านไปมาได้ ทำให้การเดินทางไปมาระหว่างจังหวัดตรัง กับจังหวัดพัทลุง ต้องถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ส่งผลกระทบสถานที่ราชการ ร้านค้า และบ้านเรือนในชุมชนหลายแห่ง เจ้าหน้าที่ทางราชการการต้องระดมกำลังเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

 

ผอ.สพป.  แจง น้ำท่วมกินพื้นที่กว้าง เมืองสุพรรณบุรี

 

นางมณฑ์ธวัล วุฒิวิชญานันต์ ผู้อำนวยการ (ผอ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (ผอ.สพป.) สุพรรณบุรี เขต 3 เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วม จ.สุพรรณบุรีครั้งนี้ มีพื้นที่กว้างหลายอำเภอ โดยเฉพาะ พื้นที่เขตการศึกษา เขต 3 ซึ่งประกอบด้วย อ.ด่านช้าง, อ.เดิมบางนางบวช, อ.หนองหญ้าไซ, อ.สามชุก และ อ.ดอนเจดีย์ สพป.ฯ มีความเป็นห่วงทุกคน ทั้งชาวบ้าน ครู และ เด็กนักเรียน ในส่วนของ สพป.ฯ ได้ตั้ง ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมเพื่อช่วยเหลือบ้านครู นักเรียน และ ข้าราชการในสังกัด ขึ้นที่ สำนักงาน สพป.สุพรรณบุรีเขต 3 โดยมอบ หมายให้ รอง. ผอ. สพป.ฯ รับผิดชอบในแต่ละอำเภอ เข้าไปช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ เรื่องความปลอดภัย และ การเยี่ยวยา เรื่องโรคภัยที่มากับน้ำท่วม ส่วนเรื่องการ เปิด-ปิด โรงเรียน นั้น ได้ให้ ผู้บริหารโรงเรียน เป็นผู้พิจารณา ตามความจำเป็น และ เหมาะสม

 

ส่วนโรงเรียนในเขต อ.เดิมบางนางบวช, อ.สามชุก และ อ.หนองหญ้าไซ ถูกน้ำท่วมขัง รวม 9 แห่ง ประกอบด้วย ร.ร.วัดอู่ตะเภา, ร.ร.บ้านหนองกระทุ่ม, ร.ร.บ้านสระบัวก่ำ, ร.ร.วัดโคกพระ, ร.ร.บ้านหนองสำโรง, ร.ร.บ้านหนองกระดี่, ส่วนที่ ร.ร.วัดป่าสะแก น้ำท่วมทางเข้าโรงเรียน ที่ ร.ร.วัดไทร และ ร.ร.วัดใหม่สระพลอย ถูกน้ำท่วมหนักที่สุด ระดับน้ำสูงกว่า 1.50 เมตร และ หลังจากที่สถานการณ์น้ำ เข้าสู่ภาวะปกติ ให้ ผู้บริหาร แต่ละ โรงเรียน รายงานผลของความเสียหายทั้งหมด รายงานให้ทราบโดยเร่งด่วน เพื่อรายงายให้ กระทรวงศึกษาธิการ ทราบ จัดสรรเงินงบประมาณ ปรับปรุง ซ่อมแซม ความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อ นักเรียน จะได้เรียนหนังสือได้ตามปกติต่อไป

 

 

แจกถุงยังชีพ 300 ชุด ผู้ประสบภัยหนาว

 

นาย สิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทยและประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ อบจ.อุบลฯ พร้อม นายวัลลภ ไทยเหนือ อดีต รมต.สาธารณสุข นายอดุลย์ นิลเปรม อดีต ส.ส.เขต 1 อุบลฯ และ ผู้บริหาร อบจ.อุบลฯ ลงพื้นมอบผ้าห่มกันหนาว และถุงยังชีพ จำนวนกว่า 300 ชุด บรรเทาทุกพี่น้องประชาชนที่ชุมชนวังสว่าง ในเขตพื้นที่เทศบาล อ.เมือง จ.อุบลฯ ซึ่งชุมชนดังกล่าวกำลังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม อีกทั้งกำลังเผชิญกับภัยหนาวเนื่องจากปัจจุบันอุณหภูมิลดลงต่ำ 18 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติมากขึ้น

 

ด้าน นายสะท้าน เดชกังวาน ชาวบ้านในชุมชนกล่าวว่า ชุมชนได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทุกปี ต้องขนย้ายข้าวของไว้ที่สูง และใช้วัดเป็นที่พักหลับนอน ปีนี้ลมหนาวมาเร็ว ทั้งที่ระดับน้ำยังไม่ได้ลดส่งผลให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนมากขึ้นอีก พร้อมกล่าวขอบคุณ อบจ.อุบลฯ และคณะที่เดินทางมาให้กำลังใจและมาช่วยบรรเทาทุกข์ในชุมชนครั้งนี้

 

พายุดีเปรสชั่น ซัดพัทลุง ถนนถูกตัดขาด การจราจรเป็นอัมพาต

 

 

สื่อ ข่าวรายงานว่าทางเจ้าหน้าที่แขวงการทางเร่งตัดต้นไม้ที่ล้มกีดขวางเส้นทาง จราจรบนถนนสายเอเซียตลอดสายหลังพายุดีเปรสชั่นพัดถล่มในช่วงกลางดึกที่ผ่าน มา นอกจากนั้นพายุดังกล่าวยังผลให้ภาวะน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร พื้นที่การเกษตร ในจังหวัดพัทลุงขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยระดับน้ำอยู่ที่ 1 – 2 เมตร ถนนในหมู่บ้านหลายสายถูกตัดขาด ถนนสายเอเชีย ช่วงพัทลุง – หาดใหญ่ ทั้งขาขึ้นและขาล่อง มีน้ำไหลผ่านเป็นช่วง ในขณะที่ถนนสายเพชรเกษม พัทลุง – ตรัง ช่วงขาขึ้น จากบ้านนาท่อม – บ้านคลองลำยูง มีน้ำท่วมสูงยาวกว่า 1 กม. รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ เจ้าหน้าที่ต้องเปิดใช้เส้นเส้นทางจราจรขาเดียว

 

นอกจากนั้นยังได้รับรายงานบ้านเรือนราษฎรถูกพายุพัดต้นไม้หักโค่นทับบ้านราษฎรได้รับความเสียหายไปกว่า 2,000 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่ที่ 9 ต.พญา ขัน อ.เมืองพัทลุง สองแม่ลูกนอนหลับภายในบ้านถูกต้นไม้หักโค่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อนบ้านต้องนำส่ง รพ.พัทลุง ล่าสุดอาการปลอดภัย

 

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมคอนเฟอเรนซ์ไปยังจังหวัดที่ประสบอุทกภัยทั้งอีสาน และภาคใต้ โดยหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ จ.สงขลา

 

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานปล่อยขบวนคาราวานขนส่งสิ่งของสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบ อุทกภัยเพิ่มเติม ให้แก่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.ทั้ง 10 เขต ประกอบด้วย ปทุมธานี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น กำแพงเพชร อุบลราชธานี ชัยนาท สุราษฎร์ธานี สงขลา และภูเก็ต โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลจะเร่งอนุมัติงบประมาณตามที่กระทรวงต่างๆ เสนอมา

http://www.chaoprayanews.com/2010/11/02/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/
37  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: น้ำท่วม ถึงคิวภาคใต้แล้ว ครับ ปีนี้ท่วมหนักมาก ทุกที่ทุกเขต เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 07:15:27 am
ส่ง "เรือหลวงจักรีนฤเบศร-เรือหลวงสุรินทร์" ช่วยน้ำท่วมภาคใต้

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพเรือภ.1 ส่งสิ่งของช่วยเหลือประชาชนภาคใต้ กองเรือยุทธการ ส่งเรือหลวงจักรีนฤเบศร-เรือหลวงสุรินทร์ และ เฮลิคอปเตอร์ ออกเดินทางจากสัตหีบช่วยเหลือ .

http://video.nationchannel.com/data/6/2010/11/02/55fekg6g8gbkha6ci7gga.flv


http://www.nationchannel.com/home/news/detail/22685/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%A4%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A8%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89.html
38  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / น้ำท่วม ถึงคิวภาคใต้แล้ว ครับ ปีนี้ท่วมหนักมาก ทุกที่ทุกเขต เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 07:13:24 am


   
เบอร์โทร ขอความช่วยเหลือ น้ำท่วมภาคใต้ พฤศจิกายน 2553

เขตพื้นที่เทศบาลตำบลเขาชัยสน สามารถประสานงานได้กับท่านนายกเทศมนตรี นายสมบูรณ์ เหล่าทอง โทร 081-095-8032

   ติดต่อขอความช่วยเหลือ หน่วยกู้ภัยสงขลา 074-312-800, หน่วยกู้ภัยหาดใหญ่ (ศูนย์วิทยุกู้ภัยมิตรภาพสามัคคีท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) 074-350-955, ศูนย์นเรนทร สงขลา 1669

   ศูนย์อำนวยการน้ำท่วมคอหงส์ เขต 1 ศูนย์ อปพร.ย่อยคอหงส์ 081-898-1749, เขต 2 ศูนย์อำนวยการเทศบาลเมืองคอหงส์ 081-678-3805, เขต 3 ศูนย์ อปพร.บ้านปลักธง 081-609-4166

   องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา 074-303-100, สำนักงานเทศบาลตำบลปริก อ.สะเดา จ.สงขลา 074-298-297, เทศบาลเมืองคอหงส์ 074-280004, เทศบาลเมืองคลองแห 074-580888 สายด่วน 1132

   เบอร์ติดต่อสอบถามสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสงขลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา 074-323-874, 074-313-126 โทรสาร 074-313-126

   เบอร์ติดต่อศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา 074-251-160-3 โทรสาร 074-251-166

   สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา 074-316-380-2 โทรสาร 074-316-382

   สถานีวิทยุที่รายงานสถานการณ์น้ำท่วม สถานีวิทยุ มอ. เอฟเอ็ม 88.0 ฟังออนไลน์ , สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสงขลา เอฟเอ็ม 90.50 โทรศัพท์ 0-7433-3220-1 โทรสาร 0-7433-3555 ฟังออนไลน์

   ฉุกเฉิน ขอความช่วยเหลือ ศูนย์วิทยุกู้ภัยมิตรภาพสามัคคีท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง 074-350955 // ศูนย์นเรนทร สงขลา 1669

   การไฟฟ้าหาดใหญ่ 1129 หากต้องการ จนท ไปตัดไฟ

   พรุ่งนี้ ที่ี้ มอ. จะมีการตั้งศูนยรับบริจาคที่ตึกกิจกรรมนักศึกษาตั้งแต่เช้า โทรหาเยาวรัตน์ 087-287-8713 ประสานงานขอแรง

   นพ.สิทธิโชค อนันตเสรี ผช.คณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ สงขลานครินทร์ โทรศัพท์ 086-969-1017

   นพ. เกียรติศักดิ์ ราชบรีรักษ์ ผช ผอ รพ.หาดใหญ่ 081-897-9164

   อ.เบตง เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ออกช่วยเหลือประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง โทรศัพท์ 073-230-478

   แจ้งเหตุอุทกภัยในอ.หาดใหญ่ ติดต่อ เทศบาลนครหาดใหญ่ 074-200-000 และสามารถรับ กระสอบทราย ได้ที่สนามกีฬากลางจิรนคร (เข้าทางด้านหลัง)
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: วิธีป้องกันผีหลอกในโรงแรม เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 12:20:54 am
ผมเองก็เข้าพักโรงแรม บ่อย เพราะต้องเดินทางหลายจังหวัดเรื่องงาน

เก็บตกเอาไปลองดูบ้าง ก็ดีนะ

อ้างถึง
- ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้านบอก ให้ผีไปทำเรื่องย้ายช
ื่อเข้าทะเบียนบ้านในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตามกฏหมายเสียก่อน
  :85: :85:
40  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ดีร้าย แล้วแต่ใครจะมอง เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 12:18:33 am
เป็นข้อคิดที่ดี ครับ

 :25: :85:
หน้า: [1] 2 3 4