แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
25761
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "รถยนต์ลอยน้ำ" ป้องกันน้ำท่วม
|
เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 08:23:13 pm
|
"รถยนต์ลอยน้ำ"ป้องกันน้ำท่วม ส่วนใครที่กำลังกังวลว่าน้ำท่วมไม่รู้จะเอารถไปจอดที่ไหน วันนี้เรามีไอเดียร์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ที่สามารถทำให้รถลอยในน้ำ
อาจารย์และนักศึกษาประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ได้ทำการทดสอบวิธีการที่ทำให้รถลอยในน้ำ ด้วยการหาวัสดุง่ายๆ มาใช้กับรถ คือ ตาข่าย และผ้าใบ ที่มีขนาดพอดีเท่ากับรถของคุณผู้ชม โดยตาข่าย และผ้าใบนั้น มีขนาดความหนาที่ใช้กับรถบรรทุก 10 ล้อโดยทั่วไป
ขั้นแรกนำผ้าใบมาวางก่อน ตามมาด้วยตาข่ายอยู่ด้านบน จากนั้นก็ถอยรถมาจอดบนตาข่าย พร้อมกับหาผ้าคลุมรถมาคลุมด้านบน แล้วค่อยยกตาข่ายมารัดหุ้มตัวรถชั้นที่ได้แน่นก่อน
จากนั้นก็ตามมาด้วยผ้าใบหุ้มตามอีกที เพื่อป้องกันน้ำเข้า และสาเหตุที่ทำให้รถลอยได้ เพราะน้ำหนักของตัวรถถูกถ่ายหรือกระจายไปตามรูตาข่าย ซึ่งจะทำให้ผ้าใบและตาข่ายไม่ฉีกขาด และสามารถทำให้รถลอยน้ำได้ทั้งคัน
แต่ทั้งนี้รถจะลอยขึ้นมาได้ต้องอยู่ในระดับน้ำประมาณ 47 เซนติเมตรเป็นต้นไป ส่วนสนนราคาในการใช้วัสดุอุปกรณ์ครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 4 พันบาท สำหรับผู้สนใจอยากที่จะทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อไปที่สาขาวิชา วิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่หมายเลข 044-224410-1
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.krobkruakao.com/ข่าว/46405/-รถยนต์ลอยน้ำ-ป้องกันน้ำท่วม.html
|
|
|
25766
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ใช้ สติ ต้องบวกปัญญา ด้วยนะ จึงจะรอด
|
เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 12:17:07 pm
|
อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์. ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น. เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น,
อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง. ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ? "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า."
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้." อ้างอิง พรหมชาลสูตร ๙/๓ http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part11.htmlขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com
|
|
|
25767
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์
|
เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 11:53:42 am
|
ขอคุยด้วยคนครับ การไหว้พระหน้าคอม เป็นความปรารถนาดีของเหล่าพุทธสาวก ที่อยากให้คนที่อยู่หน้าคอมบ่อยๆ ได้ระลึกถึงพระรัตนตรัย ผมเห็นมานานแล้วครับ ส่วนคนจะเห็นด้วยและปฏิบัติตามหรือไม่อย่างไร คงเป็นเรื่องจริตของแต่ละคน หากมองในแง่กุศล ก็ต้องยินดีในกุศลเจตนาของคนที่ทำขึ้นมา
หลายคนอาจคิดว่า ไหว้ไปทำไมมันเป็นแค่วัตถุ หรืออาจคิดเลยไปว่า มันเป็นทองเหลือง ไหว้มันทำไม อยากให้เข้าใจว่า การเข้าถึงพระรัตนตรัยของแต่ละคนมีวิธีที่แตกต่างกัน บางอาจบอกว่า ผมมีพระไตรปิฎกแล้ว ผมไม่ต้องไหว้ใครแล้ว พระพุทธองค์บอกให้เอาพระธรรมเป็นศาสดาแทนท่าน
คนคนนั้นอาจอ่านพระไตรปิฎกไม่ทั่วถึง หรืออาจไม่ยอมอ่านเรื่องอนุสติ พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ มีอยู่ และที่สำคัญ เทวตานุสติก็มี พระพุทธองค์ไม่ได้บอกให้นับถือเทพก็จริง แต่ก็ไม่ได้ห้าม
เทวดาที่เป็นอริยบุคลมีเยอะมาก เป็นแสนแสนโกฏิ เราควรเคารพหรือเปล่า ในพระไตรปิฎกได้ระบุไว้หลายแห่ง เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์จบ มีเทวดาบรรลุธรรมจำนวนมาก
การที่คนคนหนึ่งจะกราบไหว้วัตถุใด ใจไม่ได้เคารพวัตถุนั้นก็เป็นได้ แต่เคารพในพระรัตนตรัย วัตถุนั้นเป็นเพียงตัวแทน อาจจะมีคนแย้งว่า ไม่ต้องมีวัตถุ ก็กราบไหว้ได้ อันดีก็จริง ในแง่ปุถุชนผู้มีกิเลส ยังมีความลังเลสงสัยอยู่ ขอให้พิจารณาสังโยชน์สามข้อแรก พระโสดาบันจะสังโยชน์นี้ได้ และสังโยชน์ข้อสามก็คือ วิิจิกิจฉา วิจิกิจฉา หมายถึง ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย
ถึงตรงนี้คงพอเข้าใจนะครับว่า ทำไมคนจึงสร้างรูปปั้นต่างๆขึ้นมากราบไหว้กัน จิตของคนธรรมดายังไม่มั่นคง ยังไม่ผุดผ่อง เลยต้องหากุศโลบาย สร้างตัวแทนขึ้นมา
|
|
|
25768
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เวลานอนหลับ จิตเราออกนอกกาย จริง หรือไม่ ครับ
|
เมื่อ: ตุลาคม 20, 2011, 08:13:46 pm
|
อย่างนี้เวลาเราฝัน ว่าอดีตเคยเป็นอย่างนี้ บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จัดเป็น ความจริง หรือไม่คะ
อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ ๑๔. ตุวฏกสุตตนิทเทส ผู้ฝันย่อมฝันด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ ธาตุโขภะ ธาตุกำเริบ ๑ อนุภูตปุพพะ เคยเสพมาก่อน ๑ เทวโตปสังหาระ เทวดาดลใจ ๑ ปุพพนิมิต ลางบอกเหตุ ๑.
ในความฝัน ๔ ประการนั้น ผู้มีธาตุกำเริบ เพราะดีเป็นต้นกำเริบ ชื่อว่าฝันโดยธาตุกำเริบ. ผู้ฝันโดยเคยเสพมาก่อนแล้ว ย่อมเห็นอารมณ์ที่เคยเสพมาแล้วในกาลก่อน. ฝันโดยเทวดาดลใจ ย่อมเห็นอารมณ์ทั้งหลายด้วยอานุภาพของเทวดาทั้งหลาย. ฝันโดยบอกเหตุล่วงหน้า ย่อมฝันเห็นลางบอกเหตุล่วงหน้าแห่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ อันประสงค์จะให้เกิดด้วยอำนาจบุญและบาป.
ในความฝันเหล่านั้น ฝันโดยธาตุกำเริบและโดยที่เคยเสพมาก่อนแล้ว ไม่เป็นจริง. ฝันโดยเทวดาดลใจ จริงบ้างไม่จริงบ้าง. เพราะเทวดาโกรธ ประสงค์จะให้ถึงความพินาศโดยอุบาย ก็แสดงทำให้วิปริต. ฝันโดยบอกเหตุล่วงหน้า จริงโดยส่วนเดียว. ที่มา "ลิงหลับแล้วฝันอย่างไร" ในบาลีมีคำตอบ http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4334.msg16017#msg16017
|
|
|
25771
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสังฆราช ประทาน"เหรียญคุ้มภัย" ยึดเหนี่ยวจิตใจ สู้ภัยพิบัติ
|
เมื่อ: ตุลาคม 20, 2011, 10:41:13 am
|
ภาพเหรียญคุ้มภัย “สังฆราช” ประทานเหรียญคุ้มภัย ยึดเหนี่ยวจิตใจ ปชช.สู้ภัยพิบัติ สมเด็จพระสังฆราช ประทาน เหรียญคุ้มภัย เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชนสู้ภัยพิบัติ 3 หมื่นเหรียญ เนื่องในวันประสูติ 98 พรรษา 3 ตุลาคม สำนักเลขาฯ เผย รูปแบบเหรียญทำจากทองแดง หน้าเป็นรูปท้าวเวสสุวัณ หลังเป็นยันต์มะ อะ อุ เริ่มแจก 1-3 ต.ค.นี้ วันนี้ (26 ก.ย.) พระราชรัตนมงคล ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบรอบ 98 พรรษา 3 ตุลาคม 2554 สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงได้จัดสร้าง เหรียญคุ้มภัย ถวายแด่ สมเด็จพระสังฆราช
เพื่อประทานให้ประชาชนของพระองค์ ในวันคล้ายวันประสูติ เนื่องจาก สมเด็จพระสังฆราช ทรงห่วงประชาชนซึ่งกำลังประสบภัยพิบัติต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะภัยน้ำท่วม ดังนั้น ในช่วงวันคล้ายวันประสูติ จึงจะแจกเหรียญคุ้มภัยให้แก่ประชาชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจยามบ้านเมืองมีภัยเช่นนี้ สำหรับเหรียญคุ้มภัยที่จะแจกให้ประชาชนในวันคล้ายวันประสูติปีนี้ สร้างทั้งหมด 30,000 เหรียญ ลักษณะของเหรียญมีขนาดเท่ากับเหรียญ 5 บาทปัจจุบัน ทำจากทองแดง ด้านหน้าเป็นรูปท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวัณ เป็นเทพผู้รักษาทิศเหนือ ทรงเป็นอธิบดีของพวกอสูรและภูตผี โดยโบราณถือว่า เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ที่มีหน้าที่ประสานความมั่งคั่ง ความมีโชคดีให้แก่ผู้บูชา
นอกจากนี้ ในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ลัทธิวัชรยาน กล่าวถึงท้าวกุเวร ว่า มีหน้าที่ทำสงครามปราบปิศาจและยักษ์มารต่างๆซึ่งเป็นศตรูต่อพระพุทธศาสนา และมีความสำคัญเด่นชัดว่าท่านเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติและโชคลาภ ส่วนด้านหลังของเหรียญจะเป็นยันต์พระรัตนตรัย ประกอบด้วย อักษรขอม 3 ตัว คือ มะ อะ อุ ย่อมาจากคำภาษาบาลีว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อุตตะมัง ธัมมะมัชฌะคา มะหาสังฆัง ปะโพเธสิ อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง เป็นยันต์ที่มีความหมายว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสิ่งสูงสุด ปกป้องผู้เคารพนับถือบูชาให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง กล่าวคือ ให้ผู้บูชามีสติระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระราชรัตนมงคล กล่าวว่า สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะนำเหรียญคุ้มภัย มอบให้พุทธศาสนิกชนที่มาลงนามถวายพระพร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ 98 พรรษา ระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม ที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมกันนี้ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะนำเหรียญประทานสมเด็จพระสังฆราช ไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามภูมิภาคต่างๆ ด้วยขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122449http://palungjit.com
|
|
|
25772
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบรรลุธรรม แบบฉับพลัน คืออะไร ?
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 11:40:44 pm
|
ซาโตริ หรือ อาการรู้แจ้งเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน ถาม : มีเหตุแปลกๆ เกิดขึ้นกับหนูค่ะ อยู่เฉยๆ ก็รู้สึกวาบขึ้นมา อย่างเช่นเคยรู้สึกว่าตัวเองจะตัดลูกไม่ได้ ติดอยู่ตรงนี้นานมาก อยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เราอยู่ในห้องแล้วเราก็แค่ออกไปรอนอกห้อง นั่งรอเฉยๆ เดี๋ยวคนในห้องเขาก็ออกมาเหมือนกัน พอความรู้สึกนี้เกิดขึ้น จากที่คิดว่าจะตัดลูกไม่ได้ ก็หายไปหมดเลยค่ะ
ตอบ : แสดงว่าปัญญาถึงแล้ว ของที่เคยคิดไม่ตกก็พลันคิดได้ อย่างนิยายจีนเรื่องฤทธิ์มีดสั้น อาฮุย หลง ลิ้มเซียนยี้ อย่างหัวปักหัวปำ ทั้งเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ว่าตักเตือน อาฮุยไม่ฟังใครสักคน ลิ้มเซียนยี้เขาก็มั่นใจว่าอาฮุยอยู่มือเขาแน่ จึงหลอกอาฮุยครั้งแล้วครั้งเล่า
พอจะหลอกเป็นครั้งสุดท้าย ลิ้มเซียนยี้ดึงเสื้อไว้ อาฮุยก็ถอดเสื้อที่กำลังถูกดึงนั้นทิ้ง แล้วก็เดินต่อ ลิ้มเซียนยี้ก็แปลกใจ ตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น อาฮุยบอกว่า “ไม่มีอะไร ข้าพเจ้าพลันคิดตก” จากที่อาฮุยหลงหัวปักหัวปำ ตัดไม่ได้ถึงเวลาก็ยังตัดได้
ถาม : ขนาดว่าเจาะจงพิจารณา ยังมียอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง นี่อยู่เฉยๆ ก็รู้เลย
ตอบ : กำลังพอในส่วนที่เราก้าวเข้าถึง เพียงแต่ว่ากำลังเราพอแค่เรื่องนี้ ยังมีอย่างอื่นอีก ต้องสะสมกำลังกันต่อไป
ถาม : เคยวาบแบบที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติก็มี
ตอบ : ตัวนี้แหละที่ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียก ซาโตริ ซาโตริแปลว่า รู้แจ้งเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน แต่ความจริงไม่ใช่การเข้าถึงธรรมโดยฉับพลันหรอก บางทีก็หมายถึงหัวข้อธรรมที่เราขบไม่ออก แล้วพลันขบออก
แต่คนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็บอกว่า บางคนซาโตริได้ครั้งเดียวในชีวิต คนที่เป็นอาจารย์ใหญ่เขาก็บอกว่า ไม่จริงหรอก ผมซาโตริเป็นร้อยๆ ครั้ง ซาโตริในความหมายนี้ของเขา ก็คือ เข้าใจในหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อ
ถาม : แล้วจะมีโอกาสได้ไหมว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ?
ตอบ : ได้ เป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ แต่ว่าเราต้องมีสติด้วยว่าควรจะทำหรือไม่ อาตมาเคยวางแผนปล้นรถขนเงินทหาร แผนการรัดกุมมากเลย ขั้นตอนทุกอย่างชนิดที่ว่า ต้องทำได้แน่นอน เป็นไปได้ขนาดนั้น
สมัยที่เป็นทหารอยู่ เงินเดือนของทหาร ๑ กองพล ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทเขามัดเป็นลูกบาศก์ใหญ่ ๆ ใส่รถกรงขนไป มี สห.ขนาบหน้า ๒ คน ขนาบหลัง ๒ คน มีมอเตอร์ไซค์นำหน้าและปิดท้าย เอ็ม. ๑๖ ล้วนๆ ถ้าทำตามแผนที่วางไว้ อาตมามั่นใจว่าปล้นได้แน่นอน นั่นคือไปซาโตริในเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้
สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2894ขอบคุณภาพจาก http://palungjit.com
|
|
|
25773
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แพไม้ไผ่กรมอุทยานฯ ช่วยน้ำท่วมมาแล้ว 500 ลำ
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 10:45:54 pm
|
แพไม้ไผ่กรมอุทยานฯ ช่วยน้ำท่วมมาแล้ว 500 ลำ แพไม้ไผ่กรมอุทยานฯช่วยน้ำท่วมมาแล้ว 500 ลำ เตรียมส่งมอบให้ ศปภ.นำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทันที
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุทยานฯและหน่วยงานในพื้นที่ต่างๆ เช่น สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ (ปราจีนบุรี) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา อุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนุบรี และอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
ได้ต่อแพไม้ไผ่ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร เสริมด้วยแกลลอนเพื่อให้สามารถลอยน้ำได้ดี จำนวน กว่า 500 ลำ ลำเลียงมาที่กรมอุทยานฯ เพื่อทดสอบว่าสามารถลอยน้ำและรองรับน้ำหนักได้ดีหรือไม่ โดยใช้บ่อน้ำพุขนาดใหญ่ หน้าอาคารสหกรณ์กรมป่าไม้เป็นสถานที่ทดสอบให้เจ้าหน้าที่ลงไปทดลองนั่งนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากการทดสอบมีแพ 3 รูปแบบที่สามารถลอยน้ำและรับน้ำหนักได้ดี
หลักๆ คือ ต้องใช้ไม้ไผ่ขนาดใหญ่และมีความแข็งแรงมาต่อเป็นแพ และต้องมีแกลลอนเสริมที่ใต้แพเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ดีและไม่จม ซึ่งจะให้เจ้าหน้าที่ นำ 3 รูปแบบนี้ไปต่อเพิ่มให้ได้จำนวน 1 หมื่นลำ
โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการราว 2-3 สัปดาห์ และจะทยอยแจกจ่ายให้กับประชาชนต่อไป โดยสามารถติดต่อขอรับได้ที่ ศปภ. ผู้ว่าราชการจังหวัด อบจ. อบต. ส่วนที่เจ้าหน้าที่นำมามอบให้ตนจะส่งมอบให้ ศปภ.นำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทันที
ทั้งนี้แพไม้ไผ่จะเป็นประโยชน์ในช่วงที่หาซื้อเรือไม่ได้และเรือมีราคาแพง แพไม้ไผ่เป็นของธรรมชาติ ต้นทุนไม่สูง และหน่อไผ่สามารถแตกขึ้นมาทดแทนได้เร็ว ซึ่งแพเป็นประโยชน์มากสำหรับ เด็ก คนแก่ หรือคนป่วย ในพื้นที่น้ำท่วม ดีกว่าการเดินลุยที่ต้องเสี่ยงทั้งกับจระเข้ และสัตว์มีพิษต่างๆ ที่อยู่ในน้ำ. ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.thairath.co.th/content/edu/210351
|
|
|
25774
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบรรลุธรรม แบบฉับพลัน คืออะไร ?
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 10:24:09 pm
|
การบรรลุธรรม แบบฉับพลัน คืออะไร ?
และทำอย่างไร เราจะบรรลุธรรมอบ่างฉับพลันได้
คุณสมบัติ ของผู้ที่คู่ควรแก่การบรรลุธรรมแบบฉับพลันมีอย่างไร ครับ
ในสมัยพุทธกาลมีพระพาหิยะ ที่พระพุทธองค์ยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในทางขิปปาภิญญา คือ ตรัสรู้เร็วพลัน แต่นั่นหมายถึงระดับพระอรหันต์ ถ้าในระดับโสดาบันที่บรรลุได้เร็ว ก็มีพระสารีบุตรกับพระมหาโมคคัลลานะ
ในทางเถรวาท การจะบรรลุธรรมช้าหรือเร็วนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้บอกเอาไว้ แต่ตรัสไว้ว่า ไม่สามารถบรรลุอรหันตผลได้โดยตรง ต้อง "มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ"
ถ้าจะคุยกันต่อไป ก็ต้องบอกว่า คติทางพุทธเชื่อว่า บุญบารมีที่สั่งสมมาของแต่ละคนไม่เท่ากัน การบรรลุธรรมช้าหรือเร็ว ก็น่าจะขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่สั่งสม มีบุญเก่ามากก็สำเร็จเร็ว บุญน้อยกว่าก็สำเร็จช้ากว่า
ส่วนตัวผมขอบอกว่า ให้ดูที่อินทรีย์ ๕ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ข้อธรรมนี้สำคัญมากต้องอบรมอินทรีย์ให้แก่กล้า แก่กล้าเมื่อใดก็บรรลุเมื่อนั้น
เรื่องอื่นๆขอให้อ่านบทความเอาเองนะครับ ผมขอคุยเท่านี้
|
|
|
25775
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบรรลุธรรม แบบฉับพลัน คืออะไร ?
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 09:57:54 pm
|
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน "มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง"ที่มา ปหาราทสูตร มหาวรรคที่ ๒ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์๑๐. กีฏาคิริสูตร การตั้งอยู่ในอรหัตตผล
[๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรก เท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง เมื่อเงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนได้ซึ่งความพินิจ เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้ว ย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงก็ดีการฟังธรรมก็ดี การทรงธรรมไว้ก็ดี ความพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาดย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร.ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=3981&Z=4234ขอบคุณภาพจาก http://news.mediathai.net
|
|
|
25776
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบรรลุธรรม แบบฉับพลัน คืออะไร ?
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 09:35:31 pm
|
การบรรลุแบบฉับพลันและโพธิสัตว์ธรรมนั้นเป็นไฉน? สำหรับท่านที่ศึกษาตามแนวเถรวาทมักไม้คุ้นเคยกับศัพท์คำว่า “บรรลุฉับพลัน” และ “โพธิสัตว์ธรรม” นัก เนื่องจากการปฏิบัติแนวเถรวาทมุ่งเน้นการบรรลุ “อรหันต์ธรรม” ในระหว่างที่มีการไถ่ถอนสังโยชน์ทั้งสิบตัว บางท่านจำต้องเข้าฌานอนุโลม ปฏิโลม อยู่หลายรอบ เพื่อดำดิ่งลงไถ่ถอนสังโยชน์ทีละตัว ให้หมดทั้งสิบตัว
ดังนั้น การบรรลุแบบฉับพลันจึงไม่ค่อยพบในอรหันต์ธรรมมากนัก เป็นวิธีการของพระโพธิสัตว์โดยเฉพาะ จึงเรียกธรรมที่ท่านบรรลุว่า “โพธิสัตว์ธรรม” อันแตกต่างจากอรหันต์ธรรม ไม่ได้มุ่งเน้นการตัดชาติภพให้สิ้นหมดในชาติเดียว มุ่งเน้นความเข้าถึงธรรมอย่างรวดเร็ว จากนั้น จะทำการไถ่ถอนสังโยชน์ตัวอื่นๆ ที่เหลือให้หมดเพื่อดับชาติภพก็ได้ หรือบำเพ็ญเพียรโปรดสัตว์ก็ได้ ย่อมสอนคนได้ถูกต้องตรงทาง ไม่หลงอีกต่อไป ซึ่งจะอธิบายต่อไปนี้
การบรรลุแบบฉับพลันเป็นอย่างไร? การบรรลุแบบฉับพลัน เกิดขึ้นขณะผู้มีโพธิจิต กำลังใช้ปัญญาบารมีเพื่อเข้าถึงธรรม แล้วเข้าสู่ภาวการณ์ไถ่ถอนสังโยชน์ตัวใดตัวหนึ่งออกได้ (หรืออาจจะหลายตัวก็ดี แต่จะไถ่ถอนไม่ครบสิบ) เมื่อสังโยชน์ถูกไถ่ถอนออก ฉับพลันนั้น ธรรมแท้ที่บริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นจึงเข้าถึงธรรมด้วยปัญญาบารมี หาใช่เข้าถึงธรรมด้วยการกำจัดไถ่ถอนสังโยชน์ทั้งสิบออกจนหมดแบบเถรวาทไม่
ดังนั้น จึงสามารถสอนคนถึงธรรมแท้ได้ และยังบอกวิธีไถ่ถอนสังโยชน์ให้แก่เขาได้อีก แต่ในจิตของตนเองกลับยังมีสังโยชน์บางตัวเหลืออยู่ และยังสามารถเกิดใหม่ได้อีก หากยังเหลือความปรารถนาที่จะช่วยมวลมนุษย์ด้วยการเกิดต่อไป ดังนั้น หากนับกันตามภูมิจิตแล้ว จะถือว่าเป็นเพียง “พระอนาคามี” เพราะยังไถ่ถอนสังโยชน์ไม่หมดทั้งสิบตัว แต่หากนับกันตามภูมิธรรมแล้ว จะถือว่า “อรหันต์” ซึ่งบุคคลที่บรรลุแบบนี้ หากกำหนดจิตเพื่อดับขันธปรินิพพานก็สามารถทำได้ เพราะใช้วิธีการเดียวกับตอนที่ไถ่ถอนสังโยชน์แล้วพบธรรมนั่นเอง
พระพุทธเจ้าสมณโคดม ทรงเป็นต้นแบบของการถ่ายทอดวิธีการบรรลุแบบฉับพลันนี้ เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเล็งเห็นว่า มวลมนุษย์มีอายุสั้นเพียง ๑๐๐ ปี (เมื่อเทียบกับยุคพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มนุษย์มีอายุเป็น ๘ หมื่น ถึง ๑ แสนปี จึงเหลือเวลาช่วยมนุษย์น้อยกว่าพันเท่า) ดังนั้น พระพุทธเจ้าสมณโคดม จึงคิดหาวิธีรวบลัดรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้มีกำลังปัญญาบารมี ช่วยพระองค์ในการโปรดสัตว์ โดยที่เขาเหล่านั้น ไม่ต้องนิพพาน ยังสามารถสะสมบารมีต่อไปได้อีก และวิธีนี้ ก็คือ “การบรรลุแบบฉับพลัน” ที่เรามักเข้าใจว่าเป็นแนวเซน
ประวัติการสืบทอดวิธีการบรรลุแบบฉับพลัน นับจากพระพุทธองค์ทรงค้นพบวิธีการบรรลุแบบฉับพลันเพื่อถ่ายทอดให้แก่ผู้มีปัญญามาก ซึ่งก็ได้แก่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ได้จุติลงไปเตรียมรับคำทำนายพร้อมๆ กันอยู่มากมายนั้น พระมหากัสสป ผู้เป็นพระสังฆราชองค์แรก นับว่าเป็นผู้ที่ได้รับการรับรองว่าผ่านความสามารถในการถ่ายทอดวิธีการบรรลุแบบฉับพลัน ตามด้วยพระอานนท์ ผู้เป็นสังฆราชองค์ที่สอง แล้วได้ถ่ายทอดติดต่อมาเป็นระยะ จนเข้าสู่ยุคของท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ศาสนาพุทธจึงไม่อาจรวมตัวกันได้ทั้งหมด
หลักการถ่ายทอดธรรมให้บรรลุแบบฉับพลันจึงถูกนับเป็นเพียงนิกายที่เรียกว่า “เซน” จากนั้น ก็ได้ถ่ายทอดสู่ทายาทธรรมสายพระสงฆ์มหายานมาได้ถึง ๖ องค์ จบลงที่ท่านเว่ยหลาง ก่อนที่จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในสายฆราวาส คือ สายอนุตรธรรม ที่มุ่งเน้นการบำเพ็ญแบบฆราวาส
ในปัจจุบันหลักการเข้าถึงธรรมแบบฉับพลันที่แท้จริงอยู่ที่ใด ผู้ใดคือทายาทธรรมของเซนโดยแท้ ผู้ใดกันที่มีความสามารถช่วยให้ผู้อื่นบรรลุแบบฉับพลันได้ ขณะนี้คิดว่ายังไม่ปรากฏตัว
อันที่จริงแล้ว การบรรลุแบบฉับพลันถูกมองว่าเป็นนิกายเซน เพื่อให้เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่ง เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในพุทธศาสนา แต่ในอนาคต การบรรลุแบบฉับพลันจะไม่ใช่เพียงนิกายเซนอีกต่อไป เนื่องจากจะขยายวงเป็นพุทธจักร เพราะเหมาะสมกับยุคสมัย เหตุใดจึงควรเลือกการบรรลุแบบฉับพลันในการเข้าถึงธรรม ในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์อยู่ มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย ๑๐๐ ปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปทุก ๑๐๐ ปี มนุษย์ก็จะมีอายุขัยเฉลี่ยลดลงอีก ๑ ปี ดังนั้น ในปัจจุบันปี ๒๕๕๑ มนุษย์จึงมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ ๗๕ ปีเท่านั้น
ในอนาคตมนุษย์จะมีอายุสั้นลงอีกตามลำดับ จนกระทั่งมนุษย์อายุ ๕ ขวบแต่งงานกันมีลูกได้ ก็จะถึงวาระการล้างโลก มนุษย์จะเข็ญฆ่ากันเอง กินเนื้อกันเองจนตายเสียเกือบหมด เรียกว่า “กลียุค” ในยุคนั้น ผู้ที่จะบรรลุธรรมส่วนใหญ่จะเป็นเทวดา ส่วนมนุษย์แทบจะไม่บรรลุธรรม
หากผู้ใดสามารถขวนขวายหาพระธรรมที่เหลือเพียงน้อยนิดได้ แล้วพึงปฏิบัติด้วยวิริยะศรัทธา ก็อาจได้หลุดพ้น (เท่าที่ได้รับการบันทึก มนุษย์อายุ ๗ ขวบขึ้นไปจึงจะบรรลุธรรมได้) แล้วพระศาสนาก็สิ้นลงพร้อมกับมวลมนุษย์ในยุคนั้นในที่สุด
เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว มนุษย์ในยุคเสื่อมนี้ อายุได้หดสั้นลงเรื่อยๆ นี้ จึงควรแก่การเลือกวิธีการบรรลุแบบฉับพลัน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ผู้ทรงลำบากพระวรกายบำเพ็ญทุกขกริยานานถึง ๖ ปี เพื่อให้ได้วิธีบรรลุแบบฉับพลันและง่ายดาย เพื่อสั่งสอนมวลมนุษย์
ปฏิบัติธรรมอย่างไร จึงจะบรรลุได้แบบฉับพลัน? การอบรมอินทรีย์ห้า อันได้แก่ ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา จนเจริญพร้อมสมบูรณ์แล้ว ก็จะถึงเวลาที่ควรแก่การบรรลุแบบฉับพลัน ซึ่งหากมีบุญหนุนนำ อาจจะได้พบกับทายาทผู้สืบทอดวิธีการถ่ายทอดธรรมแบบนี้ ซึ่งเป็นเพศฆราวาส นับจากนี้ไปจนถึงกลียุค จะมีแต่ฆราวาสเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอดแบบนี้
เมื่อได้บรรลุแบบฉับพลันแล้ว หากปรารถนาความหมดสิ้นชาติภพก็จะบวชพระต่อไป และจะทำการไถ่ถอนสังโยชน์ที่เหลือจนหมด บรรลุอรหันต์ธรรมในเพศบรรพชิต หมดสิ้นชาติภพ ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ อีก นอกจากนี้ผู้ที่จะบรรลุแบบฉับพลันได้ จะต้องบำเพ็ญ “ปัญญาบารมี” ด้วย เร่งการศึกษาพระธรรมให้มากในชาตินี้ เพื่อใช้กำลังแห่งปัญญาบารมีเข้าถึงธรรมเป็นสำคัญ
ช่วงที่เหมาะสมแก่การบรรลุแบบฉับพลันควรเป็นช่วงใด? ๑) อินทรีย์ห้าพร้อมสมบูรณ์จึงจะบรรลุแบบฉับพลันได้ ซึ่งผู้ที่จะทราบได้ว่าอินทรีย์ห้าพร้อมหรือยังจะต้องมีพุทธจักขุ มีดวงตาแห่งพุทธะ ซึ่งมีเฉพาะแต่ในพระโพธิสัตว์เท่านั้น ในพระอรหันต์มีไม่ครบสามารถตรวจดูได้บางส่วนแต่ไม่ครบด้าน
๒) บำเพ็ญเพียรจนมีบารมีพอตัว เมื่อบรรลุแบบฉับพลันแล้ว จะสามารถทำกิจทางธรรมได้ ด้วยบุญบารมีของตน จะช่วยให้ตนสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอาชีพทางโลก เช่น ตั้งศาล, ตั้งมูลนิธิ ฯลฯ อยู่ในเพศฆราวาสเพื่อบำเพ็ญต่อไป
๓) ไถ่ถอนกรรมจนเบาบางแล้ว เมื่อบรรลุแบบฉับพลันก็จะปลอดโปร่งจากเจ้ากรรมนายเวร จึงสามารถอยู่ได้อย่างสงบ อิสระ จะเลือกเป็นฆราวาสหรือบรรพชิตก็ได้ แต่หากยังไถ่ถอนกรรมไม่เบาบางได้ จะมีปัญหาทางโลกมารบเร้าจนอยู่ได้ยาก
ทั้ง ๓ ประการนี้ ทายาทธรรมผู้สามารถช่วยให้บรรลุแบบฉับพลันได้จะทำการตรวจสอบก่อนให้แน่ชัด แล้วจึงทำการช่วยเหลือให้บรรลุแบบฉับพลัน เพราะหากบรรลุเร็วเกินไป ไม่มีบารมีติดตัว ก็จะมีกำลังในการบำเพ็ญน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่บรรลุ (หากบรรลุแล้วจะนิ่งกว่า จะทำการณ์ใดๆ น้อยลงกว่า)
ดังนั้น จึงมักปล่อยให้กิเลสเป็นเครื่องขับดันในการบำเพ็ญเพียรด้วย ในช่วงนี้ ผู้บำเพ็ญจึงบำเพ็ญอย่างหนัก จนกระทั่งถึงเวลาที่ควรแก่การบรรลุคือบำเพ็ญบารมีได้พอควร จึงค่อยได้รับการช่วยเหลือ ทั้งนี้ผู้ขอรับการช่วยเหลือ ต้องมีอินทรีย์ห้าที่พร้อมด้วย
กล่าวคือ มีศรัทธาต่อผู้สอน, มีวิริยะในการบำเพ็ญปฏิบัติ, มีสติว่องไวเท่าทันธรรมที่ปรากฏเพียงเสี้ยววินาที, มีสมาธิแน่วแน่รองรับสภาวธรรมได้, มีปัญญาเห็นถึงท้ายที่สุด และทั่วทั้งหมดของสรรพสิ่งในพริบตาเดียว เป็นสำคัญอ้างอิง http://www.oknation.net/blog/print.php?id=227689โดย physigmund_foid ขอบคุณภาพจาก http://www.thairath.co.th,http://www.yenta4.com,http://www.bloggang.com
|
|
|
25777
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: การมีสติ เป็นการทำสมาธิ หรือไม่คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 02:29:15 pm
|
ขอให้หลักใหญ่ก่อน คือ มรรคมีองค์ ๘ การเดินอยู่ในมรรควิธีต้องพร้อมด้วยองค์ ๘ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า หากย่อมรรคลงจะได้ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ผมขอยกเอา สมาธิสิกขาหรือเรียกอย่างทางการว่า "อธิจิตตสิกขา" มาคุยก่อน
"อธิจิตตสิกขา"ประกอบด้วย - สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ได้แก่ ปธาน หรือ สัมมัปปธาน ๔) - สัมมาสติ (ระลึกชอบ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔) - สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ ได้แก่ ฌาน ๔)
จะเห็นว่า มรรคทั้งสามองค์ต้องเดินไปกันเสมอ ขณะคุณทำงานอยู่ คุณพยายามและตั้งใจที่จะเจริญสติ ความพยายาม ก็คือ สัมมาวายามะ ความตั้งใจ ก็คือ สัมมาสมาธิ ขณะทำงานคุณรู้สึกตัวดี ไม่เผลอ ไม่เหมอลอย ก็คือ สัมมาสติ ขอให้เข้าใจก่อนว่า การทำสมาธิไม่ได้หมายถึง การนั่งหลับตาอย่างเดียวนะครับ สมาธิมีได้ในทุกอิริยาบถ ที่จะต่างกันก็คือ ระดับของสมาธิ
สมาธิมี ๓ ระดับ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ(ฌาณ ๔) ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้ พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้ (ขั้นต่อไป คือ อุปจารสมาธิ) อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแน่วแน่, สมาธิที่ยังไม่ดิ่งถึงที่สุด เป็นขั้นทำให้กิเลสมีนิวรณ์เป็นต้นระงับ ก่อนจะเป็นอัปปนา คือถึงฌาน อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่, จิตตั้งมั่นสนิท เป็นสมาธิในฌาน คนทั่วไปขณะทำงานจะมีแค่ขณิกสมาธิเท่านั้น ส่วนตัวผมบางขณะก็มีอุปจารสมาธิสลับกับขณิกสมาธิ แต่ผู้มีความชำนาญในฌาณ แม้ขณะเขียนหนังสือก็สามารถเข้าฌาณ ๓(อัปปนาสมาธิ)ได้
ตอบคำถามที่ การมีสติในเวลาทำงาน กับ การนั่งสมาธิ ต่างกันอย่างไร เบื้องต้นขอให้เข้าใจก่อนว่า ทั้งสองอย่างเหมือนกัน ตรงที่ประกอบด้วยสติและสมาธิ หากเอาอิริยาบถเป็นเกณฑ์ ก็ต้องตอบว่า การมีสติในขณะทำงานมีครบทุกอิริยาบถ ส่วนการนั่งสมาธิ ก็บอกอยู่แล้วว่า นั่งอย่างเดียว
หากเอาวิธีการเจริญวิปัสสนาที่แบ่งตามจริตมาเป็นเกณฑ์ จะมีเกณฑ์ดังนี้ สมถยานิก เป็นพวกที่ชอบ ทำสมาธิก่อนแล้ว ค่อยเจริญปัญญา(วิปัสสนา)ตามหลัง เรียกว่า สมาธินำปัญญา วิปัสสนายานิก เป็นพวกที่ชอบเจริญปัญญา(วิปัสสนา)เพื่อที่จะได้มาซึ่งสมาธิ เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ การที่คุณพยายามเจริญสติขณะทำงาน อาจเป็นไปได้ว่า เ็ป็นพวกวิปัสสนายานิก ส่วนพวกที่ชอบนั่งสมาธิ ก็อาจเป็นไปได้ว่า เป็นพวกสมถยานิก
เรื่องนี้อธิบายมากๆแล้วอาจสับสนได้ เนื่องจากมรรคทุกองค์ต้องเดินไปด้วยกัน ขึ้นอยู่กับว่า จะนำองค์ไหนขึ้นมาอธิบายก่อน ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ขอคุยเท่านี้ครับ
|
|
|
25778
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: สัมมาสมาธิ หมายถึง ฌาน หรือ ไม่คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 01:29:38 pm
|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๗. มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗) [๒๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
[๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
ขอแนะนำให้อ่านรายละเอียด ดีมากครับ คลิกเลยอ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๓๗๒๔ - ๓๙๒๓. หน้าที่ ๑๕๘ - ๑๖๖. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3724&Z=3923&pagebreak=0ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252ขอบคุณภาพจาก http://www.igetweb.com
|
|
|
25781
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: โทษของการปรามาส พระรัตนตรัย
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 12:06:58 pm
|
ผู้ใดกล่าวตู่ใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ ๑๐ ประการ โทษของการกล่าวตู่ใส่ร้ายพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ๑๐ ประการดังนี้ คือ
๑.จะมีทุกขเวทนาเกิดขื้นทันตาเห็น ๒.จะมีทุกขเวทนาอันรุนแรง เช่นเจ็บศีรษะ เจ็บลิ้น เจ็บฟันเกิดโรคสาหัส ๓.ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ โดยวิธีใดๆจะเสื่อมสูญหมดสิ้นไป
๔.จะมีทุกขเวทนา ถูกตัดมือ ตัดจมูก ตัดหูเป็นต้น ๕.จะเกิดโรคพยาธิอันหนัก จะง่อยเปลี้ยตัวตายเป็นโรคเรือนรักษาไม่หาย
๖.จะเป็นบ้าใบ้ วิกลจริต เสียสติ ไม่สมปฤดี ๗.จะเกิดความฉิบหาย แก่ราชทันฑ์อาชญา ถูกริบทรัพย์อยู่ดี ๆมีคนกล่าวหาว่าเป็นโจร มีคนใส่โทษให้ถูก โจรปล้นถูกคนวิจารย์ส่อเสียด ๘.บุตรภรรยาและวงศาคนาญาติที่รักใคร่จะล้มหายตายจากพลัดพรากฉิบหาย
๙.ทรัพย์สมบัติจะกลายเป็นกระดูก เป็นกระเบื้อง เป็นถ่านเพลิง ๑๐.จะเกิดไฟฟ้า ไฟป่าไหม้บ้านเรือน หรือไฟเกิดขี้นมาเองตามธรรมชาติ ลูกหลานท่านใดได้อ่านข้อความในการกล่าวตูใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ โทษ ๑๐.ประการนี้แล้วโปรดได้สำรวมระวัง ด้วยความเป็นห่วงและปรารถนาดีต่อลูกหลานทุกคนจึงเตือนมาเพื่อให้รับทราบ วิธีแก้จากเรื่องที่หนักๆ ให้เบาบางลงให้ตั้งอกตั้งใจพยายามหมันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลให้มากๆ ถึงแม้ในชาตินี้มันจะไม่หมดสิ้นลงไปโดยตรง แต่ก็เผื่อชาติหน้าจะได้เป็นคนดีกับเขาบ้าง
โดย พระครูวรรณโสภณ วัดนาครินทร์ ต.ตู อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ที่มา http://www.watnakkharin.org/index.php?mo=3&art=231384ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com
|
|
|
25782
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ความหายนะของการปรามาสพระรัตนตรัย
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 11:50:38 am
|
คำกล่าวขอขมาโทษ อุกาสะ วนฺทามิ ภนฺเต สพฺพํ อปราธํ ขมถ เม ภนฺ เต มยากตํ ปุญญํ สามินา อนุโมทิตพฺพํ สามินา กตํ ปุญญํ มยฺหํ ทาตพฺพํ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ (กราบ) ข้าขอกราบไหว้ ขอท่านจงอดโทษแก่ข้าฯ บุญที่ข้าฯทำแล้ว ขอท่านพึงอนุโมทนาเถิด บุญที่ท่านทำ ท่านก็พึงให้แก่ข้าฯด้วยฯ (กราบ)
สพฺพํ อปราธํ ขมถ เม ภนฺเต, อุกาสะ ทวารตฺตเยน กตํ สพฺพํ อปราธํ ขมถ เม ภนฺเต, อุกาสะ ขมามิ ภนฺเต (กราบ) ขอท่านจงอดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าฯด้วยเถิด ขอท่านจงอดโทษทั้งปวงที่ข้าฯทำด้วยทวาร(กาย วาจา ใจ) ทั้งสามแก่ข้าฯด้วยเถิด ข้าฯก็อดโทษให้แก่ท่านด้วย (กราบ)
ก่อนที่จะนั่งภาวนาพระกรรมฐานนั้น จะเกิดผลสำเร็จได้ ต้องมีการขอขมาโทษก่อน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ขมานะกิจ คือการนำดอกไม้ธูปเทียนแพ ไปตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาโทษต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ท่านทั้งหลายอาจเคยล่วงเกินต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็น อดีต ปัจจุบัน
เป็นเหตุให้มีโทษติดตัว การเจริญกุศลธรรมอาจไม่เกิดขึ้นได้ หรือ เจริญขึ้นได้ และ อาจเป็นอุปสรรคปิดกั้นการเจริญพระกรรมฐาน จึงต้องมีการ ขอขมาโทษก่อน เพื่อไม่ให้ เป็นเวร เป็นกรรม ปิดกั้น กุศลธรรม ที่กำลังบำเพ็ญอยู่ และเป็น ปฏิปทาห่างจากกรรมเวรอ้างอิง คู่มือ สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (พลับ) กรุงเทพฯ พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง ขอบคุณภาพจาก http://www.prommapanyo.com
|
|
|
25783
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: สัมมาสมาธิ หมายถึง ฌาน หรือ ไม่คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 11:15:18 am
|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯอ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ บรรทัดที่ ๖๗๒๑ - ๖๗๖๔. หน้าที่ ๒๗๖ - ๒๗๗. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6721&Z=6764&pagebreak=0ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273ขอบคุณภาพจาก http://www.chiangmaithailand.tht.in สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ, จิตมั่นชอบ คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาน ๔(ข้อ ๘ ในมรรค) อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) การบรรลุโสดาบัน ต้องใช้กำลังสมาธิในระดับปฐมฌาณ เรื่องนี้ได้ยินได้ฟังมา ผมยังไม่สามารถนำพระสูตรใดมายืนยันได้ อาจจะมีคำถามต่อมา แล้วการบรรลุ สกทาคามี อนาคามีและอรหันต์ล่ะ ใช้ฌาณไหน
|
|
|
25784
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: แผนเข้าตลาดหุ้น"วัดเส้าหลิน"ส่อเค้าวืด หลังข่าวฉาวเจ้าอาวาสมีเมีย-ลูกสะพัดอินเตอ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 08:48:39 pm
|
วัดเส้าหลิน วัดเส้าหลินตั้งอยู่ อ.เติงเฟิง เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ตั้งอยู่กลางกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจว(ห่างประมาณ 70 กม.) และเมืองลั่วหยาง(ห่างประมาณ 80 กม.) เป็นวัดทางพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีความเก่าแก่อายุมากกว่า 1,500 ปี วัดนี้สร้างขึ้น ใน ค.ศ. 495 ในสมัยของเซี่ยวเหวินตี้ฮ่องเต้ (ครองราชย์ค.ศ. 471 – 499) แห่งราชวงศ์วุ่ย (เว่ย) เส้าหลินไม่เพียงแค่โดดเด่นเรื่องกังฟูเท่านั้น แต่วัดเส้าหลินยังถือเป็นวัดพุทธนิกายเซ็นอันดับหนึ่งในเมืองจีนอีกด้วย สำหรับจุดประสงค์ของการสร้างวัดเส้าหลินนั้นก็เพื่อให้เป็นที่พำนักของพระภิกษุจากอินเดียที่เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนา
วัดเส้าหลิน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซานซึ่งเป็นหนึ่ง ในจำนวนห้ายอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อในประเทศจีน เทือกเขาซงซานเป็นเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศจีน ทั้งในด้านของประวัติศาสตร์และในแวดวงยุทธภพ ประกอบไปด้วยยอดเขาใหญ่น้อยจำนวน 72 ยอด ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นสองกลุ่มคือในกลุ่มของเขาไท่ซื่อ จำนวน 36 ยอด และกลุ่มของเขาเส้าซื่อ จำนวน 36 ยอด อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง บริเวณรอบ ๆ
วัดเส้าหลินเป็นพื้นที่โล่งกว้าง สำหรับใช้ในการฝึกวิทยายุทธของหลวงจีน รายล้อมด้วยป่าเจดีย์หรือถ่าหลิน ซึ่งเป็นสุสานของเจ้าอาวาสและหลวงจีนในวัดเส้าหลิน ซึ่งมีมาตั้งแต่ในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง
วัดเส้าหลิน มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีนและในต่างประเทศ ได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน สถาปัตยกรรมภายในวัดเส้าหลินมีเป็นจำนวนมาก บริเวณรอบ ๆ ด้านหน้าของอารามต้าฉงเป่าเทียนประกอบด้วยอารามหลายหลัง
ซึ่งล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณที่มีความงดงามเฉพาะตัว บริเวณหน้าวัดเส้าหลินมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่และรูปปั้นสัตว์มงคลตามตำนานเทพเจ้าจีนเช่น ปีซีซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีน ปีซีนั้นมีร่างกายเป็นเต่าแต่มีส่วนหัวเป็นมังกร มีความแข็งแรง ซุกซน ดื้อดึง
ชาวจีนนิยมเดินทางมาวัดเส้าหลินและนิยมขอพรจากปีซีด้วยการใช้มือลูบไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเช่น ถ้าลูบบริเวณส่วนหัวของปีซีเชื่อว่าจะโชคดี ถ้าลูบบริเวณลำคอเชื่อว่าจะปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าลูบไปตามซี่ฟันของปีซีจะมีโชคลาภทรัพย์สิน และสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีบุตรให้ลูบบริเวณส่วนหลังของปีซี
ไฮไลท์แห่งวัดเส้าหลิน ที่ “วิหารตั๊กม้อ” หรือ “วิหารเจ้าอาวาส” ซึ่งปรากฏเป็นฉากในหนังกำลังภายใน และในยุทธจักรนิยายมากมาย ภายในวิหารนอกจากจะเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปตามแบบมหายานแล้ว หากสังเกตดีๆ ที่พื้นในวิหารจะดูเป็นหลุมเป็นบ่อ ซึ่งหากใครไม่รู้อาจจะนึกว่าพื้นทรุด
แต่จริงๆแล้วที่นี่ในอดีตคือสถานที่ฝึกเพลงยุทธ์ของ 18 อรหันต์ทองคำวัดเส้าหลิน ที่ส่วนใหญ่มีกำลังภายในเหลือล้นจึงกระทืบพื้นวิหารเป็นหลุมเป็นบ่อทั่วไปหมด ส่วนสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 จุดในวิหารตั๊กม๊อ ก็คือ
ทางด้านซ้ายมือสุดจะมีรูปปั้น “หลวงจีนกั๊กเอี้ยง” ยืนโดดเด่น ท่านผู้นี้เป็นยอดหลวงจีน ที่จุดประกายตัวเองด้วยการเป็นพระพ่อครัว และเป็นผู้คิดค้นกระบวนท่า 18 อรหันต์ ก่อนที่จะพา “เตียซำฮง”อดีตศิษย์ตัวน้อยแห่งเส้าหลิน ออกไปฝึกปรือวิทยายุทธ์ จนท่านเตียซำฮง กลายเป็นยอดจอมยุทธ์ และไปเปิด “สำนักบู๊ตึ้ง” อันลือลั่น (หาอ่านเพิ่มเติมได้ในเรื่อง“ดาบมังกรหยก”ของ”กิมย้ง”)
ส่วนทางขวามือสุด ยังมีรูปปั้นของท่านตั๊กม้อที่หน้าตาขึงขัง หนวดเคราครึ้ม ยืนสะพายง้าว และม้วนคัมภีร์โดดเด่นอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าเมื่อไปยืนสักการะท่านตั๊กม้อแล้ว รู้สึกว่าท่านจากไปแค่ร่างกายเท่านั้น ส่วนชื่อของท่านและเรื่องราวที่กระทำยังคงอยู่
กังฟูเส้าหลิน ถือเป็นหนึ่งในสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่เคียงคู่มากับความเก่าแก่ และสิ่งที่น่าสนใจภายในวัด จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง แห่งมณฑลเหอหนาน ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงเชิงเขาซงซาน บริเวณ ที่ตั้งวัด ก็จะเห็นรูปปั้นสีดำทะมึนของหลวงจีนเส้าหลิน ยืนประสานมือต้อนรับนักท่องเที่ยว ในท่วงท่าที่คอหนังจีนกำลังภายในคงจะคุ้นกันดีขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://xn--72cc7bk1bl1a4c6a9bs0i3g.com/travel.htmlhttp://www.travel-in-china.ob.tc/20.html
|
|
|
25785
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แผนเข้าตลาดหุ้น"วัดเส้าหลิน"ส่อเค้าวืด หลังข่าวฉาวเจ้าอาวาสมีเมีย-ลูกสะพัดอินเตอ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 08:40:19 pm
|
แผนเข้าตลาดหุ้น"วัดเส้าหลิน"ส่อเค้าวืด หลังข่าวฉาวเจ้าอาวาสมีเมีย-ลูกสะพัดอินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ โอเรียลทอล มอร์นิง โพสต์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่วัดเส้าหลิน ปัดข่าวลือสะพัดทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวอันอื้อฉาวของเจ้าอาวาส ว่าเป็นความพยายามในการใส่ร้ายป้ายสี เนื่องจากเจ้าอาวาสปฏิเสธที่จะให้วัดเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นของจีน
โดยนายเฮา เจี้ยนถง เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ของวัดเส้าหลิน ออกแถลงข่าวโต้ข้อกล่าวหาของเจ้าอาวาสฉี หย่งซิ่น ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาที่ว่า แอบมีภรรยาและบุตรหนึ่งคน รวมถึงบัญชีเงินฝากในต่างประเทศ 3,000 ล้านดอลลาร์ว่า อาจเป็นแผนป้ายสีสร้าง เพื่อความไม่พอใจให้กับผู้ถือหุ้น ที่ต้องการให้วัดเก่าแก่อายุ 1,500 ปีแห่งนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในฐานะเป็นบริษัทท่องเที่ยว ทั้งนี้ เมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2009 มีรายงานว่า วัดเส้าหลินอาจจะจดทะเบียนเข้าตลาดภายในปี 2011 ภายใต้แผนร่วมทุนมูลค่า 100 ล้านหยวน ซึ่งสร้างกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจากทางวัดที่ปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เริ่มมีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดทางอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเจ้าอาวาส โดยระบุว่า เจ้าอาวาสฉีได้ส่งเสียเลี้ยงดูสตรีคนหนึ่งชื่อว่า ลี่ จิงเฉียง บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมีบุตรชายกับเธออีกคนหนึ่ง โดยปัจจุบัน ทั้งสองอาศัยอยู่ในเยอรมนี รวมถึงการซื้อบ้านพักสุดหรูไว้ทั้งในสหรัฐฯและเยอรมนี
ก่อนหน้านี้ ยังมีข่าวลืออีกว่า เจ้าอาวาสฉีถูกจับได้ว่าไปเที่ยวโสเภณีในมณฑลเหอหนาน ระหว่างที่ตำรวจบุกทลายซ่องโสเภณีแห่งหนึ่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว วัดเส้าหลิน ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่มีมูลความจริง และล้วนแต่ผ่านการใส่สีตีข่าวทั้งสิ้น พร้อมให้ผู้ที่มีข้อมูลของต้นข่าวลือ เข้ามาติดต่อกับวัดโดยตรง โดยวัดเตรียมมอบรางวัลให้ถึง 50,000 หยวน วัดเส้าหลินอ้างว่า รายได้จากบัตรผ่านประตูซึ่งอยู่ระหว่าง 100-200 ล้านหยวน วัดได้นำรายได้กว่าร้อยละ 70 มอบให้กับหน่วยงานท้องถิ่น เจ้าอาวาสฉี เกิดเมื่อปี 1965 และขึ้นเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี 1999 เป็นที่รู้จักดีในฉายา"พระซีอีโอ" เนื่องจากท่านมีแนวทางการบริหารงานของวัดคล้ายกับการทำธุรกิจขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318939808&grpid=&catid=06&subcatid=0600
|
|
|
25786
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มรณภาพปริศนา! พระใหม่ฝันเห็นอีกาจิกตา ปลุกอีกทีไม่ตื่น
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 08:20:29 pm
|
มรณภาพปริศนา! พระใหม่ฝันเห็นอีกาจิกตา ปลุกอีกทีไม่ตื่น พระบวชจำวัดคืนแรกตกใจตื่นกลางดึก บอกฝันเห็นกาจิกตา โมโหหันมาทำลายเครื่องบูชาที่หัวนอน จากนั้นนอนต่อ เช้ามืด เพื่อนพระบวชใหม่มาปลุก พบแข็งตายเสียชีวิตปริศนา...
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ร.ต.อ.นพรัตน์ หลวงสนาม พงส.(สบ.1) สภ.เมืองร้อยเอ็ด รับแจ้งจาก พระครูสุตธรรมาทร รองเจ้าคณะตำบลในเมืองร้อยเอ็ด เขต 2 ในฐานะเจ้าอาวาส วัดท่านคร เลขที่ 27 ถนนลำห้วยเหนือ ต.ในเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด ให้ไปสอบสวนและหาสาเหตุการมรณภาพของพระสะอาด หาญกลาง อายุ 56 ปี ซึ่งนอนตายตัวแข็งอยู่ในกุฏิพระลูกวัดที่วัดท่านคร เลขที่ 27 ถนนลำห้วยเหนือ ต.ในเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด ร.ต.อ.นพรัตน์ หลวงสนาม พร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.ร้อยเอ็ด จึงไปที่เกิดเหตุและสอบสวน
สอบสวนทราบว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสะอาด หาญกลาง บ้านพักอยู่ห่างจากวัดท่านคร 300 เมตร เป็นพ่อม่าย มีลูกสาว 2 คน แต่ทั้ง 2 คน ไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศและต่างจังหวัดในภาคใต้ ต่อมาได้ขออาศัยบวชกับนายพวง หอกระโทก อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่จะบวชเพียง 9 วัน แต่นายสะอาด หาญกลาง ตั้งใจบวชไม่สึก ต่อมาช่วงเที่ยงคืนวันที่ 17 ต.ค. พระสะอาดสะดุ้งตื่นนอนขึ้นมาบอกพระพวง หอกระโทก ซึ่งจำวัดอยู่ในห้องเดียวกันว่า ฝันว่าถูกอีกาหลายตัวพากันรุมจิกตาของพระสะอาด หาญกลาง ทำให้โมโหจึงหันไปพังเครื่องบูชาที่ตั้งอยู่ด้านหัวที่จำวัดพังลงมา จากนั้นพระสะอาดได้จำวัดต่อ กระทั่งถึงเวลา 04.30 น. วันที่ 18 ต.ค. เป็นเวลาที่ต้องตื่นจำวัด เพื่อไปทำวัตรเช้า แต่พระสะอาดยังนอนนิ่ง พระพวง จึงเข้าไปปลุก ปรากฏว่าพระสะอาดมรณภาพตัวแข็งและอุณหภูมิร่างกายเย็นแล้ว จึงบอกพระที่อยู่ห้องข้างเคียงให้ทราบเรื่อง
จากการชันสูตรของแพทย์เวร ไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ แต่ยังไม่สามารถลงความเห็นถึงสาเหตุการมรณภาพของพระสะอาด หาญกลาง เพราะต้องรอลูกสาว 2 คน และญาติมาดูศพ และสอบถามว่าสงสัยในสาเหตุการมรณภาพหรือไม่ ตำรวจจึงนำเอาศพพระสะอาด หาญกลางไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บศพของ รพ.ร้อยเอ็ด เพื่อรอญาติมาดูก่อน เพราะถ้าหากลูกสาวและญาติผู้ตายสงสัยในสาเหตุการตาย ต้องส่งศพพระสะอาด หาญกลาง ไปชันสูตรที่แผนกนิติเวช จ.ขอนแก่น.ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.thairath.co.th/content/region/210291
|
|
|
25787
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การนึกถึง เทวดา จะัตัดราคะ ได้อย่างไร คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 07:38:09 pm
|
ได้ฟังในรายการ RDN แต่จับใจความไม่ทันคะ
ฟังได้แต่ว่า การนึกถึง เทวดา จะัตัดราคะ ได้
อยากจะถามว่า การนึกถึง เทวดา จะตัดราคะ ได้อย่างไร ?
เทวตานุสสติ เป็นกรรมฐานกองห่นึ่ง หมายถึง การระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ กรรมฐานกองนี้เหมาะกับผู้มีสัทธาจริต กรรมฐานกองนี้ฝึกไปจะได้เพียงอุปจารสมาธิ
การจะตัดราคะได้ ก็ต้องฝึกกรรมฐานกองนี้ให้ได้อุปจารสมาธิก่อน แล้วเจริญวิปัสสนาต่อไป จนบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลระดับต่่างๆจนถึงนิพพาน การตัดราคะได้อย่างเด็ดขาด ต้องสำเร็จอนาคามี เป็นอย่างต่ำ เนื่องจาก"กามระคะสังโยชน์" ต้องเป็นอนาคามีก่อนจึงจะตัดได้
ข้อความที่เป็นคีย์เวิร์ด เป็นหัวใจของเทวตานุสติ อยู่ในพระสูตร ก็คือ "เมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกับของเทวดาเหล่านั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้" ขอแถมหนังสือให้สองเล่ม คือ เทวตานุสติ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อีกเล่มคือ การใช้งานเทวดา เชิญดาวน์โหลดตามอัธยาศัยครับ
|
|
|
25788
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การนึกถึง เทวดา จะัตัดราคะ ได้อย่างไร คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 07:23:17 pm
|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุโปสถสูตร [๕๑๐] ๗๑. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมาตาได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับในวันอุโบสถ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรนางวิสาขา ท่านมาแต่ไหนแต่ยังวันอยู่ นางวิสาขากราบทูลว่า วันนี้ดิฉันเข้าจำอุโบสถ เจ้าข้า ฯ
......ฯลฯ.......ฯลฯ.........
ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร ก็จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียรอย่างไร ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึง เทวดาว่า เทวดาพวกชั้นจาตุมหาราชิกามีอยู่ เทวดาพวกชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาพวกชั้นยามามีอยู่ เทวดาพวกชั้นดุสิตมีอยู่ เทวดาพวกชั้นนิมมานรดีมีอยู่ เทวดาพวกชั้นปรินิมมิตวสวัตตีมีอยู่ เทวดาพวกที่นับเนื่องเข้าในหมู่พรหมมีอยู่ เทวดาพวกที่สูงกว่านั้นขึ้นไปมีอยู่
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น ศีลเช่นนั้นแม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น สุตะเช่นนั้นแม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น จาคะเช่นนั้นแม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเราก็มี
เมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกับของเทวดาเหล่านั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือนทองที่หมองจะทำให้สุกได้ก็ด้วยความเพียรทองที่หมองจะทำให้สุกได้ด้วยความเพียรอย่างไร จะทำให้สุกได้เพราะอาศัยเบ้าหลอมทอง เกลือ ยางไม้ คีม กับความพยายามที่เกิดแต่เหตุนั้นของบุรุษ ดูกรนางวิสาขา ทองที่หมองจะทำให้สุกได้ด้วยความเพียรอย่างนี้แล ฉันใด จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร ฉันนั้นเหมือนกัน ...
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกเช่นนี้เรียกว่า เข้าจำเทวดาอุโบสถ อยู่ร่วมกับเทวดา มีจิตผ่องใสเพราะปรารภเทวดา เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้วได้ ด้วยความเพียรอย่างนี้แลอ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๕๔๒๑ - ๕๖๖๖. หน้าที่ ๒๓๒ - ๒๔๒. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5421&Z=5666&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=510 อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๒ ๑๐. อุโปสถสูตร(ยกมาแสดงบางส่วน) บทว่า เทวตูโปสถํ ความว่า อุโบสถที่บุคคลระลึกถึงคุณธรรมของตน โดยตั้งเทวดาไว้ในฐานะเป็นพยาน แล้วเข้าจำ ชื่อว่าเทวดาอุโบสถ.
คำใดที่เหลืออยู่อันควรจะกล่าวถึงในกัมมัฏฐานมีพุทธานุสติ เป็นต้น เหล่านี้ทั้งหมดข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ใน "คัมภีร์วิสุทธิมรรค" แล้วเทียว. ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=510
|
|
|
25790
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มีพระสูตร บทใดบรรยาย สภาพแดนสวรรค์บ้างคะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 04:04:13 pm
|
นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก ๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) บรรยายแก่คณะอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยครูสวนดุสิต สำำหรับพระไตรปิฎกแปลภาษาไทย โดยมากพูดถึงนรก ไม่พูดถึงสวรรค์ นอกจากนี้ก็ยังมีบางแห่งพูดถึงอายุเทวดาในชั้นต่าง ๆ เช่นชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นโลกบาล ๔, ชั้นดาวดึงส์, ชั้นยามา ชั้นดุสิต, ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แต่ละชั้นมีอายุเท่าไรอยู่นานเท่าไร่ อย่างนี้ก็มีใน พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ ๕๑๐ หน้า ๒๗๓ และไปมีซ้ำในเล่ม ๒๓ ข้อ ๑๓๑-๑๓๕ หน้า ๒๕๓-๒๖๙
ยังมีอายุมนุษย์ถึงรูปพรหม แสดงไว้ในฝ่ายอภิธรรม เล่ม ๓๕ ข้อ ๑๑๐๖-๑๑๐๗ หน้า ๕๖๘-๕๗๒ บางแห่งถึงกับบอกว่าในวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ คือวันพระ ท้าวมหาราช ๔ คือ ท้าวโลกบาล ๔ จะส่งอำมาตย์เที่ยวดูในหมู่มนุษย์ ว่ามนุษย์ประพฤติดีปฏิบัติชอบหรือเปล่า
แล้วจะไปแจ้งข่าวต่อที่ประชุมเทวดาชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีพระอินทร์เป็นประธาน ว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์โดยมากประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ถ้ามนุษย์ประพฤติดี เทวดาก็ดีใจ ว่าต่อไปสวรรค์จะมีคนมาเกิดเยอะ ถ้าหากมนุษย์ประพฤติชั่วมากเทวดาก็จะเสียใจ ว่าต่อไปฝ่ายเทวโลกจะมีแต่เสื่อมลง อะไรทำนองนี้ อย่างนี้ก็มีในเล่ม ๒๐ เหมือนกัน ข้อ ๔๗๖ หน้า ๑๐๘ อย่างนี้เป็นต้น เป็นการแทรกอยู่บางแห่ง มีไม่สู้มานักที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-prayuth/lp-prayuth-23-01.htm เชิญคลิกได้ตามอัธยาศัย
"อุโปสถสูตร" พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๕๔๒๑ - ๕๖๖๖. หน้าที่ ๒๓๒ - ๒๔๒. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5421&Z=5666&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=510
"อุปปาทกัมมอายุปมาณวาร" พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ บรรทัดที่ ๑๔๕๑๙ - ๑๔๖๕๔. หน้าที่ ๖๒๒ - ๖๒๘. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=14519&Z=14654&pagebreak=0
"ราชสูตรที่ ๑" พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๓๗๑๗ - ๓๗๔๐. หน้าที่ ๑๖๐ - ๑๖๑. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=3717&Z=3740&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=476
นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก ๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) บรรยายแก่คณะอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยครูสวนดุสิตถาม ท่านคะ แต่ที่มีในพระสูตรก็เรียกได้ว่ามีการปรุงแต่งอยู่ใช่ไหมคะ พูดถึงนรก-สวรรค์ เช่นพยายามบรรยายให้เห็นว่านรกน่ากลัว และสวรรค์สวยงามน่าอยู่ ก็เรียกว่าปรุงแต่งแล้วใช่ไหมคะ
ตอบ ในพระสูตรจริง ๆ ไม่บรรยายวิจิตรพิสดารเท่าไร แต่ในอรรถกถาฎีกาพรรณนาเยอะ แต่ก็ยังจัดว่ายังน้อยกว่าในทางวรรณคดี เช่น ในเรื่องไตรภูมิ ก็ต้องเป็นขั้นประมวลแล้ว เขียนอธิบายเพิ่ม แหล่งสำคัญที่มาของไตรภูมิก็มาจากชั้นอรรถกถาฎีกา ในพระไตรปิฎกก็คล้าย ๆ เป็นเชื้อหรือเป็นแกนให้อรรถกถาฎีกา ก็มาอธิบายขยายออกไป
เรื่องการบรรยายให้เป็นภาพพจน์นั้น เกี่ยวกับวิธีพูดด้วย ต้องพูดอย่างที่เขาบอกว่าให้ภาพพจน์นั้น ต้องพูดจนมองเห็นภาพเลย ถ้าพูดให้เห็นภาพ เป็นจริงเป็นจังได้ คนนั้นก็พูดเก่ง สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นมันพูดยาก การจะมาทำให้คนอื่นเข้าใจก็ต้องพูดให้เห็นภาพ การพูดให้เห็นภาพนี้ บางทีก็อาจจะต้องมีการสร้างภาพขึ้นมาบ้าง
ทีนี้นรก-สวรรค์นี้เรามาลองวิเคราะห์กันดู ในกรณีที่เมื่อมีจริงอย่างนั้น เป็นภพเป็นภูมินี่ มันจะเหมือนกับชีวิตในโลกนี้ได้อย่างไร ถ้าเหมือนจริงก็เห็นเลย ใช่ไหม ก็เห็นด้วยตาสิ ทีนี้มันมองไม่เห็นด้วยตาไหม ว่ากันตามหลักนะไม่เห็น นรกนี่เห็นด้วยตาไหม สวรรค์เห็นด้วยตาไหม ไม่เห็น เมื่อไม่เห็น สภาพชีวิตต้องไม่เหมือนกับมนุษย์ใช่ไหม เมื่อไม่เหมือน ความทุกข์ทรมานอะไร ๆ วิธีการลงโทษนี่มันจะต้องแปลกไป ไม่เหมือนกับของมนุษย์ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-prayuth/lp-prayuth-23-04.htm หากสนใจคำบรรยายเรื่อง"นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก ๑" บรรยายโดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) บรรยายแก่คณะอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยครูสวนดุสิต เชิญคลิกลิงค์นี้ครับ http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-prayuth/lp-prayuth-23-01.htm และขอให้อ่านตามลิงค์ต่างๆที่ผมให้ไว้ คำตอบที่คุณสุนีย์อยากทราบ ท่านเจ้าคุณปยุตฯตอบไว้แล้วครับ ขอให้สนุกกับการอ่าน
|
|
|
25791
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การนึกถึง เทวดา จะัตัดราคะ ได้อย่างไร คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 03:15:27 pm
|
เทวตานุสฺสติ จากคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคจักวินิจฉัยในเทวตานุสสติสืบต่อไป เทวตานุสฺสติ ภาเวตุกาเมน ฯลฯ อนุสฺสริตพฺพา พระโยคาพจรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะจำเริญเทวตานุสสติกรรมฐานนั้น พึงประพฤติจิตสันดานให้กอปรด้วยคุณธรรม คือ
ศรัทธาแลศีลแลสุตะแลจาคะแลปัญญาเข้าสู่ที่สงัดแล้ว พึงตั้งเทพยดาไว้ในที่เป็นพยาน ระลึกถึงเทพยดาอันกอปรด้วยคุณมีศรัทธาเป็นต้นว่า สนฺติเทวา จาตุมหาราชิกา เทพยดาอันอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาดวงดึงษา ยามาดุสิตา นิมมานนรดี ปรนิมมิตวสวดีนั้น ๆ ก็ดีเทพยดาอันอยู่ในพรหมโลกก็ดี
เมื่อเป็นมนุษย์นั้นกอปรด้วยศรัทธา จุติจากมนุษย์แล้วจึงได้ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลก แลศรัทธาของอาตมานี่ก็เหมือนศรัทธาแห่งเทพยดาเหล่านั้น
อนึ่งเทพยดาทั้งปวงนั้นเมื่อเป็นมนุษย์กอปรด้วยศีลอุตสาหะ สดับฟังพระธรรมเทศนาและบริจากทาน กอปรด้วยสติปัญญาจุติจากอนุษย์แล้วจึงได้ขึ้นไปบังเกิดในเทวดา อาตมานี้กอปรด้วยศีล สุตะ จาตะ จาคะ ปัญญา เหมือนด้วยเทพยดาเหล่านั้น
เมื่อตั้งไว้ซึ่งเทพยดาในที่เป็นพยานดังนี้แล้ว ก็พึงระลึกถึงศรัทธาคุณ ศีลคุณ สุตคุณ จากคุณ ปัญญาคุณ ของตนเนืองๆ กว่าระลึกเอาศรัทธาทิคุณของเทพยาดาเป็นพยานก่อนแล้ว จึงจะระลึกถึงศรัทธาทิคุณของตนต่อภายหลัง
พระโยคาพจรผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งเทวตานุสสติกัมมัฏฐานดังนี้ จะเป็นที่รักแห่งเทพยาดาเป็นอันมากจะมีคุณานิสงส์เป็นอันมาก ดุจกล่าวแล้วในพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน เหตุดังนั้นนักปราชญ์ผู้มีปรีชาพึงอุตสาหะจำเริญเทวดานุสสติกัมมัฏฐานจงเนือง ๆ เถิด ฯ
จบเทวตานุสสติกัมมัฏฐานแต่เท่านี้ที่มา http://www.larnbuddhism.com/visut/2.10.html อนุสสติ 10 (อธิบายตามแนวคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค)
อนุสสติ แปลว่า “ตามระลึกถึง” กรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานที่ตามระลึงนึกถึง มีกำลังสมาธิไม่เสมอกัน บางหมวดก็มีสมาธิเพียงอุปจารฌาน บางหมวดก็มีสมาธิถึงปฐมฌาน บางหมวดก็มีสมาธิถึงฌาน 4 และฌาน 5 กำลังของกรรมฐานกองนี้มีกำลังไม่เสมอกันดังนี้
อนุสสติทั้ง 10 อย่างนี้ ็เหมาะแก่อารมณ์ของนักปฎิบัติไม่ใช่อย่างเดียวกันบางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในสัทธาจริต บางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในวิตกและโมหะจริต บางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในราคจริต กองใดหมวดใดเหมาะแก่ท่านที่หนักไปในจริต อนุสสตินี้มีชื่อและอาการรวม 10 อย่างด้วยกัน จะนำชื่อแห่งอนุสสติทั้งหมดมาเขียนไว้เพื่อทราบ ดังต่อไปนี้
พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสติ ระลึกถึงพระธรรมเป็นมารมณ์ สังฆนุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์ จาคานุสสติ ระลึกถึงผลของทานการบริจาคเป็นอารมณ์ เทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ (อนุสสติทั้ง 6 กองนี้ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในสัทธาจริต) มรณานุสสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ อุปสมานุสสติ ระลึกถึงความสุขในนิพพานเป็นอารมณ์ (อนุสสติ 2 กองนี้ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในพุทธจริต) กายคตานุสสติ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในราคจริต อานาปานานุสสติ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในโมหะและจริต
อนุสสติทั้ง 10 นี้ เหมาะแก่อัชฌาสัยของนักปฎิบัติแต่ละอย่างดังนี้
กำลังสมาธิในอนุสสติทั้ง 10
กำลังสมาธิในอนุสสติทั้ง 10 มีกำลังสมาธิแตกต่างกันอย่างนี้
พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ อนุสสติทั้ง 7 นี้ มีกำลังสูงสุดเพียงอุปจารสมาธิ
ลีลานุสสติ มีกำลังสมาธิถึงอุปจารสมาธิ และอย่างสูงสุดเป็นพิเศษ ถึงปฐมฌานได้ ทั้งนี้ถ้าท่านนักปฎิบัติฉลาดในการควบคุมสมาธิจึงจะถึงปฐมฌานได้้ แต่ถ้าทำกันตามปกติธรรมดาแล้ว ก็ทรงได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น
กายคตานุสสติกรรมฐานกองนี้ ถ้าพิจารณาตามปกติในกายคตาแล้ว จะทรงสมาธิได้เพียงปฐมฌานเท่านั้น แต่ถ้านักปฎิบัติฉลาดทำ หรือครูฉลาดสอน ยกเอา สีเขียว ขาว แดง ที่ปรากฎในอารมณ์แห่งกายคตานุสสตินั้นเอามาเป็นกสิณ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคดังนี้ กรรมฐานกองนี้ก็สามารถทรงสมาธิได้ฌาน 4 ตามกำลังสมาธิในกสิณนั้น
อานาปานุสสติ สำหรับอานาปานุสสตินี้ มีกำลังสมาธิถึงฌาน 4 สำหรับท่านที่มาวาสนาบารมีสาวกภูมิิ สำหรับท่านที่มีบารมี คือปรารถนาพุทธภูมิแล้วก็สามารถทรงสมาธิได้ฌาน 5 ฌาน 4
ที่มา http://www.larnbuddhism.com/grammathan/anussati.html 6. เทวตานุสสติกรรมฐาน (อธิบายตามแนวคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค)
เทวตานุสสติ แปลว่า ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ เช่น ภาณยักษ์ ภาณพระที่กล่าวถึงท้าวมหาราชทั้ง 4 มีท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวกุเวร (ที่นิยมเรียกว่า ท้าวเวสสุวัณ) ดังนี้ก็ถือว่าเป็นการระลึกถึงเทวดาเช่นกัน
พระพุทธเจ้ายอมรับนับถือเรื่องเทวดา พระองค์เองทรงปรารภแก่บรรดาพุทธสาวกเรื่องเทวดาเสมอ ขอให้ดูตามพระพุทธประวัติ จะพบว่าพุทธศาสนาไม่เคยห่างเทวดาเลย พระพุทธศาสนายอมรับนับถือว่ามีเทวดามีจริง และยอมรับนับถือความดีของเทวดาด้วย พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสให้พุทธบริษัทที่มีบารมียังอ่อน ให้ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นปกติ เช่นกรรมฐานข้อที่ว่าด้วยเทวตานุสสติ ก็เป็นพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความดีของเทวดา
ความดีของเทวดา เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ความประเสริฐของเทวดามีอย่างนี้ ท่านที่จะเป็นเทวดาก็ต้องเกิดเป็นคนก่อน จะเป็นเทวดานั้นต้องเรียนรู้และปฎิบัติอะไรบ้าง หลักสูตรที่ทำคนให้เป็นเทวดานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า มี 2 แบบ คือ
เทวดาประเภทที่ 1 เทวดาชั้นกามาวจร คือ ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี รวม 6 ชั้นด้วยกัน ทั้ง 6 ชั้นนี้ บวกภูมิเทวดาที่เรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ และรุกขเทวดา พวกเทวดาที่มีวิมานอยู่ตามสาขาของต้นไม้ ที่เรียกว่านางไม้ เข้ากับเทวดาชั้นจาตุมหาราช เทวดา 6 ชั้นนี้ ท่านว่าใครจะไปเกิดในที่นั้น ๆ เพื่อเป็นเทวดา ต้องศึกษาและปฎิบัติตามหลักสูตรเสียก่อนคือท่านให้เรียนรู้เพื่อเป็นเทวดา
หิริ ความละอายต่อความชั่วทั้งหมด ไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลความชั่วจะลงโทษ ไม่ยอมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ทั้งนี้ก็หมายความว่า ต้องเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และมีจิตเมตตาปราณีตลอดกาลตลอดสมัย ถึงแม้ยังไม่ฌานสมาบัติก็ไม่เป็นไร เอากันแค่ศีลบริสุทธิ์ มีจิตเมตตาปราณี ใครทำตามนี้ได้ครบถ้วน เกิดเป็นเทวดาปานกลาง ถ้าปฎิบัติได้อย่างเลิศก็เป็นเทวดาชั้นเลิศ ถ้าปฎิบัติได้อย่างกลางก็เป็นเทวดาชั้นกลาง ถ้าปฎิบัติครบแต่หยาบ ก็เป็นเทวดาเล็ก ๆ เช่นภูมิเทวดา หรือรุกขเทวดา
เทวดาประเภทที่ 2 พรหม ท่านจัดพรหมรวมทั้งหมด 20 ชั้นด้วยกัน ท่านแยกประเภทไว้ดังนี้ รูปพรหมมี 16 ชั้น รูปพรหมคือพรหมที่มีรูปนี้ ท่านแบ่งไว้เป็น 16 ชั้น แยกออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่ได้ฌานโลกีย์ มี 11 ชั้น กับพรหมที่เป็นพระอนาคามี และได้ฌาน 4 ด้วย 5 ชั้น รวมพรหมที่มีรูป 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น พรหมที่ไม่มีรูปนี้ เป็นโลกีย์พรหม มีทั้งหมดด้วยกัน 4 ชั้น รวมพรหมทั้งหมด 20 ชั้นพอดี
หลักสูตรที่จะไปเป็นพรหม การที่จะเกิดเป็นพรหม จะต้องตรวจสอบเอง ว่าสามารถไปเกิดในชั้นหลักสูตรต่ำไปหาพรหมก่อน
หลักสูตรอบายภูมิ อบายภูมิ หมายถึงดินแดน นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดียรัจฉาน ใครจบหลักสูตรนี้ จะได้ไปเกิดในที่ 4 สถานนี้ หลักสูตรนี้มีดังนี้ คือ ไม่รักษาศีล ไม่ให้ทาน ไม่เคารพคนควรเคารพ เท่านี้ไปเกิิดในอบายภูมิได้สบาย
หลักสูตรเกิดเป็นมนุษย์์ หลักสูตรมนุษย์นี้ ท่านเรียกมนุษย์ธรรม คือธรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ มี 5 อย่าง คือ ไม่ฆ่าสัตว์ และไม่ทรมานสัตว์ให้วำบากด้วยเจตนา ไม่ถือเอาของของผู้อื่นที่เขาไม่อนุญาตให้ ด้วยเจตนาขโมย ไม่ละเมิดสิทธิมนกามารมณ์ที่เจ้าของไม่อนุญาต คือไม่ละเมิดภรรยา สามี ลูก หลาน และคนในปกครอง ที่ผู้ปกครองไม่อนุญาต ไม่พูดบด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดเพ้อเจ้อโดยไร้สาระ ไม่ดืมสุราและเมลัย ที่ทำให้จิตใจให้มึนเมาไร้สติสัมปชัญญะ ตามหลักสูตรนี้ ถ้าใครสอบได้ คือปฎิบัติได้ครบถ้วน ท่านว่าตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์ได้
หลักสูตรรูปพรหม ได้ฌานที่ 1 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 1. 2. 3. ได้ฌานที่ 2 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 4. 5. 6. ได้ฌานที่ 3 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 7. 8. 9. ได้ฌานที่ 4 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 10. 11. ทั้งหมดนี้เป็นพรหมชั้นโลกีย์ หลักสูตรรูปพรหมอนาคามี พรหมอีก 5 ชั้น คือชั้นที่ 12. 13. 14. 15. 16. รวม 5 ชั้นนี้ ต้องได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอนาคนมีได้ฌาน 4 มาก่อน
สำหรับอรูปพรหม 4 ชั้น ท่านทั้ง 4 ชั้นนี้ ท่านต้องเจริญฌานในกสิณแล้วเจริญอรูปฌาน 4 ได้อีกจึงจะมาเกิดเป็นอรูปพรหมได้ แต่ท่านก็ได้เพียงฌานโลกีย์ ไม่ใช่พระอริยเจ้า
หลักสูตรเทวดาและพรหมมีอย่างนี้ ท่านสอนให้ระลึกนึกถึงความดี คือคุณธรรมที่เทวดาและพรหมปฎิบัติมาแล้ว จนเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมได้ ก็ชื่อว่าท่านได้รับผลความดีที่ท่านปฎิบัติมาแล้ว ถ้าปฎิบัติอย่างท่าน เราก็อาจจะมีผลความสุขเช่นท่านเพราะเทวดาขนาดเลวนั้น ดีกว่ามนุษย์ชั้นดีอย่างเปรียบกันไม่ได้เลยเพราะเทวดามีกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่เป็นทิพย์ ไปไหนก็เหาะไปได้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนเรา
ฉะนั้นความดีของเทวดานี้ ถึงจะยังไม่ถึงความดีในนิพพานแต่ก็เป็นสะพานสำหรับปฎิบัติเพื่อผลในนิพพานได้เป็นอย่างดี เราเป็นพุทธสาวกเมื่อพระพุทธเจ้าท่านว่ามีเราก็ควรเชื่อไว้ก่อน แล้วสร้างสมาธิทำทิพย์จักษุญาณให้เกิด ตรวจสอบคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง จะพบว่าที่ท่านสอนว่า เทวดา พรหม นรก สวรรค์ มีจริงนั้น ท่านบูชาเทวดาท่านอาจดีตามเทวดา
เทวดานุสสตินี้ ถ้าฝึกจนเกิดอุปปจารฌานแล้วท่านเจริญวิปัสสนาญาณต่อ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลได้ไม่ยาก เพราะเป็นภูมิธรรมที่ละเอียด และมีแนวโน้มเข้าไปใกล้พระนิพพานมาก ที่มา http://www.larnbuddhism.com/grammathan/anussati5.html เพื่อนๆอ่านไปก่อนนะครับ ผมจะหาสรุปให้อีกที ขอเวลาสักหน่อย
|
|
|
25793
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: นิพพานคือไม่... ไม่สุขและไม่ทุกข์ ไม่เกิดและไม่ดับ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2011, 01:05:25 pm
|
ผมจะคุยเป็นเพื่อนนะครับ เรื่องความหมายนิพพานที่แท้จริง คงจะต้องเว้นเอาไว้ ยังไปไม่ถึง แต่จะสนทนาธรรมตามกาล คำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ อาจหมายถึง ความสุขทุกข์ทางโลกียะเท่านั้น ไม่เกิดไม่ดับ อาจจะหมายถึง กิเลสที่ปุถุชนมีอยู่ จะไม่มี เมื่อไม่มี ก็เลยไม่มีการดับเกิดขึ้น
สภาวะนิพพาน ปุถุชนไม่อาจเข้าใจ มีคนวิเคราะห์ว่า ไม่อาจหาคำพูดหรือสมมุติบััญญัติใดๆมาอธิบายได้ และนั่นอาจเป็นเหตุให้พระองค์ สรุปไว้สองประโยค ก็คือ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง และ นิพพานัง ปรมัง สุขัง
นิพพาน เป็น อัตตา หรือ อนัตตา เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นที่ถกเถียงระหว่าง มหาเถรสมาคมกับวัดธรรมกาย มีพระวิปัสสนาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า อนัตตา ไม่ใช่ ไม่มีอะไรเลย
ผมเลยเดาเอาว่า คำว่า "ไม่มีอะไรเลย" ท่านคงหมายถึง สภาวะที่ปุถุชนไม่อาจเข้าใด้ ขอคุยเท่านี้ครับ คุยมากรู้สึกอึดอัด
|
|
|
25796
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: จันทร์วิปโยค!!! ชมภาพนาทีหนีน้ำที่นิคมฯนวนคร ทั้งลุ้นและแตกตื่น
|
เมื่อ: ตุลาคม 17, 2011, 07:32:18 pm
|
โดยหลังจากที่มีการประกาศเตือนจากศปภ. ประชาชนเริ่มยอยขับรถหนีน้ำท่วม ซึ่งทำให้ถ.พหลโยธิน บริเวณหน้านิคมฯนวนคร เกิดการจราจรติดขัดแล้ว เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอำนวยการจราจรนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา โฆษก ศปภ.แถลง รอบที่ 2 ว่า ได้ให้ประชาชนในพื้นที่รอบนิคมฯนวนครออกจากพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยให้ไปอยู่ที่ศูนย์อพยพตามที่ได้เตรียมไว้ พร้อมอำนวยความสะดวก ทั้งในการเดินทาง อาหาร และเครื่องมือต่างๆ เพื่อรองรับผู้อพยพ เนื่องจากปริมาณน้ำได้เข้าท่วม 10 เปอร์เซ็นต์ และมี 2 โรงงาน น้ำได้ท่วมสูง 1.5 - 2 เมตรเช่นเดียวกับบริเวณอื่น ก็ได้มีการอพยพข้าวของไว้ที่สูง และเร่งสร้างพนังกั้นน้ำอย่างเต็มที่นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมหารือมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูแรงงาน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี ปริมาณน้ำได้ไหลผ่านในส่วนที่ 1 แล้ว ก็จะมีในส่วนที่ 2 ที่จะต้องป้องกันและในส่วนที่ 3 ที่ยืนยันว่าจะมีการดำเนินการ ป้องกันอย่างถึงที่สุดขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318845590&grpid=01&catid=&subcatid=
|
|
|
25797
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จันทร์วิปโยค!!! ชมภาพนาทีหนีน้ำที่นิคมฯนวนคร ทั้งลุ้นและแตกตื่น
|
เมื่อ: ตุลาคม 17, 2011, 07:24:10 pm
|
จันทร์วิปโยค!!! ชมภาพนาทีหนีน้ำที่นิคมฯนวนคร ทั้งลุ้นและแตกตื่น แรงงานร่วม 2 แสนชีวิต อพยพโกลาหล วันที่17ต.ค. หลังจากที่พนังกั้นน้ำหลังบ่อบำบัดนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี แตก 2 จุด โดยชั้นแรกแตกเป็นระยะทางยาว 6 เมตร พนังกั้นชั้นที่ 2 แตกยาวประมาณ 30 เมตร ทำให้น้ำที่ท่วมบริเวณด้านนอกทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วแม้ชาวชาวบ้านและทหารกว่า 500 คน จะพยายามเร่งอัดกระสอบทรายเพื่ออุดรอยรั่ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ล่าสุด ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) จะขึงลวดสลิง 20 เส้น และใช้เครื่องบินชีนุกหย่อนตู้คอนเทนเนอร์ 4 ตัน กั้นคันดินบริเวณนิคมฯนวนคร เป็นการด่วนก่อนที่ศปภ.จะแถลงอย่างเป็นทางการว่า น้ำไหลเข้านิคมฯนวนครแล้ว ขอให้พนักงานและประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ด้วยตนเองก่อน สั่งโรงงานในนวนครหยุดเดินเครื่อง และอพยพคนโดยรอบนิคมฯไปที่ปลอดภัยขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318845590&grpid=01&catid=&subcatid=
|
|
|
25800
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำนายไทยเจอภัยธรรมชาติหนัก 3 รอบ! ถึงขั้น 'เลือดชโลมดิน'
|
เมื่อ: ตุลาคม 17, 2011, 02:43:07 pm
|
ทำนายไทยเจอภัยธรรมชาติหนัก 3 รอบ! ถึงขั้น'เลือดชโลมดิน' นักดาราศาสตร์ชาวบ้าน จ.พัทลุง ทำนายประเทศไทยอาจเจอวิกฤติหนักจากภัยธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ถึง 3 รอบ เหตุดาวเสือกับดาวหมีได้โคจรเข้าหากัน รอบแรกวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ ครั้งที่สอง อาจจะมาอีก 2 เดือน และครั้งที่สามจะมาในช่วงปลายปีถึงต้นปี เผยอาจเลวร้ายถึงขั้นเลือดชโลมดิน
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. นายโมฮัมหมัดแสละ อาจสามารถ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ 3 ต.แม่ขรี อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ซึ่งเป็นคนดีศรีเมืองลุงปี 2553 ในฐานะนักดาราศาสตร์ชาวบ้าน กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2554 เป็นต้นมา หมู่ดาวเคราะห์ คือ ดาวเสือกับดาวหมีได้โคจรเข้าหากัน ล่าสุด วันนี้ก็ยังโคจรเข้าใกล้กัน โดยมีระยะห่างเพียง 1.20 เมตรท่านั้น ซึ่งจากผลการทำนาย ปรากฏว่า ประเทศไทย รวมถึงภาคใต้ จะประสบภาวะวิกฤติอย่างหนักถึง 3 รอบด้วยกัน รอบแรกน้ำท่วมที่กำลังประสบอยู่ รอบที่ 2 ช่วงระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ที่จะถึงนี้ จะเกิดภัยพิบัติธรรมชาติทั่วประเทศ และรอบที่ 3 ระหว่างปลายปี 54 ถึงต้นปี 55 และที่สำคัญหากดวงดาวทั้ง 2 นี้โคจรมาชนกัน ก็จะเกิดทั้งภัยพิบัติจากธรรมชาติ และเกิดจากน้ำมือมนุษย์ถึงขั้นหลั่งเลือดชโลมดิน
นายโมฮัมหมัดแสละ กล่าวอีกว่า จากอดีตที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ 2 ดวง ระหว่างดาวเสือกับดาวหมี ได้โคจรมาพบกันและเกิดชนกันขึ้นเมื่อ ปี 2551 และได้เกิดปรากฏการณ์วาตภัยถล่มแหลมตะลุมพุกที่ จ.นครศรีธรรมราช จนสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ขอฝากไปยังพี่น้องประชาชน ให้เตรียมรับมือพร้อมช่วยเหลือตัวเอง และที่สำคัญให้มีสติตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เพื่อจะได้มีชีวิตรอดอย่างปลอดภัยต่อไป.ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.thairath.co.th/content/region/209956
|
|
|
|