ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - นิรตา ป้อมนาวิน
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
41  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กันทคลกชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องนกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2015, 03:26:03 pm
กันทคลกชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องนกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น

  ณ เมืองสาวัตถี ขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในพุทธศาสนาขึ้น เมื่อพระเทวทัตคิดจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง จึงกระทำอกุศลกรรมเพื่อให้ผู้คนหมดความเลื่อมใสในองค์พระศาสดา ครั้งหนึ่งเมื่อเจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชแล้วได้โลกียา มีความชำนาญในอภิญญา จึงเกิดความกำเริบใจใช้ฤทธิ์แปลงกายเป็นพระศาสดา
 กระทำการกล่าวให้ร้ายในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ อนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่ถูกนำมาถวายเป็นพระกระยาหาร “เนื้อหมูนี่ กระผมชำแหละเองกับมือ รสดีนัก เชิญฉันเถิด” และพระเทวทัตก็เริ่มต้นสร้างความเลื่อมใสด้วยการฉันมังสวิรัติ ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ยินยอมให้พุทธสาวกปฏิบัตินั้นคือ ความเสื่อม
  “ฉันเนื้อสัตว์ผิดศีลยิ่งนัก เราขอฉันแต่ผลไม้พวกนี้ก็พอ” ยิ่งกว่านั้นพระเทวทัตยังคิดลอบปลงพระชนม์พระพุทธองค์แล้วจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง “ฮ่ะ ฮะ ๆๆ เมื่อองค์พระศาสดาสิ้นลง พระศาสดาองค์ต่อไปก็ต้องเป็นเรา ฮ่ะ ฮา ฮ่าๆ” ความเลวร้ายของพระเทวทัตนั้นนักหนาจนแผ่นดินที่รองรับนั้นทนไม่ได้ จึงแยกตัวออกและสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี
  จึงเสวยอกุศลวิบากนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้ เรื่องราวดังกล่าวได้ถูกนำมาเป็นหัวข้อสนทนาทั้งในกลุ่มชาวเมืองสาวัตถีและในกลุ่มภิกษุสงฆ์ในวัดเชตวัน  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่เพียงชาติภพนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตเลียนแบบอยากเป็นเช่นเราแล้วเกิดความเสียหายในครั้งอดีตเช่นกัน แล้วองค์พระศาสดาก็ตรัสเล่า กันทคลกชาดก ดังนี้
  ครั้งหนึ่งมีนกหัวขวานชื่อ กันทคลกะ อาศัยหากินอยู่ในป่าไม้ทองหลางแห่งหนึ่ง “ออกมาเป็นอาหารข้าซะดีๆ หนอนน้อย ก๊อกๆๆๆๆ ออกมาๆ เจ้าจะพ้นเงื้อมมือปากของข้าไปไม่ได้หรอก ก๊อกๆๆ ในที่สุดเจ้าก็กลายเป็นอาหารของข้า ฮัมๆๆ อร่อยจัง หาอีกดีกว่า หนอนในป่านี้ช่างอร่อยยิ่งนัก อยากรู้จังว่าป่าอื่นนะ รสชาติหนอนจะเป็นเช่นไรหนอ?
  เฮ้อ...หากินอยู่แถวนี้ชักเบื่อๆ รสชาติหนอนที่นี่แล้ว ไปหาเจ้านกขทิรวนิยะเพื่อนซี้เราดีกว่า ป่าต้นตะเคียนที่นั่นคงมีหนอนรสชาติดีๆ บ้างละน่า” ณ ป่าต้นตะเคียนมีนกหัวขวานนาม ขทิรวนิยะ อาศัยอยู่ นกตัวนี้เป็นเพื่อนกับนก กันทคลกะ มาช้านาน แต่นกทั้งสองก็ต่างอาศัยอยู่กันคนละป่า นานๆ ครั้งจึงจะไปมาหาสู่กันซะที
 “อึม..รสชาติหนอนที่นี่ยังอร่อยเหมือนเดิม เอ้..เป็นเพราะไม้ตะเคียนที่นี่หรือเปล่าน่า ที่รักษาความสดหวานของตัวหนอนได้ “ขทิรวนิยะ เพื่อนเกลอเอ๋ย หือ...กำลังกินหนอนอร่อยเชียวนะ เราคิดถึงเจ้านักจึงมาเยี่ยม” “อ้าว...เจ้ากันทคลกะ โอ้โห มาเยี่ยมข้าถึงนี่เชียว มาๆๆ ม๊ะ ข้ากำลังคิดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย” “เป็นไงมาไงเนี่ย มาถึงนี่เชียว”
   “เห้อ...ก็ข้ารู้สึกเบื่อๆ ที่ป่าไม้ทองหลางนั่นเงียบยังกับป่าช้า จะหาเพื่อนคุยน่ะก็อยาก” “อ้าฮ้า...ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว พักอยู่กับข้าที่ป่านี่สัก 2-3 วันเถิด เราจะชวนเจ้าคุยให้หายเหงาไปเลย” “ได้อยู่แล้ว เรากะจะมาหาหนอนอร่อยๆ กินด้วยแหละ รสชาติหนอนที่ป่าทองหลางน่ะ เริ่มจืดละ” “ได้เลย ข้าจะหาหนอนรสเลิศให้เจ้ากินเอง
  หนอนที่นี่อร่อยอย่าบอกใครเชียว” “โอ้ดีๆ อยากรู้นักว่าหนอนที่นี่ จะหวานอย่างที่เจ้าว่าจริงหรือเปล่า อย่าเสียเวลาเลย พาเราไปกินเถิด” “ได้ซิ แต่เราไปกินที่ต้นอื่นกันเถิด ต้นนี่โดนข้าเจาะไปตั้งหลายที่แหละ หนอนคงจะหมดแล้วหล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปกินที่ต้นไม้ใหญ่ในป่าด้านในโน้น ไปกันเถอะ” “ได้เล้ย”
 ด้วยความดีใจที่เพื่อนรักมาเยี่ยมนกขทิรวนิยะ จึงพาเพื่อนเกลอ บินเข้าไปในป่าใหญ่เพื่อหาหนอนกิน นกขทิรวนิยะ พาเพื่อนไปที่ต้นตะเคียนต้นหนึ่ง แล้วใช้จงอยปากเจาะต้นตะเคียนหาตัวหนอนเพื่อให้เพื่อนรักได้กิน “โอ้โห! หนอนตัวโตเชียว อือหือ..น๊ากิ้น น่ากิน” “หนอนที่ป่าตะเคียนนี่ ตัวโตกว่าที่ป่าของเจ้าใช่ไหมหล่ะ?
ชิมดูซิ อร่อยหวานมากเลยนะ ลองแล้วจะติดใจ” “หือ...อร่อยมากเลย หวานจริงๆ ถึงว่าทำไมเจ้าถึงตัวอ้วนนัก มีหนอนรสชาติดีให้กินอย่างนี้นี่เอง” ฮะฮาฮ้า..เจ้าหาว่าข้าอ้วนเหรอ กินๆ ไปเถอะน่าอย่าพูดมากอยู่เลย” นกกันทคลกะ อาศัยอยู่กับนกขทิรวนิยะในป่าตะเคียนด้วยความสุข นกทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน
ตอนกลางวันก็ออกไปหาหนอนด้วยกัน ตอนเย็นก็กลับมาพักที่รังคุยกันจนหลับไป ทุกครั้งเมื่อนกทั้งสองออกหากิน นกขทิรวนิยะจะเป็นผู้เจาะต้นไม้หาหนอนให้นกกันทคลกะกินเสมอ จนวันหนึ่งนกกันทคลกะ อยากจะเจาะต้นไม้หาหนอนกินเองบ้าง “เพื่อนเอ๋ย ตั้งแต่เรามาเยี่ยมเจ้า เจ้าก็เป็นผู้หาหนอนให้ข้ากินทุกครั้ง มาวันนี้ข้าจะหาหนอนกินเองบ้าง เจ้าอย่าลำบากเลย”
 “อย่าเลย เจ้ามาหาข้าทั้งที ข้าก็ต้องเป็นฝ่ายดูแลเจ้าซิ อย่าได้เกรงใจเลย ข้ายินดีหาให้เจ้ากิน จะกินเท่าไหร่ก็ได้ ข้าไม่เหนื่อยหรอก” “อย่าเลย ข้าอยากหากินเองบ้าง มาอยู่กับเจ้าตั้ง 2-3 วันไม่ได้หากินเองบ้างเลย มันจะผิดวิสัยนกน่ะ” “เอาเถอะน่า เจ้าพักหากินสัก 2-3 วันจะเป็นไรไป ให้ข้าหาให้เจ้าน่ะ ดีแล้ว”
 “เจ้าอย่าปฏิเสธอย่างนั้นซิ เจ้าก็เป็นนก ข้าก็เป็นนก ยังไงข้าก็จะหากินเองบ้าง เจ้าอย่าขัดใจข้าเลย” “เจ้าจะหากินในป่าตะเคียนได้ไงเล่า ต้นไม้ในป่านี้ มันต่างกับป่าทองหลางที่เจ้าอาศัยอยู่นะ ลำต้นก็แข็งแรงผิดเพี้ยนกัน เจ้าจะเจาะได้เหรอ” “เจ้าหาว่าจงอยของข้าอ่อนกว่าของเจ้ารึ เจ้าขทิรวนิยะเจ้าเป็นนกหัวขวาน
 เราก็เป็นนกหัวขวานอย่างไรซะ ต้องมีจงอยปากเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าเจาะได้ ข้าก็เจาะได้เช่นกัน” ถึงจะเป็นนกเหมือนกันก็เถอะ แต่ข้ากับเจ้าอาศัยอยู่ในป่าที่แตกต่างกันตั้งแต่เกิด ความแข็งแรงของจงอยปากก็ต้องต่างกันตามความแข็งแรงของต้นไม้ที่อยู่ในป่านั้นๆแหละ” “ฮึ!!..ไม่ต้องมาสั่งสอนข้าหรอก ในเมื่อเจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้”
 “สหาย..เจ้าก็อย่าได้ดื้อดึงเลย ป่านี้เป็นป่าของข้า ข้าหาหนอนเองจะง่ายกว่าเยอะเลย สหายเคยกินแต่ในป่าไม้ทองหลาง ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น แต่นี่เป็นป่าไม้ตะเคียนนะมีแก่นแข็ง แล้วสหายจะเจาะไหวเหรอ” “ไหวซิ เราเป็นนกหัวขวานเหมือนกันนี่น่า เจ้าคอยดูเถอะเราจะเจาะหาหนอนตัวโตมาให้เจ้าดู
 นกกันทคลกะไม่ฟังที่นกขทิรวนิยะบอก มันลงมือใช้จงอยปากเจาะต้นตะเคียนต้นหนึ่งทันที “ก๊อกๆๆๆๆๆ เฮ้ย..ทำไมมันแข็งอย่างนี้นะ” “หยุดเถอะน่าสหาย มันแข็งมาก เจ้าเจาะไม่ไหวหรอก” เจ้านกกันทคลกะเมื่อได้ฟังเพื่อนกล่าวห้ามก็ยิ่งรู่สึกโกรธ มันพยายามเจาะอย่างสุดแรงเกิด “เย้ย..ต้นแค่เนี่ย ทำไมเราเจาะไม่ได้!!..
  เจ้าคอยดูแล้วกัน ก๊อกๆๆ เย้ยๆๆ..ต้นไม้มันคงแก่ไป ลองเปลี่ยนเป็นต้นโน้นบ้างจะดีกว่า  ก๊อกๆๆ เย้ย ต้นนี้ก็แข็งเหมือนกัน อะไรกันเนี่ย คงเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้จงอยปากเจาะต้นไม้มาหลายวันแน่ มันเลยเจาะอยากอย่างนี้” “เจ้าอย่าพยายามอีกเลย ไม่ว่าต้นไหนๆ ไม้ก็แข็งเหมือนกันนั่นแหละ เจ้านะยอมรับซะเถอะ
 มาเถิด ข้าจะเจาะหาหนอนให้เจ้ากินเอง” “ไม่ข้าจะเจาะ ข้าต้องทำได้” นกกันทคลกะไม่ฟังที่นกขทิรวนิยะบอก มันลงมือใช้จงอยปากเจาะต้นตะเคียนอย่างสุดแรงเกิด เสียงดังก้องป่าไปหมด ก๊อกๆๆๆๆๆ “พอเถอะๆ” นกขทิรวนิยะมองดูเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ส่งเสียงห้ามปราม แต่ยิ่งห้ามเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นแรงยุให้นกกันทคลกะยิ่งเจาะแรงขึ้นเท่านั้น ก๊อกๆๆๆๆๆ
 นกกันทคลกะทวีความแรงเจาะต้นไม้เข้าไปอีก จนในที่สุดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ป๊อค!.....โอ๊ย ปากข้า” จงอยปากของนกกันทคลกะได้หักลง ทำให้มันเสียหลักตกจากต้นไม้ หล่นลงพื้นดินข้างล่าง “เฮ้ย!...ระวังเจ้ากันทคลกะ ระวัง เจ้าจะตกลงไปแล้ว” “โอ้ยยยย....” นกกันทคลกะตกจากต้นไม้กระทบพื้นข้างล่าง
 นอนดิ้นไปดิ้นมาด้วยความทรมาน นกขทิรวนิยะตามมาดูด้วยความตกใจ “เป็นไงบ้างสหาย เจ้านะ คงเจ็บมากซินะ ข้าบอกแล้ว ว่าอย่าทำ” “ต้นตะเคียนเป็นต้นไม้ที่มีแก่นแข็งอย่างนี้เชียวหรือ ข้าผิดเองที่ไม่ฟังคำสหาย” “โธ่ สหายเอ๋ย ข้าบอกแล้วว่าไม้ในป่าของข้ากับของเจ้าไม่เหมือนกัน” นกกันทคลกะสิ้นใจอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ทำความโศกเศร้าให้กับนกขทิรวนิยะอย่างมากที่สูญเสียเพื่อนไปอย่างไม่มีวันกลับ

 
 
กันทคลกะ เกิดเป็นพระเทวทัต
นกขทิรวนิยะ เสวยพระชาติ เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
42  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / วัฏฏกาชาดก-ว่าด้วยอำนาจแห่งการตั้งสัตยาธิษฐาน เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 04:49:02 pm


วัฏฏกาชาดก-ว่าด้วยอำนาจแห่งการตั้งสัตยาธิษฐาน

วัฏฏกาชาดก เป็นเรื่องของการอธิษฐานจิต ด้วยใจที่เป็นสมาธิ(Meditation)ระลึกนึกถึงบุญที่เคยกระทำมาในทุกๆ บุญ
  ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังชนบทแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ พระพุทธองค์ทรงนำหมู่ภิกษุสงฆ์ไปในป่าลึกเพื่อแสวงหาที่สงบ กระทำรุกขมูล เจริญภาวนาสู่วิถีแห่งวิโมกขธรรมดังเคยปฏิบัติแต่นานมา ขณะนั้นบริเวณป่าที่หมู่สงฆ์เจริญภาวนาอยู่นั้นได้เกิดไฟไหม้ลุกลามขึ้นจากแนวไฟเล็กน้อยเพิ่มบริเวณเป็นมหันตภัยเป็นบริเวณกว้าง
  และในเวลาไม่ช้าไฟป่าก็โหมเข้าล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายไว้โดยรอบ มิเห็นช่องทางจะออกมาได้เลย ภิกษุรอบนอกได้กลิ่นควันและรู้สึกร้อนจึงพากันหยุดภาวนา “ท่าน..ได้กลิ่นเหม็นบ้างหรือเปล่า” “ใช่ๆๆ กลิ่นเหม็นใกล้เข้ามาทุกที” “ผิวกายนี่ร้อนผ่าวเหมือนยืนหน้าเตาไฟ เอ๊ะ!...หรือว่าไฟไหม้ป่า”
  “นั่นไงท่าน ไฟลุกไหม้อยู่ทางโน้นจริงๆ ด้วย เร็วๆ เข้าหนีไปทางโน้นกันเถอะ” “นั่นเสียงใครดังอยู่ข้างนอก เอะอะโวยวายอะไรกัน” “นั่นไฟไหม้นี่ แย่แล้ว ไฟมันลามเข้ามาทางนี้ด้วย หนีกันเถอะ” “โอ๊ะ.. แย่แล้วไฟไหม้หนีเร็ว” ในไม่ช้าพระสงฆ์ทุกรูปก็หนีมารวมกลุ่มกันกลางวงล้อมของไฟ ทุกรูปหวาดกลัวและมองหาทางหลบหนี
 “ไฟป่าช่างน่ากลัวเกิน แล้วนี่พวกเราจะหนีไปทางใดละนี่” “โอ้..ร้อนจริงๆ เลย เหม็นกลิ่นควันด้วย” “โห้..ท่านมองทางนั้นซิ ไฟลุกลามไหม้ต้นไม้ใหญ่แล้ว” “ทำยังไงดีละพวกเรา ไฟป่าลามเข้าจะถึงตัวเราแล้ว” “ใครก็ได้ช่วยหยุดไฟป่าพวกนี้ที” “เราช่วยกันหาอะไรมาขวางกันไว้ดีไหม๊ อย่างน้อยไฟจะไหม้มาทางเราช้าลง”
 “หยุดมันได้จริงหรือท่าน เรานะกลัวว่ามันจะยิ่งลามเข้ามานะซิ” “ดีกว่าอยู่เฉยๆ หรือจะเอาไฟไปจุดเพื่อให้ไฟกับไฟปะทะกันก็น่าจะพอหยุดยั้งได้บ้างนะ” “ช้าก่อนเถิดพวกเราต้องไม่ลืมว่ากำลังตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มากยิ่งในพระบารมีอยู่” “นั่นซิน่ะ พระองค์ต้องช่วยเราได้แน่ๆ” “ถูกแล้วเราจึงไม่ควรทำสิ่งใดโดยพละการดังเหมือนไม่เคารพในพระองค์
 ซึ่งอุปมาว่าอยู่ภายใต้พระจันทร์และพระอาทิตย์ แต่มองไม่เห็นแสงสว่างเช่นนี้” “แล้วท่านจะให้เราทำเช่นไร ไฟลุกไหม้เข้ามาทุกทีแล้ว หากเราไม่ทำการแก้ไข ไฟอาจจะลุกไหม้ถึงพระองค์ได้” “ไม่หรอกน่าท่าน เราควรไปเฝ้าพระบรมศาสดา ขอพระบารมีมาดับทุกข์ร้อนครั้งนี้กันดีกว่า” “อือ..งั้นเรารีบไปเข้าเฝ้าพระศาสดากันเถิด”
  ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้สติ ก็พากันทำสมาธิไว้มิให้ตกใจตื่นกลัว จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ กึ่งกลางวงล้อมไฟป่าเช่นกัน ในตอนนั้นเปลวไฟไหม้โหมหนักขึ้นเพราะแรงลมจัด แต่เมื่อไฟโชนเข้าไปใกล้ที่พระพุทธองค์ประทับ ทันใดนั้นไฟอันประทุโชติช่วงกลับหยุดสนิทดับสิ้นดุจคบเพลิงที่จุ่มลงน้ำแล้วดับวูบลง
 แผ่กว้างเป็นรัศมีรายรอบประมาณ 5 เซนติเมตร พระภิกษุทั้งหลายเห็นพระพุทธบารมีเช่นนั้นก็พากันสรรเสริญโดยเคารพ “ทรงมีอานุภาพนัก แม้ไฟป่าซึ่งเป็นธรรมชาติก็ไม่อาจไหม้มาถึงที่ประทับได้เลย” “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ สาธุ” พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้สดับถ้อยคำดังนั้น จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อครั้งเคยผจญอัคคีในป่าใหญ่แห่งนี้ขึ้น
 “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการที่ไฟไหม้เข้ามาถึงบริเวณนี้แล้วดับลงเองนั้น มิใช่เป็นเพราะอานุภาพของตถาคตในบัดนี้ แต่เป็นเพราะอำนาจแห่งสัตยาธิษฐานของตถาคตในชาติก่อนโน้น และนับแต่ชาตินั้นมาที่บริเวณนี้ ไฟจักไม่ไหม้เป็นอันขาด และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกัป” อดีตกาล ณ ผืนป่าใหญ่ในมคธรัฐแห่งนี้
  ยังมีนกคุ่มคู่หนึ่งสร้างรังอยู่กลางพื้นโดยมีผืนป่าโอบล้อมไว้รายรอบ “อยู่ในนี้นะจ๊ะลูก แม่จะฟักเจ้าให้เติบโตเป็นนกที่แข็งแรง” พ่อนกเมื่อกลับมาจากหาอาหาร ก็มาเฝ้าดูแม่นกกกไข่ทุกวัน “แม่จ๋า พ่อกลับมาแล้ว วันนี้ลูกเป็นยังไงบ้างละจ๊ะแม่” “จวนจะออกมาจากไข่แล้วละจ๊ะพ่อ” “ฮ้า.ดีใจจังเลย เราจะได้เห็นหน้าลูกของเราแล้วนะจ๊ะแม่” “ใช่จ๊ะพ่อ”
พ่อนกและแม่นกต่างก็ตื่นเต้น ใจจดใจจ่อรอดูหน้าลูก แต่แล้วชะตาร้ายก็มาเยือน เมื่อวันหนึ่งมีไฟไหม้ป่า ในวันเดียวกันนี้เอง ลูกนกคุ่มตัวน้อยก็ฟักออกจากไข่ “อึบ..อ้า..ออกมาได้แล้ว พ่อจ๋าแม่จ๋าลูกออกมาแล้ว” น่าสลดใจยิ่งนักพ่อนกและแม่นกได้ทิ้งลูกน้อยบินหนีไฟไปเสียแล้ว พ่อนกแม่นกมิรู้เลยว่าลูกน้อยที่เค้าทั้งสองเฝ้าคอยชื่นชมนั้นได้ออกมาจากไข่แล้ว
 “หนีก่อนเถอะแม่ เราน่ะ เอาลูกไปด้วยไม่ได้หรอก ลูกยังไม่ออกจากไข่เลย” “ลูกแม่ แม่ขอโทษนะลูก ฮือๆๆ” ลูกนกคุ่มช่างน่าสงสารเพิ่งออกจากไข่แท้ๆ ขนก็ยังขึ้นไม่เต็มตัว ปีกยังไม่กล้า ขายังไม่แข็ง แต่ต้องเผชิญหน้ากับไฟป่าเช่นนี้ ดังถูกทิ้งให้รอความตาย “ฮือๆๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮือๆ นี่ถ้าปีกเรามีขนพอจะบินได้ เราก็คงจะบินหนีไป
 ถ้าเท้าและขามีแรงพอก็จะเดินหนีไปไม่รอความตายอยู่เช่นนี้” ลูกนกคุ่มอนาจกับชะตาชีวิตของตนมองดูร่างอันกระจ้อยร้อย ไม่มีขน ไม่มีแรงจะบิน และเดินหนีกองไฟอันมหึมาได้ “ฮือๆๆ ดูเอาเถิด แม้แต่พ่อแม่ของเรา ยังทิ้งเราเพื่อเอาชีวิตรอด ฮือๆ เราไม่มีที่พึ่งใดๆ อีกแล้ว ฮือๆๆ”
 ด้วยอานิสงส์แห่งความดีที่ได้ตั้งใจทำมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำให้ลูกนกคุ่มคุมสติได้โดยดี ซ้ำยังระลึกถึงศีลและสัจจะได้ว่ามีอยู่จริง มีอยู่คู่โลกตลอดมา “เมื่อไม่มีใครช่วยก็คงต้องช่วยตัวเอง” ลูกนกคุ่มระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต  คุณของพระธรรม คุณแห่งศีลที่มีอยู่ในโลกขึ้นทำสัตยาธิษฐาน
  “ปีกของเรามีอยู่ แต่บินไม่ได้ เท้าทั้งสองมีอยู่ก็เดินไม่ได้ พ่อแม่เรามีอยู่แต่บินหนีไป ด้วยสัจจะวาจานี้ไฟเอ๋ยจงถอยกลับไปเสียเถิด อย่าได้ทำอันตรายแก่เราและสัตว์ทั้งหลายเลย” ด้วยบุญบารมีที่ลูกนกคุ่มเคยบำเพ็ญมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และด้วยแรงอธิษฐานนี้
 เปลวไฟที่ลุกไล่เข้ามาจึงดับสนิทลงทันทีทันใด และด้วยแรงอธิษฐานนั้นป่าในรัศมีห้าเส้นจากรังนกคุ่มบริเวณนี้ จึงมิเคยมีอันตรายจากไฟป่าแม่แต่สักครั้ง สืบมาจนถึงพุทธกาลสมัย เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยะสัจ 4_โดยเอนกปริยาย
ภิกษุในที่นั้นบังเกิดความปรีดาปราโมทย์ต่อการสดับพระธรรมนั้น เข้าถึงกายธรรมอันลุ่มลึกโดยทั่วถ้วน
 
 
ในสมัยพุทธกาลพ่อแม่ของลูกนกคุ่ม กำเนิดเป็น
พระเจ้าสุทโธธนะและพระนางสิริมหามายาพระพุทธบิดาพระพุทธมารดา
ลูกนกคุ่ม เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
43  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / วัณณุปถชาดกว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 02:47:04 pm


วัณณุปถชาดกว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน

วัณณุปถชาดก "นายวาณิชสามารถนำพาหมู่คณะเดินทางไปสุ่จุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ แม้ในระหว่างการเดินทางจะเจออุปสรรคแต่เขาก็สามารถใช้ความเพียรก้าวข้ามปัญหาไปได้"

 ณ พระเชตะวันมหาวิหารในพุทธกาลครั้งนั้น หมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจำพรรษาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ต่างขยันหมั่นเพียรศึกษาพระธรรมวินัย และเกื้อกูลกันเป็นอันดี ภิกษุรูปหนึ่งประพฤติตนเรียบร้อย ขยันหมั่นเพียรในพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่รักของภิกษุในพระเชตวัน
ตลอด 5 ปีที่อุปสมบท “ท่านขยันหมั่นเพียรดีนัก” “เออ ดีๆๆ ท่านนะ จะบรรลุแจ้งในธรรมของพระพุทธองค์ได้แน่ๆ” “เราจะขยันหมั่นเพียร ประพฤติธรรมจนถึงพระนิพพานให้ได้” ภิกษุหนุ่มศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉานก็ปรารถนาจะเจริญภาวนาเพื่อบรรลุมรรคผลพระนิพพาน จึงกราบลาพระบรมศาสดาออกวิปัสสนาในป่าลึก
 ตลอดเวลา 3 เดือนในฤดูเข้าพรรษาพระภิกษุรูปนี้ปรารภความเพียรอย่างหนัก แต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลย “เฮ้อ..เมื่อไหร่จิตใจเราจะสงบได้เสียที มีแต่เรื่องทางโลกรบกวนสมาธิ แค่บรรลุปฐมญาณยังแสนยากหนอ” เมื่อการปฏิบัติมิได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ภิกษุผู้ภาคเพียรก็ยิ่งท้อใจ
 “ชาตินี้เราคงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่  เฮ้อ..ควรจะกลับไปยังพระอารามเชตวันเสียที” เมื่อคิดได้ดังนั้นภิกษุผู้ท้อแท้ก็เดินทางออกจากป่าสู่เขตวิหารเชตวันดังเก่า “กลับไปปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์ ไปฟังพระธรรมเทศนาให้ชื่นใจ ดีกว่ามานี่หวังบรรลุธรรมลมๆ แล้งๆ เช่นนี้ เฮ้อ..พอกันที”
 เพื่อนพระภิกษุสงฆ์เมื่อเห็นท่านกลับมาอย่างสิ้นหวังก็พากันปลอบโยนและชักชวนไปเฝ้าพระพุทธโอวาทต่อพระบรมศาสดา “อย่าเสียใจไปเลยท่าน ค่อยเพียรภาวนาไปก็ได้ สักวันคงจะเห็นผล” “นั่นซิ เราไปเฝ้าขอโอวาทพระบรมศาสดากันเถอะ เผื่อพระองค์จะทรงชี้ทางสว่างให้ท่านได้บรรลุมรรคผล”
“อือ..ก็ดีนะท่าน พระพุทธโอวาทแก้ปัญหาและปลดทุกข์ปวงชนมามากมายนักแล้ว” วาระนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสติปัญญาและกำลังใจให้ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติธรรมต่อไป พระองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณแล้วตรัสเล่า วัณณุปถชาดก ดังนี้
ในอดีตกาลมีนายวาณิชชาวพาราณสีคนหนึ่งบรรทุกสินค้าไปขายต่างเมืองเป็นประจำ วันหนึ่งวาณิชผู้นี้ต้องนำกองเกวียนข้ามทะเลทรายเป็นทางไกลถึง 60 โยชน์ “โห้ย....คราวนี้ต้องเดินทางไกลยิ่งนัก เฮ้อ ทั้งไกลทั้งร้อน ผ่านทะเลทรายอีกต้องลำบากมากขึ้นแน่ๆ”
ในการเดินทางครั้งนั้นผ่านผืนทรายร้อนจัดมากจึงต้องหยุดในเวลากลางวันและออกเดินทางในเวลากลางคืนแทน “ตะวันสูงขึ้นแล้ว ต้องรีบพักก่อนจะถูกเผาจนตัวเกรียม หยุดก่อนทุกคน หยุดพักกันได้เราจะพักจนพระจันทร์ขึ้นแล้วค่อยไปต่อ” “เฮ้อ..ได้พักซะที เดินทางมาทั้งคืนแหละ....นอนดีกว่า..ง่วง”
 “อ้าว..อะไรจะหลับง่ายปานนี้ พักปุ๊บหลับปั๊บ ตื่นมากินกันก่อนซิ” นายกองเกวียนพ่อค้าใหญ่จะหยุดให้คนและโคได้พักผ่อนเช่นนี้เสมอจนกระทั่งระยะทางเหลืออีกแค่ 1 โยชน์หรือ 16  กิโลเมตร ก็จะพ้นเขตทะเลทราย เมื่อได้หยุดพักทุกคนก็ชะล่าใจ ดื่มน้ำและกินอาหารจนหมด “ฮะ ฮ่า ฮ้าๆ มีความสุขจริงๆ กินๆๆๆ
  กินกันให้เต็มที่ไปเลยพรุ่งนี้ก็ถึงในเมืองแล้ว ฮะฮ่า” “ใช่ๆๆ ต้องกินให้หมดเกลี้ยงเก็บไว้ก็หนัก เดี๋ยวก็ถึงที่แล้วค่อยไปหาของอร่อยๆ ในเมืองกินต่อ” “อูย อิ่มจนลุกไม่ขึ้นแล้วนี่” เมื่อได้เวลาเดินทาง ต้นหนคนนำทางก็ขับเกวียนออกนำหน้าดังเคย เกวียนทุกเล่มก็ขับตามๆ กันไปโดยอาศัยดูทิศดวงดาว
 “อ้าวทุกคน เตรียมตัวออกเดินทางได้” “ฮุยเลฮุย..เดินทางกันเร็วๆ จะได้ถึงเมืองไวๆ” “โอ้ย...ยังอิ่มอยู่เลยกินไปเยอะเกิน ขอนอนต่อในเกวียนแล้วกัน สายลมเย็นของทะเลทรายยามค่ำคืนและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของกงล้อประสานกันกลายเป็นดนตรีกล่อมจนต้นหนผู้นำทางเผลอหลับ “เฮ้อ ลมเย็นดีจังเลย บรรยากาศก็ดี เห้อ.....”
 “อย่าหลับซิลุง ข้าไม่รู้จักทางนะ” “เออ ตรงไปก่อนๆ เดี๋ยวข้าบอกทางให้น่ะ....ครอกๆๆ...” เมื่อเป็นเช่นนี้กองเกวียนของนายวาณิชแทนที่จะถึงจุดหมายกลับหลงทางเดินวนกลับมาอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครสังเกตรู้สักนิดก็หาไม่ “โอ๊ย เมื่อไหร่จะถึงซะที เหนื่อยแล้วน่ะ” “เออน่า แกอย่าบ่นเลย เดี๋ยวก็ถึงแล้วมั้ง”
 นั่นซิ แกอย่าบ่นเลย เดินทางต่อไปเถอะ” กว่ากองเกวียนจะรู้ว่าหลงทางก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งเดินไกลแดดยิ่งแรงยิ่งแผดกล้า “เฮ้ย..นี่พวกเราหลงทางกั
นหรือเนี่ย ข้าวปลาน้ำดื่มก็หมดแล้ว” “โอ้ย หิวน้ำ หิวข้าวด้วย หิวๆๆๆ” “เออ อย่าบ่นซิ ยิ่งบ่นก็ยิ่งหิว เมื่อคืนไม่น่ากินให้หมดเลย..อด”
 นายวาณิชผู้นำกองเกวียนเป็นผู้ใหญ่มีความสุขุมรอบคอบ จึงออกสำรวจหาทางแก้ไข “ตัวเราจะละทิ้งความเพียรไม่ได้ หมู่คณะจะพากันตายเป็นแน่ เราต้องอดทน ความหวังต้องมีซินะ ผู้เพียรพยายามไม่เคยสิ้นหวังนี่น่า” นายวาณิชเดินสำรวจเส้นทางไปอย่างไม่ละความพยายาม
  “นั่นไง ตรงนี้มีหญ้าขึ้นก่อหนึ่งแสดงว่าข้างล่างต้องมีน้ำ ความหวังอยู่ข้างล่างพื้นทรายนี้เอง” “เฮ้ย..พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว” “ไปไหนรึท่าน ข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ท่านอย่าบอกนะว่าให้เดินทางไปตายเอาดาบหน้า” “ไม่ใช่ ข้าเจอแหล่งน้ำแล้วต่างหาก พวกเจ้าช่วยกันนำจอบนำเสียมมาเถอะ เร็วๆ เข้าพวกเราจะมีน้ำดื่มแล้ว”
  ด้วยความดีใจบริวารทั้งหมดช่วยกันคนละไม้คนละมือ ระดมพลังกันขุดหาน้ำที่อยู่ใต้ผืนทรายเป็นการใหญ่ “โอ้..โอ๊ย เหนื่อย หิวน้ำ จะไม่ไหวอยู่แล้วนี่ โอย” “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย ขุดตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมีน้ำสักหยด” “โอย ขุดลึกแค่ไหนก็เจอทรายกับทราย เหนื่อย” เมื่อขุดไม่พบน้ำทุกคนก็หมดหวัง
 ยิ่งพบแผ่นหินอยู่ก้นหลุม ก็ยิ่งท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก “เฮ้อ ทุกคนต่างสิ้นหวังกันหมด ไม่ได้ เราจะเป็นอย่างทุกคนไม่ได้ เราต้องเพียรพยายามขุดต่อไปจนกว่าจะเจอน้ำ” นายวาณิชไม่ยอมสิ้นหวัง เขาแนบกายลงเอาหูฟังยังแผ่นหินอย่างตั้งใจ “โอ้ เสียงข้างล่างตรงนี้ มันเสียงน้ำนี่
 ใช่แล้วเสียงน้ำไหลมากมายเลย เฮ้ย..มาช่วยกันขุดตรงนี้เร็ว มีน้ำแน่ๆ” “ได้เลยท่าน ข้ายังมีแรงพอ นี่แน่ะๆๆๆ” หนุ่มคนสนิทร่างใหญ่เมื่อออกแรงทุบไม่กี่ครั้ง หินแผ่นนั้นก็แหลกทะลายลง บังเกิดเป็นลำน้ำพุ่งขึ้น เป็นน้ำพุขนาดใหญ่ ชาวกองเกวียนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
 “ไชโย ในที่สุดเราก็เจอน้ำ” “รอดตายเพราะเจ้านายขยันแท้ๆ” น้ำใต้ผืนทรายช่วยต่อชีวิตให้ทุกๆ คนให้มีเรี่ยวแรงหุงหาอาหารดื่มกินเพื่อรอเดินทางใหม่อีกครั้ง “พวกเธอ พึงจำไว้เถิดความหวังย่อมมีอยู่เสมอ ในชนผู้ไม่เกียจคร้าน” จันทร์ประดับฟ้าสีครามคืนนั้น นายวาณิชได้พากองเกวียนสู่จุดหมายโดยสวัสดิภาพ
  “เย้ๆๆ ถึงเขตเมืองแล้ว” เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสวัณณุปถชาดกจบแล้ว ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยเอนกปริยายโปรดภิกษุผู้ท้อถอยให้บรรลุธรรม ณ ที่นั้น
 
ผู้ที่มีความเพียร ย่อมมีความก้าวหน้า ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความบากบั่น ความพยายาม ความอุตสาหะ ความหมั่นเพียรไม่ท้อแท้ท้อถอยย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต ดังตัวอย่างใน วัณณุปถชาดก ที่กล่าวมาข้างต้น

ในสมัยพุทธกาลคนสนิทนายวาณิช กำเนิดเป็น ภิกษุผู้ท้อถอยความเพียร
หมู่คณะชาวกองเกวียน กำเนิดเป็นพุทธบริษัท
พ่อค้าหัวหน้ากองเกวียน เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า
 
อกิลาสุโน วณฺณปเถ ขณนฺตา  อุทงฺคเณ ตตฺถ ปป อวินฺทํ
เอวํ มุนิ วิริยพลูปปนฺโน  อกิลาสุ วิทฺเท หทยสฺส สนฺติ
 
ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย
ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใด
มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรกำลัง
เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจฉันนั้น
44  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / มาลุตชาดก-ว่าด้วยการถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2015, 05:26:07 pm

มาลุตชาดก-ว่าด้วยการถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่

ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ 2 รูป นามว่าพระกาละและพระชุนหะ ทั้งสองรูปตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในเขตชนบทหนึ่งในแคว้นโกศล พระทั้งสองรูปนั้นยังติดนิสัยตั้งแต่สมัยยังเป็นฆราวาส มาคนละอย่าง พระชุนหะชมชอบความงามของพระจันทร์เต็มดวงข้างขึ้น
 “พระจันทร์คืนนี้ช่างสวยจริงๆ แสงจันทร์นวลผ่อง ดูแล้วสบายตา จิตใจสงบดีจริงๆ” ส่วนพระกาละชอบมองหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับจับตาในคืนข้างแรม “อืม..คืนนี้ดวงดาวเต็มฟ้าส่องแสงระยิบระยับจับใจ มองแล้วช่างสุขใจเหลือเกิน....สวยจริงๆ เลย” ในวันหนึ่งพระภิกษุทั้งสองรูปได้สนทนากันเกี่ยวกับลมฟ้าอากาศ
 ด้วยความเห็นและความชอบที่ไม่ตรงกัน จึงทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น “ท่านรู้หรือไม่ว่าคืนไหนอากาศจะหนาวจัด” “ต้องเป็นคืนข้างแรมซิ เราสังเกตมานานแล้วนะท่าน ถ้าคืนไหนเป็นคืนข้างแรมแล้วละก็ คืนนั้นนะ จะหนาวจัดทุกทีเลยละท่าน”
 พระชุนหะเมื่อได้ฟังคำตอบจากพระกาละก็มีความคิดที่ไม่เห็นด้วยจึงแย้งออกมาว่า “เราก็อยู่ป่ามานาน เราสังเกตเห็นว่าอากาศมักจะหนาวจัดคืนข้างขึ้นต่างหากละท่าน” “แต่เราว่าต้องเป็นคืนข้างแรมซิ ข้างขึ้นนะ อากาศจะอบอุ่นท่านไม่รู้รึไง” “ทำไม่เราจะไม่รู้ ท่านนั้นแหละที่ไม่รู้” “เรานะรู้ ท่านนั้นแหละที่ไม่รู้”
พระภิกษุทั้งสองโต้เถียงกันด้วยเรื่องนี้เป็นเวลานานแต่ไม่อาจจะหาข้อยุติได้ ในที่สุดจึงชวนกันออกเดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้พระพุทธองค์ตัดสินให้ ภิกษุทั้งสองรูปอดทนเดินทางไกลเป็นเวลาแรมเดือนข้ามเขตแดนชนบทน้อยใหญ่มายังนครสาวัตถีเพียงเพื่อให้องค์พระศาสดา
 ตัดสินปัญหาอันไม่เป็นสาระ เนื่องด้วยต่างฝ่ายต่างถือทิฐิมานะเข้าหากัน หลงยึดมั่นแต่ความคิดเห็นของตนโดยไม่พิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริง “ดูก่อนภิกษุเมื่อชาติก่อนโน้น เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอทั้งสองแล้ว แต่เธอจำไม่ได้ จึงต้องย้อนมาถามปัญหาเดิมซ้ำอีก”
 พระภิกษุทั้งสองเมื่อได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ จึงกราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องราวในอดีตชาติของตนให้ฟัง พระพุทธองค์จึงทรงแสดง มาลุตชาดก มีเนื้อความดังนี้ นานมาแล้วในป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ฝูงสัตว์มากมายต่างดำเนินชีวิตและอยู่รวมกันต่างปกติสุข
ในฝูงสัตว์นั้นก็มีราชสีห์กับเสือโคร่งอยู่ด้วย ทั้งสองตัวอาศัยอยู่ถ้ำเดียวกันตลอดมา “วันนี้ไม่ออกไปหาอาหารกินรึ” “เรายังท้องอิ่มอยู่เลย ขอนอนพักดีกว่า” “เราก็เหมือนกัน นอนพักอย่างท่านดีกว่า” ตามปกติราชสีห์ชอบออกหากินในคืนเดือนหงาย ครั้นตกดึกลมแรงก็หนาวสั่น หลงเข้าใจว่าอากาศหนาวเพราะข้างขึ้น
  “โอ๊ย..ลมแรงจริงๆ คงข้างขึ้นซินะ ถึงได้อากาศหนาวอย่างนี้” ส่วนเสือโคร่งชอบออกล่าเหยื่อในคืนเดือนมืด พอลมพัดมาแรงจัด จึงรู้สึกหนาว จึงทึกทักเอาว่า อากาศหนาวเพราะข้างแรม “อากาศหนาวอย่างนี้ คงเป็นเพราะข้างแรมซินะ ลมยิ่งพัดแรงก็ยิ่งหนาวขึ้นอีก"
อยู่มาวันหนึ่งสัตว์ทั้งสองก็ได้สนทนากันตามปกติ แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่ทำให้สัตว์ทั้งสองถกเถียงกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ท่านราชสีห์ ท่านว่าคืนไหนที่อากาศหนาวที่สุด” “ก็คืนข้างแรมนะซิท่าน เราออกไปหากินทีไร ก็หนาวสั่นทุกที” “อะไรกัน ต้องเป็นข้างขึ้นต่างหากที่อากาศหนาวมาก”
 “ท่านเอาอะไรมาพูด คืนข้างแรมต่างหากที่หนาวสุดๆ” “ท่านนั่นแหละ เอาอะไรมาพูด เราออกหากินข้างนอกทีไร เราก็หนาวจับใจทุกทีเลย” “คืนข้างขึ้นไม่เห็นจะหนาวเลย เรานอนอุ่นสบาย” ทั้งเสือโคร่งและราชสีห์ต่างแผดเสียงเถียงกันลั่นป่าเมื่อหาข้อยุติไม่ได้ ทั้งสองจึงชวนกันไปหาพระฤาษี
 ซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ ณ เชิงเขาแห่งนั้น “เอ้..เราว่าทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์ เราไปถามท่านฤาษีให้รู้เรื่องกันไปเลยดีกว่า” “ได้เลย ท่านฤาษีจะต้องบอกว่า คืนข้างขึ้นอากาศหนาวที่สุดแน่ๆ” “ไม่ใช่ๆ ต้องเป็นคืนข้างแรม” สัตว์ทั้งสองอดทนเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อไปพบพระฤาษีที่อยู่ ณ เชิงเขา
  “ไกลเหมือนกันนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรหรอก เราอดทนได้ ยังไงๆ ท่านฤาษีก็ต้องคิดเหมือนกับเรา คืนข้างแรมต้องหนาวที่สุดอยู่แล้ว” “ไม่ใช่หรอก คืนข้างขึ้นต่างหากที่หนาว” เมื่อสัตว์ทั้งสองเดินทางมาถึงก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับฤาษีฟัง “ท่านฤาษี ท่านบอกท่านเสือโคร่งไปเถอะ ว่าคืนข้างขึ้นเป็นคืนที่หนาวเหน็บที่สุด”
 “แหมๆ ท่านราชสีห์ ท่านไม่ต้องไปบอกท่านฤาษีหรอก เขารู้อยู่แล้วว่าคืนข้างแรมเป็นคืนที่หนาวที่สุดต่างหาก” “ไม่ใช่ต้องเป็นคืนข้างขึ้น” “ไม่ใช่ต้องเป็นคืนข้างแรมซิ” “เฮ้อพวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องทะเลาะกันหรอกว่าจะข้างขึ้นหรือข้างแรง เมื่อมีลมพัดมา ย่อมรู้สึกหนาวเหมือนกัน เพราะความหนาวเกิดแต่ลม
  ไม่ได้เกิดเพราะข้างขึ้นหรือข้างแรมหรอก” “ห๊า..เป็นเพราะลมจริงหรือ ท่านฤาษี” “อ้าว..ไม่ได้เป็นเพราะข้างขึ้นข้างแรมรึเนี่ย” “ที่เจ้าทั้งสองต่างทิฐิว่าตนรู้ แต่ที่จริงไม่รู้ อุตส่าห์เดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขามาด้วยความลำบาก เพื่อให้เราตอบคำถามที่ไม่เป็นประโยชน์อันใดเลย”
  เมื่อราชสีห์และเสือโคร่งทราบความจริงจากฤาษีแล้วก็หมดทิฐิ กราบอำลาแล้วเดินกลับถ้ำของตนอย่างเป็นสุขใจ “เฮ้อ..คราวนี้ก็โล่งใจกันซะทีนะ ท่านเสือ ว่าแต่ว่าเราต้องเดินกลับอีกไกลเหมือนกันนะเนี่ย เหนื่อยจัง” “ฮ้า..เราไม่น่าทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะเนี่ย เฮ้อ..เหนื่อยจัง” “อันความหนาวเกิดแต่ลม ไม่ว่าข้างขึ้นหรือข้างแรม เมื่อมีลมพัดพาความหนาวมา ก็ย่อมรู้สึกหนาว บัดนี้ท่านทั้งสองคงจะเข้าใจดีแล้วนะ”


เสือโคร่งในครั้งนั้น กำเนิดเป็น พระกาละ
ราชสีห์ กำเนิดเป็น พระชุนหะ
ฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
45  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / ขทิรังคารชาดก-ว่าด้วยเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2015, 05:11:26 pm


ขทิรังคารชาดก-ว่าด้วยเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง

ขทิรังคารชาดก "เป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มที่มีใจมั่นคง มีความตั้งใจ ตั้งมั่นในตนเอง ในการที่จะสร้างมหาทานบารมี ถึงแม้จะมีอุปสรรคที่ต้องเสี่ยงต่ออันตรายซึ่งอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ของเขาก็ตาม เศรษฐีหนุ่มก็หาได้เกรงไม่"

 ในสมัยพุทธกาล ครั้งเมื่อท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างเชตะวันมหาวิหารถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านเศรษฐีก็ยังคงเอาใจใส่บำรุงพระภิกษุสงฆ์อยู่อย่างสม่ำเสมอ ทานทั้งหลายที่ท่านบริจาคนั้นมากมายจนมิอาจประมาณค่าได้ ณ ซุ้มประตูที่ 5 ของเรือนมีเทวดามิจฉาทิฐิตนหนึ่ง
 เข้าไปอาศัยอยู่ ทุกครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธสาวกเสด็จผ่านเข้าไปในเรือน เทวดาองค์นี้จะไม่พอใจทุกครั้งเพราะต้องอุ้มลูกลงไปอยู่ยังพื้นดินเนื่องจากมีคุณธรรมต่ำกว่า แต่เทวดาก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจนี้ไว้ในใจ ไม่กล้าไปบอกท่านเศรษฐี “ขืนเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็ไม่ดีเหมือนกัน เอ้..จะหาทางบอกเศรษฐียังไงให้ดูไม่น่าเกลียดดีน่า”
 ในคืนหนึ่งมิจฉาทิฐิเทวดาจึงได้แผ่รัศมีปรากฏกายให้บุตรชายของท่านเศรษฐีเห็นพร้อมกับกล่าวว่า “นี่พ่อหนุ่มฝากบอกพ่อของเจ้าเถอะน่ะ ว่าเลิกทำทานซะเถิด แล้วก็ไม่ต้องให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาหลอก จะทำทานไปทำไม ทำไปสมบัติก็หมดไปเปล่าๆ” บุตรชายเศรษฐีได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธยิ่งนักที่เทวดาบังอาจดูหมิ่นพระรัตนตรัย
และได้ไล่ให้มิจฉาทิฐิเทวดาออกไปจากเรือนทันที “บังอาจมากท่านมาพูดจาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ออกไปจากเมืองของเราเดี๋ยวนี้นะ” หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ยังคงเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยและหมั่นให้ท่านอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งช่วงหนึ่งก็ถึงความยากจนลงโดยลำดับ “เฮ้อ...สมบัติของเราน่ะ เริ่มร่อยหรอลงแล้ว” เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นมิจฉาทิฐิเทวดาจึงได้ถือโอกาส 
 เข้าไปในห้องของท่านเศรษฐีแล้วยุยงให้เลิกทำทาน “เห็นไหม๊ ที่ท่านจนลงเช่นนี้ ก็เพราะว่าท่านมัวแต่ทำทานนั่นไง ทรัพย์สมบัติจึงได้หมดไปเช่นนี้” เศรษฐีเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ไล่ให้มิจฉาทิฐิเทวดาออกไปจากบ้านทันที “ท่านพูดอย่างนี้ได้อย่างไร อยู่ดีๆ จะให้เราเลิกทำทานไม่มีวันซะหรอก ไป๊..ออกไปจากเรือนข้าเดี๋ยวนี้” เมื่อเป็นเช่นนี้มิจฉาทิฐิเทวดาจึงได้คิดและสำนึกผิด
  จากนั้นจึงได้ไปหาท้าวสักกะเทวราช ขอร้องให้ท่านช่วยพูดกับท่านเศรษฐีให้ “ท่านท้าวสักกะเทวราช ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยไปพูดกันท่านเศรษฐีที ว่าข้านี่สำนึกผิดแล้ว” “ไม่ได้หรอกท่าน ท่านนะได้กล่าวถ้อยคำอันไม่สมควรออกไป ถ้าอยากให้ท่านเศรษฐีให้อภัยท่านละก็ ท่านต้องไปตามทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีที่หายไปกลับคืนมายังคลังให้หมด
 เป็นการทำคุณไถ่โทษ ท่านเศรษฐีน่ะ อาจจะยกโทษให้ก็ได้น่า” เมื่อเทวดามิจฉาทิฐิได้รับเทวองค์การแล้วก็รีบไปตามหาสมบัติจนเรียบร้อย จากนั้นจึงไปขอให้ท่านเศรษฐียกโทษให้ “อือ..คงต้องให้พระบรมศาสดาอดโทษให้แล้ว” วันรุ่งขึ้นเศรษฐีจึงได้นำมิจฉาทิฐิเทวดาไปยังเชตะวันมหาวิหารแล้วกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ
จากนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้กระทำกรรมลามกในโลกนี้ เมื่อกรรมอันเป็นบาปนั้นยังไม่ให้ผล บุคคลผู้นั้นยังได้รับความสุขความเจริญอยู่ ต่อเมื่อใดกรรมอันเป็นบาปนั้นให้ผล ตนจึงได้รับผลแห่งบาปนั้น” เมื่อจบพระคาถาเทวดานั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
 จากนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสยกย่องท่านอาณาถบิณฑิกเศรษฐี ว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยและมีความเห็นบริสุทธิ์ แล้วจึงตรัสเรื่อง คทิรังคารชาดก ขึ้นดังนี้ ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีชายหนุ่มคนหนึ่งเกิดในตระกูลเศรษฐี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีราวกับพระราชา เมื่อมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ก็เป็นผู้รอบรู้ชำนาญในศิลปะศาสตร์ทั้งปวง สร้างความปลาบปลื้มปีติให้กับเศรษฐีผู้เป็นพ่อเป็นอย่างยิ่ง
  “เก่งมากลูกพ่อ ฉลาดอย่างนี้ โตขึ้นเจ้าจะสบาย” “ขอรับท่านพ่อ ลูกอยากโตขึ้นแล้วเก่งอย่างท่านพ่อให้จงได้ขอรับ” “เก่งอย่างเดียวไม่พอนะลูกรัก เจ้าต้องเป็นคนดี ขยันหมั่นเพียรแล้วทำทานบ่อยๆ เหมือนอย่างพ่อด้วยนะ” “ขอรับท่านพ่อ ลูกจะเป็นคนดีขอรับ” แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่อเศรษฐีผู้เป็นบิดาพลันสิ้นชีวิตลง ชายหนุ่มบุตรชายเศรษฐี
  “ท่านพ่อจงไปสู่สุคติเถิด ลูกจะขอเติบใหญ่เป็นคนดี ไม่ให้ท่านพ่อต้องผิดหวังแน่นอน” เศรษฐีหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตนี้ มีน้ำใจดีงาม มีความเมตตากรุณายิ่งนัก ปรารถนาจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ทั้งหลาย จึงได้สร้างศาลาบำเพ็ญทานเพื่อไว้บริจาคสิ่งของให้ชาวบ้าน ขึ้น 6 แห่ง คือที่ประตูพระนครทั้ง 4 ที่ใจกลางเมือง
 และที่ประตูบ้านของท่านเอง เราต้องสร้างศาลาบำเพ็ญทานขึ้นเยอะๆ จะได้แจกจ่ายของให้ชาวบ้านได้ทั่วถึง” เศรษฐีหนุ่มได้บริจาคทานเป็นอันมากทุกๆ วัน ด้วยคิดอยู่เสมอว่าสมบัติทั้งปวงนั้น แม้เมื่อตายไปแล้วก็นำไปใช้ไม่ได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นเศรษฐีหนุ่มยังหมั่นรักษาศีล 5 และอุโบสถศีลตามกาลอยู่เสมอ “ไม่ต้องแย่งกันนะครับ วันนี้เราเตรียมของมาเยอะพอแจกให้ทุกคนอยู่แล้ว”
 “แฮะๆ วันนี้ข้ามารอรับของบริจาคตั้งแต่ตี 5 กว่าจะได้รับปาเข้าไปตั้งบ่าย 3 แน่ะ” “อุ๊ย ข้าว่าเอาเวลาที่มานั่งรอ ไปทำมาหากินดีกว่าไหม๊  มือเท้าก็มีจริงๆ เล้ย” “หนอยแน่ะ ทำมาเป็นพูด ไอ้ตอนที่ข้ามาถึงตอนตี 5 น่ะ ข้าก็เจอเจ้ากางมุ้งรออยู่ก่อนแล้วเนี่ย” ในครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น มีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
 นั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ 7 วัน จึงออกบิณฑบาต โดยเหาะมายังเรือนของเศรษฐี เนื่องด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นทราบด้วยญาณว่าเศรษฐีผู้นี้ปรารถนาพระโพธิญาณ หากได้ทำบุญกับท่านจะได้บุญบารมีให้เข้าถึงพระโพธิญาณได้ง่ายขึ้น “ห๊า นั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเรือนของเราแล้ว โชคดีเหลือเกินรอวันนี้มานานแล้ว ที่นี่แหละเราจะได้ทำบุญใหญ่
ที่หน้าประตูเรือนก่อนเถอะ” “จริงด้วย ได้เลยครับนายท่าน เจ้าไปซิ” “อ้าว พูดซะดิบดี นึกว่าจะออกไปเอง” ในขณะเดียวกันนั้นเองพญามารก็ได้เฝ้าดูท่านการกระทำของเศรษฐีหนุ่มมาโดยตลอด “ไม่ได้การล่ะ หากปล่อยให้เศรษฐีได้สร้างมหาทานบารมีในครั้งนี้ โอกาสที่จะบรรลุพระโพธิญาณก็จะยิ่งเร็วขึ้น
พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ฉันอาหารมาถึง 7 วันแล้ว ถ้าไม่ได้อาหารอีกเพียงวันเดียวต้องถึงแก่ชีวิตแน่ๆ แล้วที่นี้โอกาสในการสร้างมหาทานบารมีในครั้งนี้ก็จะหมดลง ดังนั้นเราต้องขัดขวาง เอาลูกไฟประลัยกัลป์นี่ไปกินซะเถอะ เฮอะ ฮ่าๆ” พญามารสำแดงอิทธิฤทธิ์
 เสกลูกไฟขนาดยักษ์ขึ้นจากฝ่ามือ แล้วปล่อยลูกไฟยักษ์นั้นโดยมีเป้าหมายพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า “ห๊า..นั่นไง พระองค์อยู่ตรงนั้นนี่เอง แต่เอ๊ะ!! เหมือนมีแสงอะไรพุ่งลงมานะ ผีพุ่งใต้หรือไงเนี่ย เฮ้ยไม่ใช่นี่มันกลางวันแสกๆ จะเห็นผีพุ่งใต้ได้ชัดขนาดนี้เชียวหรือนี่”
 ยังไม่ทันที่คนรับใช้จะเดินไปถึงลูกไฟขนาดยักษ์จากพญามาร ก็พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าเสียงดังกึกก้องกัมปนาทปานฟ้าถล่ม กลุ่มไฟพวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่ากลัว บังเกิดกลายเป็นหลุ่มถ่านขนาดใหญ่ ร้อนแรงปานไฟนรกขวางทางอยู่ “เฮ้ย..แย่แล้วหลุมถ่านเพลิงขนาดนี้
  แล้วเราจะข้ามไปได้อย่างไรละเนี่ย” เมื่อเห็นว่าหลุ่มถ่านเพลิงขนาดใหญ่ขวางทางอยู่เช่นนั้น ทำให้ไม่สามารถเดินไปรับบาตรจากพระปัจเจกพุทธเจ้าได้แน่แล้ว คนรับใช้จึงรีบกลับมารายงานให้เศรษฐีหนุ่มทราบ “แย่แล้วขอรับนายท่านไม่รู้มีหลุ่มถ่านเพลิงขนาดมหึมา มาจากไหน มาขวางอยู่หน้าเรือนเนี่ย
  บ่าวไม่สามารถออกไปรับบาตรมาได้จริงๆ ขอรับ” “เฮ้ยๆๆ เจ้าตาฝาดไปรึปล่าว อย่ารนให้มากนักซิ จะเป็นไปได้ไง” “บ้านะซิ ข้าเห็นจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อไปดูเลย ไม่มีให้แตะเลยเอ้า” “งั้นเจ้าลองไปดูหน่อยซิ” “ได้เลยขอรับ ข้าไม่รนเหมือนเจ้านี่หรอกขอรับ เพ้อเจ้อสุดๆ”
  เมื่อคนรับใช้อีกคนออกไปดู ก็พบเห็นหลุ่มถ่านเพลิงขนาดใหญ่จริง ตามที่คนรับใช้คนแรกได้รายงานไว้ “ไม่จริงๆๆ นี่เราฝันไปแน่ๆ ไหนลองหยิกตัวเองดูซิ อึย..ก็เจ็บนี่หว่า เราไม่ได้ฝันไปนี่หว่า ของจริงนี่ ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม” เมื่อเห็นดังนั้นคนรับใช้ก็รีบกุลีกุจอรีบกลับมารายงานให้เศรษฐีหนุ่มทราบโดยทันที
 “นะ นะ นายท่านขอรับมีหลุ่มถ่านเพลิงขนาดใหญ่ขวางทางเราอยู่จริงๆ ขอรับ น่ากลัวมากๆ ขอรับ ข้าน้อยขนลุกไปหมดแล้ว ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย อกอีแป้นจะแตก” “งั้นรึ ดูท่าพญามารคงต้องขัดขวาง ไม่ต้องการให้เราทำทานเป็นแน่แท้ แต่พญามารเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรอกว่า เราไม่สะดุ้งกลัวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้มีมารอีกนับร้อย นับพัน นับแสน
 ก็ไม่อาจทำให้เราหวั่นไหวได้หรอก วันนี้แหละจะได้รู้กันว่า มารหรือเราที่จะเป็นผู้ที่มีกำลังและอานุภาพมากกว่ากัน” “นะ นะ นายท่านจะออกไปหรือขอรับ อย่าเลยครับ หลุมเพลิงขนาดใหญ่มากเลยนะครับ น่ากลัวสุดๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเจอ แค่ยืนใกล้ๆ ผิวหนังก็จะไหม้อยู่แล้ว ข้ากลัวๆๆๆ”
  “โอ้โห้ ข้าว่าเจ้าน่ะ รนกว่าข้าหลายเท่าเลยนะเนี่ย” เศรษฐีหนุ่มมิได้หวั่นไหวและหวาดกลัวต่อความร้อนแรงของหลุ่มถ่านเพลิงแต่อย่างใด เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นจึงรีบจัดเตรียมภัตตาหารเพื่อจะนำไปถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยตนเอง “ต่อให้หลุ่มใหญ่ขนาดไหน หรือร้อนเพียงใดก็หยุดเราไม่ได้หรอกพญามารเอ๋ย”
 ทางฝ่ายพญามารนั้นก็ยังคงเฝ้ามองดูการกระทำของเศรษฐีหนุ่ม พลางกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป “เฮอะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ทำเป็นเท่ไปเถอะเศรษฐีหนุ่ม เราจะดูซิว่า เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป เฮอะๆๆ ฮ่าๆๆ ซะใจจริงๆ แกล้งคนไม่มีทางสู้นี่ เฮอะๆๆ” “ฟังนะ พญามารเราจะไม่ยอมให้ท่านมาขัดขวาง การบำเพ็ญทานของเราเป็นอันขาด
 และจะไม่ยอมให้ท่านทำลายชีวิตพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย วันนี้แหละจะได้รู้กันว่า เราหรือท่านใครจะมีพลังและอานุภาพมากกว่ากัน” “ก็เอาซี เศรษฐีหนุ่ม ข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้าจะมีดีสักแค่ไหน หึๆๆ ฮ้าๆๆๆ โอย หัวเราะจนเมื่อยกล้ามไปเลยวันเนี่ย หึๆๆๆ ฮ้าๆๆๆๆ” เศรษฐีหนุ่มหาได้ใส่ใจคำดูถูกถากถางจากพญามารไม่
  กลับตั้งจิตมุ่งมั่นมองไปที่พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์ “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ศีรษะของข้าพระพุทธเจ้า จะทิ้มลงไปในหลุ่มถ่านเพลิงนี้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการบำเพ็ญทานเป็นอันขาด ขอพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดรับภัตตาหาร ที่ข้าพระพุทธเจ้าถวายนี้ด้วยเถิด” เมื่อกล่าวจบเศรษฐีหนุ่มก็กระชับภาชนะที่ใส่อาหารไว้มั่น   
 แล้วตัดสินใจวิ่งตะลุยฝ่ากองถ่านเพลิงขนาดยักษ์เข้าไปโดยทันที ทันใดนั้นปาฏิหาริย์ก็บังเกิด เมื่อปรากฏดอกบัวใหญ่บานสะพรั่ง ผุดขึ้นมาจากหลุ่มถ่านเพลิงนั้น เข้ามารองรับเท้าทั้งสองข้างของเศรษฐีหนุ่มที่กำลังวิ่งอยู่บนกองถ่านเพลิงยักษ์อยู่พอดี “แปลกจัง มีดอกบัวผุดขึ้นมาได้อย่างไรกันเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย ไม่เพียงเท่านนั้นละอองเกสรมากมาย
 ยังได้ลอยฟุ้งขจรขจายตกลงมาบนศีรษและบนลำตัวของท่านเศรษฐีราวกับละอองทอง “อัศจรรย์ยิ่งนัก เราไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย” มหาชนที่ยืนมุงต่างตกตะลึงกับเหตุอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น “เฮ้ย..เป็นไปได้ยังไงละเนี่ย” “นั่นซิ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย วิ่งโดยที่ภัตตาหารไม่ตกเลย” “นี่ มันมีไอ้ที่ควรตะลึงมากกว่านั้นอีกนะ มัวแต่ไปดูอะไรกันอยู่” ส่วนพญามารเมื่อรู้ว่าไม่สามารถขัดขวางเศรษฐีหนุ่มได้ ก็ล่าถอยกลับไป “เชอะ..ฝากไว้ก่อนเถอะ วันหน้าจะมาทวงคืน”
  จากนั้นเศรษฐีหนุ่มก็ยืนอยู่บนดอกบัว พร้อมกับน้อมนำอาหารใส่ลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า “อืม..รู้สึกอิ่มใจจริงๆ ลองท่าเรามีใจทำทานซะอย่าง ก็ไม่มีอะไรมามาขวางทางเราได้หรอก หลังจากพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงรับอาหารนั้นมาฉันแล้ว ก็ได้กระทำอนุโมทนา จากนั้นจึงทรงโยนบาตรขึ้นไปบนอากาศและทรงเหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์ท่ามกลางความตื่นตะลึงของมหาชนที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น เศรษฐีจึงกล่าวให้โอวาทพรรณนาถึงการบำเพ็ญทานแล้วรักษาศีลแก่มหาชน ณ ที่นั้น คนเหล่านั้นต่างเลื่อมใสศรัทธาและบำเพ็ญบุญไปจนตลอดชีวิต
46  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / มุณิกชาดก-ว่าด้วยผู้มีอายุยืน เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2015, 01:39:08 pm

มุณิกชาดก-ว่าด้วยผู้มีอายุยืน

ใน 16 แคว้นที่ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎกของชมพูทวีปนั้น โกศลคือชนอารยันที่ยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่ามคธรัฐซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเลือกเป็นดินแดนตรัสรู้และประกาศพระพุทธศาสนามาก่อน และสงฆ์สภาในพระอารามเชตวันแห่งมหานครสาวัตถีนครหลวงของโกศลก็คงความยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจำนวนพุทธสถานทั้งหมดเช่นกัน
พระพุทธศาสดาทรงตรัสชาดกหลายพระชาติที่นี่ ชาดกแต่ละเรื่องมักจะมีเหตุมาจากพระสงฆ์สาวก แล้วทรงมีพระมหากรุณาธิคุณประทานแก้ไขเหตุนั้นให้ ดังพุทธกาลสมัยนี้ มีภิกษุในพระพุทธศาสนารูปหนึ่งอุปสมบทมานานหลายปี เกิดรุ่มร้อนต้องการลาสึกไปวิวาห์มีครอบครัว
  ภิกษุรูปนี้ถูกกิเลสแห่งอิสตรีเข้าครอบงำจิตใจ จนนอนนั่งมิเป็นสุข แม้ยับยั้งชั่งใจด้วยสำนึกดีชั่วรู้หมดก็ยังอดใจไม่ไหว “เฮ้อ....ไม่ว่าจะเป็นธรรมะข้อใด ก็ไม่อาจลบน้องนางออกไปจากใจได้เลย” ด้วยสตรีตัวต้นเหตุซึ่งเป็นสาวแก่ที่หลงเหลือจากการแต่งงานมิได้ลดราผูกปฏิพัทธ์ต่อท่านเลยสักเวลา
“ใกล้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว น้องจำใจกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ หลวงพี่พรุ่งนี้น้องจะมาใหม่นะจ๊ะ” เปรียบได้ว่าตะวันขึ้นเมื่อใด นางนั้นก็ออกมาหายพร้อมแสงตะวันเมื่อนั้น เหตุนี้ทำความกระสับกระส่ายแก่ภิกษุท่านนี้ยิ่งนัก “เช้านี้จะได้เจอกับน้องหญิงอีกแล้ว ดีใจจังเลย” “อ้าวๆๆๆ ขันติไว้หน่อยๆๆ หลวงน้องเอ้ย”
 “หลวงพี่ขา น้องจัดหาภัตตาหารให้เรียบร้อยแล้ว เพลนี้ไม่ต้องฉันในโรงทานนะจ๊ะ เดี๋ยวน้องถวายที่กุฏิเอง รับรองอร่อยกว่าที่ตักบาตรเช้านี้แน่ๆ จ๊ะ” “ผู้หญิงอาไร้ไม่รู้จักดีชั่ว น่าตำหนิจริงๆ เลย” ความวุ่นวายใจเป็นมารร้ายของการปฏิบัติพระธรรม เหตุดังนี้พระพุทธเจ้าสดับแล้วทรงประทานพุทธโอวาทแก่ภิกษุนั้นว่า
 “ดูก่อนภิกษุมิใช่แต่บัดนี้ที่หญิงผู้นี้ทำเธอพินาศ เมื่อก่อนนั้นเธอถึงกับสิ้นชีวิตในวันวิวาห์ของหญิงนี้มาแล้ว บัดนั้นองค์พระศาสดาทรงตรัสมุณิกะชาดกขึ้นแสดงให้เห็นบูรพกรรมไว้ดังนี้ ในชนบทนิคมหนึ่งเมื่ออดีตชาติยังมีชาวนากับบุตรสาวเลี้ยงชีพอยู่ด้วยการทำนาและกสิกรรมอย่างขยันขันแข็ง
โดยมีโคใหญ่คู่หนึ่งเป็นกำลังสำคัญ “พ่อจ๋า...ลูกเตรียมข้าวไว้ให้พ่อทานกลางวันเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ” “จ้า เดี๋ยวพ่อจะเอาหญ้าให้โคก่อนแล้วก็จะออกไปแล้ว เจ้าน่ะ วางไว้ตรงนั้นเถอะ” โคสีนิลเป็นผู้พี่ชื่อ มหาโลหิต โคสีน้ำตาลเป็นน้องชื่อ จุฬโลหิต ทั้งสองใช้แรงงาน แบกบรรทุก ทำไร่ไถนา ช่วยเหลือชาวนามิได้เกียจคร้าน
 “ไปเจ้าโคทั้งสองถึงเวลาทำงานของเราแล้ว” โคทั้งสองออกจากคอกไปยังทุ่งนาพร้อมเจ้าของตั้งแต่เช้าตรู่และจะทำงานอยู่กลางทุ่งกว้างนั้นอย่างเหน็ดเหนื่อยจนตะวันตกดิน เมื่อเหนื่อยล้าโคสีน้ำตาลผู้น้องจะบ่นตัดพ้อในความอยุติธรรมของชาวนาทุกครั้ง “ตะวันจะตกดินแล้ว ไป๊ ไป กลับบ้านกันเถอะ
 เดี๋ยวข้าจะหาหญ้าอ่อนอร่อยๆ ให้พวกเจ้ากินนะ” “เฮ้ย เหนื่อยจริงๆ เลยทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำเนี่ย เกิดเป็นโคนี่มันลำบากจริงๆ” “เจ้าอย่าบ่นไปเลยน่า มันเป็นหน้าที่ของเรา ทำไปเถอะ” บางวันหากยังต้องบรรทุกสินค้ากลับบ้านอีก จุลโลหิตก็มักต่อว่าต่อขานกระทบไปถึงสัตว์เลี้ยงของชาวนาอีกตัวหนึ่งอยู่เสมอ
  “เจ้านายเราก็จริงๆ เลย ไม่มีความยุติธรรม พี่ดูซิ เรารึ ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ เสร็จงานเราต้องแบกของกลับบ้านอีก แต่เจ้านั่นนะ สบายทั้งวัน วันๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้กินดีอยู่ดีกว่าเราซะอีก” “เรากับเขาก็เป็นสัตว์คนละชนิด เจ้าจะเอาไปเทียบกันได้ยังไง” “พี่ก็ดูเอาเถอะ เราทั้งสองนะ ทำงานหนักเทียบตาย หาเลี้ยงทุกคน
  แต่มีอาหารแค่หญ้าแห้งๆ ให้กิน มันไม่ยุติธรรมเลย” “ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้นล่ะ จุลโลหิต อะไรคือความไม่ยุติธรรมรึ” “ก็ เจ้าหมู มุณิกะ นะซิ วันๆ เอาแต่นอนหลับ ได้กินข้าวกินถั่ว มันน่าน้อยใจเจ้านายมั๊ยล่ะ ใช้งานเราแต่เช้าจนมืดค่ำ ไม่เคยให้กินอาหารดีๆ สักมื้อเดียว”
  มุนิกะ เป็นสัตว์เลี้ยงอีกตัวที่ชาวนาเลี้ยงไว้ด้วยอาหารและการดูแลที่ดีกว่าโคทั้งสอง “อู๊ดๆ เป็นหมูนี่สบายจริงๆ เลยเราไม่ต้องทำงานหนักเหมือนเจ้าโคทั้งสอง นี่แหละน๊า บุญพาวาสนาส่ง ของอย่างนี้มันแข่งกันไม่ได้หรอกนะจ๊ะ” มุณิกะได้รับการบำรุงจนอวบอ้วนและโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
  ยิ่งโตมันก็ยิ่งกินอาหารมากขึ้นสิ้นเปลืองขึ้น แต่ทั้งชาวนาและลูกสาวก็ไม่ได้บ่นหรือตำหนิมันเลยแม้แต่น้อย “อูยอิ่ม กินไม่ไหวแล้ว นอนดีกว่า นายหญิงนี่ดีกับเราจริงๆ เล้ย หาอาหารดีๆ มาให้กินทุกวัน งานการก็ไม่เคยใช้ สบ๊ายสบาย” ความเป็นอยู่ของหมูมุณิกะแตกต่างจากความเป็นอยู่ของโคทั้งสองยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จุลโลหิตเกิดความไม่พอใจ แต่โคผู้พี่ก็เตือนสติน้องให้ลดความทุกข์ความริษยาไปในคืนหนึ่ง “น้องพี่ อย่าได้อิจฉาเจ้ามุณิกะมันเลย อาหารดีๆ นั่นนะ มันไม่ได้กินเพื่ออยู่แต่กำลัง มันกินเพื่อตาย” “จริงเหรอพี่” “จริงซิ เจ้าคอยดูเถอะ พรุ่งนี้จะมีงานหมั้นของคุณหนู
  เค้าต้องยิ่งปรนเปรอเจ้ามุนิกะให้อ้วนขึ้นไปอีก” “เค้าคงเตรียมไว้เป็นอาหาร ฉลองงานแต่งวันข้างหน้าแน่ๆ วุ๊ย..คิดแล้วเสียวไส้” เมื่อถึงเวลาเช้า คุณหนูบุตรสาวของชาวนาก็เข้าพิธีหมั้นกับบุตรชายคฤหบดีของนิคมชนบทนั้น มีแขกมาร่วมงานไม่มากนัก เสร็จพิธีแล้วก็พากันกลับไป
 “วิวาห์ของเราใกล้เข้ามาแล้วนะ” “จ๊ะพี่ น้องตื่นเต้นจังเลย” “ใกล้ถึงวันแต่งลูกสาวเราแล้ว ต้องขุนเจ้ามุณิกะให้อ้วนกว่านี้อีกหน่อย” ยิ่งใกล้วันวิวาห์บุตรสาวชาวนาก็ยิ่งบำรุงเจ้ามุณิกะเป็นการใหญ่ “โอ๊ย..อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้ว นายหญิงนี่น่ารักจริงๆ เลย หานั่นหานี่มาให้กินตลอด นายหญิงจ๋า มุณิกะรักนายจังเลย”
 ไม่กี่วันหลังการขุนมาอย่างดีหมูของชาวนาก็อ้วนพีจนเต็มที่ เจ้ามุณิกะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ลูกสาวชาวนาคอยหาอาหารดีๆ มาบำรุง คอบอาบน้ำขัดถูให้ทุกครั้งที่อากาศร้อน “มามะเจ้ามุณิกะมาอาบน้ำนะ เนื้อตัวเจ้าจะได้สะอาดสะอ้าน” “อ้า...เย็นสบายจัง ชาติก่อนเราต้องเคยมีบุญคุณกับนายหญิงแน่ๆ เลย เค้าถึงตอบแทนเราขนาดนี้ ฮ่ะๆๆ สบายตัว เย็นๆๆๆ”
 และแล้ววันหนึ่งมุณิกะก็ถูกปล่อยออกมาจากคอก วันนี้คือวันเตรียมอาหารเพื่องานวิวาห์ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง “เอ๊ะทำไมวันนี้เราถึงถูกปล่อยออกมาจากคอกละ หรือว่านายหญิงจะพาเราไปเที่ยวนะ” “ผูกมุณิกะไว้กับเสาแล้วใช่มั๊ยลูก” “จ๊ะพ่อ” “โอ้โห..ตัวขาวอวบน่ากินนะเนี่ย เชือดได้เลยมั๊ยจ๊ะนาย” “นี่มันวันอะไรกัน ทำไมคนมากันมากมาย
 แล้วต้มน้ำร้อนกันทำไมเนี่ย ว๊ายแล้วนั่นนายใหญ่กับนายหญิงพาใครมา น่ากลัวจังเลย” และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นจริงตามคำพูดของโคมหาโลหิตที่บอกไว้แก่น้อง มุณิกะถูกจับมัดกับหลักเชือดหมู ด้วยมือนายหญิงที่มันรักนักหนานั่นเอง หมูอ้วนของชาวนากรีดร้องตั้งแต่ถูกพันธนาการอย่างเสียใจ จนกระทั่งร้องสุดชีวิตในนาทีเจ็บปวดจากคมมีดของคนฆ่าหมู
“เจ้ามุณิกะนี่ ร้องเสียงดังจังเลยแสบแก้วหูไปหมดแล้วเนี่ย” “โอ๊ย..นายหญิง ทำไมนายหญิงทำกับมุณิกะอย่างนี้” และแล้วเนื้อและไขมันของมุณิกะก็กลายเป็นอาหารหลายชนิดสำหรับงานฉลองพิธีวิวาห์ในวันต่อมา นับว่าเป็นประโยชน์เดียวที่ตอบแทนนายผู้เลี้ยงดูมันอย่างแสนจะคุ้ม “อื้อหือ อร่อยๆ อาหารนี่รสเยี่ยมมากเลย” “หมูนี่ก็นุ่มลิ้นกำลังดีเลย อร่อยจริงๆ”
 “เออ..กินเต็มที่เลยนะเพื่อนยังมีอีกเยอะ” “เห็นโทษของการกินมากๆ หรือยัง บัดนี้มุณิกะกินจนวิบัติไปแล้ว เราจงพอใจหญ้าแห้งที่เหมาะสมกับเราเถอะ อายุจะได้ยืนยาว” “จ๊ะพี่ จะว่าไปหญ้าแห้งนี่มันก็อร่อยเหมือนกันเนอะ” โคจุฬโลหิตผู้น้องเห็นสัจธรรมที่หมายถึงความจริงอันเป็นธรรมดาดังนี้ ก็ไม่มีทุกข์น้อยใจชาวนาอีกต่อไป
 โคทั้งสองตั้งใจทำงานตอบแทนชาวนาและบุตรสาวอย่างปกติสุขจนหมดอายุขัยสิ้นชีวิตตามกันไป ตามวาระกรรม เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงมุณิกะจบลง ก็ทรงเทศนาอริยสัจ 4_ให้ภิกษุที่ถูกกิเลสจากสตรีรุกรานเข้าใจเข้าถึงและพัฒนาความทุกข์ให้กลายเป็นสิ่งธรรมดา บรรลุโสดาบันคือแจ่มแจ้งในความจริงข้อนี้ได้ในบัดนั้น

 
 
ในพุทธกาลสมัย สุกรชื่อมุณิกะ กำเนิดเป็น ภิกษุผู้พ่านกิเลสรูปนี้
โคจุฬโลหิต กำเนิดเป็น พระอานนท์พุทธอนุชา
โคมหาโลหิต เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
 
มามุณิกัสสปิ อาตุรันนานิ ภุญชะติ
อัปโปสสุโก ภุสังขาทะ เอตัง ฑีฆายุลักขะณัง
 
เจ้าอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย
มันกินอาหารอันทำเดือดร้อน
จงเป็นผู้ขวนขวาย น้องกินแต่แกลบหญ้าแห้งเถิด
นี่เป็นลักษณะแห่งความเป็นผู้อายุยืน
47  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / อลีนจิตตชาดก ชาดกว่าด้วยกัลยาณมิตร เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2015, 01:22:15 pm


อลีนจิตตชาดก ชาดกว่าด้วยกัลยาณมิตร


 ณ นครสาวัตถีมีภิกษุรูปหนึ่งเมื่อบวชแล้วก็ไม่สามารถบรรลุในพระธรรมได้สักที ภิกษุรูปนี้หมดความหวัง ละความเพียรที่จะปฏิบัติธรรมอีกต่อไป “เฮ้อไม่ว่าเราจะปฏิบัติธรรมเท่าไหร่มันก็ไม่เป็นผล เราไม่บรรลุธรรมสักที” “ไม่เป็นไรน่า ของอย่างนี้จะไปเร่งรีบก็ไม่ดี ต้องค่อยเป็นค่อยไป” “ใช่แล้วหล่ะท่านอย่าเพิ่งละความเพียรเลย”
 สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันได้ทราบถึงความหมดหวังของภิกษุหนุ่ม จึงทรงรับสั่งให้ภิกษุนั้นเข้าเฝ้าและกล่าวกับภิกษุนั้นว่า “เธอคลายความเพียรจริงหรือ ในอดีตเธอได้ทำความเพียรจนมีชัยชนะยึดเอาราชสมบัติแห่งกรุงพาราณสี ถวายราชกุมารน้อยได้สำเร็จแล้วบัดนี้เหตุใดจึงมาละความเพียรเสียเล่า
 เหล่าภิกษุที่นั่งเฝ้าเกิดความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องราวอดีตของภิกษุรูปนี้ จึงอาราธนาให้องค์พระศาสดาตรัสเล่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงรับอาราธนาแล้ว จึงตรัสเล่าอลีนจิตตชาดกดังนี้
 กาลครั้งหนึ่งเหล่าช่างไม้แห่งกรุงพาราณสีของพระเจ้าพรหมทัต พากันตัดไม้ในป่าเพื่อมาสร้างบ้านเรือนปราสาทพระราชวังเป็นประจำ วันหนึ่งในขณะที่ช่างไม้ กำลังตัดไม้อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางของช้างป่า ช่างไม้จึงเดินไปตามเสียงแล้วก็พบช้างป่าเหยียบโดนตอตะเคียน ที่เท้ามีแผลลึกเลือดไหลโชก
 “เฮ้ย พวกเราช่วยกันหน่อย แผลลึกน่าดูเลยเนี่ย” “เดินยังไงถึงไปเหยียบต่อไม้เข้าได้ละเนี่ย คงเจ็บน่าดูเลย” “ดีนะ ที่พวกเราพกยามาด้วยเป็นประจำ เท้าบวมเบ่งเลย” ช้างนั้นมีความกตัญญูรู้คุณผู้ช่วยชีวิต เมื่อช่างไม้เข้ามาทำงานในป่า ช้างป่่าตัวนี้ก็จะออกมาช่วยงานเสมอ
 “โอ้ว ช้างตัวนี้มันรู้คุณคน ชั่งกตัญญูจริงๆ” “นั่นซินะ ตั้งแต่พวกเราช่วยมันในครั้งนั้นนะ มันก็มาช่วยพวกเราขนไม้ทุกวันเลยนะ” “เบาแรงขึ้นตั้งเยอะ สบายจัง ไม่ต้องขนไม้หนักๆ อีกแล้ว” ต่อมาเมื่อช้างป่าแก่ตัวลง ไม่สามารถช่วยเหลืองานช่างไม้ได้อย่างเดิม จึงได้นำลูกของตน เป็นลูกช้างอาชานัยมาช่วยงานแทน
“เราแก่มากแล้วช่วยงานพวกท่านต่อไปคงไม่ไหว จึงมอบลูกช้างน้อยนี้เป็นเครื่องตอบแทนพระคุณที่รักษาพยาบาลให้” “ลูกเอ่ย เจ้าต้องเป็นช้างที่ดีนะ ช่วยเหลืองานของช่างไม้แทนพ่อด้วยนะลูก” “ได้ครับพ่อ” ลูกช้างน้อยรับช่วยงานแทนพ่อ
 ลูกช้างเป็นสัตว์ว่านอนสอนง่ายเป็นที่รักของบรรดาช่างไม้และลูกๆของพวกเขา ธรรมชาติของอาชานัยทั้งหลายไม่ว่าช้าง ม้า หรือคนก็ตามจะไม่ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะลงในน้ำ เพราะฉะนั้นลูกช้างนี้จึงถ่ายในที่ห่างจากน้ำเท่านั้น "ฮืบ...ฮ้า..สบายจัง แถวนี้คงไกลแม่น้ำพอแล้วนะ”
บังเอิญวันหนึ่งฝนตกหนัก คูตลูกช้างที่แห้งก็ถูกซัดไหลลงสู่แม่น้ำไปติดอยู่ที่พุ่มไม้ใกล้ท่าน้ำในกรุงพาราณสี ครั้งนั้นพวกควาญช้าง นำช้างจำนวน 500 เชือก จะไปอาบน้ำ แต่พอได้กลิ่นคูตของลูกช้างอาชานัย ก็ไม่กล้าลงน้ำสักเชือกเดียว พากันหนีไปจนหมด
 “เฮ้ย เป็นอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นนี่ ช้างตื่นหนีไปหมดเลย โอ๊...โอ๊ว..จะโดนช้างเหยียบไหมเนี่ย เจ้าตกใจอะไรกัน” ในที่สุดนายหัตถาจารย์ก็ค้นพบคูตช้างอาชานัย เอามาผสมน้ำรดทั่วตัวช้างทุกเชือกจนมีกลิ่นหอม ช้างเหล่านั้นจึงลงอาบน้ำกันได้
 เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงทราบเรื่อง จึงเสด็จลงเรือขนานแล่นขึ้นไปต้นน้ำถึงที่อยู่ของพวกช่างไม้ “เราขอช้างอาชานัยนั่นเถิด” “ถ้าเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์หม่อมฉันก็ยินดีพระเจ้าค่ะ” ถึงแม้ช่างไม้จะยินดีมอบช้างอาชานัยให้พระเจ้าพรหมทัต
 แต่ลูกช้างอาชานัยนั้นก็ไม่ยอมไป ด้วยกลัวว่าจะไม่มีใครช่วยงานของช่างไม้ พระเจ้าพรหมทัตพระราชทานค่าเลี้ยงดูแก่ช่างไม้เป็นจำนวนมาก และแม้จะพระราชทานสิ่งของแก่เหล่าช่างไม้ ตลอดจนเสื้อผ้าแก่หมู่ภรรยาก็ยังไม่ยอมไป ในที่สุดก็พระราชทานเครื่องเล่นเครื่องใช้สำหรับเด็กหญิงเด็กชายที่เป็นเพื่อนเล่นของลูกช้าง
ลูกช้างจึงยอมไปด้วยความรักและอาลัย พระเจ้าพรหมทัตทรงโปรดปรานช้างอาชานัยนี้เป็นที่สุด ทรงทำการอภิเษกยกขึ้นเป็นราชยานพาหนะ ทรงตั้งไว้ในฐานะเป็นพระสหาย ทรงเลี้ยงดูเสมอด้วยพระองค์ นับแต่ได้ช้างอาชานัยนี้มา ราชสมบัติในชมพูทวีปได้ตกอยู่ในเอื้อมพระหัตของพระราชาโดยสิ้นเชิง
 “เจ้านี่ชั่งเป็นช้างคู่ทุกข์คู่ยากของเราจริงๆ" "องค์เหนือหัวทรงรักเราขนาดนี้ เราก็ต้องทดแทนคุณด้วยชีวิต” ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตทรงสวรรคต ในขณะที่พระมเหสีทรงครรภ์แก่ พวกคนเลี้ยงช้างพยายามปิดข่าวไม่ให้พญาช้างรู้ ด้วยเกรงว่าพญาช้างจะเสียใจจนหัวใจแตกสลาย
 ฝ่ายพระเจ้าโกศลทรงสดับข่าวสวรรคตของพระเจ้าพรหมทัต จึงคิดจะโจมตีหวังยึดครองเมืองพาราณสี “ทหารเตรียมไพร่พลให้พร้อมเราจะโจมตีเมืองพาราณสี เฮ้อๆ ฮ้าๆ ฮ่าๆ เมื่อขาดเจ้าเมืองแล้วใครจะกล้ามาทำศึกกับเรา พาราณสีต้องตกเป็นของเราแน่ๆ ฮ่าๆ ฮ้าๆ” เมื่อพระเจ้าโกศลยกกองทัพมาล้อมเมืองพาราณสี
ชาวเมืองก็ปิดประตูป้องกันอย่างดี ส่งสารถวายพระเจ้ากรุงโกศลขอรอให้พระอัครมเหสีคลอดเสียก่อนจึงจะพร้อมทำศึก ครั้งนั้นพระเจ้ากรุงโกศลทรงรับตกลง เวลาผ่านไปเจ็ดวัน พระมเหสีให้กำเนิดโอรสนามว่า อลีนจิตตราชกุมาร เพราะทรงช่วยให้จิตท้อแท้ของมหาชนมีฝันดีขึ้น
  “ลูกแม่ ชื่นใจเหลือเกิน” เมื่อพระโอรสประสูติแล้วทหารและชาวเมืองพาราณสีก็เริ่มออกสู้รบแต่มักพ่ายแพ้กลับมาเนื่องๆ อำมาตย์และพระเทวีจึงเห็นว่าควรบอกเรื่องราวทั้งหมดแก่พญาช้างอาชานัย จึงพากันไปยังโรงพญาช้าง
“บัดนี้พระเจ้าพรหมทัตได้สวรรคตลงแล้ว บ้านเมืองก็ระส่ำระสาย ทหารออกรบคราใดก็พ่ายแพ้กลับมา ท่านอย่าปล่อยให้พระโอรสของสหายท่านตายเสียเลยนะ” พญาช้างเอางวงลูบคลำกุมารน้อยไว้เหนือกระพอง ร้องไห้คร่ำครวญแล้ววางโอรสให้บรรทมในพระหัตถ์ของพระเทวีดังเดิม
ช้างอาชานัยหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็ฮึกเฮิมหวังจะไปจับพระเจ้าโกศลเพื่อปกป้องโอรสองค์น้อย พวกทหารอำมาตย์รีบสวมเกราะพากันห้อมล้อมพญาช้างออกจากประตูเมืองไป “เราพร้อมจะทำศึกแล้ว ทหารทั้งหลายออกไปรบปกป้องโอรสกันเถอะ เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายโอรสสหายเรา"
พญาช้างแผดเสียงโกญจนาทจนข้าศึกแตกตื่นกลัว พากันหนีจนหมด เมื่อทหารฝ่ายตรงข้ามฝันหนีดีฝ่อ พญาช้างจึงใช้งวงคว้าพระเจ้าโกศลไว้ แล้วนำตัวมาวาง ณ เบื้องบาทของพระราชกุมารน้อย เมื่อเหล่าทหารจะรุมกันฆ่าพระเจ้าโกศล พญาช้างก็ห้ามปรามไว้ “ครั้งนี้พวกเราจะปล่อยท่านกลับไป ถึงแม้โอรสจะยังเป็นเด็ก แต่ท่านอย่าได้ประมาทว่าสามารถจะชนะโอรสของเราได้”
  ตั้งแต่นั้นมานครพาราณสีก็ไม่มีข้าศึกมาโจมตีอีกเลย พระราชกุมารได้รับการอภิเษกเมื่อพระชนม์ได้เจ็ดพรรษาทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อสวรรคตก็ได้เสด็จอุบัติในเมืองสวรรค์
ชาวเมืองและช้างอาชานัย ถือเอาอลีนจิตตกุมารเป็นที่พึ่ง ไม่ย่อท้อเพียรสู้รบจนได้ชัยชนะ
 เหมือนภิกษุที่มีพระบรมศาสดาเป็นที่พึ่ง เร่งความเพียรจนชนะกิเลสเถิด ในบัดนั้นพระภิกษุผู้คลายความเพียร จึงเกิดสติเร่งความเพียรจนบรรลุพระอรหัตผล
 
พระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต ได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา
พระเจ้าพรหมทัต ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนะ
พญาช้างอาชานัย ได้มาเป็น ภิกษุผู้คลายความเพียร
พ่อของพญาช้าง ได้มาเป็น พระสารีบุตร
48  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กิงฉันทชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ของคนอื่น เมื่อ: ตุลาคม 31, 2015, 05:18:39 pm


กิงฉันทชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ของคนอื่น


ในความยาวนานเป็นอสงไขยแห่งห้วงอนันตจักรวาลนี้ ทุกชีวิตล้วนเคยเกิดและตายมานับครั้งไม่ถ้วนจนกระดูกของคนนับได้ว่ากองเท่าภูเขาและสูงใหญ่ได้เท่ากับผู้อยู่ใกล้ตัวที่ต้องร่วมกรรมต้องกันมาทุกชาติทุกชีวิต มีความเป็นไปเช่นนี้เหมือนกันหมด
เหตุดังนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม กรรมนี้มองไม่เห็นแต่ให้แสงสว่างและความมืดมนแก่เราได้ เหมือนเช่นไฟฟ้านั่นเอง บุรุษผู้ประพฤติกุศลกรรมคือทำความดี
เมื่อดับชีวิตลงในโลกมนุษย์แล้ว บุญซึ่งเป็นผลได้จากการทำงานและสร้างความดีต่อผู้อื่นก็จะส่งให้ไปจุติในภพภูมิใหม่ที่ดี คือสรวงสวรรค์ชั้นต่างๆ ตามกระแสบุญ สตรีก็ไม่ได้แตกต่างกัน การจุติคือเกิดทันทีที่สิ้นชีวิตอันเป็นปกติของสังสารวัฏ ก็จะอยู่ในการควบคุมของบาปและบุญเช่นกัน
 เทพอัปสรหรือเหล่านางฟ้า ธิดาสวรรค์ชั้นต่างๆ จึงล้วนจุติขึ้นมาได้เพราะการก่อกุศลกรรมทำดีไว้ในโลกมนุษย์ ในทางกลับกันผู้กระทำความชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว กรณีต่างๆ เมื่อสิ้นชีวิตก็จะตก ลงยังอบายภูมิ
คือสถานอันมืดมนขุมต่างๆ แม้ผู้กระทำดีแต่ยังมีชั่วติดตัวมาก็มิอาจเสวยสวรรค์ได้ทุกเวลา หากยังต้องจุติเป็นเปรต เป็นอสูรหลากหลายชนิดชดใช้กรรมและรอผลบุญ เมื่อพ้นขุมนรกก่อน ข้อกังขาที่ว่า แม้มีผู้ก่อบาปไว้แต่ได้ประกอบบุญอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน คนผู้นั้นได้ตกทุกข์หรือเสวยสุขสถานใด
 พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุโบสถกรรมตรัสพระธรรมเทศนา “ดูก่อนอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย พวกท่านรักษาอุโบสถหรือ เมื่อเขากราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่าท่านทั้งหลายทำการรักษาอุโบสถจัดว่าได้ทำความดี
 โบราณบัณฑิตทั้งหลายได้รับยศอันยิ่งใหญ่ ก็เพราะผลของอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง” อันพวกอุบาสก อุสิกากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสีโดยธรรม
 ทรงเป็นผู้มีศรัทธาปสาทะ ไม่ประมาทในทาน ศีล และอุโบสถกรรม ปุโรหิตผู้เก่งทั้งการเมือง ทั้งการค้าและตัดสินคดีจึงมีพระบัญชาให้ปุโรหิตผู้เก่งกาจของพระองค์จัดการดูแล “รับด้วยเกล้า พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์จะรับราชโองการอย่างซื่อสัตย์เต็มกำลังพระเจ้าค่ะ”
  ปุโรหิตผู้นี้เก่งกล้าและมากบารมีก็จริง แต่มีข้อบกพร่องอยู่เป็นมลทินอย่างหนึ่ง คือฉ้อฉล คดโกงและไม่เป็นธรรมต่อการตัดสินคดีเลย “ถ้าจำเลยไม่จ่ายตามที่เราเรียกไป ก็เพิ่มโทษให้แล้วส่งไปเข้าคุกซะ”
 พระเจ้ากรุงพาราณสีบำเพ็ญบุญ สมาทานศีล ไม่ช้านานชาวบ้านก็พากันเดือดร้อนกินนอนไม่เหมือนเก่า “ฮ้า น้ำผึ้งทั้งหม้อก็ยังไม่พอเรอะ ต้องเป็นเงินทองตามที่ท่านเรียกด้วยเหรอ โอ้..คดีสามีข้าคงแพ้แน่ๆ แล้ว แน่ละ ก็ดูฝ่ายโน้นเค้าให้มาซะถุงใหญ่เลย”
 ปุโรหิตตัดสินคดีความต่างๆ ตามความมากน้อยของสินบน ก่อบาปกรรมบนความทุกข์ของประชาชนเช่นนี้สืบมา มิได้อาทรต่อบาปใดๆ “ฮึมให้ถุงเล็กไปนะ ถูกขังต่ออีกแล้ว!..” แต่ในอีกด้านหนึ่งปุโรหิตได้ปลูกศาลาในบ้านให้คนจรและผู้เดินทางมารอตัดสินคดีต่างๆ ได้พักและรับอาหารเป็นทานภัต ถือเป็นกุศลกรรมของข้าราชการขี้ฉ้อผู้นี้ทางหนึ่ง
  การทำทานเช่นนี้ถูกเล่าขานกันในหมู่ข้าราชการบริพารในพระราชทาน พระเจ้าพรหมทัตจึงเข้าใจว่า ปุโรหิตของพระองค์สมาทานศีลอุโบสถเป็นนิจเช่นกัน “อานิสงส์ของการทำอุโบสถศีล คือศีลแปดนี้จะให้พ้นนรกได้ พวกท่านจงทำเถิด”
 ทรงชมเชยปุโรหิตแก่ข้าราชบริพารทั้งหลาย “วันนี้เป็นวันถืออุโบสถศีล ปุโรหิตท่านได้กระทำอุโบสถแล้วรึยัง” ความจริงแล้วปุโรหิตมิได้ถือศีลใดๆ แต่เพื่อมิให้พระราชากริ้วก็จำต้องทูลความเท็จ
 “เช้านี้ข้าพระองค์ทำอุโบสถศีลแล้วพระเจ้าค่ะ” “สาธุ ดีมากเราขออนุโทนาบุญด้วยนะ” เมื่อเสด็จขึ้นตำหนักแล้วจึงถูกจับเท็จจากชาวราชสำนักที่รู้ทัน “ถ้าอย่างท่านปุโรหิตถือศีล พวกเราเนี่ยเป็นเทพกันไปหมดแล้วหละ” “ใช่ กล้าดียังไง มุสาต่อหน้าพระบาทได้เนี่ย”
 “พวกท่านอย่าเอ็ดอึงไป เอาหละๆ เราจะกลับไปถืออุโบสถศีลคืนนี้ทดแทนก็แล้วกัน" ปุโรหิตมิได้กล่าวพอพ้น หากแต่คิดทำกุศลถือศีลในคืนนั้นจริงๆ เขารีบกลับบ้านสั่งคนรับใช้ตระเตรียมสถานที่สมาทานศีลและที่ว่างเดินจงกลม
 เวลานั้นยังมีโอกาสได้ทำทานเพิ่มมาอีก คือมีหญิงชาวชนบทเดินทางมาถึง แต่เรามิได้หุงหาอาหารไว้เธอจึงไม่มีมื้อเย็น คงต้องทนหิวจนเช้า เย็นนั้นปุโรหิตให้หญิงชนบทมารับมะม่วงไปหนึ่งผล “วันนี้เราอาจจะถืออุโบสถจึงไม่มีอาหารเลี้ยงเช่นเคย พี่สาวรับมะม่วงแก้หิวไปก่อนละกันเถิด” “ขอให้ท่านเจริญในบุญทานนะจ๊ะ”
ครั้นได้เวลาปุโรหิตและบริวารในบ้านก็ชำระร่างกาย ห่มขาวดูสะอาดดีแล้วสวดมนต์ทำวัตรเย็น กระทำจิตเป็นกุศลเข้าสู่สมาธิ(Meditation)ภาวนาจนเกิดดวงรัตนะภายในร่างเป็นความสว่างสงบเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตั้งแต่นั้นปุโรหิตก็มิได้กราบทูลความเท็จอีก หากแต่นำบริวารถือศีล เดินจงกลม บำบัดจิตอยู่เป็นนิจจริงๆ ขณะเดียวกันก็ยังเอารัดเอาเปรียบผู้คนอยู่เป็นธุรกิจคดีเช่นเดิม “เอามา มีมากมีน้อย ก็เอามา เราบริการให้ตามจำนวนเงินอยู่แล้ว เฮ้อๆ ๆ”
ปุโรหิตได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาปุโรหิตได้สิทธิ์พิเศษเพิ่มอีกมากมายในพาราณสี เพราะพระราชาเห็นในความดีที่บำเพ็ญศีลอุโบสถมิได้ขาด ย่อมเป็นความดี
เมื่อถึงกาละของปุโรหิตก็สิ้นชีวิตลง ทรัพย์สมบัติบริวาร คฤหาสน์อันใหญ่โตก็ไม่ได้มีค่าอะไรอีกต่อไป จิตอันเคยก่อกุศลได้ร่ำภาวนายึดอยู่กับพระและบุญที่ทำจนสิ้นลมหายใจ แรงภาวนาทำให้วิญญาณเห็นแสงสว่าง
แรงบุญที่ก่อไว้ทำให้จุติใหม่ในบัดดล เป็นเทพบุตรสวยงามและล่องลอยขึ้นสู่คติสถานอันสมควร เป็นสวนสวรรค์มีนางฟ้ากำนัลขับกล่อมล้อมรอบบริการ มีมะม่วงทิพย์เป็นอาหารเพราะได้เคยเมตตาให้มะม่วงแก่หญิงผู้หิวโหย
มีพรหมทิพย์รองกายเพราะเคยให้ที่พักแก่คนจรผู้มารอคดีความ แต่กฎแห่งกรรมย่อมเป็นกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์เสมอ เพราะยามเมื่อสิ้นแสงทิวานั้นทุกครั้งเทพบุตรปุโรหิตจะถูกกระแสอกุศลกรรมที่เคยเอาเปรียบคนอื่นและกล่าวโกหกว่าทำอุโบสถศีลครั้งนั้น
นำลงต่ำสู่อบายภูมิกลายร่างเป็นผีเปรต เรียกว่า เวมานิกเปรต มีไฟลุกไหม้หัวและหิวโหยจนต้องเอาเล็บกระชากเนื้อหนังของตนมากินอยู่ตลอดเวลา รับทุกขเวทนาใช้กรรมเช่นนี้จนอรุณรุ่งมาเยือน ก็จะได้กระแสบุญกลับไปยังวิมารเทพบุตรอีก สลับทุกข์สุขเช่นนี้นานเป็นกัปกัลป์
ในพุทธกาลนั้นปุโรหิต กำเนิดเป็น พระนวกะภิกษุผู้พูดเท็จในอุโบสถศีล
พระเจ้าพรหมทัต เสวยชาติเป็น พระพุทธเจ้า
49  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / คุณชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม เมื่อ: ตุลาคม 30, 2015, 06:51:53 pm

คุณชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตรธรรม

ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ราษฎรใกล้ไกลล้วนศรัทธาพระพุทธศาสนาหลั่งไหลกันมาฟังธรรมเจริญภาวนาอยู่ไม่ว่างเว้น
พระเทวีทั้ง 500_นางของพระเจ้ากรุงโกศลเองก็เช่นกัน แม้จะไม่สามารถออกมานั่งฟังธรรมอย่างคนอื่นๆได้ แต่ก็ได้นิมนต์พระเถระอานนท์ไปเทศนาธรรมถึงในวัง
เมื่อพระเทวีฟังธรรมจากพระอานนท์จบแล้วก็เกิดความเลื่อมใสถวายผ้าสาดกที่ได้รับมาจากพระเจ้าโกศลคนละผืนรวมทั้งหมด 500_ผืน พระอานนท์ก็รับไว้และมาให้ต่อกับภิกษุองค์อื่นๆที่ขาดแคลนจีวรนุ่งห่ม
 รุ่งเช้าพระเจ้าโกศลเห็นพระเทวีนุ่งผ้าสาดกเก่าๆ ออกมาปรนนิบัติก็แปลกใจ “เราให้ผ้าสาดกตั้งพันแก่พวกเจ้าเพราะเหตุไรพวกเจ้าไม่ห่มผ้าเหล่านั้นมา” “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทพวกหม่อมฉันได้ถวายผ้าแก่พระเถระเสียแล้วเพคะ” “พวกเจ้าถวายให้ทั้ง 500 ผืน เลยเหรอ” “เพคะ” "แล้วพระอานนท์ก็รับผ้าไว้อย่างนั้นรึ" "เพคะ"
พระอานนท์เถระจะคิดการค้าผ้าหรืออย่างไร ถึงทรงรับผ้ามากมายไว้ขนาดนั้น” ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุมีจีวรเพียง 3_ผืนเท่านั้น พระเจ้าโกศลเมื่อทรงเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว ทรงเสด็จไปยังพระวิหารซึ่งเป็นที่อยู่ของพระเถระทรงนมัสการถามเรื่องที่เกิดขึ้น
 “พระคุณเจ้าพวกหญิงในเรือนของข้าพเจ้า ยังฟังธรรมหรือเรียนธรรมในสำนักของท่านอยู่หรือไม่" "ยังฟังธรรมหรือเรียนธรรมอยู่ พวกหญิงเหล่านั้นเรียนในสิ่งที่ควรเรียน ฟังสิ่งที่ควรฟัง" "ถวายพระพรพระคุณเจ้าพวกเธอฟังธรรมเท่านั้น หรือถวายผ้านุ่งผ้าห่มให้พระคุณจ้าด้วย” 
 “ขอถวายพระพรวันนี้พวกหญิงนั้นได้ถวายผ้าสาดก ราคาหนึ่งพันประมาณ 500_ผืน” “แล้วพระคุณเจ้ารับไว้ กระนั้นหรือ” “ขอถวายพระพร อาตมา รับไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้มี จีวร 3_ผืนเท่านั้น แก่ภิกษุรูปหนึ่งโดยหลักการสำหรับใช้ แต่มิได้ทรงห้ามในการรับ
 เพราะฉะนั้นอาตมารับผ้านั้นไว้ ก็เพื่อถวายภิกษุซึ่งมีจีวรเก่ารูปอื่น”  จากนั้นพระอานนท์ก็ได้อธิบายขั้นตอนในการใช้ผ้าที่ได้รับมาจากการถวายของพุทธศาสนิกชน ว่าเมื่อได้รับจีวรใหม่แล้วจีวรเก่าก็ได้ทำเป็นผ้าห่ม ผ้าห่มผืนเก่าก็ทำเป็นผ้านุ่ง ผ้านุ่งผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าปูนอน ผาปูนอนผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพื้นผืนเก่าก็ทำเป็นผ้าเข็ดเท้า
ส่วนผ้าเช็ดเท้าผืนเก่าก็นำไปผสมดินเหนียวฉาบทาที่เสนาสนะ “ขอถวายพระพรธรรมดาของที่ถวายด้วยศรัทธา จะทำให้เสียไปไม่ควร ผ้าที่ถวายอาตมาก็มิได้เสียหายย่อมเป็นของใช้สอยทั้งนั้น” พระเจ้าโกศลเมื่อได้ฟังคำตอบของพระเจ้าเถระก็ทรงชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก  รับสั่งจ่ายผ้าอีก 500_ผืนที่เก็บไว้ในพระตำหนักมาถวายพระอานนท์
พระอานนท์เถระได้ถวายผ้า 500_ผืนที่ได้ครั้งหลังทั้งหมดแก่ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่เป็นผู้มีอุปการะ กวาดบริเวณสถานที่ เข้าไปตั้งน้ำ ใช้น้ำ ฉัน ถวายไม้สีฟัน  น้ำล้างหน้า และน้ำสง ชำระล้างวัชกุตี จัดเรือนไฟและเสนาสนะ นวดมือ นวดเท้า นวดหลัง แม้ภิกษุรูปนั้นก็ได้แบ่งผ้าทั้งหมดถวายภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌาย์ของตน
ภิกษุทั้งหลายผู้ที่ได้ผ้าสาดกเหล่านั้นก็ตัดย้อมแล้วนุงผ้ากาสายะอันมีสีดุจดอกกันนิกา พากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดาภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่เป็นอุปัชฌาย์ของภิกษุหนุ่ม ได้ทูลองค์พระศาสนดาของที่มาของผ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระผู้เป็นธรรมพันนะทาคาริก อุปัชฌายของข้าพระองค์ทั้งหลายให้ผ้าสาดก 500_ผืน ราคา 1000_แก่ภิกษุรูปเดียวเท่านั้นแต่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นได้แบ่งผ้าที่ตนได้ให้แก่พวกข้าพระองค์พระเจ้าค่ะ"
 "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ได้ให้ภิกษุเพราะเห็นแก่หน้า แต่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นมีบุพการะแก่เธอมาก เพราะฉะนั้นเธอคิดเห็นด้วยอำนาจอุปการะของผู้อุปการะของตนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้มีอุปการะเราควรทำอุปการะตอบด้วยอำนาจคุณ และด้วยอำนาจการกระทำเหมาะสม จึงได้ให้ด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยประการชะนี้อันที่จริงบัณฑิตแต่ก่อน ก็ยังทำอุปการะตอบ แก่ผู้มีอุปการะแก่ตนเหมือนกัน"
 เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา พระองค์ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งมีราชสีห์อาศัยอยู่ถ้ำแห่งกับตัวเมียคู่ครองถึงเวลาออกหากินราชสีห์ตัวนี้มักจะยืนอยู่บนยอดเขามองลงมาดูสัตว์น้อยใหญ่ที่มาหากินอยู่ข้างสระใหญ่เสมอเพื่อเล็งหาเหยื่อที่เป็นเป้าหมาย
มองลงมาจากยอดเขานั้นจะเห็นสระใหญ่แห่งหนึ่งที่มีดินดอนเกิดจากตะกอนตมดอนหนึ่ง เมื่อดินดอนแห้งจะมีหญ้าอ่อนขึ้นเป็นที่หากินของ กระต่าย กวาง และสุนัขจิ้งจอกเสมอ และสัตว์เหล่านี้จะมักเป็นเหยื่อของราชสีห์ทุกครั้งไป "ไหนดูสิวันนี้อาหารของเราจะเป็นเนื้ออะไรนะ"
 “โอ้โห มื้อนี้เป็นเนื้อกวางหรือเนี่ย กำลังเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวเลยนะกินให้อร่อยไปเลยเดี๋ยวก็จะไม่ได้กินแล้วละ รีบลงไปดีกว่าเดี๋ยวมันจะอิ่มซะก่อน” ราชสีห์เห็นกวางก็หมายจะกินให้ได้จึงกระโดดจากเขาวิ่งตรงมาที่กวาง แต่กวางได้ยินเสียงก่อนจะวิ่งหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
 “นั่นเสียงวิ่งของราชสีห์นี่นาชัดเจนเลยเสียงวิ่งอย่างนี้เผ่นดีกว่าเรา” ราชสีห์วิ่งมาได้ความเร็วจึงเบรกไม่ทันจะตกไปในบ่อตมขึ้นมาไม่ได้ยืนอดอาหารอยู่อย่างนั้นถึง 7_วัน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่น่าวิ่งมาเร็วขนาดนี้เลยเราโอยหิวจังปานนี้น้องยาหยีของเราจะหิวแย่แล้วโธ่”
   ในวันที่ 7_ได้มีสุนัขตัวหนึ่งได้ออกมาหากินใกล้บ่อตมพอเห็นราชสีห์เข้าก็ตกใจวิ่งหนีแต่ราชสีห์เห็นก็รีบให้ช่วยเหลือ “นั่นราชสีห์นี่น่าหนีดีกว่าเรา” “หยุดก่อนอย่าเพิ่งไปช่วยเราด้วย” “ช่วยอะไร ถ้าเราช่วยท่านเมื่อไหร่ท่านก็คงกินเราเมื่อนั้นละสิ” “โธ่เราไม่ทำอย่างนั้นหรอกถ้าท่านช่วยเราได้ท่านก็เป็นผู้มีพระคุณกับเราแล้วเราจะกินท่านได้อย่างไรเล่า”
 สุนัขจิ้งจอกได้ฟังท่านราชสีห์พูดอย่างนั้นก็ตะกุยช่วยขุดเลนด้วยเท้าทั้งสี่ทำให้เป็นรางทำให้น้ำไหล พอน้ำไหลเข้าไปทำให้เลนอ่อนมันจึงช่วยไปดึงท้องราชสีห์ขึ้นมาได้ “โอ้ยหิวก็หิวแทบไม่มีแรงเลยนะเนี่ย”
 ราชสีห์กระโดดขึ้นจากหลุมได้ก็ได้กระโดดไปอาบน้ำในสระ “ขอบใจท่านมากเราขอชำระล้างเนื้อตัวก่อนเถิดแล้วเดี๋ยวเราจะไปหาอาหารมาให้ท่านเอง” เมื่ออาบน้ำเสร็จราชสีห์ก็ขึ้นมาล่าควายป่ามาได้ตัวหนึ่งจากนั้นก็คาบเนื้อมาให้สุนัขจิ้งจอก
 “กินเนื้อนี้สิสหายท่านคงเหนื่อยจากการช่วยเราเมื่อตะกี้กินซะสิเนื้อควายป่านี้หวานมากเลยนะ” “ท่านกินให้อิ่มก่อนเถิดหากเหลือเราค่อยทานก็ได้ขอบใจท่านมากเลยนะถ้าอย่างนั้นเราขอเนื้อก้อนนี้ละกันนะภรรยากำลังรออาหารจากพวกเราอยู่”
 “ที่เหลือนี้ท่านก็ทานไปเถอะถ้าอย่างนั้นท่านก็ไปพบภรรยาของท่านก่อนเถิดเราเองก็จะเอาเนื้อนี่ไปให้ภรรยาของเราเองเช่นกัน” “ได้สิภรรยาของเราคงดีใจที่ได้กินเนื้อควายป่าที่ท่านล่าให้” จากนั้นครอบครัวราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกก็ย้ายมาอยู่ใกล้กัน
  เวลาผ่านไปนางราชสีห์และนางสุนัขจิ้งจอกได้ลูกคนละ 2_ตัวราชสีห์ตัวผู้ให้ความใส่ใจครอบครัวสุนัขจิ้งจอกมากคอยดูแลปกป้องภรรยาและลูกน้อยเป็นอย่างดี “นี่เนื้อกวางสดๆเลยนะเจ้าทานสิป่านนี้สามีเจ้ายังไม่กลับมาเลยเอาให้ลูกๆของเจ้ากินสิคงหิวกันแย่แล้วละ”
 “ขอบใจท่านนะท่านก็แบ่งภรรยาของท่านบ้างสิพวกเรากินไม่หมดหรอก” “ไม่เป็นไรพวกเจ้ากินกันก่อนเหลือแล้วเราค่อยเอาไปให้ภรรยาของเราก็ได้” "ทำไมนะราชสีห์สามีเราถึงได้รักนางสุนัขจิ้งจอกและลูกของมันมากเหลือเกินดูสิเมียยังไม่ได้กินอะไรแท้ๆกลับเอาเนื้อพวกนั้นไปให้สุนัขจิ้งจอกกินหมด"
 “เฮ้อ..อย่างนี้แปลว่านอกใจใช่ไหม ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วต้องกำจัด" รุ่งเช้าสุนัขจิ้งจอกตัวผู้ได้ออกไปล่าเหยื่อ ราชสีห์ตัวเมียก็คิดจะใช้โอกาสนี้ขับไล่สุนัขจิ้งจอกให้ไปอาศัยอยู่ไกลๆถ้ำของมัน
 “เฮ้อเจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้ารู้บ้างหรือเปล่าว่าการที่ครอบครัวของเจ้ามาอาศัยอยู่ใกล้ครอบครัวของเราเนี่ยมันทำให้ครอบครัวของเราลำบากแค่ไหนเจ้าไม่รู้หรอกเหรอ” “ฉันเนี่ยทนมานานละ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมสามีของฉันต้องทนดูแลครอบครัวของเธออยู่ได้เป็นภาระจริงๆเลย”
 “ถ้าครอบครัวของเราทำให้ท่านต้องลำบากถึงเพียงนี้เราก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นต้องขอโทษท่านด้วยละกันที่เรารบกวนท่านมานานพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางไปอยู่ให้ไกลพวกท่าน ท่านสบายใจเถอะนะ”
  “พี่จ๊ะเราย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันเถอะการที่เราอาศัยอยู่ใกล้กับครอบครัวราชสีห์นี้สร้างความลำบากแก่ครอบครัวของท่านราชสีห์มากเลยนะพี่จ๋า” “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนี้เล่า ท่านราชสีห์ไม่คิดอย่างนี้หรอก เขาเต็มใจที่จะดูแลปกป้องเราเจ้าก็รู้นี่นา" "ท่านราชสีห์อาจจะเต็มใจแต่ภรรยาของเขานี่สิเขาคงไม่ยินดีเท่าไหร่นักที่เราอาศัยใกล้อยู่แบบนี้”
 “เมื่อตอนกลางวันนางมาพูดกับน้องให้ไปอยู่ที่อื่น นางบอกว่าพวกเราทำให้ครอบครัวของเขาต้องลำบาก” “จริงรึเมื่อนางพูดเช่นนี้เราก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะพี่เองก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้แก่ใครเหมือนกัน พรุ่งนี้เช้าพี่จะพาพวกเจ้าย้ายไปอยู่ที่ท้ายป่าด้านโน้นตรงนั้นก็มีความอุดมสมบรูณ์พี่คิดว่าพวกเราคงอาศัยอยู่ที่นั่นได้ไม่ลำบากหรอก”
 รุ่งเช้าสุนัขจิ้งจอกตัวผู้พาครอบครัวไปร่ำลากับราชสีห์ก่อนจะออกเดินทางย้ายไปอยู่ที่ป่า “นายข้าอยู่ที่นี่นานแล้วเราเกรงใจท่านและนางราชสีห์ยิ่งนักภรรยาของท่านได้ไล่ภรรยาของท่านแล้วเห็นทีข้าจะไปแล้วละ” “อะไรนะเมียของเราไล่เมียของท่านเหรอนางทำอย่างนี้ได้อย่างไรท่านเป็นผู้มีพระคุณของเราถ้าเราไม่ได้ท่านเราก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ท่านและครอบครัวของท่านอยู่ที่นี่ต่อไปเถิดเราจะอธิบายภรรยาของเราเอง”
 “น้องเอ๋ยเจ้าลำบากใจนักหรือที่ครอบครัวสุนัขจิ้งจอกมาอาศัยอยู่ใกล้ครอบครัวของเรา” “ใช่จ๊ะก็พี่ได้แต่ดูแลนางกับลูกๆเนื้อสดๆก็ให้นางกินก่อนแล้วข้ากับลูกถึงได้กินทีหลังน้องก็น้อยใจเหมือนกันนะ” “ถ้าไม่มีครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกพี่คงดูแลน้องกับลูกๆดีกว่านี้ น้องเอ๋ยฟังพี่ก่อนเถิดที่พี่ต้องดูแลครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกเป็นอย่างดีก็เพราะว่าสุนัขจิ้งจอกนั้น ได้เคยช่วยชีวิตพี่ไว้หากไม่ได้ช่วยเขาไว้ในตอนนั้นวันนี้พี่ก็คงไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าอย่างนี้
เขาเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อครอบครัวเรา” “อ๋อยังนี้เองหรือน้องต้องขอโทษด้วยที่ทำอะไรโง่เขลาไป” “เจ้าคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้วไปขอโทษครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกกันเถิด” นางราชสีห์เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ได้ไปขอโทษสุนัขจิ้งจอก ตั้งแต่นั้นมาสัตว์ทั้งหมดก็อยู่กันอย่างกลมเกลียวและเป็นมิตรรักของกันและกันมาโดยตลอด
 
    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศอริยสัตย์ทรงประชุมชาดก ในเมื่อจบอริยสัตย์ ภิกษุบางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้เป็นสาทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์
 
สุนัขจิ้งจอก กำเนิดเป็น พระอานนท์
ราชสีห์ เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอบคุณ ที่มา http://www.dmc.tv/articles/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html
50  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / พัพพุชาดก-ตอนที่ 2-ชาดกว่าด้วยวิธีให้แมวตาย เมื่อ: กันยายน 21, 2015, 04:23:26 pm

พัพพุชาดก-ตอนที่ 2-ชาดกว่าด้วยวิธีให้แมวตาย


 ย้อนไปในอดีตกาลในยุคสมัยที่พระเจ้าพรหมทัตเสวยพระราชสมบัติปกครองแคว้นพาราณสีอยู่นั้น พระโพธิสัตว์ในยุคนั้นได้บังเกิดเป็นช่างสลักหิน ในเวลานั้นช่างสลักหินผู้นี้ได้เติบโตเจริญวัยเป็นหนุ่มศึกษาวิชาศิลปะจนสำเร็จแล้ว “อื้ม..เอาล่ะ เราแกะสลักหินก้อนนี้เสร็จทันเวลาจนได้ แหม..งานนี้ยากเอาการ เล่นเอาเหนื่อยเลยแฮะ”



  “โอ้โห! นายท่าน ฝีมือท่านเนี่ย นับวันยิ่งเยี่ยมนะ สุดยอดจริงๆ” ถัดไปยังนิคมแห่งหนึ่ง ณ แคว้นกาสี มีเศรษฐีอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์สินมากมายก่ายกอง เขาได้นำทรัพย์สมบัติของเขาทั้งหมดฝังไว้ใต้ดินถึง 40_โกฏิ “สมบัติเรามีมากขนาดนี้ เก็บไว้กับตัวจะเป็นอันตรายได้ ฝังไว้ใต้ดินดีกว่า ปลอดภัยไม่ต้องกลัวโจร”


 “อื้ม..ดีเหมือนกันท่านพี่ ทรัพย์สมบัติของเรามันเยอะซะจนไม่มีที่จะเก็บแล้วเนี่ย เอาไว้ที่บ้านก็ล่อตาล่อใจโจรเปล่าๆ” อยู่มาวันหนึ่งเรื่องเศร้าก็บังเกิด เมื่อภรรยาของเศรษฐีได้ด่วนตายจากไป “โอ้ น้องพี่ เจ้าไม่น่ารีบมาด่วนตายจากข้าไปเลย เฮ้ย...ทรัพย์สินเรามีตั้งมากมาย แต่คนรักเรากลับมาตายจากไปอย่างงี้ มันช่างน่าเศร้านัก”
  แต่ด้วยความห่วงใยในทรัพย์สิน ภรรยาของเศรษฐีเมื่อตายจากไปแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นหนู กลับมาเฝ้ากองทรัพย์สินที่สามีตนได้ฝังเอาไว้อย่างมากมาย “ชาติที่แล้ว เรากับสามีฝังทรัพย์สินไว้มากมาย อีกไม่นานสามีเราก็คงต้องตายจาก แล้วใครจะดูแลทรัพย์สินเหล่านี้เล่า? เรานี่แหละที่จะขอดูแลทรัพย์สินเหล่านี้เอง”
 หลังจากนั้นอีกไม่นาน เศรษฐีก็ตายจากไปอีกเช่นกัน โดยที่ซึ่งไร้ทายาท ตระกูลนี้จึงขาดผู้สืบตระกูล บ้านของเศรษฐีก็ถูกปล่อยรกร้าง กลายเป็นบ้านร้างไปในที่สุด โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่า ใต้ผืนบ้านนี้มีกองสมบัติถูกฝังอยู่มากมาย ช่างสลักหินเมื่อผ่านมาพบบ้านร้างหลังนี้เข้าก็เกิดถูกชะตา ประสงค์จะนำหินที่อยู่ในบ้านร้างนั้นมาทำการแกะสลักเป็นงานศิลปะตามความชอบ


 “อื้ม...บ้านร้างหลังเนี้ย ใหญ่โตโอ่โถงยิ่งนัก ไม่รู้เป็นบ้านของใครมาก่อน หินต่างๆ ที่อยู่ในบ้านน่ะ ปล่อยไว้ก็รกร้างซะเปล่า ไม่มีประโยชน์ เรานำหินจากบ้านร้างหลังเนี้ย มาแกะสลักงานของเราน่าจะดีแฮะ” ฝ่ายนางหนูที่เฝ้ากองสมบัติอยู่นั้น เห็นความเคลื่อนไหวของช่างสลักหินอยู่ตลอด ด้วยความที่ช่างสลักหินดูเป็นคนมีจิตใจงดงาม
 นางหนูจึงรู้สึกถูกชะตากับช่างสลักหินยิ่งนัก “อื้ม...พ่อหนุ่มคนนี้ดูไม่มีพิษ ไม่มีภัยดีแฮะ ท่าทางจะเป็นคนดี ช่างถูกใจเราซะแล้วสิ” นางหนูนั้นคิดว่า ทรัพย์สมบัติมากมายที่ตนเฝ้าอยู่นั้น หากปล่อยทิ้งไว้ก็คงจะเปล่าประโยชน์เป็นแน่แท้ หากนางนำทรัพย์นี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์น่าจะดีซะกว่า “เอ..จะว่าไป เราจะเฝ้าทรัพย์พวกนี้ทำไม เอามาทำอะไรก็ไม่ได้


 สู้หาทางใช้ทรัพย์นี้กับพ่อหนุ่มแกะสลักนั่นยังจะดีซะกว่า เอาล่ะ เอาตามนี้ดีกว่า” เมื่อคิดได้ดังนั้น นางหนูจึงตัดสินใจที่จะวางแผนการใช้เงินเหล่านี้ร่วมกับช่างสลักหิน นางทำการคาบเหรียญกษาปณ์จากกองสมบัติมาหนึ่งเหรียญ แล้ววิ่งไปที่ร้านของช่างสลักหิน “โอ้ อัศจรรย์นัก หนูคาบเหรียญกษาปณ์ เหอะๆๆๆ เป็นไปได้เยี่ยงไรเนี่ย
   แม่หนู่เอ๋ย นี่เจ้าคาบเหรียญกษาปณ์มาทำไมรึ?” “คืออย่างงี้ ท่านช่างสลักหิน เรานำทรัพย์นี้ก็หวังจะมาแบ่งให้ท่านใช้ เพียงแต่ท่านนำทรัพย์นี้ไปแบ่งซื้อเนื้อมาฝากเราที่บ้านร้างบ้างก็พอแล้ว แล้วเราจะนำทรัพย์มาให้ท่านได้ซื้อทุกวันนะ” “โห เจ้าหนูเอ๋ย ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง ได้ซี่..เราจะไปซื้อเนื้อมาให้เจ้า เจ้าจะได้กินอิ่มหนำสำราญน่ะ


 ส่วนเงินส่วนที่เหลือเราก็ขอรับไว้ตามความปรารถนาของเจ้าก็แล้วกัน ขอบใจเจ้ามากนะ แม่หนูเอ๋ย” ช่างสลักหินทำตามที่ให้วาจาไว้กับหนูทุกประการ เขานำเหรียญกษาปณ์นั้นไปแลกซื้อเนื้อจากในพระนครมาส่วนหนึ่งเพื่อนำไปฝากหนู และเก็บไว้ใช้เองอีกส่วนหนึ่ง เมื่อได้เนื้อมาแล้ว เขาก็จะนำไปให้หนูที่บ้านร้างกินทุกครั้งและวันต่อไปหนูก็จะคาบเหรียญมาให้ช่างสลักหินและก็นำไปซื้อเนื้อมาฝากหนูอีก เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยมา


  “เอ้า...กินให้อิ่มๆ นะ แม่หนู เจ้าน่ะคงหิวมากล่ะซี่” “อื้ม...อร่อยจริงๆ นี่ท่านซื้อเนื้อชั้นดีขนาดนี้มาฝากเราเชียวหรือเนี่ย” อยู่มาวันหนึ่งได้มีแมวเกเรตัวหนึ่ง หลงเข้ามาในบ้านร้าง เจ้าแมวเห็นนางหนูที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในบ้าน ก็วิ่งไล่จับตามวิสัยของแมวที่ชอบจับหนู “โอะๆ โอ้ย เจอของดีเข้าแล้ว ฮี่ๆๆๆ เจ้าหนูเอ๋ย แกเสร็จข้าแน่ เรื่องรังแกสัตว์ตัวเล็ก เราน่ะชอบจริงๆ ฮี่ๆๆ ฮิ้ว!


 “อุ๊ย งานเข้าแล้วล่ะสิ เผ่นดีกว่าเรา” หลังจากไล่จับกันอยู่นาน ในที่สุดนางหนูก็ถูกเจ้าแมวเกเรจับเข้าจนได้ นางพยายามดิ้นรนร้องขอชีวิตกับเจ้าแมวเกเร “โอ้ย พี่แมว เราเจ็บนะ ปล่อยเราซะเถอะอย่ากินเราเลย” “ปล่อยให้โง่หรอ นี่ข้าไม่ได้เล่นไล่จับนะ ข้าจะจับเจ้ากินนะเฟ้ย เรื่องอะไรจะปล่อยให้โง่ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย ข้าจะกินเนื้อเจ้าซะตอนนี้แหละ อย่ามาร้องขอชีวิตซะให้ยาก”


“โธ่ พี่แมว ฟังขอเสนอของเราก่อนสิ หากท่านกินเราซะตอนนี้ ท่านก็จะอิ่มอยู่แค่มื้อนี้นั่นแหละ แล้วมื้อต่อไปท่านจะเอาเนื้อที่ไหนกินเล่า สู้ปล่อยเราไว้ให้เรานำเนื้อมาแบ่งให้พี่แมวกินทุกวันไม่ดีกว่ารึ ลองคิดดูดีๆ หน่า” “เพ้อเจ้อ เจ้าจะหาเนื้อมาให้เรากินได้ไงทุกวัน” “โธ่ เชื่อเราสิ เรามีเนื้อก้อนเบ้อเริ่มเลย กินคนเดียวไม่หมดหรอก ท่านสนใจมั้ย เราจะแบ่งให้ท่าน
  เราสามารถนำมาให้ท่านกินได้ทุกวันเลยนะ ถ้าไม่เชื่อก็ตามมาสิ เราจะพาไปดู” “อื้อ ก็ได้ อย่าตุกติกนะเฟ้ย ไม่งั้นพ่อเจี๋ยนแน่” ในที่สุด เจ้าแมวเกเรก็เชื่อ แล้วยอมตามนางหนูมาดูเนื้อที่นางหนูสัญญาว่าจะแบ่งให้ “นี่ไง ท่านเห็นมั้ย เรามีเนื้อจริงๆ นะ หากท่านไว้ชีวิตเรา เราจะแบ่งเนื้อให้ท่านกินทุกวันเลยนะ” “โอเค ได้เลย ตกลงตามนั้น หือ นี่เราโชคดีจริงๆ นะ


 ไม่ต้องอยู่อย่างอดอยากอีกต่อไปแล้ว ฮี่ๆๆ ฮิ้ว โชคดีแมว” อยู่มาวันหนึ่ง นางหนูก็ถูกแมวตัวอื่นจับไว้ได้อีก ด้วยความที่ต้องการจะเอาตัวรอด นางหนูจำต้องใช้วิธีเดิมต่อรองขอชีวิตกับแมวตัวนั้นอีกครั้ง “หง่าว อะไรนะ เจ้าบอกข้าว่า เจ้ามีเนื้อแบ่งมาให้ข้าทุกวันน่ะรึ อย่าขี้โม้นะเฟ้ย ยิ่งเชื่อคนง่ายๆ อยู่ด้วย หง่าว” “จริงสิ ไม่เชื่อก็ตามมาดูที่รังของเราเลย
 ด้วยเหตุนี้เนื้อที่ช่างสลักหินนำมาให้จากเดิมที่ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเพื่อแบ่งให้กับแมวเกเรตัวแรกกลับกลายต้องมาแบ่งเป็น 3_“หง่าว ขอโทษนะพี่ชาย ขอแจมด้วยคนนะ นางหนูนั่นมันสัญญาว่าจะแบ่งให้เราเหมือนกันหน๊า หง่าว” “เอาเลยๆ ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าอยู่บ้านตัวเองนะ ฮี่ๆๆ ฮุ่ย เหมี้ยว” “โอ้ย คิดมาตลอด ไม่เคยเกรงใจอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ เหงี้ยว”


“เฮ้อ ซวยจริงๆ เลยเรา” ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน นางหนูก็ถูกแมวตัวอื่นจับได้อีก ก็ต้องใช้วิธีเดิมกันอีก แล้วก็ถูกแมวตัวอื่นจับได้อีก จึงต้องใช้วิธีเดียวกันนี้อีกเช่นกัน สรุปแล้วนางหนูถูกแมว 4 ตัวจับได้ ก็ต้องแบ่งเนื้อเป็น 4 ส่วนให้แมวทั้ง 4 ตัวและเลยอีกส่วนหนึ่งให้ตนเองกิน “เหลืออยู่จึ๊งเดียว ซวยจริงๆ เรา”
 อยู่มาวันหนึ่ง ช่างสลักหินก็สังเกตเห็นว่า นางหนูดูซูบผอมลงไปจากเดิมเยอะ ด้วยความเป็นห่วง ช่างสลักหินจึงเอ่ยถามนางหนูว่า “แม่หนูเอ๋ย เหตุไฉนเจ้าจึงดูซูบไปเช่นนี้ล่ะ ไม่สบายรึ?” “เอ่อ คือ คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะ ช่างสลักหินจ๋า” นางหนูตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับช่างสลักหินฟังจนหมดสิ้น “โห ที่แท้เรื่องก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ไยเจ้าถึงไม่รีบบอกเราเล่า


ไม่ต้องห่วงนะแม่หนู เดี๋ยวเราจะหาทางช่วยเจ้าเอง” “ขอบคุณท่านมากนะ ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ” ช่างสลักหินใช้วิชาแกะสลักที่ตนมี จัดการแกะสลักแก้วผลึกใสให้นางหนู เพื่อนำไปครอบที่ปากถ้ำของนางหนู ซึ่งหากดูเผินๆ แล้ว จะดูราวกับว่า ไม่มีสิ่งใดปกปิดปากถ้ำอยู่ ด้วยความใสของแก้วผลึกใสนั่นเอง “เอาล่ะ แม่หนูเอ๋ย เราจะครอบผลึกแก้วใสนี้นะ
แล้วเจ้าน่ะก็นอนอยู่ในถ้ำตามปกติ เมื่อใดก็ตามที่พวกแมวเหล่านั้นมาระรานเจ้าอีก เจ้าก็ตวาดด่ามันไปด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่ต้องไปกลัวนะ” “มันจะดีหรือจ๊ะท่าน ทำอย่างเนี่ย พวกแมวนั่น ไม่โกรธเราแย่รึ” “ไม่เป็นไรน่า เจ้าทำตามที่เราบอกเถิด แม่หนูเอ๋ย” จากนั้น นางหนูก็เข้านอนในถ้ำ โดยที่ปากถ้ำมีผลึกแก้วใสปิดครอบอยู่
 จนกลางดึก เจ้าแมวเกเรตัวแรกก็มาที่ปากถ้ำและร้องเรียกให้นางหนูนำเนื้อมาให้มันกินเฉกเช่นทุกวัน “เฮ้ย เจ้าหนู ข้ามาแล้ว ตื่นเดี๋ยวนี้ ไปนำเนื้อมาให้ข้ากินเร็วๆ เข้า ข้าหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว รีบๆ ตื่น เร็วๆ สิ” “มาอีกแล้วเจ้าแมวเกเรนี่ เราต้องทำตามที่ช่างสลักหินบอกสินะ” แต่หนนี้นางหนูไม่ยอมมอบเนื้อให้เจ้าแมวเหมือนเช่นทุกที


นางตัดสินใจรวบรวมความกล้าที่มี แล้วตะโกนด่าใส่แมวสุดชีวิตเหมือนที่ช่างสลักหินได้กำชับไว้ “ไอ้แมวชั่ว เรื่องอะไรข้าจะต้องเอาเนื้อไปให้เอ็งกินด้วยวะ เอ็งไม่มีปัญญาไปหามากินเองรึไง ถึงต้องมาแย่งของข้ากินอย่างนี้ ถ้าหิวมากนัก เอ็งก็ไปกินเนื้อลูกตัวเองสิวะ” เจ้าแมวเกเร ตกตะลึงพรึงเพริดคิดไม่ถึงว่า แม่หนูจะอาจหาญมาด่าตนได้ถึงเพียงนี้ เจ้าแมวยืนโกรธจนตัวสั่น


  “หนอย ปากดีนะ นางหนูบ้า ข้ายิ่งหิวๆ อยู่ ปากดีอย่างเนี้ย ข้าจะจับเจ้ากิน เคี้ยวให้แหลกเลย ตายซะเถอะนางหนู” ด้วยความโกรธสุดขีด เจ้าแมวจึงพุ่งเข้าใส่นางหนูที่อยู่ในถ้ำ หมายจะขย้ำให้สุดชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า หายนะกำลังจะเข้ามาใกล้อยู่ “แก ตายซะเถอะ เจ้าหนูปากเสีย เฮอะ ฮ่าๆๆๆ” ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เจ้าแมวเกเรวิ่งเข้าชนกับผลึกแก้วใสที่ครอบปากถ้ำอยู่เข้าอย่างจัง
 ด้วยความแรง ทำให้มันหัวใจแตก ตาถล่นออกนอกเบ้า ตายทันทีอย่างน่าอนาถ และด้วยแผนอันแยบยลของช่างสลักหินนั่นเองในที่สุดเจ้าแมวเกเรก็ตายลงจนได้ “เฮ้ย ทำสำเร็จจริงๆ ด้วย ต่อไปเนี้ย เราก็ไม่ต้องไปกลัวเจ้าแมว 3 ตัวที่เหลืออีกแล้ว” หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าแมวเกเรอีก 3 ตัวที่เหลือก็ทยอยตายกันไปทีละตัว ด้วยแผนการเดียวกันนี้เอง และนับแต่นั่นมา นางหนูก็อยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีแมวตัวใดมาระรานอีกเลย

    “ต้องขอบคุณช่างสลักหินผู้นั้นจริงๆ เลย ต่อไปนี้ เราจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างอดอยากอีกต่อไปแล้ว” นับแต่นั้นมา นางหนูก็อยู่อย่างปลอดภัย และเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่างสลักหินได้ช่วยตนไว้ นางหนูจึงนำเหรียญกษาปณ์มามอบให้กับช่างสลักหินทุกวัน วันละ 2-3 เหรียญ ทั้งสองมีไมตรีให้กันและกันอย่างมีความสุข
 ต่อมานางหนูก็มอบทรัพย์สมบัติที่ตนเฝ้าอยู่ทั้งหมดให้แก่ช่างสลักหิน และนับจากนั้นทั้งคู่ก็รักษาไมตรีที่มีให้กัน จนแก่เฒ่าสิ้นอายุขัยไปทั้งคู่ เมื่อนำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาตรัสเล่าจนจบแล้ว องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงประชุมชาดกว่า

   

    “แมวตัวที่ 1 ได้หนู หรือเนื้อ ในที่ใด แมวตัวที่ 2 ก็เกิดในที่นั้นได้ ตัวที่ 3 ที่ 4 ก็เกิดตามๆ กันมาทำนองนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ แมวเหล่านั้นในครั้งนั้นจึงรวมเป็น 4_ตัว ก็แลรวมกันแล้ว ก็กินเนื้อทุกวัน แมวเหล่านั้นเอาอกกระแทกถ้ำด้วยแก้วผลึกนี้ ถึงความสิ้นชีวิตไปหมดแล้ว

แมวทั้ง 4 ในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุทั้ง 4

นางหนู ได้มาเป็น มารดานางกาณา

ส่วนช่างสลักหิน ได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล”

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81-2.html
 

51  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / พัพพุชาดก ตอนที่ 1 ชาดกว่าด้วยวิธีให้แมวตาย เมื่อ: กันยายน 21, 2015, 02:20:41 pm
พัพพุชาดก ตอนที่ 1 ชาดกว่าด้วยวิธีให้แมวตาย


ในพุทธกาลสมัยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหารในนครสาวัตถีเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนากว้างไกลไปทั่วแคว้นพาราณสี ในกาลนั้นได้มีอุบาสิกาผู้หนึ่งมีนามว่ากาณมาตา นางเป็นอริยสาวิกาผู้บรรลุโสดาบันนางอาศัยอยู่กับลูกสาวคนหนึ่งมีชื่อวา กาณา
 เมื่อถึงวัยอันควร กาณมาตาก็ตัดสินใจยกลูกสาวของตนให้แต่งงานกับชายผู้มีชาติตระกูลดีผู้หนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่อีกตำบลหนึ่ง “ลูกเอ้ย ไปอยู่บ้านเขา เป็นสะใภ้บ้านเขา เจ้าต้องประพฤติตัวให้ดี อย่าให้เสื่อมเสียนะ” “ลูกทราบแล้วท่านแม่ ท่านแม่อย่าห่วงเลย แล้วลูกจะแวะมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยๆ ท่านแม่ดูแลรักษาสุขภาพให้ดีๆ นะคะ”
 หลังจากที่บุตรสาวของนางออกเรือนไปแล้วก็ยังคงหมั่นมาเยี่ยมมารดาอยู่เสมอๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ กาณา กลับมาเยี่ยมมารดาของนางด้วยกิจธุระจำเป็นบางอย่าง “มาคราวนี้จะอยู่สักกี่วันล่ะลูก” “ก็สักพักน่ะจ๊ะ ท่านแม่ ลูกว่าเสร็จธุระแล้วก็จะรีบกลับ แต่จะว่าไปลูกก็อยากอยู่กับท่านแม่นานๆ นะคะ”


 “เหอะๆๆ เด็กโง่ เจ้าน่ะโตเป็นสาวแล้วนะ แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ยังจะมาติดแม่อยู่อีกรึ เสร็จธุระแล้วก็รีบๆ กลับไปซะเถอะ สามีเจ้าจะได้ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่น่ะอยู่ได้” “ค่ะ ท่านแม่” นางกาณานั้นจากสามีมาอยู่กับแม่ได้พอสมควร สามีของนางก็รู้สึกเป็นห่วงจึงจัดให้คนตามนางกาณากลับบ้าน
 “ท่านหญิง นายท่านให้ข้ามาตามท่านกลับบ้านน่ะ เราเป็นห่วงท่านหญิงมากนะ ท่านหญิงมาหลายวันแล้ว กลับบ้านได้แล้วขอรับ” “ท่านแม่ เห็นทีลูกต้องไปแล้วสามีของลูกถึงขนาดส่งคนมาตาม เขาคงจะเป็นห่วงลูกมากๆ ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวก่อนนะคะ ท่านแม่” “เอาเถอะจ๊ะลูกรัก มันก็สมควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว


 แต่เจ้าเองก็มาตั้งหลายวัน จะกลับไปมือเปล่าก็ใช่ที ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่จะทอดขนมให้เจ้านำติดมือกลับไปฝากสามีของเจ้าด้วยละกันนะ” “ค่ะ ท่านแม่ เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านแม่อีกแรงนึง” สองแม่ลูกลงมือช่วยกันทอดขนมจำนวนมาก หวังจะให้ กาณา นำติดไม้ติดมือไปฝากที่บ้านของสามี ขนมที่ทั้งสองแม่ลูก มีมากมาย สีสันน่ารับประทาน
  “ท่านแม่ ดูสิคะ ขนมที่เราสองคนช่วยกันทำ สีสันช่างน่าอร่อยจริงๆ” “หึๆๆ เรื่องทอดขนมน่ะ แม่ไม่แพ้ใครหรอกนะ เดี๋ยวเจ้าเอาไปฝากสามีเจ้าเยอะๆ ถ้าชอบ วันหลังก็มาเอาอีก เดี๋ยวแม่จะทอดให้” “จ๊ะแม่” ความหอมของขนมที่สองแม่ลูกทำนั้น ส่งกลิ่นหอมขจรไปทั่ว ใครได้กลิ่น ต่างก็ชมและอยากทานขนมกันทั้งสิ้น


 ในขณะนั้นเอง ก็ได้มีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งมาบิณฑบาตที่นี่เป็นประจำได้ผ่านมาพบเข้าพอดี “อะ อ้าว หลวงพี่ท่านนี้มาพอดีเลย นิมนต์เลยเจ้าค่ะ พวกเราเพิ่งทอดขนมเสร็จ ขอใส่บาตรด้วยเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ” “เจริญพร นะโยม ขนมเยอะแยะไปหมดเลย นี่จะมีงานอะไรกันเนี่ย” “ดิฉัน ทอดขนมเพื่อให้ลูกสาวนำไปฝากสามีที่บ้านน่ะเจ้าค่ะ”
ด้วยความหอมของขนมที่นางทอด ทำให้ภิกษุรูปนั้น อดไม่ได้ที่จะชื่นชม และเมื่อออกจากบ้านของ นางกาณมาตาแล้ว ก็พบกับภิกษุอีกรูปหนึ่งเข้า จึงเล่าให้ฟังเรื่องขนมทอดของ นางกาณมาตา “นี่ท่าน ดูซิ ขนมมากมายเลย เราเพิ่งไปที่บ้านของโยม กาณมาตา มาน่ะ ท่านลองไปบิณฑบาตที่นั่นดูซี่ ยังมีขนมอีกมากมายเลย”


“จริงหรือท่าน อื้ม...กลิ่นหอมดีจริงๆ เลยเชียว เห็นทีข้าต้องไปบ้างแล้ว” ไม่เพียงแต่ภิกษุรูปนี้เท่านั้น ที่มาขอบิณฑบาตขนมทอด เพราะเมื่อภิกษุรูปที่ 2 กลับออกไป ก็ไปบอกเล่าให้ภิกษุอีกรูปหนึ่งเป็นรูปที่ 3 ที่มาขอบิณฑบาตขนม พอภิกษุรูปที่ 3_กลับออกไปก็ไปเล่าให้ภิกษุอีกรูปทราบเรื่องขนมทอดเป็นรูปที่ 4
ปรากฏว่าขนมทอดที่นางกาณมาตาทำไว้หวังให้ลูกสาวนำกลับบ้านฝากสามีก็หมดลง “ตายจริงท่านแม่ ขนมที่เราทอดไว้หมดซะแล้ว” “ไม่เป็นไรจ๊ะ ลูกรัก เอาไว้พรุ่งนี้แม่ค่อยทอดให้ใหม่ วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน แม่ขอพักก่อนนะจ๊ะ เจ้าก็ค่อยกลับไปบ้านสามีเจ้า พรุ่งนี้ก็แล้วกัน รอให้แม่ทอดขนมเสร็จก่อนแล้วกันล่ะ”
 “ค่ะ ท่านแม่ ลูกเองก็เหนื่อยเหมือนกัน เราพักกันก่อนนะคะ” แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปดั่งที่คิด เหตุเพราะต่อให้สองแม่ลูกช่วยกันทอดขนมจนเสร็จพร้อมจะนำกลับบ้านแล้วเมื่อไหร่ ภิกษุทั้ง 4_ที่มาขอบิณฑบาตขนมไปเมื่อวันก่อน ก็จะย้อนกลับมาบิณฑบาตอีกครั้ง ซึ่งพวกนางก็ไม่อาจจะปฏิเสธการทำบุญสุนทานได้


 “นิมนต์ค่ะ หลวงพี่ วันนี้ขนมมีมากมายค่ะ” “อึ้ม...ขนมที่โยมทอดเนี่ย อร่อยจริงๆ นะ วันนี้ก็ทอดขนมให้ลูกสาวนำไปฝากสามีอีกเช่นเคยรึ” “ใช่ค่ะ หลวงพี่ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ ขนมยังมีอีกเยอะแยะ ถึงหมดก็ทำใหม่ได้เจ้าค่ะ” แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ขนมที่สองแม่ลูกทอดไว้หมดเกลี้ยงลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ กาณา ก็ยังมิอาจกลับไปบ้านหาสามีด้วยไม่มีของฝากติดมืออีกเช่นเคย “ท่านแม่ ขนมหมดอย่างเนี้ย แล้วลูกจะเอาอะไรไปฝากสามีลูกล่ะคะ” “ช่วยไม่ได้จ๊ะ งั้นพรุ่งนี้เราทอดกันใหม่ก็ได้ เลื่อนไปอีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอกนะ” “ท่านหญิง นี่ตกลงแล้ววันนี้ท่านก็ยังกลับไม่ได้อีกหรือเนี่ย นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะที่ท่านเลื่อนไปเลื่อนมาอย่างเนี้ย ข้าเกรงว่านายท่านจะโกรธเอาได้นะขอรับ”
 “งั้นเราฝากเจ้าวานไปบอกสามีเราที ว่าพรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับแน่นอน วันเนี้ยเจ้ากลับไปก่อนเถอะนะ” “เอางั้นก็ได้ งั้นข้าไปล่ะ” วันรุ่งขึ้น สองแม่ลูกตื่นนอนแต่เช้าเพื่อจะรีบช่วยกันทอดขนมอีกเป็นวันที่ 3 โดยวันนี้ผู้ที่สามีของ นางกาณา ส่งให้มาตาม ก็มาตามนางกลับแต่เช้า “ท่านหญิง นายท่านสั่งข้ามาว่า ถ้าวันนี้ท่านหญิงยังไม่ยอมกลับบ้านอีกเป็นครั้งที่ 3
   นายท่านจะไปมีภรรยาใหม่แล้วนะขอรับ” “จ๊ะๆๆๆ วันนี้แหละ เราจะกลับแน่ๆ รอเราทอดขนมเสร็จก่อนนะ” “ไม่ต้องห่วงจ๊ะ ลูกรัก เจ้าได้กลับแน่ๆ เดี๋ยวแม่จะทอดขนมให้เยอะกว่าเมื่อวานนะจ๊ะ คราวเนี้ย เจ้าเหลือกลับไปฝากสามีเจ้าแน่ๆ ลูกเอ้ย” “ขอบคุณท่านแม่มากค่ะ” แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทันทีที่สองแม่ลูกทอดขนมเสร็จ ภิกษุทั้ง 4 รูปก็มาบิณฑบาตจนขนมที่ทอดไว้หมดลงอย่างรวดเร็ว


เป็นอันว่า นางกาณา ก็มิสามารถที่จะกลับบ้านสามีได้อีกเช่นเคยเป็นครั้งที่ 3 “แย่แล้วท่านแม่ ขนมที่เราทอดไว้หมดลงอีกแล้ว แล้วทีนี้ลูกจะเอาอะไรไปฝากสามีลูกได้ล่ะคะ” “ทำใจดีๆ ไว้ลูกรัก แม่ว่าสามีของเจ้า คงไม่ใจร้ายมีภรรยาใหม่ จริงๆ หรอกจะ” “ตกลงวันนี้ท่านก็กลับไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย งั้นข้าขอกลับก่อนนะ ข้าเตือนท่านแล้วนะ นายหญิง ว่านายท่านจะมีภรรยาใหม่จริงๆ นะขอรับ ข้าไปก่อนล่ะ” เป็นจริงดังที่คนมาตามได้บอกไว้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวว่า สามีของนางได้ไปมีภรรยาใหม่จริงๆ


เหตุทั้งหมดเพียงเพราะนาง ไม่มีขนมทอดติดมือไปฝากจึงยังมิอาจกลับบ้านสามีได้ ทำให้นางถูกสามีทิ้ง “ฮือๆๆ โชคร้ายแต่ปางหนใด เหตุไฉนลูกถึงต้องถูกทิ้งเพราะเพียงเรื่องแค่นี้ เราไม่น่าใส่บาตรขนมจนหมดเลยท่านแม่ ฮือๆๆๆ” “ทำอย่างไรได้เล่า ลูกเอ้ย พระคุณเจ้าท่านแวะมาบิณฑบาตทั้งที เราจะทำเพิกเฉยได้อย่างไร อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก” “ท่านแม่ ฮือๆๆๆ” ข่าวการเสียใจ เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ของ นางกาณานั้น แพร่สะพัดไปทั่ว
องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทราบเรื่องก็ทรงครองผ้าถือบาตรจีวรเสด็จไปยังวิเวกของ กาณมาตา เพื่อหวังจะถามไถ่ “โอ้ องค์พระศาสดาเสด็จมาถึงบ้านดิฉันเลยรึคะ นิมนต์บนอาสนะเลยเจ้าค่ะ นิมนต์เลยเจ้าค่ะ” เมื่อองค์พระศาสดาประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดถวายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรัสถาม นางกาณมาตา ด้วยความห่วงใยเกี่ยวกับเรื่องของบุตรสาว “เราทราบมาว่า ลูกสาวของท่านเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดฤา” “เอ่อ..คือๆ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ พระคุณเจ้า”
  ดังนั้นนางกาณมาตา จึงเล่าเรื่องที่นางและลูกช่วยกันทอดขนมหวังจะให้บุตรสาวนำกลับไปฝากที่บ้านสามี แต่กลับต้องมาใส่บาตรให้ภิกษุทั้ง 4_รูป ที่มาบิณฑบาตทุกวันจนขนมที่ทอดไว้หมดสิ้น ไม่สามารถกลับบ้านสามีได้ เป็นเหตุให้สามีของบุตรนางไปมีภรรยาใหม่ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองหรอกหรือ โยมทั้งสองอย่าเสียใจไปเลย ทำใจดีๆ นะ” “ขอบพระคุณ พระคุณท่านมากค่ะที่ปลอบโยนพวกเรา พวกเราเนี่ย ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”


 หลังจากถามไถ่และปลอบโยนสองแม่ลูกจนคลายทุกข์ องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร วันต่อมา เหตุการณ์ที่ นางกาณาต้องถูกสามีทิ้งเพราะไม่มีขนมติดมือไปให้สามีเนื่องจากถูกภิกษุ 4 รูปมาบิณฑบาตไปหมดสิ้นก็เป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งธรรมสภา ภิกษุต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างสนใจใคร่รู้ “อื้ม....น่าเห็นใจ นางกาณา ยิ่งนักที่ต้องมาถูกสามีทอดทิ้งด้วยเรื่องเพียงแค่นี้” “เฮ้อ...ไม่รู้จะโทษใครดีเหมือนกัน เรื่องแบบนี้”
เมื่อองค์พระศาสดาเสด็จมายังธรรมสภา เห็นภิกษุจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ก็ทรงตรัสถามถึงเรื่องที่เหล่าภิกษุกำลังสนทนากัน “ภิกษุเอ๋ย นี่พวกเธอกำลังสนทนาประชุมกันเรื่องอะไรหรือ?” “ก็เรื่องที่ นางกาณา โดนสามีทอดทิ้งเพราะใส่บาตรขนมทอดให้แก่ภิกษุทั้ง 4_จนขนมหมด เป็นเหตุให้กลับบ้านไม่ได้ซักทีน่ะขอรับ” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่เพียงบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุทั้ง 4_เหล่านั้นกินของ ของนางกาณา แล้วทำความโทมนัสให้เกิดแก่นาง แม้ในครั้งก่อนก็เคยทำให้นางเกิดโทมนัสมาแล้ว” จากนั้นจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนไปในอดีตชาติ ตรัสเล่าชาดกเรื่อง พัพพุชาดกไว้ดังนี้








 
52  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กัจฉปชาดก-ชาดกว่าด้วยลิงสัปดน เมื่อ: กันยายน 21, 2015, 01:51:34 pm
กัจฉปชาดก-ชาดกว่าด้วยลิงสัปดน


 ครั้งเมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ได้ทรงปรารภการสงบระงับความทะเลาะแห่งอำมาตย์ทั้งสองของพระเจ้าโกศล จนเป็นที่โจทย์ขานคุณ

ของพระศาสดาว่าสามารถสั่งสอนให้อำมาตย์ทั้งสองเลิกทะเลาะกันได้ ซึ่งทั่วทวีปนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้เลย
 อยู่ๆ ก็ดันมาเจอคนพาลซะจนได้” “เจ้าหาว่าใครเป็นคนพาล ชิชะ ถ้าข้าเป็นคนพาลหน่ะ แล้วเจ้าไม่ใช่รึ ที่พาลกว่าหรือไง” มหาอำมาตย์ทั้งสองนั้นทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นที่แม้พระราชา

ญาติและมิตรก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาทั้งสองสามัคคีกันได้ “ท่านอำมาตย์ทั้งสองเลิกทะเลาะกันเสียเถอะ


นี่ขนาดว่าอยู่ต่อหน้าเราแท้ๆ ท่านยังทะเลาะกันอีกรึ ท่านทั้งสองเนี่ยอายุอานามก็มากแล้วนะ สามัคคีกันหน่อยเถอะ” “สิ่งที่พระราชาทูลขอนั้นกระหม่อมขออภัยที่ไม่สามารถ

ทำตามได้ ข้อขัดแย้งของกระหม่อมนั้นทั้งสองนี้มิอาจปรองดองกันได้เลยพะย่ะคะ” “หม่อมฉันยินดีถวายรับใช้พระองค์ทุกอย่าง
มอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง แต่ขอยกเว้นปรองดองกับอำมาตย์ผู้นี้เถอะ พะย่ะคะ” เมื่อใครต่อใครห้ามปรามแล้วอำมาตย์ทั้งสองก็ยังไม่ฟัง เขาไม่สามารถปรองดองกันได้นับวัน

ความขัดแย้งก็รุนแรงขึ้นทุกทีจนคนรอบข้างรู้สึกเบื่อหน่ายและเอือมระอา
 “เจ้าออกไปให้พ้นทางเดินของข้าเดียวนี้ เห็นหน้าเจ้าแล้ว ข้าอยากจะอ้วกออกมา” “ชิชะ แผ่นดินนี้เป็นของเจ้าหรือไง ถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งใครต่อใครให้ถอยไปได้ หน้าเจ้า ข้าก็ไม่อยากจะมอง

เหมือนกัน เห็นแล้วมันเหม็นเขียว” อยู่มาวันหนึ่งในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธุ์สัตว์
  ที่ควรแนะนำให้ตรัสรู้ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปติมรรคของเขาทั้งสอง ทรงคิดช่วยปลดทุกข์ให้คนทั้งสองปรองดองกัน วันรุ่งขึ้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จสู่กรุงสาวัตถี

เพื่อบิณฑบาตเพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงประทับยืนที่ประตูเรือนของอำมาตย์คนหนึ่ง
  อำมาตย์ผู้นั้นออกมารับบาตรแล้วนิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปภายในเรือน ปูอาสนะให้ประทับนั่ง เมื่อพระศาสดาทรงประทับนั่งแล้ว ทรงตรัสอานิสงค์ของการเจริญเมตตาแก่อำมาตย์ผู้นั้น

ทรงทราบว่ามีจิตอ่อนแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัตย์ เมื่อจบอริยสัตย์ อำมาตย์นี้ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล


 พระศาสดาทรงทราบว่าเขาบรรลุโสดาแล้ว ให้เขาถือบาตรทรงพาไปยังประตูเรือนของอำมาตย์อีกผู้หนึ่ง องค์พระศาสดาพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้บรรลุโสดายืนอยู่หน้าประตูเรือนของอำมาตย์

อีกคนหนึ่ง เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นออกมาก็ถวายบังคมพระศาสดา ทูลเสด็จเข้าไปยังเรือน
 องค์พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังที่รับรอง โดยมีอำมาตย์ที่ตามเสด็จ ถือบาตรตามเสด็จด้วย พระศาสดาตรัสพรรณนาอานิสงส์เมตตา 11 ประการ ทรงทราบว่าอำมาตย์คนที่สองนั้น มีจิตสมควรแล้ว

จึงทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบแล้วอำมาตย์นั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล อำมาตย์ทั้งสองบรรลุดาบันแล้ว ก็แสดงโทษขอขมากันและกัน


  มีความสมัครสมานบันเทิงใจ มีอัธยาศัยร่วมกันด้วยประการฉะนี้ วันนั้นเองเขาทั้งสองบริโภคร่วมกัน เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาเย็นภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากัน

ถึงคาถาแสดงคุณของพระศาสดาในธรรมสภาว่า พระศาสดาทรงฝึกคนที่ฝึกไม่ได้พระตถาคตทรงฝึกอำมาตย์ทั้งสองซึ่งวิวาทกันมาช้านาน พระราชาและญาติมิตรเป็นต้นก็ไม่สามารถ

จะทำให้สามัคคีกันได้
 แต่พระองค์ทรงกระทำได้เพียงในวันเดียวเท่านั้น เมื่อองค์พระศาสดาทรงทราบเรื่องที่เหล่าภิกษุถกธรรมกันก็ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ทำให้ชนทั้งสองเหล่านี้สามัคคีกัน

มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเราก็ทำชนเหล่านี้ให้สามัคคีกัน” ลำดับต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสว่า


  ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ครอบครัวหนึ่งในตระกลูพราหมณ์แคว้นกาสิกรัฐได้ให้กำเนิดบุตรชาย แม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเพียงไร

บัณฑิตผู้นี้ก็ไม่สามารถหาความสุขที่ตนต้องการได้ จึงละจากกามทั้งหลายออกบวชเป็นฤาษี สร้างอาศรมบทอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา


ใกล้หิมวันตประเทศ ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดในที่นั้น แล้วเล่นฌานสำเร็จกาลอยู่ในที่นั้น ฤาษีผู้นี้เป็นผู้มีตนเป็นกลางอย่างยิ่ง ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีอย่างยิ่งยวด

ณ สถานที่แห่งนั้นได้มีลิงซุกซนตัวหนึ่งมักจะมาก่อกวนฤาษีตนนี้อยู่เสมอ แต่ด้วยความตั้งมั่นในสมาธิ
 ลิงตนนี้ก็ไม่สามารถทำให้ฤาษีผู้ทรงศีลนี้รำคาญใจได้แม้แต่ครั้งเดียว “ทำอะไรอยู่เอ่ย นั่งหลับตาทำไม มาเล่นกันหน่อยน๊า เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ ลืมตามาเร็วสิเจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ ทำไม่เราไม่สามารถ

ก่อกวนฤาษีนี้ได้เลยน่ะ” เมื่อก่อกวนตอนนั่งสมาธิไม่ได้ผล ลิงน้อยจึงรอจังหวะที่ฤาษีผู้ทรงศีลนี้บริโภคผลไม้ มันคิดแย่งผลไม้กินจากฤาษีไปกิน


 เพื่อที่จะยั่วฤาษีนี้โมโหมันให้ได้ (อืม ต้องใช้แผนนี้ซักหน่อย เอาเถอะร้อยทั้งร้อย ถ้าโดนแย่งของกินไป ยังไงก็ต้องโกรธแน่ๆ) “ผลไม้นี้ขอเอาไปกินก่อนนะครับ เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ

เป็นไงๆ เริ่มโกรธบ้างหรือยัง ฮ่าๆๆ ” เมื่อแย่งผลไม้มาได้เจ้าลิงน้อยก็เต้นไปเต้นมา ชูผลไม้นั้นแถมกัดกินยั่วให้ฤาษีโมโหแต่ก็ไม่สำเร็จตามแผนที่วางไว้
 ฤาษียังคงนิ่งอยู่ในสมาธิ ไม่มีทาทีตองสนองลิงซุกซนนี้เลย ลิงน้อยเมื่อใช้แผนสุดท้ายแล้ว มันก็ไม่สามารถยั่วให้ฤาษีโมโหได้  มันจึงเลิกแผนรบกวนฤาษี แล้วหันมาก่อกวนเต่าตัวหนึ่ง

ในแม่น้ำที่อยู่ใกล้ต้นไม้ที่มันอาศัยนั่นเอง “เปลี่ยนมาแกล้งเจ้าเต่าตัวนี้แทนก็ได้ ฮืม หมั่นไส้มันนัก ได้แต่ว่ายน้ำ

ทำปากผะงาบๆ เชอะ หมั่นไส้จริงๆ นับตั้งแต่ครั้งนั้นเจ้าเต่ากับลิงซุกซนนี้ก็ทะเลาะกันเป็นประจำ พวกมันมักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งกันอยู่เสมอ “เจ้าเต่าเชื่องช้า เจ้าเต่าโบราณ

เจ้าเต่าหัวหด ฮ่าๆๆ แน่จริงก็ขึ้นมาสิ” “ชิชะ เจ้าลิงไม่รู้กาละเทสะ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ยั่วโมโหอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ เล้ย”
 ฤาษีเห็นเหตุการณ์ละรับรู้ถึงการทะเลาะวิวาทกันของสัตว์ทั้งสองนี้มาโดยตลอด แต่ก็มิได้ว่ากล่าวอะไร เนื่องด้วยเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาอันควรที่จะเข้าไปสั่งสอน

“เฮ้อ เจ้าสัตว์ทั้งสอง ทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวัน สักวันหนึ่งเถอะเราจะทำให้เจ้าทั้งสองสามัคคีกันให้ได้” อยู่มาวันหนึ่งเต่าคู่อริของเจ้าลิงขึ้นมาจากสระน้ำ


นอนผึ่งแดดอ้าปากอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เจ้าลิงซุกซนผ่านมาทางนั้นพอดี พอเห็นเข้าก็ดีใจ รีบคิดแผนกลั่นแกล้งเจ้าเต่านั้นทันที คิดได้ดังนั้นเจ้าลิงร้ายก็แอบย่องเข้าไปใกล้เต่าตัวนั้น

แล้วสอดองคชาตของมันเข้าไปในปากของเต่า “เจ้าเต่าเอ๋ย หลับอยู่ใช่มั๊ย นี่แน่ะๆๆ ถ้าเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเราเอาองคชาตสอดเข้าไปในปากเจ้า เจ้าจะต้องโกรธแน่ๆ ฮ่าๆๆ”

และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทันทีที่เจ้าลิงสอดองคชาตของมันเข้าไป เจ้าเต่าก็ตื่นขึ้นมาทันที และฮับองคชาตของลิงนั้นไว้ เหมือนกับใส่ไว้ในสมุคฉะนั้น เวทนาอย่างแรงเกิดขึ้น

แก่ลิงนั้น มันไม่สามารถจะอดกกลั่นเวทนา ร้องเจ็บปวดครวญครางเสียงดังลั่น “ช่วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยเราด้วยใช่สิน่ะ ฤาษีตนนั้นต้องช่วยเราได้แน่ เจ้าเต่าร้ายนี่ โอ๊ะๆ โอ๊ย โอ๊ยเจ็บๆ

ต้องรีบไปให้ฤาษีช่วยแล้ว โอ๊ย โอ๊ยเจ็บๆ เจ็บจังเลย”

  เจ้าลิงทุศีลเมื่อได้รับความเจ็บปวด มันจึงได้คิดว่า ใครกันหนอจะปลดเปลื้องมันจากทุกข์นี้ได้ แล้วมันก็คิดได้ว่าคนที่จะสามารถปลดเปลื้องมันจากทุกข์นี้ได้ย่อมไม่มีใคร นอกจากพระดาบสเท่านั้น

มันจึงเอามือทั้งสองอุ้มเต่าไปหาฤาษีผู้ทรงศีล เจ้าลิงซุกซนเมื่อเข้าตาจนได้รับความลำบาก ก็สำนึกได้ในความผิดที่เคยทำไว้กับพระดาบส มันอ้อนวอนให้ฤาษีช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนั้น
ฤาษีเมื่อเห็นว่าเจ้าลิงสำนึกผิดแล้ว จึงคิดช่วยให้พ้นทุกข์แล้วยังเมตตาให้สัตว์ทั้งสองตัวเลิกทะเลาะกัน “ธรรมดาเต่าทั้งหลายเป็นกัสสปโคตร ส่วนลิงทั้งหลายเป็นโกณฑัญญโคตร ก็กัสสปโคตรและ

โกณฑัญญโคตรต่างมีความสัมพันธ์กัน โดยอาวาหะและวิวาหะ คือนำเจ้าสาวมาบ้านเจ้าบ่าวและนำเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาวลิงตนนี้กันท่าน หรือท่านกับหรือท่านกับลิงทุศีลตัวนี้ คงจะได้กระทำเมถุนธรรม

นั่นก็คือกรรมของผู้ทุศีลอันสมควรแก่เมถุนธรรม คือเหมือนกับที่โคตรของท่านทำมาแล้วเป็นแน่ เพราะฉะนั้น ดูก่อนเต่าผู้เป็นกัสสปโคตร ท่านจงปล่อยลิงผู้เป็นโกณฑัญญโคตรเสียเถิด” เต่าได้ฟังคำ

ของพระโพธิสัตว์ มีความเลื่อมใสในเหตุผล จึงปล่อยองคชาติของลิง ฝ่ายลิงพอหลุดพ้นเท่านั้น ได้ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วหนีไป ทั่งไม่กลับมามองดูสถานที่นั้นอีก ฝ่ายเต่าไหว้พระโพธิสัตว์แล้วก็

ได้ไปยังที่อยู่ของตนทันที แม้ดาบสก็มิได้เสื่อมจากฌาน ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศอริยสัจสี่ แล้วทรงประชุมชาดก

เต่าและลิงในครั้งนั้น ได้เป็นอำมาตย์ 2 คนในบัดนี้

ส่วนดาบสในครั้งนั้น เสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-กัจฉปชาดก.html
53  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / สาลิเกทารชาดก-ชาดกว่าด้วยนกแขกเต้าเลี้ยงพ่อแม่ เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 06:44:46 pm
สาลิเกทารชาดก-ชาดกว่าด้วยนกแขกเต้าเลี้ยงพ่อแม่

 ครั้งหนึ่งพระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงโยมหญิง โดยทรงตรัสว่า ในกาลนั้นทรงได้ทราบข่าวว่าภิกษุรูปหนึ่งเลี้ยงโยมหญิง จึงทรงตรัส
ให้หาภิกษุรูปนั้น แล้วตรัสถามซึ่งมูลเหตุนั้น “ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่าเธอเลี้ยงคฤหัสถ์จริงหรือ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นความจริงพระเจ้าค่ะ ” “คฤหัสถ์เหล่านั้นเป็นอะไรของเธอ” “ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ เป็นโยมหญิงโยมชายของข้าพระองค์ พระเจ้าค่ะ”
  “ดีจริง ภิกษุ ถึงเหล่าบัณฑิตแต่ก่อน กำเนิดเกิดมาในสกุลสัตว์เดรัจฉาน ก็ยังให้พ่อแม่ผู้แก่แล้ว นอนในรัง หาอาหารมาด้วยจะงอยปากเลี้ยงดูได้” ครั้นแล้วสมเด็จพระบรมศาสดา จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้  ในอดีตกาลครั้งพระเจ้ามคธราช ครองราชย์สมบัติในพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากพระนคร มีบ้านพวกพราหมณ์ชื่อ สาลินทิยะ
และทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านนั้นเป็นไร่ของชาวมคธ
   ซึ่งพราหมณ์โกสิยะโคตร ชาวสาลินทิยะ ได้จับจองที่ดินเป็นบริเวณกว้างใหญ่เอาไว้ เพื่อทำไร่ข้าวสาลี โดยแบ่งเนื้อที่ในไร่นั้นให้ลูกจ้างและบริวารของตนดูแลจนครบทุกพื้นที่ “รู้สึกว่าปีนี้
ข้าวสาลีในไร่งามดีกว่าทุกปีนะ เจ้าเห็นเช่นเดียวกับเราหรือไม่” “จริงขอรับนายท่าน ปีนี้ข้าวสาลีในไร่งามดีเหลือเกิน เฉพาะส่วนที่ข้าดูแลอยู่ก็เห็นจะเก็บเกี่ยวได้หลายร้อยเล่มเกวียนอยู่” “อืม ดีๆๆ”
ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นลูกของพญานกแขกเต้า
 ผู้เป็นหัวหน้าฝูงนกแขกเต้าทั้งมวล ซึ่งอาศัยอยู่ ณ ป่างิ้วใหญ่บนยอดภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไร่นั้นเอง ครั้นเนินนานไป เมื่อลูกพญานกแขกเต้าเติบโตขึ้น ก็กลายเป็น
นกแขกเต้าหนุ่ม ซึ่งมีรูปกายงดงาม มีร่างกายใหญ่โตขนาดดุมเกวียนและมีความสมบูรณ์ด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่ง ในขณะที่พญานกแขกเต้าผู้เป็นพ่อและแม่นั้นก็แก่ชราลงตามกาลเวลา
ด้วยเหตุนี้พญานกผู้ชรา จึงแต่งตั้งนกแขกเต้าหนุ่มผู้เป็นลูกให้เป็นพญานก ปกครองฝูงนกแขกเต้าสืบต่อจากตน
“ลูกเอ๋ย บัดนี้พ่อแก่ชราเกินกว่าจะบินไปไกลๆ เพื่อคุ้มครองดูแลฝูงนกลูกหลานของเราได้แล้ว เจ้าจงปกครองฝูงนกนี้ต่อจากพ่อเถิดนะ” “ลูกขอน้อมรับเอาภาระของพ่อ มาปฏิบัติสืบทอดต่อ
ตามคำสั่งของพ่อจ๊ะ” “ดีแล้วลูกรักของพ่อ เอาล่ะพวกลูกหลานนกทั้งหลายจงมาชุมนุมกันตรงนี้ แล้วก็ฟังเราให้ดี” “จ้า พวกเรามาแล้วจ๊ะ ท่านพญานก ท่านมีอะไรจะบอกพวกเราหรือจ๊ะ”
“ดีแล้วๆ บัดนี้เราใคร่อยากจะให้ลูกชายของเราเป็นพญานก ปกครองฝูงนกทั้งหมดแทนเรา ซึ่งแก่ชรามากแล้ว พวกเจ้ามีใครเห็นคัดค้านก็จงแย้งมาเถิด”
 “พ่อพญานกจ๋า แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราก็เคารพท่านและรักใคร่นับถือความมีคุณของบุตรชายท่านมาตลอดอยู่แล้ว พวกเรายินดีที่จะให้บุตรชายของท่านมาเป็นหัวหน้าเราสืบทอด
ต่อจากท่านอยู่แล้วจ๊ะ” “เราขอขอบใจพวกท่านที่เชื่อมั่นในตัวเรา จงวางใจเถิดเราจะปกครองดูแลฝูงให้ได้รับความยุติธรรมและอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้ากันแน่นอน” เนื่องจากเห็นว่า
พญานกผู้เป็นพ่อและแม่นั้นแก่ชรามากแล้ว พญานกแขกเต้าหนุ่มจึงขอร้องให้พ่อและแม่อยู่แต่บนยอดเขา
  อันเป็นถิ่นที่พำนักในขณะที่ตนได้พาฝูงนกแขกเต้าบินไปหากินที่ป่าหิมพานต์เป็นประจำทุกวัน และหลังจากจิกกินข้าวสาลีที่เกิดเองตามธรรมชาติจนอิ่มแล้ว เมื่อถึงเวลาจะกลับรัง
พญานกแขกเต้าหนุ่มก็จะคาบรวงข้าวสาลีกลับมาที่รังเพื่อเลี้ยงดูพญานกผู้เป็นพ่อกับแม่รวมทั้งลูกเล็กๆ ของตนทั้งยังเผื่อแผ่ไปถึงบรรดานกตัวอื่นๆ ที่ไม่สามารถบินไปหาอาหารได้
ให้ได้กินอาหารจนอิ่มหนำเสมอมิได้ขาด “พ่อจ๋าแม่จ๋า วันนี้ลูกกลับมาแล้วจ๊ะ วันนี้ลูกได้รวงข้าวสาลีเม็ดโตๆ งามๆ มาฝากพ่อแม่กับพี่น้องเราตัวอื่นๆ เยอะเลยจ๊ะ”
 “ขอบใจจ๊ะลูกรัก เจ้าเหนื่อยไหมลูกที่ต้องคาบอาหารบินมาเป็นระยะทางไกลๆ แบบนี้” “ลูกไม่เหนื่อยเลยจ๊ะแม่จ๋า ขอให้พ่อกับแม่กินให้อิ่มเถิด อย่าได้วิตกกังกังวลเพราะเป็นห่วงลูกเลย”
“บุญรักษาเจ้าเถอะลูกรัก เจ้าช่างกตัญญูจริงๆ” อยู่มาวันหนึ่งเหล่านกแขกเต้าได้ยินข่าวที่แน่ชัดว่า ในช่วงฤดูกาลนี้ ผู้คนชาวแคว้นมคธจะหว่านข้าวสาลีลงในไร่ ดังนั้นเช้าวันต่อมา
พญานกแขกเต้าหนุ่ม จึงนำพาฝูงนกบริวารทั้งหมดบินไปยังทิศทางนั้น
 แล้วร่อนลงยังแปลงข้าวสาลีที่เหลืองอร่ามแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแปลงที่ลูกจ้างของพราหมณ์โกสิยะโคตร ชาวสาลินทิยะแห่งแคว้นมคธเป็นผู้ดูแลอยู่นั่นเอง “เอาล่ะ เห็นจะเป็นที่แห่งนี้กระมัง
เหล่าพี่น้องข้า จงร่อนลงจิกกินเมล็ดข้าวสาลีในแปลงนาอันอุดมนี้เถิด” “เอ้า พวกเรา ท่านพญานกเห็นชอบที่ตรงนี้แล้ว พวกเราลุยเลย” ภาพนกแขกเต้าฝูงใหญ่ที่ลงกลุ้มรุมจิกกินข้าวสาลี
ทำให้ลูกจ้างของโกสิยะโคตรบังเกิดความตกใจเป็นอันมาก
 “เฮ้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย นกแขกเต้าพวกนี้มาจากไหนกัน เฮ้ย นี่มันข้าวสาลีของข้านะเว้ย ไป ชิวๆ ไป๊” แต่ไม่ว่าลูกจ้างของพราหมณ์โกสิยะโคตรวิ่งวนเวียนขับไล่ฝูงนกอย่างไร ก็มิอาจห้ามฝูงนก
ที่กำลังหิวโหยได้ ในที่สุดหลังจากเหล่านกแขกเต้าจิกกินเมล็ดข้าวสาลีจนอิ่มแล้วจึงเข้ามารวมฝูงกัน และบินตามหลังพญานกแขกเต้าผู้เป็นหัวหน้าซึ่งคาบรวงข้าวสาลีที่มีเมล็ดโตสวย กลับไปยังรัง
บนยอดเขาดังเช่นเคย
 “โธ่หมดกัน คราวนี้ต้องแย่แน่ๆ แต่เอ๊ะ เจ้านกตัวนั้นช่างงามจริง ตัวก็โตกว่านกตัวอื่น ท่วงท่าก็ดูสง่า แต่ทำไม่จึงคาบเอารวงข้าวกลับรังไปด้วยนะ แปลกจริงๆ” ด้วยความร้อนใจ
เพราะเกรงว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทุ่งข้าวสาลีที่เหลืองอร่ามเหล่านี้จะต้องถูกฝูงนกแขกเต้าจิกกินจนเสียหายหนัก แล้วตนก็จะต้องเดือดร้อนในภายหลัง เพราะถูกพราหมณ์
ผู้เป็นนายจ้างตำหนิและปรับค่าเสียหาย ลูกจ้างจึงนำความไปบอกแกพราหมณ์โกสิยะโคตรทันที
  “แย่แล้วนายท่าน คราวนี้เห็นจะแย่แน่ๆ ” “เอ๊ะ ลูกจ้างที่ดูแลไร่ข้าวสาลีของเราอยู่นี่น่า เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงวิ่งหน้าตาตื่น” “นายท่านขอรับ วันนี้มีนกแขกเต้าฝูงใหญ่ บินมารุมกินข้าวสาลีในนา
ที่ข้าดูแลอยู่จนเสียหาย ข้าเกรงว่าถ้านกฝูงนี้ยังมาอีกเรื่อยๆ เห็นทีข้าวสาลีแปลงนี้ คงไม่ได้เก็บเกี่ยวกันเป็นแน่” “เอ้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นว่ามีฝูงนกแขกเต้าอาศัยอยู่ในที่เพาะปลูกแถวนี้เลย
เจ้าพอจะรู้ไหมว่า มันบินมาจากที่ไหนกัน”
 “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับนายท่าน แต่เห็นว่า นกฝูงนี้บ่ายหน้ากลับไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นดงไม้งิ้วโน่น อ้อ ข้ายังเห็นว่า มีนกตัวหนึ่ง รูปร่างใหญ่โตสวยงาม เหมือนจะเป็นหัวหน้าฝูงนะ
แล้วตอนบินกลับไป นกตัวนั้นยังคาบเอารวงข้าวสาลีรวงงามๆ ไปด้วย” “เอ๊ะ มีเรื่องอย่างนี้ด้วยรึ เราชักอยากจะเห็นเจ้านกตัวนี้เสียแล้ว เอาล่ะ พรุ่งนี้เจ้าจงเอาแร้วไปดักนกตัวที่เจ้าว่านี้ แล้วนำมาที่เรือน
ของข้าทั้งที่ยังเป็นๆ เถิด” “ขอรับนายท่าน”
 ชายผู้เป็นลูกจ้างเฝ้าไร่ รีบกลับบ้าน แล้วทำบ่วงดักนกที่มั่นคงแข็งแรงขึ้นมาอันหนึ่ง เมื่อคะเนจนถ้วนถี่ และกำหนดตำแหน่งที่พญานกจะร่อนลงจิกกินเมล็ดข้าวแล้ว ลูกจ้างของพราหมณ์จึงนำแร้ว
ไปปักไว้ทันที “เอาหละ ตรงนี้ข้าวงามดีกว่าที่อื่นๆ เจ้านกใหญ่น่าจะร่อนลงตรงนี้แน่ๆ” วันต่อมาพญานกแขกเต้าหนุ่มก็ลาพ่อแม่พาฝูงนกบริวารออกบินมายังทุ่งข้าวสาลีของพราหมณ์เช่นเคย
และด้วยนิสัยอันไม่โลเลทำให้พญานกหนุ่มบินร่อนลงยังจุดเดิมที่ตนเคยจิกกินเมล็ดข้าวเมื่อวานนี้
 โดยไม่รู้ว่าที่แห่งนั้นมีบ่วงแร้วปักซ่อนเอาไว้ และไม่รู้ว่าขณะนั้นตนและฝูงถูกลูกจ้างของพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าของนาแอบซุ่มดูอยู่ ดังนั้นขณะที่พญานกร่อนลงบนแปลงนาพร้อมๆ กับนกตัวอื่นๆ
นั้นเอง เท้าของพญานกก็สอดเข้ากับบ่วงแร้วพอดี โดยไม่มีนกตัวอื่นรู้เห็นด้วยเลย “โอ๊ะ นี่มันบ่วงแร้วนี่น่า โธ่..เราติดบ่วงแร้วเข้าเสียแล้วหรือนี่” พญานกแขกเต้ารีบตั้งสติให้มั่นคง พร้อมกับ
ครุ่นคิดอยู่ในใจถึงวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด
 “เอ้ ถ้าเราร้องเอะอะขึ้นในเวลานี้ พี่น้องบริวารของเราจะต้องลนลานด้วยความตกใจ จนไม่เป็นอันหากินแน่ อย่ากระนั้นเลย เราจะสู้นิ่งเฉยเสียก่อน จนกว่าเหล่าพี่น้องเราจะกินอิ่ม
เห็นจะเหมาะที่สุด” ครั้นสมควรแก่เวลาและคะเนว่าฝูงนกแขกเต้าทั้งหมดได้กินข้าวสาลีจนอิ่มหนำสำราญทุกตัวแล้ว นกแขกเต้าพระโพธิสัตว์ จึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้รู้ถึง
สัญญาณอันตราย “พี่น้องเอ๋ย บัดนี้ตัวข้าพญานกแขกเต้าได้ติดบ่วงนายพรานเสียแล้ว พวกเจ้าจงเร่งบินกลับรังโดยเร็วเถิด ” “แย่แล้วๆ ท่านพญานกติดบ่วงแร้ว”
  “ว้าย จริงหรือจ๊ะพี่ แล้วลูกเราล่ะ ลูกเราอยู่ไหนเนี่ย ลูกแม่ๆ หนีเร็วลูก หนีเร็วๆ” “โธ่ ท่านพญานก พวกข้าอยากช่วยท่านเหลือเกิน” “พวกเจ้าไม่ต้องห่วงเราหรอก นี่คงจะเป็นบาปกรรมของเรา
แต่ปางก่อนแน่แท้ รีบกลับไปที่รังเถิด เราฝากท่านดูแลบิดามารดาของเราด้วยนะ” “ท่านพญานก นายพรานกำลังมาโน่นแล้ว ข้ารับปากท่าน” ลูกจ้างผู้เฝ้าไร่เมื่อได้ยินเสียงนกร้องเอะอะ
ก็ออกมาจากที่ซุ่มดูแล้วก็พบว่านกแขกเต้าทุกตัวได้บินหนีไปเสียหมดแล้ว
ยังเหลือก็แต่พญานกแขกเต้าที่ตนต้องการตัว เขาจึงรีบมายังบ่วงแร้วนั้นด้วยความดีใจ “เอาล่ะได้ตัวแล้ว รีบเอาไปให้นายท่านดีกว่า” ฝ่ายพราหมณ์โกสิยะโคตร ครั้นได้เห็น
พญานกแขกเต้าผู้สง่างาม ก็ให้เกิดความเมตตารักใคร่ขึ้นมาในทันที่ จึงได้อุ้มประคองนกแขกเต้าให้นั่งบนตักด้วยอาการทะนุถนอม แล้วเอ่ยถามว่า “พ่อนกแขกเต้าเอ๋ย
ท้องของเจ้า เห็นจะใหญ่กว่าท้องของนกเหล่าอื่นเป็นแน่ เจ้ากินข้าวสาลีตามต้องการแล้วยังคาบไปด้วยจะงอยปากอีก
 ดูก่อนนกแขกเต้า เจ้าจะบรรจุฉางในป่าไม้งิ้วนั้นให้เต็มหรือ หรือว่าเจ้ากับเรามีเวรกันมาสหายเอ๋ย เราถามเจ้าแล้ว ขอเจ้าจงบอกแก่เราเถิด เจ้าฝังข้าวสาลีไว้ที่ไหน”
ฝ่ายพญานกแขกเต้ามหาโพธิสัตว์เมื่อได้ฟังพราหมณ์ถามด้วยน้ำเสียงปราณีเช่นนั้น จึงผ่อนคลายความกังวลลง ก่อนจะกล่าวตอบด้วยภาษามนุษย์อันไพเราะว่า “ท่านพราหมณ์เอ๋ย
ข้าพเจ้ากับท่านไม่ได้มีเวรกันฉางของข้าพเจ้าก็ไม่มี ข้าพเจ้านำเอาข้าวสาลีของท่านไปถึงยอดงิ้วแล้วก็เปลื้องหนี้เก่า ให้เขากู้หนี้ใหม่ แล้วฝังขุมทรัพย์ไว้ที่ป่างิ้วนั้น
 ข้าแต่ท่านโกสิยะขอท่านจงทราบอย่างนี้เถิด” “พ่อนกแขกเต้าผู้เรืองปัญญาท่านกล่าวเช่นนี้ เรายิ่งบังเกิดความสงสัยนักการให้กู้หนี้ของท่านเป็นเช่นไร การเปลื้องหนี้
ของท่านเป็นเช่นไร ขอท่านจงอธิบายวิธีฝังขุมทรัพย์ของท่านแกเราเถิด แล้วเราจักปลดปล่อยท่านให้หลุดพ้นจากบ่วงในครั้งนี้” ครั้นแล้วพญานกแขกเต้ามหาโพธิสัตว์ จึงได้
อรรถาธิบายถึงความหมายแห่งธรรมบทนั้นดังนี้ “ข้าแต่ท่านโกสิยะ บุตรน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้ายังอ่อน ขนปีกยังไม่ขึ้น บุตรเหล่านั้นข้าพเจ้าเลี้ยงมาแล้ว
เขาจักเลี้ยงข้าพเจ้าบ้าง
 เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อว่า ให้บุตรเหล่านั้นกู้หนี้มารดาและบิดาของข้าพเจ้าแก่เฒ่าล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว ข้าพเจ้าคาบเอาข้าวสาลีไปด้วยจะงอยปากเพื่อท่านเหล่านั้น
ชื่อว่าเปลื้องหนี้ที่ท่านทำไว้ก่อน อนึ่งนกเหล่าอื่นที่ป่าไม้งิ้วนั้นมีขนปีกอันหลุดหมดแล้ว เป็นนกทุพพลภาพ ข้าพเจ้าต้องการบุญจึงได้ให้ข้าวสาลีแก่นกเหล่านั้น บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวการทำบุญนั้นว่าเป็นขุมทรัพย์ การให้กู้หนี้ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ การเปลื้องหนี้ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าบอกการฝังขุมทรัพย์ไว้เช่นนี้
 ข้าแต่ท่านโกสิยะ ขอท่านจงทราบอย่างนี้เถิด” พราหมณ์ได้ฟังคำของท่านพญานกแขกเต้าก็พลันบังเกิดความปีติยินดียิ่ง ถึงกับรำพึงขึ้นด้วยความเลื่อมใสศรัทธาว่า
“นกตัวนี้ดีจริงหนอเป็นนกมีธรรมชั้นเยี่ยม ในมนุษย์บางพวกยังไม่มีธรรมเช่นนี้เลย” ครั้นแล้วโกสิยะพราหมณ์จึงแก้เชือกที่มัดเท้าของพญานกแขกเต้าออก ทาเท้าทั้งคู่
ด้วยน้ำมันที่หุงแล้วร้อยครั้ง ให้เกาะที่ตั่งอันงดงาม แล้วให้บริโภคข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งด้วยจานทอง ให้ดื่มน้ำเจือน้ำตาลกรวด แล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นการ
ขอขมา ดูแลปรนนิบัติอย่างดี ก่อนจะขอร้องพญานกแขกเต้าว่า
“ข้าแต่พญานกผู้ยิ่งด้วยบารมี ต่อนี้ไปเราขอให้ท่านพร้อมด้วยญาติทั้งมวล จงกินข้าวสาลีตามความต้องการเถิด แล้วเราเองก็ใคร่สนทนาและสดับธรรมจากท่านอีก ขอท่าน
โปรดจงมาเยือนเรือนของเราเป็นเนืองนิดเถิด” “ข้าแต่ท่านโกสิยะ ข้าพเจ้าได้กินและดื่มแล้วในที่อยู่ของท่าน ท่านเป็นที่พึงพำนักของพวกเราทุกวันคืน ขอท่านจงให้ทานแก่เหล่า
สัตบุรุษ แล้วจงเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าของท่านให้ดีเถิด” “โอ้ วันนี้สง่าราศีเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าแล้ว ช่างเป็นบุญเหลือเกินที่ได้เห็นท่านผู้เป็นยอดแห่งฝูงนกข้าพเจ้าจะจดจำ
และปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความยินดียิ่งและต่อจากนี้ไป ข้าพเจ้าจะหมั่นสร้างบุญกุศลเอาไว้มิให้ขาดเลย บัดนี้ข้าพเจ้าขอขมาต่อท่าน และขอเชิญท่านนำรวงข้าวสาลี
นี้กลับไปสู่รังอันอบอุ่นของท่านเถิด”
   
     ครั้นแล้วพญานกแขกเต้าจึงคาบรวงข้าวที่โกสิยะพราหมณ์มอบให้เอาไว้ แล้วบินกลับสู่ป่าไม้งิ้วบนยอดเขา อันเป็นที่พำนักท่ามกลางความปีติยินดี ของพญานกและนางนก

ผู้เป็นบิดามารดาตลอดจนเหล่านกแขกเต้าทั้งมวลผู้เป็นบริวาร สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อทรงกล่าวเทศนาสาทกถึงเรื่องราวของพญานกแขกเต้าดังนี้แล้ว พระภิกษุผู้เลี้ยงดูบิดา
มารดานั้น ก็บรรลุโสดาปัตติผลครั้นแล้วสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสประชุมชาดกว่า
ฝูงนกแขกเต้าในครั้งนั้น  ได้มาเป็น พุทธบริษัท

มารดาบิดา ได้มาเป็น มหาราชสกุล

คนเฝ้าไร่ ได้มาเป็น ฉันนะ

พราหมณ์ ได้มาเป็น อานนท์

พญานกแขกเต้า ได้มาเป็น เราตถาคตแล

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-สาลิเกทารชาดก.html
54  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / สีลวนาคชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ดื้อรั้นว่ายาก เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 06:29:56 pm

สีลวนาคชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ดื้อรั้นว่ายาก


  คราวหนึ่งในฤดูพรรษาเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยังพระเชตวัน ครั้งนั้นทรงปรารภกับภิกษุผู้ว่ายากดื้อดึงเอาแต่ใจตนรูปหนึ่ง ซึ่งมักมีเหตุให้ทรง

ต้องยกข้อธรรมมาอรรถาธิบายให้ปัญญาแก่สงฆ์สาวกอยู่เสมอ ความประพฤติต่างๆ ของหมู่สงฆ์เป็นที่มาของพระวินัยอันกำเนิดแต่พุทธกาลครั้งนั้น

ในพรรษาดังกล่าวครั้งนี้
ก็มีเหตุจากความดื้อความว่ายากสอนยากจากภิกษุในพระเชตวันเช่นเดิม “ท่านนี่ ว่ายากเหลือเกิน ตำรานอกพระสูตเช่นนั้นน่ะ ไม่ควรศึกษาเลย” “เราจะศึกษา
 ตำราใด มันก็เป็นเรื่องของเรา ท่านอย่ามายุ่งเลย อย่างท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร” “ภิกษุหนุ่มเอ๋ย เจ้าช่างดื้อรั้นเหลือเกิน
 แม้แต่ภิกษุที่อาวุโสกว่าเจ้า ให้คำแนะนำเจ้ายังไม่เชื่อฟัง” “ภิกษุรูปนี้ทำตัวเหลวไหลจริงๆ ไม่ว่าใคร
จะพร่ำสอยยังไงก็ไม่สนใจ เฮ้อเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ บัวใต้โคลนตมแท้ๆ” “เอาเถิดปล่อยเขาไปเถิด เมื่อเขามีความโมหะความหลง ท่านก็อย่ามีโทสะความโกรธ
ตามเคย” เรื่องภิกษุดื้อรั้นว่ายากนี้ เมื่อหมู่สงฆ์ยกขึ้นเป็นข้อปุจฉาในธรรมสภาคราวหนึ่ง “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุรูปนี้ช่างดื้อรั้นเหลือเกิน ไม่ว่าใครจะตักเตือน
ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ ไม่ใช่บัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุเธอเป็นผู้ว่ายาก แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้ว่ายากเช่นกัน” และด้วยความเป็นผู้ว่ายาก ไม่กระทำตามโอวาทแห่งบัณฑิต
 นั้นแหละจึงถูกหอกแทงถึงสิ้นชีวิต เพื่อจะสาทกยกข้อกรรมให้ภิกษุนั้นได้รำลึกเห็น พระองค์ทรงใช้ ปุพเพนิวาสนุสติญาณระลึกถึงอดีตชาติเล่าทุปตชาดกขึ้นในบัดนั้น
 ครั้งหนึ่งเมื่อแคว้นกาสีผลัดมหาราชพระองค์ใหม่ในต้นแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัต ครั้งนั้นเมืองพาราณสี
ยังอยู่ในกาลรื่นรมย์ “ข้าแต่มหาราช พวกกระหม่อมได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองการครองราชของพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ” “ดีแล้วหละ พวกท่านจงนำอาหาร

เครื่องดื่มออกมาให้ผู้คนทั้งหลายได้ดื่มกินกันเถิด ให้ผู้คนหยุดทำงานเลี้ยงฉลองกันให้เต็มที” การค้าวาณิชย์รุ่งเรือง ผู้คนจากสารทิศหลั่งไหลมาชื่นชมบารมีพระราชา

การละเล่นหลาหลายล้วนมีให้ชมกันตลอดวันตลอดคืน “ฮ่าๆๆ  มีความสุขจริงๆ” “นอกจากกรรณิกาอันดุจดอกไม้หลากสี
ที่อุชเชนีแล้ว อาหารแพรพรรณและการละเล่นที่นี่ก็ถูกใจข้าไม่แพ้กันเลย” “ดีจังเลยที่เราได้มาร่วมฉลอง ไปๆๆ ไปทางโน้นกันเถอะ คนมุงดูทางโน้นเยอะแยะเลย

สงสัยจะมีการแสดงดีๆ ให้ดู” มิใช่แต่ในกำแพงพระนครหลวงเท่านั้นที่มีการร้องรำเลี้ยงอาหารกันครึกครื้น ในชนบทนอกกำแพงก็สนุกสนานไม่ต่างกันเลย “โห้ อาหาร

น่ากินทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลยเรา เอาอันนี้ก่อนแล้วกัน เอ้ อันนั้นก็น่ากินนะนั่น”
  “ดูสิจ๊ะลูก ตรงโน้นมีการแสดงร่ายรำ น่าดูจริงๆ เราเข้าไปดูกันมั๊ย” “ไปสิแม่ แต่ขอไปกินขนมตรงนั้นก่อนได้มั๊ยครับ” แม้บุตรหญิงและกุมารีที่อยู่ในตระกูลสูง
 ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ชมเมือง ก็ยังสนุกสนานจากการดูและการฟังจากไกลๆไม่ได้ “พี่ดูนั่นสิจ๊ะ ชายคนนั้นกินทั้งอาหาร ดื่มทั้งสุรามูมมามไปหมด เมาแล้วก็ร่ายรำ
 ตามนางรำดูตลกจริงๆ” “ไหนๆ ตรงไหนกัน อ๋อ ตรงนั้นนะเหรอ ตลกดีนะ” “เฮ้ย ดูตรงโน้นสิมีนางรำด้วยหนะ สวยจริงๆ”
ในเวลานั้นมีนักแสดงผาดโผนสองคน เดินทางมายังนิคมชนบทแห่งนี้ คนหนึ่งสูงวัยเป็นอาจารย์ อีกคนเป็นศิษย์หนุ่มแน่น สุขุมและอ่อนน้อม “โอ้โห ที่เมือง

จัดงานแสดงกันอยู่ด้วยรึ ดีล่ะ ชนบทที่นี่และที่เราควรจะแสดงวิชาเหาะข้ามอาวุธกันศิษย์เอ๋ย” “ถ้างั้นเราไปหามุมแสดงดีๆ กันเลยไหมครับท่านอาจารย์” “อย่างเพิ่งๆ

พาราณสีไม่มีเวลาหลับนอน เราจะแสดงเมื่อใดก็ได้ เจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบไปเลย ตอนนี้เราไปหาที่นั่งดื่มกินกันดีกว่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก”
  ความครึกครื้น ของอาจารย์ มักมีสุราร่วมสนุกด้วยเสมอ ศิษย์หนุ่มรู้ความไม่ควรนั้น แต่สุดจะทัดทาน “เฮ้อ เมาอีกตามเคย จะแสดงผาดโผนได้อย่างไรกัน หากดื่มสุรา

จนมึนเมาไม่ได้สติ ยากจะห้ามปรามจริงๆ อาจารย์เรา” บุญหรือกรรมบันดาลก็สุดจะเดาที่เกิดมีนักเที่ยวนักดื่มที่นั่งร่ำสุราอยู่ก่อนจำทั้งศิษย์อาจารย์ได้ “เฮ้ย นั้นนักแสดง

เสี่ยงตายข้ามหงอก 4 เล่มมิใช่รึ นี่คงจะมาเปิดการแสดงที่บ้านเราน่ะซิ”
 “งั้นต้องไปทักให้แน่ใจซะแล้ว ได้ชนเหล้าสักแก้วก็คงดีไม่น้อย” นักแสดงกระโดดเหาะตัวอาจารย์นี้เป็นคนโอ้อวดและดื้อรั้นไม่เชื่อใคร เมื่อมีคนมาทักทายก็หลงปลื้ม

“สหายเอ๋ย เรื่องกระโดดข้ามหอกนี่นะ ในอนุทวีปนี้ ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก ข้าตระเวนแสดงไปทั่ว กี่ที่ๆ ก็มีแต่คนตื่นเต้นตกใจในฝีมือของข้า ว่ากันว่า มีแต่ข้านี่แหละ

ที่แสดงได้ดีหวาดเสียวกว่าใครๆ ฮ่า ฮ่าๆ” “ใช่ๆ เราก็เคยได้ยินเช่นนั้นเหมือนกัน ผู้คนต่างลือกันว่า ท่านนักแสดงกระโดดได้ไกลกว่าผู้ใด”
 “โอ้โห อย่างนั้นเลยเหรอ ท่านนักแสดงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจเพียงนี้เชียวรึ” “จริงๆ ข้าก็ได้ยินข่าวลือมาเช่นนั้นเหมือนกัน” “ฮะๆ ก็ถูกอย่างที่พวกท่านเคยได้ยิน

มานั่นแหละ ขนาดศิษย์ของข้าเองที่สอนมันมากับมือ แม้จะร่ายรำได้ทุกกระบวนท่า หรือแสดงอื่นได้เหมือนกับข้า แต่ที่ไม่อาจจะกระทำได้เหมือนกับข้าก็คือ

การกระโดดสูงและไกล
  ข้ามหอกแหลมคม อักปักเรียงกันไว้ได้ไกลเท่าข้าเลย พูดแล้วจะหาว่าคุย ฮ้าๆๆ”พอสุราเข้าลำคอ นักแสดงตัวเอกก็ร่ายร่ำคำโอ้อวดไม่หยุด “สหายเอ๋ย ว่าแล้ว

จะหาว่าคุยนะเนี่ย ข้าจะเล่าให้ฟัง ทุกสถานที่ ที่เราแสดงนั้น จะมีวิหารสูงดังชนบทบ้านนี้เหมือนกันแม้จะสูงเพียงใด ข้าก็จะขึ้นไปยืนสง่า อวดร่างสมส่วนแล้วก็ร่ายรำ

ให้ดูจนเพลินตา จากนั้นก็จะวิ่งให้เร็วประดุจลูกธนูแล้วก็กระโดดขึ้นสูงถีบร่างไปได้ไกลกว่านักกีฬาคนใด
 หอก 4 เล่มที่ปักไว้บนพื้นดิน ข้าก็สามารถข้ามได้อย่างง่ายดาย คนดูทั้งหลายปรบมือให้ข้าดังสนั่น ทุกคนต่างทึ่งในความสามารถนี้ของข้ากันหมด หึๆ ฮ่าๆๆ”
อาจารย์ขี้อวดเล่าถึงการแสดงผาดโผนของเขาให้นักดื่มที่นั้น ฟังอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่า เหตุร้ายได้มาถึงตัวแล้ว “ในชนบทอื่น ท่านอาจารย์กระโดดได้
4 เล่มหอก แล้วชนบทบ้านข้านี่เล่า ท่านยังกระโดดได้เท่าเดิม อยู่เท่านั้นรึ”
 “ฮ่าๆๆ สบาย เจ้าจะเอากี่เล่มละ สัก 5 เล่ม เลยดีไหม เดี่ยวข้าจะกระโดดให้เจ้าดูเอง แหม มาลองดี เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นกับตาวันนี้หละ ข้าจะแสดงการกระโดดหอก
5 เล่มให้ดู หึๆ ฮ่าๆๆๆ” “ห๊า จริงรึ เป็นบุญตาของข้ายิ่งนัก หอก 5 เล่ม นี่ถือว่าทำลายสถิติที่เคยแสดงไว้ที่ไหนๆ เลยนะเนี่ย ดีเลยข้าจะได้ไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังว่า ได้ชม
 ท่านกระโดดข้ามหอกตั้ง 5 เล่ม รับรองต้องมีคนอิจฉาอยากดูเหมือนข้าแน่ๆ” มานพหนุ่มผู้เป็นศิษย์ได้ยินคำอวดดีก็เข้าห้ามปรามไว้
 “อาจารย์ ท่านไม่เคยกระโดดข้ามหอก 5 เล่มมาก่อน อย่ากระทำในสิ่งที่ไม่เคยกระทำเลย”“โธ่เอ้ย เจ้าศิษย์ด้อยฝีมือ หอกแค่ 5 เล่มทำไมเราจะทำไม่ได้ ก็แค่เพิ่ม

มาอีกเล่มเดียวจะเป็นไรไป แต่ครั้งนี้ท่านดื่มสุราเสียเมามาย มันจะยิ่งยากที่บังคับตัวเองให้เคลื่อนไหวตามใจได้นะอาจารย์” “เราเป็นอาจารย์เจ้านะ เจ้าเป็นแค่สิทธิ์

จะมาสั่งสอนอาจารย์ได้เช่นไร อย่ามาห้ามนักเลย
    เราจะแสดงให้พวกนี้ได้เห็นในฝีมือถึงเจ้าจะห้ามอย่างไร เราก็จะไม่ฟังหรอก” เมื่อเป็นเช่นนี้ การแสดงกลางชุมนุมชนหลังจากนั้น จึงเป็นการกระโดดข้ามหอก

เสี่ยงตาย 5 เล่ม ตามคำโอ้อวดของอาจารย์ผู้ดื้อรั้น “นี่ เพิ่มไปอีกเล่ม เป็น 5 ทีนี้ล่ะ จะได้ตะลึงกันตาค้างแน่ๆ นักแสดงฝีมือดีอย่างเราสบายอยู่แล้ว เฮอะๆๆ 5 เล่ม

ก็ 5 เล่มเถอะ” ถึงเวลาแสดงจริง อาจารย์นักกระโดดหอกก็ขึ้นไปทำท่าเรียกลมปรานตามวิชาตน
  “สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เรียกพลังกันหน่อย อืม ได้กลิ่นแหล้า มาตรึมเลย โอยตาลายไปหมด เพิ่มสมาธิ(Meditation)สักหน่อยดีกว่า” หลังจาเรียกลมปรานยืนทำสมาธิ

แล้วอาจารย์ขี้อวดนี้ก็ร่ายรำตามตำราเพื่อขยายกล้ามเนื้อเรียกกำลังตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกายก่อนออกวิ่งอย่างเร็ว เมื่อออกวิ่งอย่างรวดเร็ว แล้วนักแสดงผาดโผน

ผู้เป็นอาจารย์ก็ถีบตัวเองกระโดดลอยข้ามหอกเล่มที่ 1 2 3 และเล่มที่ 4 ได้อย่างง่ายดายเหมือนทุกครั้ง
  “หึๆ ง่ายเหมือนปอกกล้วย ผ่านไป 4 เล่มแล้วเห็นมั๊ยต่อไปก็เล่มสุดท้ายแล้วล่ะ เล่มที่ 5 เฮ้ย” พอเลยตัวมาถึงหอกเล่มที่ 5 การยกน้ำหนักตัวผ่านหอกเล่มนี้
 ไปนั้นของ มันยากเกินจะทำได้ “อ้าว เฮ้ย ลอยก่อนซิ ลอยก่อน จะรีบลงทำไมว่ะเนี่ย ตายๆๆๆ ตายแน่โยกตัวไม่ขึ้นอีกนิดเดียวก็จะพ้นแล้ว ลอยอีกหน่อยซิโว้ย”
อาจารย์ผู้โชคร้ายรู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงดึงลงต่ำไปเรื่อย
  จนถึงความวิบัติ ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่ควรเลยแท้ๆ”“เฮ้ย ไม่พ้นแน่เลยเรา โอ้ยตายๆๆๆ ตายแน่ๆ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ช่วยข้าด้วย โอ๊ย”และแล้วจุดจบของ

นักกระโดดผู้ไม่ยอมฟังใคร แม้แต่จากศิษย์ที่รักและหวังดี ก็มีสภาพอนาถ หอกเล่มที่ 5 ปักทะลุกลางหลังขึ้นมาถึงท้อง เลือดไหลเป็นทางตามด้ามหอกเล่มที่ 5

ที่เพิ่มมาด้วยความอวดดี ดื้อดึงของเขา และก็เป็นเล่มที่ทำให้เขาได้พบจุดจบอีกเช่นกัน
ในพุทธกาลครั้งนั้น พระพุทธศาสดาประชุมชาดกเรื่องนี้ว่า

อาจารย์นักกระโดด กำเนิดเป็นภิกษุผู้ว่ายาก

มาณพผู้เป็นศิษย์ เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-สีลวนาคชาดก.html

55  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / สิคาลชาดก-ว่าด้วยพราหมณ์เชื่อสุนัข เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 05:30:01 pm

สิคาลชาดก-ว่าด้วยพราหมณ์เชื่อสุนัข

ในพุทธกาลสมัยหนึ่งหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณประกาศพระธรรมบนแผ่นดินชมพูทวีปนั้น พระพุทธองค์ทรงมีน้ำพระทัยเมตตากรุณาหมาย

จะเผยแผ่หลักธรรมเพื่อโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ด้วยใจอันบริสุทธิ์ 
 ทว่าเป็นที่รู้กันดีในหมู่คณะสงฆ์ ว่ายังมีภิกษุผู้ทุศีล มีจิตใจอาฆาตมาดร้ายหมายจะทำลายพระพุทธองค์ซึ่งก็คือพระเทวทัตนั่นเอง “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตกระทำการปลุกปั่น
 ยุยงให้คณะสงฆ์แตกกันยังไม่พอ วันนี้ยังชักชวนหมู่สงฆ์ 500 รูป
ออกไปคยาสีสะประเทศ ตังตนเป็นพระศาสดาเสมอพระพุทธองค์ ช่างเป็นการไม่บังควรจริงๆ” “ใช่ๆๆ มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าพระสมณะโคดมตรัสข้อใด ข้อนั้นไม่ใช่ธรรม แต่ถ้าตนกล่าวข้อใด
 ข้อนี้เท่านั้นที่เป็นธรรม ดังนี้แล้ว กระทำมุสาวาทอันถึงฐานะวิบัติทำลายสงฆ์ ทำอุโบสถ 2 ครั้ง
   ในสีมาเดียวกัน” ในครานั้นพระพุทธองค์เสด็จมาแล้วจึงตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอมานั่งประชุมสนทนากัน ด้วยเรื่องอันใด” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
 พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เทวทัตมักกล่าวมุสาวาท 
 แม้ในกาลก่อน ก็เป็นผู้มีปกติกล่าวมุสาเหมือนกัน” แล้วพระพุทธองค์จึงระลึกอดีตชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ นำสิคาลชาดก อันเป็นเหตุจากพระเทวทัต มาตรัสเล่าเป็นพุทธโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย

ฟังดังนี้ ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
  พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดาอยู่ข้างป่าช้า ในครั้งนั้น ในพระนครพาราณสีมีงานนักขัตฤกษ์เป็นที่ครึกครืนพวกมนุษย์คิดกันว่า พวกเราจะกระทำพลีกรรมแก่ยักษ์ แล้วจับปลา

และเนื้อเป็นต้น เรียงรายริมสุราเป็นอันมาก “อ้าวๆๆ เร่งมือกันหน่อย ตระเตรียมให้พร้อมนะ ประเดี๋ยวจะได้เริ่มพิธีกัน”
 “แหม เห็นเหล้าแล้วเปรี้ยวปาก แอบกรึบซักจิบดีกว่าคงไม่เป็นไรนะเนี่ย” “นั้นแน่ะ ตาเฒ่าทำอะไร อย่านึกว่าข้าไม่เห็นน่ะ” “อุ๊ย แฮ่ๆ อดจนได้” “เดี๋ยวๆ เถอะ เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย”เมื่อจัดแจงอาหาร

ใส่ถ้วยดินเผาเสร็จก็นำไปวางตามตรอกและทางแพรก เพื่อบวงสรวงแก่ยักษ์นั่นเอง และในคืนนั้นเองมีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้าไปสู่พระนครทางท่อระบายน้ำ
  ออกเที่ยวเคี้ยวกินปลาและเนื้อดื่มสุราที่ชาวบ้านนำมาวางไว้ “เว้ย เฮ้ย ลาภปากของเราแท้ ทั้งเนื้อทั้งปลาเพียบเลยหม่ำๆ หม่ำๆ กินทั้งคืนก็ไม่หมด แหมยังมีเหล้าให้กินอีก อิ่มแปล้ละทีนี้ ชักเมา

แล้วสิเรา อร่อยจริงๆ” แล้วหมาจิ้งจอกก็เข้าไปหลับระหว่างกอบุญนาค จนอรุณขึ้น จึงตื่นขึ้น“รุ่งอรุณแล้วหรือนี่ แย่แล้ว
 แล้วจะออกไปยังไงกันละเนี่ย ขืนออกไปตอนนี้มีหวังโดนชาวบ้านตีตายแน่ๆ เลย ไม่ได้การแล้ว ต้องแอบซุ่มกลับไปนอนที่ซ่อนตัวของเราก่อนดีกว่า นอนเงียบๆ ใครผ่านไปผ่านมา ก็คงไม่เห็นเราแน่ๆ”

ในขณะที่ขดตัวนอนอยู่ในที่ซ่อนตัวนั้นเอง เจ้าหมาจิ้งจอกก็เหลือบไปเห็น
 พราหมณ์ผู้หนึ่งกำลังเดินไปล้างหน้า จึงคิดขึ้นมาว่า “เอ้ นั่นพราหมณ์นี่น่า อ้า..ได้ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์ ย่อมเป็นผู้มีความโลภ อยากได้ทรัพย์ เราต้องเอาทรัพย์ล่อพราหมณ์คนนี้ แล้วสะพายเราออกไป

จากเมืองได้นี่น่า เอ้ แต่ว่าจะให้อะไรดีหล่ะ สมบัติพัสถานของเราก็ไม่มีอะไรซักอย่าง อ้า คิดออกแล้วยังไงซะพราหมณ์นี้ก็ต้องหลงกลเราเข้าแน่ๆ
 ฮ้าๆๆ” เจ้าหมาจิ้งจอกหมายจะใช้ความโลภของพราหมณ์เป็นหนทางเอาตัวรอดของมันจึงเอ่ยกับพราหมณ“ท่านพราหมณ์เอ๋ย ท่านพราหมณ์ผู้ใจบุญ” “เอ้ ใครน๊า มาเรียกเรา” “ข้าเองจ้า ท่านพราหมณ์”

“เจ้าเรียกเราทำไมรึ เจ้าหมาจิ้งจอกน้อย” ท่านพราหมณ์ ข้ามีทรัพย์อยู่สองร้อยกหาปณะ หากว่าท่านจะช่วยคลุมกายข้าให้มิดชิด
 ด้วยผ้าสไบเฉียงของท่าน แล้วกระเดียดข้าออกไปจากเมือง โดยไม่ให้ใครๆ เห็น ข้าจะยกเหรียญกษาปณ์เหล่านั้นแก่ท่านทั้งหมดเลย”ด้วยความโลภอยากได้ทรัพย์ พราหมณ์จึงรับคำ

แล้วทำตามคำของหมาจิ้งจอกพาออกจากเมืองไปในทันที เมื่อพาออกไปได้สักพัก หมาจิ้งจอกจึงถามพราหมณ์ว่า“ท่านพราหมณ์ ถึงไหนแล้วเนี่ย”
 “ใกล้ถึงป่าช้าแล้ว โอ้ย เจ้านี่ หนักไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ย” “ใกล้ถึงแล้วหรอจ๊ะท่านพราหมณ์ ท่าช่วยไปต่ออีกหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วเราจะได้เอาเงินมาให้ท่านสะดวกๆ นะ

ท่านพราหมณ์นะ” “ได้ๆ ๆ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปถึงที่เลย ไม่ต้องห่วง” สุนัขจิ้งจอกพูดไปเรื่อยๆ อย่างนั้น จนลุถึงป่าช้าใหญ่
 “ถึงแล้วล่ะ เจ้าหมาจิ้งจอก” “งั้นท่านก็ช่วยวางเราลงตรงนี้เถิด เดี๋ยวเราจะได้เอาเงินมาให้ท่าน” “โอ้ ได้เลยๆ ลงดีดีนะ เจ้าหมาจิ้งจอกน้อย” “อืบ ขอบใจมากท่านพราหมณ์” “ไหนล่ะ

เงินที่เจ้าว่าจะให้เราหนะ เจ้าหมาจิ้งจอก” “ใจเย็นๆ ซิท่านพราหมณ์ ประเดี๋ยวท่านจงปูผ้าสไบเฉียงลงเถิด”
 เมื่อพราหมณ์ปูผ้าสไบเฉียงของตนลงด้วยความละโมบในทรัพย์เจ้าหมาจิ้งจอกก็ใช้ถ้อยคำหลอกล่อให้หลงกล จากนั้นมันก็ถ่ายมูลของมันแล้วเผ่นหนีไปทันที “อ่ะ เมื่อท่าน

ปูผ้าสไบแล้ว ก็จงขุดเอาทรัพย์ของข้าเถิดข้าฝังมันไว้ตรงนี้ล่ะท่าน” “ฮ่าๆ รวยแล้วล่ะเราคราวนี้ เงิน เงิน เงิน ฮ่าๆ ฮ่ะ” “อีกไม่นานก็เจอสมบัติแล้วล่ะท่านพราหมณ์
 เอ้าขุด ขุดเร็ว นี่ไงล่ะเจ้าพรหมณ์โง่สมบ่งสมบัติอะไรน่ะไม่มีหรอก มีแต่อึเรานี่ไง สมน้ำหน้าเจ้าพราหมณ์ละโมบ โดนหลอกจนได้ โฮ๊ะๆ ไปก่อนละนะ” “เจ้าหมาบ้า หลอกเราแล้วยังอึ

ใส่สไบข้าอีก อึย เหม็นๆ” รุกขเทวดาโพธิสัตว์สถิตเหนือคาคบไม้ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
จึงกล่าวคาถานี้ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเชื่อสุนัขผู้ดื่มสุราหรือ เพียงร้อยเบี้ยก็ไม่มี อย่าว่าถึงสองร้อยกหาปนะเลย ไปเถอะพราหมณ์เอ๋ย จงไปซักผ้าสไบของท่านเสีย อาบน้ำทำกิจของตนไปเถิด”
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสสิคาลชาดกจบลง ทรงประชุมชาดกว่า

หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้เกิดเป็น พระเทวทัต

รุกขเทวดา เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/articles/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html
56  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / อัคคิชาดก-ว่าด้วยท่านอัคคิกะ เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 05:23:55 pm

อัคคิชาดก-ว่าด้วยท่านอัคคิกะ

 ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงผู้หนึ่ง แล้วจึงทรงตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาหนูอยู่ในป่า
 “หนูทั้งหลาย อาหารที่ได้มาในวันนี้ พวกเจ้าเอาไปแบ่งกินกันเถิด” “อร่อยๆ” “เจ้าอย่ากินตัวเดียวหมดซิ แบ่งกันบ้าง” ครั้งนั้นเกิดไฟไหม้ป่าขึ้น สัตว์ป่าทั้งหลายต่างวิ่งหนี

เอาชีวิตรอดกันอย่างโกลาหล “อู๊ด อู๊ด หนีเร็วพวกเราไฟไหม้ป่าแล้ว”
 “เจี๊ยกๆ เพ่นก่อนล่ะ” “ต เต่าด้วย เต่าก็กลัวไฟเหมือนกันนะเนี่ย” สัตว์ป่าทั้งหลายหนีตายกันนั้น บางตัวหนีไม่ทัน ก็ต้องตายในกองเพลิงบ้าง ตายเพราะถูกสัตว์อื่นเหยียบบ้าง

หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งไม่สามารถหนีไปได้ทัน ก็ยืนเอาหัวยันไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
   ขนทั้งตัวของมันถูกไฟไหม้ เหลือแต่ขนตรงที่มันเอาหัวยันต้นไม้ไว้หน่อยหนึ่งเป็นเหมือนจุกบนกระหม่อม “อูย ร้อนๆ แสบร้อนไปทั้งตัวเลย เฮ้อเหลือขนอยู่หย่อมเดียว

หมดหล่อเลยเรา” วันหนึ่งเจ้าหมาจิ้งจอกไปดื่มน้ำในตระพัง
  แล้วมองดูเงาของตัวเองในน้ำ เห็นจุกที่หัวของตนก็คิดจะใช้ประโยชน์จากจุกบนหัวของตนนั้น “จุกบนหัวเรานี่ ทำให้เราเป็นเหมือนผู้ทรงศีลเลย ดีล่ะ ข้าจะใช้ประโยชน์จากจุกบนหัวของข้านี่ล่ะ”

พญาหนูและบริวารผ่านมากินน้ำในกระพัง
 เมื่อหมาจิ้งจอกเห็นฝูงหนูนั้นก็คิดแผนที่จะจับหนูกินเป็นอาหาร จึงยืนสงบนิ่งทำทีเป็นผู้มีศีลคอยอยู่ตรงนั้น “เอาล่ะ พวกเราพักกินน้ำกันก่อนดีกว่า” “หนูพวกนี้ตัวอ้วนพี

น่ากินเหลือเกิน มื้อนี้ ท่าจะได้กินหนูเป็นลาภปากล่ะ ฮ่ะๆๆ”
 เมื่อพญาหนูเห็นสุนัขจิ้งจอกก็คิดว่าเป็นผู้มีศีล จึงเข้าไปหาแล้วสนทนาด้วย “ท่านผู้มีศีล ท่านชื่ออะไรรึ” “เราคือ อัคคิกภารทวาชะ” “ท่านมายืนอยู่ทำอะไรตรงนี้ล่ะ” “ข้าเห็นหนูตัวน้อยๆ

อย่างพวกเจ้า ก็เกิดความสงสาร อยากจะช่วยคุ้มครองน่ะ”
 “แล้วท่านจะคุ้มครองพวกข้าได้ยังไง” “ฮะๆๆ ถามเข้าท่า ข้ารู้วิธีคำนวณที่เรียกกันว่านับด้วยหาง ในเวลาที่พวกเจ้านั้นพากันออกไปหากินแต่เช้า ข้าก็จะนับหางพวกเจ้าไว้

พอกลับมาข้าก็จะนับพวกเจ้าอีกครั้ง ว่ากลับมาครบหรือเปล่า แบบนี้พวกเจ้าก็จะปลอดภัยยังไงล่ะ”
  “ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงช่วยคุ้มครองพวกเราเถิด” พญาหนูคิดว่าเจ้าจิ้งจอกนี้ต้องการจะช่วยคุ้มครองพวกหนูจริง จึงมอบหมายให้ทำหน้าที่คุ้มครองดูแลหนูทั้งฝูง “พวกเจ้า

ทั้งหลาย ข้าขอแนะนำจิ้งจอกผู้มีศีลที่จะคอยคุ้มครองพวกเรา”
 “ดีเลย แบบนี้เราจะหากินได้สะดวกแล้ว” “ว่าแต่ท่านจะคุ้มครองพวกเรายังไงล่ะ” “ข้าก็จะนับหางของพวกเจ้าทุกครั้ง ในเวลาที่ออกหาอาหาร แล้วเวลาที่กลับมายังไงล่ะ”

“วิธีการของท่าน ช่างยอดเยี่ยมดีแท้” นับแต่นั้นเจ้าจิ้งจอกก็ได้เข้ามาอยู่ในฝูงของพญาหนู
 มันทำทีนับหางหนูตามที่บอกไว้จนหนูทั้งหลายตายใจ “เอ้า หาง 1 หาง 2 หาง 3 หาง 4 หาง 5 หาง6 หาง 7...8...9....30 อ้าว ครบทุกตัว” “ดีจริงๆ เลยน่ะ ข้ารู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะ”

ต่อมาไม่นานจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็เริ่มแผนการอันชั่วร้าย
  โดยขากลับจากหาอาหาร เจ้าจิ้งจอกจะแอบจับเอาหนูตัวสุดท้ายไปกินเป็นประจำทุกวัน “เฮ้ เจ้าหนู เจ้าอยู่เป็นตัวสุดท้ายสิน่ะ” “ใช่แล้ว ข้าหมดแรง เดินช้า เลยอยู่เป็นตัว

ท้ายแถวนะท่าน จี๊ดๆๆ” “เจ้าหมดแรงแล้วรึ เหอะๆๆ ดีล่ะ ข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว”
 “ท่านจะทำอะไรน่ะ อย่าๆ อย่ากินข้าๆ” เมื่อกินหนูตัวท้ายแถวไปแล้ว เจ้าจิ้งจอกก็ทำทีนับหางหนูว่าอยู่ครบ โดยไม่มีหนูตัวใดสงสัยเลยแม้แต่น้อย “อ้าว หาง 30 ครบ” “อืม อร่อย

เต็มปากเต็มคำจริงๆ ฮ่ะๆๆ” เจ้าหมาจิ้งจอกทำเช่นนั้นเป็นประจำ
 จนฝูงหนูมีจำนวนลดลง จากที่เคยอาศัยกันอยู่เบียดเสียด บัดนี้มีหนูอยู่บางตา “ข้าว่า บัดนี้หนูในฝูงเรา ดูน้อยลงน่ะ” “ข้าว่าก็อย่างนั้นแหละ เมื่อก่อนเราเคยอยู่กันอย่าง

เบียดเสียด ดูตอนนี้บางตาลงตั้งเยอะ” “แบบนี้ต้องปรึกษาพญาหนูซะแล้ว”
 จำนวนหนูในฝูงที่ลดลงนั้น ทำให้พวกหนูเริ่มสงสัย จึงนำเรื่องนี้ไปบอกแก่พญาหนู “ท่านพญาหนู ข้าว่า ที่ชาวหนูเราบางตาลงน่ะ ต้องเกี่ยวกับท่าน อัคคิกภารทวาชะ แน่ๆ เลย”

“เฮ้ย เจ้าอย่ากล่าวหาใครส่งเดช เอาไว้ข้าจะคอยจับตาดูก็แล้วกัน”
  พญาหนูสงสัยว่า เจ้าหมาจิ้งจอกต้องมีส่วนที่ทำให้หนูในฝูงลดลงเป็นแน่ จึงได้วางแผนเพื่อจับผิดเจ้าจิ้งจอกนั้น วันหนึ่งเมื่อหนูทั้งหลายออกหาอาหารตามปกติ พญาหนู

ได้ให้บริวารหนูทั้งหลายเดินนำหน้าไป ส่วนตนเองอยู่รั้งท้าย
 “พวกเจ้าเดินนำหน้าไปก่อน ข้าจะอยู่ท้ายแถวเอง” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าพญาหนูอยู่ท้ายแถว ก็คิดจะจับพญาหนูกินเป็นอาหาร จึงได้วิ่งไปสกัดพญาหนูเอาไว้

“วันนี้ได้กินหนูตัวใหญ่ ลาภปากข้าจริงๆ”
 “เจ้าจิ้งจอก เจ้าวิ่งมาดักหน้าข้าทำไม” “ฮ่ะๆ ฮ่า ถามได้ ข้าก็จะจับเจ้ากินเป็นอาหารนะสิ” “หนอย เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แกล้งทำทีเป็นผู้มีศีล ที่แท้เจ้านั่นเอง ที่แอบกินหนูในฝูงของข้า” “รู้ตัวตอนนี้
ก็สายซะแล้ว มามะมาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ ฮ่าๆๆ”
 “เจ้าจิ้งจอก เจ้าใช้จุกบนหัว หลอกลวงผู้อื่นว่าเป็นผู้มีธรรม เพื่อหาอาหารมาเลี้ยงปากท้อง เจ้าต่างหากล่ะ ที่จะไม่รอด” พญาหนูกล่าว พลางกระโดดเกาะคอของหมาจิ้งจอกนั้นไว้ แล้วกัดเข้าที่คอ
 จนจิ้งจอกนั้นถึงแก่ความตาย
  “โอ๊ยๆๆ ปล่อยข้าเดี่ยวนี้น่ะ” “วันนี้ ถึงวันตายของเจ้าแล้ว นี่แน่ะๆ ๆ” “อ๊ากๆๆ” เมื่อจิ้งจอกสิ้นลง ฝูงหนูทั้งหลายที่เดินนำหน้าไปนั้น ก็กลับมากัดกินเนื้อจิ้งจอกนั้นจนสิ้น นับแต่นั้นมา
พวกหนูก็หมดภัย
 ได้อยู่อย่างมีความสุขอีกครั้ง “อ้าว พวกเรา มากินเนื้อจิ้งจอกกันเถอะ” “กินกันให้หนำใจ เจ้านี่บังอาจมาหลอกพวกเราได้” พระศาสดาทรงนำพระเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

 หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุหลอกลวงในครั้งนี้

พญาหนู ได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-อัคคิกชาดก.html
57  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / นฬปานชาดก-ว่าด้วยการใช้ปัญญาพิจารณา เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 05:00:58 pm
นฬปานชาดก-ว่าด้วยการใช้ปัญญาพิจารณา

ครั้งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจาริกเผยแผ่พระพุทธธรรมในโกสุมรัฐช่วงมัชฌิมากาล ภิกษุสามเณรจากพระอารามหลวงเป็นจำนวนมากได้ตามเสด็จมาด้วยเช่นทุกพรรษาที่ผ่านมา

ครั้งนี้พระองค์ทรงนำหมู่ภิกษุสงฆ์มาถึงเขตแดนหมู่บ้านนฬปานที่ซึ่งร่มรื่นเนื่องจากมีบึงน้ำใสอยู่หลังราวป่า เป็นที่สับปายะแก่หมู่สงฆ์ยิ่งนัก
 พุทธสาวกทั้งหลายจึงแยกย้ายกันหาที่ลาดปูอาสนะรายรอบสระน้ำกว้างใหญ่ในป่านั้น “สามเณรเองก็ต้องสำรวมกายใจให้ดีนะ อย่าเล่นน้ำซุกซนรบกวนพระผู้ใหญ่ท่านล่ะ” “ขอรับ
 น้ำใสแจ๋วเลยลงไปแช่คงจะสดชื่นยิ่งนัก” “ใช่ๆ เดินทางมาร้อนๆ ต้องขอลงไปแช่น้ำซะหน่อย”
 ภิกษุหลายรูปเมื่อจัดการกิจวัตรเรียบร้อยดีแล้วก็ลงสรงน้ำในสระ ภิกษุรูปหนึ่งเห็นต้นอ้อขึ้นอยู่ชุกชุม ก็คิดอยากได้กล่องใส่เข็ม ซึ่งทำมาจากต้นอ้อข้อปล้อง..... “อืม..นานๆ ทีจะเจออ้อ
ลำสวยๆ อย่างนี้ เอาไปทำเป็นกล่องใส่เข็มน่าจะดี พวกท่านนะ ต้องใช้กันหรือเปล่า เดี๋ยวเราจะทำเผื่อ”
“ดีเลยท่าน เราก็อยากจะหาที่ใส่เข็มมานานแล้ว ของเก่าที่ใช้อยู่เก่าเต็มที” “สามเณร ไปชักชวนพี่น้องสักสองสามรูปนะ พากันตัดต้นอ้อให้หลวงพี่ได้ทำกล่องเข็มสักหลายๆ ปล้องหน่อย
จะได้อาบน้ำอาบท่าซะด้วยเลยไง” “ขอรับ นิมนต์หลวงพี่อาบน้ำให้สบายเถอะ กระผม จะตัดอ้อให้เอง ดีใจจังได้เล่นน้ำแล้ว ตัดอ้อให้หลวงพี่เสร็จก่อนค่อยเล่นน้ำก็แล้วกัน”
  การที่ภิกษุสั่งให้สามเณรช่วยกันตัดต้นอ้อในครั้งนั้น กลายเป็นเหตุอัศจรรย์เพราะเหตุว่า อ้อลำไหนๆ ในสระก็หาหาข้อหาปล้องให้ตัดใส่เข็มไม่ได้เลย “อะไรกันนี่ ลำนี้ก็
 เป็นรูกลวงตลอดทั้งลำเลย” “ของเราก็เหมือนกัน ตัดกี่ต้นๆ ก็ไม่เห็นมีข้อเลยสักต้น” “ โอ๊ย ทำไมยากเย็นจัง แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เล่นน้ำซักทีล่ะเนี่ย เรื่องมันแปลกๆ อยู่น่า
 ไปบอกหลวงพี่ดีกว่า” สามเณรพบเหตุประหลาดเช่นนี้ ก็รีบขึ้นจากน้ำไปบอกแก่ภิกษุ “หลวงพี่ขอรับ เกิดเรื่องประหลาดขึ้นขอรับ คือผมกับเพื่อนๆ ไปตัดต้นอ้อตั้งหลายต้นแล้ว
 แต่ไม่พบต้นใดที่มีข้อเลยซักต้น” “อืม..แปลกจริงๆ ตามธรรมชาติแล้วนี่ อ้อก็ต้องมีข้อมีปล้องอยู่แล้วนี่น่า ประหลาดจริงๆ” ภิกษุเมื่อได้ฟังเรื่องประหลาดของต้นอ้อ ก็นำปล้อง
 ต้นอ้อนั้นไปหาพระอาวุโส และเล่าเรื่องให้ทราบตามลำดับ
 “โอ ต้นอ้อไม่มีข้อเป็นก้นกล่องให้เก็บเข็มเก็บด้ายจริงๆ ประหลาดแท้ๆ” “อืม แปลกจริงๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้นะ พวกเราคงต้องกราบขอพระกรุณาจากพระพุทธศาสดา
 กันอีกแล้ว” เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรต้ออ้อ ซึ่งกลายมาเป็นรูกลวงตลอด โดยไม่มีข้อปล้องดังเคย ก็ทรงรู้ด้วยญาณบุพเพนิวาสานุสติญาณ
 คือพระญาณระลึกชาติในทันที ถึงพระชาติครั้งหนึ่งของพระองค์ ซึ่งอธิษฐานไว้ในต้นอ้อ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้ภิกษุทั้งหลายทราบเหตุนั้น จึงตรัส
 นฬปานชาดกขึ้น เหนือขึ้นไปของนฬปานหมู่บ้าน บัดนี้ ในอดีตป่ากว้างที่มีพญาวานรใหญ่ปกครองบริวารอยู่หลายร้อยตัวคิมหันต์อันทรมานฤดูหนึ่งมาถึงเร็ว จนพญาวานร
 รับสถานการณ์ไม่ทัน “เฮ้อ ร้อนจริงๆ ทั้งร้อนทั้งแห้งแล้ง
 พืชผลผลาหารพากันเหี่ยวเฉาไปหมด น้ำท่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็เหือดแห้งลง เราเป็นผู้นำต้องทำอะไรซักอย่าง จะรอบุญวาสนามาช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกลิงบริวารของเรา
 พากันตายหมด” พญาวานรเรียกประชุมใหญ่ให้เครือข่ายทั้งหมดของป่ามารับทราบวิกฤต และช่วยกันหาทางออก ซึ่งมีทางรอดเดียวที่เห็น คือ อพยพไปหาแหล่งที่อยู่อื่น
  “เจี๊ยกๆๆๆ งานเข้าแล้วเรา” “ย้ายก็ดีเหมือนกัน ทนอยู่ที่นี่ เราอดตายกันแหงๆ” เมื่อแบ่งอาหารมื้อสุดท้ายกันหมดแล้ว พญาวานรก็บัญชาการให้ฝูงอพยพลงทิศใต้ที่ยังมองเห็นว่า
 พอจะอาศัยอยู่กินได้ ฝูงลิงเดินออกจากบ้านเก่าถึงสามวัน สามคืนจึงหมด พญาวานรจึงตามรั้งท้ายระวังภัยให้ขบวน
“ทางเดียวที่พวกเราจะรอด ก็คือต้องอพยพย้ายไปอยู่ที่อื่น พวกเราจะแบ่งเป็นส่วนๆ ออกเดินลงไปทิศใต้จนกว่าจะพบสระน้ำ ลำธาร และอาหารที่อุดมสมบูรณ์จึงจะหยุดพัก”
“เจี๊ยกๆๆๆ งานเข้าแล้วเรา” “ย้ายก็ดีเหมือนกัน ทนอยู่ที่นี่ เราอดตายกันแหงๆ” เมื่อแบ่งอาหารมื้อสุดท้ายกันหมดแล้ว พญาวานรก็บัญชาการให้ฝูงอพยพลงทิศใต้ที่ยังมองเห็น
 ว่าพอจะอาศัยอยู่กินได้ ฝูงลิงเดินออกจากบ้านเก่าถึงสามวัน สามคืนจึงหมด
  พญาวานรจึงตามรั้งท้ายระวังภัยให้ขบวน“เอาหล่ะ พวกเราเดินทางกันได้แล้ว จงรักษาวินัยกันเอาไว้ เราจะตามไปเป็นตัวสุดท้ายเอง” บริวารทุกตัวมีวินัยและความอดทนเป็นเลิศ
 แม้ในยามค่ำคืนก็ไม่ได้พักผ่อน สู้ออกสูดดมไอชุ่มชื้น แล้วสะกดรอยตามกลิ่นไอน้ำไปไม่ย่อท้อ “เหนื่อยจัง เมื่อไหร่จะถึงแหล่งน้ำแหล่งอาหารที่ใหม่ของเราซะที”
 “อดทนไว้ก่อนเถิด เจ้าลองสูดกลิ่นไอน้ำดูสิ ข้าว่าอยู่ไม่ไกลหรอก เจี๊ยกๆๆๆ” เหล่าวานรเดินทางกันทั้งวันทั้งคืน จนลุเข้าอีกวัน กลางแสงตะวันที่เผาจนขนแทบไหม้เกรียมนั้น หน่วยข่าว
 แถวหน้าก็พบป่าและสระน้ำสมปรารถนา “เฮ้ย พวกเรา ดูนั่นซิ เราเจอสระน้ำแล้ว เฮ้ เจี๊ยกๆๆ” “จริงๆ ด้วย โอ้โห สระน้ำใสแจ๋วเลย” “ดีใจจังเลย ในที่สุดเราก็พบแหล่งที่อยู่ใหม่แล้ว”
 “รีบแจ้งพญาวานรเร็วเข้าเถอะ พวกเรารอดกันแล้ว” ไม่ช้าโขดหินต้นไม้และพื้นหญ้ารอบสระน้ำกว้างใหญ่ที่ถูกค้นพบก็เต็มไปด้วยบริวารลิงที่ทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ “โอ้โห พรรคพวกเรา
 กำลังทยอยกันมาแล้ว อีกไม่ช้าพญาวานรก็คงเดินทางมาถึง” “ดูสิ พวกเรา น้ำใส น่ากินมากเลย เมื่อไหร่พญาวานรจะมาถึงซะทีน่า” “นั่นนะสินะ รอพญาวานรก่อนก็แล้วกันนะพวกเรา”
แม้จะเหนื่อยและหิวกระหายสักเพียงใด แต่เมื่อพญาวานรผู้นำฝูงยังมาไม่ถึง บริวารทุกตัวก็ไม่อาจหาญลงดื่มกินน้ำในสระได้     
     “พวกเราใจเย็นไว้ รอพญาวานรก่อน อย่าเผลอแอบกินน้ำก่อนล่ะ เจี๊ยกๆๆๆๆ” “รู้แล้วล่ะน่า พวกเราเป็นวานรที่มีกฎ มีระเบียบ ไม่ทำอย่างนั้นหรอก” จนอาทิตย์อัศดงลงไปก็ยังไม่มีวานร
 ตัวไหนละเมิดกฎกติกาของฝูง วานรทุกตัวรอคอยหัวหน้าอย่างอดทนริมสระน้ำนั้น ซึ่งนั้นเป็นการดีที่สุดสำหรับฝูงลิง “เมื่อไหร่หัวหน้าเราจะมาสักทีล่ะ เย็นแล้วนะ” “อดทนไว้เถอะ อย่างไรก็
 ต้องรอก่อน เจี๊ยกๆๆๆ” ในก้นสระอันลึกล้ำนี้ ยังมีอสูรน้ำตนหนึ่งอาศัยและยึดถือว่า
    น้ำทุกหยดในสระเป็นของตน มันตั้งกฎว่า ใครก็ตามหากย่างก้าวเข้ามาในสระก็จะถูกลงโทษ แม้เหล่าวานรจะไม่รู้ถึงภัยที่มีก้นสระ แต่ฝูงลิงก็ไม่ประมาทยังรักษาวินัยรอพญาวานร
 แม้จะหิวกระหายเพียงใดก็ตาม “โอ้ย พวกมันรออะไรอยู่เนี่ย ลงมาให้ข้าลงโทษบ้างสิ หิว อยากกินลิง ลงมากันซะทีสิ พวกเจ้าหนะ หิวกระหายอยู่มิใช่เรอะ ลงมากินน้ำในสระนี่สิ
 ข้าจะได้กินพวกเจ้าซะเลย ฮ่าๆๆๆ”
    คืนนั้นผ่านไปก็ยังไม่มีใครละเมิดกฎของฝูง จนแสงแรกของอรุณวันใหม่เบิกฟ้า พญาวานรก็นำบริวารที่ยังหลงเหลือไว้ เดินทางมาถึง “นั่น! เพื่อนๆ พวกเราขบวนสุดท้ายมาถึงแล้ว”
 “พญาวานรมาแล้วพวกเรา เจี๊ยกๆๆๆ” “โอ้โห ดีใจจังเลย พวกเรามากันครบแล้วน่ะซิ” วานรใหญ่ซึ่งนำฝูงมานาน ก็มีญาณบารมีซึ่งสั่งสมมาแต่อดีตชาติ เพราะบำเพ็ญความดีไว้ทุกชาติ
 จึงเฉลียวฉลาดไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ “โอ้ สระน้ำนี่ ดูลึกลับจริงๆ
  มีรอยเท้าสัตว์ต่างๆ เฉพาะแต่ที่เดินลงไปในสระเท่านั้น แล้วทำไมน่า ถึงไม่มีรอยเท้าเดินขึ้นมาจากสระเลยล่ะ” พญาวานรเห็นภัยร้ายที่อยู่ก้นสระ จึงนึกชมเชยบริวารที่เชื่อฟัง
 ไม่เห็นแก่ความหิวโหยลงไปดื่มกินน้ำเหมือนสัตว์อื่นๆ “ดีนะ ที่บริวารของเราทุกตัวอยู่ในวินัย ไม่เช่นนั้นหากเผลอลงไปกินน้ำในสระ ต้องเกิดอันตรายขึ้นแน่ๆ” เมื่อใช้สติพิจารณา
 ถี่ถ้วนแล้ว พญาวานรใหญ่ก็หัวเราะลงไปในสระนั้น
 “ฮ่ะๆๆ เรารู้ว่าในสระน้ำนี้ มีอสูรคอยกินเนื้อผู้อื่นอยู่ จงปรากฏตัวมาคุยกันเถอะ” อสูรตัวเขียวโกรธเกรี้ยวที่มีผู้รู้ทัน จึงผงาดขึ้นมาขู่คำรามว่า “ชะช้า รู้แล้วเป็นไงจะรอจนหิวตาย
 ก็ตามใจเจ้า แต่อย่าเผลอก้าวลงน้ำเชียวนะ ไม่งั้น เราจะจับกินให้หมดฝูงเลย หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ” พญาวานรใช้สติปัญญาดื่มกินน้ำโดยไม่ต้องงลงไปในสระ เมื่อสังเกตเห็นว่ารอบๆ สระน้ำ
 มีต้นอ้อขึ้นอยู่มากมาย จึงตั้งสัตยาอธิษฐานเอาบุญบารมีที่สะสมไว้เป็นปัจจัย
 “ขอให้ข้อปล้องทุกปล้องทุกลำในสระน้ำนี้จางหายไป ให้สามารถใช้ดูดน้ำดื่มกินได้บัดนี้เถิด” อัศจรรย์ของแรงอธิษฐานแห่งบุญบารมีย่อมมีผลเสมอ ต้นอ้อในป่านฬปานกาลนั้น
 ก็พลันไร้ข้อกั้นเป็นปล้องรอยต่อในบัดดล บริวารซึ่งเป็นเสมือนหัวหน้าหน่วยกล้าหาญก็เข้าไปดึงและหักต้นอ้อมาจากขอบสระเอามาแจกจ่ายกันในฝูง “เจ้าที่ตัวเล็กๆ ก็เหยียบตอ
 ต้นอ้อเข้าไปเก็บมา แต่อย่าให้เท้าแตะผิวน้ำเชียวล่ะ”
    “เจี๊ยกๆๆ ช่วยกันเก็บเข้าพวกเรา จะได้ดูดกินน้ำกันให้ชุ่มฉ่ำไปเลย” “อืม น่ากลัวจริงๆ ดีนะเนี่ย ที่พวกเราไม่มีใครลงไปกินน้ำนั่นก่อน ไม่งั้นโดนกินแน่นอน”อสูรน้ำเมื่อเห็นว่าเหล่าวานร
 ได้ดื่มกินน้ำในสระ โดยไม่ต้องลงไปในสระ ก็เกิดความโกรธ “ฮ่ะ อย่าพลาดตกลงมาในสระก็แล้วกัน แม้เพียงปลายขนแตะโดนน้ำนิดเดียวจะจับกินให้หมดฝูงเลย” “เห็นหรือยังล่ะอสูรเอ่ย
 บริวารของเราหนะ กินน้ำในสระได้โดยไม่ละเมิดกฎของเจ้าเลยสักตัวเดียว เหอะๆๆ น้ำในสระนี้

  ช่างเย็นชื่นใจจริงๆ นะ พวกเรา” อสูรน้ำโกรธแค้นที่ไม่อาจจับผู้บุกรุกกินตามกฎได้ เพราะลิงทุกตัวมิได้ลงในสระน้ำนั่นเอง “ดู ดู้ ดู มันทำ หึ หัวหน้ามันฉลาดอย่างนี้นี่เอง พวงลิง
 จึงทนหิว รออยู่ทั้งคืนได้ อดเลยเรา” “อืม ชื่นใจจริงๆ พวกเราปักหลักหากินกันในป่านี่เถอะนะ” “ใช่ๆๆ ข้าก็อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน มีทั้งน้ำและผลไม้เต็มไปหมดเลย” “ดีนะ ที่หัวหน้าเรา
 ทั้งเก่งทั้งฉลาดพวกเราก็เลยสบายไร้ภัยอันตราย เจี๊ยๆๆๆ” อสูรน้ำได้แต่เฝ้ามองความเป็นอยู่ฝูงลิงอย่างสงบ นับแต่นั้นมานานวันเข้าก็นึกชื่นชมและน้อมใจรับคำสั่งสอนที่พญาลิงอบรม
 บริวารจนสิ้นอายุขัยไปเกิดในภพภูมิใหม่ของตน “พญาวานรนี่ น่านับถือจริงๆ ดูสิ วานรทุกตัวอยู่ในโอวาทหมด ไม่มีตัวไหนที่ทำผิดวินัยเลย” พญาวานรจึงอาศัยป่าใหญ่บึงกว้าง ปกครอง
 ดูแลบริวารอย่างยุติธรรมสืบต่อมา

     สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ต้นอ้อในสระนฬปานมีรูกลวงตลอดก็เพราะแรงอธิษฐานในครั้งนั้นนั่นเอง

ในพุทธกาลสมัย

อสูรน้ำกำเนิดเป็น พระเทวทัต

วานรบริวารกำเนิดเป็น พุทธบริษัท

พญาวานร เสวยพระชาติเป็นพระพทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-นฬปานชาดก.html
58  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 04:37:42 pm

วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี


  ครั้งหนึ่งพระพุทธศาสดาทรงตรัสพระธรรมเทศนาขึ้นอรรถคาถาหนึ่ง ขึ้นต้นว่า เยนะ กาหันติ โอวาทัง เหตุเพราะมีภิกษุรูปหนึ่งกระสันด้วยอำนาจกิเลสความงามของอิสตรี

อำนาจนั้นเกาะกุมจิตใจจนก่อกิเลสจนแทบจะลาสิกขาบทออกไป “ความงามของน้องหญิงตราตรึงใจพี่ยิ่งนัก
ถึงจะครองเพศบรรพชิตต่อไปก็คงจะไม่บรรลุธรรมเป็นแน่ เราควรจะสึกเสียเถิด” ครั้งนั้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเตือนสติภิกษุว่า “ดูก่อนภิกษุ รูปรส กลิ่น

เสียง อันหญิงปรุงแต่งนั้น แม้ชายตกอยู่ในอำนาจแล้วไซร้จะถึงพินาศ พินาศแห่งศีลและขนบประเพณีดังนี้เคยเกิดมาแล้วในอดีต
 ด้วยว่าเหล่ายักษิณีที่มีอำนาจแปลงกายกระทำต่อพ่อค้าสำเภาอับปางทั้งหลายดุจกันกับหญิงงามกระทำต่อภิกษุของเราเวลานี้” พระองค์ทรงมีกรุณาธิคุณเข้าสู่บุพเพนิวาสนุสติญาณ

รำลึกพระชาติเก่าแล้วตรัสเล่า วลาหกัสสชาดกดังนี้
 กลางห้วงมหาสมุทรในครั้งโน้นยังมีเกาะตามพปัณณิเป็นแผ่นดินลอยน้ำอันมีเมืองยักษ์ชื่อ สิริสวัตถุ ตั้งอยู่ เมืองนี้เป็นเมืองแม่หม้าย ผู้อาศัยในเมืองทั้งหมดล้วนเป็นนางยักษิณี

ที่อาศัยกินเนื้อมนุษย์ที่พลัดหลงเข้ามาเพราะเรือแตก
 “โอ้ นั่นไง มาโน่นแล้ว พวกผู้ชายที่หนีตายจากเรือแตก ว่ายน้ำขึ้นฝั่งทางโน้นมากันแล้ว น้องๆ ดูสิจ๊ะ อาหารอันโอชะของพวกเราเนี่ยมาแล้วนะ ” “ดีเลยจ๊ะ น้องกำลังหิวพอดี

ผู้ชายไม่ได้ตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว ครั้งนี้จะกินให้อิ่มหน่ำใจไปเลย ฮ่าๆๆ”
 นี่เป็นกิจวัตรปกติของนางยักษ์เหล่านี้ที่ต้องวนเวียนอยู่ชายฝั่งสมุทรหาเหยื่อมนุษย์แล้วลวงไปเสพกามคุณปรนเปรอให้อ้วน โดยพวงนางจะรีบแปลงกายเป็นสตรีงดงาม

แต่งจริตมารยาให้เหยื่อตายใจเป็นขั้นต้น “ทางนี้จ้าๆ พี่ๆ เชิญมาทางนี้เลยนะจ๊ะ น้องๆ เค้ารอพี่อยู่”
  “มาทางนี้สิจ๊ะ น้องๆ ได้เตรียมข้าวปลาอาหารไว้ให้พี่แล้ว โธ่ คงทั้งเหนื่อยทั้งหิวกันเลยสิจ๊ะเนี่ย มาทางนี้เลยจ้า” อันกิเลสตัณหากับบุรุษผู้ไร้ปัญญานั้นเปรียบกันไว้ว่า คือเปลวไฟ

กับแมงเม่า ชาววาณิชผู้สำเภาแตกทุกคณะก็ไม่เคยพ้นบ่วงมารดังว่านี้
  “โอ้โห แม่เจ้าโว๊ย สวยสุดๆ นางฟ้านางสวรรค์หรืออย่างไรกันละเนี่ย” “โห้ คอนสวาทหาดสวรรค์แท้ๆ รอดตายแล้วเรา สบายแล้วหญิงงามเพียบเลย” “มาสิจ๊ะ เร็วๆ เข้าสิจ๊ะ ของดีๆ

รอพวกพี่อยู่นะ” “เชิญท่านพี่ขึ้นจากน้ำไปยังที่พักของพวกน้องๆ เถิดจ๊ะ พวกเราน่ะ จะอดใจรอกินพวกท่านไม่ไหวแล้ว อุ๊ย ไม่ใช่ๆ อดใจที่จะรับใช้พวกพี่ไม่ไหวแล้วนะจ่ะ....เกือบไป”
     ทุกครั้งทุกคราที่มีเรืออับปางใกล้เกาะตามพบัณณิแห่งนี้ ทุกคนที่เดินขึ้นมาจะไม่มีใครมีชีวิตกลับออกมาได้อีกเลย ครั้งหนึ่งมีเรือสำเภาล่มอีกลำพ่อค้าทุกคนพากันลอยคอ

ข้ามทะเลลึกเข้ามาหาฝั่งตามกระแสกรรม “โอ๊ะ โอ้ย ช่วยข้าด้วย ลากข้าไปด้วย หมดแรงแล้ว โอ้ย นี่เรา จะมีชีวิตรอดอีกไหมนี่”
  “อดทนไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง อึบ จับท่อนไม้ไว้เร็วเข้า” นายสำเภาเป็นวาณิชหนุ่มมีกำลัง เมื่อใกล้ฝั่งทะเลก็ส่งสัญญาณให้บริวารรู้ “น้ำทะเลอุ่นขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะได้ขึ้นฝั่ง

บนเกาะสักแห่งแล้ว อดทนไว้นะพวกเรา พวกเรารอดแล้ว เราจะได้เจอฝั่งแล้ว”
 เกาะแห่งเดียวในห้วงมหาสมุทรแห่งนี้ ก็คือเมืองยักษิณีซึ่งบัดนี้ได้เนรมิตกายใหม่จนดูเป็นมนุษย์ปกติ “จ่ะเอ๋เจ้าหนู ดูนี่เร้ว น่ารักจังเลย” “แหม ทำเป็นรักเด็กซะเหมือนเลยนะพี่

เป็นนางงามสาวไทยหรือไงจ๊ะ รักเด็กน่ะ” “ฮะๆ อย่ามาแซวหน่อยเล้ย ต้องฝึกไว้ก่อน ผู้ชายเห็นจะได้ตายใจ ฮึๆๆ”
 การเย้ายวนเชื้อเชิญและบริการดูแลก็เกิดขึ้นอย่างที่เคยเป็น “พี่พักในห้องนี้ให้สบายนะจ๊ะ เดี๋ยวน้องจะดูแลพี่ให้หายเหนื่อยเอง อยู่กินที่นี่ให้สบายเถอะนะจ๊ะ ที่เกาะของเรา

มีอาหารอร่อยๆ ผลไม้รสดีเยอะแยะเลยนะจ๊ะพี่จ๋า มาเถอะจ๊ะ”
  หัวหน้านางยักษ์จำแลงกายเข้าจับจองหัวหน้านายสำเภาพ่อค้าผู้เป็นหัวหน้า เหล่าบริวารนางยักษิณีก็เข้าจองตัวบริวารพ่อค้า บำรุงบำเรอกันอย่างอุดมสมบูรณ์ “เป็นไงบ้างจ๊ะพี่

รสชาติอาหารถูกปากพี่มั๊ยจ๊ะ” “รสชาติดีอย่าบอกใครเลยละจ๊ะ ขอบใจเจ้ามากน่ะ ที่ช่วยดูแลพวกเราอย่างดี”
   “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ที่เกาะนี้มีแต่พวกเรา พอพวกพี่ๆ มานะ ก็ทำให้พวกเรามีความสุขกันมาก พี่ลองดื่มนี่ซะหน่อย นะจ๊ะ” “จ้า รินมาเลยจ๊ะ มีความสุขจังเลยเรา” ทุกราตรีก็มีระบำรำฟ้อน

และสุรายาเมามอบแก่เหล่าพ่อค้าจนสำลักความสุข
 และทุกๆ คืนจะมีพ่อค้าหายไปจำนวนหนึ่ง พวกที่เหลือก็ไม่ได้เฉลียวใจแต่อย่างใด พวกเขามัวแต่เพลิดเพลินกับความสำราญที่เหล่ายักษ์หญิงมารยามอบให้ “อือหือ ยักย้ายส่ายสะโพก

ได้ใจจริงๆ นี่แหละสวรรค์ของเรา รู้งี้มาติดเกาะตั้งนานแล้วนะเนี่ย ฮ่ะๆ ๆ” (เอาเถอะ…เจ้าพวกโง่ทั้งหลาย กินกันเข้าไป จะได้อ้วนๆ น่ากิน)
จะมีเฉลียวใจอยู่ก็มีแต่นายสำเภาหัวหน้าพ่อค้าคนเดียวเท่านั้น เพราะค่อนรุ่งคืนหนึ่งนางยักษิณีที่เพิ่งกลับมาจากภายนอกมีอาการแปลกๆ (อึย อร่อยจริงๆ เลย


เนื้อคนเนี่ย มันหวานเกินกว่าเนื้อใดๆ จริงๆ เลยนะเนี่ย) “นี่น้องทำให้พี่ตื่นหรือจ๊ะเนี่ย
มามะ มานอนกันต่อเถอะนะจ๊ะ” (แปลกจริงๆ เลย ทำไม่นางถึงได้ตัวเย็นเชียบขนาดนี้ เหมือนกับยักษ์ที่เพิ่งกินคนมาใหม่ๆ เอ๊ะ หรือว่าจะใช่ ว่าแล้วเชียวที่เกาะนี้มันมีอะไรแปลก

นี่พรรคพวกของพวกเราก็หายไปที่ละคนสองคน ต้องใช่แน่ๆ เลย พวกนางต้องเป็นยักษ์แน่ๆ) ดังนั้นเมื่อนางยักษิณีออกไปจากที่พักในค่ำคืนต่อมา นายสำเภาก็เรียกประชุมบริวาร
  “ฟังทางนี้ พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย ผู้หญิงพวกนี้คือยักษ์แปลงกายมา รีบชักชวนกันหนีเร็วเข้าพวกเราต้องหนีไปก่อนที่พวกนางจะกลับมา เร็วเข้า” “ฮึย นายนี้ท่าจะบ้า หญิงงาม

ขนาดนั้นจะเป็นยักษ์ได้อย่างไร หนีให้โง่เรอะ ที่นี่มันสวรรค์แท้ๆ” ครั้งนั้นมีบริวารอีกครึ่งหนึ่งไม่ยอมเชื่อฟัง เพราะยังหลงใหลจากความสุขจากนางยักษิณี
 เหมือนบุตรที่ดื้อรั้นเป็นพวกหลงตัวเอง หลงในกิเลสที่รังจะพินาศวอดวายอย่างน่าเวทนา “เอาเถิด เราไม่สามารถที่จะบังคับใครให้เชื่อได้ แต่เมื่อไหร่ที่พวกท่านได้รู้

ความจริงด้วยตนเองก็ให้กลับไปรวมกันที่ชายฝั่งทะเลก็แล้วกัน” “เอาช้างมาลากก็ไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่มีความสุขจะตาย พวกนางสวยๆ กันทุกคน เมียที่บ้านยังสู้ไม่ได้เลย”

ราตรีนั้นกลุ่มบริวารผู้หลงในกิเลสกามหามีใครหนีกลับออกไปกับนายสำเภาไม่
  กว่าจะรู้ว่าหลงผิดติดบ่วงมาร ทุกสิ่งก็สายเกินแก้เสียแล้ว “นี่แหละจ๊ะ ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา เป็นไงจ๊ะ อึ้งไปเลยละสิ เจ้ามนุษย์เอ้ย เจ้าได้เป็นอาหารของเราแน่ๆ” “มามะ กลัวทำไมละจ๊ะ

จำน้องไม่ได้เหรอ มามะ เข้ามาสิจ๊ะ ถอยหนีกันทำไม มามะ คืนนี้พวกเราอิ่มกันมาแล้ว พวกท่านไม่ต้องเสียใจไป มื้อหน้าเป็นรอบพวกเจ้าแน่” นางยักษิณีเอาชายผู้หลงกิเลส อยากได้ อยากมี

อยากครอบครองไปล่ามโซ่ขังไว้ในถ้ำรอกินเป็นอาหาร
  “โอ้ ไม่น่าเชื่อ หญิงงามอย่างนั้น เป็นยักษ์จริงๆ รึเนี่ย ตายแล้วเรา” “ไม่น่าเลยเรา เราน่าจะหนีไปกับนายสำเภาตั้งแต่แรก โอ้ย ตายๆ ตาย แน่ๆ เลยเรา”แล้วราตรีแห่งความสยดสยองก็เริ่มขึ้น

พ่อค้าผู้ติดในบ่วงกามทยอยตายลดจำนวนลงอย่างมากมาย “อ้าว ร้องกันเข้าไป เนื้อคนที่ตกใจสุดขีดนี่แหละมันหวานนัก อร่อย หวาน” “กระดูกอ่อนนี้มันเคี้ยวมันดีนัก ยิ่งตรงแขนนี่แหละอร่อย

สายดายน่าจะอ้วนกว่านี้อีกหน่อย จะได้ติดมันนิดๆ”
  ครั้งนั้นมีบริวารเชื่อคำเตือนที่พากันติดตามออกมารอยังฝั่งทะเลเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาต่างรอความหวังที่จะรอดชีวิตอย่างอดทน นายสำเภารู้ว่าเวลานี้จะมีพระโพธิสัตว์

เสด็จมาช่วยมนุษย์จึงเฝ้าสวดมนต์อ้อนวอน “ด้วยความดีที่ได้ทำสั่งสมมาโปรดช่วยให้พวกเรารอดชีวิตกลับไปในครั้งนี้ด้วยเถิด” เมื่อถึงฤกษ์มงคลของมนุษย์โลกก็ปรากฏร่าง

วลาหกม้าเหิรหาวโฉบผ่านรัศมีจันทร์มุ่งมายังเกาะนางยักษิณี
  วลาหก เป็นม้าวิเศษอันพำนักอยู่ในหิมพานต์เป็นม้าสงเคราะห์มนุษย์ผู้ตกทุกข์เพื่อสั่งสมบารมี เมื่อเหาะมาถึงเกาะตามพปัณณิก็ร่อนลงเพราะเมฆทิพย์อันเป็นยานบรรทุกช่วยเหลือ

“เราคือพระยานอัศวราชวลาหก ให้ทุกคนจงตั้งจิตเป็นกุศลว่าจะทำแต่ความดีสืบไปแล้วเราจะช่วยพวกท่านให้พ้นจากอันตรายนี้” “เราขอตั้งสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะทำแต่ความดีสืบไป”

“ดีแล้ว พวกท่านจงเร่งขึ้นนั่งบนเมฆทิพย์นี้เถิด เราจะใช้ฤทธิ์เหาะพาพวกท่านไปยังดินแดนมนุษย์เดี๋ยวนี้” “พวกเรารอดแล้ว สาธุ” “รอดตายแล้วพวกเรา”พริบตาต่อมาชาวสำเภา

ผู้เชื่อในคำตักเตือนของผู้นำและม้าวลาหก ก็รอดพ้นหายนะจากเกาะยักษิณีสู่ดินแดนมนุษย์อย่างปลอดภัย


 ในพุทธกาลสมัย บุรุษผู้พ้นหายนะ กำเนิดเป็น พุทธบริษัท


ม้าวลาหก เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-วลาหกัสสชาดก.html
59  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กณเวรชาดก-ชาดกว่าด้วยหญิงหลายผัว เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 04:07:38 pm

กณเวรชาดก-ชาดกว่าด้วยหญิงหลายผัว

   ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการประเล้าประโลมของภรรยาเก่าของภิกษุ จึงตรัส

พระธรรมเทศนานี้ ครั้งนั้นในพระนครสาวัตถีมีกุลบุตรคนหนึ่งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดาแล้วรู้สึกเลื่อมใสจึงขอบรรพชาถวายตนในพระพุทธศาสนา

  ครั้นบวชแล้วภิกษุนั้นก็ไปบิณฑบาตกับอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ แต่อาหารที่ชาวบ้านถวายกลับไม่เพียงพอ บางครั้งภิกษุนั้นจึงได้รับเพียงน้ำข้าวบ้าง หรือข้าวตัง

ข้าวตากบ้างซึ่งไม่พออีก “วันนี้ได้กินน้ำข้าวอีกแล้ว เฮ้อ แค่นี้จะไปพออิ่มที่ไหนกัน”
  เมื่อมีอาหารไม่พออิ่มภิกษุนั้นก็ถือเอาอาหารที่ตนได้แล้วกลับไปยังบ้านของภรรยาเก่า เห็นดังนั้นก็เอาอาหารในบาตรทิ้งเสีย แล้วถวายอาหารอย่างดีที่เตรียมแก่ภิกษุนั้น

“โอ้โห ทำไมในบาตรของหลวงพี่มีแต่น้ำข้าวละจ๊ะ ไม่ได้การล่ะ เดี๋ยวน้องนี่จะเอาอาหารดีๆ มาถวายดีกว่านะจ๊ะ” ภิกษุนั้นติดในรสอาหารภรรยาเก่า
 จนในเวลาต่อมาภิกษุนั้นก็คิดจะสึกเพื่อกลับไปอยู่กับภรรยาเก่า เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงไปหาพระอาจารย์และอุปัชฌาย์เพื่อขอสึก “พระอาจารย์ ข้ามาขอสึกขอรับ” “เจ้าก็ตั้งใจบวชแต่แรก

ทำไมจึงคิดสึกเสียล่ะ” “ข้าไม่สามารถตัดภรรยาเก่าได้ขอรับ” “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปเฝ้าพระศาสดาก่อนเถิด” พระอาจารย์และอุปัชฌาย์นำภิกษุนั้นเข้าเฝ้า
   เมื่อพระศาสดาทรงรู้ว่าภิกษุนั้น ต้องการละจากเพศบรรพชิตแล้วจึงตรัสเตือนสติภิกษุนั้น “ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อนเธออาศัยหญิงนี้ จึงได้รับการตัดศีรษะด้วยดาบ”

พระศาสดาทรงตรัสดังนี้แล้ว จึงทรงน้ำเอาเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้
 ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดฤกษ์โจรในเรือนคฤหบดีคนหนึ่งในกาสิกคาม เมื่อพระโพธิสัตว์เจริญวัยแล้ว

ก็กลายเป็นมหาโจร มีกำลังดุจช้างสาร ใครๆ ไม่สามารถจับตัวได้ เป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย
 “เฮ้ย เจ้าโจรนั่นลงมือปล้นอีกแล้ว ไม่มีใครจับมันได้เลยหรือไงเนี่ย” “ข้าล่ะกลัวจริงๆ ถ้ามาปล้นบ้านข้า ก็ต้องแย่แน่ๆ” “จนๆ อย่างเจ้านะรึ จะมีอะไรให้โจรมันปล้น”

“แหม เจ้าหน่ะ ร่ำรวยนักรึ ดีล่ะ ขอให้โจรมาปล้นบ้านเจ้าซะวันพรุ่งนี้เลยแล้วกัน” “อ้าว เจ้านี่ปากเสียนะเนี่ย”
  วันหนึ่งมหาโจรได้ปล้นเรือนของเศรษฐีแห่งหนึ่ง ได้ทรัพย์สมบัติมามากมาย ชาวเมืองทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้กราบทูลต่อพระราชา “ตอนนี้มีมหาโจรออกปล้นในเมืองของเรา

สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงโปรดให้จับโจรผู้นี้ด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”
 พระราชาทรงรับสั่งให้ทหารที่รักษาพระนครไปจับมหาโจรนั้น จนในเวลาต่อมาก็สามารถจับมหาโจรได้พร้อมของกลาง “พวกเราจับตัวมหาโจรได้พร้อมของกลางพระเจ้าค่ะ”

“ดีมาก เอามันไปตัดหัว” ขณะที่มหาโจรถูกนำตัวไปประหารนั้น หญิงคณิกานางหนึ่งนามว่า สามา นางคณิกาที่พระราชาทรงโปรดปรานเห็นมหาโจรนั้น
 ก็เกิดต้องตาต้องใจ เกิดความรักใคร่ในตัวโจรนั้น “อื้อหือ โจรผู้นี้ รูปงามเหลือเกิน ดีล่ะ เราจะเอามาเป็นสามีของเราให้ได้” นางสามามอบทรัพย์พันหนึ่ง

ให้หญิงคนรับใช้เพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ โดยอ้างว่ามหาโจรผู้นี้เป็นพี่ชายของนางสามาผู้เป็นที่โปรดปรานของพระราชา
     “โจรผู้นี้ เป็นพี่ชายของนายข้า ท่านโปรดรับเงินนี้ไว้ แล้วปล่อยตัวไปเถิด” “จะให้ข้าปล่อยไปได้อย่างไร โจรนี่ ใครๆ ก็รู้ว่าทางการต้องการตัว ถ้าข้าปล่อยไป

หัวได้หลุดจากบ่ากันพอดี” “ท่านก็ช่วยหน่อยเถิด เงินนี่จำนวนก็ไม่น้อย ถ้าท่านรับไว้ก็สบายไปหลายปีเลย”
    เจ้าหน้าที่ผู้คุมตัวมหาโจร อยากได้เงินสินบนนั้น จึงได้วางแผนสับตัวมหาโจรนั้นกับคนอื่น โดยให้หญิงรับใช้กลับไปบอกอุบายนี้แก่นางสามา “จะว่าไปมันก็พอมีทาง

ถ้าเจ้าหาคนมานั่งแทนในรถนั้นได้ ก็คงไม่มีใครรู้” ในกาลนั้นมีบุตรเศรษฐีผู้หนึ่งหลงรักนางสามาให้ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน
 แม้วันนั้นก็นำทรัพย์หนึ่งพันมาให้นางเช่นเคย “น้องสามา วันนี้พี่เอาเงินมาให้เจ้าเหมือนเดิม มามะ มาให้พี่ชื่นใจหน่อย เจ้าคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า” ฝ่ายนางสามา

เมื่อรับทรัพย์พันหนึ่งแล้วก็แกล้งร้องไห้ แล้วจึงหลอกให้บุตรเศรษฐีทำตามอุบายที่นางวางไว้ “น้องสามา เจ้าร้องไห้ทำไม ใครรังแกเจ้าบอกพี่สิ”
  “โจรที่ถูกจับได้เมื่อคืน เป็นพี่ชายของข้าเอง ข้าต้องเอาเงินนี้ไปให้เจ้าหน้าที่เพื่อปล่อยพี่ชายของข้า” “แบบนี้นี่เอง เจ้าไม่ต้องร้องไห้ เดี๋ยวข้าจะนำเงินนี่ไปเอง


เจ้ารอฟังข่าวดีที่นี่เถิด” นางสามาหลอกให้บุตรเศรษฐีนำทรัพย์พันหนึ่งไปให้เจ้าหน้าที่ เมื่อบุตรเศรษฐีไปถึงก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวไว้ แล้วจับเปลี่ยนตัวกับมหาโจร
 โดยให้มหาโจรนั่งอยู่ยานที่มิดชิดแล้วส่งตัวไปให้ที่นางสามา ส่วนบุตรเศรษฐีนั้น ถูกนำตัวไปตัดศีรษะในยามดึกแล้วเสียบร่างไว้ที่หลาว “อย่าโทษข้าเลย

ถ้าจะโทษก็โทษที่เจ้าโง่เองเถิด” “อย่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ปล่อยข้าไปเถิด ข้าไม่ใช่โจร ปล่อยข้า อ๊ากๆๆๆ”
  ตั้งแต่นั้นมา นางสามาก็ไม่ได้รับแขกอีกเที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับมหาโจร ฝ่ายโจรเมื่อเห็นพฤติกรรมของนางสามาแล้ว ก็คิดได้ว่าหากนางมีใจให้ชายอื่นเมื่อใด ก็คงคิด

ฆ่าตนได้เช่นกัน “ท่านพี่ คิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ ข้าน่ะจะนวดให้ท่านพี่เอง” “ปละๆ เปล่า..จ๊ะ พี่คิดว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้มาอยู่กับเจ้า”
   (นางสามาผู้นี้หากวันข้างหน้าเกิดชอบใจชายอื่นก็คงฆ่าเราได้เช่นกัน เราควรหนีไปที่อื่นดีกว่า) วันหนึ่งมหาโจรได้ออกอุบายที่จะหลบหนี โดยแกล้งชวนนางสามา

ไปเที่ยวเล่นในสวนอุทยาน ครั้นไปถึงสวนอุทยานแล้ว ก็ทำทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์ จึงพาเข้าไประหว่างตรงพุ่มยี่โถแห่งหนึ่ง
  ทำทีเหมือนสวมกอดนางสามานั้นแล้วจึงกดนางลงจนสลบ จากนั้นจึงปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวงนำติดตัวหลบหนีไปด้วย “อย่าโทษข้าเลยนะ อยู่กับเจ้าวันหนึ่งข้าก็ต้องตาย”

ต่อมาเมื่อนางสามาฟื้นขึ้นไม่เห็นมหาโจร ถามหญิงรับใช้ก็ไม่มีใครเห็น นางจึงคิดว่ามหาโจรสำคัญว่านางตายแล้ว จึงกลัวแล้วหลบหนีไป “โธ่ท่านพี่คงคิดว่าน้องตายแล้ว

จึงตกใจหนีไป”
 ตั้งแต่นั้นมา นางสามาก็เฝ้าคร่ำครวญถึงมหาโจรไม่เป็นอันกินอันนอน คิดแต่จะหาทางนำตัวมหาโจรกลับมาให้ได้ นางได้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วมอบทรัพย์พันหนึ่ง

เพื่อให้แสดงขับร้องเพลงในที่ต่างๆ เพื่อบอกให้มหาโจรรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ “ท่านจะให้พวกเราทำอย่างไรก็ว่ามาเถิด” “พวกเจ้าไปที่ไหน ก็จงร้องเพลงบอกสามีของข้าให้รู้

ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่
   หากพบสามีข้าแล้ว จงนำเขากลับมาหาข้า หรือถ้าเขาไม่มาก็จงส่งข่าวมาเถิด” พวกนักฟ้อนรำ รับเงินมาแล้ว ก็ทำการแสดงตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งมาถึง

บ้านปัตจันตคามแห่งหนึ่งที่มหาโจรนั้นหนีมาอยู่ “ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขนในสมัยที่อยู่ในกอชบามีสีแดง เธอได้สั่งความไม่มีโรคมายังท่าน”มหาโจรได้ฟัง

บทเพลงแล้วก็แปลกใจ ไม่เชื่อว่านางสามายังมีชีวิตอยู่ จึงได้เข้าไปพุดคุยกับบรรดานักฟ้อนเหล่านั้น “ที่เจ้าว่านางสามายังไม่ตายนะเป็นความจริงรึ”
  “ท่านคงเป็นสามีของนางสินะ นางให้พวกเรานำตัวท่านกลับไป” “ข้าไม่เชื่อหรอกนางตายไปแล้ว” “นางยังไม่ตายจริงๆ ตอนนี้นางเฝ้าแต่คิดถึงท่าน

โปรดกลับไปกับเราเถิด” มหาโจรได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่านางสามายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปอยู่กับนาง จึงบอกกับบรรดานักฟ้อนรำให้กลับไปเสีย

“พวกเจ้ากลับไปเถิด ข้าไม้ต้องการอยู่กับนางที่ฆ่าได้แม้กระทั่งคนรักเก่า วันข้างหน้าหากนางพบคนที่ถูกใจ นางก็คงฆ่าเราได้เช่นกัน” บรรดานักฟ้อน

ทั้งหลายได้กลับไปบอกสิ่งที่มหาโจรพูดแก่นางสามา เมื่อนางได้ฟังดังนั้น ก็สำนึกในความผิดนั้นของตน แล้วเลิกล้มความตั้งใจที่จะนำตัวมหาโจรกลับมา

“หือๆๆ ข้าผิดไปแล้ว  สมควรแล้วล่ะที่ท่านพี่จะทิ้งข้าไป หือๆๆ”     

     พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันถึงภรรยาเก่าก็ดำรงอยู่ใน

โสดาปัตติผล


เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุรูปนี้

นางสามาในครั้งนั้น ได้เป็น ปุราณทุติยิกาภรรยาเก่า

ส่วนโจรในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
60  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กาฬกัณณิชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตร เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 03:51:41 pm

กาฬกัณณิชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตร


 ตลอดพระชนม์ชีพแห่งพระพุทธศาสดานั้น สถานที่ที่พระพุธเจ้าทรงจำพรรษาเพื่อเทศนาโปรดสาธุชนเป็นเวลานานปีที่สุด ก็คือที่พระเชตวันมหาวิหาร

ซึ่งกล่าวกันว่าท่านอาณาถบิณฑิกเศรษฐีต้องซื้อที่ดินมาปลูกสร้างด้วยการด้วยการเอาแผ่นทองคำปูลาดอาณาเขตพระอารามนั้นที่เดียว
 ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงมีข้อธรรมอันเกี่ยวข้องกับเศรษฐีผู้เป็นองค์อุปถัมภ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาท่านนี้ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกอยู่เสมอ

และข้อธรรมคำสอนหลายข้อ ก็เกี่ยวข้องท่านผู้นี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน ดังเหตุแห่งการสาทกเทศนาคราหนึ่ง อาณาถบิณฑิกเศรษฐีได้กราบทูล
 เรื่องสหายเก่าที่ท่านอุปการะไว้ท่ามกลางความริษยาของบริวารในบ้าน สหายเก่าท่านนี้ได้รับความเกลียดชังจากบริวารในบ้าน เพราะเป็นผู้ดี

ตกยากมาและชื่อเสียงยังไม่เป็นมงคล “สหายท่านนี้ได้ทุ่มเทช่วยเหลือจนข้าพระพุทธเจ้าให้พ้นภัยจากโจรมาได้
 แม้เหล่าบริวารจะไม่ชอบ แต่หม่อมฉันก็ไม่อาจละทิ้งสหายผู้นี้ได้พระเจ้าค่ะ เมื่ออาณาถบิณฑิกเศรษฐีเล่าเรื่องราวถวายจนจบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงตรัสว่า “ดูก่อนคฤหบดีมิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่มิตรเก่ารักษาทรัพย์ในเรือนไว้ให้ในอดีตชาติก็เคยเกื้อกูลต่อกันมาแล้ว”
 เมื่อท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนาจึงทรงตรัสเล่าเรื่อราวว่าด้วยมิตรแท้ กาฬกัณณิชาดกขึ้นดังนี้ ในอดีตชาติหนึ่งยังมีกุลบุตรในตระกูลดี คบหากัน

เป็นสหายรัก ร่วมกินร่วมเล่นกันจนเติบโตขึ้นก็ได้ไปเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ด้วยกัน
  “ดีนะที่เราเรียนมาด้วยกัน เราจะได้ไม่เหงามีเพื่อน” “นั้นนะซิ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อตาย” แม้เมื่อจบการศึกษา

ก็ยังสำเร็จมาพร้อมกัน ได้เวลาเดินทางกลับพาราณสีบ้านตนพร้อมๆ กัน
   “บัดนี้พวกเจ้าก็ศึกษาเล่าเรียนจนจบแล้ว พวกเจ้าจงนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพวิชา พัฒนาบ้านเมืองของพวกเจ้าเถิด” สหายทั้งสอง

ได้แยกทางกันไปใช้ชีวิตที่เขตแบ่งของนครหลวงกับนิคมชนบทเพื่อกลับสู่บ้านเกิดของตน “กาฬกัณณิ สัญญานะเพื่อน ว่าจะมาเยี่ยมเราบ้าง”
“เออ เราสัญญา ไปดีมาดีนะเพื่อนเอ๋ย ” ฤดูกาลผ่านไปหลายพรรษา เพื่อนของกาฬกัณณิทำมาค้าขายจนกลายเป็นเศรษฐีตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่

และไม่เคยได้ข่าวของสหายรักแต่อย่างใด “เฮ้อ จากกันไปตั้งนาน ทำไมสหายรักของเรา ถึงไม่มีข่าวคราอะไรเลยนะ จะอยู่ดีมีสุขอย่างไรบ้าง

ก็ไม่รู้”
  กระทั่งวันหนึ่งเศรษฐีผู้นี้ก็ได้เจอกับสหายรักกาฬกัณณิ “นายครับ ข้างนอกกบ้านมีคนชื่ออัปมงคลผู้หนึงมาหา อ้างว่าเป็นมิตรสหายของนายขอรับ”

“ให้ดิฉันไล่ไปเลยมั๊ยค่ะ” “ให้เขาเข้ามาเถิด” “นี่คือกาฬกัณณิ คนที่ว่าขอรับ”
เมื่อแรกเห็นสภาพซอมซ่อของเพื่อนรัก เศรษฐีก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด กลับยินดีเป้นอย่างยิ่งที่ได้พบสหายเก่า “โอ้ กาฬกัณณิเพื่อเกลอ

จากกันตั้งนาน เราไม่ได้ข่าวท่านเลย เป็นอย่างไรบ้างเพื่อเกลอ” เศรษฐีมิดีรังเกียจเพื่อนแต่อย่างใด กลับนึกเวทนาและตั้งใจอุปถัมภ์
เพราะสภาพนั้นดูสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วจริงๆ “สหายเอ๋ย บัดนี้เราทุกข์ทรมานเหลือเกิน ที่ชนบทนั้นแห้งแล้งเหลือเกิน ไม่ว่าจะปลูกพืชผลเท่าใด

ก็ไม่ได้ผลเลย” “เพื่อเอ๋ย จงมาทำงานกินอยู่กับเราเถอะ อย่าได้เร่ร่อนลำบากอีกเลย”
เศรษฐีทำการเกื้อกูลมิตรซึ่งทุกข์ยากอย่างดี ทั้งข้าวของเครื่องกินดื่ม และเสื้อผ้าที่พัก อันเป็นคุณธรรมข้อสงเคราะห์มิตรที่ดี “ขาดเหลือสิ่งใด

ก็เรียกเอาได้จากพ่อบ้านของเราน่ะ อย่าได้เกรงใจ คิดว่าเป็นบ้านของเจ้าเองเถิด” “ชิ มาปุ๊บก็ได้ดิบได้ดีปั๊บ น่ารังเกียจจริงๆ ฮึ เหม็นสาบคนจน”
  กาฬกัณณิแม้ตกระกำลำบากมานาน เมื่อสุขสบายก็มิได้ลำพอง กลับช่วยงานในไร่สวนจนมืดค่ำ ถึงได้กินนอนเอาแรงในยามค่ำสนองคุณเศรษฐี

เช่นนี้ทุกวัน “อืม ทำงานเหนื่อยๆ แล้วมากินของอร่อยๆ หายเหนื่อยไปเลยเรา ที่อยู่ที่นอนก็สบาย สหายเรานี่ดูแลเราอย่างดีจริงๆ”
   แม้ยามหมดการผลิตสินค้าเกษตรในสวน ก็มักมาช่วยเหลืองานบ้านเป็นการเบาแรงข้าทาสที่เป็นคนแก่และสตรีอยู่เสมอ “สหายท่านเศรษฐีนี่

ขยันจริงๆ เลย  ดูซิทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดเลย เราก็พลอยสบายไปด้วย” “หึ ทำขยันไปเถอะ ตักน้ำเป็นตุ่มๆ ให้ได้อย่างนี้ทุกวันก็แล้วกัน
 หมั่นไส้นัก ผู้ดีตกยากนี่” เมื่อกาฬกัณณิทำงานหนักเพียงไร เศรษฐีก็ตอบแทนความดีของสหายที่เป็นบริวารเป็นน้ำใจมิได้ดูดายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้

พ่อบ้านก็บันดาลริษยาขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ “เก็บเบี้ยนี้ไว้เถอะ เราทำงานก็เพื่อจะตอบแทนที่ท่านดูแลเราอย่างดี” “ไม่เป็นไรหรอก เรายินดี
 น้ำใจที่ท่านช่วยเหลือเรานะ มันมากมายนัก ของเหล่านี้จริงๆ แล้วทดแทนไม่ได้ด้วยซ้ำ รับไว้เถิดสหาย” “แหม ทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมรับ สักวันเถอะ

ข้าจะต้องไล่เจ้าไปอยู่ที่อื่นให้ได้” พ่อบ้านได้บันดาลกาฬกัณณิมากขึ้นทุกๆ วัน จนกระทั่งทนไม่ไหว เขารวมเอาพรรคพวกซึ่งเป็นคนเก่าแก่
พากันมาร้องขอให้เศรษฐีกระทำเนรเทศกาฬกัณณิออกไปจากบ้าน “ได้โปรดไล่กาฬกัณณิ ออกไปเถิด เขาช่างชื่ออัปมงคล อีกทั้งเคยตกต่ำ

เขาอาจจะคบหาผู้ร้ายยากจนมาก็ได้นะ ท่านเศรษฐี ทั้งน่ารังเกียจ น่ากลัว นายไล่มันไปเถอะ”
 “ทุกคนฟังนะ คนเรานั้นนะ แค่เดินร่วมกัน 7 ก้าว ก็นับว่าเป็นมิตร เดินด้วยกัน 12 ก้าวนับเป็นสหาย ถ้าอยู่ร่วมกันถึงเดือน นับว่าเป็นญาติ

ยิ่งคนอยู่ร่วมทุกข์สุขกันมานานเช่นเพื่อนเราคนนี้น่ะ นับได้ว่าเสมอเป็นเองทีเดียว แล้วจะให้เราขับไล่คนที่ยิ่งกว่าญาติของเราคนนี้ไป

ได้อย่างไร”
 “แต่เขาชื่อเป็นอัปมงคลนะขอรับ อาจทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนายท่านนะขอรับ” “ความอัปมงคลของชื่อนั้นหน่ะ หมู่บัณฑิตผู้เจริญ

เขาไม่ได้ยึดถือเลย ให้เขาอยู่โดยสวัสดีเถอะ”
 กาฬกัณณิเมื่อรู้ว่าพ่อบ้านไม่ชอบตน ก็เลี่ยงไปทำงานห่างๆ วันหนึ่งขณะกำลังเก็บก้อนหินซ่อมกำแพงบ้านอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนภายนอก


พูดคุยกัน “คืนนี้ ต้องคืนนี้สหายเอ๋ย พวกข้าได้ยินมาว่า เศรษฐีจะออกนอกบ้านทั้งคืน เมื่อนายไม่อยู่ บริวารก็ย่อมละทิ้งหน้าที่กันอย่างแน่นอน
 จากที่เคยเฝ้ายามลาดตระเวน มันก็ต้องแอบหลับกันแน่ๆ รับรองพวกเราปล้นกันได้ง่ายๆ ชัวร์” กาฬกัณณิได้ยินพวกโจรพูดกัน ก็คิดอุบายแก้ไข

“เจ้าโจรพวกนี้ คิดจะมาปล้นบ้านเศรษฐีสหายเรารึนี่ ไม่ได้การล่ะ เราต้องทำให้บ้านครึกครื้นเหมือนตอนที่ท่านเศรษฐีอยู่
  ต้องจัดเวรยามถืออาวุธให้ครบมือรอไว้” กาฬกัณณินำเรื่องไปหารือพ่อบ้าน แม้มิอาจลดทิฐิลงได้ทั้งหมดแต่ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี “นี่ถือว่า

ทำเพื่อนายนะท่าน เราจะช่วยเหลือเจ้าก็ได้ เจ้าไปบอกฝ่ายกิจกรรมได้เลย ส่วนอาวุธกันคนเฝ้ายามนี่ พี่จะจัดการให้เองน้อง”
 เมื่อค่ำคืนมาเยือนคฤหาสน์ของเศรษฐีก็ครึกครื้นเหมือนมีงานฉลอง ซึ่งเจ้าของบ้านจัดขึ้นบ่อยๆ กาฬกัณณิเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทุกอย่างในคืนนี้

เขาชักชวนชายฉกรรจ์ภายในบ้านถือคบไฟติดอาวุธ ขึ้นเดินระวังภัยบนกำแพงรั้วของคฤหาสน์ตลอดเวลา ซึ่งได้ผลดีสมเจตนา
  “เฮ้ย นี่มันยังไงกันแน่ ไหนว่าเศรษฐีไม่อยู่ไง ทำไม่ถึงมีงานเลี้ยงครื้นเครงอย่างนั้นหล่ะ” “ข้าว่าเจ้าได้ข่าวมาผิดแน่ๆ เลย เศรษฐีคงไม่ได้ออก

ไปไหนหรอก ไม่งั้นจะมีงานเลี้ยงได้อย่างไรกัน” “รอดูกันอีกสักพักก่อนเถิด อย่าเพิ่งเข้าไปเลย”
   จนจันทร์คล้อยต่ำ น้ำค้างโรยลงทั่วพื้นบอกเวลาใกล้รุ่ง กาฬกัณณิก็ยังไม่ยอมพักผ่อน เขาไม่ได้หยุดผลัดเวรยามเลย “ตรวจเวรยามกันให้ดีล่ะ

รอให้ฟ้าสางก่อนเถิด ตอนนี้ยังไว้ใจไม่ได้หรอก ไม่แน่ว่าโจรพวกนั้นหน่ะ อาจจะยังซุ่มดูอยู่ก็ได้” การเฝ้าเวรยามอย่างดีของกาฬกัณณิ
   ส่งผลให้ทรัพย์สินของมิตรผู้มีพระคุณปลอดภัย ในเวลาต่อมาคณะโจรก็ได้เวลาถอนตัวจากไป “โธ่ อะไรกันนี่ จะขยันเฝ้ายามอะไรปานนั้น

จนเช้าแล้วยังไม่นอนอีก” “เฮ้อ งานนี้ชวดอีกตามเคย ถอยดีกว่า”

 เมื่อตะวันสายเศรษฐีก็กลับมา และได้รับการรายงานเรื่องราวโดยละเอียด “กาฬกัณณิทำคุณใหญ่หลวงมิได้ มิได้เป็นตัวโชคร้าย ดังถ้อยคำตามชื่อ


เลยขอรับ” “กระผมผิดไปแล้วขอรับ ต่อไปจะไม่มองคนแต่ภายนอกแล้วขอรับ” “พวกเธอจงเชื่อเถิด ขึ้นชื่อว่ามิตร ย่อมเกื้อกูลต่อกันเสมอ แม้มิตรนั้น


จะตกต่ำในฐานะ แต่เมื่อจิตใจร่ำรวยดังนี้ มิตรอย่างเราก็ต้องอนุเคราะห์ให้ทรัพย์เป็นทุนกับเขายิ่งๆ ขึ้นไป” “ฮึๆ เขินเลยเรา ชมกันซะขนาดนี้”
   

     ต่อมาเมื่อถึงเวลาอันควร กาฬกัณณิก็ลงทุนทำการค้าในพาราณสี โดยมีมิตรแท้อุปการะจนสิ้นอายุจากกัน


ในพุทธกาลสมัย กาฬกัณณิกำเนิดเป็น พระอานนท์เถระ

เศรษฐีเสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-กาฬกัณณิชาดก.html
61  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / ตโยธัมมชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้มีธรรม 3 ประการ เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 03:35:57 pm

ตโยธัมมชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้มีธรรม 3 ประการ


  แคว้นมคธ ดินแดนแห่งพระรัตนตรัย ชาวบ้านชาวเมืองให้ความศรัทธากับพระพุทธศาสนาไม่เสื่อมคลาย ยึดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของจิตใจ

เป็นหลักยึดให้คนทำความดีละอายต่อบาป แต่ในหมู่คนดีก็มีคนชั่วปะปนอยู่ มารพุทธศาสนาที่ผู้คนโกรธแค้นชิงชัง
ผู้นั้นคือ พระเทวทัต ความชั่วร้ายของพระเทวทัตมีมากมายจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าพสกนิกรและภิกษุสงฆ์ ความชั่วร้ายที่รุนแรงที่สุดจนผู้คนไม่อาจทน

ดูดายอยู่ได้คือ การปองร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ นับวันพระเทวทัตก็คิดแผนร้ายมาปลงพระชนม์องค์พระศาสดาเรื่อยๆ

  เราจะปกป้องพระองค์อย่างไรกันดี” “นั่นนะสิ คิดแล้วก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์ ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราหน่ะ จะทำอะไรเพื่อท่านได้บ้างนะ” มิใช่แต่

ในกลุ่มประชาชนเท่านั้นแม้แต่ในเหล่าภิกษุสงฆ์เองก็เป็นห่วงเป็นใยในเรื่องความประพฤติอันร้ายกาจที่พระเทวทัตทรงกระทำต่อองค์พระศาสดาเช่นกัน
  ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่พระเวฬุวันมหาวิหาร พระพุทธองค์ได้สดับคำปรารภของบรรดาภิกษุสงฆ์ถึงการที่พระเทวทัตพยายามจองล้างจองผลาญ

พระพุทธองค์ด้วยประการต่างๆ อยู่อย่างไม่ลดละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาจะปลอบใจภิกษุทั้งหลายให้คลายความวิตกกังวลห่วงใยในพระองค์

  “ดูก่อนเถิดภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตมิได้ตามจองล้างจองผลาญเราเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนๆ ก็ได้พยายามทำร้ายเรามาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เคย

ทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง” พระบรมศาสดาจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณอันเป็นเครื่องหยั่งรู้ภพชาติในอดีตแล้วนำ

  ตโยธัมมชาดก มาตรัสเล่าแก่พระภิกษุสงฆ์ดังนี้ กาลครั้งหนึ่ง ณ กรุงพาราณสี แคว้นกาสีมีพระเจ้าพรหมทัตปกครอง ในป่าแห่งหนึ่งของนครนี้มีวานรจ่าฝูง

และวานรบริวารฝูงใหญ่อาศัยอยู่ วานรจ่าฝูงนี้มีนิสัยดุร้ายหลงในอำนาจของตัวเอง มันครอบครองวานรตัวเมียในฝูงไว้ตัวเดียว ไม่ยอมให้วานรตัวผู้อื่นๆ

   ได้ทำการสืบพันธ์ุ “พวกเจ้าทุกตัว จงทำตามคำสั่งของข้า ถ้าใครไม่ทำตาม มันผู้นั้นอย่าได้มีชีวิตต่อไปเลย” วานรจ่าฝูงนี้มีจิตใจโหดเหี้ยม เมื่อมีลูกวานร

ที่เป็นตัวผู้เกิดขึ้น มันจะกัดอัณฑะของลูกมันทิ้งเสีย เพราะมันกลัวว่าหากวานรนั้นเติบโตขึ้นจะแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของมันไป ดังนั้นในฝูงวานรนั้น
 ก็มีมันเพียงตัวเดียวที่สามารถให้กำเนิดพืชพันธ์วานรได้ “โธ่ๆ ลูกแม่ เจ้าโชคร้ายนักที่เกิดมาเป็นเพศผู้ แม่ต้องปล่อยให้เจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา ฮือๆ ๆ ลูกแม่”

วันหนึ่ง นางวานรตัวหนึ่งได้ตั้งครรภ์ ด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางมิรู้ว่าว่าจะเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย มันจึงหนีออกจากฝูง
    มาซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขาและซ่อนตัวคอยระวังครรภ์ของมันเป็นอย่างดี “ลูกเอ๋ย หากเราอยู่ในฝูง แม่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะได้มีโอกาสได้เติบใหญ่หรือไม่ เราหลบอยู่กัน

ที่นี่เถิดน่ะ แม่จะคอยดูแลเจ้าเอง” เวลาผ่านไปวานรตัวนี้ก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ โชคดีของวานรน้อย มันคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
 และมีโอกาสเติบโตโดยที่จ่าฝูงผู้เป็นพ่อมิได้รับรู้ “ลูกแม่ ดีแล้วที่แม่คิดหนีออกมา ไม่งั้นแม่ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นลูกเติบโต แม่จะเลี้ยงเจ้าให้ดีที่สุด”

นางวานรได้ถนอมเลี้ยงดูลูกของมันเป็นอย่างดี มันพยายามดูแลให้ลูกอยู่ห่างจากฝูงมากที่สุด ลิงน้อยมีความซุกซนและเฉลียวฉลาด
 และมักจะเฝ้าถามเรื่องชาติกำเนิดและเหล่าผองเพื่อนลิงของมันเสมอ แต่แม่ลิงก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบลูกมันทุกครั้ง เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของลูกมัน

“แม่ๆ พ่อของลูกอยู่ที่ไหนจ๊ะ แล้วลิงตัวอื่นๆ ไปไหนกันหมด ทำไมในป่าถึงมีแต่แม่กับผมที่เป็นวานรละครับ”
   “เอาเถิดลูกแม่ ตอนนี้เจ้ายังเล็กนัก ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้หรอก” วานรน้อยได้เติบโตเป็นวานรหนุ่มที่มีรูปร่างสง่างาม ร่างกายสมบูรณ์ พละกำลังมหาศาล

แม่วานรเมื่อเห็นลูกของมันแข็งแรง ฉลาดหลักแหลมสามารถเอาตัวรอดจากภัยที่มาจากผู้เป็นพ่อได้
  จึงเล่าเรื่องฝูงของมันให้ลูกฟัง “ลูกจ๋า มาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังอยากรู้ ชาติกำเนิดของเจ้าอยู่หรือไม่” “อยากรู้สิแม่จ๋า ผมอยากรู้จักพ่อ อยากรู้จักญาติๆ เพื่อนๆ

พี่ๆ น้องๆ ของเรา” “ตอนนี้เจ้าก็โตพอที่จะรู้เรื่องได้แล้ว แม่จะเล่าให้เจ้าฟัง”
 แม่วานรเล่าถึงชาติกำเนิดและความชั่วร้ายของจ่าฝูงผู้เป็นพ่อให้ลูกของมันฟัง ลูกวานรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด ก็รู้ถึงความลำบากของผู้เป็นแม่ที่ต้องแยกออกมา

อยู่ตามลำพังตัวเดียว มันจึงอยากพาแม่กลับไปอยู่กับฝูงดังเดิม “แม่จ๋า เรากลับไปอยู่กับฝูงของเราเถอะ”
 “ลูกรักเราไปที่นั้นไม่ได้หรอก ถ้าหากพ่อเจ้ารู้ พ่อเจ้า พ่อเจ้าก็จะใช้เขี้ยวกัดปล้นพืชพันธ์ของเจ้าซะ” “ไม่เป็นไรหรอกแม่จ๋า พาลูกไปที่นั้นเถิด ลูกรู้ว่าต้องทำเช่นไร”

เมื่อขัดความต้องการของลูกไม่ได้ แม่วานรจึงพาลูกไปยังสำนักของจ่าฝูง
 เมื่อวานรจ่าฝูง เห็นลูกวานรมีร่างกายที่กำยำสง่างาม มันก็เกิดความกลัวว่า สักวันลูกของมันตัวนี้ จะมาแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของมันไป “ไอ้ลูกวานรตัวนี้ร่างกาย

มันสง่างามกว่าเรานัก หากปล่อยให้มันอยู่ในฝูงต่อไป สักวันมันต้องแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของเราแน่ๆ ไม่ได้การหล่ะ ต้องกำจัดให้พ้นทางไป”
    วานรจ่าฝูงวางแผนร้าย มันต้องต้องการฆ่าลูกของมันด้วยการกอดรัดเค้นอย่างแรงให้ถึงแก่ชีวิต “มาเถิดลูกรัก เจ้าหายไปไหนมา มาให้พ่อกอดให้หายคิดถึง

หน่อยนะลูก” วานรจ่าฝูงและลูกของของมันโผเข้าสวมกอดกัน เมื่อวานรจ่าฝูงกอดลูกของมันอย่างแรงดังแผนที่คิดไว้
 ลูกวานรผู้มีกำลังมากกว่าก็เค้นกอดพ่อของมันอย่างแรงเช่นกัน แรงรัดของลูกที่มีมากว่านั้น รัดร่างของพ่อมันไว้จนกระดูกแทบแตก วานรจ่าฝูงสู้แรงไม่ไหว

จึงรีบคลายมือผละตัวออกมา ความวิตกกังวลเข้าครอบงำวานรจ่าฝูงอย่างหนักหน่วง มันจึงวางแผนฆ่าลูกวานรด้วยอุบาย
  ให้ยักษ์รากโคตรที่สิงสถิตย์อยู่ในสระไม่ไกลจากที่อยู่ของมัน เป็นผู้ฆ่าลูกของมัน “หือ แรงพลังของมันมีเยอะกว่าเรา เราคงทำอะไรเจ้าลูกคนนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น

คงต้องยืมแรงเจ้ายักษ์ในสระบัวเป็นผู้ฆ่าแทนละกัน” วานรจ่าฝูงวางแผนให้ลูกของมันไปเก็บบัวในสระที่มียักษ์รากโคตรสถิตอยู่
 “ลูกรักเอ๋ย ตัวพ่อก็แก่มากแล้ว พ่ออยากจะมอบหมายให้เจ้าเป็นจ่าฝูงแทน แต่ในพิธีแต่งตั้งนี้ จะต้องใช้ดอกบัว 3 ชนิด ที่กำลังบานอยู่ในสระ เจ้าจงไปเก็บ

ดอกบัวโกมุท 2 ดอก ดอกบัวอุบลมา 3 ดอก และดอกบัวปทุมมา 5 ดอกเถิด” “ลูกขอบคุณพ่อมาก ที่ไว้ใจยกตำแหน่งนี้ให้ลูก
 ลูกจะไปเก็บบัวตามที่พ่อบอก” ลูกวานรไม่รู้ว่าเป็นแผนร้าย มันดีใจที่จะได้ทำหน้าที่ต่อจากพ่อ จึงอาสาไปเก็บดอกบัวด้วยความเต็มใจ ลูกวานรเมื่อเดิน

ไปถึงสระแล้ว ก็พิจารณาสระน้ำ มันเดินไปมารอบสระถึงสามรอบ สังเกตเห็นแต่รอยเท้าลง ไม่พบรอยเท้าขึ้นแม้แต่รอยเดียว “หึๆๆ ฮ่าๆๆ มาแล้วเรอะ

เหยื่อของข้า คราวนี้น่ะ เป็นวานรหรอกเรอะ มาเลย ลงมาในสระนี้เลย เท้าเจ้าแตะน้ำเมื่อไหร่ เจ้าก็จะได้กลายเป็นอาหารของข้าแน่ๆ หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ”
 “อืม น่าแปลกจริงๆ ทำไมจึงมีแต่รอยเท้าที่เดินลงไปในสระน่ะ สงสัยในสระน้ำนี้ต้องมียักษ์สิงอยู่แน่ๆ นี่พ่อเราคิกจะฆ่าเราหรือนี้ จึงใช้ให้เรามาเก็บบัวในสระนี้

พ่อช่างใจร้ายอย่างที่แม่บอกจริงๆ ดีหล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราจะเก็บบัวในสระนี้ โดยไม่ลงไปในสระ” ลูกวานรเมื่อคิดได้ดังนั้น ก็ยืนห่างจากฝั่งพอประมาณ

รวบรวมพละกำลังกระโดดข้ามสระเก็บดอกบัวบนอากาศได้ 2 ดอก ในสองมือ มันทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น สร้างความตกใจแก่เจ้ายักษ์ยิ่ง
   “ฮ่าๆๆ แค่นี้เราก็เก็บบัวได้โดยไม่ต้องลงไปในสระแล้ว” “ห๊า ไม่น่าเชื่อตลอดเวลาที่สิงอยู่ในสระบัวแห่งนี้ ข้าไม่เคยเห็นผู้เป็นอัจฉริยะกอปด้วยปัญญาดั่งนี้มาก่อนเลย

สามารถเก็บดอกบัวได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องลงน้ำ ซึ่งเป็นอาณาเขตของข้าได้เลยรึเนี่ย”
 ลูกวานรผู้มีธรรมะ 3 ประการ คือความขยัน กล้าหาญ และรอบรู้ จึงสามารถเอาชนะใจยักษ์นี้ได้ ยักษ์ใหญ่ใต้สระบัวเลิกคิดร้ายกับลูกวานร แหวกน้ำขึ้นมาเข้าไปหา

ลูกวานรนั้น “ท่านเก็บดอกบัวเหล่านี้ไปทำไมรึ” “บิดาประสงค์จะตั้งข้าพเจ้าเป็นจ่าฝูง ข้าพเจ้าจึงต้องเก็บบัวเหล่านี้ ไปเพื่อทำพิธีแต่งตั้ง” ยักษ์สิงใต้สระบัว เห็นว่า

วานรผู้นี้เป็นผู้สูงส่ง มันจึงอาสาแบกดอกบัวแล้วเดินตามหลังลูกวานรนี้ไปหาบิดา “ไปเถอะท่านวานร ท่านเป็นผู้สูงส่ง อย่าแบกดอกไม้เหล่านี้ไว้เลย

เราจะแบกให้ท่านเอง”
 “ขอบใจท่านมาก งั้นก็ตามเรามาเถิด” เมื่อวานรจ่าฝูงเห็นยักษ์แบกดอกบัวขึ้นบนบ่าเดินตามหลังลูกของมันมาแต่ไกลก็เกิดอาการตกใจ “เราตั้งใจส่งวานรตัวนี้

ไปเป็นอาหารของยักษ์ แล้วทำไมตอนนี้ยักษ์ร้ายถึงได้แบกดอกบัวตามหลังมันมาเสียนิ ตายแน่ๆ เลยเรา บัดนี้วานรลูกเรานั้นคงรู้แล้วซิว่า เราส่งมันไปตาย

โอ๊ะ..ไม่น่ะ ไม่จริง ในที่สุดเราต้องเสียตำแหน่งจ่าฝูงไปจริงๆ หรือนี่” วานรจ่าฝูงยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ มันเสียใจ และกลัวจนหัวใจแตกสลายเป็น 7 เสี่ยง

สิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น เมื่อวานรจ่าฝูงสิ้นใจ ฝูงวานรก็แต่งตั้งลูกวานรนั้น ให้เป็นจอมวานรจ่าฝูงตัวต่อไป

วานรจ่าฝูงในครั้งนั้น คือ พระเทวทัต ในกาลนี้

จอมวานรผู้เป็นลูก เสวยพระชาติ เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-ตโยธัมมชาดก.html
62  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / มตกภัตตชาดก-ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 03:27:04 pm

มตกภัตตชาดก-ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์


 ณ พระเชตวันมหาวิหารในสมัยพุทธกาลนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงปรารภมตกภัต อันเนื่องมาจากด้วยในกาลนั้นมนุษย์ทั้งหลายได้ฆ่าแพะและสัตว์ชนิดอื่นเป็นอันมาก
เพื่อเป็นมตกภัต อุทิศให้ญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว เหล่าภิกษุทั้งหลายจึงนำเหตุดังกล่าวมากราบทูลถามพระศาสดา

 “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้มนุษย์ทั้งหลาย ทำร้ายสัตว์มีชีวิตเป็นอันมาก ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้ชื่อว่า มตกภัต ความเจริญในการให้มตกภัตนี้ มีอยู่หรือพระเจ้าค่ะ”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าความเจริญใดๆ ในปานาติบาต แม้ที่เขากระทำด้วยคิดว่า เป็นการให้มตกภัตดังนี้ ย่อมไม่มี

 แม้ในการก่อนบัณฑิตทั้งหลายนั่งอากาศแสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปานาติบาตนี้ให้ชนชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ละกรรมนั้น แต่บัดนี้กรรมนั้น

ก็กลับปรากฏขึ้นอีก เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้อยู่ในสังเขปแห่งภพนั้นเอง”

พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องอดีตชาดกมาสาธกอธิบายให้ฟังดังนี้ ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี มีอาจารย์สำนักทิศาปาโมกข์

ผู้สำเร็จไตรเพศคนหนึ่ง คิดว่าจักให้มตกภัต จึงให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วกล่าวกับศิษย์ในสำนักของตนว่า

  “ศิษย์ทั้งหลายพวกท่านจงนำแพะตัวนี้ไปยังแม่น้ำ เอามาลัยดอกไม้อันงามสวมคอ เจิมประดับประดาให้งดงามแล้วนำกลับมายังที่นี่เถิด” เหล่าลูกศิษย์

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์ โดยนำแพะนั้นไปยังแม่น้ำ จนอาบน้ำสะอาดสะอ้าน

จากนั้นจึงนำขึ้นมาประดับด้วยดอกไม้พวกมาลัยจนสวยงาม แล้วจึงนำมาพักไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง ฝ่ายแพะนั้น พลันได้เกิดญาณระลึกชาติ ทำให้เห็น

กรรมเก่าของตนในอดีต อีกทั้งได้ทราบถึงสิ่งที่เหล่าพราหมณ์กำลังจะกระทำกับตนในกาลนี้

  จึงเปล่งเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องไห้ ด้วยเสียงอันดังในครู่ต่อมา ทำให้เหล่าพราหมณ์ผู้เป็นศิษย์อาจารย์ทิสาปาโมกข์ต่างพิศวงยิ่งนัก

“เอ๊ะ แพะตัวนี้เป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมมันถึงทำท่าทางอย่างนั้นล่ะ” “เออ นั้นสิ กลัวจนเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย”

   “นี่ เจ้าแพะ เหตุใดเจ้าถึงหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นร้องไห้เช่นนี้ ช่วยเล่าต้นเหตุให้พวกข้าฟังด้วยเถิด” “ฮ้า ฮ่าๆ พวกท่านทั้งหลาย

เมื่อพิศวงถึงเหตุแห่งอาการของข้า ก็โปรดพาข้ากลับไปยังสำนักอาจารย์ของท่าน แล้วจงฟังคำตอบพร้อมกัน

   ณ สำนักอาจารย์ของท่านด้วยเถิด ฮ่าๆ” เหล่าศิษย์ทิศาปาโมกข์เมื่อได้ฟังความดังกล่าว จึงรีบนำแพะนั้นกลับไปยังสำนักของอาจารย์ตน แล้วเล่า

เรื่องราวดังกล่าวให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ได้ฟังคำของมานพผู้เป็นศิษย์โดยถี่ถ้วนแล้ว จึงถามแพะผู้มีอาการประหลาดตัวนี้ว่า

 “แพะเอ๋ย เพราะเหตุใดท่านจึงหัวเราะ และเพราะเหตุใดท่านจึงร้องไห้ในคราวเดียวกันเช่นนี้” “ดูก่อนท่านพราหมณ์ บัดนี้ เราพลันระลึกถึงอดีตได้ด้วยญาณ

อันเป็นเครื่องระลึกชาติ และได้รู้ว่า เมื่อก่อนเราก็เป็นพราหมณ์ ผู้สาธยายมนต์เหมือนกับท่านนั้นแหละ
 และกาลนั้นเราก็จัดคิดให้มตกภัต อุทิศแก่ผู้ล่วงลับเช่นเดียวกับท่าน จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต แล้วด้วยเหตุที่เราได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งนั่นเอง เราจึงนึกถึง

การถูกตัดศีรษะใน 499 ภพชาติที่ผ่านมา และกาลนี้เป็นภพชาติที่ 500 ซึ่งเป็นที่สิ้นสุดในกรรมนั้นของเรา
 เราจึงเกิดความโสมนัสว่า วันนี้แล้วที่เราจะหลุดพ้นสิ้นความทุกข์ ด้วยเหตุนี้เราจึงหัวเราะ ด้วยเหตุนี้ แต่เมื่อเราได้รู้ในกรรมที่พวกท่านกำลังจะกระทำ

เราจึงได้เศร้าสะเทือนใจยิ่งด้วยคิดว่าการที่เราฆ่าแพะตัวนั้น ทำให้เราถึงซึ่งความทุกข์ คือถูกตัดศีรษะถึง 500 ชาติ

  ส่วนพราหมณ์ผู้ได้ฆ่าแพะ คือเราในวันนี้ ท่านเองก็จะทนทุกข์ คือถูกตัดศีรษะถึง 500 ชาติเช่นเดียวกับเรา พราหมณ์เอ๋ย ที่เราร้องไห้ก็ด้วยความกรุณาท่านดังนี้”

“ดูก่อนแพะ ท่านอย่าได้กลัวไปเลย เราจักไม่ฆ่าท่านแล้ว”

  “พราหมณ์เอ๋ย ท่านพูดอะไร ท่านจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเราก็ดี ถึงอย่างไรวันนี้เราก็ไม่อาจพ้นจากความตายไปได้” “แพะเอ๋ย ครั้งนี้เป็นท่านเตือนสติเรา

ดังนั้นเราจักแทนคุณด้วยการอารักขาท่านไม่ให้ได้รับอันตรายเลย”

 “พราหมณ์เอ๋ย เราขอขอบคุณท่านจริงๆ แต่กำลังการอารักขาของท่านนั้นมีผลน้อยนัก เมื่อเทียบกับบาปที่เรากระทำไว้ ซึ่งมีกำลังมากเหลือเกิน”

“ถึงอย่างไร เราก็จะไม่ให้ใครฆ่าหรือทำอันตรายท่านได้ เราจักไปกับท่านด้วย พวกเจ้าที่เป็นศิษย์เรา ใครจะออกติดตามคุ้มครองแพะตัวนี้กับเราบ้าง”

 “ข้าขอไปกับท่านด้วย” “ข้าก็ขอไปด้วย” “ข้าขอขอบคุณพวกท่านมาก เอาเถอะ ถ้าพวกท่านยืนยันเช่นนั้น ก็สุดแล้วแต่ท่านเถอะ” ดังนั้นอาจารย์ทิสาปาโมกข์

จึงให้ลูกศิษย์ปล่อยแพะให้เป็นอิสระ แต่ทันทีที่แพะเชือกถูกปลดออกไปจากคอของแพะ

   และอาจารย์ทิศาปาโมกข์กับเหล่าลูกศิษย์กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางนั่นเอง แพะตัวนั้นก็ออกเดินไปชะเง้อคอกินใบไม้ที่พุ่มไม้ด้านหลังแผ่นหินขนาดใหญ่

ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น และทันใดนั้นก็เกิดอสนีบาตฝาดลงมาที่ด้านหลังแผ่นหินนั้นโดยพลัน สะเก็ดหินขนาดใหญ่อันมีปลายคมกริบชิ้นหนึ่งได้แตกออกมา

  และกระเด็นพุ่งเข้าเชือนคอแพะผู้มีกรรม ซึ่งกำลังอยู่ในท่าชะเง้อคอกินใบไม่อยู่ จนศีรษะแพะนั้นขาดจากกายในบัดดล “โอ๊ยๆๆๆ” “อะไรกันนี่ ลมฝนรึก็ไม่มี

ทำไมอยู่ดีๆ ฟ้าก็ผ่าลงที่แผ่นหินนั้นล่ะ” “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินเสียงเจ้าแพะร้อง เราไปดูกันเถอะ” “อืม จริงด้วย ไปดูกันเถอะ ไปๆ ไปๆ”

 ภาพที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์และเหล่าลูกศิษย์ได้เห็นก็คือ แพะที่พวกเขาปลดปล่อยอิสระตัวนั้น นอนแน่นิ่งอยู่ มันตายสนิทในสภาพที่ศีรษะถูกตัดขาดกระเด็น

“โธ่เอ๋ย เจ้าแพะที่น่าสงสาร เจ้าหนีไม่พ้นเวรกรรมนั้นจริงๆ ด้วย โชคดีเหลือเกินที่พวกเราไม่ได้ผูกเวรกับท่านเอาไว้

ด้วยการประหารท่านเสียเอง นับว่าท่านได้ช่วยพวกเราไม่ต้องทำบาปทำกรรม จงไปดีเถิดเจ้าแพะสหายแห่งเรา” “น่าเวทนาแท้ๆ แต่บาปของเจ้าน่ะ

ก็ได้สิ้นสุดแล้วนะ” ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวาอยู่ในที่นั้น ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวโดยตลอด

 จึงปรากฎร่างอันผ่องใสให้เหล่าพราหมณ์ทั้งหมดอยู่ ณ ที่นั้นได้เห็นด้วยเทวานุภาพ พระโพธิสัตว์ในร่างของรุกขเทวาจึงได้กล่าวแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียง

อันกังวานไพเราะว่า “เหล่าพราหมณ์เอ๋ย ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า ความเกิดมี ของชาติภพนั้น เป็นทุกข์เช่นนี้

 จึงปรากฎร่างอันผ่องใสให้เหล่าพราหมณ์ทั้งหมดอยู่ ณ ที่นั้นได้เห็นด้วยเทวานุภาพ พระโพธิสัตว์ในร่างของรุกขเทวาจึงได้กล่าวแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียง

อันกังวานไพเราะว่า “เหล่าพราหมณ์เอ๋ย ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า ความเกิดมี ของชาติภพนั้น เป็นทุกข์เช่นนี้


แพะนี้เศร้าโศกแล้วเพราะมรณะภัยฉันใด ผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนานฉันนั้น ดังนี้แล้วไม่ว่าผู้ใดก็ตาม จึงไม่ควรกระทำกรรมคือ ปานาติบาตไม่ควรฆ่าสัตว์

ด้วยเหตุผลดังนี้” ครั้นพระโพธิสัตว์ทรงแสดงธรรม โดยยกเรื่องทุกข์ภัยในอเวจีมากล่าวสาทกดังนั้น เหล่าพราหมณ์ตลอดจนมนุษย์ทั้งหลายในกาลนั้น เมื่อได้รับฟัง

และรับทราบในอรรถาธิบายแห่งพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ก็บังเกิดความหวาดกลัวในภัยแห่งนรก ต่างงดเว้นจากปานาติบาตโดยทั่วกัน พระบรมศาสดาเมื่อทรงแสดง

พระธรรมเทศนาแล้ว จึงทรงสืบต่อ อนุสนธิ และได้ทรงตรัสประชุมชาดกว่า


ภิกษุทั้งหลาย รุกขเทวดาในครั้งนั้น คือเราตถาคต นี้แล

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-มตกภัตตชาดก%20.html

63  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / สุวรรณกักกฏชาดก-ชาดกว่าด้วยปูทองผู้ฉลาด เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 03:11:39 pm

สุวรรณกักกฏชาดก-ชาดกว่าด้วยปูทองผู้ฉลาด


ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาได้แบ่งแยกเป็น 2 สำนัก คือสำนักของพระเทวทัต และสำนักของพระพุทธเจ้า พระเทวทัตลุ่มหลงในกิเลส อยากเป็นหนึ่งเดียวแทนที่องค์พระศาสดา

จึงได้คิดแผนต่างๆ เพื่อลอบปลงพระชนม์ ครั้งหนึ่งพระเทวทัตได้วางอุบายจะปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมอมเหล้าช้างนาฬาคีรี ซึ่งกำลังตกตกมัน แล้วปล่อยออกไป

     ในขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต เมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งเข้ามาทางพระพุทธองค์ พระอานนท์ผู้เป็นปัจฉาสมณะ จึงได้เดินล้ำมาข้างหน้าพระศาสดา

ได้คิดหมายจะป้องกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระดำรัสให้พระอานนท์จงหลีกไปอย่าป้องกันพระองค์เลย แต่พระอานนท์ยังยืนยันที่ปกป้อง องค์พระศาสดาต่อไป

 “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์ แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ขอพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย

ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ ได้สละซึ่งสิ่งมีค่าน้อย เพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามากเหมือนสละกระเบื้องเพื่อรักษาแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้า”

  “อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์ หรือเทวดา มาร พรหมใด” ในขณะนั้นช้างนาฬาคีรี

วิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้แผ่พระเมตตาจากพระราชหฤทัย ซึ่งไปกระทบกับใจอันคุกรุ่นด้วยความมึนเมาของช้างนาฬาคีรีได้

 ช้างใหญ่หยุดชะงัก ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท “นาฬาคีรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นเดรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนัก

คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน” ความภักดีของพระอานนท์ที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นที่ชื่นชมแก่เหล่าภิกษุและประชาชน ผู้รู้เห็นเหตุการณ์

 “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนพระอานนท์ก็สละชีวิตเพื่อเราเหมือนกัน” ดังนี้แล้วพระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ชาวบ้านดำรงชีวิตด้วยการทำไร่นาเรือกสวน ทั้งคนและสัตว์ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

 “เฮ้ย ทำงานมาเหนื่อย ได้มาพักล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย เอ๊ะ...นั่นปูนี่นา ตัวเล็กสีทองน่ารักจัง ไหนขอดูใกล้ๆ หน่อยสิ” พราหมณ์หนุ่มผู้มีอาชีพเกษตรกร

เมื่อเห็นปูทองที่อยู่ในหนองน้ำก็เกิดความเอ็นดู จึงหยิบมันขึ้นมาไว้ที่อุ้งมือ “ตัวเล็กสีทองน่ารักจัง มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ”

 ชายหนุ่มทักทายปูสักครู่ แล้วก็ปล่อยลงไปในหนองน้ำเหมือนเดิม “เฮ้อไปทำงานต่อดีกว่า ไปนะเจ้าปู พรุ่งนี้เจอกันใหม่” วันต่อมาเมื่อพราหมณ์มาทำงาน เขาก็ได้ไปที่หนองน้ำอีก

ได้จับตัวปูขึ้นมาเล่นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ พราหมณ์ทำอย่างนี้อยู่หลายวัน จนเขากับปูทองรู้สึกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี พราหมณ์เจ้าของนามีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่ง

คือดวงตาของเขาจะมีลักษณะเป็นดวงกลมสามชั้นใสแจ๋วทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน ที่ปลายนานั้น มีกาผัวเมียอยู่คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นตาลใหญ่ นางกาเกิดแพ้ท้อง

อยากกินดวงตาของเจ้าของนา “พี่จ๊ะ น้องอยากกินตาคู่นั้นจัง พี่ดูซิ มันใสแจ๋วกลมโตอย่างนั้นน่ะ คงจะหวานดีนะจ๊ะพี่” “จ๊ะ เจ้านี่ก็แปลกอยากกินอะไรไม่กิน

 อยากจะกินดวงตา เจ้ารู้มั๊ยว่า ดวงตาคนนั้นหน่ะ เอามาอยากจะตายไป ข้าจะเอามาให้เจ้ากินได้อย่างไร ” “ต้องได้ซิพี่ ก็น้องอยากกิน พี่ก็ต้องเอามันมาให้ได้”

“เอ้...จะเอาตาเจ้าพราหมณ์นั้นมายังไงดีนะแค่คิดน้ำลายหกแล้วเนี่ย อยากกินจังเลย ทำยังไงดี อ๋อ...น้องออกแล้ว พี่จ๋าน้องคิดแผนออกแล้วนะ”

  “แผนอะไรของเจ้า ไหนว่ามาสิ” “ก็ใต้ต้นตาลนี้ มันมีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ถ้าเราใช้งูเห่านี้กัดเขาตาย พอตายแล้วพี่ก็ค่อยควักดวงตาของเขามาให้น้อง อย่างนี้

มันน่าจะง่ายขึ้นนะพี่” “โอ้โห แผนเจ้านี่ ช่างร้ายลึกซะจริงๆ แต่พี่จะไปใช้เจ้างูเห่าได้อย่างไรล่ะ” “เรื่องนี้น้องจัดการเอง”

เมื่อคิดแผนการได้ กาทั้งสองตัวก็เริ่มปรนนิบัติงูเห่าด้วยการนำอาหารมาให้เป็นประจำ “กินเยอะๆ นะท่านนะ วันพรุ่งเราจะนำอาหารดีๆ มาให้ท่านกิน” “เออดีๆ เราชอบกินไข่

เอาไข่มาอีกนะ เจ้าสองตัวเนี่ยใจดีจริงๆ เลยน่ะ วันหลังมีอะไรจะให้ราช่วยก็บอกแล้วกันนะ” “ท่านได้ช่วยเราแน่ ท่านงูเห่า” พอข้าวในนาเริ่มออกรวง ปูทองก็โตตามไปด้วย

 ทุกวันพราหมณ์ก็จะแวะมาทักทายปูทองตัวนี้ทุกครั้ง “ว่าไงเจ้าปู เดี๋ยวนี้เรียกเจ้าว่าปูน้อยไม่ได้แล้วซินะ ดูซิ เจ้าตัวโตขึ้นตั้งเยอะ” วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่ พราหมณ์ได้ออกมา

ดูนาตามปกติ เขาแวะไปที่หนองน้ำ จับปูขึ้นมาเล่นเหมือนเคย “กลับบ้านดีกว่าเรา หิวจนท้องกิ่วแล้ว แม่ทำกับข้าวอะไรไว้บ้างน๊า โอ้ย หิวๆๆ”

   แล้วความโชคร้ายก็มาเยือนพราหมณ์หนุ่ม เมื่องูเห่าเลื้อยออกมาโพรงแล้วเข้ามากัดที่น่องพ่นพิษใส่ จนพราหมณ์หนุ่มทนความเจ็บปวดไม่ไหว ล้มลงนอนร้องครวญคราง

เหมือนคนจะขาดใจ “โอ้ย ปวด ใครก็ได้ช่วยที โอ้ย” งูเห่าที่กัดได้เลื้อยเข้าจอมปลวกไปแล้ว พราหมณ์หนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เป็นไปตามแผนของกาทั้งสอง

 แต่ยังไม่ทันที่กาตัวผู้จะเข้ามาจิกดวงตาของพราหมณ์หนุ่ม ปูทองเมื่อได้ยินเสียงของพราหมณ์หนุ่มที่ร้องครวญคราง ก็รีบไต่ขึ้นมาจากหนองน้ำ ขึ้นมาอยู่บนร่างของพราหมณ์

“ท่าน ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะ เราจะช่วยท่านเอง เราจะไม่ให้ท่านตายเด็ดขาด” กาตัวผู้เมื่อเห็นงูเห่ากัดพราหมณ์แล้ว


 ก็รีบโฉบลงมาเกาะที่ร่างชายโชคร้ายนั้น หวังจิกเอาดวงตาไปให้เมียของมัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามใจนึก ปูทองก็ใช้ก้ามปูหนีบคอกาเอาไว้แน่น “โอ้ย เจ็บๆ มาหนีบเราไว้ทำไม

ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” “เจ้ากาตัวร้าย เจ้าไปเรียกงูเห่ามาเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเดือดร้อน เราจะเอาเจ้าถึงตายแน่ๆ”

 “โอ้ย ก็ได้ๆ งูเห่าเพื่อนรักกลับมาก่อนเถิด กลับมาช่วยข้าหน่อย ข้าถูกปูหนีบคอไว้ ออกมาก่อนเถอะท่าน” งูเห่าพอได้ยินเสียงเรียกก็เลื้อยกลับมาแผ่พังพานพร้อมจะฉกปู

แต่โดนปูใช้ก้ามปูอีกข้างหนึ่งหนีบคอไว้ งูเห่าดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสักที “เจ้าปูนา ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหนีบคอพวกข้าทั้งสองไว้ทำไม่ ปล่อยนะ มันเจ็บรู้มั๊ย”

  “เจ้างูร้าย ชายคนนี้เป็นเพื่อนของข้า ถ้าเขาตายไป ข้าก็ตายด้วยเพราะไม่มีผู้คุ้มครอง เจ้าทำให้เค้าตาย พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ เจ้าต้องช่วยให้เค้าฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

งูเห่าและกาได้ฟังดังนั้น ก็คิดที่จะล่อลวงปูให้ตายใจแล้วหนีไป “ได้ซิ ข้าจะช่วยดูดพิษออกจากตัวเค้าให้ แต่เจ้าปล่อยพวกข้าก่อนซิ เร็ว เร็วเข้า

ก่อนที่พิษร้ายจะเข้าสู่ร่างกายเขามากกว่านี้ ไม่งั้นเราคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ” “ใช่แล้วเจ้าปู ได้ยินแล้วก็รีบปล่อยพวกเราซิ” “สัญชาตญาณงูเห่าอย่างเจ้าข้าไม่เชื่อหรอก

ข้าจะปล่อยเจ้ากับกาไปก็ต่อเมื่อชายคนนี้ฟื้นแล้วเท่านั้น เร็วเข้าสิ รีบดูดพิษออกจากร่างเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเราจะหนีบคอพวกเจ้าให้ขาดออกจากกันเลย”

เจ้าปูทองคลายก้ามปูออกเล็กน้อยเพื่อให้งูเห่าเลื้อยไปดูดพิษคืน ต่อมาพราหมณ์ได้ฟื้นคืนมา ฝ่ายปูคิดว่าถ้าปล่อยให้สัตว์ทั้งสองนี้รอดไป ก็จะกลับมาทำร้ายพราหมณ์

เจ้าของนาอีกได้ “นั้นไง เราช่วยให้เพื่อนของเจ้าฟื้นแล้ว คราวนี้ปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” “นั่นสิ เจ็บจะตายอยู่แล้ว หนีบแรงชะมัดเลย”


 “ปล่อยเจ้าไปก็โง่นะสิ สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าหน่ะ อย่ามีชีวิตอยู่อีกเลยนะ นี่แน่ะๆๆ” ปูทองใช้ก้ามปูหนีบคอสัตว์ทั้งสองจนเสียชีวิตทันที ฝ่ายนางกาที่เกาะอยู่บนต้นตาล

เห็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้นก็รีบบินหนีไปอยู่ที่อื่น “กาๆ อยู่ไม่ไหวแล้ว หนีดีกว่า กาๆๆ อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้แล้ว ไปดีกว่า”

 นางกาบินหนีไปเมื่อได้เห็นสามีกาของตนและงูเง่าถูกปูทองหนีบคอจนตาย

 

     เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พราหมณ์เจ้าของนาและปูทองในหนองน้ำสนิทกันยิ่งขึ้น ทั้งปูทองและพราหมณ์ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนถึงสิ้นชีวิต

พระเทวทัต ในครั้งนั้น ได้กำเนิดเป็น กา

ส่วนช้าง กำเนิดเป็น งูเห่า

พระอานนท์ กำเนิดเป็น ปู

พราหมณ์หนุ่ม เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-สุวรรณกักกฏชาดก.html
64  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / ขันติวัณณชาดก ชาดกว่าด้วยต้องอดใจในคนที่หาคุณธรรมยาก เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 02:56:20 pm

ขันติวัณณชาดก ชาดกว่าด้วยต้องอดใจในคนที่หาคุณธรรมยาก


พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวันมหาวิหาร

     ครั้งหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จมาเข้าเฝ้า ในครานั้นองค์พระศาสดาได้ทรงปรารภถึงอำมาตย์ผู้หนึ่งที่ลอบเป็นชู้กับนางสนมของ

พระเจ้าปเสนทิโกศล “ได้ยินว่าอำมาตย์ของท่านผู้หนึ่งซึ่งทำคุณประโยชน์ให้แก่ท่าน ได้ลอบเป็นชู้กับนางสนม เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”

อำมาตย์กับนางสนมของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลักลอบมีความสัมพันธ์ต่อกัน

     พระเจ้าปเสนทิโกศลเมื่อหวนนึกถึงคนทั้งสองก็ทั้งโทมนัสและพิโรธในคราวเดียวกัน แต่ก็ทรงสู้สะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้และกราบทูลต่อองค์พระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ นั่นเป็นความจริงแท้

เมื่อแรกที่หม่อมฉันทราบเรื่องก็มีความคิดว่า หม่อมฉันก็จะกลั้นและนิ่งไว้เสียราวกับไม่มีเรื่องใดบังเกิดขึ้น เนื่องด้วยบุรุษผู้นั้นได้ช่วยเหลือและทำคุณกับหม่อมฉันมาก่อนนั้นเอง”

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงโทมนัสยิ่งนักเมื่อนึกถึงอำมาตย์ที่ตนรักและไว้ใจ

     สมเด็จพระบรมศาสดา เมื่อได้สดับคำกราบทูลของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงตรัสขึ้นว่า “มหาบพิตร แม้แต่ในอดีตกาลก็มีพระราชาที่ทรงกระทำการอดกลั้นอย่างนั้นเช่นกัน” เมื่อได้ฟังดังนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงกราบทูลอาราธนาขอให้องค์พระศาสดาตรัสเล่าเรื่องในอดีตกาลนั้น

แม้ครั้งในอดีตกาลก็มีเหตุการที่นางสนมและอำมาตย์ลักลอบมีความสัมพันธ์กันด้วยเช่นกัน

     ครั้นแล้วพระสัมมา สัมพุทธเจ้าจึงทรงยกเหตุการณ์ในครั้งนั้นมากล่าวสาธกดังนี้ ในอดีตกาลมีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ ณ กรุงพาราณสี ครั้งนั้น

มีอำมาตย์ซึ่งเป็นที่โปรดปรานผู้หนึ่งได้กระทำการล่วงเกินเบื้องสูง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ


     โดยการลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระองค์ “พระสนม ยอดรักของข้า ท่านมาแล้วรึ ข้ามารอท่านอยู่นานแล้ว คืนนี้เหตุใดท่านถึงได้มาช้านักเล่าที่รัก” “โธ่ๆๆ ท่านอำมาตย์ วันนี้มีนางสนม

ในตำหนักเดียวกันมาซักถามข้าอยู่ตั้งนานสองนาน กว่าข้าจะหาเรื่องหลบออกมาได้ ก็นานโขอยู่นะ ท่านหน่ะ อย่าเคืองข้าเลยนะท่านอำมาตย์”

นางสนมได้ลักลอบเป็นชู้กับอำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าพรหมทัต

     “โธๆๆๆ พระสนมที่รักของข้า ข้าหรือจะกล้าเคืองท่าน เพียงแต่ข้ากระวนกระวายใจเพราะคิดถึงท่านต่างหากเล่า” “แหม ท่านเนี่ย นอกจากจะเก่งงานราชการแล้วนะ ยังปากหวานอีกแน่ะ”

“ก็ข้าหน่ะรักท่าน หลงใหลท่านท่านจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วนี่นา” “คนบ้า ปากหวานที่สุดเลย”

ทหารนำข่าวการลักลอบมีความสัมพันธ์ของนางสนมกับอำมาตย์มาแจ้งกับพระเจ้าพรหมทัต

     ถึงแม้จะพยามยามปกปิดเป็นความลับสักเพียงใด แต่เรื่องราวความสัมพันธ์อันไม่สมควรนี้ ก็เล็ดลอดถึงพระกรรณของพระเจ้าพรหมทัตในที่สุดแต่ถึงอย่างนั้น พระเจ้าพรหมทัตก็มิได้ปลงพระทัย

เชื่อในทันที “ข้าแต่พระองค์ ขณะนี้ได้มีข่าวลือว่า อำมาตย์ผู้หนึ่งได้ทำการลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระองค์พระเจ้าข้า”


นายทหารได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของอำมาตย์ผู้ที่เป็นชู้กับนางสนม

     “เราเป็นกษัตริย์จะให้หูเบาเชื่อข่าวลือง่ายๆ ได้อย่างไร แต่เอาล่ะ ในเมื่อมีข่าวลือที่ไม่เหมาะไม่ควรออกมาเช่นนี้ ท่านก็จงไปสืบเรื่องนี้มาให้แจ้ง ได้เรื่องมาอย่างไร ก็นำความมาบอกแก่เรา

โดยเร็วที่สุดเถิด” “พระเจ้าข้า” อำมาตย์ผู้รับพระบัญชาได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของอำมาตย์และนางสนมผู้ตกเป็นข่าวนั้นอย่างลับๆ

อำมาตย์กับนางสนมยังคงลักลอบพบกันตามปกติ

     อยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งไม่นานหลังจากนั้นเค้าก็ได้ประจักษ์ความจริงด้วยตาตนเอง “เอ้ นั้นมันท่านอำมาตย์ที่พระราชาสั่งให้เราติดตามนี่น่า มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรตรงนี้นะหรือว่า เอาล่ะ

ต้องไปดูให้เห็นกับตา ” “พระสนมของข้า ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่า ท่านงดงามยิ่งนัก มา ให้ข้าได้กอดให้หายคิดถึงสักหน่อยเถิด” “อุ๊ย ท่านหน่ะ ใจร้อนจริงเชียวน่ะ

เริ่มมีผู้คนแอบพูดกระซิบกระซาบเรื่องความสัมพันธ์ของอำมาตย์กับนางสนม

     ท่านอำมาตย์หากมีใครมาเห็นเราสองคนเข้า จะนำไปกราบทูลพระราชาได้นะ ตอนนี้ยิ่งมีข่าวลือถึงเรื่องของเราอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าใคร เอาไปพูดกันเชียว” “เราเปลี่ยนที่นัดพบกันใหม่แล้วนี่นา

ที่นี่อยู่ห่างไกลผู้คนนัก คงไม่มีใครเห็นเราหรอกที่รัก ขอข้ากอดหน่อยเถิด ข้าอยากจะกอดท่านไว้อย่างนี้ตลอดไป ไม่อยากจะห่างท่านไปไหนเลยทีเดียว” “แหม ท่านอำมาตย์เนี่ย” “ข่าวลือนี่

เป็นจริงรึเนี่ย ช่างบัดสีนัก”

นายทหารได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของอำมาตย์ผู้ที่เป็นชู้กับนางสนมจนได้ประจักษ์ต่อสายตาว่าเป็นความจริง

     เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง อำมาตย์ผู้รับพระบัญชาจึงนำความไปกราบทูลต่อพระเจ้าพรหมทัต “ข้าแต่พระองค์ เรื่องที่พระองค์ให้หม่อมฉันไปสืบหาความจริงนั้น บัดนี้ได้ความเป็นที่

แน่ชัดแล้ว ว่าอำมาตย์ผู้นั้นลักลอบมีความสัมพันธ์กับพระสนมจริงๆ พระเจ้าค่ะ” “เรื่องนี้นับเป็นเรื่องร้ายแรงนัก เหตุใดเจ้าจึงแน่ใจเช่นนั้น” “เพราะหม่อมฉันได้เห็นเหตุอันไม่บังควรนี้

ด้วยตาของหม่อมฉันเองพระเจ้าข้า”

นายทหารได้มารายงานเรื่องของอำมาตย์และนางสนมว่ามีความสัมพันธ์กันจริงต่อพระเจ้าพรหมทัต

     จากนั้นอำมาตย์ผู้รับบัญชาจึงได้กราบทูลต่อพระเจ้าพรหมทัตถึงสิ่งที่ตัวเองได้ประสบมา พระเจ้าพรหมทัตเมื่อได้ทราบความจริงดังนี้แล้วก็ทั้งพิโรธและโทมนัสยิ่งนัก คิดใคร่จะให้จับอำมาตย์

และนางสนมมาลงอาญาให้สาสมกับที่กระทำการหลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ แต่ด้วยพระสติสัมปชัญญะอันหนักแน่น ทำให้ชั่วครู่หลังจากนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ทรงระงับอารมณ์พิโรธในพระทัย

ได้ แล้วทรงครุ่นคิดถึงวิธีที่จะแก้ไขหาทางออกกับเรื่องนี้อยู่ด้วยความกังวลพระทัย

พระเจ้าพรหมทัตทรงพิโรธและโทมนัสยิ่งนักกับข่าวที่ได้รับ

     “ช่างบังอาจนัก อำมาตย์ที่เรารักและไว้ใจกับนางสนมแห่งเรา เหตุใดจึงกล้ากระทำการอันหยามเกียรติเราได้เช่นนี้ อืม..มันน่าจับมาประหารเสียทั้งอำมาตย์ชั่วและก็สนมเลว แต่จะว่า

ไปแล้วอำมาตย์ผู้นั้นก็ขยันขันแข็ง เป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง แล้วยังเคยทำคุณประโยชน์แก่ราชสำนักมาก็ไม่น้อย เฮ้อ...จะจัดการยังไงดี”

อำมาตย์ผู้ที่เป็นชู้กับนางสนมนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถและสร้างคุณความดีต่อบ้านเมืองไว้มาก

     ในที่สุดแล้วแม้จะพิโรธและเสียพระทัยอย่างหนัก แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าพรหมทัตจึงตัดสินใจที่จะละเว้นโทษแก่อำมาตย์และพระสนม “เอาล่ะ เราขอขอบใจท่านมาก ที่นำ

ความจริงนี้มาบอกแก่เรา แต่เมื่อเห็นในคุณงามคุณงามความดีในอดีตของอำมาตย์ผู้นั้นเราจะไม่เอาโทษหญิงชายคู่นั้น เราจะถือเสียว่ามิได้รู้มิได้เห็น มิได้ยินเรื่องบัดสีเช่นนี้มาก็แล้วกัน”

 
เหล่าทหารก็ต่างสรรเสริญในความเมตตาของพระเจ้าพรหมทัต


     “โอ้ พระองค์ ทรงเปี่ยมด้วยขันติธรรม และพระเมตตาอันอันยิ่งใหญ่เหลือเกิน หญิงชายคู่นั้นน่ะ จะรู้สึกบ้างไหมว่าพวกเขาได้กระทำชั่วช้าเหลือเกิน” “ช่างเขาเถิด” “โธ่ พระราชาแห่งข้า

ทรงเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ” ฝ่ายอำมาตย์ผู้ลักลอบคบชู้กับพระสนมนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวความลับของตน ก็นึกลิงโลดอยู่ในใจและยังคงกระทำการอันไม่สมควรนั้นอยู่เนืองๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง


อำมาตย์ผู้ลบหลู่เกียรติพระราชาทำงานเสร็จก่อนเวลาแล้วก็รีบกลับบ้านของตน

     “ฮ้า วันนี้เสร็จงานเร็วกว่าที่คิด รีบกลับบ้านก่อนเวลาดีกว่า อาบน้ำให้สดชื่นแล้วค่อยแอบออกมาพบพระสนมที่เดิม ว่าแล้วก็คิดถึงจริงๆ คิดถึ้งคิดถึง” และการกลับบ้านก่อนเวลาในครั้งนี้ก็

เป็นเหตุให้อำมาตย์ที่กระทำการลบหลู่พระเกียรติแห่งองค์ราชาได้รับรู้และสำนึกถึงเวรกรรมเป็นครั้งแรก “เฮ้อ ถึงบ้านเสีย เอ๊ะ ทำไมบ้านถึงเงียบอย่างนี้ ประตูหน้าบ้านก็ปิด

เมียเราออกไปไหนหว่า

อำมาตย์สงสัยยิ่งนักว่าทำไมบ้านของตนถึงเงียบผิดปกติ

     แต่เอ๊ะ นั่นเสียงเมียเรานี่น่า กำลังพูดกับใครกัน ทำไมต้องปิดประตู ปิดหน้าต่างมิดชิดอย่างนี้ เอ้ เมียเรามีอะไรเป็นความลับนักหนา ลองแอบฟังดูดีกว่า” “ที่รักจ๋า แน่ใจหรือจ๊ะ ว่าวันนี้นายท่าน

จะกลับดึกจริงๆ” “จริงซิพี่ ท่านอำมาตย์บอกข้าเอง ว่าวันนี้กว่าจะกลับก็เกือบเช้าแหละ” “โธๆๆไม่เป็นไร มีพี่อยู่ทั้งคนน้องไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ มาม่ะ พี่จะกอดให้หายเหงาน่ะ โอ๋ๆๆ” “เฮ้ย นั้นมันเมียเรา

กับไอ้คนรับใช้ในเรือนที่เรารัก แล้วไว้ใจที่สุดนี่ ห๊ะ มาแอบเล่นชู้กันตอนเราไม่อยู่หรือนี่ เฮ้ย”
 

อำมาตย์ได้เห็นภาพภรรยาของตนเป็นชู้รักกับคนรับใช้ภายในบ้าน


     ด้วยความโกรธแค้นที่ถูกภรรยาและคนรับใช้ทรยศ อำมาตย์ถลันเข้ามาในห้องทันที “นังเมียชั่ว ไอ้ขี้ข้าเลว พวกแกกล้าทรยศข้าเรอะ” “ว๊าย พี่อำมาตย์” “เฮ้ย ท่านอำมาตย์ แย่แล้วเรา

หนีดีกว่า” “เฮ้ย มีใครอยู่แถวนี้บ้างจับตัวไอ้คนชั่วกับเมียทรยศของข้าไว้เดี๋ยวนี้ แล้วมัดไว้ให้แน่น อย่าให้มันหนีไปได้” “เฮ้ย พวกเรา จับไว้ๆๆ”

อำมาตย์จับภรรยาและคนรับใช้ของตนมัดอย่างหนาแน่นเพื่อรอการลงโทษ



     ภรรยาและคนรับใช้ของอำมาตย์ซึ่งถูกจับมัดจนแน่น เมื่อได้เห็นท่าทางโกรธแค้นของอำมาตย์ต่างก็เข้ามาเกาะขาอ้อนวอนร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัว “พี่อำมาตย์จ๋า ไว้ชีวิตพวกเรา

ด้วยเถอะ พวกเราผิดไปแล้วจ๊ะพี่ ฮือๆๆๆ” “นายท่าน ได้โปรดเห็นแก้ข้ารับใช้เก่าแก่คนนี้ด้วยเถิด ได้โปรดเถิดนายท่าน” “อืม เจ้าน่ะ เป็นเมียรักของข้า ส่วนเจ้าก็เป็นคนรับใช้ที่ขยันขันแข็ง

และคอยช่วยเหลือการงานข้ามาตลอด


อำมาตย์คิดหาวิธีที่จะลงโทษภรรยาและคนรับใช้ของตน

     เหตุใดพวกเจ้าจึงทรยศข้าเจ็บแสบนัก แต่ถ้าข้าจะข้าพวกเจ้าทิ้งตอนนี้ ก็คงไม่พ้นคนนินทาว่าโหดเหี้ยม เอาหล่ะ ข้าจะนำตัวพวกเจ้าไปให้องค์ราชาลงโทษ ไป๊ เอาตัวไป๊” ในที่สุดภรรยาของอำมาตย์และคนรับใช้ผู้เป็นชายชู้ก็ถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง เพื่อให้พระเจ้าพรหมทัตตัดสินโทษ “เกิดเรื่องอะไรกันรึท่านอำมาตย์ ท่านรีบร้อนนำชายผู้นี้มาให้เราด้วยเหตุอันใดกัน”

 
อำมาตย์นำภรรยาและคนรับใช้ของตนมาเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อให้พระองค์ทรงตัดสินลงอาญา


     “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมุติเทพ ข้าพระพุทธเจ้า มีบุรุษผู้คอยช่วยเหลือการงานอยู่คนหนึ่ง แต่เขามีความผิดข้อหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอใคร่กราบทูลถาม ว่าพระองค์จะทรงตัดสินให้ลงอาญาแก่พวกเขาเป็นประการใดดี จึงจะสาสมกับความผิดพระเจ้าค่ะ” พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงได้เห็นหญิงชายที่ทรงหมอบอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์กับทั้งทรงได้ยินอำมาตย์กล่าวดังนี้ ก็ทรงแจ้งถึงความผิดของคนทั้งสอง และทรงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะสอนอำมาตย์คนนี้เช่นกัน จึงทรงรับสั่งขึ้นว่า
 

พระเจ้าพรหมทัตทรงเข้าใจเหตุการณ์ของคนทั้งสองและได้ทรงเล่าเหตุการณ์ที่พระองค์เจอให้อำมาตย์ได้คิด


     “ดูก่อนท่านอำมาตย์ บุรุษที่ท่านกล่าวมานี้ ในพระราชวังของเราและที่แห่งนี้ก็มีอยู่หนึ่งคน แต่เขามีคุณงามความดีที่หาได้อยาก เราผู้เป็นพระราชาแม้จะรู้ว่าเขาทำผิดแต่ก็ต้องสู้ข่มใจเสีย

ไม่เอาโทษแก่พวกเขา” อำมาตย์ได้ฟังดังนั้น ก็นึกสะดุ้งอยู่ในใจ และรู้ทันทีว่าบุรุษที่พระราชากล่าวถึงนั้นหมายถึงตน (“อะไรกันเนี่ยองค์ราชาทรงหมายถึงเราแน่ๆ แต่ทั้งๆ ที่ทรงรู้เรื่องของเรา

มาตลอด ก็ยังไม่ทรงเอาโทษเราหรือนี่ โธ่เอ๋ย เรานี่ช่างชั่วช้าจริงๆ

 
อำมาตย์ได้สำนึกในความผิดของตนและตั้งใจจะไม่ทำเรื่องที่เลวร้ายต่อไปอีก

 
     จากนี่ไป เราจะสื่อสัตย์ต่อพระองค์ จะตั้งใจปฏิบัติงานราชการ และจะไม่แอบไปพบพระสนมอีกเป็นอันขาด”) ในขณะที่ชายคนรับใช้ของอำมาตย์ซึ่งรอดพ้นจากการถูกลงโทษก็เกิดสำนึกได้ถึง

ความผิดของตนได้เช่นกัน “โอ้ องค์ราชาผู้ประเสริฐ แม้จะทรงตำหนิเรา แต่ก็ยังคงเมตตาไม่ลงโทษ ท่านอำมาตย์นายเรา ก็ดีกับเรามาตลอดโอ้ เรานี่มันเลวทรามจริงๆ ต่อจากนี้ไป เราจะไม่ทรยศความรัก ความไว้ใจที่นายมีให้เราอีกแล้ว”

     
     ภายหลังจากสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ไม่นานต่อมาเมื่ออำมาตย์ผู้ลักลอบเป็นชู้กับพระสนมของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็รู้ว่าพระราชาทรงนำเรื่องของตน

ไปกราบทูลพระราชา ตั้งแต่นั้นเขาก็เกิดความละอายและไม่กล้าทำกรรมนั้นอีกเลย

ในครั้งนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ทรงประชุมชาดกว่า

พระเจ้าพรหมทัต พระราชาพาราณสีในครั้งนั้น

คือเราตถาคตนี้เอง

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-ขันติวัณณชาดก.html
65  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / มณิโจรชาดก ชาดกว่าด้วยพระเจ้าอธรรมิกราช เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 02:37:13 pm

มณิโจรชาดก ชาดกว่าด้วยพระเจ้าอธรรมิกราช


พระเจ้าอธรรมิกราช พ้นพรรษาฤดูหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารอันพระเจ้าพิมพิสารถวายให้ พระองค์ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์แก่ภิกษุสงฆ์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า มณิโจรชาดกแก่เหล่าภิกษุสงฆ์ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร

 
     “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเทวทัตพยามยามฆ่าเรา  ใช่ว่าแต่ครั้งนี้ก็หาไม่  แม้ครั้งก่อนก็พยามยามฆ่าเรามาแล้ว” ครั้งนั้นองค์พระศาสดาทรงตรัสเล่าอดีตชาติด้วยธรรมเทศนา

มณิโจรชาดก ขึ้นดังนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตกาลยังมีกษัตริย์อธรรมิกราชปกครองพาราณสี
เวลานั้นพระราชาองค์นี้ได้เสด็จประพาสชนบท ริมขอบอาณาจักร คราวนั้นได้เกิดเหตุเลวร้ายขึ้นเพราพระหทัยของพระองค์เอง “พระราชาทรงเสด็จมาแล้ว

หลีกทางขบวนเสด็จด้วย”
หญิงงามคนหนึ่งนั่งเกวียนผ่านไปผลกรรมแต่ปางก่อนบันดาลให้พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงเห็น และเกิดมีใจปฏิพัทธ์รักใคร่อย่างรุนแรง “โอ้โหใครกันน่ะ ช่างงดงามยิ่งนัก

ไม่น่าเชื่อว่าชนบทห่างไกลนี้ยังมีหญิงที่งดงามยิ่งกว่านางงามชาววังเสียอีก”
กษัตริย์อธรรมิกราชทรงเห็นหญิงสาวชาวชนบทซึ่งมีความงดงามมากนางหนึ่ง

     นางงามคนนี้มีนามว่า สุชาดา เธอเข้าพิธีวิวาห์แล้วกับพ่อค้าผู้มีความขยันหมั่นเพียรทั้งสองรักใคร่อาทรกัน และกันเป็นที่ชื่นชมของชาวชนบททั่วไป “กอดเอวพี่แน่นๆ น่ะ

เดี๋ยวพี่จะซิ่งแล้วนะจ๊ะ” “อ้าว อย่าเร็วนักสิค่ะ น้องกลัวตก”
กษัตริย์อธรรมิกราชมีใจปฏิพัทธ์ต่อหญิงสาวชาวชนบทอย่างสุดหัวใจ

     “อ้าวนั่น นางมากับใคร ทำเป็นจี๋จ๋ากัน น่าหมั่นไส้นักเชียว อืมไอ้หนุ่มนั้นขวางหูขวางตาเรายิ่งนัก” พรหมทัตพระองค์นี้เป็นพระกษัตริย์อธรรม เมื่อชอบก็จะเอา

โดยไม่สนใจต่อบาปกรรมใดๆ ด้วยจิตใจที่ทรงกะสันต์รักใคร่ในนางสุชาดา
หญิงสาวชาวชนบทเธอมีสามีเป็นพ่อค้าผู้มีความขยันหมั่นเพียร

     จึงพยายามคิดหาวิถีทางที่จะแย่งชิงนางมาจากคนรัก จนไม่เป็นอันทำราชกิจใดๆ “เฮ้อ ตั้งแต่ พระองค์กลับมาจากประพาสครั้งนั้น ก็ทรงเหม่อลอยทั้งวัน

วันๆ เอาแต่คิดอะไรก็ไม่รู้”

กษัตริย์อธรรมิกราชทรงเฝ้าเพ้อถึงสาวงามจนไม่เป็นอันทำราชกิจใดๆ

     “เห็นท่านอำมาตย์ต่างๆ บ่นกันว่าเป็นแถวว่า พระองค์ไม่ทรงทำราชกิจ ปัญหาทุกข์ร้อนชาวบ้านก็ไม่ได้แก้ไข” ในที่สุดราชาผู้ถูกกามราคะครอบงำจิต

ก็คิดอุบายหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือการวางแผนร้ายให้พ่อค้าบัณฑิตคู่รักของหญิงงามได้รับโทษทัณฑ์ประหารนั่นเอง

กษัตริย์อธรรมิกราชครุ่นคิดหาวิธีการเพื่อที่จะนำสาวชนบทมาเป็นของตน

     “เจ้า จงเอาปิ่นนี้ไปแอบวางไว้ในเกวียนของพ่อค้านั่น แล้วจับตัวมันมาโทษฐานที่แอบขโมยสมบัติของเรา ฮะฮ่า ฮ้าๆๆ เป็นแผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เลยเรา”

“ที่เรื่องอย่างนี้คิดได้เชียว ปัญหาบ้านเมืองมีไม่รู้จักคิดแก้ไข อืมเซ็ง”

กษัตริย์อธรรมิกราชนำปิ่นของตนมอบให้ราชบุรุษนำไปใช้ตามที่ตนได้วางแผนเอาไว้

     “เจ้าว่าอะไรน่ะ” “ปล่าวพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันสรรเสริญพระองค์ที่ทรงคิดแผนการได้ยอดเยี่ยมมากพระเจ้าค่ะ..เกือบซวยแล้วเรา” อุบายง่ายๆ แต่ส่งผล

ร้ายแรงเช่นนี้ไม่ต้องรอเวลานาน แค่มานพกับนางสุชาดาทิ้งเกวียนออกไปหาซื้อสินค้า

ราชบุรุษตีฆ้องร้องประกาศว่าปิ่นมณีของพระราชาได้หายไป


     โอกาสทำชั่วก็มาถึงแล้ว “เอ้ ซ่อนไว้ตรงไหนดีนะ ต้องหาที่มิดชิดหน่อย อืม ในกล่องนั่นแล้วกัน มีผ้าคลุมมิดชิดหน่อย ช่วยไม่ได้อยากมีเมียสวยก็ต้องซวยอย่างนี้แหละ

เจ้าพ่อค้าเอ๋ย” ราชบุรุษเอาปิ่นมณีซุกในเกวียนแล้วก็นำทหารออกตีฆ้อง แสร้งร้องป่าวว่ามีคนขโมยสมบัติพระราชาไป

ทำทีเป็นสงสัยว่าปิ่นมณีของพระราชาจะถูกซ่อนไว้ในเกวียนของพ่อค้าและภรรยาชาวชนบท

     “ประกาศๆ ขณะนี้ปิ่นมณีสมบัติล้ำค่าของพระเจ้ากรุงพาราณสีได้หายไป ทุกคนโปรดให้ความร่วมมือในการค้นหา หากพบว่าปิ่นมณีนี้อยู่กับใคร

จะไม่ทรงงดโทษให้อย่างเด็ดขาด เฮ้ย..เจ้าพ่อค้านั่น

ราชบุรุษได้ทำการรื้อค้นเกวียนของพ่อค้าหนุ่ม

     จะไปไหนหน่ะ เกวียนของเจ้าบรรทุกอะไรมา มีพิรุธนัก มาค้นดูหน่อยซิ” สิ้นคำของราชบุรุษ ทหารมากมายก็เข้ามาค้นในเกวียนของพ่อค้ามานพ

“อะไรกันน่ะ ทหารมากมายมารื้อค้นอะไรที่เกวียนของเรา”

ราชบุรุษได้ค้นเจอปิ่นมณีของพระราชาซึ่งถูกซ่อนไว้ในเกวียนของพ่อค้าหนุ่ม

     “พวกท่านทำอะไรกัน ในเกวียนนั้นบรรทุกสินค้าของเราไว้ ท่านจะมาค้นหาอะไรกัน” “เราสงสัยว่าในเกวียนของเจ้า จะมีปิ่นมณีของพระเจ้าพาราณสีอยู่”

โดยไม่อายสายตาใคร ราชบุรุษตรงดิ่งไปดึงเอาปิ่นมณีออกมาจากเกวียน โดยไม่ต้องใช้เวลาค้นหามากมายนัก

พ่อค้าหนุ่มและภรรยาสาวตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยที่คนทั้งสองไม่ได้รู้เห็นในเหตุการณ์

     “นี่ไง เจอแล้ว ในหีบนี่เอง แหมๆๆ เจ้าโจรชั่ว ทหารจับตัวพ่อค้านี่ไว้ มันเป็นขโมย” “ตรงตามแผนเลยนะท่าน แหม ไม่เนียนเลยนะเนี่ย มาปุ๊บ ก็เจอปั๊บ

แทบไม่ต้องค้น” จากนั้นเหล่าทหารก็เข้ามาจับตัวพ่อค้าหนุ่ม

พ่อค้าพยายามอธิบายแต่กลับถูกทำร้ายจากราชบุรุษ

     “อย่าๆ อย่าจับตัวฉันไปเลย ฉันไม่ได้เป็นคนขโมย ปิ่นนั้นมันมาอยู่ในเกวียนของฉันได้อย่างไร” “นั่นสิจ๊ะ อย่าจับเอาสามีฉันไปเลย ปล่อยพวกเราไปเถอะ”

“อย่ามาแก้ตัวหน่อยเลย หลักฐานก็เห็นอยู่โทนโท่ ไปไป๊...รับโทษทัณฑ์จากพระราชเดี๋ยวนี้”

พ่อค้าหนุ่มกลายเป็นนักโทษและถูกนำตัวไปยังลานประหาร

     “ฉันไม่ผิด พวกท่านใส่ร้ายประชาชนบริสุทธิ์ได้อย่างไร ฉันไม่ผิด” “นี่แนะ เอาไปสักดอกหนึ่ง โวยวายนัก นี่” “อย่าน่ะ โธ่ เจ็บไหมท่านพี่” “ไปเลย ไม่ต้องลีลา

ทหารจับตัวขโมยนี่ไว้แล้วพาไปหลังประตูผี ”

หญิงสาวชนบทขอความเป็นธรรมให้กับสามีของเธอต่อพระราชา

     “พี่ พี่จ๋า  โธ่เอ๋ย เหตุใดต้องเคราะห์ร้ายอย่างนี้ด้วยนะ” “ปล่อยฉันไป ปล่อย” พ่อค้าหนุ่มผู้กลายเป็นนักโทษถูกนำตัวมายังอุทยาน โดยมีสุชาดา ภรรยานางงาม

ตามมาคร่ำครวญ มิทอดทิ้ง

กษัตริย์อธรรมิกราชทรงรับสั่งให้ราชบุรุษนำตัวนักโทษไปประหาร

     “สวยจริง น้องนางที่รักของเรามาแล้ว หึ นี่เรอะ เจ้าหัวขโมย ที่มันเอาปิ่นมณีของเราไป กล้านักนะเจ้า” “ขอเดชะ ราชบุรุษนำทหารไปจับตัวข้าพระองค์มา กล่าวหาว่า

เป็นโจรลักปิ่นมณี ข้าพระองค์ถูกใส่ร้ายป้ายสี ข้าพระองค์ไม่ได้ขโมยปิ่นมณี

พ่อค้าหนุ่มถูกนำตัวไปยังลานประหาร

     ข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องว่าปิ่นนี้มาได้อย่างไร พระองค์ทรงพิจารณาให้หม่อมฉันด้วย” “เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงเพค่ะ หม่อมฉันและสามีไม่รู้เรื่องปิ่นนี้เลย

สามีของหม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพค่ะ”

 
หญิงสาวชนบททรงตั้งจิตอธิษฐานระลึกนึกถึงบุญที่ตนเคยกระทำไว้


     “เงียบเลย ใครจะไปใส่ร้ายเจ้า ก็ของกลางมันอยู่ในเกวียนเห็นๆ  แล้วจะหาว่าเจ้าถูกใส่ร้ายได้อย่างไรกัน เฮ้ย ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง เพชฌฆาตเอาตัวมันไปประหาร”

“เฮ้อ กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง กิเลสเกาะกินใจแท้ๆ

ท้าวสักกะเทวราชเสด็จลงมาจากสวรรค์

     พ่อค้าหนุ่มไม่อาจยื้อชีวิตของตนได้เลย เขาถูกนำตัวไปประหาร ณ ลานประหารที่อยู่หลังประตูผีของอุทยาน ระหว่างทางก็ถูกเฆี่ยนตีไปตลอดทาง นางสุชาดา

สุดจะทัดทานขัดขวางได้ ก็ตั้งจิตอธิษฐานรำลึกเอาบุญที่ตนทำไว้


ท้าวสักกะเทวราชทรงเห็นและเข้าใจในเหตุการณ์ได้ทั้งหมด ณ ลานประหาร

     “ข้าแต่เทพเจ้าผู้สามารถห้ามมนุษย์ชั่วช้า พระองค์ได้โปรดยับยั้งความชั่ว ที่กำลังเบียดเบียนเอาชีวิตผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ด้วยเถิด เทพเจ้าผู้ที่ยับยั้งความชั่วช้า

ยังมีอยู่ไหม ได้โปรดช่วยสามีของหม่อมฉันด้วยเถิด พระองค์ทรงมีจริงหรือไม่เพค่ะ”
พ่อค้าหนุ่มกำลังนอนรอการประหารจากเพชฌฆาต

     สุชาดานางนี้สมบูรณ์ด้วยศีล นางดูแลบิดามารดาสามี สมณะชีพราหมณ์อย่างดีตลอดมา กะแสคร่ำครวญอธิฐาน จึงบันดาลให้อาสนะของท้าวสักกะเทวราชเร่าร้อน

ท้าวสักกะเทวราชก็เสด็จลงมาในพริบตานั้น

กษัตริย์อธรรมิกราชถูกสลับร่างมานอนรอความตาย ณ ลานประหาร

 
     “นั้นเสียงใครกันนะ ใครมาร้องขอความช่วยเหลือจากเรากัน” เมื่อท้าวสักกะเทวราชเสด็จลงมายังลานประหารก็ทรงทราบเรื่องได้ทั้งหมด พระองค์ทรงประจักษ์

แก่พระเนตรว่าอีกอึดใจเดียวชีวิตคนดีก็จะต้องแตกดับอย่างสยดสยอง

 
คมขวานของเพชฌฆาตได้ประหารพระเจ้าอธรรมิกราชด้วยอำนาจแห่งท้าวสักกะเทวราช


     “นี่เราจะจบชีวิตด้วยเรื่องอย่างนี้หรือนี้ ไม่น่าเลย” “เราจะไม่ยอมให้คนชั่วเสวยสุขอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว ด้วยอำนาจอินทรเทพ โอม” สักกะเทวราชบันดาลให้ร่าง

ที่ถูกมัดรอคมขวานตัดศีรษะกลายเป็นกษัตริย์ทุศีล และร่างที่นั่งบนอาสนะกลายเป็นพ่อค้าหนุ่มแทน

 
ท้าวสักกะเทวราชได้ปรากฎกายต่อหน้าพ่อค้า

     “เฮ้ยนี่เรา มานอนอยู่ตรงนี่ได้อย่างไร เฮ้ย! นั่นเพชฌฆาต” อำนาจเทวราชนั้นรวดเร็วมาก เร็วจนเพชฌฆาตยั้งคมขวานที่สับลงมาไม่ทัน “มหาราช โธ่ ไม่น่าเลย

พระองค์ทรงมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรเนี่ย” เมื่อสิ้นกษัตริย์อธรรม ท้าวสักกะเทวราช ก็ปรากฏกายให้มหาชนเห็น มานพผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์มีศีลธรรม สามารถปกครอง

บ้านเมืองให้เป็นสุขได้ ดูก่อนพระราชาองค์ใหม่ ขอให้ท่านครองราชโดยธรรมเถิด

พ่อค้าหนุ่มได้เปลี่ยนฐานะเป็นพระราชาผู้ครองราชแห่งเมืองพาราณสี

     นนุ โส ตาวตา หโต ราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม จะถูกกำจัดแม้เหตุเพียงนี้ สักกะเทวราชเมื่อเสด็จกลับเทวสถานแล้ว พระราชาองค์ใหม่ของพาราณสีก็ครองราช

โดยธรรมคู่เคียงอัครมเหสีจนสิ้นวาระการ

ในพุทธกาลสมัยนั้น พระราชาอธรรม กำเนิดเป็น เทวทัตเถระ

ท้าวสักกะเทวราช กำเนิดเป็นพระอนุรุทธ

นางสุชาดา กำเนิดเป็น ยโสธราพิมพา

มานพผู้ได้ครองราชย์ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

ขอบคุณที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-มณิโจรชาดก.html

66  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / มีดเล่มนั้น เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 01:02:58 pm
มีดเล่มนั้น

"มีดเล่มนั้น" เป็นเรื่องวิบากกรรมของสามีของคุณยายผาง ไทยอ่อน ซึ่งขณะนี้คุณยายผางอายุ ๘๙ ปีแล้ว อยู่บ้านเลขที่ ๑๐ บ้านม่วง หมู่ที่ ๑๔ ต.บ้านทุ่ม อ.เมือง จ.ขอนแก่น

คุณยายผางได้เล่าเรื่องของกฎแห่งกรรม หรือกรรมตามมาสนองให้แก่ผู้เขียนฟังว่า คุณยายเกิดมาเป็นลูกชาวนา พออายุได้ ๒๐ ปี ก็ได้แต่งงานอยู่กินกับหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกัน ชื่อนายช่วง ไทยอ่อน

พอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ยึดอาชีพทำไร่ทำนา ตามพ่อแม่ปู่ย่าเคยทำกัน และเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเป็นฝูงๆ เพื่อเอาไว้ทำไร่ ไถนา หรือเอามาเทียมเกวียน หรือไม่ก็เอาไว้ขายให้คนเขาไป

สมัยเมื่อ ๗๐ ปีโน้น บ้านเมืองเรายังไม่เจริญเหมือนสมัยทุกวันนี้ อะไรๆ มันก็ไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ไปหมด วัว-ควายก็ไม่มีค่างวดอะไรนักหรอก การคมนาคมไปไหนมาไหนอย่างเก่งก็ขี่ม้า หรือไม่ก็ขี่เกวียนกันไป

ยายผางกับตาช่วงมีลูกชายหญิง ๔-๕ คน อายุตาช่วงตอนนั้นคงจะอยู่ในราว ๕๐ กว่าปีเห็นจะได้ ยายก็คงจะอายุ ๔๐ กว่าปี ก็คงประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๐ นี้ล่ะ

ในปีนั้น ตาช่วงคิดอย่างไรก็ไม่รู้ คือคิดอยากจะฆ่าวัว-ควายขายให้คนกิน เพราะวัวควายตอนนั้นก็เลี้ยงเอาไว้มากมาย ในเย็นวันหนึ่งตาช่วงก็ได้มาปรึกษากับยายว่า

"ยายเอ้ย วัว-ควายของเราก็เลี้ยงเอาไว้มากมาย จะคอยให้คนเขามาซื้อเอาไปทำไร่ไถนา เอาไปเทียมเกวียน หรือว่าเอาไปฆ่ากิน มันก็คงจะยาก เพราะวัวควายคนอื่นเขาก็มีถมไป สู้เราจับเอามันมาฆ่าขายเนื้อ ให้คนกิน ได้เงินมาใช้ไม่ดีหรือยาย?"

พอยายได้ยินตาช่วงผู้เป็นสามีพูดเช่นนั้น ตอนแรกยายก็ตกใจ เพราะนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำว่าฆ่าวัว-ควายจากปากสามีของตน เพราะพ่อแม่ของยายเองท่านไม่เคยฆ่าวัว-ควาย หรือสัตว์ใหญ่อย่างนี้มาก่อนเลย ยายก็ตอบไปว่า

"ตาช่วง แกจะเป็นบ้าไปแล้วหรือ วัวควายเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณต่อคนเรา ที่คนเรามีข้าวมีของ มีอยู่มีกิน มาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะวัวและควายช่วยพลิกฟื้นดิน ทำไร่ ไถนา เอาวัวเอาควายมาเทียมเกวียน ทำการขนส่งข้าวของต่างๆ ก็เพราะวัวและควายเหล่านี้มิใช่หรือ แกคิดยังไงถึงคิดจะฆ่าเขาได้ลงคอ แกไม่คิดถึงบุญคุณเขาเหรอตาช่วง อีกอย่าง แกไม่กลัวเรื่องบาปเรื่องกรรมจะตามมาสนองหัวแกเหรอ"

ตาช่วงพอได้ยินคำว่าบาปกรรมแค่นั้น ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย แต่พอแกนิ่งคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบว่า "ยาย หากแกกลัวบาปกรรม ก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันดอก ฉันจะหาคนมาช่วยฆ่าเอง"

ถึงแม้ยายจะพูดหว่านล้อมต่างๆนานา ทั้งคัดค้านอย่างไรก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายตาช่วงเลยไปหาคนงานในหมู่บ้านมาอีก ๒ คน เป็นลูกมือในการฆ่าวัว-ควายขาย

การฆ่าวัว-ควายของตาช่วง แกจะเอาบริเวณหลังบ้านเป็นที่ฆ่า คือตัวใดที่จะฆ่า ก็จะเอาเชือกมาคล้องคอผูกเอาไว้ แล้วก็จูงไป สู่ที่ฆ่า พอเอาเชือกผูกติดกับต้นเสาเรียบร้อยแล้ว ตาช่วงก็จะเอาฆ้อน มาตีกระหน่ำลงไป ยังหัวของวัว หรือควาย ที่เคราะห์ร้ายตัวนั้น

พอวัวหรือควายโดนฆ้อนทุกหัวเสียงดังโพล๊ะ! แค่นั้นมันก็จะดิ้น เพื่อให้หลุดจากการผูกมัด ปากมันก็จะร้อง ด้วยความเจ็บปวด .....โอ๊ก...อุ๊ก...โอ๊ก....อุ๊ก....อุ๊ก.......

ถ้าวัวหรือควายมันพูดได้ มันคงจะพูดอ้อนวอนขอชีวิตจากคนว่า "เอาฆ้อนอะไรมาทุบหัวฉัน ฉันทำผิดอะไร ถึงกับจะฆ่า จะแกงฉันน่ะ โอ้ย! ฉันเจ็บนะ ใช้ฉันทำงานการอะไร ฉันก็ช่วยทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไถไร่ ไถนา คราดนา เทียมเกวียนช่วยขนข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นงานหนักงานเบา ถึงฉันจะหิวน้ำหิวหญ้า เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยบ่นสักคำ แล้วอย่างนี้ ยังมาตอบแทนบุญคุณฉัน ด้วยการเอาฉันมาทุบมาฆ่า มันยุติธรรมแล้วหรือ ที่มาทำกับฉันอย่างนี้"

เปล่าเลย! แม้วัวหรือควายจะร้องอยู่อย่างน่าเวทนาสงสาร แต่ตาช่วงยังคงเอาฆ้อนทุบกระหน่ำลงไป บนหัวของวัวควาย ที่เคราะห์ร้าย เหล่านั้น จนล้มลงไปกองกับพื้นดิน จากนั้นตาช่วงก็จะเอา "มีดอันแหลมคม" ทิ่มแทงไปยังซอกคอ และ บริเวณหน้าอก ของวัวควาย จนมันตาย แล้วแกกับลูกน้องก็จะพากันจัดการแล่เนื้อ เถือหนัง ขายให้คนที่มาซื้อ มาหา เอาไปกินกัน

วัวควายบางตัวพอรู้ว่า ตัวเองจะโดนฆ่า ดูมันเซื่องซึมเหงาหงอย น้ำตาของมันจะรินไหลอยู่ตลอดเวลา ตาช่วงหาหญ้า หาน้ำ ให้มันกิน มันจะไม่ยอมกินหญ้า และน้ำนั้นเลย ยายเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ยายก็พูดอะไรไม่ได้

พอถึงเวลาทำการฆ่า ตาช่วงกับลูกน้องก็จะมาจูงเอาวัวควายที่จะฆ่านั้นไปสู่หลักประหาร มันจะไม่อยากไป มันพยายาม ใช้คอ สะบัดเชือกที่ผูกอยู่ เพื่อให้หลุดไปสู่อิสรภาพของมัน

วัวควายบางตัวพอตาช่วงมาจูงไปสู่ที่ฆ่า มันเหมือนจะรู้ตัวในชะตากรรม มันจะไม่ยอมเดินไปทางนั้นเอาเสียเลย แม้ตาช่วงกับลูกน้อง จะพยายามไล่ต้อนไปอย่างไร มันก็ไม่ยอมไป ได้แต่ร้องสะบัดเชือดหนีไปทางอื่น

บางตัวถึงกับเข่าอ่อนทั้งสองข้าง คือมันจะเอาขาหน้าทั้งสองพับลงกับพื้น เหมือนคนนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต แต่จะดิ้นรน อ้อนวอนอย่างไร มันก็หนีไม่พ้นมือเพชฌฆาตของตาช่วงเลย

พอวัวควายที่เคราะห์ร้ายเหล่านั้นโดนฆ่าแล้ว ผู้คนก็จะพากันมาซื้อเอาเนื้อวัวเนื้อควายไปทำอาหารกินกัน แต่หากวันใด ขายเนื้อไม่หมด ตาช่วงก็จะใช้ให้ยายเอาตะกร้าใส่เนื้อ แล้วหาบไปขายตามหมู่บ้านต่างๆที่อยู่ในละแวกนั้น

ถ้ายังขายไม่หมดอีก ตาช่วงก็จะเอามาทำเนื้อแห้งบ้าง ทำหม่ำบ้าง ทำส้มเนื้อบ้าง ทำไส้กรอกเนื้อบ้าง แล้วเอาไปหาบขายอีกที กระทั่ง วัวควาย ของตัวเองหมด แกก็หันไปซื้อวัวควาย ของชาวบ้าน มาฆ่ามาขายอีกต่อไป

พระท่านว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมคือการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ หากใครกระทำกรรมดี หรือว่า กรรมชั่วลงไปก็ตาม กรรมๆนั้นก็จะตกเป็นสมบัติ ของคนคนนั้นในทันที

สมบัติที่เกิดจากกรรมดี-กรรมชั่ว ที่ตนกระทำลงไปนี้เรียกว่า สมบัติบุญ-สมบัติบาป จะติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ มันจะไม่มีรั่ว มีซึม ไม่มีหกตกหล่นไปที่ไหนอื่นใดเลย จะแบ่งบุญแบ่งบาปที่เรากระทำขึ้นนี้ไปให้ใครอื่นก็ไม่ได้ เรียกว่า ใครกระทำกรรมอะไร ดีหรือชั่ว ก็เป็นสมบัติของคนนั้น ตลอดชีวิต และตลอดไป

ทำดีย่อมได้ดีเป็นรางวัลตอบสนอง ทำชั่วทำเลวย่อมได้รับผลของกรรมชั่วนั้นตอบสนอง ดังเรื่องของตาช่วง คนนี้เหมือนกัน หลังจากที่ฆ่าวัว และควายขายมาถึงปีที่ ๓ นั้น เจ้ากรรมนายเวรที่ตาช่วงก่อกรรมทำเข็ญไว้ เขาจะมาถามเอาความเจ็บปวด เอาความทรมานของเขา คืนไปบ้าง

ในเย็นวันหนึ่งของปีนั้น หลังจากตาช่วงเสร็จภารกิจทางบ้านแล้ว ก็ได้เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ไปพูดคุยเล่นกับญาติๆ พอได้นั่งพูดคุย กับบรรดาญาติ จนมืดค่ำแล้ว แกกะจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินกลับมาบ้าน

ทันใดนั้นขาของแกที่เคยลุกขึ้นนั่งยืนเดินได้ มันกลับกลายเป็นไม่มีเรี่ยวมีแรง กลายเป็นคนขาอ่อน ขาเปลี้ย หมดเรี่ยวแรง ไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นเอง (ภาษาอีสาน เว้าว่าเป็นร่อยตายฝ่าย)

แกพยายามจะลุกอย่างไร ก็ไม่สามารถจะลุกจะยืนได้เหมือนอย่างปกติที่เคยทำมา แขนขาด้านซ้าย มันชา ตายด้านไปหมด สุดท้าย พวกญาติๆ เห็นว่าไม่ดี เลยพากันหาม ร่างของตาช่วงมาส่งยังบ้านยาย

พอมาถึงบ้านไม่นาน แกก็ปวดขี้ปวดเยี่ยว แต่ทว่าจะขี้ก็ขี้ไม่ออก จะเยี่ยวก็เยี่ยวไม่ออก ได้แต่เบ่ง แต่ก็เบ่งไม่ออก แกคงจะเจ็บ จะปวดเต็มทน จึงได้แต่ร้องได้แต่คราง....โอ๊ก...อุ๊ก...โอ๊ก...อุ๊ก....โอ๊ก.....อุ๊ก...... ฟังเสียงร้อง ก็ไม่ผิดไม่เพี้ยน จากเสียง ของวัวควาย ยามที่แกเอาฆ้อนทุบหัวเขา อย่างไรก็อย่างนั้นเลยทีเดียว

เสียงร้องครางของแกจะดังอยู่ตลอดเวลา เพราะขี้เยี่ยวไม่ออก ต้องทรมานมาก ผู้คนต่างก็ได้ยินเสียงร้องคราง พากันมาดู อาการเจ็บป่วย กะทันหันของตาช่วง เต็มบ้านไปหมด

บ้างก็ว่าผีเข้า ไปตามหมอธรรมมารักษา แต่อาการตาช่วงกลับไม่ดีขึ้นมาเลย แกนอนร้องครางตลอดทั้งคืน

ยายก็คิดว่า นี้แหละหนอเวรกรรม พอถึงตอนเช้า เห็นว่าอาการป่วยของตาช่วงไม่ดีขึ้น ยายและบรรดาญาติ ก็พากันเอา วัวเทียมเกวียน แล้วนำตาช่วงส่งโรงพยาบาลขอนแก่น

พอเอาตาช่วงไปถึงโรงพยาบาล หมอก็เอาไปตรวจดูอาการป่วย แล้วหมอก็สวนขี้สวนเยี่ยวให้พอขี้และเยี่ยว ออกมาได้ อาการป่วย ของตาช่วง ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย อาการร้องและครางจึงค่อยหยุดไป

ตาช่วงอยู่ที่โรงพยาบาล ๗-๘ วัน เพื่อพักรักษาโรคอัมพาต โรคร่อย โรคตายเพี้ยง โรคตายฝ่าย แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นมาเลย ยิ่งเห็นแต่เขา เอารถเข็นคนตาย ออกมาจากโรงพยาบาล คือคนตาย เพราะโรคอหิวา เลยหวาดกลัว จึงพากันลาคุณหมอ กลับมาพักรักษา อยู่ที่บ้าน

พอมาถึงบ้าน ยายและลูกๆ ก็จะคอยป้อนให้ จะขี้ยายก็ให้ขี้ใส่กระโถน จะเยี่ยวก็เยี่ยวตามสายยางที่หมอต่อไว้ให้ แล้วก็กางมุ้ง ให้นอนอยู่บนบ้าน อย่างนั้นเอง

ในขณะที่ตาช่วงนอนป่วยอยู่นี้ แกจะถามหามีดคู่มือที่เคยใช้ฆ่าวัวควาย ยายและลูกๆก็ไปเอามาให้แก ตาช่วง จะหวงมีด เล่มนั้นมาก คือจะเอามีดเล่มนั้นวางเอาไว้ไม่ห่างกายเลย หากมีใครสักคนมาเยี่ยมดูอาการป่วยของแก แกจะรีบหยิบ เอามีดเล่มนั้น มากอดเอาไว้ เสมือนหนึ่งกลัวใครจะมาแย่งเอามีดเล่มนั้นไป

ตาช่วงนอนป่วยทรมานในการขี้การเยี่ยวอยู่เป็นเวลาถึง ๓ เดือนกว่าๆ ลูกชายคนเล็กเกิดป่วยเป็นไข้ (ภาษาอีสานเว้าว่า เป็นไข้หมากไม้) หากใครป่วยเป็นไข้หมากไม้นี้ ขืนไปกินผลไม้เข้าไปล่ะก็ ถ้ารักษาไม่ทัน ก็จะถึงแก่ความตายในเวลาไม่นาน

ยายก็มัวแต่ดูอาการป่วยของตาช่วง ก็ไม่ค่อยสนใจกับลูกป่วยลูกไข้ ลูกได้ไปกินผลไม้ มันเลยผิดไข้นั้น ลูกตัวร้อนมาก ไข้ขึ้นสูง รักษาไม่ทัน สุดท้าย ลูกชายคนเล็กนั้น ก็มาตายลง

พอลูกชายยายตาย ยายและญาติๆ ก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตาช่วง พอป้อนข้าวป้อนน้ำแล้ว ก็ปล่อยให้แกนอนป่วย อยู่คนเดียว บนบ้าน เพราะยายและชาวบ้านก็พากันไปจัดการงานศพของลูกชาย

พอเอาศพลูกชายของยายไปป่าช้า ตอนนั้นปล่อยให้ตาช่วงอยู่คนเดียวที่บ้าน แกคงจะคิดหนัก คิดสงสารลูก ที่มาตายจาก คิดว่าตัวเอง อยู่ไปก็เป็นภาระแก่ลูกและเมีย คิดว่าตัวเองป่วยคงจะไม่รอดตายแน่ ทรมานในการกินการขี้การเยี่ยว อย่ากระนั้นเลย เราควรตายดีกว่า ตาช่วงคงจะคิดแบบนี้

แล้วแก็เอามีดเล่มนั้น มีดที่แกเคยฆ่าวัวฆ่าควายตายมาแล้วมากมาย เอากระหน่ำแทงเข้าที่หน้าอก และตามร่างกาย จนตัวตาย โดยที่ยายและลูกๆ ไม่มีโอกาสที่จะช่วยเหลืออะไรได้เลย

มีดเล่มนั้น คือมีดที่แกใช้ฆ่าวัว ฆ่าควาย ศพแล้วศพเล่า บัดนี้มีดเล่มเดียวกันนี้ ได้ย้อนหันกลับมาฆ่าตัว ของตาช่วงเอง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ มีดมรณะนั้น แล้วอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของกฎแห่งกรรม หรือว่า กรรมตามมาสนองแล้ว ท่านคิดว่า มันจะเป็นอะไรไปเล่า คุณยายผาง ไทยอ่อน กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด

ก่อนจาก ผู้เขียนขอฝากบทกวีธรรมเอาไว้สักบท เพื่อเป็นคติเตือนใจเอาไว้ว่า



เกิดเป็นคน จนหรือมี ดีหรือชั่ว
อยู่ที่ตัว กระทำ กรรมตามสนอง
 หากทำดี ดีคงส่ง ให้เรืองรอง
 ทำชั่วต้อง ได้รับกรรม ที่ทำมา

- ก่อแก่น -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)

ขอบคุณที่มา http://www.asoke.info/09Communication/Dharmapublicize/Sanasoke/sa254/125.html
67  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คนที่ชอบด่าว่าคนอื่นโดยไร้เหตุผลจะได้รับกรรมอย่างไรบ้าง เมื่อ: สิงหาคม 19, 2015, 09:56:41 pm
 เนื่องจากว่าจารวีได้รู้จักคนๆหนึ่งซึ่งเห็นแล้วไม่ค่อยถูกชะตา เนื่องจากว่าดูพฤติกรรมแล้ว เขาชอบใช้อำนาจที่คิดว่ามีเหนือใครด้วยการด่าทอคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สมควรว่าเขาก็ว่า เขาตัดสินคนเพียงแค่ว่าชอบหน้าหรือไม่ชอบหน้า เขาด่าคนลั่นออฟฟิตเลย คอยจ้องแต่จะจับผิดคนอื่น หากเขาไม่พอใจใครก็บีบคนๆนั่นออกหรือไล่ออกเลยโดยไม่มีเหตุผล ดูเผินๆเหมือนเป็นโรคจิตขั่นรุนแรง และไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาด้วยเนื่องจากว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ในบริษัท(ไม่ใช่เจ้าของบริษัท) เข้าใกล้แล้วเหมือนเข้าใกล้ไฟ จารวีเองไม่รู้จะโดนแบบคนอื่นเมื่อไหร่ดูเขาไม่ค่อยชอบ จารวีซักเท่าไหร่ คนแบบนี้ควรจะสงสารหรือสมเพศดี แล้วเขาจะได้รับกรรมอย่างไรบ้างในชาตินี่ และเมื่อตายไปเขาจะได้ไปนรกไหมค่ะ  ask1 thk56
68  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / เรื่อง...กรรมคืนสนอง เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 09:54:28 pm
เรื่อง..กรรมคืนสนอง
ทุกคืนที่ท้ายตลาดสดแห่งหนึ่งผู้คนที่เดินผ่านจะเห็นชายชราวัย 70 กว่า ร่างกายซูบผอม เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล บางแห่งตกสะเก็ด มีแมลงหวี่ตอม เสื้อผ้าเก่าขาดสกปรก บางแห่งขาดแต่ไร้การปะชุน
 
มือหยาบกร้าน เล็บยาวแข็งเกาลงบนเนื้อแห้งเป็นขุย จนเกิดรอยขาวเป็นทางยาว ใบหน้าแห้งตอบบิดเบี้ยว เมื่อแกหาว ภายในปากมีฟันแทบจะนับซี่ได้ ศีรษะของแกมีเส้นผมขึ้นเพียงหร็อมแหร็ม ทว่าเต็มไปด้วยสีขาวโพลน บางเส้นร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนหมอนที่เก่าและดำจนออกมันเพราะความสกปรก
 
เสียงกรนดังเบาๆ สลับกับมือที่เกาเนื้อตัวเพราะถูกยุงกัด ตุ่มผื่นขึ้นเป็นปุ่มปม คนที่เห็นมีความรู้สึกต่างกันออกไป
 
บางคนเวทนาสงสารในความขัดสนไม่มีแม้แต่บ้านที่อยู่อาศัย อีกคนไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ รังเกียจในความสกปรกจนถึงขั้นกินอาหารไม่ลง ความรู้สึกประการหลังลุงทมรู้ดี พยายามที่จะไม่เข้าใกล้ใคร เว้นเสียแต่หิว จะต้องเดินไปหาแม่ค้าในตลาด ขอทำงาน เอาแรงเข้าสู้เพื่อแลกกับอาหารแค่พออยู่รอดไปมื้อๆ หนึ่ง
 
บางคนเมตตา นอกจากให้อาหารยังแถมเงิน เสื้อผ้า อุปกรณ์ในการดำรงชีวิต แต่ไม่บ่อยนักที่จะเจอคนใจดี เมื่อมีคนให้ลุงทมจะยกมือไหว้ กล่าวสรรเสริญในความมีน้ำใจตามด้วยน้ำตาคลอด้วยความเศร้า หลายคนรับรู้เรื่องราวแต่หนหลังของชายชราผู้ยากไร้เพราะแกจะเล่าให้แก่ผู้ที่สนใจ อยากทราบความเป็นมาเป็นไปทำไมถึงมานอนอยู่ท้ายตลาด ใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีลูกหลานคอยดูแล
 
?เพราะความใจดำ ไม่มีน้ำใจ รังเกียจคนแก่ ทำให้ลุงต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ จำเอาไว้นะลูกหลานเอ๊ย อย่าทำตนเหมือนลุง ไม่อย่างนั้นจะเสียใจ เพราะกรรมที่ทำเอาไว้ มันไม่สามารถที่จะล้างออกได้เหมือนคราบโคลน?
 
แทบไม่เชื่อหูเลยว่านี่คือคำสอนของชายผู้ยากไร้ แต่น้อยคนนักที่จะรับฟังเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ได้แต่หัวเราะเยาะแล้วเดินหนี แต่ก็มีคนคนหนึ่งยังนั่งอยู่ในท่าเดิม สายตาจับจ้องมองตลอดทั่วเรือนร่างด้วยความสนใจพร้อมกับหยิบสมุด ปากกาออกมาเพื่อจดข้อความสำคัญเอาไว้กันลืม รู้โดยสัญชาตญาณว่าผู้เฒ่ารายนี้มีอะไรบางอย่างน่าสนใจไม่น้อย
 
?เรื่องของลุงอาจจะไม่น่าสนใจก็ได้เพราะมันไม่สนุก มีแต่ความเลวที่กระทำต่อผู้อื่น สุดท้ายก็ต้องมีสภาพเหมือนคนที่เราเคยรังเกียจ อย่างที่เขาบอกว่ากงกรรมกงเกวียนนั่นแหละ เรื่องของลุงเกิดขึ้นเมื่ออายุ 20 กว่าๆ?
 
เรื่องของลุงทมถูกเปิดเผยขึ้นด้วยเสียงที่สั่นๆ เพราะความชรา แกบอกว่าเป็นลูกชายคนสุดท้องของเศรษฐีที่นาแถบอยุธยา พ่อแม่มีที่เยอะ นออกจากทำกินกันแล้วยังแบ่งที่ให้คนอื่นเช่าด้วย วัว-ควายก็มีมาก 
 
คนงานมีแบบมาทำงานเช้าไปเย็นกลับ และมานอนค้างที่บ้านโดยสร้างเพิงให้อยู่ พวกลูกจ้างจะหุงหาอาหารกินกันเอง มีทั้งคนหนุ่มสาว มีครอบครัวและคนแก่ โดยจะแบ่งหน้าที่กันทำงานตามความเหมาะสม
 
ลุงทมไม่ค่อยสนใจช่วยงานสักเท่าไหร่ทำแค่เพียงคุมคนงาน โดยจะแกล้งให้ทำงานนานๆ เกินเวลาบ้าง หรือใช้งานหนักแต่จ่ายเงินน้อย ไม่สนใจว่าใครจะได้รับความเดือดร้อน เหนื่อย ยากลำบากสักแค่ไหน แกมีความสุขที่ได้กระทำแบบนี้คนงานไม่ชอบพยายามเลี่ยง ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวถูกใช้ทำงาน
 
เมื่อไม่มีคนงานเข้ามา ลุงทมเป็นฝ่ายเข้าไปหาเอง คนหนุ่มสาวมีเรี่ยวแรงพากันวิ่งหลบหนี จะมีแต่เพียงคนแก่หูตาฝ้าฟาง ส่วนใหญ่จะให้ทำหน้าที่ฝัดข้าวที่นวดเสร็จแล้ว ถือว่าเป็นงานเบาแต่ลุงทมกลับให้ทำงานหนักๆ บังคับคนแก่ไปไถนากลางแดดร้อนๆ แกล้งไม่ให้พักบางคนเหนื่อยจนหมดแรงเป็นลมล้มคว่ำ บางคนถูกใช้ให้ไปหาบน้ำจากคลองมาใส่ตุ่มให้แกอาบ แต่ไม่ยอมให้เงินหรือว่าให้นิดหน่อยไม่คุ้มกับแรงที่เสียไป
 
ถ้าหากว่าใครทำงานได้ไม่ทันใจจะด่าให้อับอาย ไล่ออกไปอยู่ที่อื่น คนแก่บางคนร้องไห้เพราะความคับแค้นใจ แต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ลุงทม เพราะแกขู่เอาไว้ถ้าหากใครบอกพ่อแม่จะถูกลงโทษอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนแก่เข้ามาทำงานที่บ้าน ลุงทมชอบใจเพราะไม่ต้องแบกรับภาระ ถ้าหากว่ามีคนแก่เข้ามาของาน แกจะไล่ตะเพิดทันที
 
วันหนึ่งขณะที่ลุงทมกำลังนอนเป่าขลุ่ยอย่างอารมณ์ดี มีเสียงคนเรียกอยู่ใกล้ๆ เมื่อมองดู อารมณ์เสียทันที คนแก่อายุ 70 กว่า หลังงองุ้ม ถือไม้เท้าเดินเข้ามายกมือไหว้ ขอข้าวกิน ลุงทมบอกว่าไม่ให้พร้อมกับไล่เสียงดัง ด่าว่าสาดเสียเทเสียคนแก่นั่งยองๆ ยกมือไหว้ ไม่ยอมไป ลุงทมเห็นดังนั้น ผลักเต็มแรงจนร่างชายแก่ล้มลงไปนอนกับพื้น
 
เท่านั้นยังไม่พอ แกคว้าไม้ได้ทำท่าจะตี ถ้าพ่อแม่ไม่เข้ามาห้ามเอาไว้ ลุงทมคงทำร้ายคนแก่คนนั้น ทุกคนที่เห็นพากันตำหนิในความใจร้ายใจดำที่มีต่อคนแก่อดอยาก ไม่สนใจ ทำตัวแบบนี้เรื่อยมมา กระทั่งพ่อแม่แบ่งที่นาให้ ลุงทมไม่สนใจทำ เอาไปขาย ติดการพนันและเสียท่าผู้หญิงที่เป็นหางเครื่องวงดนตรี หลอกจนเสียเงินเสียทอง
 
ไร่นาที่มีขายจนหมดเกลี้ยง พี่น้องไม่ช่วยเหลือ เพราะถือว่าได้มรดกไปแล้วไม่รู้จักรักษา เวลานั้นเริ่มแก่เฒ่าลงทุกทีแกออกหางานทำ ค่ำไหนนอนนั่น เร่ร่อนไปเรื่อย เมื่อหิวไปขอข้าวคนกินแต่ไม่มีใครให้ แถมยังไล่และด่าเหมือนที่แกเคยทำกับคนแก่
 
แกบอกว่าที่เป็นแบบนี้เพราะบาปที่เคยทำเอาไว้นั่นเอง ตอนนี้มันคืนสนองอย่างเต็มที่
 
 
โดย : นิลราตรี ขอขอบคุณ นิตยสาร รวมกฎแห่งกรรม
www.pstip.com
69  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ตำนาน แล้งวัดสระเกศเปรตวัดสุทัศน์ เมื่อ: สิงหาคม 14, 2015, 09:51:50 pm
ขุดตำนาน "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์"

หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" กันมาจนชินหู
ทั้งสองวัดนี้.. มักจะได้ยินพร้อมๆกันเสมอ..เพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็ นอย่างนั้น
และมันก็คือ นรกจำลองดีๆ นี่เอง

โดยเฉพาะเรื่องของวัดสระเกศ ที่แต่ก่อนเป็นศูนย์รวมของแร้งนับพัน
อันเนื่องมาจากโรคห่าระบาดเมืองในช่วงรัชกาลที่ 2 นั่นเอง
สถิติคนตายตอนนั้นก็ไม่มากไม่มายเท่าไรหรอกตายไปสามห มื่นคนภายใน 15 วันเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ

กรุงเทพตอนนั้น.. กลายเป็นเมืองแห่งคนตายเลย
เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ เห็นจะน้อยกว่าศพที่กองระเนระนาดไปทุกตารางนิ้ว
แม้แต่แม่น้ำลำคลองก็ยังเต็มไปด้วยซากศพ จนใช้อาบใช้กินไม่ได้เลยทีเดียว

คนตายกันไม่รู้วันละกี่พัน จะจัดพิธีทำศพก็ไม่ทัน จะเผาก็ไม่ทัน จะฝังก็ไม่ทันอีก..

ไม่มีวิธีการไหนจะจัดการกับศพเหล่านั้นได้

สุดท้าย.. ต้องขุดหลุมแล้วเอาศพมากองรวมกันไว้ที่นี่..วัดสระเก ศ

นอกจากสมัยรัชกาลที่ 2 แล้วโรคห่าก็ระบาดกันทุกรัชกาลเลย
เค้าก้อจะเอามากองรวมกันที่วัดสระเกศ..
ฝูงแร้งก็จะมารวมกันอยู่ที่นี่ เยอะขึ้น เยอะขึ้น อิ่มหนำสำราญมากมาย
จำนวนคนตายมันมากจนฝูงแร้งมีกินกันได้ทั้งชีวิตเลยที เดียว

นอกจากศพคนตายด้วยโรคห่าแล้ว ก็ยังมีศพที่ไม่ได้มาจากโรคห่าด้วย อย่างสมัยรัชกาลที่ 5 นี้..

ทางคุกจะเอาศพนักโทษที่แก่ตายมาทิ้งไว้ที่นี่ ศพนักโทษประหารก็ด้วย..
ถ้าไม่ขุดหลุมกลบ เค้าก็จะแบกศพมาทั้งๆที่ไม่มีหัวน่ะแหละ
และยังมีศพไร้ญาติอีก เอามาทิ้งไว้ที่นี่เหมือนกัน


แล้วทำไมต้องเป็นวัดสระเกศ?

ต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพกันในเมือง ใครตายก็ต้องนู่นเลย.. นอกกำแพงเมืองนู่น
แล้วประตูเมืองที่เค้าอนุญาตให้เอาศพผ่านก้อมีประตูเ ดียว ที่เรียกว่า ประตูผีนั่นแหละ
ทีนี้วัดสระเกศก็อยู่ใกล้กับประตูผีนั่นพอดี ผ่านประตูเมืองมาก็เจอกับวัดสระเกศเป็นวัดแรก..
ก็เลยต้องเอาศพมาทิ้งที่นี่.. เพราะสะดวกดี

ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้..เวลาพูดถึงแร้ง เลยทำให้นึกไปถึงวัดอื่นไม่ได้
นอกจาก.. วัดสระเกศ




แต่ถ้าพูดถึงแร้งวัดสระเกศ จากกระทู้ที่แล้ว แล้วไม่พูดถึง "เปรตวัดสุทัศน์" ก็จะดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเรามักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กันเสมอๆ สำหรับ "เปรต" นั้น ก็เป็นชื่อเรียกผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำกรรมหนักหนาสา หัส เมื่อตายไปแล้วก็จะมาเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ท ำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์

เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลายลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องตัวสูงเทjาต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆ ตอนกลางคืน และมักมาปรากฏตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วงนั้นดวงตกต้องไปทำบ ุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรต ตนนั้นเสีย

ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่อ งราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวรา
ราม ราชวรมหาวิหาร ที่เล่ากันว่าที่วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฏกายในเวลาก ลางคืนเป็นที่น่ากลัว อย่างยิ่ง ประกอบกับอหิวาตกโรคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนว นมากในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ"

ซึ่ง แท้ที่จริงแล้ว เรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์ฯนั้น มาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ ที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้อง ไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้าต่างหาก
70  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / รู้สึกเหนื่อยท้อแท้ เมื่อ: สิงหาคม 05, 2015, 04:24:16 pm
 ช่วงนี้อะไรๆก็แย่ไปหมด ชีวิตเหมือนเจอทางตัน ปัญหารุมเร้าเกินปัญญาผู้หญิงตัวเล็กๆจะแก้ได้  :03: ควรทำไงดี
ไม่มีแม้คนจะพึ่งพาอาศัยได้เลย ท้อเหลือเกิน อยากจะตายยยยให้มันรู้แล้วรู้รอด  :91:
71  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชวนเพื่อนๆชาวธรรมและสมาชิกมาช่วยกันโพสข้อความธรรมะ เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2015, 09:24:00 pm
 รู้สึกว่าเว็ปบอร์ดของเรามีคนโพสน้อยมากๆ อยากจะชวนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ และสมาชิกทั้งหลายช่วยกันโพสธรรมะเพื่อถวายเป็นธรรมทาน  เพิ่มพูนสติปัญญา ที่สำคัญได้บุญด้วย ช่วยๆกันเยอะๆนะค่ะ thk56 st11 :25:
72  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ตายแล้วฟื้น ของสามเณรสิทธิศักดิ์ เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2015, 08:41:15 pm

ตายแล้วฟื้น ของสามเณรสิทธิศักดิ์

ข้าพเจ้ามีอาชีพค้าขายอยู่ในตลาดแห่งหนึ่ง ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวเล็กๆ มีสมาชิก คือ พ่อ แม่ และข้าพเจ้าเท่านั้น เราอยู่กันเพียง ๓ คน วันหนึ่งๆ เราจะยุ่งและสนใจอยู่แต่กับการค้าขาย ไม่ได้สนใจกับการทำบุญให้ทานแต่อย่างใด แม้พระภิกษุสงฆ์และสามเณรจะโคจร บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านเป็นประจำทุกวัน พวกเราก็มิได้สนใจแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะครอบครัวของข้าพเจ้านับถือลัทธิศาสนาอื่น มิใช่นับถือศาสนาพุทธ เรามีการบริจาคทานบ้างเหมือนกัน คือบริจาคให้แก่คนขอทานที่มานั่งเกะกะอยู่หน้าร้าน แต่พวกเรามิได้บริจาคด้วยศรัทธา เราให้เขาด้วยความรำคาญมากกว่า ทั้งนี้เพื่อเป็นการขับพวกขอทานให้พ้นๆ ไป

อันที่จริง ข้าพเจ้านับถือลัทธิศาสนานั้นเป็นการนับถือตามบิดามารดา ข้าพเจ้ามิได้ศึกษาธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาพระองค์ใดข้าพเจ้าไม่รู้ด้วยว่า พระเจ้าคือใครและใครเป็นพระเจ้า ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีความสำคัญเพียงใด แม้บิดามารดาของข้าพเจ้าก็ไม่เคยสั่งสอน เพียงแต่บอกว่า บ้านเรานับถือพระเจ้า ไม่ต้องไหว้พระ ก็เท่านั้นเอง เมื่อไปอยู่โรงเรียน นักเรียนคนอื่นๆ ประนมมือไหว้พระรัตนตรัย ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยืนก้มหน้าตามที่คุณครูบอกไว้


พฤติกรรมของนักบวช

ตอนเช้า ข้าพเจ้ายืนดูพระสงฆ์เที่ยวภิกขาจาร ยังเคยนึกในใจว่า นักบวชเหล่านี้เอาเปรียบสังคมจริงๆ เขาคงไม่มีสติปัญญาจะทำกิจการงานใดๆ จึงต้องมาบวชและเบียดเบียนผู้อื่น และมาเบียดเบียนทุกเช้าเสียด้วย คิดแล้วก็น่าแปลก ร่างกายก็ดี ดูกำยำล่ำสัน ผิวพรรณหน้าตาบุคลิกก็ไม่ใช่คนโง่หรือปัญญาอ่อนแต่อย่างใด ทำไมเขาจึงไม่ประกอบอาชีพให้เป็นหลักฐาน บางท่านบางองค์แก่จนหงำเหงอะ ลูกหลานเขาไม่กตัญญู รู้คุณหรืออย่างไร จึงต้องมาขอคนอื่นอยู่อย่างนี้ ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้ามีอายุ ๑๓-๑๔ ปี นับว่าเป็นความคิดของวัยรุ่นที่มองสังคมอีกมุมหนึ่ง และเป็นความคิดของเด็กหนุ่มที่จบเพียงชั้นประถมปีที่ ๔ เท่านั้น

ยิ่งข้าพเจ้าเห็นคนข้างบ้านถือขันข้าวใส่บาตร ก่อนจะใส่บาตร เขายกขันข้าวขึ้นเหนือหัว ปากก็พึมพำท่องบ่นคาถาคล้ายกับจะอ้อนวอนอะไรสักอย่าง และเมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วยังต้องยกมือไหว้อีก นึกไม่ออกว่าเขาทำอะไรอย่างนั้น เพราะธรรมดาของชาวโลก ผู้รับควรจะขอบคุณ ผู้ให้ แต่นี่ผู้ให้กลับต้องไหว้ผู้รับ มันไม่น่าเป็นไปได้ ขำดีเหมือนกัน ครั้นจะสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง ก็เกรงไปว่าเขาจะหาว่าเราโง่เขลา สู้เก็บไว้ในใจดีกว่า ไม่มีใครหัวเราะเยาะเราได้

ข้าพเจ้าไม่เคยไหว้พระเลยแม้แต่ครั้งเดียว บ้านของข้าพเจ้าก็ไม่เคยนิมนต์พระมาสวดคาถา แม้บ้านใกล้เคียงเขานิมนต์พระมาทำบุญ ถ้าเขามาบอก เราจะเอาเงินจำนวนหนึ่งใส่ซองส่งให้เขาไป โดยไม่คิดว่าเราทำบุญ แต่เราเพียงได้ช่วยเหลือคนที่รู้จักมักคุ้นกัน ข้าพเจ้าเคยไปวัดมาเหมือนกัน เพราะเพื่อนๆ ชวนไปเที่ยวงานวัด ยิ่งไปเห็นพระเทศน์เป็นทำนองแหล่ ฟังดูแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนนักร้องลูกทุ่ง ไม่ไวพจน์ ก็ชาย เมืองสิงห์ หรือเหมือนหลวงพี่พรภิรมย์ตอนไปบวช และอาจจะตลกคะนอง เฮฮามากกว่านั้นเสียอีก เลยนึกว่าพระพวกนี้น่าจะสึกไปเป็นนักร้องลูกทุ่งคงจะดีกว่า ดังกว่า



ฤทธิ์ยาหมอตี๋

วันหนึ่งในฤดูหนาว ข้าพเจ้ารู้สึกปวดศีรษะ เพราะเป็นไข้หวัด ข้าพเจ้าจึงไปซื้อยาแก้หวัดมากิน หมอตี๋เพื่อนกันบอกว่า ให้กิน ๓ ชั่วโมง ต่อ ๑ ชุด (๔ เม็ด) ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามคำสั่งของหมอตี๋อย่างเคร่งครัด โดยตั้งนาฬิกาไว้เลยทีเดียว

ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าได้กินยาชุดสุดท้ายเมื่อเวลา ๒๔.๐๐ น. เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว รู้สึกร้อนใน แน่นหน้าอก ข้าพเจ้าหายใจขัดๆ และเริ่มทุรนทุราย แล้วก็หลับผลอยไป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างในร่างกายมันปกติหมด ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ร้อน ไม่หนาว และยังรู้สึกแข็งแรง จิตใจก็ปลอดโปร่ง สมองแจ่มใส เรียกได้ว่าสบายที่สุดจริงๆ กายทิพย์ได้เคลื่อนจากร่างกายเดิม ซึ่งเป็นเปลือกนอกแล้ว



เยี่ยมญาติ

ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน เห็นรถไฟแล่นมาพอดี ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปเยี่ยมคุณลุงที่จังหวัดลพบุรีสักหน่อย พอคิด ก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าขึ้นไปอยู่บนรถไฟเสียแล้ว ข้าพเจ้าเลือกที่นั่งติดกับหน้าต่างด้านหนึ่ง หันหน้าไปทางหัวรถไฟ มองดูภายนอกมืดไปหมดเลย พนักงานตัดตั๋วเดินมามองดูข้าพเจ้าแวบหนึ่ง แล้วก็เดินเลยไป ไม่เห็นเขาถามเอาตั๋ว แปลกดีเหมือนกัน

พอรถไฟจอดสถานีบ้านหมี่ มีคนขึ้นคนลงจำนวนมากพอสมควร มีสตรีกลุ่มหนึ่ง รวม ๔ คน ขึ้นมาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ คนนำหน้าอ้วนตุ๊ต๊ะ น้ำหนักต้องเกิน ๖๐ กิโลแน่ๆ แกมาถึง แกบอกพวกว่า “นั่งตรงนี้แหละ ว่างดีจริงนะ” พอจบคำ แม่อ้วนก็เหวี่ยงก้นลงบนตักข้าพเจ้าอย่างหน้าตาเฉย ครั้งแรกข้าพเจ้าตกใจจะแหกปากร้องอยู่แล้ว แต่เมื่อยายอ้วนนั่งตักข้าพเจ้าไม่เห็นจะหนักหนาอะไร กลับเบาสบาย และยังได้กลิ่นหอมๆ จากเครื่องประทินผิวของแกเสียอีก บ๊ะ! ช่างโชคดีเสียเหลือเกินะ อยู่ดีๆ ก็มี ผู้หญิงมานั่งตัก พอรถไฟจอดสถานีลพบุรี ข้าพเจ้าดันยายอ้วนให้ลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกว่ามันว่างเปล่า แล้วข้าพเจ้าก็ลอยลงจากรถไฟ ข้าพเจ้าหยุดเรียกรถสามล้อตั้งหลายคัน แต่สามล้อเหมือนไม่อยากได้เงิน มันก้มหน้าก้มตาปั่น ไม่ยักเหลียวมามอง ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ท่าขุนนางแค่นี้ เดินไป ก็ได้ เหตุต้องไปท่าขุนนาง เพราะข้าพเจ้าต้องไปลงเรือไปเยี่ยมคุณลงที่งิ้วรายโน่น



พบอาแป๊ะแบกดิน

เพียงไม่กี่อึดใจ ข้าพเจ้าก็ไปยืนอยู่ที่ท่าขุนนาง มองหาเรือก็ไม่มี เห็นแต่เรือหัวตัดท้ายตัดเหมือนโลงผี นึกในใจว่า เรืออย่างนี้ เราไม่ไป ดีกว่า พอดีเหลียวไปเห็นตาแป๊ะแก่คนหนึ่งยืนแบกอะไรอยู่เหมือนแผ่นกระจก จึงเดินไปดูใกล้ๆ เป็นตาแป๊ะบ้านใกล้ๆ กับข้าพเจ้า แต่แกตาย ไปตั้งปีกว่าแล้ว และสิ่งที่แกแบกอยู่นั้นคือดินเหนียวที่อัดเป็นแท่ง ขนาดกว้าง ๒ ศอก ยาวไม่เกิน ๒ วา สังเกตดูท่าทางของแกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเอาการอยู่ ข้าพเจ้าตรงเข้าไปถามทันที

“อาแป๊ะ ลื้อตายไปตั้งนานแล้ว ทำไมจึงมาแบกแผ่นดินอยู่ที่นี่เล่า”

“อาหลู ลื้อไม่รู้อาราย” ตาแป๊ะพูดภาษาไทยแต่สำเนียงจีน

“ตั้งแต่อั๊วตายมา อั๊วก็ต้องมาแบกแผ่นดินอยู่ที่นี่ จะปายไหนก็ปายไม่ได้”

“อ้าว ทำไมถึงทำอย่างนั้นเล่า ใครเขาบังคับตาแป๊ะให้มาทำอย่าง นี้นะ” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความสงสัย

“ม่ายมีใครบังคับน่อ” อาแป๊ะเสียงกระเส่า “มันเป็นของมันเอง เวรกรรมว่ะ”

“อั๊วจะช่วยลื้อ” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความสงสาร

แต่เมื่อข้าพเจ้าออกแรงยกแผ่นดินแท่งนั้น มันไม่ยอมขยับเขยื้อนแต่อย่างใด มันหนักดุจดังเสาหินนั่นแหละ ข้าพเจ้าถอยหลังออกมา ตั้งใจจะโดดผลักให้เต็มกำลัง แต่พอข้าพเจ้าตั้งท่าจะโดดเข้าผลักแผ่นดินนั้นเสียงตวาดก็ดังขึ้น “เฮ้ย ไอ้หนู มันกงการอะไรของแกวะ” ข้าพเจ้าหันมาดูตามเสียง เห็นชายร่างใหญ่ตัวดำเป็นหมึก มือถือขวานโบราณมหึมาทีเดียว แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำอะไร ชายคนนั้นก็สำทับมาอีกว่า

“ไอ้หนูเอ๋ย คนอย่างเอ็งช่วยตาแป๊ะไม่ได้หรอก บุญเจ้าไม่ได้ทำ ไว้ จะมีปัญญาช่วยได้อย่างไร เอ็งมาเสียชาติเกิดว่ะ”

“ตาแป๊ะแกไปทำอะไรใครเขาล่ะ จึงต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างนี้” ข้าพเจ้าถามอย่างสงสัย

“ให้ตาแป๊ะเล่าให้ฟังดีกว่า” ชายนั้นหันมากำชับตาแป๊ะว่า “เล่าไป เล่าให้เขาฟัง ความจริงมีเท่าไหร่ เล่าให้เขาฟังให้หมด ถ้าโกหกละก็ จะต้องถูกลงโทษเพิ่มอีก ๒ เท่านะ”



บุกรุกที่ดินของสงฆ์

ต่อจากนี้เป็นคำบอกเล่าของตาแป๊ะ แกเล่าว่า แกมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง ประมาณ ๑๐ ไร่ อาณาเขตด้านหนึ่งติดกับที่ธรณีสงฆ์ของวัด แกพยายามบุกรุกที่ดินของวัดด้วยวิธีการขุดเขตขยายเข้าไปทีละจอบสองจอบ ได้ที่ดินลึกเข้าไปประมาณ ๒ ศอกเท่านั้น เมื่อแกตาย จึงต้องมา ทนทุกข์ยืนแบกแผ่นดินอยู่อย่างนี้ หนักก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย แต่วางไม่ได้ ตอนท้ายแกสั่งว่า เมื่อข้าพเจ้ากลับไปยังบ้านแล้ว ให้บอกอาม่วย ลูกสาวแกให้จัดการยกที่ดินแปลงนั้นถวายวัดทั้งหมดเพื่อเป็นการไถ่บาป แกถึงจะพ้นเวร ข้าพเจ้ารับคำว่าจะจัดการให้ตามความประสงค์

“ไอ้หนู กลับบ้านได้แล้ว” ชายร่างใหญ่ร้องบอกข้าพเจ้า “ป่านนี้พ่อแม่เอ็งร้องไห้น้ำตาตกเป็นถังๆ แล้ว”

อันที่จริงข้าพเจ้ายังไม่อยากกลับ แต่ชายร่างใหญ่ไม่ยอม บอกว่า “ถ้าช้า ไม่ทันการ มา ข้าจะไปส่ง แต่ต่อไปนี้เอ็งจะต้องทำบุญให้ทานนะ”

พูดจบ ชายร่างใหญ่คว้าแขนของข้าพเจ้า พาหมุนวน ๓ รอบ แล้วเหวี่ยงขึ้นสู่อากาศ ข้าพเจ้าลอยละลิ่วมาตกลงกลางบ้านพอดี



คืนสู่ร่างเดิม

พอได้สติ ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นเสียงมาจากมารดาของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นดู เห็นบุคคลห้อมล้อมดูข้าพเจ้าเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าผุดลุกขึ้นนั่ง คนเหล่านั้นแตกฮือทันที มีแต่มารดาของข้าพเจ้าเท่านั้นที่ผวาเข้ามากอด แล้วพร่ำรำพันว่า “ลูกแม่ฟื้นแล้ว ลูกแม่ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย” ข้าพเจ้าทราบจากบิดามารดาว่าข้าพเจ้าสลบไปตั้ง ๑๘ ชั่วโมง ใครๆ ก็ว่าข้าพเจ้าต้องตายแน่นอน และเตรียมต่อโลงศพไว้แล้ว กำลังจะทำพิธีอาบน้ำศพอยู่ทีเดียว ข้าพเจ้าก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะร่างกายของข้าพเจ้า ไม่ได้อ่อนเพลียแต่อย่างใด เพียงแต่หิวนิดหน่อยเท่านั้น ข้าพเจ้าเริ่มกินข้าวทันที และมิได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเพราะเกรงว่าเขาจะหัวเราะเยาะเอา



อุทิศกุศลให้ตาแป๊ะ

เช้าของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้ารีบไปพบเจ๊ม่วยลูกสาวตาแป๊ะทันที เริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง เจ๊ม่วยฟังไปร้องไห้สงสารเตี่ยไปด้วย พอผมเล่าจบ เจ๊ม่วย ขอร้องให้ผมเป็นผู้ติดต่อประสานงานโอนที่ดินถวายวัด ในวันมอบที่ดินถวายวัด เจ๊ม่วยจัดพิธีใหญ่พอสมควร มีนายอำเภอเป็นประธาน มีทายกทายิกามากหน้าหลายตา แต่ที่ข้าพเจ้าซาบซึ้งที่สุดคือคำอนุโมทนาของท่านพระครูเจ้าอาวาส ท่านพระครูได้อนุโมทนาเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนว่า

“ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี

ความจัญไรทั้งปวงจงบำราศไป โรคทั้งปวงของท่านจงหายอันตราย อย่ามีแก่ท่าน ท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้ มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์”  :021:

เมื่อท่านพระครูอนุโมทนาเป็นภาษาไทยแล้ว พระสงฆ์ก็อนุโมทนาเป็นภาษาบาลีอีกครั้ง นัยว่าให้เกิดความขลังยิ่งๆ ขึ้น หลังจากเจ๊ม่วยทำพิธีถวายที่ดินได้เพียงวันเดียว เจ๊ม่วยก็มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อคืนนี้เตี่ยแกคือตาแป๊ะได้มาหา ตาแป๊ะแต่งตัวโก้หร่านแบบข้าราชการในสำนักแห่งกรุงจีน แกบอกว่าแกสบายแล้ว ขอให้ลูกๆ ทำบุญ อย่าทำบาปตายไปแล้วจะได้สบายในปรโลก



สู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์

ข้าพเจ้าเริ่มมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาช่วยคนได้แน่นอน ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ โดยอ่านจากหนังสือและไปสนทนากับท่านพระครูเจ้าอาวาสเป็นประจำ ข้าพเจ้าเริ่มทำบุญ ใส่บาตร ซองผ้าป่า-กฐิน ไม่เคยขัดข้อง แม้บิดามารดาจะห้ามปรามข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อ พยายามยกเหตุผลให้ท่านฟังเพื่อชักนำให้นับถือศาสนา ที่ถูกต้อง

ปัจจุบันข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรและศึกษาปริยัติธรรมคือนักธรรม และบาลี พร้อมทั้งปฏิบัติธรรมด้วย แม้บิดามารดาของข้าพเจ้าก็เข้าวัดทำบุญและฟังธรรม บริจาคสิ่งของเป็นพุทธบูชาอยู่เสมอทั้งนี้เพราะ เราเชื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว”

ที่มา  www.palungdham.com
 
73  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / อนิสงค์ของศีล เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 05:32:20 pm
เรื่องอนิสงค์ของศีล เป็นเรื่องที่เขียนมาจากความเข้าใจและความจำล้วนไม่ได้อิงหนังสือเล่มใด ดังนั้นอาจยังมีข้อผิดพลาดจึงขออภัย ณ. ที่นี้ด้วย
     ศีล ในความหมายคือ การละ หรือการงดเว้น ถ้าแปลตามสถานะแล้วเป็นคำกลาง หมายถึงบัญญัติขึ้นมาไม่บังคับแต่แนะนำให้ปฏิบัติตาม ต่างกับคำว่า กฎ คือต้องกระทำตามนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังนั้นคำว่ากฏจะใช้กับผู้มีอำนาจออกระเบียบบังคับกับบริวาร หรือกฎหมาย หรือกฎธรรมชาติ มากล่าวถึงศีลต่อ ศีลตามที่พุทธศาสนาบัญญัติมีเป็นระดับดังนี้คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 แยกแยะได้ดังนี้
     ศีล 5 สำหรับบุคคลทั่วๆไป มีรายละเอียดดังนี้
          1.ห้ามฆ่าสัตว์
          2.ห้ามลักทรัพย์
          3.ห้ามพูดเท็จ
          4.ห้ามผิดลูกเมีย(สามี)ผู้อื่น(กระทำผิดทางกาม)
          5.ห้ามดื่มสุราสิ่งมึนเมา
     ศีล 8 สำหรับชีพราหมณ์ แม่ชี ชีปะขาว ฤษี หรือนักพรต มี    รายละเอียดดั้งนี้
          1.ห้ามฆ่าสัตว์
          2.ห้ามลักทรัพย์
          3.ห้ามพูดเท็จ พูดจ่อเสียด
          4.อพราหมณ์จาริยา คือไม่ผิดพรหมจันท์ ไม่ถูกต้องเพศตรงกันข้าม และไม่สำเสร็จความใคร่ด้วยตัวเอง  หรือผู้อื่นทำให้
          5.ห้ามดื่มสุราสิ่งมึนเมา
          6.ห้ามรับทานอาหารหลังยามวิกาล คือหลังเทียงวัน
          7.ห้ามลูบไล่ร่างกายด้วยของหอม ห้ามทัดดอกไม้และ ฟ้อนรำทำเพลง
          8.ห้ามนั่งนอนในที่เตียงสูงหรือเบาะหรือฟูกสูง
     ศีล 10 สำหรับสามเณร มีรายละเอียดเพิ่มจาก ศีล 8 ดังนี้
           9.ห้ามดูมโหรสพการฟ้อนรำทำเพลงหรือสิ่งที่แสดง ที่เป็นภัยต่อพรหมจรรย์
          10.ห้าม จับต้องเงินทอง (ตามความหมายที่แท้และเคร่งครัดสมัยโบราณ คือห้ามชื้อขายสินค้าหรืออาหารให้ดำรงสถานะอย่างผู้ขอหรือบิณฑบาต ไม่ว่าจะเป็นพระหรือสามเณร)
     ศีล 227สำหรับพระภิกษุ ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มจากศีล 10 แต่ไม่ขอกล่าวในที่นี้เพราะมีเยอะเกินไป
ท่านผู้อ่านคงได้ทราบเรื่องศีลมาบ้างแล้วเพราะเป็นพุทธศาสนาเหมือนกัน คราวนี้จะเข้าสู่ผลของศีลเริ่มจากศีล 5
      ผลหรืออานิสงส์ของศีล 5 ที่เป็นปัจจุบัน คือ
          1.ทำให้เป็นผู้มีศตรูน้อย
          2.ทำให้เป็นผู้ไม่มีคดีมาติดพัน(ยกเว้นผู้มีกรรมเก่าส่งผล)
          3.เป็นผู้ที่ผู้อื่นไว้เนื้อเชื่อใจ
          4.ทำให้ครอบครัวอบอุ่น
          5.ทำให้เป็นผู้ไม่ขาดสติแล้วไปทำความผิดร้ายแรง
      ผลของผู้ผิดศีล 5 ที่เห็นในปัจจุบัน คือ
          1.มีศตรูมากมีบางท่านโดนฆ่าตายเพราะไปฆ่าผู้อื่น
          2.มีคดีติดพันหรือติดคุกเพราะลักทรัพย์หรือฆ่าผู้อื่น
          3.ไม่มีผู้ไว้เนื้อชื่อใจ
          4.ครอบครัวหาความสุขไม่ได้ติดโรคติดต่อหรือแยกทางกัน
          5.ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือทะเราะวิวาทกัน
      ผลหรืออานิสงส์ของศีล 5 แบบข้ามชาติตามตำรา
          1.เมื่อตายแล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือเกิดเป็นมนุษย์เป็น อย่างต่ำ
          2.เมื่อเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์จะไม่พิการ มีอาการและร่างกายครบทุกอย่าง  ส่วนลักษณะเด่นดีอย่างอื่นจะขึ้นอยู่ กับกุศลที่ทำพิเศษออกไป
     ตัวอย่างของผู้ผิดศีล 5 ที่ส่งผลปัจจุบันมีตัวอย่างให้เห็นไห้รู้กันมากมายในปัจจุบันนี้ เช่นตามข่าวหนังสือพิมพ์ อยู่ในคุกในตาราง หรืออาจจะคนเป็นรอบข้างที่มีความทุกข์เผารนอยู่ แล้วแสดงออกทางกายวาจาให้เห็น หรืออาจจะเป็นตัวเราเองทีทำผิดที่จิตใจกำลังทุกข์รนอยู่ก็ได้ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นกันมากเลย ถ้าเป็นผู้เข้าใจกรรมและเข้าใจธรรม คงไม่ต้องทุกข์และหลีกเลี่ยงไม่กระทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์อันมากมาย
     ตัวอย่างของผู้ผิดศีล 5 แบบข้ามภพข้ามชาติตามตำรา
     เรื่องที่ 1.
          พ่อค้าฆ่าสุกร มีคนฆ่าสุกรคนหนึ่งเป็นทั้งคนฆ่าสุกรเองและชำละเนื้อสุกรขาย เป็นคนที่ไม่เคยทำบุญตักบาตรหรือฟังธรรมเลยและมีความคิดว่าฆ่าสัตว์ผิดที่ตรงใหน ฆ่าสุกรมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่แล้วไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น บาปกรรมไม่มี ซ้ำยังสอนให้ลูกหลานเข้าใจตามนี้จะได้ยึดอาชีพนี้ต่อไป อย่างนี้เรียกว่าผิดศีลแล้วยังเห็นผิดนับว่ามีฐิติมั่น ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพในการฆ่าสัตว์แต่ไม่ผิดกฎหมาย และมีความเห็นถูกว่าบาปบุญมีจริง ด้วยความจำเป็นจึงต้องประกอบอาชีพอยู่ยังดีกว่าเป็น ไหนๆ เพราะเมื่อมีโอกาศเปลี่ยนอาชีพที่ดีในแง่ของการไม่ผิดศีลเขาก็สามารถค่อยๆ เปลี่ยน หรือเปลี่ยนทันที่โดยไม่ลังเล โดยที่ไม่ทำให้ฐานะครอบครัวต่ำลงมากนัก มากล่าวถึงพ่อค้าฆ่าสุกรคนนี้ต่อ เมื่อมีฐิติผิดอย่างนี้แม้จะมีอายุมากแล้วก็ยังลงมือฆ่าสุกรด้วยตัวเอง และด้วยมีกำลังน้อยลงเวลาฆ่าสุกร ก็ทำให้สุกรทรมานมากกว่าจะสิ้นชีวิต มาถึงคราวกรรมอันเป็นอกุศลที่จะส่งผลพ่อค้าฆ่าสุกรคนนี้ ขณะที่กำลังใช้มีดช่วงแทงลำคอสุกรแต่ไม่ตรงจุดสำคัญทำให้สุกรตัวนั้นดิ้น ขาหน้าของสุกรถีบพ่อค้าฆ่าสุกรกระเด็นไปโดนถังน้ำร้อนลวกตนเองตั้งตัว แต่ไม่ตายในทันทีร้องครวญครางอยู่ จนลูกๆต้องเอาไปรักษาบนบ้าน ด้วยพิษความร้อนและบาดแผลทำให้มีอาการไข้และเพ้อ แสดงอาการร้องออกมาเหมือนหมูร้องเมื่อโดนเชือดทุรนทุรายเหมือนหมู รักษาอย่างไรก็ไม่หายมีอาการทรุดลงทุกวันๆ แสดงอาการอย่างนี้อยู่หลายวัน ผู้ที่มาเห็นแล้วรู้สึกสังเวชแทน พอขาดใจตายก็ลงนรกทันที่
     เรื่องที่ 2.
          พระภิกษุผู้ผิดศีล 5 ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหรือสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้าได้มีพระภิกษุ 2 พี่น้อง พระภิกษุที่เป็นพี่เมื่อเข้ามาบวชก็ศึกษาข้อวัตรและข้อปฏิบัติต่างๆ แล้วเข้าสู่ที่วิเวกปฏิบัติกรรมฐานอยู่รูปเดียว ด้วยความอดทนและมีขันติ จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนพระภิกษุผู้เป็นน้องเมื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ แล้ว ก็ไม่ยอมที่จะปฏิบัติกรรมฐาน และยังไปมาหาสู่กับมารดาเป็นประจำ ซ้ำมีความเห็นผิดว่าพระอริยะนั้นไม่มีจริง จึงพูดจาบจ้วงในพระธรรมและพระสงฆ์ต่างๆ และมีพฤติกรรมที่ไม่ดีคือเอาของสงฆ์มาเป็นของตน และเมื่อติดพันกับทางบ้านก็ยักย้ายถ่ายเทของสงฆ์ไปให้กับทางบ้านเป็นประจำ ฝ่ายพระอรหันต์ผู้เป็นพี่ก็ได้มาเตือนน้องและมารดาของท่านเอง ก็ยังถูกพระผู้น้องและมารดาว่ากล่าวกลับมาเสียอีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จนพระอรหันต์ผู้ที่เป็นพี่พิจารณาเห็นว่าฐิติของพระผู้น้องและมารดาไม่สามารถแก้ไขได้ จึงได้ถอยออกไป พอพระผู้น้องและมารดาสิ้นอายุไขก็มุ่งหน้าตกนรกทันที่ ฝ่ายพระผู้พี่ก็นิพพานในชาตินั้น ฝ่ายพระผู้น้องตกนรกทรมานอย่างแสนสาหัส เป็นเวลาลวงเลยถึง 1 พุทธันดร คือถึงในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ก็ได้มาเกิดเป็นปลาพันธุ์หนึ่งมีเกล็ดเป็นสีทองสวยงามมาก เผอิญวันหนึ่งคนหาปลาได้จับปลาตัวนี้ได้และเอาขึ้นฝั่งคนก็มามุงดูกันใหญ่ เพราะความสวยงามของปลา แต่พอปลาตัวนี้อ้าปาก  จะมีกลิ่นเหม็นคละฟุ้งกระจายไปหมดน่าสะอิดสะเอียน ขณะนั้นพระพุทธองค์ดำเนินผ่านมาและเห็นเหตุการณ์ จึงมีพระที่ติดตามมาด้วยกราบทูลพระพุทธองค์ว่า ทำไม่ปลาตัวนี้จึงมีลักษณะอย่างนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าให้ฟังตามที่กล่าวมาข้างตน และการที่ปลาตัวนี้มีสีทองสวยงาม เพราะอานิสงส์ของการได้บวชถือศีลและการที่เมื่อปลาอ้าปากแล้วมีกลิ่นเหม็นนั้นเป็นเพราะเศษกรรมที่ กล่าวจาบจ้วงพระธรรมและพระสงฆ์ในชาติที่เป็นพระ ส่วนกรรมหนักจริงได้รับไปแล้วในนรก
      มากล่าวถึงผลหรืออานิสงส์ของศีล 8 หรืออุโบสถศีล
      ผลหรืออานิสงส์ของศีล 8 ที่เป็นปัจจุบัน คือ
          1.ทำให้เป็นผู้มีศตรูน้อย
          2.ทำให้เป็นผู้ไม่มีคดีมาติดพัน(ยกเว้นผู้มีกรรมเก่าส่งผล)
          3.เป็นที่นับถือของผู้อื่น
          4.ทำให้มีชีวิตอย่างสงบภาระในการเป็นอยู่น้อย
          5.ทำให้เป็นผู้ไม่ขาดสติแล้วไปทำความผิดอย่างร้ายแรง
      ผลหรืออานิสงส์ของศีล 8 แบบข้ามชาติตามตำรา
          1.เมื่อตายแล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือเกิดเป็นมนุษย์เป็นอย่างต่ำ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์เมื่อกุศลมีความพร้อมมีโอกาศเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
          2.เมื่อเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์จะมีรูปร่างสวยงามและไม่พิการ มีอาการและร่างกายครบทุกอย่าง ส่วน ลักษณะเด่นดีอย่างอื่นจะขึ้นอยู่กับกุศลที่ทำพิเศษออกไป
    ตัวอย่างผลของศีล 8 ชั่วคืนเดียวแบบข้ามชาติตามตำรา
          เรื่องมีอยู่ว่ามีเศรษฐีท่านหนึ่งเป็นคนใจบุญ และทุกวันพระจะอยู่อุโบสถศีล คือถือศีล 8 ฝ่ายข้าทาสบริวารก็ถือศีล 8 ตามท่านเศรษฐีไปด้วย และอยู่มาวันหนึ่งมีมานพคนหนึ่งได้มาขอรับจ้างเป็นคนทำสวนในบ้านเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็รับไว้และให้ไปอยู่รวมกับพนักงานทำสวน พอวันที่ 3 ของการทำงาน เนื่องจากเป็นคนงานใหม่จึงมุทำงาน แล้วกะว่าจะไปทานข้าวในมื้อเที่ยงทีเดียว และพอดีวันนั้นเป็นวันพระ แต่มานพคนนี้ไม่รู้ความเป็นไปในบ้านเศรษฐีจึงเผลอทำงานเลยเที่ยงไป พอเข้าไปในโรงครัวก็แปลกใจเห็นมีการล้างภาชนะอาหารต่างๆ เก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มานพจึงเข้าไปสอบถามคนครัว คนครัวเลยบอกว่า "ท่านไม่รู้เหรอ? วันนี้เป็นวันพระ ซึ่งตามประเพณีของบ้านนี้ทุกคนจะถือศีลแปดไม่ทานอาหารหลังเทียงวัน และงานต่างๆ ก็ให้หยุดพักผ่อนเพื่อฟังเทศฟังธรรม แต่ถ้าท่านหิวมากข้าพเจ้าจะหาอาหารมาให้ท่าน" ฝ่ายมานพเมื่อทราบดังนั้นจึงบอกกับคนครัวว่า "ท่านไม่ต้องหาอาหารมาให้ข้า ในเมื่อทุกคนในบ้านท่านเศรษฐี ปฏิบัติกันดังนี้ ข้าพเจ้าปฏิบัติตามและขอถือศีล 8 ตั้งแต่บัดนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า" เมื่อมานพกล่าวเสร็จก็ไปอาบน้ำชำระร่างกาย ตกค่ำก็ฟังเทศฟังธรรม พอถึงกลางดึกก็เริ่มมีอาการปวดท้อง ปวดจนต้องร้องโอดครวญขึ้นมา จนพนักงานที่นอนพักด้วยกันตื่นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า "ท่านทานอาหารเถอะ ข้าพเจ้าจะหามาให้" ฝ่ายมานพกล่าวด้วยความอดทนว่า "ท่านอย่าลำบากเพราะข้าเลย ข้าตั้งใจรักษาศีล 8 จนถึงพรุ่งนี้เช้า" ดังนั้นทุกคนก็นอนกันต่อ ยกเว้นมานพผู้นี้กัดฟันทนความเจ็บปวดจนถึงรุ้งเช้าจนไม่สามารถเดินเหินได้และเพือนร่วมห้องนอนก็หามออกมาข้างนอก ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนใหญ่ และพอดีกับราชากับราชินีผู้ปกครองเมืองนั้นทรงช้างพร้อมทั้งข้าราชบริวาร กำลังเสด็จอยู่บนถนนใหญ่ ฝ่ายมานพคนนั้นกำลังทนความเจ็บปวดไม่ไหว บังเกิดได้ยินเสียงมโหรีและเห็นกระบวนของพระราชาทำให้มานพคนนี้เกิดมีจิตใจปารถนายากเป็นพระราชา หลังจากนั้นก็ขาดใจตายพร้อมทั้งจุติในครรภ์ของราชินีทันที (หมายเหตุบางคนอาจจะแย้งว่าจะไปเกิดได้อย่างไร? เพราะราชาและราชินีกำลังทรงช้างอยู่ ท่านอย่าลืมว่าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเขาได้วิเคราะห์มาแล้วว่า เชื้ออสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในช่องคลอดได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมงถ้ายังไม่สามารถผสมกับไข ดังนั้นการจุติของมานพคนนี้จึงไม่ขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์) เมื่อโอรสประสูติออกมาและเจริญวัยขึ้นและได้ครองราชสมบัติแต่ยังทรงจำชีวิตเมื่อชาติก่อนได้ จึงได้เล่าประวัติของตนเองให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ

     ตัวอย่างผล(อานิสงส์)ของศีล 8 ในอดีตชาติที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน    เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ตอนสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ในสมัยอดีตนั้นพระโพธิสัตว์ได้ละทิ้งครอบครัวและทรัพย์สิน ออกบวชเป็นดาบส ถือศีล 8 จนมรณะภาพก็ได้ไปเกิดเป็นพรหมเป็นเทวดาตามลำดับ และได้มาเกิดเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์ ครั้งหนึ่งได้รับศีล 8 จากฤาษี ให้อยู่อุโบสถศีลในวันพระ พอออกจากอุโบสถศีล ก็มีจักรแก้ว มเหสีแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว เสนาแก้ว และได้ปกครองโลกโดยธรรมโดยที่ไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่นิดเดียว เป็นจักรพรรดิองค์หนึ่ง (หมายเหตุ คำว่าจักรพรรดิในความหมายของศาสนาพุทธ หมายถึงการได้ปกครองโดยธรรม ไม่ใช่รบลาฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงดินแดนหรืออำนาจ ต่างกับความหมายปัจจุบัน)
     ส่วนอานิสงส์ของศีล 10 ศีล 227    จะไม่ขอกล่าวในที่นี้

      อันศีลนั้นควรรักษาเป็นอาจิณ        ไม่ควรหมิ่นแม้จะเล็กน้อย
ผลของศีลมีมากจนเป็นร้อย                   ยังประกองถอยห่างจากอบาย
ศีลรักษากายวาจาไม่ให้ผิด                     แล้วมองจิตสร้างสติปัญญาไว้
สอนตนวางอัตตาให้วางวาย                ให้มันตายเสียก่อน ตายจริงเอย

ที่มา www.vichadham.com
74  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / ทำไงดีลืมวิธีโพสวิดีโอ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 03:47:07 pm
ตั้งใจอยากโพสพระเจ้า500ชาติให้ครบแต่ลืมวิธีโพสละ555ไม่ได้ทำมานานเลยลืม :hee20hee20hee: :91:
75  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมตัดได้จริงหรือ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:06:06 pm
 
การตัดกรรม  

        การ ตัดกรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีผู้ กล่าวคัดค้านว่ากรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะเอาอะไรไปตัดได้ทั้ง ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละกรรมชั่วหันมาทำแต่กรรมดีนั่นหมายถึง ตัดการกระทำความชั่ว และอกุศลทั้งปวง มุ่งทำแต่กรรมดี ปาณา–อะทินนา–กาเม–มุสา–สุราเม ฯ ล้วนเป็นคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ตัดกรรมทั้งสิ้น แล้วด้วยเหตุใดจึงมีผู้กล่าวกันว่า กรรมตัดไม่ได้

        หรือ ว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้นดวงตาไม่เห็นธรรม จึงไม่รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนให้ตัดกรรมกันเวรระงับได้ด้วยการไม่จองเวรฉัน ใด กรรมย่อมระงับได้ ตัดได้ ด้วยการไม่กระทำฉันนั้น หากมนุษย์ตัดกรรมหรือตัดการกระทำความชั่ว และอกุศลไม่ได้ ก็ไม่สมควรเรียกมนุษย์นั้นว่าสัตว์ประ เสริฐ

        อดีต กรรมทำแล้วย่อมตัดไม่ได้ แต่ปัจจุบันกรรมเป็นกรรมเฉพาะหน้า กรรมเร่งด่วนที่ควรตัดก่อน ตัดกรรมชั่วกรรมไม่ดีให้ได้ โดยเฉพาะกรรม หรือการกระทำของเยาวชนที่ยกพวกตีกันฆ่ากัน เสพยาบ้า ยาม้า มั่วสุมทางกามทำแท้งให้เกร่อ หากตัดกรรมในปัจจุบันเสียได้ กรรมในอนาคต หรือชาติหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น

        ใน เรื่องของการตัดกรรมช่วยคนได้หรือไม่ได้นี้ อาจารย์วัลลภท่านยืนยันตามมุมมอง และความเข้าใจของท่านว่า ท่านสามารถตัดกรรมช่วยคนได้จริง ๆ ส่วนจะตัดได้ทุกคนหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งขึ้นอยู่ที่บุญกุศล และเวรกรรมของแต่ละคน ใครมีบุญกุศลอยู่บ้าง ถึงคราวที่จะหมดเวรหมดกรรมพ้นทุกข์พ้นเคราะห์ คนพวกนี้จะพูด และอธิบายกันเข้าใจง่าย สมัยพระพุทธเจ้าเรียกบุคคลประเภทที่พูดกันรู้เรื่อง และเข้าใจง่ายนี้ว่า  (ตรัสรู้) หมาย ถึงพูดกันรู้เรื่อง เมื่อพูด และอธิบายกันรู้เรื่อง และเข้าใจง่าย เขาก็พากันประพฤติ และปฏิบัติตามทำตามกันจนเขาเจริญรุ่งเรืองพ้นทุกข์ พ้นเคราะห์ พ้นจากความเดือดร้อน อยู่ดีมีความสุขกันไป

        ส่วน คนที่สร้างกรรมทำเวรกันมามาก คนพวกนี้จะมีมิจฉาทิฐิ และกิเลสตัณหาบังตาบังใจไม่ให้เชื่อ และปฏิบัติตัวตามอย่างคนดี ๆ เขาทำกันจะดื้อรั้นดันทุรังจนเดือดร้อน ร้อนกาย ร้อนใจ ร้อนที่อยู่อาศัย ไปไม่มีวันหยุด เอาละ...จะเชื่อกันหรือไม่เชื่อ ก็ลองมาฟังความคิดเห็นการตัดกรรมในมุมมองของอาจารย์วัลลภกันดู ก่อนอื่นก็ลองมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “กรรม” เขา แปลว่าอะไรกันก่อนคำว่ากรรม เขาแปลว่าการกระทำ และการกระทำนั้นก็ยังจำแนกออกไปตามคุณภาพหรือตามธรรมที่เป็นเหตุทำให้เกิด ขึ้นได้เป็น 2 ประการคือ อกุศลกรรม และกุศลกรรม

        อกุศลกรรม หมายถึง กรรมที่เกิดจากการทำชั่วหรือทำไม่ดีต่าง ๆ

        กุศลกรรม หมายถึง การกระทำความดี

ทั้งอกุศลกรรม และกุศลกรรมนี้ มีทางที่จะทำให้เกิดได้3 ทางคือ ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

        กายกรรม หมายถึง การกระทำทางกาย

        วจีกรรม หมายถึง การกระทำทางวาจา

        มโนกรรม หมายถึง การกระทำทางความคิดหรือจิตใจ

        กรรม หรือการกระทำที่แสดงออกทางกายก็ดี ทางวาจาคำพูดก็ดี ทางมโนกรรมความคิดก็ดี หากเป็นไปในทางที่ดี ก็มีผลทางกุศลกรรม นำพาให้ผู้กระทำความดีนั้นมีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ไม่นำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและครอบครัว

        ที่ อาจารย์วัลลภท่านยืนยันว่า ท่านตัดกรรมช่วยคนได้จริง ตัดกรรมในความหมายของท่านหมายถึงท่านสอนให้คน ตัดการกระทำ ความชั่วและความไม่ดีต่างๆ หากคนเราตัดการกระทำความชั่วไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นคนดีตามหลักทางพระพุทธศาสนาได้

        วิธี ที่ท่านนำมาใช้ทำพิธีตัดกรรมชั่ว และกรรมไม่ดีของผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านก็คือ เอาศีลห้ามาสอนให้รู้ถึงผลดีผลเสียในการกระทำของเขา เพราะในศีลห้านั้นมีข้อห้ามและข้อควรประพฤติปฏิบัติเน้นให้คนตัดกรรม คือ ตัดการกระทำความชั่ว และความไม่ดีไว้ชัดเจนเป็นข้อ ๆ อยู่แล้ว

        ศีล คือ กฎหมายธรรมสำหรับมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ควรจะประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าทำตามได้จริงก็เท่ากับบุคคลผู้นั้นได้ตัดกรรมของเขาแล้ว

        เกี่ยว กับเรื่องของศีลห้านี้ ความจริงที่ไหน ๆ เขาก็สอนกันอยู่ทั่วไป พระท่านก็สอน ครูบาอาจารย์หรือท่านผู้รู้ในทางธรรมทั่วไปท่านก็สอน แม้แต่ในหนังสือธรรมะที่พิมพ์ขายตามที่ต่าง ๆ ก็มีให้อ่าน ดู ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ของใหม่ที่ชวนให้น่าสนใจอะไรเลย หากจะเปรียบกับเสื้อผ้ามันก็เหมือนกับเสื้อโหลกางเกงโหลธรรมดา ๆ นั่นเอง คนฟังเขาก็ฟังจากที่อื่นมากันจนรู้ และเข้าใจเรื่องของศีลห้ากันดีทุกคนแล้ว แต่เขาได้นำเอาคำสอนของพระ หรือครูบาอาจารย์ และหนังสือนั้น ๆ ไปประพฤติปฏิบัติตามกันหรือไม่ นั่นซิสำคัญ หากเขาฟังกันแล้วอ่านกันแล้วไม่นำพาไปประพฤติปฏิบัติตาม คำสอนจากพระหรือครูบาอาจารย์นั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ใครเลย

        ด้วย เหตุผลดังกล่าว อาจารย์วัลลภท่านจึงเป็นต้องนำเอาการปฏิบัติธรรมขั้นโลกิยธรรมมาทำให้ผู้ ปฏิบัติมีปฏิกิริยาอาการแสดงออกมาให้สัมผัส และศรัทธากันเสียก่อน เพราะท่านเห็นว่าการจะนำเอาเรื่องของศีลมาสอนให้คนประพฤติปฏิบัติตามอย่าง จริงจัง และได้ผลนั้น ต้องนำเอาสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเชื่อ และศรัทธา มาทำให้สัมผัสจนเห็นภาพว่าเวรกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง บาปบุญมีจริง กฎแห่งกรรมมีจริงเสียก่อน ผู้ปฏิบัตินั้นก็จะพากันเกรงกลัวต่อเวรกรรม ไม่กล้าที่จะกระทำอะไรให้ผิดศีลผิดธรรมตามที่สอนไปอย่างจริงจัง

เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน จึงอยากที่จะอธิบายขยายความในเรื่องของศีลห้าให้เข้าใจกันอีกครั้ง

        ศีลข้อที่1 ปา ณาติปาตา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน หรือเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ถ้าใครฆ่าสัตว์ ฆ่าคน หรือทำแท้ง บุคคลผู้นั้นจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาทำมาหากินไม่ขึ้น สุขภาพเจ็บป่วยเป็นประจำ หรือไม่ก็ทำให้ประสบอุบัติเหตุ หรือถูกผู้อื่นฆ่าตายก่อนวัยอันสมควร บางรายมีบุตรพิการไปก็มี

        ศีลข้อที่2 อะ ทินนาทานา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ลักขโมยปล้นจี้ คดโกงหยิบฉวยเอาสิ่งของ ๆ ผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าใครไปลักขโมย หรือคดโกง ปล้นจี้ หรือเอาศาสนาบังหน้าหาผลประโยชน์ เอาอำนาจหน้าที่ไปข่มขู่เอาทรัพย์สินสิ่งของเขามาเป็นของตน บุคคลผู้นั้นจะมีอันเป็นไปในทางทำมาหากินไม่ขึ้น ครอบครัวไม่สงบสุข หรือไม่ก็ไปถูกคนอื่นปล้นจี้ คดโกง ไร้ที่อยู่ที่อาศัย ลำบากไปจนตาย

        ศีลข้อที่3 กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ไปล่วงเกินสามีภรรยา และพรากลูกหญิง-ลูกชาย ที่ยังอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของพ่อแม่โดยไม่ได้รับการยินยอม จากพ่อแม่หากผู้ใดไปล่วงเกินสามี-ภรรยา และพรากลูกหญิงลูกชายจากพ่อแม่ บุคคลผู้นั้นจะได้พบเจอแต่คนที่ไม่จริงใจ คอยจ้องแต่จะต้มตุ๋นหลอกลวง หรือไม่ก็มีเหตุทำให้พลัดพรากจากคนรัก ลูกรัก บางรายก็ไปถูกเขาฆ่าตายหรือไม่ก็เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอย่างเช่นเอดส์นั้นเป็น ต้น

        ศีลข้อที่4 มุสา วาทา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้พูดโกหกหลอกลวงหรือพูดให้ผู้ อื่นเดือดร้อนเสียหาย ถ้าใครไปพูดโกหกหลอกลวง หรือเอาศาสนาบังหน้า พูดจาหว่านล้อมให้ผู้อื่นหลงเชื่อไปในสิ่งผิด บุคคลผู้นั้นจะไม่ได้รับความรักและความจริงใจจากใคร จะถูกหลอกลวงและเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่พบเห็นทั่วไป

        ศีลข้อที่ 5 สุรา เมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ดื่มสุรา และสิ่งเสพติดทุกอย่าง รวมไปถึงการลุ่มหลงมัวเมาในทางชั่วร้าย หรือทางไม่ดีทุกอย่าง ถ้าใครดื่มสุรา เมรัย เครื่องดองของเมารวมไปถึงสิ่งเสพติด  เช่น กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน ยาม้า ยาบ้า ยาอี หรือลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอบายมุขทั้งปวง บุคคลผู้นั้นจะเป็นคนอายุสั้น ตลอดทั้งมีโรคภัยเบียดเบียนขาดสติ บ้าคลั่ง ติดคุกติดตะรางหรือไม่ก็ไปถูกเขาฆ่าตาย

        เห็นไหมครับว่า ศีล5 เป็น กฎหมายของสังคมมนุษย์จริง ๆ ถ้าใครละเมิดไม่ประพฤติปฏิ บัติตามศีลทั้งห้าข้อนี้ ผู้นั้นก็จะได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน และอายุสั้น ทำมาหากินไม่ขึ้นเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามศีลทั้งห้าข้อนี้ได้ บุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรืองมีโชคมีลาภมีเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รัก ใคร่แก่ผู้ที่พบเห็น มีสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณผุดผ่อง มีสง่าราศรีอายุยืน อย่างที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้ให้ตัดกรรมดังนี้

สีเลนะ สุคะติงยันติ คนจะพบความสุขได้ก็ต้องรักษาศีล

สีเลนะ โภคะสัมปะทา คนจะร่ำรวยมีทรัพย์ได้ก็ต้องรักษาศีล

สีเลนะ นิพพุติงยันติ คนจะถึงนิพพานได้ก็ต้องรักษาศีล

สัตมาสีลังวิโสทะเย ดังนั้นคนเราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ให้ได้

        ท่าน ผู้อ่านคงพอจะเข้าใจความหมายการตัดกรรมของอาจารย์วัลลภกันไปบ้างแล้ว เรื่องของกรรมเรื่องเดียวกันแท้ ๆ แต่ถ้ามองต่างมุมกัน มันก็ทำให้พูดกันไป ออกความเห็นกันไปได้หลายอย่าง สุดแต่ว่าใครจะมองเห็นเป็นอย่างไร เข้าใจอย่างไร เรื่องของการตัดกรรมช่วยคนได้หรือไม่ได้ ในสายตาของพระสงฆ์องค์เณร หรือท่านผู้รู้ธรรมะอื่น ๆ ท่านก็ว่ากรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะเอาอะไรไปตัดได้ แต่ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมทางโลกธรรมอย่างอาจารย์วัลลภ ท่านก็ยืนยันว่าท่านสามารถตัดกรรมช่วยคนได้ ตามเหตุผลที่ได้อธิบายขยายความให้อ่านผ่านกันมาแล้ว พิจารณาให้ดี ต่างคนต่างก็มีเหตุผลควรแก่การรับฟังได้ทั้งสิ้น พระสงฆ์และผู้รู้ธรรมะบางท่านก็มองเรื่องของกรรมไปอีกมุมหนึ่ง คือ มุมของนามธรรม การหลุดพ้นนิพพาน เป็นกรรมประเภท อนัตตา คือมองไม่เห็นผลของกรรม หรือการกระทำด้วยตาในชาตินี้

        ส่วน อาจารย์วัลลภท่านก็มองเรื่องของกรรม ไปอีกมุมหนึ่งคือ มุมของรูปธรรม เป็นกรรมประเภท อัตตา สามารถเห็นผลของกรรม หรือการกระทำได้ด้วยตาในชาตินี้ อาจารย์วัลลภท่านบอกว่ากรรมในปัจจุบันเป็นกรรมเร่งด่วนที่ควรจะตัดให้ได้ ก่อน ถ้าตัดกรรมในปัจจุบันเสียได้ กรรมในอนาคตหรือชาติหน้าก็จะไม่เกิด

        จะ มองกันมุมไหน เข้าใจกันอย่างไร ในที่สุดมันก็มีผลออกมาอย่างเดียวกัน คือ มุ่งสอนให้คนประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันทั้งนั้น

สรุป ว่า ตัดกรรม ตามวิธีของอาจารย์วัลลภ ธรรมบันดาล คือแนะนำให้ผู้ที่มาขอความช่วย เหลือตัดการกระทำความชั่วและอกุศลด้วยตนเอง ไม่ใช่ใช้เวทมนต์คาถามาตัดเวรตัดกรรมให้ใคร

        กัม มุนา วัตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ท่านผู้เจริญแล้วทุกท่าน เคยคิดกันบ้างไหมว่า อะไรทำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ และอะไรทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นานาพันธุ์ แม้มนุษย์ก็มีมากมายหลายประเภท สัตว์ทั้งหลายในโลกจะมีอย่างเดียวไม่ได้หรือ เพราะอะไร? นั่น เป็นเพราะสัตว์ทุกชนิดทุกจำพวก มีกรรมหรือการกระทำที่แตกต่างกัน เกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะกรรม เกิดเป็นสัตว์ก็เพราะกรรม คือการกระทำของตนเอง

        ต้น เหตุของกรรมนี้เอง ที่ทำให้สัตว์แตกต่างกันไป จนมนุษย์เอามาเรียกกันติดปากว่า สัตว์เดียรัจฉาน เดียรัจฉาน แปลว่า แตก แยก ขยาย กระจายออก เมื่อนำเอาคำว่าสัตว์มากล่าวนำหน้า เดียรัจฉาน ก็หมายถึงสัตว์ที่แตกแยกขยายกระจายเผ่าพันธุ์ไปเป็น สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์มีปีก สัตว์ ไม่มีปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีเท้า สัตว์ไม่มีเท้า เป็นต้น มนุษย์เราก็จัดอยู่ในจำพวกสัตว์ที่แตก แยก ขยาย กระจายเผ่าพันธุ์ออกมาเช่นกัน ทั้งมนุษย์ และสัตว์อื่นในโลกนี้ จึงเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นผู้จำแนกให้ดีเลวต่างกัน

        ฉะนั้น ทั้งสัตว์และมนุษย์ที่เกิดแล้วก็มีชีวิต และการเป็นอยู่ด้วยกรรม คือ ต้องรับผลของกรรมเก่าบ้าง สร้างกรรมใหม่ที่จะต้องเป็นเหตุให้เกิดผลต่อไปอีกบ้าง ตายแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ไปก็เพราะกรรม มิใช่เพราะพรหมลิขิตหรือผู้อื่นดลบันดาลให้เป็นไป แต่เป็นกรรมที่เราเคยสร้าง และสะสมเอาไว้นั่นเอง ที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตของเราให้เป็นไปต่าง ๆ ซึ่งเราท่านทั้งหลายมิอาจหลีกหนีกรรมที่เราทำไว้ได้พ้น นอกจากเราได้ทำลายเหตุที่จะทำให้เราเกิด อกุศล ด้วยการรักษาศีลกันอย่างจริงจังตลอดไป

        ตาม ปกติแล้ว คนเราไม่มีใครเลยที่เคยทำแต่ความดี หรือความชั่วแค่เพียงอย่างเดียว ทุกคนล้วนทำดีบ้าง ชั่วบ้าง บางคนทำดีมากทำชั่วน้อย แต่บางคนทำดีน้อยทำชั่วมาก และก็ไม่ได้ทำกันมาเพียงชาตินี้ชาติเดียวในอดีตชาติก็ทำกันมาแล้วจนนับไม่ ถ้วน ดังนั้นทั้งสัตว์ และมนุษย์ที่เกิดมา แล้วในโลกนี้จึงมีชีวิตการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมีดี มีเลว มีทุกข์ มีสุข เคล้ากันไปตามกระแสวิบากกรรมที่แต่ละคนเคยได้กระทำเอาไว้ กรรมคือ บุญ และบาป เป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้ดีเลวประณีตต่าง กัน ขึ้นชื่อว่าบุญ คือความดีนั้น จะให้ผลชั่วย่อมไม่มี และตรงกันข้ามขึ้นชื่อว่าบาปนั้นจะให้ผลดีย่อมไม่มีเช่นกัน ท่านผู้เจริญทั้งหลาย การที่เราท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนจะยากนักเพราะการเกิดเป็นมนุษย์นั้น ต้องอาศัยได้เคยสร้างบุญสร้างกุศลไว้มากในชาติปางก่อน และชาตินี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว โอกาสที่ได้สร้างกรรมดีนั้นมีไม่มากนัก เราท่านจึงควรเร่งรีบสร้างกุศลไว้ให้มาก ๆ เท่าที่เราพอจะมีเวลา และโอกาสที่จะกระทำได้ เพราะบุญบารมีที่เราสร้างสมไว้ดีแล้วนั้น ย่อมนำความสุขมาให้ทั้งชาติปัจจุบัน และชาติหน้า ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นสูญหายได้ ไฟไหม้ได้ โจรลักขโมยได้ แต่อริยทรัพย์ คือบุญหรือกรรมดีนั้น โจรลักขโมยเอาไปไม่ได้ ไฟไหม้ไม่ได้ สูญหายไม่ได้ กุศลกรรมยังเป็นมิตรที่ดีคอยติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ ทั้งจะเป็นที่พึ่งแก่ตนเองและผู้อื่นอีกด้วย

        คน เราจะสะอาดบริสุทธิ์หมดจดปราศจากบาปได้นั้น ก็เพราะการประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจให้สะอาดเท่านั้น ท่านที่เคารพครับ ท่านทั้งหลายคงเคยเรียกร้องขอความเป็นธรรมโดยต้องการให้ทุกคนเสมอภาคกัน อยากให้ทุกคนมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกัน แต่ท่านทั้งหลายเคยคิดกันบ้างไหมว่าจะมีทางเป็นไปได้หรือ? ใน เมื่อทุกคนมิได้กระทำกรรมเอาไว้ให้เท่าเทียมกันหรือเสมอภาคกัน แล้วเราจะหวังให้คนทั้งโลกที่ต่างกรรมมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกันและเสมอภาค กันได้อย่างไร บุคคลที่เสมอภาคกันได้นั้น ได้แก่ ผู้ที่ไม่ต้องมาเกิดเพื่อรับทุกข์ สุข ในโลกนี้อีกแล้ว ท่านผู้นั้นก็คือ พระอรหันต์ ที่นิพพานแล้วเท่านั้น

        ท่าน ผู้อ่านที่เคารพ ชีวิตนี้สั้นนัก หากประมาทเพียงนิดเดียว เราก็อาจจะไปเกิดในที่ชั่วได้ และถ้าลงไปเกิดในที่ชั่วแล้ว โอกาสที่เราจะได้กลับชาติมาเกิดในที่ดี ๆ นั้นดูจะยากแสนยากนัก

        ท่าน ทั้งหลายจึงควรดำเนินชีวิตของเราให้ อยู่ในกรอบขอบข่ายของศีลธรรม และความถูกต้องเราคบหากับบัณฑิตท่านผู้รู้ หมั่นฟังธรรมของท่านเพื่อน้อมนำมาพิจารณาวิเคราะห์ค้นหาความจริงให้รู้ว่า อะไรเหมาะ อะไรควร และถูกต้อง แล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติเฉพาะแต่สิ่งที่ดีงาม บุญ และบาปนั้นมีจริง และก็ให้ผลได้จริง ชีวิตของเราทั้งหลาย ความสุข ความทุกข์ ที่เราทั้งหลายได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดจากผลกรรม คือ การกระทำของเราเอง ไม่มีใครลิขิตให้เรา ผู้ที่ลิขิตชีวิตเราทั้งในอดีตที่ผ่านมา และปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ ในอนาคตที่จะตามมานั้น คือกรรม ด้วยการกระทำของเราเอง มิใช่ใครอื่นเลย คนส่วนมากที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มักมีความสงสัยเรื่องกรรม พอไปทำความดีอะไรเข้านิดหน่อย ก็อยากได้รับผลของการกระทำความดีนั้น เป็นโชคเป็นลาภ เป็นทรัพย์สินเงินทอง หรือไม่ก็ขอให้สมหวังดังที่ตนต้องการกันเลย พอไม่ได้อะไรสมหวังดังต้องการ ก็พาลน้อยอกน้อยใจว่าตนทำดีแล้วไม่ได้ดี บางคนก็เอาคนทำกรรมชั่ว และกรรมไม่ดี ที่ยังเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมีคนเคารพนับหน้าถือตามาเปรียบเทียบเป็นตัวอย่าง บางคนก็บ่นว่า ตนทำบุญไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติธรรมทำสมาธิเป็นประจำ ทำไมยังลำบากเดือดร้อนตลอดทั้งมีหนี้สินอยู่ ไม่มีใครคิดหรือถามตัวเองเลยว่า หนี้สินเหล่านั้นใครเป็นคนสร้างใครเป็นคนก่อขึ้นมา ปีหนึ่งมีสามร้อยหกสิบห้าวัน สร้างบุญทำกุศลกันมากี่วัน สมดุลกันดีแล้วหรือ

        ความ จริงการปฏิบัติธรรมทำสมาธินั้น เขาปฏิบัติกันเพื่อสงบสติอารมณ์ เพื่อพ้นทุกข์พ้นจากวัฏสงสารสู่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อหวังความร่ำรวย หรือขอให้ช่วยสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราเห็นผู้ปฏิบัติบางท่าน ปฏิบัติแล้วมีโชคมีลาภขึ้นมาได้นั้น มันเกิดขึ้นเอง ดูตัวอย่างจากหลวงปู่ หลวงพ่อบางรูป ท่านสร้างวัดสร้างวาราคาเป็นสิบล้านร้อยล้านได้ โดยท่านไม่ต้องไปทำอะไรมากเพียงแค่ท่านเคร่งครัดปฏิบัติธรรมของท่านอย่าง จริงจังอย่างเดียว แล้วคนก็ไปศรัทธาเอาเงินเอาทอง ไปบริจาคท่านเอง หลวงปู่หลวงพ่อท่านไม่ได้ไปดิ้นรนอะไรให้ลำบากเดือดร้อนตัวท่าน และผู้อื่นเลย ท่านไม่ได้สนใจด้วยว่าลาภที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยแค่ไหน ท่านไม่จำเป็นต้องสร้างภาพสร้างศรัทธาหาเด็ก หาคนตกงาน มาสงเคราะห์หาผลประโยชน์แต่อย่างใด

        ที่ เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านเชื่อกรรม เชื่อการเกิด และการดับ เมื่อสิ่งใดจะเกิดมันก็เกิดขึ้นเพราะกรรม จะดับก็ดับเพราะกรรม สิ่งดีย่อมเกิดจากกรรมดี สิ่งชั่วย่อมเกิดจากกรรมชั่ว การนับถือพระพุทธศาสนาจะต้องเชื่อกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และต้องเชื่อวิบากกรรม คือเศษของกรรมเก่าที่ทำไว้ยังไม่หมด และต้องเชื่อเวลาการให้ผลของกรรมว่า กรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม จะส่งผลตามลำดับก่อนหลังโดยไม่แทรกแซงกัน และจงเชื่อว่าแต่ละคนได้ทำกรรมดี หรือกรรมชั่วกันไว้แล้วทั้งในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ เมื่อใครก็ตามเชื่อการให้ผลของกรรมในอดีตหรือปัจจุบันว่า เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง บุคคลคนนั้นก็จะไม่เดือดร้อน ร้อนใจ เมื่อใดที่ได้รับผลดีก็ถือว่ากรรมดีให้ผล แต่ถ้าเมื่อใดรับผลชั่วหรือผลไม่ดีทำให้เดือดร้อน ก็ถือว่า กรรมชั่วกรรมไม่ดีให้ผลซึ่งอาจเป็นกรรมเก่าในอดีตชาติหรือกรรมใหม่ใน ปัจจุบันส่งผลอยู่

        คน ที่ทำกรรมดีแต่ได้รับผลกรรมไม่ดี ก็ถือว่ากรรมชั่วกรรมไม่ดีในอดีตชาติของเรายังให้ผลอยู่ แต่ถ้าเห็นคนอื่นทำกรรมชั่วหรือกรรมไม่ดีแล้วได้รับผลดีมีความสุข ก็ถือเสียว่ากรรมดีในอดีตชาติของเขากำลังให้ผลอยู่ ถ้าคิดกันอย่างนี้ได้ก็จะไม่เดือดร้อนหรือร้อนใจอะไร จะปรงตก และยอมรับชะตากรรมกันไปได้

        เมื่อ เรารู้เวรรู้กรรมกันแล้ว ก็อย่าสร้างกรรมทำเวรกันขึ้นมาใหม่อีก เพราะการกระทำทุกอย่างจะมีผลตอบแทนทุกชาติไป เว้นแต่จะบรรลุมรรคผลเข้าสู่นิพพานเท่านั้น เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะหนีพ้น ถ้าทุกคนไม่แสวงหาหนทาง จะมีใครตอบได้บ้างว่า ตายแล้วไปไหน คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า อย่าประมาท ควรค่ายิ่งที่จะต้องนำมานึกถึงอยู่เสมอ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนอนิจจัง หมายถึงไม่เที่ยงหรือไม่แน่นอน จึงอยากที่จะฝากไว้ให้คิด ใครยังไม่เคยหาหนทางที่จะไปสู่จุดหมายให้รู้ว่า ตายแล้วไปไหน? ก็รีบ ๆ กันหน่อยเพราะเราไม่รู้ล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้เรายังจะมีลมหายใจกันอยู่ หรือเปล่า

        พระ พุทธองค์ก็ทรงบอกทางไว้หลายวิธี อยู่ที่ตัวเราเท่านั้นที่จะแสวงหา และฝึกฝนปฏิบัติกันได้มากแค่ไหน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งรวมกันแล้ว คือ พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ ถ้าเรายังทำตนเป็นคนไม่รู้ ไม่ดู ไม่ศึกษา ไม่สร้าง และไม่ปฏิบัติ ก็จะไม่มีวันรู้ได้หรอกว่า ตายแล้วไปไหนจึงดี การเกิดไม่สำคัญเท่าการตาย เพราะการเกิด เกิดตามกรรมเกิดมาใช้กรรม เกิดมาทำกรรมดีกรรมชั่ว ก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของตนว่า เคยสะสมไว้อย่าง ไร แต่การตายสำคัญมาก จะไปนรก ไปสวรรค์ ไปนิพพาน สำคัญอยู่ตรงที่การตายนี่แหละป่วยตายหรือตายไปเฉย ๆ คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายตามปกติธรรม ตายเพราะอุบัติเหตุ ตายเพราะถูกฆ่า คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายชดใช้กรรม อย่างเช่นชาตินี้ฆ่าคนอื่น ชาติหน้าคนอื่น ก็จะมาฆ่ากลับคืน กรณีนี้คนโบราณกล่าวถึงคนทำแท้งว่า หญิงใดทำแท้งหญิงนั้นตกนรกอเวจีไม่ ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก พระพุทธองค์ทรงทราบจึงตรัสสอนไว้ว่า เวรจะระงับได้ด้วยการไม่จองเวร ส่วนคนที่ตายเพราะฆ่าตัวตาย คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายเพราะกรรมตัดรอนทอนอายุให้สั้น เพื่อไปรับทุกข์เวทนาในร่างของสัตว์อื่น คนฆ่าตัวตายเพื่อประชดชีวิตหรือสังเวยความรัก คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายตามความประสงค์ การตายลักษณะนี้หากกลับชาติมาเกิดเป็น มนุษย์ ก็จะเกิดมาไม่สมประสงค์ อย่างเช่นเกิดมาตัวติดกันจนแยกไม่ออก เกิดมาสองตัวหัวเดียวกัน เกิดมาสองตัวหัวใจดวงเดียวกันเป็นต้น

 ที่มา http://dmbdth.com
76  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / การระลึกชาติ ด.ญ.พิมพวดี กรณีศึกษาผลของกรรม เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 12:33:33 am
พลับพลาพิมพวดี ที่คุณเสียง โหสกุล ผู้เป็นบิดา สร้างเป็นอนุสรณ์แห่งความรักอาลัย บุตรี

ด้วยความรักและอาลัยที่มีต่อ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล บุตรสาวเพียงคนเดียว ทำให้ นายเสียงเกิดความคิดจะต้องสร้างสถานที่ระลึกเพื่อเป็นอนุสรณ์ จึงได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) เจ้าอาวาสวัดมกุฎกษัตริยาราม ในขณะนั้น 

ได้กราบทูลว่า "มีความประสงค์จะหาที่ในบริเวณวัดที่เหมาะ ๆ สร้างศาลาสักหลังหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล ซึ่งเป็นบุตรสาว ก่อสร้างเสร็จแล้วจะถวายวัดไว้เป็นที่ตั้งศพของญาติ
โยมทั่วไป" ซึ่งท่านก็ให้การสนับสนุน โดยทรงอนุญาตให้รื้อกุฎิหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ข้างอาคารสำนักงานผลประโยชน์ของวัดเป็นสถานที่ก่อสร้างศาลาดังกล่าวเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2504 โดยให้ชื่อว่า "พลับพลาพิมพวดี"                                  ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล ระลึกชาติได้

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล  เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ได้ป่วยเป็นไข้เลือดออก 
ได้เสียชีวิตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 ที่โรงพยาบาลศิริรราช อายุ  9 ปี 9 เดือน

ในชาตินี้ ด.ญ. พิมพวดี โหสกุลได้มาเกิดในครอบครัวของตระกูลโหสกุลบิดาคือ นายเสียง โหสกุล และ มารดานางสมพร พัฒนวิบูลย์

เธอมีพี่น้องรวมกัน 5 คน คือ
1. นายเสรี โหสกุล, 
2. นายวัฒนา โหสกุล
3. นายถาวร โหสกุล, 
4. นายวันชัย โหสกุล
5. เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล 

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล บุตรสาวคนเล็กเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัว 
เนื่องจากเป็นบุตรหญิงคนเดียว

เแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล ป่วยเป็นไข้เลือดออกต้องเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริรราช และได้เสียชีวิตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 ซึ่งสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้แก่ครอบครัวโหสกุลเป็นอย่างมาก 

โดยเฉพาะ นายเสียง และ นางสมพร เพราะถือเป็นบุตรสาวคนเดียวในบ้าน และจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คืออายุได้เพียง 9 ปี 9 เดือน นายเสียงถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เห็นรูปของ พิมพวดี โหสกุล ลูกสาวสุดที่รักคราวใดเป็นต้องร้องไห้โฮ หรือถ้าหากใครเผลอเอ่ยถึง พิมพวดี โหสกุล ทีไรก็เป็นต้องร้องไห้ทุกครั้งไป

ด้านในได้ตั้งรูปถ่ายของ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล บุตรสาวสุดที่รัก พร้อมพานพุ่ม และเครื่องบูชา นับตั้งแต่นั้นมาบรรดาญาติ ๆ พี่น้องของตระกูล "โหสกุล" จะร่วมกันไปทำบุญให้ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล น้องสาวคนสุดท้องเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง คือ ทุกวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด และทุกวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่เด็กหญิงพิมพวดีได้เสียชีวิต 


สำหรับเรื่องราวที่ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล ที่เกี่ยวข้องกับนายแพทย์อาจินต์ นั้น นายแพทย์อาจินต์ กล่าวว่า"เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวผมเอง โดยเมื่อราวปลายปี 2529 คาบเกี่ยวถึง วันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2530 เมื่อครั้งที่ได้จัดคณะท่องเที่ยวผู้สูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือ ผมก็ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) 

เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรง ๆ ก็พอบรรเทาไปได้ 

แต่พอปี พ.ศ.2504 ผมเป็นเกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็ไม่หาย แพทย์จึงรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง (ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว) โดยได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดี แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน 

คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทอาการกำเริบอีก พยาบาลให้กินยาและฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ แต่อาการก็ไม่หายปวด ผมนอนหลับตา เอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อย ๆ พอสงบ ประมาณสามทุ่มเศษ ๆ ก็หลับตา

เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง จึงลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า "ใครมา?" ได้รับคำตอบว่า "ดึกแล้ว...ไม่มีใครมาหรอก" จากนั้นผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วน มายืนอยู่ข้างเตียง 

ผมจึงเอ่ยปากออกถามว่า “หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่ ?" (พูดออกมาดัง ๆ เพื่อให้ภรรยาและพยาบาลได้ยิน) ภรรยาก็มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า "เธอ นี่อยู่นี่ ๆ ” ก็คงคิดว่าผมคงป่วยมากจนเพ้อ แต่ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นบ้างไหม?" มีเด็กมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่ สองคนนั้นตอบว่า "ไม่มีใครเห็น" แต่ผมก็ยังข้องใจ เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

ก็เลยพูดออกมาดัง ๆ ว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจด ๆ จำ ๆ ไว้ด้วย" แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดัง ๆ ว่า "หนูเป็นใคร ? มาทำไมในห้องนี้?" แม่หนูตอบว่า "หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว" 

ผมก็ถามต่อว่า "เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ หนูเป็นอะไรตาย?" หนูน้อยตอบว่า “ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ" ภรรยาและพยาบาลช่วยจดกันใหญ่"หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?" เธอบอกว่า "ตาหนูเป็นหลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริค่ะ" 

ผมทบทวนคำพูดดัง ๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย แล้วถามต่อว่า"หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ ?" เธอตอบว่า "หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีกลายที่ตึกเด็ก เธอบอกว่าเธอเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เธออยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เธอให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ" 

จากนั้นผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก เธอบอกว่า ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้

จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ไปด้วย ต่อมาประมาณห้าทุ่ม ผมก็ปวดประสาทอย่างรุนแรง จึงตื่นขึ้นมาและผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ที่หูว่า "เธอจ๋า พ่อเธอนอนอยู่ที่นี่  เข้ามาซิ" 

ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ" 

ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนคนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผมแล้วพูดว่า "พ่อ หนูมาช่วยพ่อนะ"

ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม? เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ" 

พยาบาลเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น แล้วบอกว่า "ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ" 

ผมจึงตอบไปว่า "มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ" และผมก็ยื่นมือออกไปชี้ที่ตัวเด็ก ขณะที่ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน (อาจจะเพราะความกลัว) จากนั้นหนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วสนทนากันดังนี้:-

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ?


นายแพทย์อาจินต์ : ตอนนี้ปวดมากจ้ะ

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้ สักครู่จะทุเลา


นายแพทย์อาจินต์ : (ต่อจากนั้นสักพักอาการปวดก็สงบ) หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อหรือ?


นายแพทย์อาจินต์ : อ้อ! ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: เป็นผู้หญิงค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย


นายแพทย์อาจินต์ : หนูตายที่ไหน?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ตกน้ำตายที่โรงโม่


นายแพทย์อาจินต์ : โรงโม่อยู่ที่ไหน?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก็แถว ๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่?


นายแพทย์อาจินต์ : ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก็สิบกว่าขวบค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล


นายแพทย์อาจินต์ : ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย


นายแพทย์อาจินต์ : ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้


นายแพทย์อาจินต์ : ก็ทำตามหน้าที่ๆคือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่าง ๆ แก่ราษฎร ความจริงนั้นเขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย ก่อนตายเขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว จึงได้ป่วยเช่นนี้ 

นายแพทย์อาจินต์ : เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที?                                                                     

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงหนู หนูจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ

นายแพทย์อาจินต์ : พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ?                                                     

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: (เธอก็พยักหน้ารับคำ) หนูจะไปก่อนนะ


จากนั้นหนูน้อยคนนั้นก็หายตัวไป รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า "แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก" แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด                                                                           

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย และการผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราว ๆ สี่ชั่วโมง พอราว ๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม

 ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า และแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงพูดออกมาว่า "หนู! ช่วยพ่อด้วย" ผมตะโกนออกมาดัง ๆ ชั่วอึดใจเดียวก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงคนเดิมมานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจึงถามว่า

นายแพทย์อาจินต์ : มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: (แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ) เดี๋ยวจะทุเลา


นายแพทย์อาจินต์ : (ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเล)) หนูชื่ออะไรจ๊ะ?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อพิมพวดี


นายแพทย์อาจินต์ : หนูเป็นอะไรตาย?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : ตายที่นี่หรือ?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ตายที่ตึกเด็กค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : ตายเมื่อไหร่จ๊ะ?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: เมื่อปี 2502 ค่ะ


นายแพทย์อาจินต์ : หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: มี 5 คนค่ะ 

นายแพทย์อาจินต์ : ผู้หญิง ผู้ชาย กี่คน?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว


นายแพทย์อาจินต์ : พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งศาลานี้ มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนู ฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลาไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกค่ะ


พอรุ่งขึ้นเช้าอาการปวดก็กำเริบ ปวดทุรนทุรายร้องครวญครางอีก และทุกครั้งที่ปวดผมก็จะนึกถึง พิมพวดี ทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะได้ยินเสียงพูดว่า "พ่อ หนูมาแล้ว." แล้วเธอก็เอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา

 ต่อมาในเย็นวันหนึ่ง ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านได้ไปเยี่ยมพร้อมบุตรคือ บู๊-วีระวัฒน์ บุณยเกตุ ในนั้นอาการปวดของผมกำเริบปวดขึ้นมาก ๆ ผมนอนร้องเรียก พิมพวดี ให้มาช่วย คุณทวี ก็พอทราบเรื่องอยู่บ้าง แล้วจากคำบอกเล่าของญาติ ๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ซึ่งปกติท่านไปเยี่ยมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก และร้องเรียกหนูพิมพ์ ว่า "ลูก…มาช่วยพ่อที" จากนั้น พิมพวดี ก็ปรากฎตัวให้ผมเห็น ผมก็ถามว่า 

นายแพทย์อาจินต์ : ผ่าตัดแล้วทำไมยังไม่หายอีก?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วเมื่อไหร่จะหาย?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก็ราว ๆ อีกสี่ปี พ.ศ.2508 นั่นแหละ


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าตัดอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมเป็นสี่ครั้งในคราวนี้

นายแพทย์อาจินต์ : ต้องผ่าถึงสี่ครั้งเชียวหรือ

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ที่ศาลาพิมพวดี


นายแพทย์อาจินต์ : เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา คนตายมีเหรียญตรา มีสายสะพาย


คุณทวี นั่งฟังอย่างสงบ ก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้ คุณวีระวัฒน์ ขับรถออกไปดูว่าที่ ศาลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถไปที่วัดมกุฎฯ ทันที และปรากฏว่าคืนนั้นมีการนำศพออกมาจากสุสาน นำมาบำเพ็ญกุศล เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริง ๆ คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่าเป็นจริงอย่างที่ผมทวนคำพูดทุกประการ

คืนนั้น ผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้า อาจารย์หมออุดม ก็มาเยี่ยมอย่างเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่าไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปดนาฬิกา ผมตะลึง ภรรยา และพยาบาล งง ทุกคนในตึกนั้น เมื่อได้ทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อน ๆ เธอฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าตัดอีก เพราะ พิมพวดี บอกไว้ 

ข่าวลือ ข่าวจากปากต่อปาก ไปไกลกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน จากนั้นก็มีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนมาขอเยี่ยม สองท่านนี้เอาพวงมาลัยพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่หัวเตียงนอน สักครู่ใหญ่ผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กผู้หญิงราว ๆ สามสิบใบ มาวางเรียงบนที่นอนผม และท่านก็ถามว่า "คุณหมอ ช่วยชี้ซิครับว่า คนที่มาหาคุณหมอ มาคุยกับคุณหมอ แล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอ และชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่" 

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปที่ละรูป ดูไม่นานนัก ผมก็หยิบเอารูปหนึ่งขึ้นมา และบอกว่า "หนูคนนี้แหละครับ ที่มาหาผมทุกวัน" ทั้งสองท่านหุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่ คุณผู้ชายก็เช็ดน้ำตา แล้วกล่าวว่า "ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่ายหนูพิมพ์ พิมพวดี โหสกุล ลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน ส่วนนอกนั้นเป็นรูปเพื่อน ๆ ของหนูพิมพ์" 

นายเสียง : ผมทราบข่าวก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยม และสอบถามถึงลูกสาวผม เพราะทุกวันนี้ ก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแกก็คือท่านั่งเท้าคาง เอาข้อศอกยันพื้นไว้ อย่างที่คุณหมอพูดจริง ๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน 


นายแพทย์อาจินต์ จึงพูดขึ้นว่า หนูพิมพ์ยังอยู่แถว ๆ นี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมากก็ไม่เว้น แต่บางที่ก็มาตอนกลางวัน หนูพิมพ์บ่นว่าคนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีด เอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้าโคมไฟกลางศาลาพิมพวดี ตกลงมาแตกหลายอัน พ่อเธอไม่รู้เลยไม่มีใครไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียดายมาก ผมก็นอนอยู่ที่เตียงนี้มากว่าสิบวันแล้ว ไม่เคยไปนั่งในศาลาที่ว่านี้ แล้วผมจะรู้ว่าที่กลางศาลาพิมพวดี มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่ได้อย่างไร แล้วเดี๋ยวนี้ตกลงมาแตกหลายอัน

นายเสียง จึงไห้คนขับรถบึ่งไปดูโคมไฟ ว่าเป็นจริงตามที่ผมพูดหรือไม่ พอคนขับรถกลับมาก็บอกว่า "ระย้าที่ห้อยโคมไฟขาดไปหลายอัน สงสัยว่าจะตกลงมาแตก" ท่านจึงสั่งว่า "พรุ่งนี้ให้ช่างไฟไปดู แล้วไปจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย"

คุณเสียง และภรรยา นั่งอยู่อีกสักพักก็กลับ ก่อนกลับได้ถามผมว่า หนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่า วิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ ผมก็ตอบว่า "อีกไม่ช้าหนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้จะไปเกิดเป็นผู้ชาย เธอคุยกับผมว่าอย่างนั้น" พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงก็ยกมือไหว้พึมพำว่า "เกิดชาติใดฉันใดขอให้มาเป็นแม่ลูกกันอีก" ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายป่วยเมื่อไหร่จะเชิญผมและภรรยาไปรับประทานอาหารที่บ้านสักครั้ง ผมจึงออกปากขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้ เพื่อจะได้ดู และอุทิศกุศลให้เธอ เวลาสวดมนต์และทำบุญกุศล

พอค่ำอาการปวดก็มาเยือน ผมนึกไปถึงหนูพิมพ์พยายามเข้าสมาธิไปมันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูดว่า "มาแล้วหรือลูก" แล้วผมก็ถามว่า "เมื่อไหร่จะหาย หรือหมดเวรกรรมเสียทีมันทรมานจริง ๆ "

 หนูพิมพ์ก็ตอบว่า "อีกสี่ปีถึงจะพบหมอที่จะรักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป" ผมก็ถามต่อไปว่า "แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ไนตอนนี้ เพราะตอนนี้ปวดมาก" เธอตอบว่า "พรุ่งนี้ พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้ และจะเป็นการผ่าตัดที่ทารุณที่สุดในชีวิตพ่อ!"

รุ่งเข้า 7 นาฬิกา อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาพูดกับผมว่า "เดี๋ยวแปดโมงเช้าเอาไปผ่าอีกที ทีนี้จะเลาะประสาทฝอยออกหมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีกแล้ว" 

พอราว ๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคันนั้นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด ผมจึงถามพยาบาลว่าทำไมไม่ฉีดยาสลบ ก็ได้รับคำตอบว่า "คราวนี้อาจารย์จะผ่าสด ๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ยาชาใด ๆ ทั้งสิ้น จะได้รู้ว่าประสาทฝอยเส้นไหนมันเสีย มันถึงปวด ผมก็นึกว่ากรรม กรรมแน่แท้"

เวลาผ่าตัด ผมร้องออกมาดังกว่าวัว กว่าควาย ที่กำลังถูกเชือดอีก เพราะการผ่าตัดแบบนี้ เวลาดึงเส้นประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดหัวไว้ ทั้ง ๆ ที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น ผมร้องโอดโอย ดังที่สุดในชีวิต เจ็บที่สุดในชีวิตปวดที่สุดในชีวิต และทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับที่ หนูพิมพ์ บอกไว้ไม่มีผิด 

และสุดท้ายผกก็สลบไปเอง เพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนที่สายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางอยู่ที่จมูกที่ปาก ก็พบภรรยาและพยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่ พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ ก็เอามือมากุมตรงที่แผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่ ผมก็ถามเธอว่า

นายแพทย์อาจินต์ : พ่อหมดเวร หรือยัง?

พิมพวดี โหสกุล: พ่อชดใช้กรรมตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะดีขึ้น ๆ

นายแพทย์อาจินต์ : พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม?

พิมพวดี โหสกุล: ไม่มีอีกแล้ว


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วจะปวดโรคประสาทนี้อีกไหม?


พิมพวดี โหสกุล: ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก จะมีอีกสี่ปี


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป?


พิมพวดี โหสกุล: ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ขออโหสิเขาเสียภาวนา แล้วส่งในไปแผ่ส่วนกุศลให้เขาเสมอ ๆ นะพ่อนะ


นายแพทย์อาจินต์ : พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่?


พิมพวดี โหสกุล: วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ…พ่อ


นายแพทย์อาจินต์ : ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับไปได้อย่างไร?


พิมพวดี โหสกุล: ก็ยังมีกรรมเบา ๆ หลงเหลืออยู่อีก ถึงจะเป็นก็ไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ้ะ


นายแพทย์อาจินต์ : เวลาพ่อกลับบ้านแล้ว พ่อจะเรียกให้ลูกไปหาจะได้ไหม?

พิมพวดี โหสกุล: หนูจำต้องลาไปเกิดแล้ว และเป็นผู้ชายจ้ะ..แล้วลูกเข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่ เจ้าทาง เขาห้ามจ้ะ หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้จะไม่มาอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย นะพ่อนะ


เสียงหนูพิมพ์แว่ว ๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้…แล้ว หนูพิมพ์ ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลย อาการปวดผมก็บรรเทาเบาบางลง ๆ ซึ่งตอนที่ออกจากโรงพยาบาล ก่อนกลับบ้านผมถือรูปหนู พิมพวดี ไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่วัดมกุฏกษัตริยารามก่อน เพื่อไปดูศาลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อสวดมนต์ก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกทุก ๆ ชาติ

อ้างอิง : ขอให้วิญญาณของเธอไปสู่สุคติ  ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผู้ให้ข้อมูลต่างๆ  และผู้ที่มีประสบการณ์กับกรณีศึกษา ด้านจิตวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ให้รับกุศลผลบุญกุศล โดยทั่วกัน
เพื่อประโยชน์ทางด้านการเผยแพร่พุทธศาสนา เพื่อความเข้าใจเรื่องผลของกรรม การใช้เวรใช้กรรมตามหลักศาสนาพุทธ
77  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมของคนเจ้าชู้ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 03:26:05 pm
คนเจ้าชู้

…น่าอิจฉาที่สุดในโลก น่าสงสารที่สุดในธรรม

ในสังคมทุกยุคทุกสมัย ไม่มียุคไหนที่ไม่มีคนเจ้าชู้ ถ้าเรามองผ่านๆโดยใช้กิเลสเป็นตัววัด เรามักจะอิจฉาริษยาคนเจ้าชู้เสมอ ที่เขาหรือเธอมักจะได้เสพสมใจในกิเลส มักจะได้คบหา รู้จัก สมสู่กับคนมากหน้าหลายตาอยู่เสมอนั่นคือมุมมองที่เรามองจากกิเลสไปสู่กิเลส สิ่งเหล่านั้นย่อมจะดูน่าเสพ น่าได้ น่ามีเป็นธรรมดาตามประสาโลกียะ

แต่ถ้ามองกันตามจริงนั้น คนเจ้าชู้นี่แหละคือคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก เพราะตลอดเวลาที่เขาได้แสดงความเจ้าชู้ ด้วยถ้อยคำหวาน คำหยอกเย้า หว่านเสน่ห์ หรือกระทั่งนอกใจคู่ครองของตน ไม่มีการกระทำใดเลยที่เป็นบุญ ตลอดเวลาเขาได้กระทำบาปซ้ำซ้อนและบาปที่เขาทำนั้นก็ยังจะไปดูดดึงให้คนอื่นได้ร่วมบาปไปกับเขาอีก

คนเจ้าชู้นั้นจัดอยู่ในลักษณะของอบายมุข ซึ่งโดยวิถีชีวิตแล้วก็มักจะมีเรื่องของอบายมุขอื่นๆติดมาในชีวิตด้วย เช่นอบายมุขหยาบๆที่รู้กันโดยทั่วไปคือ กินเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติดให้มัวเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน ฯลฯ

และยังมีอบายมุขหยาบอีกมากมายที่คนมองไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอบายมุขเช่น หุ้น การบ้าดารา การหลงในของสะสม การแต่งรถ การชอบเที่ยวเล่นไปในที่ต่างๆ เช่นเที่ยวกินต่างประเทศ ฯลฯ ลักษณะเหล่านี้เป็นกิเลสหยาบในระดับอบายมุขทั้งสิ้นซึ่งเป็นเครื่องล่อหรือเครื่องมือให้คนเจ้าชู้ใช้กิเลสเหล่านี้มาเป็นสิ่งที่ทำให้ตนได้มาเสพสมใจในสิ่งต่างๆ

กิเลสแต่ละตัวจะเติมเต็มกันและกัน เมื่ออยากเสพสิ่งใดมากเข้าก็จะเพิ่มกิเลสตัวอื่นไปในตัว เช่นเมื่อเราอยากเที่ยว เราก็อยากกินของอร่อย พอกินของอร่อยก็อยากถ่ายรูปอวด พออยากถ่ายรูปอวดก็อยากแต่งตัวสวย พอรู้สึกว่าตัวเองสวยก็เริ่มอยากตรวจสอบความนิยม พอมีคนเข้ามาให้เลือกมากๆก็เริ่มคิดที่จะมีคู่ พอมีคู่ได้เสพสมใจบางอย่างแล้วก็ติดใจ วันใดที่เริ่มไม่ได้เสพได้ดั่งใจเหมือนก่อนหรือเบื่อรสชาติเดิมๆก็จะหาสิ่งใหม่มาเสพ นี่แหละอบายมุขกับความเจ้าชู้มันจะค่อยๆเติมเต็มกันและกัน

…ความเจ้าชู้เกิดจากอะไร

คนเจ้าชู้นั้นเป็นได้ทั้งชายและหญิง กิเลสนั้นไม่จำกัดเพศ ไม่จำเป็นว่าผู้ชายต้องมักมากมากกว่าผู้หญิงมันไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่ให้เกิดความเจ้าชู้ไม่ใช่เพศแต่เป็นกิเลส

ลักษณะที่เห็นได้ทั่วไปสำหรับกิเลสของคนเจ้าชู้คือความโลภ อยากครอบครอง อยากเสพมากกว่าที่ควรจะเป็น อยากมีมากกว่าคนอื่น อยากสะสม อยากอวด ฯลฯ จึงเกิดสภาพของความเจ้าชู้ขึ้น เพราะไม่รู้จักคำว่า “พอ” คำว่าพอนี้ไม่ใช่คิดเอาแล้วมันจะพอเพียงได้ กิเลสมันจะไม่ยอม มันจะหิวโหยหาและออกไปสร้างความเจ้าชู้ แม้จะรู้ตัวว่าเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควรทำ แต่คนเจ้าชู้กลับไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปเสพสิ่งที่ไม่ควรได้ ซึ่งเขาหรือเธอเหล่านั้นตกอยู่ในกิเลสที่หนาจนแทบมองไม่เห็นแสงสว่าง แม้ว่าคิดจะหยุดเจ้าชู้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกิเลสมันสั่ง

กิเลสชั้นแรกของคนเจ้าชู้คือนักสะสม กลัวสูญเสีย กลัวไม่ได้เสพ กลัวขาด กลัวไปหมดทุกอย่าง แต่ภาพแบบนี้เราจะไม่ได้เห็นกันเพราะเขาหรือเธอนั้นจะกลบมันไว้ด้วยความมั่นใจ ภาพลักษณ์ของคนเจ้าชู้จะไม่แสดงความอ่อนแอ แต่จะเห็นในลักษณะของการบำรุงบำเรอกิเลสคนอื่น ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเพื่อการให้ตัวเองได้มาสะสม ได้มาเสพนั่นเอง

ถ้าคนไม่เจ้าชู้ก็จะไม่ต้องบำรุงบำเรอกิเลสคนอื่น ไม่ต้องพูดคำหวาน ไม่ต้องหยอกล้อ ไม่ต้องส่งสายตา ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องเอาใจ เพราะไม่ได้หวังจะเสพอะไร คนเจ้าชู้บางคนสร้างพฤติกรรมสุภาพบุรุษเสียจนกลายเป็นสามัญ คือดูแลเอาใจใส่ทุกคน แต่สุดท้ายเขาก็ทำเพื่อที่จะเลือกคนที่เขามาเสพอยู่ดีนั่นเอง ถือว่าเป็นคนเจ้าชู้ที่เก่ง เก่งในเรื่องของการสนองกิเลส ความแนบเนียนในการสร้างความเชื่อมั่นให้คนอื่นเห็นว่าตนไม่มีกิเลส ตนจริงใจ นี่คือลักษณะของคนที่เจ้าชู้มันจะหลอกซ้ำหลอกซ้อนในตัวเองแล้วหลอกคนอื่นไปด้วยในตัว พอเหยื่อหลงเชื่อก็ค่อยๆตามไปกินก็ยังไม่สาย

คนเจ้าชู้มากก็จะมีวิธีการให้ได้มาซึ่งการเสพมาก แนบเนียน น่าค้นหา น่าหลงใหล ดูอบอุ่น เหมือนใบมีดโกนเคลือบน้ำผึ้งถ้าใครเผลอหลงในรสน้ำผึ้งสุดท้ายก็จะโดนใบมีดโกนบาด ยิ่งเจ้าชู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งบาปเท่านั้น ยิ่งชั่ว ยิ่งเก่ง ยิ่งเสพก็ยิ่งใกล้นรกมากเท่านั้น

คนเจ้าชู้มือใหม่อาจจะมีวิธีการที่ไม่แนบเนียน แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี เขาอาจจะกลายเป็นนักเจ้าชู้ตัวฉกาจก็ได้ เพราะกิเลสสอนเราให้ชั่วเสมอ ชั่วล้ำลึก ชั่วซับซ้อนซ่อนเงื่อน ชั่วดูดี เมื่อเราเสื่อมจากธรรมและนำพาชีวิตด้วยกิเลส เราจะเป็นคนที่สามารถทำชั่ว หรือเจ้าชู้ได้อย่างแนบเนียน เราจะมีเหตุผลมากมายในการเจ้าชู้ เราจะยินดีในการเจ้าชู้และหลงไปว่าการเจ้าชู้นี่แหละคือคุณค่าของชีวิต การได้เสพการได้มีคู่ครองมากนี่แหละคือสิ่งที่น่าสรรเสริญ ทั้งที่จริงลักษณะที่มีคู่ครองหลายคน มั่วกันไปกันมานั้น สัตว์มันก็ทำได้ ไม่เห็นมันจะน่าภูมิใจตรงไหน

จริงๆแล้วรากลึกของความเจ้าชู้นั้นเกิดจากอัตตา เกิดจากความมีตัวมีตน อยากให้คนยอมรับ อยากให้คนเห็นคุณค่า อยากให้คนเห็นว่า นี่ไงมีคนสนใจฉันมาก ฉันทำให้คนเสพฉันได้มาก ฉันเสพคนอื่นได้มาก ยอมรับฉันสิ ดูฉันสิ ฉันเป็นที่นิยมนะ เป็นอัตตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโลกธรรม หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข เป็นกิเลสชั้นหยาบที่ทำให้คนหลงไปในกามเมถุนและเรื่องอบายมุขอีกมากมาย

ลักษณะเด่นของคนเจ้าชู้คือมักทำตัวให้เป็นที่น่าสนใจ ให้เป็นที่น่าคบหา ทั้งในทางเปิดเผยและไม่เปิดเผย กลยุทธ์ในการได้มาซึ่งการครองใจคนอื่นมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่สรุปรวมได้ว่าการสนองกิเลสคนอื่น จนเขายอมมาเสพสมใจหรือสมสู่กันนั่นแหละ เหมือนกับสัตว์ที่เวลาหาคู่ก็ต้องพยายามทำตัวเองให้เด่น พยายามทำตัวเองให้แข็งแรง มนุษย์ที่เจ้าชู้ก็ไม่ต่างจากสัตว์สักเท่าไรนัก จะให้บอกกันตรงๆก็คงจะแย่กว่าสัตว์เพราะสามารถทำชั่วได้มากกว่า ไปกระตุ้นกิเลสคนอื่นได้มากกว่า ทำร้ายจิตใจคนอื่นได้มากกว่า ทำให้เกิดทุกข์ เกิดบาป เกิดกรรมชั่วได้มากกว่า

….ทำไมเราต้องเจอกับคนเจ้าชู้

หลายคนสงสัยว่าทำไมฉันต้องมาเจอกับคนเจ้าชู้ สำหรับคนที่มารู้ทีหลังว่าคู่ของตนนั้นเจ้าชู้ก็ถือว่ารับกรรมไป เพราะไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับเราทำมาแล้วทั้งนั้น

การมีคู่ครองหรือคนที่คบหาเจ้าชู้โดยที่ไม่รู้มาก่อนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการใช้กรรมที่เราเคยไปเจ้าชู้มาชาติใดก็ชาติหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งของเราคือเรายินดีกับการที่เขามาสนองกิเลสให้เราจนเรายอมให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราเอง มันมีทั้งกรรมในอดีตและกรรมในชาติปัจจุบันสังเคราะห์ร่วมกันจนเกิดเป็นเหตุการณ์นั้นๆขึ้น

และยังมีคนอีกมากที่มักจะชอบคิดว่าตนเองสยบความเจ้าชู้ได้ หลงไปว่าคนเจ้าชู้จะจบที่เราได้โดยเพียงเชื่อคำหวาน คำสัญญาของคนที่มีกิเลส การที่เราคิดว่าจะสยบความเจ้าชู้ได้นั้นเพราะเรามีอัตตายึดมั่นถือมั่นว่าเราดี เราเก่ง เราสวย เราหล่อ อะไรก็ว่ากันไป พอยึดมั่นถือมั่นมันก็เลยมั่นใจ ทีนี้มาเจอกับคนเจ้าชู้ พอเขาได้เสพสมใจในหลายๆสิ่ง จนเขาเริ่มเบื่อแล้วเขาก็จะเริ่มหาสิ่งใหม่เสพ เพราะกิเลสของเขามาก เราสนองกิเลสเขาไม่พอ เขาก็เลยต้องแสดงความเจ้าชู้ไปหาคนอื่นมาเสพ ถ้าเขาไม่หามาเสพ กิเลสเขาก็จะทรมานให้เขาต้องทุกข์เพราะความอยากเสพ กิเลสนั้นคือยาเสพติดชั้นดีเชียวล่ะ

….คนเจ้าชู้รับมืออย่างไร

คนเจ้าชู้นี้จัดอยู่ในหมวดของคนติดอบายมุข เป็นคนพาล พระพุทธเจ้าท่านให้ห่างไกลคนพาลก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกคบ แต่ไม่ไปคบหาในเชิงชู้สาว ไม่เผลอใจเข้าไปเพราะเพียงแค่หวังจะเสพรสของหนุ่มสาวเจ้าชู้ เรื่องกิเลสนี้ไม่ควรลอง ไม่สมควรที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง มีคนมากมายที่มั่นใจนักหนาว่าจะปราบคนเจ้าชู้ได้แต่สุดท้ายก็แพ้ไม่เป็นท่ามาหลายรายแล้ว

ถ้าเจอคนเจ้าชู้เปิดเผยก็แล้วไป แต่ถ้าเจอคนเจ้าชู้เงียบล่ะ แบบว่าแอบติดต่อ แอบหยอดคำหวานไม่ให้ใครรู้ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำอย่างนั้นกับทุกคนหรือไม่ วิธีตรวจสอบก็คืออย่าไปรีบตามเขา คนเจ้าชู้จะมีกลยุทธ์มากมายที่เอาไว้มัดใจเรา ให้เราออกไปใกล้ชิด ให้เรายอมสมสู่ ให้เรายอมแต่งงาน สุดท้ายแม้แต่การทอดทิ้งกันไปหลังแต่งงานก็ยังมีให้เห็นเป็นปกติในสังคม เพราะฉะนั้นการแต่งงานไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบ ไม่ได้หมายความว่าคนเจ้าชู้จะหยุดเจ้าชู้ได้ ถ้าเจอคนที่จีบเก่ง เอาใจเก่งก็ให้เขารอ รอไปเรื่อยๆ 5 ปี 10 ปี ก็รอไปอย่าเพิ่งไปใกล้ชิดแนบเนื้อนัก อย่ารีบไปสมสู่ อย่ารีบไปแต่งงาน รักษาระยะห่างให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางกุศล อะไรดีก็ทำร่วมกัน อะไรไม่ดีก็ให้ห่างไว้ ถ้ารักกันจริงมันต้องรอได้ แต่คนเจ้าชู้จะรอไม่ได้ เพราะความเจ้าชู้จะทำให้เขารีบเผด็จศึก ถ้าเขารู้สึกว่ากลยุทธ์ที่เขางัดมาใช้ทั้งหมดไม่ได้ผล เขาจะเลิกลงทุนและล่าถอยไปเอง นั่นหมายความว่าไม่ได้ควรคู่ให้เขาคบหาจริง นั่นเพราะเขาไม่ได้คิดจะคบหาเราเป็นคู่ชีวิต แต่คิดจะคบหาเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต

เจ้าชู้เปิดเผยกับเจ้าชู้เงียบก็ยังพอจะป้องกันไว้ได้ แต่ถ้าเจอเจ้าชู้ที่ยังไม่กำเนิดก็ยากหน่อย หมายถึงคนที่กิเลสยังไม่แสดงตัวนั้นจะดูและป้องกันยากมาก ส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลังจากเป็นแฟนกันแล้ว สมสู่กันแล้ว หรือแต่งงานกันแล้ว นั่นเพราะแต่ก่อนไม่เคยได้เสพเรื่องสมสู่คนคู่แต่พอได้เสพหนึ่งแล้วมันก็อยากเสพอีกหนึ่ง อยากเสพแบบอื่น รสอื่น ลีลาอื่น ที่อื่น คนอื่น สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคนเจ้าชู้ไป กลายเป็นปัญหาในครอบครัว ไม่ว่าจะมีเมียน้อยผัวน้อยหรือไปเที่ยวโสเภณีก็ตาม

ถ้าเจอแบบนี้ก็ให้ปล่อยวางเสียเพราะมันทำอะไรไม่ได้ มันพลาดไปแล้วก็ให้ทำดี ถือศีลให้มั่นคง ศึกษาธรรมะ ความดีจะจัดฉาก จัดเหตุการณ์ที่ดีให้เอง เช่น เขาหรือเธอกลับใจเลิกเจ้าชู้ , เขาหรือเธอออกไปจากชีวิตเอง , หรือมีคนอื่นเอาไปเป็นคู่ เช่นเขามีเมียน้อย เราก็ปล่อยเขาไป คนที่คิดนอกใจเจ้าชู้ไปมีคนอื่นนั้นมันก็บาปก็ชั่วพอที่เราจะปล่อยให้เขาไปตามทางของเขาแล้ว แต่ส่วนมากก็มักจะยึดคนบาปไว้กับตัวเพราะเสียดาย จะไปเสียดายคนชั่วทำไม เขานอกใจแล้วแสดงว่าเขายินดีที่จะไปเสพสิ่งอื่น ไม่อดทน ไม่มั่นคง เราก็ไม่ควรไปยึดเขาไว้ เราก็ต้องปล่อยเขาไปตามที่กิเลสและกรรมของเขาจะนำพา ให้โอกาสตัวเองได้พบกับชีวิตที่ดี จะดีกว่าให้โอกาสเขากลับมาทำทุกข์ให้ตัวเรา มันบาปทั้งคู่

…คนเจ้าชู้จะหยุดที่ใครได้จริงไหม

ด้วยความเจ้าชู้นั้นมักสร้างเสน่ห์จนน่าหลงใหลอยู่เสมอ คนจำนวนมากจึงหลงไปกับคนเจ้าชู้ โดยคิดหวังลึกๆว่าเขาหรือเธอจะหยุดลงได้ที่เรา

ในความเป็นจริงแล้วความเจ้าชู้เกิดจากกิเลส การได้สนองกิเลสนั้นไม่ได้ทำให้กิเลสตาย นั่นหมายถึงว่า ถึงแม้เราจะให้เขาเสพเรา แม้ว่าเราสวย เราหล่อ เรารวย เราดีแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้กิเลสของเขาลดลงเลย เขาก็อาจจะเสพเราจนกว่าเขาจะเบื่อ สุดท้ายคนเจ้าชู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสก็จะหาช่องทางออกไปเสพสิ่งอื่นอยู่ดี

หรือที่เห็นว่าหยุดมันก็แค่หยุดได้แค่ช่วงหนึ่ง สงบไปได้ช่วงหนึ่ง อาจจะเป็นปี สิบปี ยี่สิบปี แต่ถ้าสุดท้ายกิเลสไม่ตาย ความเจ้าชู้มันก็จะออกมาอาละวาดฟาดคนอื่นไปทั่วอยู่ดี การหยุดนั้นเป็นการหยุดเพื่อเสพ หยุดเพื่อให้คนคนหนึ่งตายใจเพื่อจะได้เสพ คนเจ้าชู้ก็คิดจะหยุดความเจ้าชู้เช่นนั้นจริงๆนะ เขาหรือเธออาจจะไม่ได้โกหกเลย ยินดีจะหยุดด้วยความเต็มใจ แต่พอถึงวันหนึ่งมันเสพจนเบื่อกิเลสมันก็จะกระตุ้นให้ผีร้ายออกไปอาหารไปเลี้ยงกิเลสอยู่ดีนั่นเอง

…ผลกรรมของคนเจ้าชู้

ผลกรรมที่เห็นได้เด่นชัดของคนที่เจ้าชู้คือ ได้รับความเจ็บปวดจากความเจ้าชู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ได้เจอกับคนเจ้าชู้และแม้จะรู้ว่าสุดท้ายต้องเจ็บ แต่ก็จะหลงเชื่อมั่นจนหมดตัวหมดใจ ยอมพลีกายพลีใจให้เขาไปหมด หน้ามืดตามัว แม้ใครจะเตือนก็ไม่ฟัง แม้มีหลักฐานก็ไม่เชื่อ สุดท้ายก็ต้องโดนเขาทอดทิ้ง ปล่อยปละละเลย กลายเป็นอดีตของคนเจ้าชู้คนนั้น ดังที่หลายคนเจออยู่ในทุกวันนี้ เพราะกรรมที่เราทำมานั่นเอง

คนเจ้าชู้นี่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดเพราะเขาหลงว่าความเจ้าชู้นั่นเป็นสิ่งดีที่เขาภูมิใจโดยไม่รู้ว่ามันสร้างบาปเวรภัยให้กับเขาและผู้อื่นมากมายขนาดไหน

การเจ้าชู้เกิดขึ้นเพราะเขาไม่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม คนที่ไม่เจ้าชู้นั้นก็เพราะเขากลัวในเรื่องบาปกรรม ส่วนคนเจ้าชู้นั้นจะไม่เชื่อ ไม่ชัดเจนในเรื่องของกรรม ส่วนใหญ่มักคิดว่าเกิดมาชาติเดียวต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม เป็นความหลงผิดอย่างร้ายแรงของจิตวิญญาณดวงหนึ่ง เมื่อไม่เชื่อในเรื่องกรรม ก็ไม่มีความดีความชั่วที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ สุดท้ายก็จะเหลือแต่การหามาเสพสมใจโดยไม่สนใจกรรมชั่ว

เหมือนกับคนที่อดอยากมานานพอได้มาเจออาหาร ก็มักกินอย่างตะกละตะกลามเหมือนกันกับคนเจ้าชู้ เขาเองไม่เคยได้เสพไม่เคยได้ครอบครอง พอมีโอกาส เกิดมารวย เกิดมาหน้าตาดี ถึงแม้ไม่มีก็พยายามจะทำให้เป็นให้มีเพื่อให้ได้เสพ และพอมีโอกาสเสพก็จะเสพอย่างเต็มที่ มัวเมาในอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา เมากิเลสอยู่แบบนั้นโดยไม่รู้ว่ากรรมและผลของกรรมนั้นมีจริง เป็นเรื่องจริงที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ เป็นสิ่งทำให้เหล่าสัตว์เกิดมาดีเลว ขาวดำ สูงต่ำ รวยจน ฯลฯ แตกต่างกัน

สิ่งที่จะได้รับจากความเจ้าชู้นั้นหนักหนามากมายเหลือประมาณ เพราะผิดศีลข้อ ๓ เต็มๆ ไม่ว่าจะเจ้าชู้ทางกาย วาจา หรือแม้แต่ใจก็ยังผิด นรกนั้นเปิดประตูต้อนรับคนเจ้าชู้เสมอ ทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตอนตาย นรกเกิดทันทีในจิตของคนเจ้าชู้นั้นๆตั้งแต่เริ่มคิดทำชั่ว และเกิดไปจนกว่าจะได้รับผลกรรมชั่วที่ทำไว้หมดสิ้น แม้จะเกิดชาติใหม่เป็นคนดีไม่เจ้าชู้ แต่ก็ยังต้องมารับกรรมที่ตัวเองเคยเจ้าชู้ไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน

…ความเจ้าชู้จะจบลงที่ตรงไหน

คนเจ้าชู้นั้นจะไปจบตรงไหนและจะหยุดได้เมื่อไหร่นั้น หากมองกันเพียงสั้นๆในชีวิตนี้แล้ว คนเจ้าชู้เขาก็เจ้าชู้ไปได้แค่ทุกข์สุดทุกข์นั่นแหละ คือการเจ้าชู้นี่มันต้องไปทำผิดอยู่แล้ว ไม่ว่ากาย วาจา ใจ ซึ่งวันใดวันหนึ่งพอผลกรรมที่ทำไว้สุกงอมร่วงหล่นลงมาเกิดเป็นเหตุการณ์เช่น ทำให้ใครเขาท้องหรือตัวเองท้องเอง ,ไปเจ้าชู้กับแฟนเพื่อน ,ไปเจ้าชู้กับนักเลง,ติดโรคร้ายแรง,เสียทรัพย์หมดตัวเพราะมัวเมา ฯลฯ ก็อาจจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้ ซึ่งเขาก็อาจจะสามารถหยุดความเจ้าชู้ลงในชาตินั้นๆได้

แต่หากได้โงหัวผงาดขึ้นมาใหม่ เช่นร่ำรวย หรือเปลี่ยนถิ่นที่อยู่ ก็อาจจะเป็นโอกาสที่เขาจะได้แสดงความเจ้าชู้อีกครั้ง ทำชั่วสะสมมากเข้าจนกระทั่งตาย

แม้ว่าจะตายก็ยังไม่จบเพราะกิเลสไม่ตาย ความตายในเชิงความเข้าใจของโลกนั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนภพ เปลี่ยนร่างไปสู่อีกร่างหนึ่ง แต่คนที่เจ้าชู้ ยากนักที่จะได้เกิดเป็นคนอีก อาจจะกลายเป็นหมู เป็นหมา เป็นวัว เป็นควาย ให้เขาตอน ให้เขาผสมพันธุ์ ต้องรับกรรมจากการที่ไปเจ้าชู้กับคนอื่นนานแสนนานจนกว่าจะใช้กรรมหมด จนได้เกิดเป็นคนอีกครั้ง

ทีนี้พอเกิดเป็นคนแต่กิเลสยังไม่ตาย กิเลสตัวเจ้าชู้ยังมีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็ทำบาปเวรภัยต่อไปอีกเรื่อยๆ เกิดแล้วตาย วนเกิดเป็นสัตว์เป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ต้องทรมานและตายเพราะความเจ้าชู้นั้นไม่รู้กี่ครั้ง จนกระทั่งชาติใดชาติหนึ่งก็เริ่มที่จะเข็ดขยาดกับความเจ้าชู้ เริ่มหันมาเป็นคนดีบ้าง แต่ก็ต้องพบกับกรรมที่ตัวเองเคยเจ้าชู้มาก่อนเข้ามาอัดซ้ำแล้วซ้ำอีก

แล้วก็วนเวียนกลับไปเป็นคนเจ้าชู้อีกเพราะกิเลสยังไม่ตาย วนกลับไปกลับมาระหว่างคนเจ้าชู้กับไม่เจ้าชู้นี่แหละ สุดท้ายก็ติดดีเกลียดเจ้าชู้วนเวียนไปนานแสนนานจนกว่าจะพบกับครูบาอาจารย์ที่สอนวิธีดับกิเลส พอได้รู้วิธีดับกิเลสแต่ก็ขี้เกียจ หวงกิเลส ไม่เชื่ออีก ก็ต้องเกิดตายเกิดตายอยู่หลายชาติจนพบว่าไม่มีทางใดพ้นทุกข์นอกจากการดับกิเลส เมื่อรู้ดังนั้นก็ต้องเพียรดับกิเลสกันอยู่หลายภพหลายชาติ ตายแล้วก็เกิดมาสู้กิเลสใหม่ กิเลสก็ยังไม่ตายสักที

จนในที่สุดวันที่เพ่งเพียรพยายามอย่างเต็มที่ได้มาถึง เมื่อได้ปฏิบัติสัมมาอริยมรรคซึ่งเป็นทางเดินสู่การพ้นทุกข์คือการดับกิเลสในจิตวิญญาณให้สิ้นเกลี้ยงก็จะได้รับผลเป็นปัญญารู้แจ้งในกิเลสเรื่องเจ้าชู้นั้นๆ รู้ทุกเหลี่ยมทุกมุม ทุกข์โทษภัย ผลเสีย รู้กรรมและผลของกรรม รู้ว่าการฆ่ากิเลสนี้ยากเพียงไร พอมีความรู้มีธรรมอันนี้จริงในวิญญาณแล้วก็ถือว่าเป็นสุดท้าย เป็นตอนจบของความเจ้าชู้แล้ว หลังจากนั้นคือเอาความรู้ที่ได้จากการปราบความเจ้าชู้ไปสอนคนอื่นเพื่อพัฒนาปัญญา เพิ่มกุศลที่ต้องใช้เพื่ออาศัยในชาติภพต่อๆไป เพื่อเป็นพลังในการทำลายกิเลสตัวอื่นที่ยังเหลืออยู่ต่อไป





คนเจ้าชู้ที่เก่ง จะทำให้คนอื่นเชื่อว่าตนไม่เจ้าชู้

คนเจ้าชู้ที่เก่งกว่า จะทำให้คนอื่นยินดียอมรับ แม้จะรู้ว่าตนนั้นเจ้าชู้

แต่ยิ่งเก่งในเรื่องเจ้าชู้เท่าไร ก็ยิ่งสร้าง บาป เวร ภัย มากเท่านั้น

ที่มาlife.dinp.org
78  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เบื่องานเบื่อคนเบื่อๆๆๆ.... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2015, 06:41:02 pm
ช่วงนี้รู้สึกเศร้าเหงาเบื่อหน่ายและอีกอะไรหลายๆอย่างอยากหนีไปอยู่คนเดียวทำไมชีวิตมันถึงน่าเบื่ออย่างนี้
จริงๆที่มาโพสในวันนี้ก็ไม่มีไรมากแค่อยากจะมาทักทายเพื่อนๆกัลยณมิตรทั้งหลาย
หายหน้าหายตาไปนานมีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายทั้งดีทั้งร้ายเดี๋ยววันหลังจะมาเล่าหั้ยฟังอีกที
อาจจะมีสาระบ้างไร้สาระบ้าง ยังไงๆก้อรักเพื่อนๆทุกคนในบอร์ดนี้คงไม่หายไปไหนยยังอยู่ด้วยกันอีกนานวันหลังจะหาธรรมะดีๆมาโพสหั้ยอ่านกัน
79  เกี่ยวกับบุคคล / แนะนำสมาชิก จาก Facebook / สมาชิกแนะนำวันนี้ Pom jaravee สาวน้อยจาก อีิสาณ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2015, 10:53:15 pm
สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวธรรมทุกคนจารวีหายหน้าหายตาไปนานวันนี้แวะมาทักทายทุกคนคงสบายดีนะค่ะ :49:


ทาง Admin ขออนุญาต แนะนำให้ก็แล้ว กัน นะ

สำหรับ สมาชิก ท่านนี้ ก็เคยติดตามกัน เว็บมานานแล้ว แต่ช่วงหลัง หายไปอยู่ facebook เลยลืมกลับมาเยี่ยมกัน วันนี้ ถือฤกษ์สะดวก ที่ เธอ กลับมาเยี่ยมเว็บเรา ด้วยคำทักทาย ที่แทนคำว่า คิดถึง ... แก่ สมาชิก ทุกท่าน

 
 เราคิดว่า ภาพนี้ดีที่สุด เนื่องด้วยเป็นภาพที่แสดงถึง สีหน้า ปกติ ของคนทำงานนะ
 
 และนี่เป็นลิงก์ ด้านล่าง ของ เธอ
 https://www.facebook.com/pom.jiji.3

 สำหรับผลงานการโพสต์ ก็นับว่า มีบ้าง ช่วงหลัง คงชอบโพสต์ ชอบแชร์ เรื่องราวธรรมะ เพราะคงจะเหงามากขึ้นนะเพราะว่า ทำงาน ห่างไกลบ้าน ทราบว่า แถว ฉะเชิงเทรา ประมาณนี้

 ใครต้องการเป็นเพื่อน ก็ตาม ไป Add พูดคุยกันเอาเอง นะ

 
 
80  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ทุกข์เพราะรัก เมื่อ: สิงหาคม 29, 2014, 11:49:22 pm
ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์ รักร้อยทุกข์ร้อย รักเพียงหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ไม่รักก็ไม่ทุกข์ ชีวิตนี้เจอแต่ความผิดหวังช้ำทุกข์เพราะรัก กรรมเราคงเยอะ ควรทำใจยังไงดี เบื่อจริงๆกับชีวิตแบบนี้
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7