การก่อสร้างพระพุทธรูปสมเด็จ
อนุสรณ์การสร้างพระพุทธรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี)
สถานที่ที่มีความสำคัญและเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) มีด้วยกันมากมาย หลายแห่งซึ่งสถานที่เหล่านั้นมีความ ผูกผันกับ ชีวิตของสมเด็จโตฯตั้งแต่เกิดจนกระทั่งมรณภาพ ท่านก็มักจะสร้างอะไร ๆ ที่ใหญ่ ๆ โต ๆ สมกับชื่อของท่าน ส่วนใหญ่แล้วท่านก็จะสร้างเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถต่างๆ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ตัวท่านเอง จึงได้สร้างปรากฏไว้เป็นหลักฐาน
สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) ราชสกุลวงษ์ของเจ้าประคุณสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (โต พรฺหมฺรํสี) มารดาชื่อ เกตุ (ธิดานายไชย) เดิมเป็นชาวบ้าน ต.ท่าอิฐ อำเภอบ้านโพธิ์ (ปัจจุบันคืออำเภอเมือง จ.อุตรดิตถ์) ส่วนบิดาจะมีนามใดไม่ปรากฏแน่ชัด ทราบเพียงแต่ว่ารับราชการเป็นชาวเมืองอื่น แต่ก็เชื่อได้ว่าเป็น “ราชสกุลวงษ์”
ต่อมาการทำนาไม่ได้ผลเพราะฝนแล้งมาหลายปี โยมมารดาท่านจึงคิดย้ายภูมิลำเนาโดยการออกทำมาค้าขายโดยทางเรือและตามหาโยมพ่อด้วย จนกระทั่งเดินทางมาถึง บ้านไก่โจน (ต่อมาแผลงเป็น “ไก้จ้น”) ตำบลไก่จ้น อำเภอนครน้อย (อ.ท่าเรือ) แขวงเมืองกรุงเก่า (จ.พระนครศรีอยุธยา) จึงได้จอดเรือในคลองป่าสัก ใต้ต้นสะตือ ที่ริมตลิ่งหน้าวัดท่างาม (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดสะตือ)
โยมเกตุได้คลอดบุตรเป็นชาย ณ ที่แห่งนั้น ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก สัมฤทธิ์ศก จ.ศ. 1150 ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 เวลาบิณฑบาต ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 7 ปี) และตั้งชื่อว่า “โต” เมื่อท่านเกิดแล้ว (ยังเป็นทารกแบเบาะ) มารดาก็พาท่านไปอยู่ที่ตำบลไชโย จ.อ่างทอง จนกระทั่งท่านนั่งได้ มารดาก็พามาอยู่ ณ บ้านตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร จนกระทั่งยืนเดินได้ (ภายหลังท่านได้สร้างพระพุทธรูปใหญ่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ ณ ที่ตำบลทั้ง 3) ดังจะกล่าวไปข้างหน้า สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี)
จ.ศ.1162 หรือ พ.ศ.2343 บวชเณรที่วัดบางขุนพรมนอก(วัดอินทรวิหาร) เมื่ออายุ 12 ปี ได้ 8 พรรษา โดยมีพระบวรวิริยะเถระ(อยู่) วัดบางลำพูบน (วัดสังเวชวิศยาราม) เป็นพระอุปัชฌาย์
จ.ศ.1166 หรือ พ.ศ.2347 ท่านแก้วพามาเรียนพระปริยัติธรรม ทีวัดระฆังโฆสิตามราม กับสมเด็จพระโฆษาจารย์ (นาค)
จ.ศ.1169 หรือ พ.ศ.2350 อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) โดยมีสมเด็จพระสังฆราช(สุก) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
จ.ศ.1177 หรือ พ.ศ.2358 ธุดงค์ไปที่วัดพิตเพียน จ.อยุธยา พบหลวงตาคง(เจ้าอาวาส) ซึ่งเก่งเวทย์มนต์ทางคาถา ได้ทำพระสมเด็จเนื้อตะกั่วถ้ำชาเป็นครั้งแรก
จ.ศ.1188 หรือ พ.ศ.2369 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสามัญ อายุ 39 ปี ทำพระพิมพ์ปรกโพธิ์ข้างละ 5 ใบ
จ.ศ.1197 หรือ พ.ศ. 2378 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครู ปริยัติธรรม อายุ 48 ปี ทำพระพพิมพ์ปรกโพธิ์ ข้างละ 5 ใบ และ 6 ใบ
จ.ศ.1205 หรือ พ.ศ.2386 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชปัญญาภรณ์ อายุ 56 ปี ทำพระพพิมพ์ปรกโพธิ์ ข้างละ 7 ใบ
จ.ศ.1209 หรือ พ.ศ.2390 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระเทพกวีศรีสุทธินายก อายุ 65 ปี ทำพระพิมพ์ปรกโพธิ์ ข้างละ 8 ใบ
จ.ศ.1216 หรือ พ.ศ.2397 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระธรรมกิติโสภณ อายุ 68 ปี ทำพระพิมพ์ปรกโพธิ์ ข้างละ 8 ใบ และ 9 ใบ
จ.ศ.1226 หรือ พ.ศ.2407 ได้รับสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์อายุ 76 ปี ทำพระพิมพ์ปรกโพธิ์ ข้างละ 9 ใบ
พระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา มีสมเด็จพระสังฆราช(สุก) กรุงเทพฯ พระอาจารย์คง อยุธยา พระอาจารย์แสง ลพบุรี และพระอาจารย์ขอม นครสวรรค์
มรณภาพ วันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก จ.ศ.1234 ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2415 อายุ 85 ปี
บวชพระ 65 พรรษา
บวชเณร 8 พรรษา
พระราชทาเพลิงพระศพ แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีระกา จ.ศ.1235 ตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2416 เวลา 4 โมงเย็น หรือ 16.00 น.
*******พระอัฐิป่นกลายเป็นผงขี้เถ้าหมด******ภาพปัจจุบันของ พระพุทธไสยาสน์ (แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปมักเรียนว่า “หลวงพ่อโต”) วัดสะตือ
การสร้างพระพุทธรูปใหญ่เป็นอนุสรณ์
สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ อนุสรณ์แห่งเจ้าประคุณ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรฺหมฺรํสี) ท่านได้ทรงสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางไสยาสน์ มีพระนามว่า “พระพุทธไสยาสน์” (แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปมักเรียนว่า “หลวงพ่อโต”) ณ วัดสะตือ ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อไว้เป็นอนุสรณ์ว่าท่านเกิด ณ ที่แห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ 2413 ในสมัยรัชกาลที่ 5 นามว่า “พระพุทธไสยาสน์”
การก่อสร้างพระพุทธไสยาสน์ ในปีพุทธศักราช 2413 ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โตจะมรณภาพ 3 ปี สมเด็จฯโตมรณภาพเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ๒๔๑๕(ที่กรุงเทพฯ) ได้มาทำการก่อสร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางพุทธไสยาสน์ ณ หมู่บ้านที่ถือกำเนิดที่วัดท่างาม ปัจจุบันคือ วัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งพระนอนใหญ่มีขนาด ยาว 1 เส้น 6 วา สูง(ตั้งแต่พื้นถึงรัศมี) 8 วา ฐาน ยาว 1 เส้น 10 วา กว้าง 4 วา 2 ศอก หรือยาว 52 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 16 เมตร องค์พระโปร่ง เบื้องพระปฤษฎางค์ ทำเป็นช่องกว้าง 2 ศอก สูง 1 วา สถานที่ก่อสร้างองค์พระประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ณ ที่ริมคูวัด ด้านตะวันออก ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก
พระพุทธไสยาสน์ วัดสะตือในอดีต
การบูรณซ่อมแซมครั้งที่ 1 พระอุปัชฌาย์บัตร จนฺทโชติ อดีตเจ้าอาวาส กล่าวว่า พระนอนวัดสะตือ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปีมะเมีย (เวลานั้นท่านอายุๆได้ ๕ ขวบ) ว่าเจ้าประคุณสมเด็จโต ให้พวกทาสในตำบลไก่จ้น และตำบลอื่นช่วยกันสร้าง ก่อเตาเผาอิฐกันเองที่บริเวณหน้าพระนอน ใช้ระยะเวลาสร้างอยู่ประมาณ 2 ปีจึงเสร็จ เมื่อสร้างพระเสร็จแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ได้ช่วยพวกทาสเหล่านั้นให้พ้นจากความเป็นทาสทุกๆคน
และว่าตั้งแต่สร้างพระมาเป็นเวลา 50 กว่า ปีแล้ว ยังไม่ปรากฏการบูรณปฏิสังขรณ์ องค์พระและสิ่งก่อสร้างปรักหักพัง ทรุดโทรมมาก ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๖๕ ท่านได้เริ่มทำการปฏิสังขรณ์โดยว่าจ้างนายเรือง นางบาง ไวยฉาย อยู่บ้าน ท่าแดง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้รับจ้าง และได้นายเปล่ง แหวนเพชร์ เป็นลูกมือก่ออิฐถือปูน เป็นผู้ช่วย ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวของท่านทั้งสิ้น ท่านไม่ได้บอกบุญเรี่ยไร เป็นแต่ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธา ได้จัดหาซื้อปูนมาช่วยท่าน ถือว่าเป็นการบูรณะครั้งแรก
ทำการบูรณปฏิสังขรณ์อยู่ 4 ปี จึงแล้วเสร็จ เมื่อปีฉลู พ.ศ.2468 ว่าสิ้นปูนขาวถึง 65 เกวียน
เฉพาะพระเศียรใช้ปูนขาวทั้งสิ้น 10 เกวียน แต่ไม่ทราบว่าใช้เงินไปเท่าไหร่ เพราะได้เงินมาได้ทำไปเรื่อยๆ
การบูรณะครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม กับคณะ เดินทางมาปิดทองพระนอนวัดสะตือ เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก พ.ศ. 2499 ตรงกับวันที่ 17 พฤศจิกายน 2499 เวลานั้นพระนอนอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก ท่านนายกรัฐมนตรี มีจิตใจประกอบด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า ได้จัดการปฏิสังขรณ์พระนอนใหม่ทั้งองค์
โดยบัญชาการให้กรมโยธาเทศบาลอำนวยการปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้ ปฏิสังขรณ์อยู่ 3 เดือนจึงแล้วเสร็จ
การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ขนาดขององค์พระได้ลดไปจากขนาดเดิมไปมาก พระเกศของเก่าชำรุดและปัจจุบันนำมาเก็บรักษาไว้ในวิหารหน้าองค์หลวงพ่อโต
การบูรณะครั้งที่ 3 เมื่อ ปี พ.ศ. 2531 โดยพระครูพุทธไสยาภิบาล(หมึก อินฺทสโร) น.ธ.เอก เจ้าอาวาส ร่วมกับชาวบ้านบูรณะ ในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน 25 วัน จึงแล้วเสร็จ จากคำบอกเล่าของพระครูพุทธไสยาภิบาลเมื่อเดิมเคยเห็นเสาศาลาครอบองค์พระนอนที่หลวงพ่อโตสร้างไว้ ยังปรากฏให้เห็นอยู่ 2-3 ต้น
เมื่อคราวบูรณะปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2499 โดยท่านจอมพล ป.พิพูลสงคราม
พวกช่างกรมโยธาเทศบาลเห็นเสาตั้งอยู่ไม่ใช้ประโยชน์อะไร จึงพากันรื้อถอนทุบทิ้งเสีย
ส่วนเตาเผาอิฐของหลวงพ่อโต อยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ท่านได้สั่งให้รื้อทิ้ง เมื่อปีพ.ศ.2503-2504
การบูรณะครั้งที่ 4 เมื่อ ปี พ.ศ. 2540 โดยพระอธิการทองคำ คัมภีร์ปัญโญ (ทองคำ อินทโชติ) น.ธ. เอก อดีตเจ้าอาวาส ไดร่วมกับชาวบ้านทำการบูรณและทาสีน้ำองค์พระ
การบูรณะครั้งที่ 5 มื่อปี พ.ศ.2546 โดยพระมหาจำรัส คุตตสีโล อดีตเจ้าอาวาส ร่วมกับชาวบ้านทำการบูรณะและพ่นองค์หลวงต่อโตเป็นสีทอง และได้เปลี่ยนเม็ดพระสกจากแก้วใส เป็นนิลอัดก้อน ช้งบในการบูรณะ 2,845,000 บาทโดย หจก.ประเสริฐอรชร
การบูรณะครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2553 พระครูปริยัตยาธิคุณเจ้าอาวาสวัดสะตือองค์ปัจจุบัน ร่วมกับนายณรงค์ อ่อนสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้อำนวยการศิลปากรที่ 3 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำลังดำเนินการวางแผนแนวทางการบูรณะเพื่อซ่อมแซมรอยร้าวครั้งใหญ่ โดยลอกสี และจะทำการกระเทาะปูนเก่าที่หมดคุณภาพออกโดยฉาบปูนหมักและขัดปูนตำแบบโบราณ ภาพบรรยากาศพระพุทธไสยาสน์ วัดสะตือ
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.watsatue.com/view_article.php?token=2c3b4a8bdc6a1016db75bc7d3d923372