ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ฌาน บารมี ของเก่า ที่สามารถเข้าได้โดยไม่ได้คาดคิดไว้  (อ่าน 4422 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0

ตอนที่ 1

ว่าด้วยการระลึก ถึงคุณธรรมบารมีเก่า

    ( เมื่อวันหนึ่ง ฉันท้อเรื่องการปฏิบัติ อัปปนาจิตวิถี ที่ไม่สามารถกระทำให้เกิดได้ )




"เมื่อวันหนึ่งฉันท้อถอย ในเรื่องการปฏิบัติ ฌานสมาธิ ( เป็นขั้นอัปปนาจิต ) เพราะยิ่งทำ ก็ยิ่งฟุ้ง เพียรมากจัดเลยทำไม่ได้ ใจมันก็ร้อนรน เหมือนคนทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เหมือนจะคว้าได้ ก็คว้าไม่ได้ จึงเรียนบอกครูว่า ผมขอฝึกแค่อุปจาระสมาธิ เพื่อ วิปัสสนาก็พอนะครับ ผมต้องการวิปัสสนา มากกว่า เรื่องอัปปนาจิต

  ครูฉันนิ่งไป ไม่ตอบอะไร แต่สักพักท่านก็พูดขึ้นว่า
 "แก สามารถเข้า ฌานบารมีเดิมได้ตอนอายุ 13 ปี แล้วทำไมจะทำ ฌานบารมีไม่ได้ "
  ผมทำได้ตอนไหนครับ ? ไม่รู้สึกตัวเลย
 "แกทำได้ แล้ว แต่ เพราะว่าจิตหน่วงปัญญามากไป ในสายธรรมใหม่ จึงขวางกุศลธรรมดีไว้ ไม่ให้เข้าใจ"
  ไม่เข้าใจครับ !
 "เนื่องด้วยในสายธรรมใหม่ นั้น เป็นการใช้ปัญญามากจึงสกัดกั้นขวางการทำ สมาธิ แต่บารมีเก่ายังมีอยู่ ของเก่าที่มีมาแล้วก็ยังมีอยู่ และเคยเข้าได้แล้ว ถ้าสงบใจ ระงับความรู้ ว่า ว่าง หรือ สุญญตา ลงไปบ้างจะมองเห็นอุปนิสัย ของตนเองได้ สิ่งที่มีปัญญาตอนนี้มันก้าวเกินระดับของสมาธิ ดังนั้นการเจริญปัญญาที่มากกว่าสมาธิ จะเป็นหนทางแห่งปัญญาวิมุตติ นั้นกับคำอธิษฐานมันขัดกัน เนื่องด้วยตั้งแต่อดีตชาติมาก ไม่เคยปรารถนา เป็นพระอริยะประเภทปัญญาวิมุตติ แต่ตั้งความปรารถนาเป็น อริยะเอตทัคคะ ด้วย "
  แล้วกระผม ควรทำอย่างไร ครับ ?
  "วันนี้งดการเจริญปัญญา และ สมาธิ ทั้งหมด แต่ให้ไปเจริญการสวดมนต์แทน "
  การสวดมนต์ ไม่ใช่การทำสมาธิ หรือ ครับ ?
  "ไม่ใช่ สำหรับวันนนี้ไม่ใช่ "
  ...... !
  "วันนี้ให้สวดมนต์ บทว่า เลิศ เพื่อให้จิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน และหยุดการใช้ สังขาร ( การคิดมาก) ลง"
  กระผมต้องสวดบทอะไร ครับ ?
 "บทที่ชื่อว่าเลิศ อัคคโต เว ให้สวดไปเรื่อย ๆ 4 ชม. สวดไปเรื่อย ให้สวดออกเสียงไม่ต้องดังเกิน เบาเกิน สวดแบบนิ่ม ๆ เรื่อย ๆ ทำนองสังโยค ไปเข้าใจนะ หลังจาก 4 ชม.แล้ว ก็จะจำเรื่องราว ตอนอายุ 13 ปีได้"
  ครับ กระผมจะปฏิบัติตาม ที่หลวงปู่สั่งครับ
"


  ข้อความบางส่วน จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
  บันทึกการภาวนา และการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2015, 02:17:47 pm โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


ตอนที่ 2

มีแต่เพียงรู้ มีแต่เพียงระลึก

    ( เมื่อการสวดมนต์ แบบ บริกรรมสมาธิ ทำให้ภาพอดีต ปรากฏ เรื่องราวธรรมก็ปรากฏ)




"เมื่อฉัน กลับมาที่ห้องในวันนั้น ฉันได้ตั้งจิตอธิษฐาน ระลึก ถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระกรรมฐาน ครูผู้บอกพระกรรมฐาน และกล่าวขอขมา ลาโทษต่อต่อ สิ่งที่ระลึกทั้ง 5 นั้น เพื่อกรรมใดที่ปิดธรรม ปิดดวงตาของข้าพเจ้า ด้วยบาปกรรมอันเล็กน้อยนี้ ขอให้คุณเปิด ธรรมจักษุเพื่อได้แจ้งประจักษ์ในธรรม ข้าพเจ้าจักสวดบท อัคคะโต เว นี้ อย่างต่อเนื่อง 4 ชม. ขอความสำเร็จในภาระกิจจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

  หลังจากได้สวด บท อัคคะโต เว มาเป็นเวลา 1 ชม. แรกไม่รู้สึกอะไร พอเริ่มเข้า ชม. ที่ 2 ความล้า ความขี้เกียจ เริ่มครอบงำ จนคิดจะเลิกสวด แต่ปากก็ยังสวดต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับจิตที่ ปริวิตกหลายเรื่อง กลายเป็นว่า สวดไปด้วย คิดไปด้วย เริ่มที่จะสวดผิด พอรู้สึกตัวว่า จะสวดผิด ตอนนี้ สติ สัมปชัญญะ ก็กลับมาเริ่มต้นตำหนิตนเองว่า เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ เรื่องที่มากกว่านี้ ก็อย่าไปหวัง จิตสร้างมานะ คือไม่ต้องการยอมแพ้ ขึ้นมา ก็เลยสวดด้วยความพลุ่งพล่าน ดาลเดือดตัวเอง ว่าเรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้ จะไปทำเรื่องใหญ่กว่านี้ได้อย่างไร พอสวดไปสักพักหนึ่ง เริ่มมีความรู้สึกว่าผิด ที่ใส่อารมณ์ในการสวด แต่การสวดก็ยังไม่ได้ยุติ ลง เข้า ชม. ที่ 3 ก็สวดแต่ก็พยายามสวดไปเพื่อให้ได้เวลาตามที่ อธิษฐานไว้ ขณะเดียวกันก็เริ่มสวดแบบปกติ คือ วางใจในบทสวด พออารมณ์ ที่รู้สึกว่าวางใจได้เป็นปกติ คือไม่ดาลเดือด ไม่คิดไปเรื่องอื่น นอกจากสวดอยู่อย่างนั้น เข้า ชม. ที่ 4 รู้สึกว่า มีความดีใจ ปลื้มใจ ที่อดทนสวดมาอย่างนี้ ตอนนั้นน้ำตาซึมออกมาไหลอาบแก้ม ใจมันตื้นตัน ตื่นเต้น รู้สึกว่ามีความห้าวหาญ รู้สึกว่า กายนี้มันเบา จิตนี้ ( ความรู้สึก ) มันซาบซ่าน ครั้นครบ 4 ชม. ก็รู้ว่า ครบ 4 ชม.แล้ว แต่  สติ สัปชัญญะ ขณะนั้น กับบอกตัวเองว่า ไม่ต้องหยุดหรอก สวดต่อไปเรื่อย ๆ หยุดสวดก็ไม่มีอะไรทำ ก็สวดไปเถอะ สวดไปเลย สวดไปเท่าที่สวดได้ เท่าไหร่ก็เท่านั้น จิตบอกอย่างนี้ ก็สวดไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้ไม่ดูนาฬิกาแล้ว เลิก เอื้อมมือไปปิดไฟ พร้อมสวดไปเรื่อย กะว่าสวดให้หลับไปเลย พอหลับตาลงแล้วสวดบริกรรมไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น นานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้  ปรากฏ มีภาพตัวเองสมัยเป็นสามเณรอยู่ที่ วัดดาวเสด็จ ตอนนั้นอายุ 13 ปี ปรากฏขึ้นเป็นเหตุการณ์ ที่สามเณร ( ตัวเอง ) ป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ ทั้งอาเจียร ทั้งตัวร้อน ท้องเสีย จนโยมมัคนายก ต้องรีบตัวส่ง โรงพยาบาลดูเหมือน จะหมดสติข้างโอ่งน้ำใบใหญ่ จากนั้นภาพก็หายวูบไปกลายเป็นภาพตนเอง นอนอยู่บนเตียง ที่โรงพยาบาลสระบุรี มองไปที่เขียนเห็นสายน้ำเกลือ โยงอยู่ ในตอนนั้นรู้สึกเพลีย ก็มองดูขวดน้ำเกลือและจ้องมองที่ขวดน้ำเกลือด้วยความรำคาญ พยาบาลเข้ามาดู แล้วจับปรับปิดเปิดน้ำ ที่ขวด ก็เลยถามว่า อีกนานไหมครับ จะแกะออก พยาบาลบอกว่า หมอบอกว่าให้ไว้ทั้งหมด 5 ขวด ห้ามอาหาร 3 วัน ตอนนั้นใจก็รำคาญ คิดว่า ขอให้น้ำเกลือ มันหมดไปไว ๆ เถอะ รู้สึกรำคาญ แต่เพราะว่าต้องนอนอยู่อย่างนั้นทำอะไรไม่ได้ขยับตัวไม่มีแรง ก็เลยจ้องมองขวดน้ำเกลือ ดูน้ำที่หยดลงมาที่ละหยด ที่ละหยด พร้อมนึกในใจว่า หมดไวๆ นอนมองนอนนึกอยู่อย่างนั้น มองไปด้วยความเพลิน ก็เห็นหยดน้ำเกลือ ที่ตกกระทบแตกตัว กระจาย มีแสงแวววาว เกิดขึ้นก็ดูด้วยความเพลิน รู้สึกเพลิน เพราะเวลาหยดนำ้ตก 1 ครั้งจะมีแสงประกายกระทบ สวยมาก ยิ่งดูแสงที่กระทบก็ยิ่งสวยเจิดจ้า เหมือนก้อนน้ำแข็ง ก้อนแก้ว ที่ถูกแสงกระทบระยิบระยับ นอนดูอย่างนั้นโดยไม่ขยับตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอน พยาบาลมาบอกว่า น้ำเกลือหมดแล้ว น้องเณร ต้องทานอาหาร ถ้าทานแล้วไม่มีอาการท้องเสียอีก ก็ให้กลับวัดได้ หลังจากนั้น ภาพก็วูบหายไป พร้อมกับเสียงระฆังทำวัตรยามเช้าดังขึ้น สรุปแล้วเหตุการณ์ทั้งหมด มีเรื่องราว หลายวัน แต่ เห็นในระหว่างสวดนั้นใช้เวลาทั้งหมด 7 ชม. ตั้งแต่ 19.00 - 04.30 น. ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องการเข้าสมาธิขั้นสูง แบบไม่ได้คาดคิดไว้แล้วฉันลืมอารมณ์นี้ไปตั้งแต่ กลับมาก็ไม่ได้นึกถึง เพราะตอนนั้นเป็นเด็กชอบเล่น ชอบสนุกมากกว่า เลยไม่ได้สนใจเรื่องสมาธิหรือผล แม้การได้เห็นหยดน้ำครั้งนั้นใช้เวลาถึง 3 วัน ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่ตอนนั้นรู้ตัวดีว่า ฉันไม่ได้หลับแต่ฉันเพลินมาก ๆ ในการดูหยดน้ำ

  ขอบคุณหลวงปู่ ทำให้ทราบเรื่องราว ที่ลืมไปแล้ว ซึ่งหมายถึงอารมณ์กรรมฐานที่บกพร่องอยู่นั้นได้รับปรับปรุงอย่างเร็วมากในการสวด บท อัคคะโต เว .....



"


  ข้อความบางส่วน จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
  บันทึกการภาวนา และการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2015, 02:17:19 pm โดย arlogo »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เหตุการณ์ ครั้งนั้น ไม่ใช่มีเพียงเรื่องเดียว ที่ รู้ และ เห็น และ ทราบ
  ถึงจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่นำเสนอไว้ในรูปแบบ ระนาบเดียว แต่ในเหตุการณ์นั้น ไม่ได้ มีแต่ภาพ เรื่องราว ของสามเณรเมื่อตอนอายุ 13 ปีเท่านั้น มันยังมีภาพส่วนอื่นอีก เป็นจำนวนมาก

  ข้อสังเกต ในเวลาเพียง 3 ชม. กว่า ๆ กับมีเรื่องราวเป็น ร้อย ๆ วันเกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งถ้าเป็นหนังมันดูกัน เป็นตอนไม่ต่ำ กว่า 50 ตอนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2-3 วัน อารมณ์ ขณะทีดู เหมือนฝันที่เข้าไปแสดงเอง เพราะมันเป็นภาพเรื่องราวของเราเอง ที่ปรากฏ แต่ว่าในส่วนปัจจุบัน มันเหมือนถูกฝังลึกไว้ในหลุม ที่เราลืมไปหมด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตลอดมีอายุมานี้กับเหมือนไม่มีเหตุการณ์ อะไรให้จด ให้จำ

  ดังนั้นสภาวะ นีี้นำไปสู่เรื่องของกาล ที่เคยได้อธิบายไว้ ใน เรื่อง ย้อนกาลเวลา ด้วยสมาธิ

  เจริญพร




 ภาพนี้ร่างไว้ด้วยลายมือ ในสมุดบันทึก



  ภาพนี้จัดทำจากภาพลายมือในคอมพิวเตอร์


"สิ่งที่ปรากฏในเรื่องกาล ในสมาธิ มี 3 กาล
คือ ปัจจุบัน อันนี้มาก่อน
อดีต อันนี้เป็นไปตามกำลังจิต และ สมาธิ ที่มี
อนาคต อันนี้ก็เช่นกัน

แต่ที่สำคัญตอนที่ อาศัยแสงสว่าง นั้น ยิ่งย้อนไปไกล ก็เริ่มตีบลง ถ้าเป็นอดีต เป็นเพราะกำลังแสงสว่าง ไม่เพียงพอที่จะไปทำให้เห็น อะไรได้ทั่วแต่ปัญหา ก็คือ เมื่อเราย้อนออกไป ทัศนะวิสัยมันเพิ่มขึ้น กว้างขึ้น และก็ใช้เวลามากขึ้น เหมือนวงกลมที่วนรอบเส้นผ่าศูนย์กลาง มันขยายขึ้น ดังนั้นยิ่งถอยไปไกล ก็ยิ่งไม่เห็นอะไร เพราะกำลังจิตแสงสว่างมันไม่พอ

จากภาพนี้ยกตัวอย่างไว้ นะถ้าเราจำได้ ย้อนหลัง 5 ปี เวลาที่จะถอยออกไป ก็จะได้หลังสุดเพียง 25 ปี ดังนั้น คนเราจึงลืมเวลาที่ตอนมีอายุน้อยกัน จำได้บ้างไม่ได้บ้าง นี่เป็นสัญญาของคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นอัจจริยะหน่อย ก็จะมีสัญญาได้ไกลกว่าดังนั้น ความทรงจำที่เรียกว่า สัญญา ก็อยู่ในกรอบ สามเหลียม ยิ่งไกลนานมากขึ้น ก็สูญเสียความจำมากขึ้น

ดังนั้นตอนที่เราต้องย้อนจิตเข้าไประลึกชาตินั้น ต้องอาศัยแสงสว่าง ย้อนไป หรือเดินไปข้างหน้า แสงสว่างไปได้ไกลเท่านั้น ก็เห็นได้เท่านั้น จากประสบการณ์นั้น ตอนทรงสติ ด้วยการเดินจงกรม มีการย้อนภาพที่ปรากฏ ภาพนี้เป็นเสมือนภาพในจิต ถ้าเป็นอดีตก็ไม่มีอยู่จริง ถึงแม้เป็นอนาคต ก็ไม่มีอยู่จริง ถึงแม้ภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน นั้น แท้ที่จริง ก็เป็นเวลาทั้ง สาม นี้ ในที่สุด ทั้งอดีต อนาคต และ ปัจจุบัน ก็ไม่มีอยู่จริง ถ้าสัญญา ไม่บันทึกไว้

ดังนั้น คนที่เป็นโรค ความจำสั้น สามารถมาบริหาร สมาธิ เพื่อฟื้นฟู ส่วนที่หายไปได้ แต่ปัญหาก็คือ ความตั้งใจ ของคนที่มี ความจำสั้นนั้น ไม่ค่อยเอาสมาธิ เพราะสูญเสีย สมาธิ ไปก่อนแล้ว แต่ก็ยังพอเป็นไปได้

การเดินทางด้วยจิต ก็คือ การใช้จิตที่เป็นสมาธิ ที่มีแสงสว่าง นำทางตามการอธิษฐาน เพื่อย้อนไปในอดีต หรือ อนาคต ตามกำลังสมาธิ จะสามารถไปรู้เห็นภาพ ที่มีการบันทึกนั้นไว้ได้ นั่นเอง

เวลาการอธิษฐานไป จากประสบการณ์ ต้องอาศัย การอธิษฐานไปสองสัมผัส คือ สัมผัสที่จักษุ และ สัมผัสที่ เป็น โสตะ เคยอธิษฐานไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อันหนึ่งเหมือนคนตาบอด อันหนึ่งเหมือนคนหูหนวก ที่นี้ การอาศัย สัมผัสสองนั้น มีไวช้าต่างกัน ด้วย แต่การรวมสัมผัสทั้งสองอย่าง นั้น สามารถไปได้อย่างสมบูรณ์ ......"

ข้อความบางส่วน จาก หนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนาและการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

    ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ช่วงนี้มามีหัวข้อ Serpise หลายหัวข้อ นะคะ ที่นี่

  st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ