ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตินทุกชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องอุบายหนีตาย  (อ่าน 2457 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
ตินทุกชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องอุบายหนีตาย

 ในสมัยพุทธกาลองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหารเผยแผ่ธรรมะคำสอนให้แก่เหล่าพุทธสาวกได้ซึมซับในพระธรรมคำสอน ด้วยพระปัญญาบารมีของพระองค์ได้ทำให้เหล่าภิกษุในพระเชตวันต่างรู้สึกเลื่อมใสและเคารพนับถือเป็นยิ่งนัก ด้วยพระปัญญาบารมีของพระองค์นี่เองที่ทำให้เหล่าภิกษุรู้สึกเลื่อมใส
 และนำมาเป็นหัวข้อในการสนทนากันในธรรมสภา “พวกท่านเห็นด้วยกับเราไหมว่าพระศาสดานั้นชั่งเป็นผู้ที่มีพระปัญญาเฉียบแหลมน่าเลื่อมใสจริงๆ” “ใช่ๆๆ” “ไม่เพียงแต่เท่านั้นนะ นอกจากจะมีพระปัญญาที่เฉียบแหลมแล้วพระศาสดายังมีคำสอนที่สั่งสอนผู้คนมากมายมานักต่อนัก จนแม้แต่โจรอย่างองคุลีมานยังต้องกลับใจเลย คิดดูแล้วกัน”
  “เราเองก็ได้ยินเรื่องที่ท่านสอนสั่งพราหมณ์กูฏทันตะพราหมณ์หรือแม้แต่เหล่ายักษ์ พวกอาสวักยักษ์รวมไปถึงท้าวสักวเทวราช ก็ล้วนแต่เคยถูกพระศาสดาอบรมสั่งสอนมาแล้วทั้งสิ้น” “นั่นไงล่ะ พระศาสดาท่านทรงมีปัญญาเฉียบแหลมจริงๆ” พระศาสดาเมื่อเห็นเหล่าภิกษุจับกลุ่มสนทนากันอยู่ในธรรมสภา จึงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า
  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวกเธอกำลังสนทนากันถึงเรื่องอะไรรึ” “อ้อ..พวกกระผมกำลังสนทนากันถึงเรื่ององค์พระศาสดาน่ะ...ขอรับ” “ใช่ขอรับ..พวกเรารู้สึกเลื่อมใสและก็ทึ่งในพระปัญญาของพระองค์ยิ่งนัก” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในการนี้เท่านั้นหรอกนะ..ที่เรามีปัญญาเฉียบแหลมแม้ในอดีตกาลสมัยครั้งเมื่อญาณของเรายังไม่แก่กล้า
    เราก็เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมเหมือนกัน” เมื่อทราบดังนั้นเหล่าภิกษุได้กราบทูลวิงวรให้ทรงประกาศบูรพกิริยาได้ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณนำชาดกเรื่องตินทุกชาดกมาตรัสเล่าดังนี้ “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าแห่งหนึ่งอันอุดมสมบูรณ์ในหิมวันตประเทศ พระโพธิสัตว์ได้กำเนิดอุบัติเป็นพญาวานร มีบริวารเป็นฝูงวานรมากมายถึง 8 หมื่นตัว
 ใกล้หิมวันตประเทศนั้นเอง มีหมู่บ้านชายแดนอยู่หมู่บ้านหนึ่ง หมู่บ้านนี้บางครั้งก็มีคนอาศัยอยู่ บางครั้งก็ไม่มี โดยในลานกลางหมู่บ้านนั้น มีต้นมะพลับอยู่ต้นหนึ่ง มีกิ่งก้านสมบูรณ์มีผลอร่อย เหล่าฝูงลิงมักจะมากินผลมะพลับนั้นในยามที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน “เจี๊ยกๆๆๆ มะพลับเนี่ย มันช่างอร่อยจนหยุดกินไม่ได้เลยจริงๆ แหมๆๆๆ ฮัมๆๆ
 โอกาสทองตอนที่พวกมนุษย์ไม่อยู่แบบนี้ พวกเราต้องหม่ำให้พุงกางไปเลย” “รีบๆ กินกันเถอะเดี๋ยวพวกมนุษย์มา เราจะซวยกันซะก่อน” ครั้นต่อมาเมื่อถึงคราวที่ต้นมะพลับออกผล หมู่บ้านนั้นก็กลับมีมนุษย์มาอาศัยอยู่อีก พวกมนุษย์ได้ทำการสร้างบ้านเรือนและปลูกต้นอ้อขึ้นเป็นจำนวนมาก เหล่าฝูงลิงนั้นหลังจากไม่ได้กินผลมะพลับมาพักใหญ่
 ก็บังเกิดความอยากขึ้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าหมู่บ้านนั้นมีมนุษย์กลับเข้ามาพักอาศัยอยู่หรือยัง “เอ้..แต่จะว่าไปนี่มันก็คงเป็นช่วงที่มะพลับออกผลดกแล้วน่ะ หือ..พูดแล้วก็ชักเปรี้ยวปาก อยากจะกลับเข้าไปในหมู่บ้านเด็ดกินซะจริงๆ” “ซี้ซัวน่ะ กลับเข้าไป เดี๋ยวก็ไปเจอกับพวกมนุษย์ เรามีหวังซวยแน่ๆ เอางี้ดีกว่า ข้าว่าเราส่งสายสืบเข้าไปดูก่อนดีกว่า
 ว่าตอนนี้ในหมู่บ้านนั้นนะมีคนมาอาศัยอยู่หรือเปล่า” “อืม....ดีเหมือนกัน เดี๋ยวข้าเข้าไปดูเอง ในฝูงเรานะ ข้าวิ่งเร็วที่สุด เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่แล้วกัน” “งั้นฝากเจ้าด้วยแล้วกัน” เมื่อลิงตัวนั้นมาถึงหมูบ้านก็พบว่าผลมะพลับออกผลเต็มต้นเต็มต้นจริงดังที่พวกตนคาดการณ์ไว้ แต่ปัญหาก็คือหมู่บ้านร้างที่พวกตนเคยมาเด็ดกินอย่างสุขใจนั้น
  บัดนี้กลับมีมนุษย์มาอาศัยอยู่เต็มไปหมด “โธ่เอ๋ย!...บ้าที่สุด พวกมนุษย์มันดันกลับมาอาศัยกันตอนนี้ซะได้ ฮึย!..เดี๋ยวเผาไล่ที่ซะเลย” เมื่อเจ้าลิงสายสืบกลับมาถึงฝูง ก็รีบรายงานให้พรรคพวกวานรทราบโดยทันที เหล่าฝูงวานรได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปเด็ดกินผลลูกมะพลับได้ ทั้งๆ ทีลูกมะพลับกำลังออกผลเต็มต้น
  “ปัดโธ่เว้ย..เซ็งเป็ดจริงๆ อย่างงี้เราจะทำยังไงกันดีละเนี่ย ถ้าปล่อยให้ลูกมะพลับเน่าคาต้นโดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรือไง ไม่สนละ ตายเป็นตาย ข้าว่าพวกเราแอบไปกินกันดีกว่า” “เฮ้ย..เจ้าอย่าหงุนหันซี เอางี้ดีกว่าเราไปปรึกษาท่านพญาวานรกันดีกว่าไหม๊.ว่าควรจะทำอย่างไรกันดี” พญาวานรนั้นเปี่ยมด้วยสติปัญญา
  เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงค่อยๆ คิดพินิจก่อนจะถามลิงสายสืบว่า “ตอนที่เจ้าไปดูนั้น ที่หมู่บ้านนั้นมีคนอยู่หรือไม่” “มีจ๊ะ ท่านพญาวานร” “อย่างงั้นรึ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าว่าพวกเราอย่าเพิ่งไปกันเลย พวกมนุษย์นั้นนะ เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ขืนไปอย่างนี้จะเป็นอันตรายต่อพวกเราได้” “เอาอย่างนี้ไหม๊ ท่านพญาวานร เราแอบไปกินตอนที่พวกมนุษย์หลับจะดีไหม๊”
  “ข้าก็เห็นเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คืนนี้ยามที่พวกมนุษย์หลับกันหมดแล้ว พวกเราค่อยถือโอกาสเข้าไปในหมู่บ้านกินลูกมะพลับกันก็แล้วกัน” เหล่าฝูงลิงตกลงทำตามที่พญาวานรแนะนำ พวกมันต่างพากันลงจากป่าหิมพานต์ มาดักคอยอยู่บนแท่นหินใหญ่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าใดนัก เพื่อเฝ้ารอคอยเวลาที่พวกมนุษย์จะหลับ
 “พวกเรารออยู่ตรงนี้แหละ รอให้พวกมนุษย์หลับแล้วค่อยย่องลงไปเด็ดลูกมะพลับกินกัน “โอ๊ย...หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะนอนๆ กันซักทีเนี่ย พวกมนุษย์เนี่ยนอนดึกกันจริงๆ ไม่กลัวตาโหลกันหรือไงเนี่ย” หลักจากคอยจนตะวันลับขอบฟ้า เมื่อมั่นใจว่าพวกมนุษย์ต่างพากันเข้านอนหมดแล้ว พญาวานรจึงอนุญาตให้ฝูงลิงกรูกันไปเด็ดลูกมะพลับกินได้
 ฝูงลิงพากันกินผลมะพลับอย่างอะเร็ดอร่อยเพื่อให้สมกับที่รอคอยมาทั้งวันรอคอยมาทั้งวัน “อร่อยจริงๆ อร่อยอย่างนี้ต้องห่อกลับไปกินที่ป่าซะหน่อย ฮัมๆๆๆ” “ไอ้เจ้านี่มันลิงหรือหมูเนี่ย..ตระกละตะกรามเหลือเกิน” แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ขณะที่พวกฝูงลิงกำลังเด็ดกินลูกมะพลับกันอย่างอะเร็ดอร่อยนั้น
 ก็ได้มีมนุษย์คนหนึ่งออกจากบ้านมาหามุมเหมาะเพื่อจะถ่ายอุจจาระ โดยที่พวกฝูงลิงมิทันได้รู้เลยว่ามีมนุษย์คนหนึ่งเดินออกจากบ้านมาแล้ว เพราะมัวแต่กินลูกมะพลับจนไม่สนใจอะไร “อูย..มาปวดอะไรกลางดึกแบบนี้ วันเนี่ยยิ่งกลัวๆ ผีอยู่ โอ้ย..เอาว่ะ เอามันมุมนี้แหละ มุมสบายๆ ถ่ายสะดวก” ทันใดนั้นเองชาวบ้านผู้นั้นก็เห็นฝูงลิงจำนวนมากกำลังเด็ดกินลูกมะพลับเต็มต้นไปหมด
 “เฮ้ย..นี่มันลิงนี่หว่า..โห้..ลิงเป็นหมื่นๆ ตัวเลย นี่มันมาแอบปีนต้นมะพลับกินกันหรือเนี่ย หนอยแน่ะบังอาจมาก..พวกเราๆๆ ตื่นเร็ว มีลิงแอบมาขโมยกินลูกมะพลับเราแล้ว ตื่นเร็วๆ” “ซวยละซิ มีคนมาเห็นแล้ว แย่แน่ๆ เลยพวกเรา” “ทำยังไงดีละทีนี้ พวกเราไม่รอดแน่ๆ เลย” “ฮัมๆๆ อร่อยจริงๆ เลย” “สุดยอดจริงๆ เลยนะเจ้า กำลังจะตายอยู่แล้ว ยังกินได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฮ้อ..”
  จากนั้นไม่นานพวกชาวบ้านที่ได้ยินเสียงก็รีบตื่นขึ้น ต่างหยิบฉวยอาวุธติดมือมาทั้ง ธนู ลูกศร ไม้และก้อนหินต่างๆ แล้วแต่ใครหยิบฉวยอะไรได้ แล้วพากันยืนล้อมรอบอยู่รอบๆ ต้นมะพลับหมายมั่นจะเล่นงานฝูงลิงที่บังอาจมาแอบกินลูกมะพลับยามดึก “หนอย..มากันยกฝูงเลยนะ ลงมาเดี๋ยวนี้นะเจ้าลิง พ่อจะจับเฉือนเรียงตัวเลยเชียว..ฮึ”
 “จะเฉือนได้ยังไง..เจ้าถือก้อนหินมานะ ไม่ได้ถือมีด แล้วมันจะเฉือนได้ยังไง” “ข้าแค่พูดเปรียบเปรยเฉยๆ เข้าใจมั๊ยพูดเปรียบเปรย เซ็งเป็ดจริงๆ เลย” เหล่าฝูงลิงกว่า 8 หมื่นตัวในตอนนี้ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัวตายจนลนลานทำอะไรไม่ถูก “แย่แล้วๆๆ ทำไงดีเนี่ยเรา เราต้องตายกันแน่ๆ เลย” “นั้นนะสิ โถ..ไม่เลยพวกเรา ไม่น่ากินกันเพลินเลย โถๆๆ”
 พญาวานรเมื่อเห็นฝูงลิงอกสั่นขวัญแขวนเช่นนั้น ก็หาคิดวิธีปลอบประโลมฝูงลิง มิให้ตกอยู่ในอาการตกอกตกใจมากเกินไป ด้วยความกลัวว่าฝูงลิงจะหัวใจวายตายกันหมดเสียก่อน “อย่าเพิ่งกลัวไปเลยพวกเรา พวกมนุษย์นั้นนะ มีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ ปล่อยให้เขายืนรอพวกเราอย่างงั้นไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ลงไปซะอย่าง
 พวกเขาก็ขึ้นมาไม่ได้หรอก ตอนนี้เก็บผลไม้กินกันต่อไปเถอะ รอไปสักพักเดี๋ยวพวกมนุษย์ก็ไปทำอย่างอื่นเองนั้นแหละ” เมื่อเห็นว่าสภาพจิตใจของเหล่าฝูงลิงดีขึ้น พญาวานรก็สั่งให้เหล่าฝูงลิง นับจำนวนลิงในฝูง ว่ายังอยู่กันครบถ้วนดีหรือไม่ แต่เมื่อนันไปนับมา ปารกฎว่ามีลิงตัวหนึ่งหายไปจากฝูง “แอะ..นี่พวกเราหายไปตัวหนึงนี่น่า เจ้าเสนกะ ไง มันหายไปไหนเนี่ย?”
 “ห๊า เจ้าเสนกะ หลานของท่านพญาวานรนะหรือหายไปไหนเนี่ย?” “หรือว่า หรือ หรือ เสนกะจะเผลอถูกพวกมนุษย์จับตัวไป ฮัมๆๆๆ อร่อยจริงๆ” “ห่วงไปกินไป ข้าละซึ้งจริงๆ” แต่พญาวานรนั้นทราบดีว่าการที่เสนกะหายไปนั้นมิได้เกิดจากการที่เสนกะถูกจับตัวไป พญาวานรเชื่อว่าอีกไม่นานเสนกะจะต้องหาวิธีมาช่วยพวกตนจนได้
 “พวกเจ้าไม้ต้องกลัวไปหรอก การที่เสนกะไม่อยู่ ข้าเชื่อว่าไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกจับไป พวกเรารอกันสักพัก ข้าว่าเสนกะต้องหาทางช่วยพวกเราได้แน่ๆ” “จริงหรือท่านพญาวานร ข้ากลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้วเนี่ย ฮัมๆๆ พูดไป อร่อยไป” “นี่กลัวแล้วรึเนี่ย กินจนลูกมะพลับจะหมดต้นอยู่แล้วเจ้าน่ะ” เสนกะ หลานของพญาวานรนั้นหาได้เดินทางมากับฝูงลิงเหล่านี้ด้วยไม่
 แท้จริงแล้วเสนกะกำลังหลับอยู่ในขณะที่ฝูงลิงเดินทางมายังหมู่บ้าน เสนกะตื่นขึ้นมาก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่พบลิงตัวอื่นๆ ในป่าเลย “อ้าว..นี่ลิงตัวอื่นไปไหนกันหมดเนี่ย ทำไมป่าหิมพานต์วันนี้มันเงียบอย่างนี้ นี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย..” เสนกะพยายามมองหาเบาะแสเพื่อนลิงว่าหายไปไหน จนในที่สุดก็พบเห็นรอยเท้าฝูงลิงจำนวนมาก
ทิ้งรอยเท้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านร้าง เสนกะทราบโดยทันทีว่า ฝูงลิงต้องมุ่งหน้าไปกินลูกมะพลับกินเป็นแน่ “ดูจากรอยเท้าแล้ว สงสัยพวกเราจะไปกินมะพลับที่ต้นมะพลับในหมู่บ้าน รีบตามไปแจมดีกว่า มัวแต่นอนเพลินป่านนี้หมดต้นหรือยังก็ไม่รู้” เสนกะเดินตามรอยเท้ามาเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้าน เมื่อเห็นชาวบ้านจำนวนมากถืออาวุธยืนเรียงรายล้อมรอบต้นมะพลับ
 ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดเหตุร้ายขึ้นกับฝูงลิงพวกของตนเป็นแน่ “ไม่ได้การละ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ พวกเราต้องเสร็จพวกมนุษย์แน่ๆ อย่างนี้ต้องหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจพวกมนุษย์ เพื่อให้พวกเราบนต้นมะพลับหนีลงมาได้ เอางี้ดีกว่า” เสนกะคว้าชุดเด็กแถวนั้นเอามาสวมใส่แล้วปลอมเป็นเด็กชาวบ้านเดินเข้าไปในเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีหญิงแก่กำลังนั่งกรอด้ายอยู่
 “ยายครับ ข้างนอกมืดเป็นบ้าเลย ผมอยากไปเข้าสวมนะครับ ผมขอยืมคบไฟของยายหน่อยได้ไหมครับ?” “เอาสิไอ้หนู โน่นแนะหยิบไปได้เลย แล้วค่อยมาคืนยายตอนหลังก็ได้” เมื่อได้คบไฟมาแล้ว เสนกะก็รีบวิ่งไปที่บ้านที่อยู่ต้นลม แล้วก็นำคบไฟสุมบนหลังคาเผาบ้านหลังนั้น แรงลมพัดกระพือส่งให้ไฟลุกโชนจนเผาบ้านลุกโชติช่วงอย่างรวดเร็ว
   ชาวบ้านที่ยืนล้อมอยู่รอบๆ ต้นมะพลับเห็นดังนั้น ก็รีบผละจากฝูงลิง รีบวิ่งมาช่วยดับไฟโดยทันที “เฮ้ย..เร็วพวกเรา รีบๆ มาช่วยกันดับไฟเร็วประเดี๋ยวมันจะลามเผาไหม้กันทั้งหมู่บ้านกันซะก่อน ชั่งพวกลิงมันก่อน มา มา มะ มาช่วยกันดับไฟเร็ว” เมื่อพวกมนุษย์วิ่งไปดับไฟกันหมด ฝูงลิงจึงรีบฉวยโอกาสนี้หนีลงมาจากต้นมะพลับแต่ทุกตัวก็ไม่ลืมที่จะหยิบลูกมะพลับติดตัวมาตัวละ 1 ลูก
 เพื่อมาฝากให้กับเสนกะที่มาช่วยเหลือพวกตนด้วย “เร็วๆ เข้าพวกเรารีบหนีกันเร็ว ก่อนที่พวกมนุษย์จะดับไปเสร็จ” “งานนี้ต้องขอบใจเสนกะ จริงๆ อย่างนี้ต้องหยิบลูกมะพลับติดไม้ติดมือไปฝากซะหน่อย” “นี่ๆๆ กินให้หมดกันก่อนก็ได้แล้วค่อยพูด จริงๆ เลยเจ้านี่ กินจนพุงกางแล้วยังไม่หยุดกินอีก เฮ้อ..” พระศาสดาหลังจากนำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาชี้แจงแล้วก็ทรงประชุมชาดกว่า

 
เสนกะหลานพญาวานรในครั้งนั้น ได้เป็น มหานามสากยะในครั้งนี้
ฝูงลิงได้เป็นพุทธบริษัท ส่วนพญาวานร คือเราตถาคตในชาตินี้แล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 07, 2015, 05:14:49 pm โดย Pom jaravee »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
    • ดูรายละเอียด
Re: ตินทุกชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องอุบายหนีตาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2015, 04:42:01 pm »
 thk56 thk56 thk56
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ