ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กัฏฐหาริชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษแห่งการแบ่งชนชั้น  (อ่าน 2414 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์

กัฏฐหาริชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษแห่งการแบ่งชนชั้น

 นับแต่โบราณนานมา ณ ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนานั้นยังมีการถือชนชั้นกีดกันวรรณะกันอย่างรุนแรงแม้แต่ในหมู่พระประยูรญาติขององค์พระพุทธศาสดาเองก็ตาม อุษาสางวาระหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอดส่องพระญาณก็ทรงพบว่า ความทุกข์เวทจากวรรณะได้เกิดกับพระญาติแห่งศากยวงศ์ขึ้นแล้ว
พระองค์ทรงมีทิพยญาณเห็นพระราชธิดาของพระเจ้ามหานามแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ได้ถูกขับจากพระบรมมหาราชวังแคว้นโกศลอีกทั้งยังถูกถอดพระยศอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล แม้พระโอรสวทูฑภ­­ก็ถูกถอดจากการเป็นรัชทายาทไม่ละเว้นทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดใดๆ
 ความเป็นมาทั้งหมดเกิดจากพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลื่อมใสในองค์พุทธศาสดาอย่างสูงสุดหวังเกี่ยวดองเป็นพระยุรยาทจึงได้ขอพระราชธิดาของพระเจ้ามหานามซึ่งร่วมราชวงศ์เดียวกับพระพุทธองค์มาอภิเษก “โอ้โฮ วันนี้มีแขกต่างวังมากันตั้งเยอะแยะแน่ะ เค้ามาทำอะไรกันนะ”
 “อึม ราชวงศ์ของเราก็ราชสกุลเก่าแก่ ธิดาของเราก็น่าจะได้อภิเษกเจ้าเมืองที่คู่ควรกว่าแคว้นโกศล ครั้นจะไม่ยอมก็เกรงว่าจะมีภัยสงครามตามมาเป็นแน่ เห้อ..จะทำยังไงดีน่ะ อ้อ..นึกออกแล้วเช่นนี้ เราส่งวาสภขัตติยาไปอภิเษกกับพระเจ้าปเสนทิโกศลดีกว่า ใครจะไปรู้ว่ามารดาของนางเป็นเพียงนางทาสีวรรณะจัณฑาลต่ำต้อย เรานี่ช่างฉลาดจริงๆ”
ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้อภิเษกกับพระธิดาวาสภอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยไม่มีใครรู้เรื่องวรรณะต่ำต้อยของพระนางเลย “น้องหญิงช่างงดงามเพียบพร้อมสมเป็นราชสกุลศากยวงศ์จริงๆ พี่ดีใจจริงๆ นะที่ได้น้องหญิงมาครองคู่” “น้องมีความสุขเพคะ..ที่ได้อยู่ใต้ร่มฉัตรแคว้นโกศล”
  ล่วงมาอีก 1 ปี พระธิดาวาสภก็มีพระประสูติกาลพระโอรส พระเจ้าแคว้นโกศลดีพระทัยดุจได้แก้วจากสรวงสวรรค์ “เหอะๆๆๆ ลูกพ่อนี่แหละคือโซ่ทองระหว่างแคว้นโกศลกับศากยวงศ์ของพระพุทธองค์” ข่าวนี้สะพัดไปทั่วชมพูทวีป ท้าวพระยาต่างแดนก็พากันมาชื่นชมพระบารมียังสาวัตถีเมืองหลวงแห่งแคว้นโกศลมิได้ขาด
  “ลูก..ให้เสด็จพ่ออุ้มนานๆ เสด็จพ่อจะเหนื่อยนะจ๊ะ” แต่แล้วความลับเรื่องชาติตระกูลทางมารดาของพระมเหสีวาสภขัตติยาก็ถูกเปิดเผยขึ้นในวันหนึ่ง “ฮึ...ใยสวรรค์แกล้งข้าให้ต้องร่วมชีวิตกับจัณฑาลต่ำต้อยเช่นนี้ ไม่น่าเลย ทำไมน้องหญิงต้องปิดปังเราด้วย แล้วนี่เราจะสู่หน้ากับราษฏรของเราได้เช่นไร”
 ถึงจะอาลัยรักสักปานใดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ต้องตัดพระทัยขับไสไปตามราชประเพณี ราชธิดาผู้พลัดบ้านเมืองก็ต้องอุ้มโอรสชันษาเพียงขวบปีมาเลี้ยงดูยังตำหนักเล็กๆ ท้ายพระราชวัง “ฮือๆๆ ทรงประทับอยู่ตำหนักนี้เถอะ หม่อมฉันจะช่วยดูแลพระโอรสเองเพคะ โธ่...น่าสงสารโอรสน้อยทำไมต้องมาลำบากอย่างนี้ด้วย”
“ฮือๆๆ ขอบใจเจ้ามาก ขอบใจที่ไม่ทิ้งเราไปอีกคน ฮือๆๆ” เหตุอันเป็นทุกข์นี้เกิดจากการถือตนแบ่งชั้นโดยแท้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งในพระญาณโดยตลอด พระองค์มีพระทัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตาทรงปรารถนาอนุเคราะห์พระนางกับโอรสผู้ปราศจากความผิดและปรารถนาจะขจัดความหลงตนถือชั้นวรรณะในแผ่นดินให้หมดสิ้นไป
 รุ่งอรุณวันหนึ่งพระองค์นำพระภิกษุสงฆ์ออกจากพระเชตวันมหาวิหารสู่พระบรมมหาราชวังนครสาวัตถี “พระบรมศาสดาจะเสด็จพระมหาราชวังทำไมนี่” “ไปโปรดพระเจ้าปเสนทิโกศลสิท่าน เรารีบตามเสด็จเถอะ” องค์ศาสดาทรงเสด็จไปประทับบนพระพุทธอาสน์ในท้องพระโรง
 เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จสิ้นก็ทรงตรัสถามหาพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล “มหาบพิทบัดนี้มเหสีของท่านบัดนี้อยู่ที่ไหน” “เอ่อๆ ๆ อยู่ที่ตำหนักเล็กท้ายวังโน่นพระเจ้าคะ” เมื่อพระเจ้าโกศลเล่าความจริงถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถามด้วยเมตตา “ดูก่อนมหาบพิทพระนางวาสภนี้เป็นธิดาพระราชาแห่งศากย
 นางมายังเมืองนี้ด้วยใครขอให้มา” “ข้าพระพุทธเจ้าไปสู่ขอนางมาเป็นมเหสีเองพระเจ้าข้า” “ดูก่อนเถอะ มหาบพิท นางเป็นธิดาพระราชามาสู่พระราชา ได้โอรสก็โดยอาศัยพระราชา ไฉนพระโอรสนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ในบัลลังค์ของพระชนกเล่า” “เอ่อ..อือ..เอ่อ....” “มหาบพิทเมื่อครั้งอดีตก็เคยมีพระราชาเคยมีพระโอรสกับหญิงเก็บฟืนมาแล้ว
 เมื่ออยู่กันเพียงไม่นานพระองค์ยังทรงยอมมอบราชสมบัติแด่รัชทายาทนั้นได้ “โธ่น่าสงสารมเหสียิ่งนัก ฮือๆๆ” “เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกร้องไห้เนี่ย มเหสีนะไปอยู่ตำหนักเล็กเป็นเดือนแล้วนะ นี่ยังร้องอยู่อีก” พระเจ้าปเสนทิโกศลแม้จะเคารพเชื่อฟังพระบรมศาสดาแต่ก็ยังไม่สบายพระทัยนักกับการยอมรับ จึงกราบอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องในอดีตชาติครั้งนั้น
 พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสกัฏฐหาริชาดกขึ้นแสดงโปรดไว้ดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตยังเป็นกษัตริย์หนุ่มได้เสด็จประพาสป่าเพื่อการบันเทิงพระหฤทัยเป็นเนืองนิตย์ กระทั่งครั้งหนึ่งที่เสด็จประพาสอุทยานใกล้กำแพงเมือง “พวกเราอย่าประมาท ต้องอารักขาไว้ให้ดีน่ะ” “ฮึย..เจ้าแมลงวันบังอาจมาบินใกล้องค์เหนือหัวของเรา
 นี่จิ้มซะเลย ฮิๆๆๆ” “พวกเจ้าเสียงเบาๆ หน่อยเถอะ หนวกหูจริงๆ” ธรรมชาติรื่นรมย์ครานั้นครอบงำจิตใจกษัตริย์หนุ่มให้ตกอยู่ในอารมณ์รักไว้อย่างละมุนละไม "ลันลาลันล้าๆ" “เอะ!..เสียงผู้ใดไพเราะน่าฟังยิ่งนัก” พระเจ้าพรหมทัตรับสั่งให้ผู้ติดตามเดินทางล่วงหน้าไปก่อนด้วยปรารถนาจะพบเจ้าของเสียง
   ที่สดใสดุจนกน้อยนั้น ลันลาลันล้า ลันลาลันลา “เธอเป็นใครกันนะ ทำไมถึงขับร้องได้จับใจเช่นนี้ โอ้..นางไม้หรืออัปสรสวรรค์แปลงกายมาครองหัวใจเราแน่ๆ” พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรนางงามร่ายรำขับร้องอย่างร่าเริงอยู่ครู่หนึ่งจึงแสดงองค์ออกไป “น้องหญิง” “อุ๊ย..ใครน่ะ เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
 “ขออภัยน้องหญิง ที่ข้าทำให้เจ้าตกใจ ข้าได้ยินเสียงน้องหญิงร้องเพลงช่างไพเราะน่าฟังยิ่งนัก จึงเดินตามเสียงมา” เมื่อนางงามนั้นคลายความตกใจ พระเจ้าพรหมทัตก็ปลอบโยนด้วยมธุรสวาจา ทรงเผยความในใจข้อที่โดนกามเทพยิงศรรักปักทรวงตั้งแต่แรกเห็น “แหม่ ท่านช่างปากหวานจริงๆ"
  จุดเริ่มต้นดังกล่าวนั้นนำความผูกพันรักใคร่ จนล่วงล้ำเกินเลยตามธรรม ชาติฉันชายหญิง เวลาล่วงมาเกือบร้อยราตรีหญิงชาวป่าสัมผัสว่าเริ่มตั้งครรภ์ และมีนิมิตเห็นแสงในครรภ์สว่างพร่างพราย “ท่านพี่ น้องตั้งครรภ์เพคะ และน้องมีนิมิตแปลกๆ เห็นแสงในครรภ์ส่องสว่างออกมา นิมิตอย่างนี้แปลว่าอย่างไรก็ไม่รู้นะเพคะ”
 “โอ้..น้องหญิงนิมิตของเจ้า เป็นนิมิตดีนะจ๊ะ” องค์พรหมทัตโสมนัสยินดีนัก ทรงถอดพระธรรมรงค์โกเมนประทานให้วงหนึ่ง “น้องหญิงเอย ถ้าทารกเป็นหญิงเธอจงนำแหวนนี้ขายไว้เลี้ยงชีวิตเถิด แต่หากทารกเป็นชาย เจ้าจงนำเขาเข้าไปหาพี่ในพระนคร” แล้วพระเจ้าพรหมทัตก็เสด็จจากไป “ดูแลรักษาตัวให้ดีนะน้องหญิงพี่ต้องกลับไปทำภาระกิจซะที
 สาวชาวป่าเฝ้าถนอมครรภ์จนครบกำหนดเวลา ก็คลอดเป็นกุมารน้อยงดงามน่ารัก นางเลี้ยงดูต่อมาจนวัยดรุณนั้นย่างเข้า 5 ขวบปี “แม่จ๋า..พ่อหนูละ พ่ออยู่ไหนทำไมพ่อไม่อยู่กับเราละจ๊ะแม่” “ไว้ถึงเวลาแล้วแม่จะเล่าเรื่องพ่อของลูกให้ฟังนะจ๊ะ” “จ๊ะๆ แม่จ๋า” วันหนึ่งซึ่งความสงสารบุตรมากล้นจนเก็บเป็นความลับไว้ไม่ไหว
“แม่จ๋า แม่ พ่อหนูละจ๊ะ พ่ออยู่ไหน ทำไมแม่ไม่เล่าเรื่องพ่อให้หนูฟัง คนในหมู่บ้านเค้าเรียกหนูว่าลูกไม่มีพ่อ ไม่จริงใช่ไหม๊จ๊ะแม่ หนูมีพ่อใช่ไหม แล้วพ่อหนูอยู่ไหนละจ๊ะแม่ ฮือๆ” “โธ่...ลูกรักของแม่ช่างน่าสงสารจริงๆ” นางให้กุมารนั่งลงประนมกรแสดงความเคารพดุจนั่งอยู่เบื้องพระภักตร์ของบิดาก่อนเผยพระนาม
 “พ่อของลูกก็คือพระเจ้าพรหมทัต เป็นพระราชาของเราชาวพาราณสีทั้งมวล” “เหรอจ๊ะแม่ ลูกอยากกราบพระบาทพ่อสักครั้ง” “ก็ได้จ๊ะ พรุ่งนี้แม่จะพาเจ้าไป” รุ่งอรุณวันต่อมาสองแม่ลูกก็เดินทางมาถึงยังกำแพงมหาราชวัง “แม่จ๋าเดินเร็วๆ ซิจ๊ะแม่ ลูกอยากพบเสด็จพ่อ” “จ๊ะๆๆ โอ้ย..ทำไมช่างกล้าอย่างนี้น่ะ ช้าๆ จ๊ะลูก ทหารเค้าจ้องเราใหญ่แล้ว”
 ลักษณะพระโพธิสัตว์องอาจผึ่งผายทำให้ทหารรักษาประตูวังมีจิตเมตตา ครั้นรู้เรื่องราวประกอบกับเห็นพระธรรมรงค์โกเมนก็เข้าช่วยเหลือให้เข้าเฝ้ายังตำหนักหลวงได้ง่ายดาย “หึๆๆ...น่ารักน่าชังจริงๆ” เมื่อสองแม่ลูกเข้ามาถึงพระราชวังก็ได้พบกับพระเจ้าพรหมทัต แต่เรื่องก็ไม่ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด “โอ้ย..ตายๆๆ..แย่แล้วเรา
โธ่ๆๆ..นึกไม่ถึงเลยว่าจะจู่โจมเร็วแบบนี้” พระเจ้าพรหมทัตตกพระทัยและไม่กล้ารับว่าเคยมีสัมพันธ์กับหญิงชาวบ้าน “นี่ยังไงละเพคะ..พระธรรมรงค์โกเมน ที่เสด็จพี่เคยประทานให้น้องไว้” “มันยืนยันอะไรไม่ได้หรอก แหวนนั้นนะ ข้าทำหายไปตอนเที่ยวป่าตั้งนานแล้ว เจ้าคงเก็บได้นะซิ” “เสด็จพ่อใจร้ายจัง ทำไมพูดกับแม่อย่างนี้”
  “เมื่อพระองค์ไม่ทรงเชื่อ หม่อนฉันก็มีแต่สัจจะและบุญกุศลที่หม่อมฉันทำมา หากกุมารนี้เป็นโอรสพระองค์ เมื่อถูกโยนขึ้นเบื้องสูง ก็ขอให้ร่างลอยอยู่อย่างไม่ตกลงมา แต่หากไม่ใช่ก็จงตกลงมาตายซะ” “ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยแม่ของหนูด้วยนะจ๊ะ แม่โยนลูกขึ้นเถอะจ๊ะ หนูเชื่อแม่” หญิงชาวป่าเหวี่ยงร่างกุมารขึ้นบนอากาศสุดแรง “ฮ้า” กุมารนั้นลอยตัวนิ่งอยู่ได้เป็นอัศจรรย์ ด้วยแรงอธิษฐาน เธอประนมกรถวายบังคมพระราชบิดา
 “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชนโปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทผู้เป็นโอรสไว้เฉกเช่นเลี้ยงดูคนเหล่านั้นเถิด” ด้วยเดชะพระบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงตรัสเรียกกุมารลงมาซบพระอุระ ณ บัดนั้น “ลูกเอ้ย..พ่อจะเลี้ยงเจ้าเอง” หลังจากนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ประกาศให้จัดงานเฉลิมฉลอง ประกาศนามพระราชโอรสว่า กัฏฐวหนะ และพระราชทานให้เป็นมหาอุปราช “ดีใจจัง แม่จ๋า ลูกน่ะมีพ่อแล้ว เสด็จพ่อยอมรับในตัวลูกแล้ว หญิงชาวป่ากับโอรสน้อยใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างมีความสุขจวบจนกระทั่งพระราชบิดาเสด็จสวรรคต กุมารน้อยราชโอรสก็ครองราชย์สมบัติสืบมาทรงพระนามว่า พระเจ้ากัฏฐวาหน ครองทศพิธราธรรมจนครบอายุขัย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสชาดกจบลง พระเจ้าปเสนทิโกศลก็สบายพระทัยคืนตำแหน่งให้พระธิดาแห่งศากยวงศ์และพระราชโอรสดังเดิม

 
 
ในสมัยพุทธกาล สาวชาวป่ากำเนิดเป็น พระนางสิริมหามายา
พระกุมารน้อย เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
    • ดูรายละเอียด
Re: กัฏฐหาริชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษแห่งการแบ่งชนชั้น
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2015, 04:39:47 pm »
 gd1 gd1
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ