ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สังขละบุรี : ความต่างเมื่อเรื่องราวการเดินทางเปลี่ยน  (อ่าน 828 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




สังขละบุรี : ความต่างเมื่อเรื่องราวการเดินทางเปลี่ยน
วันที่เดินทาง : 26 ธ.ค. 2561

เป้บนหลัง รถไฟขบวนยาว ทางเส้นเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยวิวของขุนเขาสวยงาม สะพานไม้มอญ วิถีชีวิตชาวบ้านที่ไร้การปรุงแต่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในภาพของแผนการเดินทางที่วางไว้ ตอนนี้ผมกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน ไม่มีเป้บนหลัง เราไม่ได้อยู่บนขบวนรถไฟ แต่นั่งสบายอยู่บนรถตู้ฉ่ำแอร์ วิธีการเดินทางถูกเราเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงไปจากเดิม จนกลายเป็นข้ออ้างตีจากทริปนี้ ที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลของเพื่อนที่คิดจะร่วมทางบางคน

หลายคนเชื่อว่า เรื่องราวระหว่างทางเปลี่ยนได้ด้วยวิธีการเดินทาง แต่ผมไม่เชื่อย่างนั้น การเดินทางแต่ละครั้งสามารถสร้างเรื่องราวให้เราจดจำไม่ซ้ำกันต่างหาก เพียงแค่ก้าวสั้นๆ แต่ละก้าวที่เราใช้อยู่ทุกวี่วัน ยังยกย่างผ่านสิ่งของกิดขวางไม่เหมือนกัน นี่ยังไม่นับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานับครั้งไม่ถ้วนกับระยะเวลาแค่ลมหายใจเข้าออก




รถกระบะของอิทเคลื่อนตัวออกจากภูเก็ตในตอนที่แสงไฟบนท้องถนนทำหน้าที่แทนดวงอาทิตย์ หลังจากต้องขับหาที่เติมลมตอนเกือบสี่ทุ่ม บลูบอย ต่ายและผมนอนตากลมเย็นๆ อยู่ในกระบะหลัง ลื่นไหลไปกลางแสงไฟฟ้าข้างถนนต้นแล้วต้นเล่า อยากจะดับไฟทุกดวงตอนนั้นเหลือเกิน เพื่อให้ดาวบนฟ้าไกลๆจะได้เด่นระยิบระยับเป็นมุ้งให้เราตลอดทาง

เราถึงบ้านบังบุกเกือบตอนเที่ยงคืน ย้ายสัมภาระ เปลี่ยนรถ เรามองดาวไม่เห็นจากรถตู้ ไอเย็นจากเครื่องจักรยังสู้ลมเย็นระหว่างทางบนรถกระบะไม่ได้อยู่ดี เรื่องราวการเดินทางของเราไม่ได้เปลี่ยนแต่กำลังจะเริ่มตอนใหม่ต่างหาก

บะหมี่ไข่ที่เมืองเพชรคืออาหารเช้าจานอร่อย จำได้ว่าหนึ่งกินไข่เยอะกว่าคนอื่น พวกเราหลายคนเลือกสั่งข้าวแกงคนละจานมาถ่วงท้องก่อนสั่งหมี่ ไม่ใช่ว่าหมี่ไข่ไม่อร่อย แต่เพื่อจะให้กองทัพเดินได้ด้วยท้องโดยไม่สะดุดมากกว่า



เช้าตรู่เริ่มมีชีวิตชีวา แดดสวย ฟ้าใส อากาศเป็นใจกับการเริ่มต้นวันใหม่ สองข้างทางเริ่มแปลกตาจากภาพเดิมๆ แถวบ้านเรา ข้าวสีทองตัดกับท้องฟ้าสีคราม สลับกับทุ่งกอซังที่เพิ่งโดนรถเกี่ยวข้าวเหยียบย่ำเป็นทางยาว ไล่น้ำหนักสีน้ำตาลแห้ง เข้มจางสม่ำเสมอ เป็นแถบสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางทาบทั่วผืนนา

สิ่งที่เราตื่นตาตื่นใจที่สุดคงหนีไม่พ้น เป็ดไล่ทุ่งหลายร้อยสีน้ำตาลเข้ม เดิน วิ่งยั้วเยี้ยจนเราอดใจไม่ไหว รีบจอดรถติดเลนส์ ไล่กระหน่ำชัตเตอร์ใส่



วัดถ้ำเสือและวัดเขาน้อย สองวัดบนภูเขาลูกเดียวกัน คือ จุดท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการที่แรกเจดีย์ทั้งรูปแบบไทยและจีนตั้งตระหง่านสวยงาม ใครชอบออกแรงพอให้เหงื่อซึมก็มีบันไดให้เดินสบายๆ หรือหากชอบความสบายหน่อย ทางวัดก็มีรถกระเช้าไว้บริการ

เราไปต่อยังตัวเมืองกาญจน์ แวะเดินเล่น ถ่ายรูปที่สะพานรถไฟประวัติศาสตร์ ที่นี่ผมต้องเสียรองเท้าคู่เก่งให้แม่น้ำแคว



เที่ยงๆ หน่อย หนึ่งผู้จัดการทริปของเราพาไปแวะชมโรงถ่ายหนังพระนเรศวร ให้พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

อันนี้นิด อันโน้นหน่อยบนเส้นทางท่องเที่ยวของเรา แต่เมื่อรวมๆ แล้วมากพอที่จะลากยาวให้มื้อเที่ยงของเรากระเจิงไปอยู่ที่เกือบบ่ายสาม ความหิวบวกความอร่อยของอาหาร อย่างเคยมาเท่าไหร่หมดในพริบตา จนผู้จัดการทริปไม่รู้ตัวว่าหมูป่าผัดเผ็ดที่ตัวเองสั่งมาแล้วและเกลี้ยงจานอย่างไร้ร่องรอย

เราได้เหยียบย่างสังขละบุรีอย่างเต็มเท้า พร้อมๆ กับพระอาทิตย์ที่เตรียมตัวเก็บของเลิกงานสะพานมอญกับแสงเย็นกลายเป็นแค่ภาพในความทรงจำ ไม่มีใครเก็บใส่เมมโมรี่กล้องได้สักคนนอกจากหนึ่ง ที่มุ่งมั่นไม่ยอมเข้าที่พักก่อนทไวไลท์



สังขละบุรียังเงียบเหมือนครั้งก่อนที่ผมมา น้ำดูเหมือนจะแห้งกว่าด้วย ชาวบ้านบอกว่าฝนเพิ่งตกแค่อาทิตย์แรก น้ำที่เราดูว่าน้อยยังเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่ฝนจะมา เรื่องที่ได้ฟังผมพอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่น่าเป็นห่วง

แม้จะไม่ใช่ฤดูหนาว แต่ลมเบาๆ เบียร์เย็นๆ บทสนทนาตามประสาเพื่อนร่วมทาง ทำให้ค่ำคืนแรกที่นี่ของเราเติมเต็มไปด้วยเรื่องราวและบรรยากาศที่หาไม่ได้ทั่วๆ ไป


นาฬิกาส่งเสียงปลุกผมตั้งแต่ตีห้าครึ่งตามสั่ง รีบลุกขึ้น ล้างหน้า แปรงฟัน ผมช้ากว่าหนึ่งตามเคยเราแยกย้ายกันไปถ่ายรูป ยกเว้นบลูบอยกับกริตที่ขอแนบแน่นกับที่นอนต่อ รอเจอกันพร้อมอาหารเช้าทีเดียว

ฟ้าไม่เป็นใจ บรรยากาศขมุกขมัว พระอาทิตย์ขี้เกียจไม่โผล่ให้เราเห็นตามเวลา ชีวิตของชาวบ้านเริ่มเคลื่อนไหวให้เราเห็น เดินช้าๆ ใช้ชีวิตนิ่งๆ บนสะพานไม้ที่ทอดยาว เชื่อมสองฝั่งไทย มอญ แค่รอยยิ้ม คำทักทายที่ไม่ได้เสแสร้ง แต่มีพลังเหลือเฟือที่จะเชื่อมต่อไมตรีระหว่างคนไม่รู้จักกัน

พวกเราเป็นตากล้อง ชาวบ้านเป็นแบบให้เราถ่าย สำหรับผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบที่ผมอยากได้แต่ผมมีความสุขที่จะถ่ายในแบบที่เขาเป็นมากกว่า



สะพานยังเป็นไม้เหมือนเดิม แม้จะถูกซ่อมมาหลายครั้ง ครั้งนี้ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างกำลังก่อตัว บางอย่างเหมือนมนุษย์ต่างดาวกำลังบุกรุกโลก เสาไฟเขียวปี๊ดบนสะพาน ขยะมีให้เห็นหนาตากว่าครั้งก่อนตามริมคลอง ความใสของน้ำเหมือนจะหายไปบ้าง กองดินแดงๆ ตรงเชิงสะพาน ชาวบ้านบอกว่าเทศบาลกำลังจะเข้ามาสร้างสวนสาธารณะตรงหัวสะพาน


บทสนทนาของผมกับชาวบ้านจบแล้ว แต่หลายเรื่องยังวนเวียนอยู่ในหัว สำหรับผมโลกใบนี้คงมีสองส่วน ส่วนหนึ่งพยายามที่จะอนุรักษ์ความเก่าแก่ วิถีดั้งเดิม ในขณะที่อีกส่วนพยายามจะแสวงหาความเจริญเอามาแทนที่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าล้าหลัง เมืองไทยของเราโชคร้ายไปหน่อยที่จัดตัวเองให้อยู่ในกลุ่มหลัง


ถ้าให้เปรียบเทียบคงไม่ต่างจากคนที่เดินบนสะพานแห่งนี้ คนหนึ่งเดินไปจนสุดสะพานแล้วตัดสินใจเดินย้อนกลับด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ส่วนอีกคนพยายามเร่งตัวเองทุกวิถีทางให้เดินทันอีกคนเพื่อให้ถึงสะพานอีกฟาก ด้วยเหตุผลแค่ว่าเขาดีกว่าตรงที่นำหน้าไปแค่นั้น แต่ไม่ทันได้ถามถึงเหตุผลว่าทำไมเมื่อถึงสะพานอีกด้าน แล้วเขาจึงตัดสินใจเดินกลับที่เดิม


สายๆ หน่อยเราแวะไปนมัสการเจดีย์พุทธคยา ครึ่งวันบ่ายที่หนึ่ง อิท ต่ายและผม ใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้าน ถ่ายรูป พูดคุยกับชาวบ้านไปเรื่อยๆ เดินไกลหน่อย อย่างช้าๆ เหนื่อยก็พัก ชาวบ้านยังต้อนรับคนต่างถิ่นดีเหมือนเดิม เด็กๆ ยังทักทาย หลายคนได้รับการอบรมให้เป็นมัคคุเทศก์น้อย บางครั้งก็เสนอตัวเล่าประวัติสะพานให้ฟัง บางครั้งเสนอขายโปรแกรมนั่งเรือเที่ยว

ทุกครั้งที่โดนเสนอผมยังรู้สึกดี ด้วยมารยาทของเด็ก เลยไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนยัดเยียดเหมือนแหล่งท่องเที่ยว บางแห่งบางที่หลายครั้งผมปฎิเสธ ไม่ใช่ว่าจะใจร้าย แต่ถ้าให้เขาเรียนรู้ถึงความผิดหวังบ้าง ยังดีกว่าที่ให้เขามองว่านักท่องเที่ยว คือ ขุมทรัพย์ ที่เขาจะต้องตักตวงหรือกอบโกยอย่างเดียว



คนเราให้เขาก่อนโดยไม่คิดถึงผล แล้วเราจะได้รับกลับมาเอง ผมเชื่ออย่างนั้น หรือเป็นแค่ข้ออ้างของคนใจดำ ที่ปกป้องตัวเองให้ดูดี

ความเรียบง่ายของที่นี่ ทำให้ชีวิตของเราเนิบนาบขึ้น ง่ายๆ สบายๆ โดยไม่รู้สึกเหนื่อย อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนกรุงมากมายแห่มาที่นี่ในช่วงหน้าหนาว ชีวิตก็แค่นั้น คำตอบของบั้นปลายชีวิตคงไม่หนีไม่พ้นความพอเพียง



ขากลับเราแวะนั่งรถไฟสายมรณะ ความสวยงามระหว่างทางไม่ได้เป็นอย่างชื่อ เสียงรถไฟยังดังเหมือนเดิมแต่ไหนแต่ไร เสียงล้อบดสีกับรางเหล็กคดเคี้ยว พ่อค้าแม่ค้าที่ขึ้นมาขายของบนขบวนรถตอนที่รถจอดสถานี สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างเรื่องราวการเดินทางของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น



เราเลือกใช้ชีวิตคนเมือง โดยเลือกแวะพักที่หัวหินคืนสุดท้าย ใช้เวลาพักผ่อนหาไอเดียในตลาดจั๊กจั่นหลายอย่างไม่ต่างจากตลาดขายของที่มีทั่วไป แต่สิ่งที่เติมมาให้ต่าง คือ ความคิดสร้างสรรค์ที่โลดแล่นอยู่ทั่วไปในพื้นที่สวนเล็กๆ ผมเก็บมาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ได้แรงบันดาลใจมาไม่น้อย

ภาพเป้บนหลัง รถไฟขบวนยาว การเดินทางอย่างค่ำไหนนอนนั่น ถูกลบด้วยเรื่องราวการเดินทางที่กำลังจะจบ บลูบอย ต่ายและผมนอนแผ่ในกระบะหลังรถเหมือนขามา ดาวยังเต็มฟ้า แต่ลมเย็นกว่า ผมเชื่ออย่างที่ใครๆ หลายคนเชื่อ เรื่องราวระหว่างทางเปลี่ยนไปบ้างตามวิธีการเดินทางที่เราเลือก วิธีการเดินทางที่เปลี่ยน ไม่ได้เปลี่ยนใจให้ผมเลิกเที่ยว บางคนแก้ต่างว่าไม่ชอบวิธีการเดินทาง ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผล แค่ข้ออ้างมากกว่า




ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก :-
https://th.readme.me/p/22063?utm_source=line_today&utm_medium=line_today_feed&utm_campaign=line_today 
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ชอบมากมายตอนไปเที่ยวอยากไปอีก อิอิ  like1 like1 thk56
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ