ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อนักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่า เราแต่งหน้ากันทำไม  (อ่าน 312 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28431
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เมื่อนักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่า เราแต่งหน้ากันทำไม

Summary

    - ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการตลาดเท่านั้น ที่ทำให้ ‘การแต่งหน้า’ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับใครหลายคน แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้มีที่มา มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งบอกว่าการแต่งหน้าของมนุษย์เรานั้น มีที่มาจากจิตใต้สำนึก และการคัดเลือกตามธรรมชาติของเราเอง

    - อย่างไรก็ดี การแต่งหน้าก็เหมือนกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ นั่นคือ มันต้องอาศัยความชำนาญในการทำบ่อยๆ และหาความพอดีของแต่ละคนให้เจอ เพราะหากมากไปก็คงไม่ดี แต่หากน้อยไป การแต่งหน้าก็อาจไม่ได้ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะการแต่งหน้าที่เราหาจุดสมดุลเจอ สามารถสร้างผลกระทบทางบวกให้กับเราได้มากกว่าที่คิด




“Skin first.  Makeup second. Smile always.”

ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการตลาดเท่านั้น ที่ทำให้ ‘การแต่งหน้า’ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับใครหลายคน แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้มีที่มา มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งบอกว่าการแต่งหน้าของมนุษย์เรานั้น มีที่มาจากจิตใต้สำนึก และการคัดเลือกตามธรรมชาติของเราเอง

จากการเก็บข้อมูลของ Statista พบว่า ผู้หญิงอายุระหว่าง 30-59 ปี ถึง 41% แต่งหน้าทุกวัน ไม่ว่าจะออกจากบ้านหรือไม่ อย่างน้อยๆ ก็คือต้องทาลิปสติก รองพื้นนิดหน่อย ปัดแก้มและทำผมให้ดูเข้าที่เข้าทาง นี่เป็นพื้นฐานของผู้หญิง ซึ่งมากไปกว่านั้น มีผู้หญิง 1 ใน 6 ที่แต่งหน้าแม้กระทั่งตอนออกกำลังกายเป็นประจำด้วย

มากกว่าความหลงใหลในลิปสติกสีสวย หรือการอยากทำให้ตัวเองน่าดึงดูดอยู่ตลอดเวลา – แท้จริงแล้วมันมีอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่

Pubmed.gov หน่วยงานที่รวบรวมงานวิจัยภายใต้ National Library of Medicine ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่งานของ โรดอล์ฟ โคริชิ (Rodolphe Korichi) ที่ทำวิจัยไว้ว่า ทำไมผู้หญิงถึงต้องแต่งหน้า ซึ่งการศึกษาของเขาค้นพบว่า ผู้หญิงแต่งหน้าด้วยสองเหตุผลหลักด้วยกัน คือ     

หนึ่ง, ต้องการแต่งเพื่อปกปิดหรือพรางอะไรบางอย่างที่พวกเธอรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งจะทำให้ผู้คนสังเกตเห็นความไม่มั่นใจนั้นได้น้อยลง

และ สอง, คือเรื่องตรงกันข้ามเลย ก็คือ พวกเธอใช้การแต่งหน้าเพื่อให้ดูโดดเด่น เป็นที่สังเกตเห็น ผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งหน้าและเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ พบว่าการแต่งหน้าทำให้ผู้คนปฏิบัติกับเธอแตกต่างกันออกไป ซึ่งในบางสถานการณ์นั้นทำให้เธอสบายใจขึ้น

เรื่องนี้นักวิจัยไม่ได้ไปถามเฉพาะผู้หญิงนะครับ เขาไปถามผู้ชายด้วยว่า เหล่าบรรดาผู้ชายที่เห็นผู้หญิง ทั้งแต่งหน้า ไม่แต่งหน้า พวกเขามีความคิดเห็นไปในทางไหนกันบ้าง ซึ่งก็พบว่ามันมีสามทางที่แตกต่างกันไปเลย

สำหรับคนที่ไม่แต่งหน้า ผู้ชายส่วนใหญ่มองว่า ผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้ามีความเป็น ‘เพื่อน’ มากกว่า พวกเขาไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก และโดยมากแล้ว ผู้หญิงไม่แต่งหน้ามักไม่ได้ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่ามีพลังดึงดูดทางเพศ

ส่วนผู้หญิงที่แต่งหน้าเข้มหรือจัดเต็ม คนกลุ่มนี้ผู้ชายมองว่า ง่ายต่อการจีบหรือทำความรู้จัก การแต่งหน้าของพวกเธออาจบอกเป็นนัยว่าต้องการเป็นจุดสนใจ ให้ดูโดดเด่น และเร้าอารมณ์ทางเพศมากกว่า

ส่วนคนที่อยู่ตรงกลาง คือแต่งหน้าประมาณหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย คนกลุ่มนี้เป็นคนที่ถูกผู้ชายชวนออกเดตมากที่สุด แต่ก็เข้าถึงได้ไม่ง่ายเหมือนผู้หญิงที่แต่งหน้าแบบจัดเต็ม

อย่างไรก็ดี นี่เป็นมุมมองของการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อแบบตะวันตกนะครับ ฉะนั้น หลายๆ อย่างอาจไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นสากล หรือความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว 



แล้วหากไปถามผู้หญิงด้วยกันเอง เมื่อเธอมองเห็นผู้หญิงคนอื่นแต่งหน้า พวกเธอรู้สึกกันอย่างไร

พวกเธอมองว่าผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับการแต่งหน้ามากๆ นั้น เป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำสูง มีแนวโน้มที่จะครอบงำความคิดของผู้อื่นได้มากกว่าผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้า มองว่าผู้หญิงกลุ่มนี้มีอำนาจบางอย่างเหนือคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เป็น ‘อำนาจ’ บางอย่าง เช่น ความสามารถในการต่อรอง ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องที่ผู้หญิงไม่แต่งหน้า ไม่อาจเข้าถึงได้

ที่สำคัญก็คือ หากผู้หญิงที่แต่งหน้าเป็นคนสวย หุ่นดี ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง เธอจะถูกมองจากผู้หญิงด้วยกันเอง ด้วยแววตาแห่งความอิจฉา

ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสัญชาตญาณของความเป็นผู้หญิง ที่ลึกๆ พวกเธอมักเห็นผู้หญิงที่แต่งหน้าสวยเป็นภัยคุกคาม เพราะอาจหมายถึงการแย่งความสัมพันธ์จากคนรักของพวกเธอเอง โดยผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่า ผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งหน้ามากเกินไปอาจเข้าถึงยาก สะท้อนไปถึงลักษณะนิสัยที่ปกปิด ซึ่งนั่นทำให้กลุ่มผู้ทำการศึกษาเห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงที่ชอบการแต่งหน้า มักมีเพื่อนที่ชอบการแต่งหน้าเช่นกัน

อย่างไรก็ดี การแต่งหน้าก็เหมือนกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ นะครับ นั่นก็คือ มันต้องอาศัยความชำนาญในการทำบ่อยๆ และหาความพอดีของแต่ละคนให้เจอ เพราะหากมากไปก็คงไม่ดี แต่หากน้อยไป การแต่งหน้าก็อาจไม่ได้ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะการแต่งหน้าที่เราหาจุดสมดุลเจอ สามารถสร้างผลกระทบทางบวกให้กับเราได้มากกว่าที่คิด

มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า สำหรับผิวหนังบางส่วน หากมีสีที่ตัดกันจะสามารถดึงดูดความสนใจทางเพศได้มากกว่าผิวที่ดูเหมือนกันไปหมด ยกตัวอย่าง ริมฝีปากของเราที่มีสีเข้ม (สีแดง) กว่าผิวหนังโดยรอบ ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่ดึงดูดสายตาของคนรอบข้าง รวมถึงรอบดวงตาด้วย นักวิทยาศาสตร์บอกว่าส่วนที่มีความเข้มรอบดวงตาและสีของริมฝีปากนั้น ไปกระตุ้นจิตใต้สำนึกของเราให้รับรู้ถึงด้านอ่อนไหว ด้านความเป็นแม่ของผู้หญิงมากกว่าส่วนอื่นๆ ฉะนั้น การทำให้ริมฝีปากโดดเด่น การทำให้ดวงตาดูกลมโต ย่อมดึงดูดเพศตรงข้ามได้ดีกว่า เพราะจิตใต้สำนึกของผู้ชายบอกว่า ผู้หญิงลักษณะดังกล่าวมีความเป็นผู้หญิงที่พร้อมเจริญพันธุ์

นอกจากนี้ วิทยาศาสตร์กายวิภาคยังบอกพวกเราอีกว่า ความสมส่วนของใบหน้าก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดมนุษย์เราอย่างหนึ่ง ใบหน้าที่สมส่วน ดวงตาที่เท่ากัน โหนกแก้มเด่นชัดเป็นสัน หรือปากที่ยกเสมอทั้งสองด้าน เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ และการแต่งหน้าที่เหมาะสม ช่วยพรางตาความไม่สมดุลนี้ได้ ช่วยให้ใบหน้าสมส่วน ดูน่าสนใจมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ด้วย

@@@@@@@

เราต้องรู้จักโครงหน้าของเรา จุดเด่นจุดด้อยบนใบหน้า เพื่อให้เครื่องสำอางสามารถช่วยเพิ่มความสมมาตรได้

เรามีเคล็ดลับการแต่งหน้าจากศัลยแพทย์ตกแต่งเพื่อความงามชาวอเมริกัน อดัม เจ ไชเนอร์ (Adam J. Scheiner) ที่เคยถูกเขียนไว้ใน The Daily News ว่า ในการแต่งหน้านั้น หากรู้หลักการแค่ไม่กี่จุด ก็สามารถทำให้ใบหน้าของเราโดดเด่นขึ้นได้ เช่น การปัดแก้มให้ผิวดูมีเลือดฝาด จะช่วยให้คุณดูอ่อนกว่าวัยและกระตุ้นให้เพศตรงข้ามสนใจคุณได้มากขึ้น

หรือบริเวณรอบดวงตาของคนเรานั้น มีเฉดสีมากกว่าที่เราคิดมาก การเขียนคิ้ว/เขียนขอบตาจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจได้มากขึ้น และหากใช้คู่สีที่เหมาะสมกับผิวของคุณ โดยไม่แต่งจนหนาจนเกินไป คุณจะดูเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับลิปสติก สีของมันจะเพิ่มความแตกต่างระหว่างผิวหนังปกติกับผิวหนังบริเวณริมฝีปากให้เด่นชัดมากขึ้น ซึ่งการศึกษาพบว่า คนที่มีสีของริมฝีปากที่โดดเด่น จะดึงดูดความน่าสนใจได้มากกว่า

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องรู้จักโครงหน้าของเรา จุดเด่นจุดด้อยบนใบหน้า เพื่อให้เครื่องสำอางสามารถช่วยเพิ่มความสมมาตรได้

จากการวิจัยยังพบอีกว่า รองพื้นมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างความแตกต่าง อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ตอนต้นนะครับ ว่าการแต่งหน้าสำหรับผู้หญิง ในบางโอกาสหมายถึงการปกปิด ซึ่งรองพื้นที่ดีช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลายอย่าง หากรองพื้นดี สิ่งที่จะลงตามมาก็จะดีไปด้วย เราจึงต้องเลือกรองพื้นให้เหมาะกับสีผิวและชนิดของผิว โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องผิวอยู่แล้ว ควรลงทุนกับรองพื้นมากกว่าสิ่งอื่น

การแต่งหน้าสำหรับใครหลายคน อาจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความเข้าใจผิดของหลายๆ คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ก็คือ การแต่งหน้าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง หรือปกปิกได้ทุกอย่าง – ทางที่ดี เราควรให้ความสำคัญกับรากฐานของความสวยความงาม คือสุขภาพที่ดีที่มาจากอาหารการกิน การนอนให้เพียงพอ จากนั้นจึงค่อยเสริมด้วยการแต่งหน้าในกาละและเทศะที่เหมาะสม

เหมือนอย่างที่ บ็อบบี้ บราวน์ เคยพูดไว้ว่า เราทุกคนนั้นมีความสวยงามอยู่ในตัว แม้ปราศจากเครื่องสำอาง แต่หากแต่งหน้าให้ถูกที่ถูกเวลา…

ความสวยงามนั้นจะเปี่ยมไปด้วยพลัง





อ้างอิง : scienceofpeople.com, pubmed.ncbi.nlm.nih.gov, nydailynews.com, nytimes.com
thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/100950
Everyday Life , Lifestyle ,14 ม.ค. 65 , author : เอกศาสตร์ สรรพช่าง
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ