1. ทุกสิ่งทุกอย่างในพระธรรมนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้หมด เพราะธรรมทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้นเป็นไปเพื่อชีวิตประจำวัน แต่จะทำได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองครับ
2. สิ่งใดเกิดขึ้นแก่คุณให้พึงระลึกรู้ว่า นี่เป้นกำไรชีวิตสำหรับเรา ทำให้รู้ว่า คนกลุ่มใดเป็นมิตร ไม่เป็นมิตร คนที่มีท่าทีเช่นนี้ๆ มักคิดและ กระทำอย่างไร เพื่อให้คุณนำไปใช้เลือกคบมิตรในกาลต่อไป
3. กำไรชีวิตต่อที่ 2 คือ ทำให้คุณได้เห็นสัจธรรมในพระพุทธศาสนาดังนี้ว่า
- เรามีความปารถนาใคร่ได้พอใจยินดี อยากให้มีคนมารัก มาเอาใจ สุภาพ พูดดี ทำดีกับเรา แต่เราทั้งหลายย่อมไม่ได้ตามความปารถนานั้นไปทั้งหมดเป็นธรรมดา เราไม่มีทางล่วงพพ้นสิ่งนี้ไปได้
- เราย่อมประสบพบเจอกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจอยู่เป็นประจำในชีวิตนี้เป็นธรรมดาจะล่วงพ้นสิ่งนี้ไปไม่ได้
- ก็เมื่อมีความเป็นจริงทั้ง 2 สิ่งนี้เผชิญกับคุณอยู่ จึงทำให้คุณเกิดความ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้น อัดอั้นใจอยู่เป็นนิจ
4. ทางหลีกลี้และใช้ชีวิตกับสิ่งนี้พระพทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้แล้วอย่างนี้คือ
- ต้องยอมรับและเห็นตามความจริงในสัจธรรมเหล่านี้ เมื่อยอมรับความจริงเช่นนี้ จิตใจจะวางโทสะมากขึ้น เมื่อวางโทสะมากขึ้น
- จากนั้นให้พึงระลึกรู้ตามดังนี้เสียว่า เพราะเราพอใจยินดี ต้องการ อยากให้คนมารัก มาชอบ มาพอใจสรรเสริญเรา มากกว่าการกระทำร้ายๆ พูดร้ายๆ แก่เรา เราจึงเป็นทุกข์ ทั้งๆที่เราไม่อาจจะไปบังคับสิ่งใดให้มันเป็นไปดั่งใจเราได้ แม้แต่เราบังคับตนเองไม่ให้ว่านินทาผู้อื่นยังไม่ได้ เราบังคับตนเองไม่ให้โกรธเกลียดใครยังไม่ได้ บังคับให้ตนเองไม่ให้ขี้หรือเยี่ยวยังไม่ได้ แล้วจะไปบังคับคนอื่นดด้วยสิ่งใด นอกจากยอมรับสภาพแวดล้อมนั่นๆไป
- โดยคุณต้องตัดความติดข้องใจใดๆที่เกิดมาจากการรับรู้อารมณ์ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส การกระทบสัมผัสทางกาย และ สิ่งที่ใจรู้ สิ่งที่นึกคิดปรุงแต่งจิต สิ่งที่สมมติเรื่องราว สิ่งที่เสพย์จิตให้เป็นสุข-ทุกข์ ละความติดข้องใจใดๆนั้นไปเสีย เพราะมันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆกับเรา ติดข้องใจไปก็เป็นทุกข์
- ปล่อยให้มันผ่านพ้นไปเสีย นึกเสียว่าให้เป็น ทาน ซึ่งก็คือการให้โดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน ให้แล้วไม่มานึกเสียดายเสียใจในภายหลัง ให้เพราะอยากให้ผู้รับได้ใช้ประโยชน์สุขจากการให้นั้น
- พึงระลึกมองด้วยกุสโลบายว่า เขาเหล่านั้นเป็นทุกข์อยู่ เป็นผู้ป่วยที่ต้องการสนองความอยากตนเอง จึงพยายามที่จะกระทำไปตามตัณหาความอยากของตนเพื่อสนองความอยากตน ดูน่าสงสารนะเขาคงเป็นทุกข์มากมาย ปล่อยให้เขาทำไปเป็นบุญแก่ตน นี่อย่างนี้ถือว่าคุณได้กระทำในทานบารมี และ อุเบกขาบามีไปในตัวเลยนะครับ
อ่านเพิ่มเติมได้ตาม Link นี้ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7455.0ตั้งใจอ่านทีละนิดแล้วทำความเข้าใจมันช้าๆ คุณจะทำได้แน่นอนและจะเห็นว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่และครอบคลุมเพื่อให้เราพ้นจากทุกข์ทั้งหลายในชีวิตประจำวันนี้ แต่หากคุณไม่อ่าน คุณดูว่าน่าเบือ หรือไม่ทำความเข้าใจในวิธีที่จะทำให้พ้นจากทุกข์นี้ ผมก็จนใจครับเพราะปัญญาอันน้อยนิดของผมมันรู้ได้แค่นี้ครับตามใน Link ที่ให้ไปนั้นครับ ขออภัยหากช่วยคุณไม่ได้ครับ