ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 01:15:05 pm 
เริ่มโดย Peluche_story - กระทู้ล่าสุด โดย Peluche_story

Krinno Co.,Ltd.
รับปั้นงานโฟม cnc งานยิงโฟม cnc งานทำสีเคลือบแข็ง ตามแบบ
#krinno #pandawngroup #mascot #fiberglass #madetoorder
#sculpture #design #outdoordecoration #3ddesign



ผลงานยิงโฟม cnc >> http://bit.ly/Krinno_foam_cnc


สนใจติดต่อหรือสอบถามเพิ่มเติม
Tel : 0837566666 , 0867536666

line : @krinno




เว็บไซต์ : www.krinno.com

เพจ : www.facebook.com/krinnoshop

IG : www.instagram.com/krinno66

e-mail : blackhemp7@gmail.com






 2 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 12:05:00 pm 
เริ่มโดย waterseven11 - กระทู้ล่าสุด โดย waterseven11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 3 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:54:08 am 
เริ่มโดย Peluche_story - กระทู้ล่าสุด โดย Peluche_story

ตุ๊กตาหมาฮัสกี้ love ขนาด 35 นิ้ว มาใหม่น่ารักสุดๆ ตัวอ้วนๆ น่ารักๆ นุ่มนิ่ม มีบริการเก็บเงินปลายทาง
>> https://shp.ee/hcg2au7 <<

ตุ๊กตาชิบะฮัสกี้ love ขนาด 35 นิ้ว มาใหม่น่ารักสุดๆ ตัวอ้วนๆ น่ารักๆ นุ่มนิ่ม
มีบริการเก็บเงินปลายทาง

ตุ๊กตาสุดน่ารักผ้านุ่มมาก ผลิตจากวัสดุอย่างดีเป็นเส้นใยไมโคร เกรด A คุณภาพดีเยี่ยม จะมีความนุ่มนิ่มมากเป็นพิเศษ ไม่กักเก็บฝุ่น เพราะเป็นผ้านุ่มๆ ลื่นๆ ผ้าด้านนอกใช้เป็นผ้า EF Spendex 100% สามารถซักทำความสะอาดได้ ไม่ว่าจะเป็นซักมือ หรือซักเครื่อง หนุนนอน กอดได้ ไม่แฟบ ไม่ยุบ เพราะตุ๊กตาสามารถคืนตัวได้ เหมาะสำหรับลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย สินค้าผลิตในประเทศไทย #มีบริการเก็บเงินปลายทาง


มีจำหน่ายทั้งปลีกและขายส่งมีบริการเก็บเงินปลายทาง
รับสมัครตัวแทนจำหน่ายแบบ(Dropship)
ไม่ต้องสต้อคของสนใจแอดไลน์มาครับ

ตัดรอบการจัดส่งทุกๆเที่ยงคืนจัดส่งสินค้าจันทร์-เสาร์

สั่งผ่านShopee : https://shp.ee/gzd8xph

เพจร้าน : www.facebook.com/tentenstory

เว็บไซต์ : https://tentenzstory.blogspot.com/

โทร : 0924715699 | 0837566666

Line:@1010.story




ทางร้าน1010storyมีเรทสำหรับขายส่งตุ๊กตาสำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการซื้อไปขายต่อในราคาพิเศษ
ราคาเดียวกับโรงงานออเดอร์ตรงจากโรงงานไม่ผ่านสำเพ็งมีสินค้าหลากหลาย
เกรดพรีเมี่ยมคุณภาพดีขนนุ่มยัดใยสังเคราะห์อย่างดีราคาถูกพร้อมจัดส่งด่วนรวดเร็วทันใจ
สนใจทักหรือโทรมาได้เลยนะครับ


หรือหากต้องการสร้างรายได้ เสริมโดยไม่ต้องลงทุนสต๊อกสินค้า
เรามีกลุ่มตัวแทนจำหน่ายแบบdropshipจัดส่งในนามตัวแทนกดเข้ากลุ่มได้เลยครับ
https://line.me/ti/g2/-ww6ThBCG6MpBX-F66Ryng



 4 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:11:53 am 
เริ่มโดย waterseven11 - กระทู้ล่าสุด โดย waterseven11
เลื่อนกระทู้

 5 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:22:35 am 
เริ่มโดย waterseven11 - กระทู้ล่าสุด โดย waterseven11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 6 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:26:49 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan




ศรีเทพ ต้นทางความศักดิ์สิทธิ์ ของความเป็นทวารวดีในสยามประเทศไทย

ในบทความเรื่อง “Wen Dan And Its Neighbours : The Central Mekong Valley in the Seventh and Eighth Centuries” (อาจแปลชื่อบทความเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า เวียงจันทน์กับเพื่อนบ้าน : หุบเขาลุ่มน้ำแม่โขงตอนกลางในคริสต์ศตวรรษที่ 7-8) ที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสารจีนโบราณอย่าง ทัตสึโอะ ฮาชิโนะ (Tatsuo Hoshino) ในหนังสือ Breaking New Ground in Lao History : Essays on the Seventh to Twentieth Centuries (ข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ลาว : ข้อเขียนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7-20) ซึ่งตีพิมพ์มาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2545

มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอะไรที่เรียกว่า “ทวารวดี” และ “เมืองศรีเทพ” ซึ่งเพิ่งจะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย เมื่อเร็วๆ นี้ โดยแบ่งออกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

@@@@@@@

1. ในพงศาวดารราชวงศ์ถังฉบับใหม่ (ซินถังซรู) เรียก “ทวารวดี” ว่า “ตัวเหอหลัว” (Duo He Luo) ใช้เวลาเดินทางจากเมืองกวางโจวเป็นเวลา 5 เดือน ถูกมองว่าเป็นรัฐที่มีระบบการปกครองแบบมีศักดินาหลักรัฐหนึ่ง ทางตะวันตกของทวารวดีติดกับทะเล ทางตะวันออกติดกับเจนละ มีศรีจนาศะ (เจียหลัวเชอฝู, Jia Luo She Fu) อยู่ทางเหนือ และมีเมืองพานพาน (Pan Pan) อยู่ทางใต้

หนังสือซินถังซรูที่ว่านี้ แม้จะมีชื่อว่าเป็นพงศาวดารของราชวงศ์ถัง แต่ก็ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังหรอกนะครับ เพราะเป็นหนังสือที่ถูกจักรพรรดิจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง ได้มีพระราชโองการให้เรียบเรียงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังขึ้นใหม่ โดยให้สอบทานกับหลักฐานต่างๆ ให้มีความถูกต้องที่สุด โดยเริ่มเรียบเรียงใน พ.ศ.1587 และเขียนแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.1603 ต่างหาก ด้วยภูมิหลังอย่างที่ว่านี้ จึงทำให้หนังสือโบราณดังกล่าว มีความน่าเชื่อถือมากพอสมควรเลยทีเดียว

2. ในหนังสือต้าถังซียู่จี (Da Tang Xi Yu Ji) ชี้ให้เห็นว่า ที่ตั้งของทวารวดีระยะแรกควรจะอยู่แถบแม่น้ำบางปะกง ดังนั้น จึงน่าจะเป็นเมืองศรีมโหสถ ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขต จ.ปราจีนบุรี แต่ฮาชิโนะเชื่อว่า ในช่วงปลายราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1400 ลงมา) น่าจะย้ายไปอยู่ที่ลพบุรี ทั้งนี้ ฮาชิโนะไม่ได้อ้างถึงหลักฐานเอกสารของจีนใดๆ เอาไว้ ดังนั้น ข้อความตอนนี้จึงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของเขาเท่านั้น

และสุดท้ายข้อ 3. เอกสารจีนบางชิ้น (ฮาชิโนะไม่บอกว่าคือชิ้นไหนบ้าง) ชี้ให้เห็นว่า ศรีจนาศะ (เจียหลัวเชอฟู) ที่แต่เดิมอยู่ที่เมืองเสมา ในเขต อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา แต่ต่อมาได้ถูกทวารวดีรุกราน จนทำให้ต้องทิ้งอำนาจของตนเองในเขตที่ปัจจุบันคือ นครราชสีมา ไปอยู่ที่ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเขาเชื่อว่าคือเมืองที่เอกสารจีนโบราณเรียกว่า เชียนจีฟู หรือกานจีฟู (Qian/Gan Zhi Fu)

ความตอนนี้ฮาชิโนะเทียบความจากจารึกบ่ออีกา ซึ่งพบที่เมืองเสมาเอง และพงศาวดารซินถังซรูที่บอกว่า เจียหลัวเชอฟู อยู่ทางเหนือของตัวเหอหลัว ซึ่งฮาชิโนะเชื่อว่าคือเมืองศรีมโหสถ ดังนั้น เขาจึงชี้ไปที่เมืองเสมาว่าคือ เมืองศรีจนาศะ นั่นเอง


@@@@@@@

ดังนั้น ถ้าจะว่ากันตามข้อเสนอของฮาชิโนะ ซึ่งอ้างอิงอยู่บนเอกสารจีนโบราณเป็นหลักนั้น “เมืองศรีเทพ” ก็ไม่ใช่ “ทวารวดี” หรอกนะครับ อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์สัญชาติญี่ปุ่นคนนี้ ก็ต่างไปจากข้อสันนิษฐานดั้งเดิมเกี่ยวกับศูนย์กลางของทวารวดีอยู่มากเลยทีเดียว

เพราะคำอธิบายเกี่ยวกีบ “ทวารวดี” ที่ทรงอิทธิพลที่สุดน่าจะมาจาก นักอ่านจารึกของอุษาคเนย์โบราณคนสำคัญชาวฝรั่งเศสอย่าง ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ (Goerge C?d?s) ที่ได้เสนอเอาไว้เมื่อ พ.ศ.2472 ว่า ทวารวดีเกี่ยวข้องอยู่กับกลุ่มโบราณวัตถุในพุทธศาสนา แบบที่เขาเรียกว่า “ก่อนเขมร” ซึ่งพบที่ลพบุรี และนครปฐม

และก็ดูเหมือนว่า เป็นเซเดส์นี่แหละ ที่เริ่มเรียก “ทวารวดี” ว่าเป็น “ราชอาณาจักร” (เซเดส์ใช้คำในภาษาฝรั่งเศสว่า royaume) อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับข้อสรุปของเขาที่ว่า ทวารวดีนั้นเป็นอาณาจักรของพวกมอญ เนื่องจากมีการพบจารึกภาษามอญอยู่มาก

น่าสนใจว่า เซเดส์นั้นเคยรับราชการอยู่ในสยาม และได้ทำงานอย่างใกล้ชิดอยู่กับบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” อย่างสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นับสิบปี และยังได้ช่วยกันลำดับยุคสมัยของประวัติศาสตร์ของไทย ที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยทวารวดี ไล่เรียงมาจนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์

ดังนั้น ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับทวารวดีของท่าน จึงมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในประเทศไทย

@@@@@@@

จุดสุดยอดของกระบวนการสร้าง “อาณาจักรทวารวดี” ขึ้นในประวัติศาสตร์ไทยนั้น เกิดขึ้นจากการขุดพบเหรียญเงินสองเหรียญในโถขนาดเล็ก ที่บริเวณซากเจดีย์โบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของวัดพระประโทณ จ.นครปฐม ราว 1 กิโลเมตร เมื่อ พ.ศ.2486

ในเหรียญเงินทั้งสองดังกล่าว มีจารึกกำกับอยู่ด้วย ซึ่งเซเดส์ได้ถ่ายทอดและแปลความออกมาเมื่อ พ.ศ.2506 ว่า “ศรีทวารวตีศวรปุณยะ” หรือ “บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี” ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นหลักฐานสนับสนุนแนวคิดของเซเดส์ว่า มีอาณาจักรทวารวดีอยู่ที่นครปฐม

อย่างไรก็ตาม เหรียญเงินจากนครปฐมทั้งสองชิ้นที่ว่านี้ ไม่ได้พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบ และถ้าจะว่ากันอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเลยก็คือ เป็นของที่ได้จากการขุดหาของเก่าเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถยอมรับถึงที่มาของวัตถุ ตลอดไปจนถึงว่าเป็นโบราณวัตถุของแท้หรือไม่?

ถึงแม้ว่า ต่อมาจะมีการค้นพบเหรียญที่มีจารึกข้อความเดียวกันนี้ ในเมืองโบราณแห่งอื่นๆ ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ซึ่งพบโบราณวัตถุสถานแบบที่นักโบราณคดีกำหนดเป็นวัฒนธรรมแบบทวารวดีอีกหลายแห่ง จนชวนให้เชื่อใจได้มากขึ้นว่าเหรียญเงินทั้งสองชิ้นจากนครปฐมนั้นน่าจะเป็นของแท้ดั้งเดิม เพราะมีหลักฐานประเภทเดียวกันที่ใช้เปรียบเทียบได้จากแหล่งโบราณคดีแห่งอื่นๆ

แต่นั่นก็แสดงให้เห็นด้วยว่า ทวารวดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นครปฐม เพราะก็เจอเหรียญแบบเดียวกันในเมืองอื่นๆ ด้วย เพราะหมายความว่า หากใช้วิธีการแปลความจากข้อมูลหลักฐานแบบเดียวกันนี้ เมืองอื่นที่พบเหรียญทำนองนี้ก็สามารถเป็นทวารวดีได้ด้วยเช่นกัน


@@@@@@@

ข้อเสนอที่น่าสนใจชิ้นหลังสุดมาจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ ที่เสนอว่า “ทวารวดี” ก็คือ “เมืองศรีเทพ” เหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ อ.พิริยะ เสนออย่างนี้เป็นเพราะว่า ที่เมืองศรีเทพนั้นมีการต้นพบรูปประติมากรรมพระกฤษณะลอยตัวขนาดใหญ่อยู่หลายชิ้น และถ้าจะว่ากันตามปรัมปราคติของพ่อพราหมณ์แล้ว พระกฤษณะนั้นเป็นกฤษณะผู้ครองเมืองทวารกา หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “เมืองทวารวดี” นั่นแหละครับ

ดังนั้น เมืองศรีเทพซึ่งเป็นเมืองที่พบรูปพระกฤษณะอยู่หลายองค์ ในขณะที่แคนดิเดตเมืองศูนย์กลางของทวารวดีเมืองอื่นๆ นั้น กลับไม่ค้นพบรูปพระกฤษณะเลย อ.พิริยะ ท่านก็เลยสรุปว่า “ศรีเทพ” นี่แหละคือศูนย์กลางของ “ทวารวดี”

ถึงแม้ว่า รูปสลักเล่าเรื่องของพระกฤษณะยังมีปรากฏอยู่ตามชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมต่างๆ ด้วยในหลายๆ สถานที่ ซึ่งโดยมากจะเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณ ไม่ว่าจะเป็นบนทับหลัง หน้าบัน หรือส่วนอื่นๆ โดยพบกระจายตัวอยู่ในปราสาทแบบขอม ทั้งที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำมูล ในภาคอีสานตอนล่างของไทย (หรือที่เรียกในเอกสารจีนโบราณว่า เจนละบก) และในเขตที่ราบลุ่มตนเลสาปเขมร ในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน (คือ เจนละน้ำ ในเอกสารจีนโบราณ) โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องตามตำนานฝ่ายภาควัต (นิกายย่อยในไวษณพนิกาย ที่นับถือคัมภีร์ภาควัตปุราณะเป็นสำคัญ) แต่ที่เล่าเรื่องพระกฤษณะ ในมหาภารตะก็มี ที่สำคัญคือ ภาพสลักเล่าเรื่องสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร ที่ระเบียงคต ปราสาทนครวัด

อย่างไรก็ตาม เรื่องของกฤษณะ ทั้งตำนานของฝ่ายภาควัต และในมหาภารตะ คงจะถูกเล่าปนๆ กัน โดยถือว่าเป็นอวตารของพระนารายณ์เหมือนกัน และคือพระกฤษณะองค์เดียวกันมาตั้งแต่ในอินเดียแล้ว

เรื่องของพระกฤษณะยังปรากฏในจารึกขอมอีกหลายหลัก โดยบางหลัก เช่น จารึกตระพังรุน ก็แสดงให้เห็นว่า ชาวเขมรโบราณรู้จักปรัชญาเกี่ยวกับพระกฤษณะ ตามแนวคิดในคัมภีร์ภควัตคีตาอีกด้วย

@@@@@@@

สรุปง่ายๆ ว่า ในเขตประเทศไทยนั้น มีเฉพาะเมืองศรีเทพ ที่มีการสร้างรูปพระกฤษณะลอยตัวขนาดใหญ่ อันเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับพระกฤษณะ ผู้เป็นใหญ่แห่งเมืองทวารวดีเป็นพิเศษนั่นเอง

ข้อความตอนนี้อาจจะดูขัดกับหลักฐานจากเอกสารจีนที่ฮาชิโนะนำเสนอ แต่ก็ต้องอย่าลืมด้วยว่า ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการตีความของฮาชิโนะเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ฮาชิโนะได้เสนอว่า ในภายหลังศูนย์กลางของเมืองทวารวดีได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองละโว้ก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก

เพราะว่าได้มีการค้นพบจารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี ซึ่งกำหนดอายุจากรูปแบบตัวอักษรได้อยู่ในช่วงระหว่าง พ.ศ.1400-1500 มีข้อความกล่าวถึง การปรนนิบัติพัดวีเทวรูปที่มีชื่อเรียกในจารึกว่า “กัมรเตงอัญศรีบรมวาสุเทพ” แห่ง “เมืองละโว้” ในฐานะของ “พระเชษฐบิดร” คือ “ผีบรรพชน” ของเมือง

โดยคำว่า “วาสุเทพ” นั้น เป็นชื่อบิดาของอวตารปางสำคัญของพระนารายณ์คือ “พระกฤษณะ” ผู้เป็นกษัตริย์ครองเมืองทวารวดี (หรือ ทวารกา) แต่หลายครั้งก็หมายถึงตัวพระกฤษณะเอง โดยมักปรากฏใช้เรียกควบคู่กันว่า “วสุเทวะกฤษณะ” อยู่บ่อยครั้ง

ดังนั้น ชื่อ “กัมรเตงอัญศรีบรมวาสุเทพ” แห่ง “เมืองละโว้” ในจารึกศาลเจ้าลพบุรีนี้ จึงมีความเกี่ยวข้องกับ “พระกฤษณะ” ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเมืองลพบุรีนั้น เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายวัฒนธรรม “ทวารวดี” คือเมืองของพระกฤษณะ

น่าเชื่อว่า “ทวารวดี” คือชื่อศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มสายราชวงศ์ที่เชื่อว่า ตนเองสืบสายมาจากพระกฤษณะ ดังมีหลักฐานการนับ คือ อวตารของพระนารายณ์องค์นี้ อย่างเข้มข้นเก่าแก่สุดในไทยอยู่ที่เมืองศรีเทพ ต่อมาสายราชวงศ์นี้คงจะถือครองเมืองละโว้ คือ ลพบุรีเป็นศูนย์กลางใหม่ ดังปรากฏการนับถือ “พระวาสุเทพ” ในฐานะพระเชษฐบิดร อยู่ในจารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี

ในทำนองเดียวกับที่กรุงรัตนโกสินทร์ ถือว่าตนเองสืบทอดความเป็นอยุธยา  ซึ่งก็คือ เมืองของอีกหนึ่งอวตารสำคัญของพระนารายณ์ คือ “พระราม” และเรียกกษัตริย์ผู้ครองเมืองว่า “รามาธิบดี” นั่นเอง •






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2566
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.256
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_715866

 7 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:39:45 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan




ศรีเทพ เก่ากว่าสุโขทัย

เมืองศรีเทพมีอายุเก่าแก่กว่า “สุโขทัยราชธานีแห่งแรก” ตั้งอยู่บริเวณชุมทางคมนาคมของดินแดนภายในระหว่างแม่น้ำป่าสัก, แม่น้ำโขง-ชี-มูล, แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นชุมทางรับ-ส่งแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างลุ่มน้ำมูล บนที่ราบสูง กับลุ่มน้ำเจ้าพระยา บนที่ราบลุ่มต่ำ

[เมืองศรีเทพ ราว พ.ศ.1000 เมืองสุโขทัย ราว พ.ศ.1700]



เขาถมอรัตน์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เมืองศรีเทพ อยู่ห่างจากเมืองศรีเทพไปทางทิศตะวันตก ราว 15 กิโลเมตร เป็นหลักฐานความเชื่อสมัยหลังเรื่องภูเขาทองทั้งที่อยุธยาและกรุงเทพฯ (เขาถมอรัตน์ หมายถึง เขาหินแก้ว, ถมอ แปลว่า หิน, รัตน แปลว่า แก้ว)

ก่อนศรีเทพ

มีชุมชนหมู่บ้านเริ่มแรกทำนาทำไร่ “ข้าวเหนียว” เลี้ยงสัตว์ นับถือศาสนาผี มีแหล่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เขาถมอรัตน์ (เขาหินแก้ว) ราว 3,000 ปีมาแล้ว ไม่อยู่โดดๆ เพราะมีเครือข่ายกว้างขวางถึงชุมชนคราวเดียวกันอย่างน้อย 2 แห่ง ได้แก่

ชุมชนลำตะคอง บริเวณที่ราบสูง (ต่อไปจะเป็นเมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา)
ชุมชนลุ่มน้ำลพบุรี บริเวณที่ราบลุ่ม (ต่อไปจะเป็นเมืองละโว้ อ.เมือง จ.ลพบุรี)

เริ่มแรกชุมชนอยู่บนเส้นทางการค้า “ทองแดง” ข้ามภูมิภาค เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรม “สุวรรณภูมิ” ราว 2,000 ปีมาแล้ว หรือ พ.ศ.500

ทองแดงจากแหล่งใหญ่ลุ่มน้ำโขง ขนผ่านลุ่มน้ำป่าสักไปทางทิศตะวันตก ผ่านที่ราบลุ่มดอนไปลงแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง แล้วข้ามช่องเขาลงไปอ่าวเมาะตะมะถึงอินเดีย

เริ่ม “ทวารวดี” ศรีเทพ

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธจากอินเดีย แผ่ไปกับการค้าขยายตัวมากขึ้นถึงชุมชนเมืองบริเวณชุมทางป่าสัก ผสมศาสนาผี รวมเป็น ผี-พราหมณ์-พุทธ ราว พ.ศ.1000

จัดระเบียบสังคมที่มีคนหลายชาติพันธุ์ ได้แก่ ตระกูลมอญ-เขมร, ชวา-มลายู ฯลฯ แล้วเกณฑ์แรงงานขุดคูน้ำคันดินมี 2 ส่วน

1. รูปกลม (เมืองใน) เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ฝังศพหัวหน้าเผ่าพันธุ์ (chiefdom) และคุ้มหลวงของชนชั้นนำ
2. รูปรียาว (เมืองนอก) เป็นพื้นที่ทั่วไป เป็นที่ตั้งบ้านเรือนของเครือข่ายชนชั้นนำ

เครือข่ายศรีเทพ ได้แก่ ชุมชนลำตะคอง และชุมชนลุ่มน้ำลพบุรี ก็มีคูน้ำคันดิน ลักษณะ 2 ส่วนเหมือนกัน

ประชาชน กินข้าวเหนียว มีกับข้าว “เน่าแล้วอร่อย” คนหลายชาติพันธุ์พูดหลายชาติภาษา ได้แก่ มอญ-เขมร, มลายู-จาม, ไท-ไต (ไม่ไทย) และมีจากอินเดีย, จีน

ทวารวดีศรีเทพ และเครือข่ายละโว้-เสมา พบในเอกสารจีน (ของพระถังซัมจั๋ง) ว่า “โตโลโปตี” หมายถึง “ทวารวดี”

[“ทวารวดี” อยู่นครปฐม เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอันเกิดจากอคติทางวิชาการโบราณคดีไทย เพราะหลักฐานจีนระบุตำแหน่งบริเวณศรีเทพ-ละโว้]

ประติมากรรม ในศรีเทพมีเทวรูปและพระพุทธรูป แต่ที่สำคัญมากคือพระนารายณ์, พระสุริยเทพ, พระกฤษณะ (เจ้าเมืองทวารวดีในคัมภีร์อินเดีย) ในละโว้มีจารึกเอ่ยนาม “วาสุเทพ” เป็นบรรพชนของพระกฤษณะแห่งทวารวดี



ชาวเมือง “ทวารวดี” ศรีเทพ “ไม่ไทย” แต่เป็นบรรพชนคนไทยกลุ่มหนึ่ง [ภาพเมืองศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ (จาก Facebook เพจ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ)]

เริ่มวัฒนธรรมขอม

คนพูดภาษาเขมรมีอำนาจในบ้านเมืองบริเวณลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก หรือบริเวณเมืองศรีเทพ-เมืองละโว้ ถูกคนอื่นเรียกว่า “ขอม” เชื่อมโยงอำนาจกับรัฐทางโตนเลสาบ (ทะเลสาบ) ในกัมพูชา หลัง พ.ศ.1500

สร้างพระปรางค์ไว้กลางเมืองศรีเทพ (คราวเดียวกับปราสาทพิมาย, ปราสาทพนมรุ้ง, ปราสาทเมืองศรีสะเกษ ลุ่มน้ำมูล) และมีปรางค์สองพี่น้อง ฯลฯ

[ต่อไปข้างหน้าพระปรางค์เมืองศรีเทพจะเป็นต้นแบบให้พระปรางค์เมืองละโว้ และเมืองอโยธยา-อยุธยา สืบมาด้วยการประสมประสานปรางค์อื่นๆ จนเป็นพระปรางค์วัดอรุณฯ กรุงเทพฯ]



ปรางค์ประธานเมืองศรีเทพ เป็นต้นแบบพระปรางค์ในอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ เป็นหลักฐานความสืบเนื่องของวัฒนธรรมเมืองศรีเทพถึงประเทศไทยทุกวันนี้ (ภาพจากทอดน่องท่องเที่ยว เมื่อ พ.ศ.2562)

หลังศรีเทพ

ลักษณะการค้าเปลี่ยนแปลงจึงมีศูนย์กลางใหม่ใกล้ทะเลสมุทรอ่าวไทยที่อโยธยา ลุ่มน้ำเจ้าพระยา

เมืองศรีเทพกับเมืองเสมาลดความสำคัญลง จนร่วงโรยแล้วรกร้าง ราวหลัง พ.ศ.1700

ประชาชนจากเมืองศรีเทพโยกย้ายหลักแหล่งไปอยู่ศูนย์กลางใหม่ที่เมืองอโยธยา พูดภาษาไทยเป็นภาษากลางทางการค้า นานไปก็พูดในชีวิตประจำวัน แล้วกลายตนเป็นไทย •

 


ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2566
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_715557

 8 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:25:05 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



"อุ อา กะ สะ"..สวดแล้วรวย คาถาบูชาครุฑอำนาจบารมี

คาถาบูชาพญาครุฑ เป็นอีกหนึ่งคาถาบูชาที่หลายๆคนยึดปฏิบัติ ด้วยความรู้สึกเป็นที่พึ่งทางใจ ด้วยความเชื่อว่า “องค์พญาครุฑ” เป็นจ้าวแห่งเวหาและเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ตามคติความเชื่อของพราหมณ์...ฮินดู ทำให้มีผู้คนไม่น้อยที่เลื่อมใสบูชาพญาครุฑ

เพราะเชื่อว่า...จะช่วยเสริมบารมี บันดาลความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

คาถาบูชาพญาครุฑแบบย่อที่ผู้บูชามักสวดสั้นๆเมื่อต้องเดินทาง หรือใช้สวดคาถาบูชาพญาครุฑห้อยคอสำหรับผู้ที่พกพาองค์ขนาดเล็กๆ ติดตัวไปทุกหนแห่งเพื่อปัดเป่าภยันตราย

ตั้งนะโม 3 จบ...คะรุปิจะ กิติมันตัง มะ อะ อุ โอมพญาครุฑ รุจ รุจ แล้วรวย นะได้เงิน นะได้ทอง นะเจริญ นะมั่นคง นะได้ทรัพย์ นะเมตตา อิติปิโสภะคะวาพระพุทธเจ้าสั่งมา พญาครุฑล้างอาถรรพณ์ อิติคงเนื้อ อิติคงหนัง พญาครุฑยันติ อภิปูยาจามิ




พญาครุฑจะผุด มนุษย์จะเกิด พุทธังแคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด องค์พระพุทธเจ้าย่างบาท นะปัจจะโยโหนตุ

หรือจะเป็นคาถาบูชาพญาครุฑ แบบย่อ...โอมพญาครุฑจะเห็นผลหลีกไปให้พ้น พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ โอม คะรุทา โอม คะรุทา โอม คะรุทา ครุฑโธ ครุฑธา ปฏิเสวามิ (สวด 3 จบ)

ทั้งยังเชื่อศรัทธาเป็นอย่างยิ่งด้วยว่าคาถาบูชาครุฑนั้นยังสามารถลบล้างอาถรรพณ์ปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้ภูตผีหรือสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน เพราะเกรงกลัวในอำนาจบารมีของพญาครุฑ

กระนั้นแล้วคาถาบูชาพญาครุฑ ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล สำหรับผู้ที่จะนำไปใช้ให้เกิดผลสูงสุดคือ ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม คิดดี ทำดี ที่สำคัญ...ต้องมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เนื่องจากองค์พญาครุฑเป็นเทพผู้มีความกตัญญูต่อมารดาอย่างสูงสุดนั่นเอง

@@@@@@

“พอ” เป็นสิ่งหายาก ในหมู่คน “โลภ”
“นิ่ง” เป็นสิ่งหายาก ในหมู่คน “โกรธ”
“หยุด” เป็นสิ่งหายาก ในหมู่คน “หลง”
ธรรมมะเท่านั้น ที่ช่วยท่านได้


พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้กล่าวถึงไว้เกี่ยวกับ “ความพอดีของชีวิต” ...ความคิดว่าพอ คิดให้รู้จักพอ ผู้รู้จักพอจะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ

ส่วนผู้ไม่รู้จักพอจะเป็นผู้ร้อนเร่าแสวงหาไม่หยุดยั้ง...“ความไม่รู้จักพอมีอยู่ได้แม้ในผู้เป็นใหญ่เป็นโตมั่งมีมหาศาล และความรู้จักพอก็มีได้แม้ในผู้ยากจนต่ำต้อย”




คนเกิดวันอาทิตย์...ได้ชื่อว่าเป็นคนกตัญญู สำนึกบุญคุณอยู่เสมอและเป็นคนตรง เชื่อคนง่าย ไว้ใจคน กรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมักทำบุญกับคนไม่ขึ้น ส่งผลกระทบเรื่องเงินๆทองๆ...

คนเกิดวันจันทร์...ขี้น้อยใจ ใจอ่อน เปิดเผย กรรมติดตัวเป็นเรื่องความรัก หาคู่ยาก มีปัญหา อุปสรรคหลากหลาย

คนเกิดวันอังคาร...จริงใจ กล้าคิด ช่างจินตนาการ กรรมติดตัวมักจะชอบโดนเอาเปรียบ ถูกใส่ร้าย

คนเกิดวันพุธ...คุยเก่ง ช่างเจรจา กรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้คนอื่นชอบ รักโดยไม่ได้ตั้งใจ




คนเกิดวันพฤหัสบดี...ดวงดี แต่กรรมที่ติดตัวคือเข้ากับคนยาก

คนเกิดวันศุกร์...มีบุญเก่าหนุนนำ แต่กรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมักหาความสุขแท้จริงไม่ได้...

ส่วนคนที่เกิดวันเสาร์...เป็นคนตรง รักจริงสมองดี กรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคือความสูญเสีย ทำดีเกิดผลเด่นยาก

แก้กรรมกันด้วยเหตุและผล ทำความดีเสมอต้นเสมอปลาย จับต้นชนปลายทางเดินชีวิตให้ดีๆ แบบไม่งมงายจนเกินไป ให้เร่งรี่ “ทำบุญ” สร้าง “ความดี” ชดเชยให้เจ้ากรรมนายเวร

@@@@@@

“อุอากะสะ อากะสะอุ กะสะอุอา สะอุอากะ” สวด 5 จบ

ข้างต้นนี้คือคาถา “หัวใจมหาเศรษฐี” เชื่อศรัทธากันอย่างยิ่งว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก

หากผู้ใดก็ตามได้น้อมนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เคร่งครัดเป็นประจำทุกเช้าก่อนออกจากบ้านจักมีความโชคดี มีเส้นทางชีวิตดำเนินเป็นไปอย่างมีความสุข อีกทั้งบนเส้นทางชีวิตของท่านก็จักเต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง นับรวมไปถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง




ทว่าคาถาที่ว่าศักดิ์สิทธิ์นี้ แฝงนัยซ่อนไว้ซึ่งเนื้อแท้แห่งความหมาย ที่ผู้น้อมนำนั้นต้องปฏิบัติตนให้ตรงตามนั้นด้วย ประหนึ่งว่าผู้นั้นต้องเข้าใจความหมายอันถ่องแท้ ในคาถา...หัวใจมหาเศรษฐีนั้นเอง

การสวดจึงไม่ใช่แค่การสวดเท่านั้น หรือหวังว่าจะสวดแล้วรวย สวดแล้วชีวิตจะดี๊ดี...หากแต่ต้องเข้าใจถึงความหมาย กระทั่งนำไปสู่การปฏิบัติตัว จึงจักสำเร็จสมดังใจปรารถนาตามบทคาถานี้ได้

ตอกย้ำทำความเข้าใจกันแบบสั้นๆง่ายๆอีกครั้ง...ก็คือ

“ขยัน หมั่นรักษาความเพียร คบหาคนดีเป็นมิตร มีชีวิตพอเพียง...หาให้มาก ให้น้อย”...หัวใจคาถามหาเศรษฐีเป็นเช่นนี้ ประหนึ่งว่า “มหาเศรษฐี” ที่ว่านี้ ก็คือ...“ผู้ประเสริฐที่สุดสมใจ มั่งมีเงินทองมหาศาลดั่งมหาเศรษฐีทั้งปวง”




ท่าน ว.วชิรเมธี เคยเขียนสะท้อนความหมายของ “เศรษฐี” เอาไว้ว่า “...เป็นคนใจบุญ คนมีคุณธรรมที่ประเสริฐเลิศล้ำ” ส่วนคนที่มีทรัพย์มากนั้น เขาเรียกว่า “มหาวาณิช”

เมื่อเป็นเช่นนั้น “คนรวย” กับ “เศรษฐี” จึงต่างจาก “มหาวาณิช” ...พ่อค้าสามารถเป็นเศรษฐีได้ถ้ารู้จักเปลี่ยนทุนให้เป็นธรรม “ธุรกิจครอบครัว”...ที่จะยั่งยืนนอกจากจะทำให้ธุรกิจเติบโตมีความเป็นมหาวาณิชแล้ว มีความจำเป็นที่ต้องเป็นเศรษฐีด้วย สิ่งสำคัญของหัวใจเศรษฐีก็คือความรุ่งเรืองใน “ธรรม” หรือ “จริยธรรม”




“อุ อา กะ สะ”...“หัวใจเศรษฐี” อ่านตรงตัวตามที่เขียน คือ อุ อา กะ สะ

“อุ” = ขยันหา

“อา” = รักษาดี

“กะ” = มีกัลยาณมิตร

“สะ” = เลี้ยงชีวิตเหมาะสม

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

                                รัก-ยม


คลิกอ่านคอลัมน์ "เหนือฟ้าใต้บาดาล" เพิมเติม




Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2727520
24 ก.ย. 2566 09:16 น. | ไลฟ์สไตล์ > วัฒนธรรม > รัก-ยม

 9 
 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2023, 07:25:43 pm 
เริ่มโดย waterseven11 - กระทู้ล่าสุด โดย waterseven11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 10 
 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2023, 06:47:40 pm 
เริ่มโดย waterseven11 - กระทู้ล่าสุด โดย waterseven11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

หน้า: [1] 2 3 ... 10