ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อาณาจักรโบราณที่สาบสูญ ก่อนมีประเทศไทย | “สุวรรณโคมคำ” กำเนิดจากแม่ลูกถูกลอยแพ.!  (อ่าน 267 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อาณาจักรโบราณที่สาบสูญ ก่อนมีประเทศไทย.! | “สุวรรณโคมคำ” กำเนิดจากแม่ลูกถูกลอยแพ.!!

นี่ไม่ใช่นิทาน และไม่ใช่นิยาย แต่เป็นเรื่องราวของเมืองโบราณ ที่กรมศิลปากรได้จัดแปลมาจากภาษาไทยเหนือ รวมอยู่ในประชุมพงศาวดารเป็นภาคที่ ๗๒ ในชื่อ “ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ” เป็นเมืองหนึ่งซึ่งได้กลายเป็นอาณาจักรที่สาบสูญไปก่อนที่จะมีประเทศไทย

แม้ในตำนานนี้จะไม่ได้ระบุชัดว่าเมืองสุวรรณโคมคำเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ใน “ตำนานสิงหนวัติ” กล่าวว่า ในสมัยต้นพุทธกาล สิงหนวัติกุมาร โอรสของพระเจ้าเทวกาลแห่งนครราชคฤห์ ได้เสด็จออกจากเมืองมาทางตะวันออกเฉียงใต้จนใกล้แม่น้ำโขง ถึงแคว้นที่มีชื่อว่าสุวรรณโคมคำซึ่งเป็นเมืองร้างไปแล้ว และได้สร้างเมืองโยนกเชียงแสนขึ้นตรงนั้น

แสดงว่าเมื่อสมัยต้นพุทธกาล เมืองสุวรรณโคมคำก็เป็นเมืองร้างไปแล้ว

จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งศึกษาตำนานเมืองสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ เชื่อว่าเมืองสุวรรณโคมคำอยู่บนเกาะใหญ่ในแม่น้ำโขงชิดไปทางฝั่งประเทศลาว ตอนดอนมูลปากแม่น้ำแม่กกไปทางใต้เล็กน้อย ตรงข้ามกับบ้านสวนดอก อำเภอเชียงแสนในปัจจุบัน

@@@@@@@

“ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ” กล่าวถึงองค์อินทร์ปฐมราช เจ้าเมืองโพธิสารหลวง มีมเหสีชื่อว่าพระนางอุรสาเทวี มีโอรสด้วยกัน ๖ พระองค์แล้ว ต่อมาพระนางอุรสาเทวีก็ทรงครรภ์อีกเป็นครั้งที่ ๗ องค์อินทร์ทรงโสมนัสยินดีพระทัยดำรัสให้พระนางรักษาครรภ์ให้ดี เมื่อกำหนดครบทศมาส นางก็เจ็บครรภ์พร้อมกับเกิดแผ่นดินไหว นางสนมทั้งหลายจึงเอาถาดทองคำมารองรับพระกุมารที่คลอดออกมา แต่พระกุมารก็ไม่ได้คลอดเหมือนมนุษย์ธรรมดา ประสูติออกมาทางมุขทวารของพระมารดา และไม่มีโลหิตแปดเปื้อนแต่อย่างใด เหมือนล้างไว้แล้วฉะนั้น

เมื่อพระนางอุรสาเทวีให้นางสนมไปกราบทูลพระสวามีให้ทรงทราบ องค์อินทร์ปฐมราชก็อัศจรรย์พระทัย รับสั่งให้พราหมณ์ปุโรหิตมาเฝ้า แล้วดำรัสถามว่า บุตรของเราเกิดมาในวันนี้ไม่เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย เกิดมาทางมุขทวารของมารดา ฉะนี้จักเป็นร้ายประการใด

พราหมณ์ปุโรหิตได้กราบทูลว่า พระโอรสองค์นี้มีบุญญาภิสมภาร จักได้เป็นท้าวพระยาเอกราช ปราบทิศอุดรตราบถึงต้นแม่น้ำชลที พระชนกก็ได้ตั้งพิธีขนานนามว่า องค์สุวรรณทวารมุข

จากนั้นมาได้ ๗ เดือน กุมารพอคลานได้ ถึงเดือน ๒ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ยามเที่ยงคืน พระกุมารก็สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงดุริยดนตรีฆ้องกลองบูชาพระรัตนตรัย กุมารจึงคำนึงว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันมหาอุโบสถศีล กูจักรักษาศีล ๘ แล้วก็ลุกขึ้นไปยังห้องพระ เมื่อพระนางอุรสาเทวีตื่นบรรทมไม่เห็นพระโอรสก็ตกพระทัย ทูลพระสวามีและออกค้นหากันทั่วทั้งในวังและนอกวังอย่างโกลาหล จนไปพบในห้องพระที่ไม่คาดคิด


@@@@@@@

จากนั้นพาหิรเสนา ผู้ใจบาปคิดริษยา ได้ไปกราบทูลองค์อินทร์ปฐมราชว่า สุวรรณทวารมุขกุมารน้อยผู้นี้ชะรอยจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเสียแล้ว นอกจากประสูติมาทางมุขทวารไม่เหมือนคนธรรมดาแล้ว ยังเสด็จหนีไปประทับในที่กำบังด้วย ถ้าทรงเลี้ยงไว้เมื่อเจริญวัยไปข้างหน้า ทั้งพระชนก พระชนนี พระญาติวงศ์ ตลอดจนบ้านเมืองจักถึงความพินาศเป็นเที่ยงแท้ ควรเอาใส่แพลอยน้ำไปเสีย

ได้ฟังดังนั้นองค์อินทปฐมราชก็สะดุ้งตระหนกพระทัยหวาดกลัวยิ่งนัก ดำรัสว่าประการใดดีก็แล้วแต่ท่านเสนาผู้แต่งบ้านสร้างเมืองจะเห็นควรเถิด พาหิรเสนาผู้ใจบาปจึงกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าจะขอเอาพระกุมารนี้ไปลอยน้ำ แล้วให้บริวารของตนตบแต่งแพมณฑปสำหรับใส่พระกุมาร

ครั้นพระนางอุรสาเทวีทราบเรื่องก็กรรแสงเข้าไปกราบทูลพระสวามี แต่องค์อินท์ปฐมราชก็แน่นิ่งไม่ตอบแต่อย่างใด พระนางจึงเสด็จไปหาโอรสทั้ง ๖ ผู้เป็นเชษฐาของเจ้าสุวรรณทวารมุขกุมาร ว่าดูราเจ้าลูกรักของแม่ทั้ง ๖ เอ๋ย แม่นี้จักไปกับน้องของพวกเจ้า เพราะเขายังไม่รู้เดียงสาเลย พวกเจ้าจงอยู่กับพระบิดาเถิด

@@@@@@@

โอรสทั้ง ๖ ก็ได้พากันไปที่เรือนของพาหิรเสนาตรัสว่า จะให้ช้างร้อยหนึ่ง ม้าร้อยหนึ่ง เพื่อขอไถ่พระอนุชา พาหิรเสนาก็ว่า อย่าว่าแต่ช้างม้าแค่นี้เลย แม้แต่เมืองทั้งหมดนี้ก็เอาไว้ไม่ได้

ครั้นถึงวันเพ็ญเดือนอ้าย เมื่อตบแต่งแพเสร็จแล้ว พาหิรเสนาก็พาเหล่าบริวารเข้าไปในวังเพื่อจะเอาเจ้าสุวรรณมุขกุมารไปลอยแพ องค์เทวินทร ราชกุมารองค์ที่ ๖ ก็ชักพระขรรค์จะเข้าปกป้องพระอนุชา พระราชบุตรทั้ง ๕ จึงเข้าห้ามไว้ ว่าถ้าเราฆ่าเสนาผู้นี้เสีย พระชนกก็จะประหารพวกเราแน่ ขอให้เป็นไปตามบุญตามกรรมเถิด จึงได้แต่พากันกรรแสงพร้อมกับคนทั้งวัง

ครั้นพระนางอุรสาเทีวีเก็บเครื่องทรงของพระโอรสน้อยครบแล้ว ก็อุ้มเจ้าสุวรรณทวารมุขตรัสอำลาโอรสทั้ง ๖ ซึ่งกรรแสงตามไปจนถึงท่าน้ำสมุทรหลวง ลงแพลอยน้ำไป พระนางอุรสาเทวีตั้งสัตยาธิษฐานต่อเทพดา ครุฑ และนาค ขอเอาเป็นที่พึ่ง



ด้วยเดชแห่งคำสัตยาธิษฐานและเดชกุศลของเจ้าสุวรรณทวารมุขกุมาร ก็ดังสนั่นไปถึงเทพดาที่รักษาแม่น้ำและนาคน้ำ ต่างพากันมารักษาแพมิให้เป็นอันตราย และยังมีพญานาคตัวหนึ่งนำเอาแก้วทับทิม มีค่าเป็นอเนกแต่เมืองนาคมาถวายเจ้าสุวรรณทวารมุขกุมาร แพก็ลอยไปโดยสวัสดี

ฝ่ายชาวเมืองโพธสารหลวง ต่างร่ำไห้ด้วยความสงสารพระมารดาและกุมาร พูดกันว่า พระยาเจ้านี้เป็นใบ้ไร้ปัญญา มาเชื่อฟังพาหิรเสนาผู้ใจบาป ต่อไปบ้านเมืองจะหม่นหมองเป็นแน่แท้ ต่างร้องไห้ซบเซากันทั้งเมือง ช้างม้าวัวควายที่กินหญ้าก็มิได้โบกหูแกว่งหาง ฟ้าฝนก็ไม่ตก บังเกิดความแห้งแล้ง พืชพรรณที่ปลูกไว้ก็เหี่ยวแห้งตายไป แม้แต่หางช่อหางธงก็มิได้สะบัด ส่วนองค์อินทปฐมก็สำนึกพระองค์ว่าทำผิดมหันต์ไปแล้ว ก็ได้แต่ซบเซามิได้ตรัสกับผู้ใดแม้แต่คนเดียว

ฝ่ายอยะมหาเสนาบดี ผู้เป็นบิดาของพระนางอุรสาเทวี ที่ลาออกจากราชการในวัยชรา พาคนออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่สงบเหนือน้ำขึ้นไปจากเมืองโพธิสารหลวงได้ ๖ ปีแล้ว เกิดความคิดถึงลูกสาวและเมืองเก่า จึงล่องเรือลงมาเยี่ยม เมื่อได้ทราบข่าวว่าลูกสาวและหลานถูกลอยแพไปแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าองค์อินทปฐม ทูลว่าทรงกระทำกรรมอันไม่ควรแท้ แต่องค์อินทปฐมไม่ได้โต้ตอบประการใด จึงรีบกลับไปบ้านเมืองตน

ครั้นกลับไปถึงก็ให้บริวารตัดไม้สักในป่ามาทำเสาโคมลงรักปิดทองไว้ริมน้ำ พอวันเพ็ญเดือน ๖ ก็ตั้งพิธีอธิษฐาน ด้วยเดชะที่ได้การทำการบูชาพระรัตนตรัย ขอจุ่งให้ได้เห็นพระพักตร์เจ้าสุวรรณทวารมุขกุมารหลานรัก ผู้ซึ่งหาโทษมิได้ ขอจุ่งให้แพมณฑปของเจ้ากุมารลอยทวนน้ำขึ้นมาสู่เสาโคมทองของข้าพเจ้าด้วยเถิด

@@@@@@@

ด้วยเดชสัตยาธิษฐานนี้ ก็สนั่นไปถึงเทพดา ครุฑ และนาค ต่างมาพร้อมกันเป็นเอกฉันทสามัคคี กระทำให้เกิดเป็นลมใหญ่ พัดแพมณฑปของเจ้าสุวรรณทวารมุขกุมารกับมารดาให้ลอยทวนน้ำ ผ่านท่าเมืองโพธิสารหลวงขึ้นไปจนถึงเสาโคมทองของอยะเสนาธิบดี ในคืนเดือน ๘ ขึ้น ๑๔ ค่ำ คนทั้งหลายก็ได้ยินเสียงดนตรีฆ้องกลองที่เทพดาและนาคบูชาเจ้าสุวรรณมุขกุมาตลอดทั้งคืน เมื่ออยะเสนาธิบดีวิ่งไปที่แพ ก็ได้เห็นพระนางอุรสาเทวีบรรทมอยู่กับพระกุมาร มีรัตนกัมพลที่พญานาคเอามาถวายวางอยู่

อยะมหาเสนาธิบดีได้ให้บ่าวไพร่สร้างหออุทุมพรเป็นที่ประทับของพระกุมารและพระมารดา พร้อมกับให้นายสุวรรณการมาตีอ่างทองคำลึกเพียงบั้นพระองค์ของเจ้าสุวรรณทวารมุข เป็นที่สรงสนานด้วยมุรธาภิเษก น้อมถวายบ้านเมืองทั้งสิ้นแด่นัดดา มนุษย์และเทพดาก็ชื่นชมยินดี โปรยห่าฝนทิพย์ลงมาสรง บ้านเมืองก็ชุ่มเย็นเป็นสุขสำราญ ข้าวกล้าในไร่นาก็บริบูรณ์ ได้ชื่อว่า สุวรรณโคมประเทศ หรือ เมืองสุวรรณโคม แต่นั้นมา

เมื่อเรื่องนี้เลื่องลือไปถึงเมืองโพธิสารที่ฝนไม่ตกเลยสักครั้ง เกิดอดข้าวอดน้ำกัน ชาวเมืองโพธิสารจึงพากันอพยพไปอยู่เมืองสุวรรณโคมคำกันไม่ขาดสาย ประมาณวันละพันสองพันครัวมิได้ขาด ตลอดเวลา ๓ ปีมีคนมากกว่าแสนครัวเรือน มีกษัตริย์ปกครองเมืองสุวรรณโคมคำต่อจากเจ้าสุวรรณทวารมุขมาอีกหลายพระองค์


@@@@@@@

แต่แล้วเมืองสุวรรณโคมคำก็หนีไม่พ้นความเป็นอนิจจังของโลก พงศาวดารกล่าวว่าภายหลังมีเชื้อสายของพาหิรเสนาเข้ามาปกครอง กลายเป็นเมืองอันธพาลไปอีก ไปมีเรื่องกับ ๓ ธิดาของพญานาค ทำให้บิดาของนางโกรธแค้น จึงเรียกเอาบริวารของตนประมาณได้แสนโกฏิ ขึ้นไปขุดฝั่งแม่น้ำให้ลัดไปทางตะวันออกของเมืองสุวรรณโคมคำ ทำให้เมืองพังทลายไปทันที

แสดงว่าแม่น้ำโขงได้เซาะตลิ่งริมฝั่งด้านประเทศลาวจนเมืองสุวรรณโคมคำทลายลงไปในสายน้ำ

ตำนานเก่าๆก็มักจะมีเรื่องอภินิหารต่างๆเข้ามาผสมอยู่มาก และที่ขาดไม่ได้ของทุกประเทศในย่านนี้รวมทั้งไทยเราด้วย ก็คือ พญานาค นักประวัติศาสตร์ยังศึกษาในเรื่องที่คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ เพราะได้ห่อหุ้มความเป็นจริงที่พอจะค้นหาเรื่องราวของประวัติศาสตร์ได้

ขณะนี้ สปปป.ลาว ก็กำลังปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่บ้านดอนหาด เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของเมืองสุวรรณโคมคำ เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางภาคเหนือของลาวต่อไป





Thank to : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000043810
เผยแพร่ : 9 พ.ค. 2565 - 10:40 , ปรับปรุง : 9 พ.ค. 2565 -10:40 , โดย : โรม บุนนาค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2022, 06:47:46 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ