ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ  (อ่าน 3566 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Ice

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1
การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ

 คือ เห็นที่บ้านชอบไปดูดวงกับพระ กัน คะ และ บางท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ ของพระ เลยไม่รู้ว่า อย่างไร กันเกี่ยวกับเรื่อง เหล่านี้ คะ

  :25: thk56 ที่มาตอบ นะคะ

 
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2014, 09:20:55 pm »
0
พระสงฆ์แม้จะมีอภิญญาก็ห้ามแสดงตน ซึ่งเป็นข้อบัญญัติมีห้ามไว้ในสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์ครับ ในส่วนเรื่องโหราพยากรณ์สำหรับสงฆ์เป็นเดรัจฉานวิชาไม่พึงควรกระทำ แต่สังคมไทยเป็นเรื่องยากที่จักปรามแล้วปราบได้ไหม.? ใครจักทำ.? เป็นโลกวัชชะแก่สงฆ์หรือ มหาชนมิได้ติเตียนบัณฑิตเรียนมากเพี้ยนกล่าวว่ากันไปก็เท่านั้น วัตถุมงคลมีคล้องคอกันศรัทธาเชื่อไสยเชื่อคุณให้สำนักพุทธฯมาแก้ไข ใครจักบ้าเลื้อยขาเก้าอี้ตัวเองครับ ดีไม่ดีผอออพอสอแอบไปเคาะกระโหลกมาบ้างแล้วก็ได้ เชื่อไหมหละคุณคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 18, 2014, 09:34:02 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 06:50:20 am »
0
ถ้าสังคมไทย เราตอนนี้ การดูดวง ก็เป็นงานส่วนหนึ่ง ของพระสงฆ์ คือ ทำเพื่อประชาชน ถ้าให้ไปดูกับพวกหมอผี ไสยศาสตร์ หมอดู โหราศาสตร์ อาจจะถูกหลอก พระสงฆ์ท่านเห็นใจญาติโยม ก็เลยอาสาเข้ามาทำให้แทน และไม่ต้องมีค่าจ้างใด ๆ เพราะอย่างไรเสียเราก็บำรุงท่าน ด้วยปัจจัย 4 อยู่แล้ว อีกอย่าง จะบอกว่า ไม่เป็นหน้าที่เสียทีเดียวก็ไม่ได้ ครั้งพุทธกาล บรรดาพราหมณ์ ท่านบวชกันมากมาย เลย จบไตรเพท ก็มากมาย การที่จะช่วยเหลือ ให้เป็นไปแนวทางพุทธ ก็ดี อยู่ เพราะการดูดวง บอกฤกษ์ เหล่านี้ เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นแก่ชาวโลก พระสงฆ์ ที่เห็นอาสาเข้ามาช่วยเหลือ ทำแทน ก็เลย มี แต่ บรรดาพระสงฆ์ ที่เอาครอบครูสวมหัว สวมชฏา แต่งชุดเทวดา พวกนี้ น่าคิด น่าจะไม่ใช่หน้าที่

  แต่ทางที่ถูกต้อง แล้ว การที่พระสงฆ์ เข้ามายุ่งกับชาวบ้านมากเกินไป ก็ไม่ดี เพราะบางเรื่อง พระสงฆ์ ควรจะต้องพิจารณาตนเอง ว่า บวชเพื่ออะไร ? เพื่อการทำสิ้นสุดแห่งกองทุกข์ใช่หรือไม่ ?


  สุดท้าย ในความรู้สึก พระสงฆ์ที่ออกมาอาสา งานสังคม มากเกินไป นั้น ก็ไม่ดี คะ การที่ยุ่งกับโลก มาก จะทำให้เหนือโลก นั้น ส่วนตัวคิดว่า ทำได้ยาก มาก ๆ คะ

  ดังนั้นพระพุทธเจ้า จึงได้กันบุคคลธรรม ให้มาเป็นพระภิกษุ ภิกษุณี ก็เพื่อจะได้มีเวลา ธรรมวิจยะให้เหมาะสมคะ

  :015: :015: :015:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

ปัญญสโก ภิกขุ

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 403
  • อริยสโก
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 09:04:05 pm »
0
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖
หน้าต่างที่   ๓๖ / ๓๙.

               ๓๖. เรื่องพระวังคีสเถระ [๒๙๙]               
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระวังคีสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "จุตึ โย เวทิ" เป็นต้น.

               วังคีสพราหมณ์เป็นนักทำนาย               
               ได้ยินว่า พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่ง ชื่อวังคีสะ เคาะ (กะโหลก) ศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้วก็รู้ได้ว่า "นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในนรก, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเปรตวิสัย, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก."
               พวกพราหมณ์คิดว่า "พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้ ก็สามารถหากินกะชาวโลกได้" จึงให้เขานุ่งผ้าแดง ๒ ผืนแล้วพาเที่ยวไปชนบท กล่าวกะพวกมนุษย์ว่า "พราหมณ์ชื่อวังคีสะนั่น เคาะ (กะโหลก) ศีรษะ ของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้จักที่เกิด, พวกท่านจงถามถึงที่พวกญาติของตนๆ เกิดแล้วเถิด."
               พวกมนุษย์ให้กหาปณะ ๑๐ บ้าง ๒๐ บ้าง ๑๐๐ บ้าง ตามกำลังแล้ว จึงถามถึงที่พวกญาติเกิดแล้ว. พราหมณ์เหล่านั้นถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว ยึดเอาที่พักในที่ไม่ไกลแห่งพระเชตวัน
               พวกเขาเห็นมหาชนผู้บริโภคอาหารเช้าแล้ว มีมือถือของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น กำลังเดินไปเพื่อฟังธรรม จึงถามว่า "พวกท่านไปไหนกัน?" เมื่อมหาชนนั้นบอกว่า "ไปสู่วิหาร เพื่อฟังธรรม." จึงกล่าวว่า "พวกท่านจักไปในที่นั้นทำอะไร? บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสพราหมณ์ของพวกเรา ย่อมไม่มี, เขาเคาะ (กะโหลก) ศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้ที่เกิดได้, พวกท่านจงถามถึงที่พวกญาติเกิดเถิด."
               มนุษย์เหล่านั้นกล่าวว่า "วังคีสะจะรู้อะไร? บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของพวกเรา ไม่มี." เมื่อพวกพราหมณ์แม้นอกนี้ กล่าวว่า "บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสะ ไม่มี, เถียงกันแล้ว๑- กล่าวว่า "มาเถิดบัดนี้ พวกเราจักรู้ว่าวังคีสะของพวกท่าน หรือพระศาสดาของพวกเรา มีความรู้" แล้วได้พราหมณ์เหล่านั้นไปสู่วิหาร.
____________________________
๑- กถํ วฑฺเฒตฺวา ยังถ้อยคำให้เจริญ.

               เขายอมจำนนพระศาสดา               
               พระศาสดาทรงทราบว่าชนเหล่านั้นมา จึงรับสั่งให้นำ (กะโหลก) ศีรษะมา ๕ ศีรษะ คือ "ศีรษะของสัตว์ผู้เกิดในฐานะทั้ง ๔ คือ ‘ในนรก ในกำเนิดดิรัจฉาน ในมนุษยโลก ในเทวโลก’ ๔ ศีรษะ และ (กะโหลก) ศีรษะของพระขีณาสพ" รับสั่งให้วางไว้ตามลำดับ ในเวลาที่วังคีสะมาแล้ว จึงตรัสถามวังคีสะว่า "ทราบว่า ท่านเคาะ (กะโหลก) ศีรษะแล้ว รู้ที่เกิดของสัตว์ทั้งหลายผู้ตายแล้วหรือ?"
               วังคีสะ. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ได้.
               พระศาสดา. นี้ (กะโหลก) ศีรษะของใคร?
               เขาเคาะ (กะโหละ) ศีรษะนั้นแล้ว กราบทูลว่า "ของสัตว์ผู้เกิดในนรก."
               ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่เขาว่า "ดีละ" จึงตรัสถามถึงศีรษะทั้ง ๓ นอกนี้ ในขณะที่เขากราบทูลแล้วๆ ไม่ผิด ก็ประทานสาธุการเหมือนอย่างนั้น จึงทรงแสดง (กะโหลก) ศีรษะที่ ๕ ตรัสถามว่า "นี้ (กะโหลก) ศีรษะของใคร?" เขาเคาะ (กะโหลก) นั้นแล้ว ไม่รู้ที่เกิด. ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า "วังคีสะ ท่านไม่รู้หรือ?" เมื่อเขากราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้" จึงตรัสว่า "ฉันรู้."
               วังคีสะ. พระองค์ทรงทราบด้วยอะไร?
               พระศาสดา. ทราบด้วยกำลังมนต์.
               ลำดับนั้น วังคีสะทูลวิงวอนพระองค์ว่า "ขอพระองค์จงประทานมนต์นี้แก่ข้าพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า "เราไม่สามารถจะให้มนต์แก่บุคคลผู้ไม่บวชได้."

               วังคีสะบวชเพื่อเรียนพุทธมนต์               
               เขาคิดว่า "เมื่อเราเรียนมนต์นี้แล้ว เราก็จักเป็นผู้ประเสริฐในชมพูทวีปทั้งสิ้น" จึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นไป ด้วยคำว่า "พวกท่านจงอยู่ในที่นั้นนั่นแหละสิ้น ๒-๓ วัน ฉันจักบวช" แล้วได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระศาสดา ได้เป็นผู้มีนามว่าวังคีสเถระ.
               ลำดับนั้น พระศาสดาประทานกัมมัฏฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์แก่เธอแล้ว ตรัสว่า "เธอจงสาธยายบริกรรมมนต์."

               พระเถระบรรลุพระอรหัต               
               พระวังคีสเถระนั้นสาธยายมนต์อยู่ ถูกพวกพราหมณ์ถามในระหว่างๆ ว่า "ท่านเรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง?" จึงบอกว่า "พวกท่านจงรอก่อน, ฉันกำลังเรียน."
               ต่อกาล ๒-๓ วันเท่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหัต ถูกพราหมณ์ทั้งหลายถามอีก จึงกล่าวว่า "ท่านผู้มีอายุ บัดนี้ ฉันไม่ควรเพื่อจะไป."
               พวกภิกษุได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระวังคีสเถระนี้ พยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยคำไม่จริง."
               พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น. ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ บุตรของเราฉลาดในการจุติและปฏิสนธิแล้ว"
               ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
                         ๓๖.     จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ       อุปปตฺติญฺจ สพฺพโส
                            อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ       ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
                            ยสฺส คตึ น ชานนฺติ       เทวา คนฺธพฺพมานุสา
                            ขีณาสวํ อรหนฺตํ       ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.
                                      ผู้ใด รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายโดย
                            ประการทั้งปวง, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่ข้อง ไปดี
                            รู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์.
                                      เทพยดา คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ ย่อมไม่
                            รู้คติของผู้ใด, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้ว
                            ผู้ไกลกิเลสว่า เป็นพราหมณ์.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โย เวทิ เป็นต้น ความว่า ผู้ใดรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวงอย่างแจ้งชัด๑- เราเรียกบุคคลผู้นั้น ซึ่งชื่อว่าไม่ข้อง เพราะความเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ชื่อว่าไปดีแล้ว เพราะความเป็นผู้ไปดีแล้วด้วยการปฏิบัติ ชื่อว่าผู้รู้แล้ว เพราะความเป็นผู้รู้สัจจะทั้ง ๔ ว่า เป็นพราหมณ์.
               บทว่า ยสฺส เป็นต้น ความว่า เทพดาเป็นต้นเหล่านั้นไม่รู้คติของผู้ใด, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งชื่อว่ามีอาสวะสิ้นแล้ว เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นแล้ว ชื่อว่าผู้ไกลกิเลส เพราะความเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายว่า เป็นพราหมณ์.
               ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
____________________________
๑- ปากฏํ กตฺวา ทำให้ปรากฏ.

               เรื่องพระวังคีสเถระ จบ.         
บันทึกการเข้า

ปัญญสโก ภิกขุ

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 403
  • อริยสโก
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 09:31:43 pm »
0
หาข้อมูล ที่เคยอ่านเจอ  ไม่เจอ ไม่รู้อยู่ที่ตรงไหนแล้ว สรุปเลยละกัน  ไม่ต้องหยิบยกอ้างแหละ  ว่า
  หลังจากนั้น พระพุทธองค์ ก็ทรงตรัสห้าม ภิกษุ ทำการทำนาย เพราะคิดว่า ตนรู้หมด ด้วยเรื่องนี้ เป็นเหตุ แสดงให้เห็นว่า ไม่มีผู้ใด รู้ได้หมด  เหมือนพระพุทธองค์ที่อย่างในเรื่องนี้ ก็สามารถรู้ได้ว่า เจ้าของกะโหลกนี้  ไปยังภูมิไหน     
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28409
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2014, 08:35:24 pm »
0
ask1
การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ

 คือ เห็นที่บ้านชอบไปดูดวงกับพระ กัน คะ และ บางท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ ของพระ เลยไม่รู้ว่า อย่างไร กันเกี่ยวกับเรื่อง เหล่านี้ คะ

  :25: thk56 ที่มาตอบ นะคะ

 



การทำตัวเป็นหมอดูหรือดูดวงให้คนทั่วไป เป็นข้อห้ามของสงฆ์ อยู่ในพระสูตรดังนี้

 ans1 ans1 ans1 ans1

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
๑. พรหมชาลสูตร  เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ


มหาศีล ติรัจฉานวิชา

[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
       ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ
       ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า
       ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต
       เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี
       เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์
.


ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=09&A=0&Z=1071
_____________________________________________________________________




พระไตรปิฎฏเล่ม ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค         
๑๐. สูจิมุขีสูตร  ว่าด้วยความแตกต่างการเลี้ยงชีวิตของสมณพราหมณ์


[๕๑๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถานใกล้พระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกในพระนครราชคฤห์แล้วอาศัยเชิงฝาแห่งหนึ่งฉันบิณฑบาตนั้น.

ครั้งนั้น นางปริพาชิกาชื่อสูจิมุขี เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
   ดูกรสมณะ ท่านก้มหน้าฉันหรือ.?
   ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรน้องหญิง เรามิได้ก้มหน้าฉัน.....ฯ.........

สา. ดูกรน้องหญิง ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูพื้นที่ สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า ก้มหน้าฉัน.
     ดูกรน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูดาวนักษัตรสมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า แหงนหน้าฉัน.
     ดูกรน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุประกอบการรับส่งข่าวสาส์น สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า มองดูทิศใหญ่ฉัน.
     ดูกรน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาทายองค์อวัยวะ สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า  มองดูทิศน้อยฉัน.


     ดูกรน้องหญิง ส่วนเรานั้น
     มิได้เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาตรวจพื้นที่
     มิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูดาวนักษัตร
     มิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุประกอบการรับส่งข่าวสาส์น
     มิได้เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาทายองค์อวัยวะ
    (แต่)เราแสวงหาภิกษาโดยชอบธรรม ครั้นแล้วจึงฉัน.


ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2790.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2014, 08:41:26 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การดูดวง นี้ เป็นงาน ของพระสงฆ์ หรือ ไม่คะ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2014, 10:54:39 pm »
0
อนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา