ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิปัสสนา เริ่มปฏิบัติตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ในการภาวนา  (อ่าน 5240 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 ask1
วิปัสสนา เริ่มปฏิบัติตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ในการภาวนา
เราจะเริ่มทำวิปัสสนากันตอนไหน ?
ทำวิปัสสนาอย่างเดียวได้หรือไม่ ?
ฝึกสมาธิ แล้ว จะมีทำวิปัสสนา ได้อย่างไร ?


 และคำถามอื่น ๆ ที่คล้าย ๆ กัน
 ถามโดย
 nirvarnar55 bajang nimit mongkol tcarisa kobyamkala akira akito jojo rainmain sakol fan paisalee staporn samapol kindman หมวยจ้า wiriya fasai catwoman และ อีกหลาย ๆ ท่าน ที่ค้นจดหมายยังไม่เจอ

    ans1

 เนื่องเพราะว่า ทุกคนไปติดใจในคำว่า วิปัสสนา กันแบบที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ และ ติดตามวิธีการฝึกแบบ พระพุทธเจ้า นั่นเองโดยไม่ได้ทบทวนแบบ พุทธสาวก

   การฝึกภาวนา แบบพระพุทธเจ้า ฝึกความตั้งใจ ไปสู่สมาธิ และการตรัสรู้ นี้เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะพระองค์ต้องค้นหาสัจจธรรม โดยพระองค์เอง คือการตรัสูรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นหนัาที่ของพระพุทธเจ้า

   ที่นี้การฝึกแบบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วิถีการฝึกแบบพุทธสาวก เพราะพุทธสาวก ไม่ต้องตรัสรู้เอง แต่ต้องรู้ตาม ดังนั้นการฝึกของพุทธสาวก จึงต้องเป็นการฝึกแบบ

    ใช้ปัญญา ตามด้วยศรัทธา และ จบด้วยสมาธิ
    ดังนั้นจะเห็นว่า อริยะมรรคมีองค์ 8 นั้น สตาร์ท ที่ สัมมาทิฏฐิ ( คือ ปัญญามองเห็นตวามเป็นจริง ตามอริยะสัจจะ 4 ประการ ) การมองเห็นตามความเป็นจริงจนกระทั่งเข้าไปเปลี่ยนความเห็นให้เป็นความเห็นชอบถูกต้องได้นั้น ชื่อว่า วิปัสสนา

   ที่นี้การเห็นชอบ ที่เป็น วิปัสนา เปรียบเหมือนทฤษฏี นำทางแต่ไม่รู้ว่าจะถูกทั้งหมดไหม จึงมีธรรมสองส่วนแยกออกมา คือ ธรรมที่เรียกว่า รูป และ นาม
 
   การบริหารเรียนรู้เรื่องรูป ในพระพุทธศาสนา ใช้ข้อกำหนดคือ ศีล ๆ กล่าวได้ว่า เป็นความปกติของมนุษย์ ที่เห็นถูกต้องไม่ผิดต่อตนเอง มโนธรรม ก็ต้องดำรงอยู่ในศีล เพราะศีล เป็นตัวห้ามตัณหา ระดับที่หนึ่ง หากไม่มีศีล ทุกคนอยากได้อะไร อยากเป็นอะไร ก็พยายามทำให้ได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเดือนร้อนที่จะเกิดขึ้น ทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น ดังนั้น ศีลจึงเป็นด่านที่สองต่อจาก วิปัสสนา

  มาถึงด่านสุดท้าย เป็นด่าน จิตใจ ล้วน ๆ การเข้าไปชนะใจ ข่มใจ รวมใจ เห็นแท้อย่างที่สุดนั้น ต้องอาศัยอำนาจสมาธิ เป็นกำลัง แต่อำนาจของสมาธิ จะม่ได้ก็ต้องมาจากความเพียร และสติ

  ดังนั้นคำถามว่า ปฏิบัติวิปัสสนา ตอนไหน ก็คือ ตั้งแต่คุณเริ่มเป็นผู้ถือเอาพระรัตนตรัย แล้วนั่นแหละ คือ คุณปฏิบัติวิปัสสนา แล้ว เพราะ วิปัสสนา แปลว่า การเห็นอย่างวิเศษ การเห็นแจ้ง ดังนั้นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เป็นตัววิปัสสนาที่นำคุณเข้าไปสู่การเห็นตามความเป็นจริง เบื่อหน่าย ต่อ โลกธรรม และสังสารวัฏฏ์

   ส่วนการทำสมาธิ นั้นเป็นการทำให้ญาณ ข้อพิสูจน์ ให้ปรากฏตามที่เห็น เท่านั้น เมื่อจิตเห็นตามความเป็นจริงได้ จิตก็จะละจาก กิเลสไปในตัว

   เจริญพร สั้น ๆ เท่านี้ก่อน

   ;)

 
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Roj khonkaen

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 414
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11  st12  st12
 :25:  :25:  :25:
บันทึกการเข้า

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12 thk56 like1
ลงชื่อผู้ถามผมเป็นคนแรก ขอบคุณครับ

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

saieaw

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 271
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า

KIDSADA

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 439
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ที่พระอาจารย์ตอบนี้หมายความ เราใช้วิปัสสนา ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วใข่หรือไม่ครับ ?

 แล้วทำไม ถึงหลายสำนัก ถึงบอกว่า ต้องปฏิบัติวิปัสสนา กันในครั้งสุดท้าย ครับ ?

  :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
เราชอบ ป่วนแก็งค์ อ๊บ อ๊บ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สาธุๆๆๆๆ เป็นประโยชน์อย่างสูง ผมขออณุญาตินำกระทู้นี้ไปเผยแพร่นะครับพระอาจารย์มันแจ้งใจดีนักครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

     ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

saiphone

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 134
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า
พระธรรม นำให้ ส่วางไสว ในดวงจิต

nimit

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 117
  • เรามาเพื่อจรรโลงพระกรรมฐาน
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ธรรมจักรสถิตอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นมีแต่ความร่มเย็น

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
สาธุๆๆๆๆ เป็นประโยชน์อย่างสูง ผมขออณุญาตินำกระทู้นี้ไปเผยแพร่นะครับพระอาจารย์มันแจ้งใจดีนักครับ

ข้อความในบอร์ดห้องนี้ อนุญาต copy ไปโพสต์ที่อื่นได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต
แต่ถ้าเป็นห้อง วิชาศิษย์สายตรง เท่านั้น ที่ไม่อนุญาต

 เจริญพร รับทราบ ตามนี้
 ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เราท่านทุกคนอาจจะคุ้นเคยในคำว่าไตรสิกขาอันได้แก่ ศีล,สมาธิ,ปัญญา เราท่านจึงเข้าใจกันไปว่า ตนต้องรู้สำรวมก่อนเป็นบาทแรก จากนั้นจึงก้าวไปสู่วิถีแห่งการตั้งมั่น ปัญญาคือตัวรู้จึงจักปรากฏเป็นไปเอง ความเข้าใจนี้เป็นเรื่องของตำรา แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริงๆไฉนปัญญา(สัมมาทิฏฐิ)มาก่อน ศีล(สัทธา)ตามมาได้เอง ที่สุดสมาธิ(สัมมาวายาโม/สัมมาสติ)รวมหยั่งข่มวางได้เป็นสิ่งที่เหลือไว้ให้กระทำ ครูอาจารย์หลากหลายแหล่งธรรมจึงเน้นย้ำสมาธิกันนักหนา แต่ดูเสมือนว่ายุคปัจจุบันนี้ผู้คนนั้นห่างเรื่องสมาธิกันมากเรียกว่าไม่เอากันเลย ปัญญา/ปรัชญา กันจนกระทั่งปฏิเสธมรรคผลอรหันต์นิพพานใครกล่าวอ้างเป็นเพ้อเจ้อเอาผิดชนิดห้าม ทำร้ายทำลายวิถีแห่งการก้าวล่วงพ้นเป็นไม่มี อย่างนี้คือการทำพระศาสนาให้มัวหมองคงสถานะไว้เพียงเครื่องมือแห่งการแสวงหาผลประโยชน์ แก่นแท้ปริยัติแก่นธรรมปฏิบัติวันนี้พินิจให้ดีแล้วต่างกัน ณ วันนี้อยู่ที่ทุกท่านจะปฏิบัติหรือปฏิเสธ อย่านำเอาขั้วค่ายสายใครมามัดมือมัดเท้าตัวเอง ไม่มีมือพายเอาเท้าราน้ำ ที่สุดคว่ำจมน้ำตายกันให้เหลือเพียงความทุเรศคงไม่น่าดู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2015, 02:04:43 pm โดย ธุลีธวัช (chai173) »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

waterman

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 302
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า

lamai54

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 138
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้วผิดจากที่เคยคิดเลย คะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เราได้ทำวิปัสสนา แล้ว ตั้งแต่เริ่มถือเอา พระรัตนตรัยเป็นสรณะ แจ่มแจ้งมาก ที่พระคุณเจ้าอธิบายได้ อย่างใส ๆ อย่างนี้ พึ่งมีองค์แรกนี่คะ อธิบาย แบบนี้

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
แข่งขันในโครงการ yamaha นะฮะ อย่าเข้าใจว่าเป็นพวกเสื้อแดง.... เราไม่ใช่....