คำว่า "ฌาน" แปลว่า "การเพ่ง" ตามปกติแล้วก็มีความหมายใน 2 ระดับ
ระดับ แรก เป็นส่วนเหตุ เรียกว่า "อารัมมณูปนิชฌาน" คือ การเพ่งดูอารมณ์ที่เป็นเครื่องตั้งสติกำหนดระลึก เช่น ดูลมหายใจเข้าออก ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ฯลฯ จนจิตของบุคคลผู้นั้น ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหว ที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ในชั้นนี้กว่าจะเข้าถึงฌานอันเป็นส่วนผลที่เรียกว่า "รูปฌาน" ซึ่งเป็นการแสดงถึงความประณีตของจิตที่เกิดขึ้นจากการเจริญสมถกรรมฐานโดย ลำดับนั้นเอง
1.ปฐมฌาน มีองค์ 5 คือ
วิตก ความตรึกที่เป็นกุศล
วิจาร ได้แก่ความตรอง กุศลธรรมที่ตนตรึกนั้น มีความสงบประณีตสูงขึ้นกว่าความตรึกตรองของสามัญชน เพราะว่าความตรึกตรองของท่านเหล่านั้นไม่ประกอบด้วยกิเลสและอกุศลธรรม
ปิติ ความเอิบอิ่มใจที่เกิดขึ้น แสดงออกมาในลักษณะต่างๆ
สุข ความสบายกายสบายใจ อันเกิดจากจิตที่มีความสงบมีลักษณะโปร่งเบาบังเกิดขึ้นทั้งกายและจิต
เอกัคคตา จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ถูกโยกคลอนให้หวั่นไหว ด้วยการเหนี่ยวนึกของตนเอง และแรงกระทบมาจากภายนอก ในกรณีที่สิ่งกระทบนั้นไม่แรงเกินไป
2.ทุติยฌาน มีองค์ 3 ซึ่งเป็นพัฒนาการทางจิตที่ก้าวไกลขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นในทุติฌาน จึงไม่มีวิตก คือความตรึก ไม่มีวิจาร คือความตรอง แต่มีปิติ คือความเอิบอิ่มใจ
สุข คือความสบายกายสบายใจที่ประณีตยิ่งนัก ความสุขในชั้นทุติฌานนั้น ท่านเรียกว่าเป็นความสุขที่หวานใจยิ่งนัก เป็นความเอิบอิ่มเป็นความซาบซึ้งตรึงตรา ซึ่งจิตธรรมดาของบุคคลไม่สามารถสัมผัส ความสุขในชั้นนี้ได้และเอกัคคตา คือจิตตั้งมั่นเป็นอันเดียว มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นกว่าในปฐมฌาน
3.ตติย ฌาน มีองค์ 2 คือ ความสุขและเอกัคคตา เพราะปิติสงบระงับไปจากจิตของบุคคลนั้น ความสุขจึงมีความเกี่ยวข้องกับความสงบ จิตของผู้ปฏิบัติก็จะเยือกเย็นและสงบมากยิ่งขึ้น
4.จตุตถฌาน มีองค์ 2 คือแม้ความสุขก็จะหายไป ใจจะปรากฏเป็นอุเบกขาที่เรียกว่า เป็นอุเบกขาฌาน อันเป็นอาการของปัญญาปรากฏขึ้นภายในจิตพร้อมกับเอกัคคตา คือจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหว
ฌานทั้ง 4 ประการนี้ ท่านเรียกว่า "รูปฌาน" บางทีก็เรียกว่า รูปสมาบัติ ทั้งนี้เพราะว่ามีรูปธรรมเป็นอารมณ์ให้บังเกิดขึ้น เมื่อกล่าวในชั้นของจิตแสดงว่าระดับจิตขึ้นสู่รูปาวาจรภูมิ คือชั้นที่มีรูปเป็นอารมณ์ ท่านเหล่านี้เมื่อทำลายกาลกิริยาตายไป ถ้าฌานท่านไม่เสื่อม ก็จะบังเกิดเป็นพรหมในพรหมโลกตามกำลังของฌานที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุเป็นผล ต่อเนื่อง จากการเจริญสมถกรรมฐานนั้น มุ่งสงบนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ซึ่งเป็นสนิมใจ เป็นเครื่องกั้นใจคนไว้ไม่ให้บรรลุความดี
"ผู้ใดที่ปฏิบัติได้ฌาณ ขอความกรุณาบอกอาการของฌาณที่เกิดขึ้นแต่ละขั้นด้วยครับ "....
การที่จิตมีฌาณเกิดขึ้น..หมายถึงจิตเรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...
สภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น ๑ ขณะก็คือการได้ ฌาณ ๑ ขณะ...ส่วนลำดับของฌานนั้น ก็ จะมี
๑. จิตเรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรายังมีวิตก มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
๒.จิต เรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรา...มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขเกิด
๓.จิตเรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรา...มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปิติสิ้นไป
๔.จิต เรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรา....ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ซึ่งจะไม่เกี่ยวอะไร กับ...นิมิต.....ตัวโครง...ตัวลอย....ไม่เจ็บ...ไม่ปวด...ไม่รู้สึก อะไร..เห็นหรือไม่เห็นลมหายใจ..เห็นเทวดา..เห็นนรก..เห็นแสง..อะไรอะไรอีก มากมาย
สภาวะธรรมที่เกี่ยวข้องมีแค่ตามที่ได้กล่าวข้างต้นครับ....
หมายเหตุ...นิวรณ์ ๕ มีดังนี้
๑.กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย)
๒.พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ
๓.ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน
๔.อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ
อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที
ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
๕.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี