อาตมา ได้ยก พระสูตร และ เนื้อหา อันปรากฏในเว็บมากมาย ให้เข้าใจก่อนว่า
เวทนา นั้นมี อยู่ 3 ประการ
1. ทุกขเวทนา
2. สุขเวทนา
3. อทุกขมสุขเวทนา
มีอารมณ์ 3 ประการ
1. ติดในทุกขเวทนา อารมณ์ร่วม คือ โทมนัส ไม่ยินดี ไม่พอใจ เป็นทุกข์
2. ติดในสุขเวทนา อารมณ์ร่วม คือ โสมนัส ยินดี พอใจ เป็นสุข
3. ติดในอทุกขมสุขเวทนา อารมณ์ร่วมกลาง มีใจ เหมือนไม่ยินดี ยินร้าย เป็นกลาง แต่พร้อมที่จะเป็น ชาวบ้านมักเรียกว่า ว่า อุเบาขา คือ วางเฉย ตรง ๆ ของศัพท์ก็ดังนี้
เวทนา ทั้ง 3 อะไรเป็นปัญหามากกที่สุด สำหรับ ปุถุชน
คำตอบก็มักจะบอกว่า ทุกขเวทนา เป็นปัญหามากที่สุด เพราะมีความอึดอา ระอา เหนื่อย ไม่สบายกาย ไม่สบายใจเป็นประมาณ ซึ่งบรรดา ชาวปุถุชนทั้งหลาย ล้วนแล้วไม่ยินดีอยู่แล้ว โดยวิสัย
ดังนั้น เมื่อ ทุกขเวทนา เกิด เราก็จะพยายาม ละ หนี ออก จาก ทิ้ง เปลี่ยน โดยธรรมชาติ
ทุกขเวทนา มากับคำว่า ตบะ / อดทน ซึ่งใครมี ตบะ หรือ อดทน ต่อ ทุกขเวทนา ได้มากก็ถือว่าเป็นยอดคน ตามความเชื่อ ซึ่งส่วนนี้ในพระพุทธศาสนานั้น จัดเป็น อัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนเพื่อความเป็นยอดคน เหนือคน เช่น ทนไฟ ทนน้ำ ทนอากาศ เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าจะอธิบายต่อจะเป็นเรื่อง ลำบากในการพิมพ์ จึงขอสรุปวิธี รับมือ กับ ทุกขเวทนา ดังนี้
สำหรับ ทุกขเวทนา ที่เกิดแล้วดับได้เอง เช่น ปวดเหน็บชา ระหว่างนั่งกรรมฐานเป็นต้น
สำหรับชาวภาวนาแล้ว เมื่อ เวทนาเกิดในระหว่าง ภาวนา ก็ต้องมีอดทน แต่พอประมาณ ไม่ฝืนจนเกินไป ไม่ตึงจนเกินไป ไม่ยอม หรือย่อหย่อน จนเกินไป ใช้เวลาเข้าช่วยในการฝึกฝน เช่นการกำหนดเวลา เป็นต้น เริ่มจากน้อยไปหามาก ในระหว่างฝึกฝนนั้น สิ่งสำคัญที่องค์ภาวนา ไม่ใช่อยู่กับการสู้กับเวลา
เมื่อทุกขเวทนา เกิด มาก ๆ ในระหว่างเวลา ก็ให้พิจารณา ตามความเหมาะสม ว่าจะควรเปลี่ยน อิริยาบถ หรือ ไม่ควรเปลี่ยน อิีริยาบถ อย่าลืม เรามีความเจ็บ เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ( ผู้ภาวนามักจะลืมกัน )
จึงพยายามฝืนจนเป็นทุกข์ทางจิตเพิ่ม คือ กายทุกข์ พาใจทุกข์อีก ต่อไปก็จะรำคาญการฝึกภาวนา เห็นเรื่องการภาวนานั้นเป็นเรื่องยาก ทั้ง ๆ ที่แท้จริง อยู่ที่ผลจากการสงบระงับของกิเลสในการภาวนาก่อนเป็นเรื่องแรก ที่ทุกคนมักทิ้ง และไม่ยอมทำความเข้าใจกัน
เพียงเท่านี้ ท่านทั้งหลายก็จะสามารถเผชิญทุกขเวทนาได้ .....
การเผชิญเวทนา นั้นเราต้องเผชิญ กับ เวทนา ทั้ง 6 จึงจักก้าวล่วงเวทนาได้ นะจ๊ะ
เจริญธรรมเท่านี้ก่อน