ตามประวัติพระไตรปิฏก นั้น
ครั้งที่ 1 เจ้าชายสิทธัตถะ ครั้นออกอภิเนษกรม แล้ว ตอนปลงพระเกศานั้น
ก็เสีียงทายด้วยสามารถ หากเราจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ ขอให้เส้นผมนี้อย่าล่วงหล่นสู่ธรณี
พอปลงพระเกศา พระอินทร์ก็น้อมรับพระเกศา ไปด้วยฤทธิ์ บรรจุไว้ใน จุฬามณี
ครั้งที่ 2 นักบวชสิทธัตถะ ก็อธิษฐานตอนคลายความเพียร ด้วยการทรมานตน ด้วยการเสวย
ข้าวมธุปายาส ของนางสุชาดา พร้อมกันนั้น ก็ได้อธิษฐาน ลอยถาดทองคำ ด้วยการอธิษฐานว่า
หากเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วขอให้ถาดทองคำนี่จงลอย ทวนน้ำ
ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ และลงไปทับถาดของพระพุทธเจ้าอีก 3 พระองค์ในกัปป์นี้ ที่เมืองนาค
ครั้งที่ 3 ที่พระองค์ทรงเห็นโอภาสในค่ำคืนวิสาข นั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานอีกครั้งด้วยความมั่นใจ
ว่าจะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเ้จ้า อีกครั้งหนึ่ง
แม้เลือดและหนัง เอ็นกระดูก ของเรานี้ จักเหือดแห้งไปก็ตามที หากเรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็จักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้
( จากการวิเคราะห์ นั้น นักบวชสิทธัตถะ สามารถเข้าสมาบัติ 8 และ 9 ได้อยู่แล้วเนื่องด้วยสำเร็จ สมาบัติ
มาจากสำนัก อุทกดาบส และ อาฬารกดาบส ซึ่งเป็น อรูปกรรมฐาน ดังนั้นแม้ นักบวชสิทธัตถะ หรือดาบส
อธิษฐานเช่นนั้น ก็ย่อมรู้กำลังของตนอยู่แล้วว่า สามารถเข้าสมาบัติได้ไม่ต่ำกว่า 15 วัน และเพราะพระองค์
ได้ผ่านการทรมานตนด้วยการอดอาหารมา เป็นเวลา 6 ปี จึงรู้กำลังว่าเสวยครั้งนี้จะสามารถเข้าสมาบัติได้นาน
เท่าใด ดังนั้นเนื่องจากทุกครั้งนั้น พระสติของพระองค์พะวงด้วยเรื่องอาหารบ้าง วิธีการบ้าง แต่ครั้งนี้ ดาบส
ก็รู้แล้วว่าการทำเช่นนั้นด้วยการทรมานกายไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากตบะทางจิต พระองค์เห็นหนทางแล้ว
จึงได้เจริญ อานาปานสติกรรมฐาน ด้วยความปล่อยวาง จากกาย และ จิต และกลับมาพิจารณาความจริงแห่ง
สัจจธรรมคือ พระอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ( แหมเขียนยังกับว่ารู้ภาวะของพระดาบสเลย ไม่ใช่คะจำมาจากพระ
อาจารย์คะ ) ในค่ำคืนนั้นพระองค์ จึงได้เข้าสู่การบรรลุญาณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับ คะ
แต่ครั้งนี้พระทัยของพระองค์นึำกไปถึง การเข้า ปฐมฌาน ตอนพระเยาว์โดยบังเอิญนั้นเป็น สมาธิอันเนื่อง
ด้วยแสงสว่าง ที่วางและว่าง พระองค์จึงกำหนดอารมณ์นั้นเป็นกำลัีงในสมาธิ จึงทำให้จิตไม่ถูกย้อมด้วยวิธีการ
ทั้งปวง และเนื่องด้วยวิบากกรรมของพระองค์หมดแล้ว จึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
Aeva Debug: 0.0006 seconds.