ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “พาหุสัจจะ” VS “อติมานะ”  (อ่าน 999 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
“พาหุสัจจะ” VS “อติมานะ”
« เมื่อ: เมษายน 02, 2020, 08:05:47 am »
0
 :25: :25: :25:

สูตรสำเร็จในชีวิต (8) : ความเป็นผู้คงแก่เรียน

ความเป็นผู้คงแก่เรียน ท่านใช้ศัพท์ว่า มาจากคำว่า “พหุสุต” (ไทยเขียนพหูสูต) แปลว่า ผู้ได้ยินได้ฟังมาก

ศัพท์ “พหุสุต” เมื่อลงปัจจัยในภาวตัทธิต ตามไวยากรณ์บาลีแล้ว รูปศัพท์จะแปลงเป็น “พาหุสัจจะ” แปลว่า ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ไม่ใช่แปลว่า “มีสัจจะมาก” ดังคนบ้าไม่รู้บาลีบางคนแปลแล้วตะแบงจะให้มันถูกให้ได้

พูดมาทั้งหมดนั้นชาวบ้านคงไม่เข้าใจ แต่ถ้าจะอธิบายเปรียบเทียบกับภาษาอื่นคงพอเข้าใจได้ เช่น คำอังกฤษ friend (เพื่อน) ใส่ปัจจัย ship ต่อท้ายตามหลักไวยากรณ์อังกฤษเป็น friendship (ความเป็นเพื่อน)

พหุสุต เทียบได้กับคำ friend พาหุสัจจะ เทียบได้กับ friendship ฉะนี้แล

@@@@@@

ความเป็นคนคงแก่เรียน หรือคนเรียนมากรู้มาก เป็นความรู้ระดับต้น เป็นความรู้สะสม ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ท่องจำไว้ได้ พูดสั้นๆ ว่าเป็น “ความรู้จำ” มิใช่ความ “รู้เห็น”

อย่างหลัง (ความรู้เห็น) เป็นความรู้ระดับญาณ (การหยั่งรู้ความจริง) ซึ่งเกิดขึ้นจากการฝึกฝนทางจิต มิใช่จากการท่องบ่นสาธยายดังพาหุสัจจะ

พาหุสัจจะ มีมากเท่าใด จะทำให้มีหูตากว้างขวาง เฉลียวฉลาด มีความเชื่อมั่นในตัวเอง องอาจ กล้าหาญในสังคม ยิ่งคงแก่เรียนในหลายๆ ด้าน ยิ่งองอาจมากขึ้น ใครจะพูดคุยจะคุยถึงเรื่องอะไรก็สนทนาโต้ตอบกับเขาได้หมด และสนทนาโต้ตอบได้ลึกซึ้งมิใช่รู้นั่นนิดนี่หน่อยแบบเป็ด ใครพูดเรื่องอะไรรู้เหมือนกัน แต่รู้ไม่จริง เหมือนเป็ดนั่นแหละ บินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ วิ่งก็ได้ ร้องหรือขันก็ได้ แต่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ดีอย่างเดียว เอาไปตุ๋นกิน


@@@@@@

เคล็ดลับของการเป็นพหูสูตพระพุทธเจ้าตรัสไว้ 5 ขั้นตอนใครอยากเป็น “คัมภีร์เดินได้” ลองฝึกฝนตามนี้คือ

ขั้นตอนที่หนึ่ง. ฟังให้มาก อ่านให้มาก ศึกษาค้นคว้าให้มาก สมัยก่อนการศึกษาค้นคว้าอาศัยการฟังอย่างเดียว แต่สมัยนี้สื่อที่ให้ความรู้มีทุกอย่าง ต้องใช้ทั้งตาทั้งหูให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด อาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์ แนะว่า มีอะไรขวางหน้าอ่านให้หมด แล้วเราจะได้ความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ เสมอ

ขั้นที่สอง. จดจำสาระสำคัญ หรือใจความใหญ่ๆได้ อ่านมาก ฟังมากอย่างเดียวไม่พอ ต้องจับประเด็นให้ได้ จับสาระสำคัญให้ได้ แล้วจดจำไว้ บางคนอ่านหนังสือมากมาย ครั้นถามว่าหนังสือเล่มนั้นว่าด้วยเรื่องอะไร เขียนดีไหม อย่างนี้ถึงอ่านหมดห้องสมุดก็ไม่มีประโยชน์

ขั้นที่สาม. ท่องให้คล่องปากแบบอาขยาน ตรงไหนสำคัญหรือประทับใจ ท่องไว้เลยให้คล่องเหมือนพระท่องบทสวดมนต์นั่นแหละ นักเรียนรุ่นก่อนเข้าเกณฑ์ให้ท่องบทอาขยานเป็นเล่มๆ และก็จำเอาไปใช้จนเฒ่าจนแก่ไม่ลืม สมัยนี้ไม่ให้ท่องอะไรเลยดัดจิตให้เด็กคิดเป็น ไม่ต้องท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง เอาเข้าจริงคิดก็ไม่ได้คิด ท่องก็ไม่ได้ท่อง โง่กว่าเดิมอีก

ขั้นที่สี่. คิดสร้างภาพในใจให้แจ่มชัด อ่านเรื่องใดให้นึกวาดภาพเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ชัดเจน แล้วจะไม่มีทางลืม อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ท่านว่าท่านอ่านพระนเรศวรชนช้าง มองเห็นภาพชัดเจนจนไม่ลืม เวลานำไปพูดเหมือนกับกำลังบรรยายภาพที่เห็นกับตาให้คนอื่นฟัง นี่คือเคล็ดลับข้อที่สี่

ขั้นที่ห้า. อ่านมากฟังมาก จำได้คล่องปาก และเจนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ต้องนำเอามา “ย่อย” ให้เป็นความคิดและทฤษฎีของตัวเอง พูดสั้นๆ(เพราะเนื้อที่หมด)ก็คือ นำเอาไปประยุกต์ใช้ได้นั่นแหละครับ

ทำได้ครบตามสูตรนี้ รับรองว่าเป็นผู้คงแก่เรียนแน่นอน



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13-19 มีนาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_286898


 :25: :25: :25:

สูตรสำเร็จในชีวิต(9) : ความเป็นผู้คงแก่เรียน (2)

ความรู้ระดับสุตะ หรือ “ความรู้จำ” ใครมีมากก็เรียกว่าพหูสูต ทำให้แกล้วกล้า องอาจในการตอบโต้ตอบสนทนา ไม่เกี่ยวกับการตรัสรู้มรรคผลนิพพาน พูดให้เข้าใจง่าย คือ คนรู้มากไม่จำเป็นต้องบรรลุอรหัตง่ายและเร็วกว่าคนไม่มีความรู้เลย ตรงกันข้ามบางครั้งอาจทำให้ล่าช้ากว่าที่ควร เป็นก็ได้

ยกตัวอย่างพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ ก่อนบวชทั้งสองท่านนี้เป็นศิษย์อาจารย์สญชัย เจ้าสำนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองราชคฤห์ พระสารีบุตรมีปัญญามากกว่า คงแก่เรียนกว่าพระโมคคัลลานะ แต่บรรลุอรหัตช้ากว่าพระโมคคัลลานะ

อีกตัวอย่างหนึ่ง พระอานนท์ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นพหูสูต จดจำพุทธวจนะได้มากกว่าใคร เพราะติดสอยห้อยตามพระพุทธองค์ไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์แสดงธรรมอะไรให้ใครฟัง ทรงจำไว้ได้หมด แต่ท่านก็บรรลุแค่โสดาปัตติผลเท่านั้น กว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ก็หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว


@@@@@@

แต่ความรู้มากก็เป็นดาบสองคม ใช้ไม่ดีก็เป็นอันตรายเพราะคนที่รู้มากนั้น มันมีอีกอย่างหนึ่งมากตามมาด้วย อะไรรู้ไหมครับ.? “อติมานะ” จะตามมาครับ

อติมานะ คือ ความไม่ถือตัววิเศษกว่าคนอื่น ไปไหนใครๆ ก็ยกย่องว่า “ปัญญาชน” บ้าง “พระไตรปิฎกเดินได้” บ้าง ก็ย่อมจะครึ้มอกครึ้มใจ และสำคัญว่า “กูแน่ กูคนเดียวคือความถูกต้อง” แล้วก็ดูถูกคนอื่นว่าโง่ หรือเรียกให้สะใจว่า “งี่เง่า”

เมื่อคิดผิดเห็นผิดอย่างนี้ ก็นำไปสู่การปฏิบัติผิด เมื่อปฏิบัติผิดก็จะย่อม “ทุคฺคติปรายโน” (มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องต้น) หมายถึง ตกนรกนั้นแหละครับ พูดไปทำไมให้ฟังยาก

@@@@@@

ชาวประมงเมืองสาวัตถีคนหนึ่งไปทอดแห ได้ปลาใหญ่สีเหมือนทองมาตัวหนึ่ง ตัดสินใจนำเข้าเมืองเพื่อถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ชาวเมืองรู้เรื่องเข้าต่างมามุงดู และเดินตามชาวประมงคนนั้นไปยังพระราชนิเวศน์เป็นจำนวนมาก พระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรแล้วเห็นเป็นเรื่องประหลาด จึงทรงรับสั่งให้นำปลาทองนั้นไปถวายพระพุทธเจ้าทอดพระเนตร

พระพุทธองค์ตรัสกับปลาเบาๆ ปลามันอ้าปากขึ้น ทำปากพะงาบๆ คล้ายจะพูดอะไรออกมา แต่เจ้าประคุณเอ๋ย พอมันอ้าปากขึ้นเท่านั้น กลิ่นเหม็นได้กระจายออกจากปากมันเหม็นคลุ้งไปทั่วพระเชตวัน

พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามว่า ทำไมปลาตัวนี้ปากเหม็นร้ายกาจปานฉะนี้


@@@@@@

พระพุทธองค์ตรัสว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ปลาตัวนี้เป็นพหูสูตคงแก่เรียน ถูกลาภสักการะครอบงำคือ พอมีคนยกย่องนับถือมากเข้าก็หลงลืมตัวสำคัญว่าคนอื่นรู้ไม่เท่าตัว หนักเข้าถึงกับกล้าแสดงธรรมวิปริตผิดเพี้ยนกันใหญ่โต ด่าว่าพระสงฆ์ผู้ทรงศีลอื่นๆ ว่าโง่เง่าเบาปัญญา พอตายไปจึงไปเกิดในนรกตลอดกาลยาวนาน เศษกรรมยังไม่สิ้น บันดาลให้มาเกิดเป็นปลาปากเหม็นตัวนี้แหละ

“แล้วเพราะอะไรมันจึงมีสีทองงามนักพระเจ้าข้า” เสียงหนึ่งกราบทูล

“เพราะเธอทรงจำพระพุทธวจนะเป็นพหูสูต สวดสรรเสริญพระพุทธคุณและสั่งสอนคนอื่น อานิสงส์จากความดีส่วนนี้ยังมีอยู่จึงส่งผลให้มีสีทอง”

ครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ให้เลือกเอา จะเอาผิวสวยงามดังทอง หรือปากเหม็น หรือจะเอาทั้งสองอย่างก็เชิญตามสบายเถอะครับ



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มีนาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_289744
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2020, 07:55:52 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ