ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สูตรสำเร็จในชีวิต : การสงเคราะห์ภรรยาและบุตร  (อ่าน 1024 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 :96: :96: :96: :96:

สูตรสำเร็จในชีวิต (11)
สูตรสำเร็จในชีวิตในพระพุทธศาสนา | การสงเคราะห์ภรรยาและบุตร


ผมเคยไปอภิปรายเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพชีวิตอะไรทำนองนี้ก็จำไม่แม่นที่ มสธ. อาจารย์ ดร.จันทร์ ชุ่มเมืองปัก ได้กล่าวสรุปว่า ชีวิตที่มีคุณภาพในทรรศนะของท่านไม่เหมือนใคร ว่าแล้วท่านก็หันมาทางผม “คุณเสฐียรพงษ์ช่วยนำไปเผยแพร่ด้วย”

ท่านว่าดังนี้ครับ “มีเมียดี มีลูกดี มีเพื่อนดี มีหน้าที่การงานที่บอกเขาได้อย่างภาคภูมิใจ และอย่าเป็นหนี้หลาย (อย่าเป็นหนี้มากนัก) เท่านี้ก็นับว่าชีวิตมีคุณภาพแล้ว”

การมีเมีย มีลูก ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การมีเมียดี มีลูกดีนี่สิมิใช่มีกันได้ทุกคน บางคนตัวเองก่อสร้างตัวจากเด็กบ้านนอกจนๆ คนหนึ่งจนมีหน้าที่การงาน มีเกียรติในสังคม ประสบความสำเร็จที่ดีคนหนึ่ง แต่ไปได้เมียผลาญจนหายนะล่มจมก็มี

ถามหมอดูเขาก็ว่า ดวงปัตนิไม่ดี ปุตตะไม่ดี ตกเรือนมรณะวินาศ มีดาวศุกร์ทับดาวเสาร์ อะไรก็ว่ากันไป (พูดไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรนี่แหละครับ) ถามมหาบาเรียน เขาก็ว่า กรรมทำมาอย่างใดก็ย่อมได้อย่างนั้น

ท่านอธิบดีท่านหนึ่งเติบโตมาจากเป็นเด็กวัด มีลูกมาก็พยายามสอนลูกไม่ให้สุรุ่ยสุร่าย ตัวท่านเองกว่าจะก้าวมาถึงขั้นนี้ก็ต้องต่อสู้กับความลำบากลำบนสารพัด ลูกชายย้อนเอาว่า “ก็พ่อเป็นลูกชาวนาก็ลำบากเป็นธรรมดา แต่ผมเป็นลูกอธิบดีนี่ครับ” นี่แหละครับที่ว่า มีลูกน่ะง่าย แต่มีลูกดีมิใช่ของง่าย รวมทั้งเมียด้วยนะครับ

@@@@@@

มาว่าเรื่องลูกก่อน

   พระพุทธเจ้าท่านว่า ลูกมี 3 จำพวก
   - เลี้ยงแล้วดีกว่าพ่อ-แม่ก็มี (อภิชาตบุตร)
   - เลี้ยงแล้วเสมอพ่อ-แม่ก็มี (อนุชาตบุตร)
   - เลี้ยงแล้วเลวกว่าพ่อ-แม่ก็มี (อวชาตบุตร)
แล้วแต่บุญแต่กรรมของใคร เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาเถิด อย่าวิตกทุกข์ร้อนเลย เราในฐานะพ่อ-แม่ขอให้ทำหน้าที่ของพ่อ-แม่ให้ดีที่สุดก็พอ
   นั่นคือ เลี้ยงลูกเขาให้สมกับที่เราเป็นพ่อ-แม่

วิธีเลี้ยงดูลูกให้ดีพระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ 5 ประการ คือ
    ๑. กันลูกจากความชั่ว หมายถึงป้องกัน หรือกีดกันทุกวิถีทางมิให้ลูกทำชั่ว
    ๒. ปลูกฝังลูกไว้ในทางดี ดีในที่นี้เล็งไปที่ “จิตใจ” เพราะใจเป็นคลังของความดีความชั่วของคน ถ้าปลูกฝังให้ใจดีแล้วก็เท่ากับพ่อ-แม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อ-แม่สมบูรณ์แล้ว
    ๓. ให้ลูกได้รับการศึกษา ตามตัวอักษรหมายถึงส่งเสียให้เล่าเรียนสูงๆ โดยอรรถะหมายถึงฝึกสอนให้ลูกเป็นคนฉลาดรู้จักใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต พ่อ-แม่ที่เลี้ยงลูกให้ฉลาดได้นับว่าเป็นโชค ดังภาษิตหิโตปเทศบทหนึ่งว่า
    “มีลูกฉลาดแต่ตายแล้วหนึ่ง มีลูกโง่ยังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่ง อย่างแรกประเสริฐกว่า” คือ ถ้าเลี้ยงลูกแล้วโง่ อย่ามีเสียดีกว่า
    ๔. จัดแจงให้แต่งงานกับคนดี สนับสนุนให้ลูกได้คู่ครองดี
    ๕. มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงเวลาอันสมควร คือมอบทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยากให้ลูกไว้เป็นทุนรอนดำรงชีวิตต่อไป

     เคล็ดลับการเลี้ยงลูกดีของพระพุทธองค์
     สรุปลงด้วยคำพูดสั้นๆ คือ
    “ห้ามชั่ว – ให้ทำตัวดี – ให้มีวิชา – หาคู่ครอง – ให้กองทุน”
     ทำได้ตามนี้นับว่าไม่เสียทีที่เป็นพ่อ-แม่


@@@@@@

    คราวนี้มาว่าด้วย การเลี้ยงดูภรรยา

     เนื่องจากผู้เขียนเป็นบุรุษเพศ จะขอพูดถึงการเลี้ยงดูภรรยาเท่านั้น
     พึงเข้าใจเอาเองว่า ถ้าท่านเป็นสตรีเพศ สูตรสำเร็จข้อนี้จะต้องเปลี่ยนเป็น “การเลี้ยงดูสามี” แทนนะครับ

พระไตรปิฎกพูดถึงภรรยาไว้ 7 ชนิด น่าสนใจดี (ชนิดของสามีก็พึงทราบโดยนัยเดียวกัน) ดังนี้ครับ

     ๑. ภรรยาเหมือนเพชฌฆาต หมายถึง ภรรยาล้างผลาญ ประเภทใจเหี้ยมโหด แช่งชักหักกระดูกสามีเช้า-เย็น วันๆ เอาแต่เรียกผีมากิน ห่ามาลง พูดคำก็จะให้ตายห่า สองคำก็จะให้ตายโหง หรือประเภทมือไวเท้าไว เดี๋ยวเตะ เดี๋ยวต่อย (ผู้หญิงก็เตะต่อยเก่งนะครับ เคยเห็นมาแล้ว ปิดประตูซัดสามีผัวะๆ แถมยังร้อง “ช่วยด้วยๆ ผัวเขาซ้อมฉัน” ก็มี เป็นงั้นไป) ภรรยาประเภทนี้ผมอยากแปลว่า ภรรยาผีมากกว่า ใครได้ภรรยาผีร่วมบ้าน เวรกรรมของคนนั้น ช่วยไม่ได้

    ๒. ภรรยาเหมือนโจร มีลักษณะล้างผลาญเหมือนประเภทแรก แต่ล้างผลาญคนละอย่าง ประเภทหลังนี้ล้างผลาญทรัพย์ สามีหามาได้เท่าไรผลาญหมดเกลี้ยง เขาเรียกว่า “กระเชอก้นรั่ว” ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม ใครได้ภรรยาโจรเป็นคู่ครอง ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน ไม่ช้าไม่นานก็หมดตัว

    ๓. ภรรยาเหมือนนาย หมายถึงภรรยาที่เห็นสามีด้อยกว่าตัว ดูถูกเหยียดหยามสามี ภรรยาประเภทนี้ภูมิอกภูมิใจที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าสามีอยู่ในกำมือของตน นี้ก็ภรรยาผลาญอีกประเภทหนึ่ง ประเภทแรกผลาญชีวิตร่างกาย ประเภทที่สองผลาญทรัพย์ ประเภทที่สามนี้ผลาญศักดิ์ศรี ไม่ได้ความพอกัน

    ๔. ภรรยาเหมือนแม่ น่ารักไปอีกแบบ เธอจะรักเอ็นดูสามีดุจแม่รักลูก จะคอยดูแลสามีด้วยความเป็นห่วงเป็นใยสารพัด ภรรยาประเภทนี้จะไม่ทอดทิ้งสามีไม่ว่ากรณีใดๆ

    ๕. ภรรยาเหมือนน้องสาว ความรักระหว่างพี่-น้องเป็นความรักยั่งยืนรองมาจากความรักของพ่อ-แม่ แต่ก็มีลุ่มๆ ดอนๆ อาจขัดใจกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ตัดกันไม่ขาด ใครมีภรรยาประเภทนี้นึกเสียว่าเลี้ยงน้องไว้คนหนึ่งก็แล้วกัน ถึงทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาดดอก

    ๖. ภรรยาเหมือนเพื่อน ภรรยาประเภทนี้เป็นเสมือนเพื่อนที่ถูกคอกันดี ให้เกียรติกันและกันฉันเพื่อนสนิท มีอะไรปรึกษาหารือกัน มีรสนิยมเหมือนกัน เคยเห็นสามี-ภรรยาประเภทนี้เป็นครูช่วยกันตรวจการบ้านเด็ก บางคู่เป็นนักเขียนเหมือนกัน ช่วยกันเขียนเรื่อง ช่วยกันเกลาสำนวนของกันและกัน น่าอิจฉาจัง

    ๗. ภรรยาเหมือนทาสี ลดฐานะของตัวลงเป็นคนรับใช้ ยอมรับใช้ทุกอย่าง ยอมให้สับโขก เพราะ “รัก” ตัวเดียวนี่แหละ ภรรยาบางคนได้คู่เป็นปีศาจสุรา ต้องวิ่งซื้อน้ำแข็ง-โซดา ทำกับแกล้มให้พ่อเจ้าประคุณมือเป็นระวิง น่าสงสารจัง

ภรรยาทั้ง 7 ประการนี้ ผู้อ่านคงบอกได้ว่าประเภทไหนดี ประเภทไหนเลว

@@@@@@

แต่ไม่ว่าจะได้ภรรยาประเภทไหน สามีควรสงเคราะห์เลี้ยงดู 5 สถาน ดังนี้คือ
    - ให้เกียรติยกย่อง,
    - ไม่ดูหมิ่น,
    - ไม่นอกใจ,
    - ยกความเป็นใหญ่ในบ้านให้ และ
    - ซื้อหาเครื่องประดับตกแต่งให้ตามกาลเวลาอันเหมาะสม

ทำได้ตามนี้ นับว่าเป็นสามีในอุดมคติแล้ว อ้อ..ที่ว่ายกย่องและมอบความเป็นใหญ่ให้นั้น มิใช่มอบความเป็น “ภรรยาหลวง” ให้นะครับ อย่าเข้าใจผิด



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 เมษายน 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_301212
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ