สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: DANAPOL ที่ กรกฎาคม 06, 2013, 09:53:41 pm



หัวข้อ: เมตตาตกบ่อ เรื่องคู่วาสนาบารมี เล่าเรื่องโดยพ่อแม่ครูอาจารย์
เริ่มหัวข้อโดย: DANAPOL ที่ กรกฎาคม 06, 2013, 09:53:41 pm
คัดจากหนังสือชีวประวัติ พระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย)

หลวงปู่เล่าว่า..เรื่องมาตุคามกับพระ  หรือเรื่องเนื้อคู่  หรือคู่วาสนา คู่บารมี นั่นเอง ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์จะต้องผ่านเรื่องเหล่านี้มากันเกือบทุกรูป บางรูปถ้าไม่ได้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ช่วยเหลือที่ดีแล้วล่ะก็พังทุกราย ดูอย่างเรื่องของหลวงปู่หลุยเป็นตัวอย่าง (หลวงปู่เล่าเรื่องหลวงปู่หลุยให้ฟังต่อไปว่า)  หลวงปู่หลุย  จนฺทสาโร เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่นอีกรูปหนึ่ง  ในสมัยที่อยู่กับหลวงปู่มั่นที่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น  หลวงปู่หลุยก็เป็นพระหนุ่ม แต่ค่อนข้างจะมีประวัติอะไรที่แปลกอยู่เช่นกัน...วันหนึ่งหลวงปู่มั่นปรารภกับพระในวัดซึ่งก็ได้ยินกันหมดทั้งวัดว่า “ท่านหลุย ท่านไม่สมควรที่จะอยู่ที่นี่ให้ไปหาที่อยู่ที่อื่น...หลวงปู่หลุยก็แปลกใจว่าทำไมหลวงปู่มั่นจึงห้ามไม่ให้อยู่  เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา ! หลวงปู่หลุยก็เข้าไปกราบเรียนขออนุญาตหลวงปู่มั่นอีกว่า

...ขอได้โปรดเมตตาให้เกล้าอยู่รับใช้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่อไปด้วยเถิด ถ้าได้กระทำอะไรผิดพลาดก็กราบเท้าขอขมาลาโทษด้วย...เมื่อหลวงปู่หลุยมาบอกเช่นนั้นหลวงปู่มั่นท่านก็เมตตาให้อยู่ต่อแต่มีข้อแม้ว่า...ถ้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ก็ห้ามไปบิณฑบาตสายที่ผมเดิน...คือ หลวงปู่มั่นได้สั่งห้ามไม่ให้หลวงปู่หลุยเดินตามท่านไปบิณฑบาตด้วยนั่นเอง...หลวงปู่หลุยก็เชื่อฟังและได้ปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่มั่นด้วยดีตลอดมา...จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร วันหนึ่งหลวงปู่มั่นเดินทางไปวิเวกต่างสถานที่ ก่อนที่จะออกเดินทางหลวงปู่มั่นก็กำชับพระเณรในวัดอีกครั้งหนึ่งว่า คอยระวังท่านหลุยด้วย อย่าปล่อยให้ไปบิณฑบาตสายนี้อย่างเด็ดขาดนะ...

ด้วยความกังขาต่อคำสั่งของหลวงปู่มั่นที่สั่งห้ามไม่ให้ไปบิณฑบาตสายดังกล่าวนั้นฝังอยู่ในใจของหลวงปู่หลุยมาเป็นเวลานานนั่นเอง...เมื่อหลวงปู่มั่นไม่อยู่ หลวงปู่หลุยจึงคิดว่าเป็นเพราะเหตุไรหลวงปู่มั่นจึงมาห้ามเราอย่างนี้..วันนี้เป็นอย่างไรก็เป็นกัน จะต้องเดินไปบิณฑบาตสายต้องห้ามนี้ให้ได้.ว่าแล้วเช้าวันรุ่งขึ้นหลวงปู่หลุย ก็เดินไปบิณฑบาตสายที่หลวงปู่มั่นสั่งห้ามนั่นเอง.ถึงแม้ว่าพระเณรจะช่วยกันทัดทานห้ามอย่างไรหลวงปู่หลุยก็ไม่ฟังเสียงใคร เพราะอายุพรรษามากกว่ารูปอื่นนั่นเอง พระเณรรูปอื่น ๆ มีแต่พรรษาต่ำกว่าก็เกรงใจไม่สามารถที่ห้ามเอาไว้ได้ จึงได้ปล่อยให้หลวงปู่หลุยเดินไปบิณฑบาตสายต้องห้ามนั้นอย่างไม่สามารถที่จะทัดทานได้...

             

เดินไปจนสุดหมู่บ้านหลวงปู่หลุยก็นึกในใจว่า เอ๊!..หลวงปู่มั่นมาห้ามเราด้วยเรื่องอันใดไม่มีเหตุไม่มีผล ก็แค่เดินบิณฑบาตธรรมดา ๆ นี่ไม่เห็นจะมีอะไร?  ขณะที่เดินบิณฑบาตขากลับวัดในระหว่างทางได้มีหญิงสาวนางหนึ่งลงมาใส่บาตรตามปกติที่เคยทำประจำทุกวัน ขณะที่หญิงสาวเอื้อมมือจะใส่บาตร หลวงปู่หลุยก็กำลังเปิดบาตร ฉับพลันสายตาของหลวงปู่หลุยกับสายตาของหญิงสาวนางนั้นก็ประสานกันพอดี  ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงและเป็นได้ถึงขนาดนี้

...หญิงสาวนางนั้นถึงกับเป็นลมล้มลง ช็อกหมดสติกระติบข้าวหลุดหล่นจากมือกลิ้งไปกับพื้นดินทันที... ฝ่ายหลวงปู่หลุยซึ่งบำเพ็ญตบะบารมีมาถึงขนาดนั้นแล้วก็ถึงกับเข่าอ่อนเป็นลมล้มพับไปเหมือนกัน บาตรที่สะพายอยู่บนบ่าถึงกับหลุดล่วง พระเณรที่เดินตามมาด้วยต้องรีบช่วยกันเข้าประคองสองปีกซ้ายขวา รูปหนึ่งก็เข้ามาช่วยรับบาตร เสร็จแล้วก็พากันหิ้วปีกหลวงปู่หลุยกลับวัดทันที...นี่!..ดูเถิดครับ..เรื่องคู่วาสนาคู่บารมีมันไม่เข้าใครออกใคร มันร้ายถึงขนาดนี้...หลวงปู่มั่นท่านรู้อยู่แล้วว่าคู่วาสนาของหลวงปู่หลุยมาเกิดอยู่ที่นี่ถ้าได้พบกันแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หลวงปู่มั่นจึงห้ามไม่ให้หลวงปู่หลุยอยู่ที่นั่น แต่เมื่อหลวงปู่หลุยดื้อที่จะอยู่ก็ห้ามไม่ให้ไปบิณฑบาตด้วย แต่แล้วก็หนีกรรมไม่พ้นอยู่ดี...

               

สมัยที่ผมเป็นพระหนุ่มก็ต้องต่อสู้เรื่อง “คู่วาสนา” อย่างนี้อยู่ถึง 2-3 ครั้งเหมือนกัน แถบเอาตัวไม่รอด ก็เพราะตัวเมตตาตกบ่อนี่แหละครับ ตัวเมตตาสงสารเขานั่นแหละจะทำให้เราเสียคน ต้องกำจัดตัวเมตตาสงสารให้ได้ “ถ้าเราคิดสงสารเขาเราตายลูกเดียวจะบอกให้ !...สมัยที่ผมอยู่บ้านธาตุนาเวง สกลนคร ประเพณีทางอีสานไม่เหมือนเมืองจันท์เรานะครับ พระไปบิณฑบาตกลับมาแล้วก็จะมีพ่อออกแม่ออก(โยมผู้ชายโยมผู้หญิง)หาบกับข้าวตามมาส่งที่วัด ทางอีสานเขาเรียกว่า “มาจังหันพระ”  ในบรรดาผู้ที่มาจังหันนั้นผมก็ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นใครผมก็สำรวมจิตใจของผมอยู่ตลอดเวลา  ทีนี้เมื่อถึงคราวมันจะเป็นขณะที่กำลังแจกอาหารใส่บาตรอยู่นั้นผมก็จำไม่ได้ว่าผมกำลังมองหาอะไร  มองไปมองมาก็ไปสะดุดกับสายตาของสาวน้อยรูปงามคนหนึ่งเข้าอย่างจัง สังเกตเห็นเขานั่งมองผมอย่างจดจ้องตาไม่กระพริบ...เมื่อผมกวาดสายตาไปเจอเข้าเท่านั้นก็ถึงกับใจเต้นตุบ ๆ ตับ ๆ แทบระเบิดออกมานอกอกเหมือนกัน..เสร็จแล้วผมก็ก้มลงมองบาตรพิจารณาปัจจเวกอาหารเตรียมฉัน แต่ใจมันก็ยังเต้นตุบตับ ๆ  ยอมรับว่าวันนั้นผมฉันข้าวไม่ได้เลย  ต้องรีบอิ่มลุกออกจากที่นั่งกลับกุฏิทันที

ธรรมเนียมเมืองอีสานนั้นใครอิ่มก่อนลุกก่อนอยู่แล้ว  ผมล้างบาตรเสร็จก็เข้าที่เดินจงกรมทันทีเกรงว่าจิตจะตกไปมากกว่านี้ เดินจงกรม พุท-โธ ๆ ๆ ตั้งแต่เช้าจนเที่ยงจิตก็สงบลงไปได้มากแต่ก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว  ยังวิตกวิจารณ์ถึงนัยน์ตาของหญิงสาวนางนั้นอยู่ดี รอบบ่ายกวาดวัดเสร็จก็เข้าที่เดินจงกรมต่ออีกจนกระทั่งดึกประมาณสองยามเห็นจะได้ขณะที่จิตสงบดิ่งอยู่กับการเดินจงกรมอยู่นั้น  สัญชาติญาณของคนเราก็จะพอรู้ว่าใกล้ ๆ ตัวเราขณะนี้มีสิ่งผิดปกติอยู่  ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตยิ่งรู้ได้เร็ว  ขณะที่ผมเดินจงกรมกลับไปกลับมาอยู่นั้น  ผมมองผ่านแสงเทียนไขที่จุดไว้ในโครมผ้าสีหมอง ๆ นั้น   สังเกตว่าที่ริมทางเดินจงกรมได้มีเงาตะคุ่ม ๆ คล้ายคน  ในใจก็คิดอีกว่าหรือจะเป็นผี  เพราะทางเดินจงกรมของผมอยู่ในป่าช้าฝังศพ มองไปทางไหนก็มีแต่หลุมศพทั่วไปหมด  หรือจะเป็นหมามาหากินเศษอาหารเครื่องเซ่นศพที่ตอนกลางวันนี้มีการฝังศพกัน  ผมคิดไปเอง...



จุ๊. จุ๊.!..ผมจุ๊ปากเพื่อไล่หมา  แต่ก็ เงียบ!ไม่มีเสียงกร๊อบแกร๊บอะไรอีก  ในใจก็คิดอีกว่าถ้าเป็นหมาก็ต้องวิ่งเหยียบใบไม้ให้ดังไปหมดทั้งป่าแล้ว   เอ๊!..ทำไมเงียบ หรือว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นหัวขโมยจะมาแอบลักของวัดหรืออย่างไร? หรือว่าจะเป็นผี! เพราะเมื่อมองผ่านแสงเทียนไขออกไปก็เห็นเงาคล้ายคนเรานี่นา  ผมจึงถามออกไปอย่างนั้นแหละไม่ได้หวังผลอะไรมาก? แต่ผลที่กลับมาเกินกว่าที่คาดคิด...ใครน่ะ!มาแอบทำอะไรแถวนี้...ทองเอง ค่ะ! ทองทิพย์ ค่ะ...ใจผมหายวาบ! หนูมาจังหันทุกวันจำหนูไม่ได้หรือ!เมื่อเช้าที่หลวงพี่มองมาทางหนูยังไงเล่าค๊ะ!..

ผมก็ถึงบางอ้อทันทีเลย...มาทำไมในป่าช้าดึกดื่นมืดค่ำอย่างนี้  ไม่กลัวผีหรอกหรือ!... มาชวนหลวงพี่ไปอยู่บ้านหนู หนูแอบชอบหลวงพี่มานานแล้ว...หนูเป็นลูกคนเดียวของเตี่ย  แม่หนูตายตั้งแต่เล็กไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย  เตี่ยรักหนูแต่เตี่ยก็หวงหนูไม่ให้หนูไปไหนให้คาดสายตาเลย ป่านนี้คงจะตามหาทั่วเมืองแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน..เสียงของเขาบาดลึกถึงหัวใจเหมือนอะไรบอกไม่ถูก ยิ่งพูดยิ่งสงสารเขา  บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าสงสารเขาทำไม  สงสารเขาได้อย่างไร?...ผมดูจิตของผมแล้วก็ทราบได้ดีว่า “..เมตตากำลังจะตกบ่อเสียแล้ว  เพราะความเมตตาสงสารนี่เอง...”และก็เกรงว่าถ้าพระเณรหรือใครผ่านมารู้เห็นเข้าก็จะไม่ดีไม่งาม  อีกอย่างหนึ่งก็ผิดพระวินัยด้วยที่เรามายืนคุยกับมาตุคามสองต่อสองในที่ลับหูลับตายามวิกาลเช่นนี้  ผมจึงรวบรัดตัดความว่า เอาอย่างนี้ดีไหม!วันนี้หลวงพี่ไม่ได้เตรียมสิ่งของอะไรมาด้วยเลย เพราะไม่รู้ว่าเธอจะมา ถ้าจะกลับเข้าไปเอาสิ่งของเดี๋ยวหมู่คณะพระเณรก็จะเห็น อีกอย่างหนึ่งก็ดึกมากแล้ว เราเดินทางกันไปได้คงไม่ไกลก็สว่าง คนแถวนี้ก็รู้จักเธอกันทั้งนั้น..เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้เรานัดเจอกันใหม่ดีไหม? หลวงพี่จะได้จัดเตรียมสิ่งของออกมาพร้อมแล้วค่อยว่ากัน วันนี้ให้เธอกลับบ้านก่อน..เธอคงนึกว่าผมมีใจเอนเอียงเป็นไปกับเธอด้วย...ก่อนออกเดินทางกลับบ้านเธอก็หันกลับมาย้ำกับผมอีกว่า...พรุ่งนี้ ก็พรุ่งนี้...


ผมมองเห็นเงาเธอเดินพ้นสายตาแล้ว  ผมก็รีบออกจากทางจงกรมกลับกุฏิทันทีเลยเหมือนกันกลัวว่าเธอจะหวนกลับมาอีก  ถึงกุฏิแล้วก็เตรียมเก็บสิ่งของอัฐบริขารใส่บาตรอย่างเร็ว   ฝากพระเพื่อนกันให้ช่วยกราบลาครูบาอาจารย์แทนด้วย เสร็จแล้วก่อนสว่างคืนนั้นผมก็รีบออกเดินทางมุ่งหน้าไปถ้ำเจ้าผู้ข้าทันที  เพราะเกรงว่าถ้าอยู่จนถึงสว่างแล้วเธอจะต้องมาจังหันจะต้องได้พบหน้าเธออีก  อาจจะทนความสงสารเธอไม่ได้...พอถึงถ้ำเจ้าผู้ข้าผมก็เดินจงกรมนั่งสมาธิประคองจิตใจของผมไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของลูกสาวพญามารนางนั้นอีกต่อไป...ผมไม่ได้ฉันข้าวเป็นเวลา ๑๕ วัน เพื่อต้องการทรมานจิตของผม  แล้วผมก็สามารถผ่านเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้อย่างสง่างาม  นึกขึ้นมาคราวใดก็ภาคภูมิใจในตัวเองเป็นที่สุด...หวุดหวิดเกือบจะเสียทีลูกสาวพญามารเข้าให้เสียแล้ว...


พวกเราพระหนุ่มเณรน้อยทุกรูปก็ขอให้ระมัดระวังเอาไว้ให้ดี บางทีเราอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคู่วาสนาเมื่อไร ที่ไหน กับใคร  ข้อสำคัญตัวเมตตาสงสารนั่นแหละสำคัญนัก  จะทำให้เราตกบ่อหรือตกหลุมได้ จะเสียพระ จะเสียคน พระผู้ใหญ่หลายรูปก็พังเพราะตัวเมตตาตกบ่อนี่แหละครับ !.  .จำเอาไว้...

(หลวงปู่เล่าเรื่องนี้ให้พระเณรฟังภายหลังจากสรงน้ำประจำวันเสร็จแล้ว)


หัวข้อ: Re: เมตตาตกบ่อ เรื่องคู่วาสนาบารมี เล่าเรื่องโดยพ่อแม่ครูอาจารย์
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กรกฎาคม 07, 2013, 04:16:23 pm
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่า ซึ่งเรื่องนี้ผมทราบประวัติมาก่อนนานแล้ว ธรรมดาปุถุชนยามมีความรักก็แย่อยู่แล้ว ยิ่งเป็นสงฆ์หนักหนากว่าร้อยเท่าทวีเลยนะครับ ตัวผมเองตามคำบอกกล่าวเล่าจากครูอาจารย์ก็เยื่องนี้เช่นกัน ยอมทอดอาลัยคิดหมายตายเพียงเธอจากไป นี่เพียงด้วยหลวงปู่ครูอาจารย์เมตตาในอดีตจึงอธิษฐานขอไร้คู่อยู่สันโดษชาตินี้จึงวางเฉยในอิสสตรีทั้งปวง พูดให้ง่ายคือไม่มีหญิงใดชนะใจผมได้เลยสักคน

     อยู่ได้ลำพังตัว          มิเกลื่อกกลั้วราคีหญิง
ผ้าเปื้อนชาดขยาดทิ้ง          ขี้ริ้วถูซับเท้าไคล
     หญิงยลมิสมสู่          รักยลขู่หรือกระไร
สวาทริ้มกระหยิ่มใจ          มือตรวนคล้องเขลาครองเรือน.
                                             ธรรมธวัช.!


หัวข้อ: Re: เมตตาตกบ่อ เรื่องคู่วาสนาบารมี เล่าเรื่องโดยพ่อแม่ครูอาจารย์
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ กรกฎาคม 26, 2013, 08:34:11 pm
 st11 st12


หัวข้อ: Re: เมตตาตกบ่อ เรื่องคู่วาสนาบารมี เล่าเรื่องโดยพ่อแม่ครูอาจารย์
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มกราคม 13, 2015, 07:55:22 pm
เรื่องจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ครับ