ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว  (อ่าน 40262 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


ลองเข้าไปดู คร้า.. เพื่อน ๆ ชอบไปฝึกกัน
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 02:59:37 am »
0

การเปิดจักร



ข้อสงสัย ในเชิงเปรียบ การฝึกสมาธิ กับ กรรมฐาน ฝ่ายพุทธ นะคร้า ... ไม่ใช่มาเผยแผ่ เรื่อง จักร นะคร้า...

อยากฟังคำแนะนำจากเพื่อน ๆ คร้า...
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 08:42:29 am »
0
การฝึก จักรา 7 นั้นตอนนี้แทรกเข้าไปแล้วในหมู่ ศาสนิกชนเท่าที่ทราบ 4 ศาสนาแล้ว

แม้ชาวพุทธ ก็ยังนำไปฝึก กันหลายท่าน

ก็เป็นหนึ่งในฝึกสมาธิ ที่มุ่งเน้นการรักษา สุขภาพ และ ความมีอำนาจจิต

ซึ่งแนวคิดในพระพุทธศาสนานั้น มุ่งหวังเรื่องเดียวคือการเจริญวิปัสสนา เป็นหลัก

องค์พระศาสดา พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงเรียน วิชาสมาธิ จากสำนักต่าง ๆ ในครั้งเมื่อพระองค์ บำเพ็ญ

6 ปีในนั้นมีิวิชา สมาธิ ที่พระองค์ ทรงเลือกเข้ามาสอนใน พระพุทธศาสนาที่ชัดเจน มี 40 วิชาสมาธิแต่เพราะ

ว่าเป็นวิชาที่สนับสนุน วิปัสสนา จึงเปลี่ยนเรียกจากการเรียกว่าฝึกสมาธิ เิป็น กรรมฐาน แทน

ซึ่งยังมีวิชา กรรมฐาน เฉพาะอีกมากมายในพระไตรปิฏก ที่เพียงจะสงเคราะห์เข้าใน 40 กองกรรมฐานได้

แต่ก็มีรูปแบบ ออกไปเฉพาะ ดังนั้นการฝึกสมาธิ ในพระพุทธศาสนามุ่งเน้น เรื่องวิปัสสนา นะจ๊ะ

ส่วนเรื่องของการแก้กรรม รักษาโรค เป็นต้น พวกนี้ถือว่าเป็นผลพลอยได้ เท่านั้น


เจริญพร

 ;)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:37:07 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 09:14:34 pm »
0
ป้า ขอถามผู้รู้ทั้งหลาย.......ว่า ปกติ เวลาเราดูอะไรโดยตา ......พอดูไปดูไป  ความรู้สึกมันเหมือนลูกตาเรามันวิ่งเข้าไปอยู่ในท้อง.....แล้วเวลามีอาการอย่างนี้แล้วจะมีความรู้สึกเหมือนตัวเราหดสั้นลงเหลือแค่ประมาณศอกเดียวเท่านั้น........มันเป็นภาวะอะไรและแก้ไขอย่างไร......
...................................................................................
ป้าจะถาม(อีกละ)...ว่าคนที่นั่งสมาธิกันมากๆนี่เคยมีอาการอย่างนี้บ้างไหม...
...อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำในสมองไหลดังเหมือนการกลืนน้ำลาย..ซึ่งเป็นเหตุจากการขยับตัวของสมองและก้านสมอง(อันนี้ป้า assumeเอาเอง).......ซึ่งอันนี้เป็นประสพการณ์ส่วนตัวป้าก็เลยเข้าใจคำโบราณที่เคยได้ยินมาว่า"ลมขึ้นเบื้องสูง"เป็นอย่างนี้เองหนอ....ใครที่มีประสพการณ์แบบอย่างนี้ช่วยเข้ามาเล่าให้ฟังบ้าเด้อ...จะขอบคุณมาก..............
....แล้วใครมีวิธีเดินลมปราณมาแนะนำบ้างไหม????? ป้าต้องการอ่านอ่ะ......
บันทึกการเข้า

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:29:56 am »
0
อ้างถึง
....แล้วใครมีวิธีเดินลมปราณมาแนะนำบ้างไหม????? ป้าต้องการอ่านอ่ะ......

ลิงก์ด้านล่างครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1118.msg4587#msg4587

คลิ๊กที่ค้นหา ก็ได้ครับ อาจจะมีอีกในเว็บนี้ เนื่องจากกระทู้มีมาก ใช้ปุ่มค้นหา ก็ดีนะครับ

 :08:

บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:44:19 am »
0
ขอบคุณจ้า...น้อง chatchay
บันทึกการเข้า

แมนแมน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 86
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 10:57:27 am »
0
ผมจำได้ว่า มีเรื่องของ ลมปราณเกือบ 12 เรื่อง

มีลมปราณ 7 ดาว ไท้แก็ก จันทร์ในบ่อ อานาปานสติ ธาตุ ชี่กง จักรา 7

ต้อง เสริชช์ครับ เคยอ่านเจอกระทู้ ตอนนี้กระทู้เยอะมากครับ เริ่มจะหายากขึ้น
 :25: :25:
บันทึกการเข้า

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
พลังกายทิพย์...พลังพิชิตโรค
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2010, 04:12:13 am »
0
พลังกายทิพย์...พลังพิชิตโรค
   

ต้นกำเนิดพลังกายทิพย์
   Cosmos คือ จักรวาล Cosmology คือ จักรวาลวิทยา วิชาที่กล่าวถึงพลังในจักรวาล (Cosmic energy) เชื่อว่า เป็นพลังที่ปรากฎในโลกมนุษย์ ได้จากดวงอาทิตย์แผ่รังสีไปกระทบดวงดาวต่างๆ ดวงดาวเหล่านี้มีแร่ธาตุที่แตกต่างกันจึงดูดซับและสะท้อนรังสีออกมามีสีแตก ต่างกัน และ เป็นรังสีที่แผ่มากระทบมนุษย์บนโลก มนุษย์มีพลังจิตที่มีความสามารถในการดูดซับรังสีเหล่านี้มาสะสมไว้ใน “กายทิพย์ (Etheric body)” จึงเรียกว่า พลังกายทิพย์ และ มนุษย์สามารถถ่ายเทเผื่อแผ่พลังเหล่านี้ไปสู่ผู้อื่นได้
 
   

 กายของมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ เรียกว่า กายเนื้อ สำหรับ กายทิพย์ คือ ส่วนที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่สามารถมองเห็นด้วยตาใน หรือ ตาที่สาม คือ การฝึกสมาธิ ในกายทิพย์ เชื่อว่า มีจักระ 7 แห่ง ซึ่งเป็นที่ดูดซับพลังและส่งพลังไปยังกายเนื้อให้ทำงานตามหน้าที่ กายทิพย์เป็นของ เทวดา มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน มีจักระเปิดทำงานตลอดเวลา กายเนื้อของมนุษย์ตายไปเหลือกายทิพย์เป็น เทวดา หรือ สัตว์เดรัจฉาน ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน สำหรับพระอรหันต์ปิดจักระหมดแล้วจึงไม่เกิดอีกต่อไป
Dr. Alex Gray เป็นจิตรกรผู้ที่ฝึกพลังกายทิพย์ มีหูทิพย์ตาทิพย์ ได้เขียนภาพ กายเนื้อ และ กายทิพย์ ของมนุษย์ไว้ กายเนื้อ เหมือนภาพกายวิภาคศาสตร์ กายทิพย์ลักษณะมีเส้นแสงเป็นสนามแม่เหล็ก มีจักระ 7 แห่ง จักระที่ 1 คล้ายดอกบัวบาน จักระที่ 1-6 โตไม่เกิน 3 นิ้ว แต่จักระที่ 7 โตเต็มศีรษะ ทุกจักระหมุนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอารมณ์มีกิเลสตัณหา ทำให้จักระไม่สมดุล จักระเรียงอยู่ตามแนวกระดูกสันหลัง ในแนวเดียวกัน มีบางคนเชื่อว่าไม่ได้เรียงเป็นแนวเดียวกัน มีการเหลื่อมเยื้องกันบ้าง

จักระในร่างกายมนุษย์
 จักระที่ 1 สีแดง 4 เส้นแสง เป็นขั้วลบ (-) ชื่อ มูลลัดดา หรือ Kundalini หรือ Serpentine ตำแหน่ง อยู่ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตและเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ

                                                                       
จักระที่ 2 สีส้ม 6 เส้นแสง ชื่อ สวัสดิ์ธนา ตำแหน่ง อยู่ที่ ก้นกบปลายสุด ตรงกับ Gonads (ต่อมเพศ) ซึ่งสร้าง sex hormones อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบสืบพันธ์ และ ระบบขับถ่าย (ไต?) เป็นจุดศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศ (ทั้งผู้ให้และผู้รับ) เกี่ยวกับความเชื่อมั่นในตนเอง ดูดซับพลังจากพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินจะกระจายพลังจากจุดนี้ออกไป นอนแต่หัวค่ำ ก่อน 21 น. ตื่นตี 5 ทำให้ melatonin หลั่ง ร่างกายจะกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค ทำให้ไม่เป็นโรคติดเชื้อ ถ้ากระตุ้นขึ้นบนไปจักระ 7 จะรุนแรงในทางสร้างสรรค์ มีความหวานหอม แต่ถ้ากระตุ้นลงล่างจะกระตุ้น sex ใจเร็วด่วนได้
   

     จักระที่ 3 สีเหลือง10 เส้นแสง ชื่อ มณีปุระ ตำแหน่ง อยู่ที่ บั้นเอว ตรงกับ สะดือ ตรงกับ Adrenal gland (ต่อมหมวกไต) เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ที่ไม่ได้ผ่านการซักฟอก ในขณะที่เราตกใจกลัว กล้ามเนื้อบริเวณสะดือ จะหดตัวลง จักระ 3 มีหน้าที่ผลิตเนื้อเยื่อกระดูกหนาขึ้น ผลิตเม็ดเลือดแดง ระบบการย่อยอาหาร (กลิ่น รส กระเพาะอาหาร ตับ) ระบบขับถ่าย (ไต) อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ท้อง ตับ กระเพาะอาหาร และ ลำไส้ ถ้าขาดพลังจักระ 3 ไม่มีแรง ถ้ากระตุ้นจักระ 3 จะรู้สึกหิว

    จักระที่ 4 สีเขียว 12 เส้นแสง ชื่อ อนัตตา ตำแหน่ง อยู่ที่ ตรงกลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ ตรงกับ Thymus gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ หัวใจ และ ระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริงอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ความเมตตากรุณา และ ความเสียสละ หลายต่อหลายวิธีของการปฏิบัติสมาธิของชาวตะวันออก เพื่อกระตุ้นจักระนี้ มีสีดอกไม้ใบหญ้า ถ้าขาดพลังจักระ 4 ทำให้ไขมันสูง Triglyceride สูง ก่อกรรม Rx. เมตตากรุณา ไม่หวังผลตอบแทน ลดความโลภ โกรธ หลง

    จักระที่ 5 สีฟ้า 16 เส้นแสง ชื่อ วิสุทธิ์ ตำแหน่ง อยู่ที่ กระดูกต้นคอ ตรงกับ Thyroid gland อวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ ปอด Rx. โรคระบบหายใจ ผิวหนัง หอบหืด เคราะห์กรรม ถูกกระทำย่ำยี สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ พูดเพราะ หูทิพย์ ฟังเทวดาได้ พิธีกรรม สวดมนต์ ดนตรีไทย (ฉิ่งฉาบกลอง มี alpha wave)

    จักระที่ 6 สีไพลิน (สีน้ำเงิน) และ กุหลาบทอง 96 เส้นแสง ชื่อ อัจนา หรือ อัจฉริยะ ตำแหน่ง ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางหน้าผาก ตรงกับ Pituitary gland (ต่อมใต้สมอง) อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ สมองส่วนล่าง และ ระบบประสาท เป็นที่รวมของปัญญา เป็นดวงตาที่สาม และ พาหนะแห่งญาณวิเศษ ติดต่อกับเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน Rx. ทำลายสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง, Parkinson, Alziemer syndrome คุณย่ามีภาพเด็กชาวรัสเซียมีตาที่สาม คือ พระอิศวร เด็กคนนี้สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

    จักระที่ 7 สีม่วง 972 เส้นแสง เป็นขั้วบวก (+) มีเส้นแสงสีทอง 12 เส้นตรงกลาง และ สีม่วง 960 เส้น โดยรอบ รวมเป็น 972 เส้น เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในกายทิพย์ เป็นสถานที่รับพลังคอสมิกและกระจายไปทั่วร่างกาย ตำราอินเดียเรียกชื่อว่า สหัชชะ หรือ สหัสรา แปลว่า หนึ่งพัน หรือ 1,000 เส้นแสง ตำแหน่ง อยู่ที่ กลางศีรษะด้านบน เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว ตรงกับ Pineal gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ สมองส่วนบน ระบบประสาท ระบบโครงสร้าง และ ระบบหมุนเวียน โดยทั่วไปของร่างกาย Rx. ระบบโครงสร้างและข้อต่อ เป็นจุดที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยที่จักระอื่นๆ ไม่สามารถจะรักษาได้โดยตรง
 

คุณสมบัติของพลังกายทิพย์
 1. เป็น alpha wave มีความหนาแน่นมาก เป็นพลังขั้วลบ ไปพบกับพลังขั้วบวกในร่างกาย
 2. มีจำนวนมากในตอนกลางวัน
 3. มีความถี่มากกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า เดินทางเร็วกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า
 4. มนุษย์สามารถดูดซับพลังกายทิพย์ได้โดยกำหนดจิตที่จักระ 7 กลางกระหม่อม
 5. สะท้อนที่กระจกได้ ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น
 6. เห็นเป็น aura สะท้อนออกจาก ปลายนิ้ว กลางอุ้งมือ และ ที่ตาที่สามกลางหน้าผาก Valentino Corion และ Densa Corion ชาวรัสเซีย เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพ aura ได้ กล้องนี้มีอยู่ที่ องค์การนาซ่า และ ประเทศรัสเซีย เท่านั้น
 

 7. นำไปได้ด้วยสายไฟ สายโทรศัพท์
 8. เก็บไว้ได้ในสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ไม้ น้ำ ฯลฯ เช่น พลังพุทธคุณ ในน้ำมนต์วัดพระแก้ว
 9. ความหนาแน่นขึ้นกับ ดินฟ้าอากาศ และ ตำแหน่ง สูงขึ้นไป 15,000 เมตร เป็นเปลือกห่อหุ้มโลก มีสีขาวเงินยวง พยับแดด เชื่อว่า เป็น ชั้นเทพเทวดา
 10. ควบคุมโดยสมาธิจิต
 11. ซึมซับโดยพลังจิต ให้ไป ใกล้ หรือ ไกล
 12. ใช้ในทางสร้างสรรค์ หรือ ดี หรือ ชั่วร้าย สาบแช่ง ได้ rusputin ฝึกพลังกายทิพย์ ไปรักษาโอรสของพระเจ้าซาร์ ซึ่งเลือดออกมากให้หยุดได้ แต่ไปปลุก sex ทำให้พลังเคลื่อนที่ลงที่จักระ 1 ต้องรู้จักบังคับให้เคลื่อนขึ้นบนไปที่จักระ 7 จึงจะใช้เพื่อคุณประโยชน์ ในที่สุด rusputin ตายอย่างอนาถ


ที่มา

ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อำนาจปีติในสมาธิ มีผลต่อสุขภาพกาย
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2010, 04:18:35 am »
0
จากประสบการณ์ส่วนตัวได้พบว่า  การฝึกสมาธิให้ได้ผลอย่างน้อยในระดับปิติทำให้มีสารEndorphineหลั่งออกมา  สามารถนำมาใช้รักษาหรือส่งเสริมการรักษาโรคเรื้อรังที่ต้องกินยาแผนปัจจุบัน เป็นประจำได้หลายโรค  โดยสามารถหยุดยาหรือลดยาลงได้
          เท่าที่รวบรวมได้ก็มีอาการต่อไปนี้คือ  ปวดศีรษะเรื้อรังจากความเครียด  ปวดศีรษะไมเกรน  เวียนศีรษะ  ตามัว
นอนไม่หลับ  นอนฝันตื่นแล้วอ่อนเพลีย  ปวดตึงกล้ามเนื้อคอ
กล้ามเนื้อหลังและเอว  กระดูกทับเส้นประสาทที่คอหรือเอว
ปวดตามข้อต่างๆ ใจสั่นหายใจไม่อิ่ม  โรคกระเพาะอาหาร
ระบบย่อยอาหารผิดปกติ  อาการภูมิแพ้ต่างๆ
          ไม่ทราบว่าท่านสมาชิกท่านใดมีประสบการณ์ทั้งด้วยตนเองหรือจากคนที่รู้จัก  ใคร่ขอความกรุณาเล่ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยครับ  โดยเล่าความเป็นมา  การรักษาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ  รวมทั้งการฝึกสมาธิและผลที่ได้รับในขณะนี้ด้วยครับ
          ขอขอบคุณล่วงหน้ามา ณ.ที่นี้ด้วยครับ

 จากคุณ : kaipure2@ksc.th.com
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ท่าที่ 4 ลมปราณซ่านกายา ( พลังซี่กง )
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2010, 04:25:07 am »
0
ชี่กง...การฝึกหายใจบำบัดโรค

ชี่ กง ฟังดูแล้วชวนให้นึกถึงหนังจีนกำลังภายใน ซึ่งโดยความหมายก็ไม่แตกต่างจากที่คิดนักเพราะชี่กงก็มีต้นกำเนิดจากแผ่นดิน ใหญ่มากว่า 4,000 ปีก่อนพุทธกาลเสียอีก

หลายคนคงเคยได้ยินและรู้จัก "ชี่กง" กันมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ชี่ กง มีชื่อเสียงในเรื่องของสุขภาพมากว่า สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยบำบัดโรคได้หลายโรค อาทิ โรคหวัด โรคภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง โรคติดเชื้อบางชนิด หรือแม้กระทั่งมะเร็งก็สามารถช่วยอาการจากโรคนี้ให้ดีขึ้น

ชี่กงคืออะไร
ชี่ กงมาจากคำว่า"ชี่" หมายถึงพลังชีวิตซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนในรูปแบบที่แตกต่างกัน เรารับเอา ชี่ มาจากภายนอกโดยการกินอาหาร รับแสงแดด การหายใจ เป็นต้น "กง" คือการ กระทำที่นำไปสู่พลังชีวิต "ชี่กง" จึงหมายถึง การฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนพลังชีวิตในร่างกาย

ชี่กงคือ การบริหารร่างกาย ซึ่งประกอบไปด้วยหลัก 3 ข้อ ได้แก่ หายใจ เคลื่อนไหว สมาธิ หลักของชี่กงตรงกับระบบรักาาทางการแพทย์แบบองค์รวม ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตควบคู่ไปกับการรักษาทางกาย ดังนั้นในการฝึกชี่กง กายคือการเคลื่อนไหว จิตคือภาวะสงบ

ชี่กง มีความเป็นมาอย่างไร
ชี่ กงหรือการฝึกหายใจมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในประเทศจีนได้ถูกบันทึกไว้ใน ตำรับตำราการแพทย์นับตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาแล้ว และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแพทย์แผนโบราณของจีนการฝึกการหายใจ ประกอบด้วยทูน่า (การหายใจออกและการหายใจเข้า) สมาธิ (การนั่งอย่างเงียบๆกำหนดการหายใจ) และเน่ยกง (การมุ่งฝึกกำลังภายในด้วยตนเอง) การฝึกฝนร่างกายด้วยท่าต่างๆ การกำหนดลมหายใจและจิตใจจะทำให้คนสามารถบ่มเพาะพลังชีวิตขึ้นมาบำบัดรักษา ความเจ็บป่วย และทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

ตามทฤษฎีการแพทย์จีนแผน โบราณนั้น พลังชีวิตหรือชี่ มีความหมายอย่างมาก มันเป็นพื้นฐานทางวัตถุของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของชีวิตมนุษย์ เมื่อชีวิตสิ้นสุดลง พลังชีวิตนี้จะหายไป พลังชีวิตที่เข้มแข็งจะทำให้คนเรามีสุขภาพดี ส่วนพลังชีวิตที่อ่อนแอจะทำให้เรามีสุขภาพที่ไม่ดี ดังนั้นการแพทย์แผนโบราณของจีน จึงให้ความกับใจอย่างมากต่อการบ่มเพาะพลังชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพดี
ชี่กงในเชิงวิทยาศาสตร์

ใน เชิงวิทยาศาสตร์ชี่กงเป็นพลังงานหลายรูปแบบ ที่พบมากคือคลื่นรังสีอินฟาเรดและประจุไฟฟ้า ปรัชญาทางการแพทย์กล่าวถึงความสำคัญของสมดุล และการไหลเวียนของเลือดเหมือนนำที่ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน ซึ่งชี่จะไปตามกระแสเลือด การอุดตันของเส้นพลังงานจึงอาจเกิดทำให้เกิดความเจ็บปวด ซึ่งรักษาได้ด้วยการ ฝังเข็ม การกดจุด และชี่กง

การออกกำลังกายแบบชี่กง
ชี่ กงเป็นการออกกำลังกายแบบ exercise ที่ระบบ autonomic เช่นการทำให้มือที่เย็นเปลี่ยนเป็นร้อน ความดันก็จะลดลง การทำให้นำลายที่แห้งกลับมีนำลายออกมา หรือทำให้ลำไส้ซึ่งเคยนิ่งกลับทำงาน เวลาฝึกจึงมักผานลม หรือท้องร้อง

ชี่กงไม่ใช่สูตรสำเร็จ
การ ออกกำลังกายด้วยการฝึกชี่กงไม่ได้เน้นเรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเป็น หลัก เพราะคนแข็งแรงไม่จำเป็นต้องกล้ามใหญ่ แต่ต้องมีความว่องไว และความทนทานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ชี่กงไม่ใช่สูตรสำร็จ จึงควรออกกำลังกายอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น จ๊อกกิ้ง ไทเก๊ก หรือรำตะบอง

ชี่กงรักษาโรคได้จริงหรือ
นาย แพทย์เทอดศักดิ์ยืนยันว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามีการวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศ รวมทั้งมีการเผยแพร่ ข้อมูลผ่านทางวารสารทางการแพทย์ในประเทศจีน พบว่า โรคที่ตอบสนองได้ดีกับการฝึกชี่กงคือ โรคในกลุ่มที่เรียกว่า psychosomatic ซึ่งก็คือโรคทางกายอันเนื่องมาจากจิตใจ เช่น ไมเกรน ความดันสูง ภูมิแพ้

ผลของชี่กง
• ผลของจิตใจ ที่สงบสบาย ย่อมทำให้ร่างกายสมดุล เจ็บไข้ได้ยาก ที่ป่วยก็หายเร็วขึ้น
• ผลของสมาธิ สมาธิที่เกิดระหว่างการฝึกจะทำให้สมองปลอดโปร่ง ลดการทำงานของหัวใจ ความดันเลือดลดลง เนื่องจากการขยายของหลอดเลือดฝอย ย่อมผ่นระบบประสาทอัตโนมัติ
• ผลของภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันที่ทำงานสมดุล พบว่าการฝึกตนเองจะทำให้มีการเพิ่มของเม็ดเลือดขาว ผู้ที่แพ้อากาศมักมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
• ผลต่อระบบโฮร์โมน ทำให้ระบบฮอร์โมนเกิดความสมดุล ตั้งแต่ต่อมใต้สมองไปจนถึงต่อมหมวกไต
• ผลของการออกกำลังกาย การออกกำลังกายพร้อมกันทั้งกายใจ ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง

กระบวนท่าในการฝึก
เนื่อง จากปัจจุบันนี้ชี่กงกลายเป็นศาสตร์ตะวันออกซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ทำให้เกิดสำนักฝึกชี่กง ขึ้นมากมาย และมีชี่กงแบบต่างๆถึง 3000กว่าสำนัก แต่ท่าที่รับความนิยมอย่างกว้างขวางคือชี่กง 18 ท่าซึ่งดีต่อผู้ใหญ่ แต่สมาธิไม่ต่อเนื่อง อีกแบบคือสำนักฝ่าหลุนกง ซึ่งมีเพียง 5 ท่า เน้นที่ความนิ่ง ท่าน้อยแต่ให้พลังมาก

ข้อดีของชี่กง
คือ สามารถฝึกได้เองในท่าง่ายๆ โดยดูจากหนังสือแล้วฝึกตาม หรือเข้ากลุ่มฝึกตามสถานที่ที่มีการออกกำลังกายแบบชี่กง หากอยากเรียนรู้ให้ลึกซึ้งและได้ผลมากขึ้น ก็สามารถ ไปเรียนกับผู้รู้หรือที่เรียกว่าอาจารย์ตามสำนักต่างๆ

วิธีเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย
การ ฝึกควรทำก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฝึก ควรสวมเสื้อผ้าที่สบายยืดหยุ่นดี แต่ไม่ควรสวมรองเท้า ไม่ควรฝึกในอารมณ์ที่ไม่ดี หากกำลังเครียดต้องฝึกหายใจ จนความเครียดลดลงระดับหนึ่งก่อนจึงเริ่มฝึกชี่กงไป


กระบวนท่าในการฝึกชี่กง


• ท่าที่ 1ปรับลมปราณ
วาง เท้าแยกกันด้วยความกว้างเสมอไหล่ ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ปล่อยแขนทั้งสองข้างวางข้างลำตัว ค่อยๆหงายฝ่ามือแล้วยกขึ้น ผ่านทรวงอกถึงระดับคาง หายใจเข้าช้าๆแล้วควำฝ่ามือ ลดลงจนถึงระดับเอว ย่อเข่า จังหวะนี้หายใจออกช้าๆ

• ท่าที่ 2 ยืดอกขยายทรวง
จากท่า ที่ 1 ซึ่งยังคงย่อเข่า ค่อยๆยกมือขึ้น และเคลื่อนมาช้าๆมาด้านหน้าจนถึงระดับอก จึงค่อยๆกางแขนออกไปจนสุดแขน หายใจเข้าช้าๆ ค่อยๆดึงมือกลับมาในทิศทางเดิม ลดฝ่ามือลงแนบข้างลำตัว ย่อเข่าจังหวะนี้หายใจออกช้าๆ

• ท่าที่ 3 อินทรีทะยานฟ้า
จากท่าที่ 2 กางแขนออกทางด้านข้าง เหยียดขาตรง ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้า ลดแขนลงข้างลำตัว หายใจออก

• ท่าที่ 4 ลมปราณซ่านกายา
จาก ท่าที่ 3 ตวัดช้อนข้อมือจากด้านข้างเข้าหาตัว เสมือนเอาพลังจากธรรมชาติเข้ามาในร่างกาย หงายฝ่ามือยกขึ้นจนถึงระดับคาง แล้วคว่ำฝ่ามือลง ลดฝ่ามือ จนถึงระดับเอว ย่อเข่า(หากเป็นท่าจบ เมื่อลดฝ่ามือลงให้แขนแนบลำตัวไม่ต้องย่อเข่า) การวางจิตใจ ให้วางไว้ที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าทั้งสองข้าง


ที่มา : คู่มือ หมอประจำตัว
คู่มือฝึกชี่กง “ต้าวสือ” แปลและเรียบเรียง
http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=77
http://www.stottpilates.com/warmup/en/images/lifestyle/natalia-breathing.jpg
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:09:07 pm »
0
การไหลเวียนของพลังปราณใน 12 ยาม
การดูแล สุขภาพ แบบจีน
อาหาร ที่เรา รับประทาน เข้าสู่ ร่างกาย นั้น ร่างกาย จะนำ ไปสร้าง เป็น พลังปราณ หรือ พลังงานรวม โดยการ ไหลเวียน ไปกับ โลหิต สู่อวัยวะ ภายใน ทั่วร่างกาย ครบหนึ่งรอบ ใน 24 ชั่วโมง หรือ 12 ยาม แต่ละจุดใช้เวลา 2 ชั่วโมง หรือ 1 ยาม ในการ ไหลเวียน สู่อวัยวะ ภายใน แต่ละส่วนนั้น เริ่มต้นจาก ปอด สิ้นสุดที่ ตับ โดยเริ่ม นับจาก ยาม เวลาที่ พระอาทิตย์ขึ้น ชาวจีน เริ่มนับ จากยาม a เอี๊ยง เวลา 03.00 ถึง 04.59 น. เป็นเวลา ที่พระอา ทิตย์ขึ้น


1.ปอด เวลา 03-04.59 น. ยาม เอี๊ยง
พลังงาน จะเคลื่อนเข้าสู่ปอด ถ้าปอด แข็งแรง ผู้นั้น จะหลับ สนิท ถ้าเป็น โรคปอด หรือ สูบบุหรี่ จะไม่ รู้สึก สบายตัว และจะ ถูกปลุก ให้ตื่น ช่วงนี้ จะไอ และ หายใจขัด


2.ลำไส้ใหญ่ เวลา 05-06.59 น. ยาม เบ้า
พลังงาน จะเคลื่อน เข้าสู่ ลำไส้ใหญ่ เป็นช่วง ที่เราต้อง ถ่ายอุจจาระ ร่างกาย จะต้อง เอาของเสีย ทิ้งให้ หมด ก่อน 07.00 น. ถ้า ไม่ถ่าย ร่างกาย จะเริ่ม ดูดซึม ของเสีย เข้าสู่ ระบบเลือด นี่เป็น สาเหตุ ให้เกิด ริ้วรอย บนใบหน้า เกิดไขมัน เสีย ๆ ควรออก กำลังกาย ช่วงนี้ เพื่อให้ ลำไส้ใหญ่ ขยับตัว และเพิ่ม ศักยภาพ ในการ ขับเคลื่อน ของเสีย


3.กระเพาะอาหาร เวลา 07-08.59 น. ยาม ซิ้ง
กระเพาะ อาหาร จะ ทำงานได้สูงสุด ในช่วงนี้ เท่านั้น กระเพาะ อาหาร จะต้อง การอาหาร และจะ หลั่งน้ำย่อย มากที่สุด ผู้ที่ ไม่รับประทาน อาหารเช้า จะมี โอกาส เป็นโรคกระเพาะ อาหาร และ จะเกิด โรคหัวใจ ด้วย เพราะ ไม่ได้ สารอาหาร สำหรับ ทุกอวัยวะ เพื่อกลับ ไปสร้าง พลังงานรวม


4.ม้าม เวลา 09-10.59 น. ยาม จี๋

ม้าม จะเริ่ม เก็บพลังงาน สำรอง เก็บสาร อาหาร จากการ ย่อยของ กระเพาะอาหาร การที่ เราไม่ได้ รับประทาน อาหารเช้า ร่างกาย จะดึง พลังงาน สำรอง ออกมาใช้ พลังงานรวม จะหายไปร่างกาย จะอ่อนแอ ไม่มีแรง


5.หัวใจ เวลา 11-12.59 น. ยาม โง่ว
พลังงาน จะเคลื่อนที่ ไปที่ หัวใจ ถ้าร่างกาย ไม่ได้ สารอาหาร หัวใจ จะทำงาน ลำบาก หัวใจวาย ได้ง่าย ในช่วงนี้


6.ลำไส้เล็ก เวลา 13-14.59 น. ยาม บี่

พลังงาน จะเคลื่อน สู่ลำไส้เล็ก แล้ว ลำไส้เล็ก จะทำงาน โดยเปลี่ยน รูปอาหาร ที่ได้จาก ตอนเช้า ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ เป็นพลังงาน ทั้งหมด ถ้าไม่ได้ รับอาหารเช้า อาหาร ที่จะ ย่อยใน ลำไส้เล็ก ก็ไม่มี ลำไส้เล็ก ก็จะ ย่อยตัวเอง และเริ่ม อ่อนแอ


7.กระเพาะปัสสาวะ เวลา 15-16.59 น. ยาม ซิม
พลังงาน จะเคลื่อน มาที่ กระเพาะ ปัสสาวะ ของเสีย ที่เกิดขึ้น จากการ แปรรูป อาหารที่ ลำไส้เล็ก จะเกิดขึ้น กระเพาะ ปัสสาวะ จะทำงาน มากที่สุด


8.ไต เวลา 17-18.59 น. ยาม อิ๋ว

พลังงาน จะเคลื่อน มาที่ ไต ช่วงนี้ ไต ทำงานหนัก ไม่ควร ออกกำลังกาย การออก กำลังกาย ช่วงเย็น จะทำให้ ไตวาย ง่าย เวียนหัว ตาพร่า ปวดศีรษะ


9.หัวใจ เวลา 19-20.59 น. ยาม สุก

พลังงาน จะเคลื่อน มาที่ กล้ามเนื้อ หัวใจ จะทำงาน ชะล้าง ตัวเอง ทำงานช้าลง ช่วงนี้ ต้องพักผ่อน ถ้าไม่พัก เลือดจะข้น กล้ามเนื้อ หัวใจจะทำ งานหนัก ทำให้ หัวใจโต


10.เส้นสามส่วน เวลา 21-22.59 น. ยาม ไห

ร่างกาย จะสะสม พลังงานรวม พลังงานของร่างกาย จะสร้าง ช่วงนี้ เท่านั้น จึงควร พักผ่อนเข้านอน 3 ทุ่ม


11.ถุงน้ำดี เวลา 23-00.59 น. ยาม จื้อ

พลังงาน ที่สร้างขึ้น จะเคลื่อน เข้าสู่ ถุงน้ำดี ล้างถุงน้ำดี ทำให้ ถุงน้ำดี แข็งแรง ย่อยไขมัน ที่จะ เปลี่ยนรูป ไปเป็น ฮอร์โมน กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ไขสมอง น้ำหล่อเลี้ยง ในร่างกาย ทั้งหมด การย่อย ไขมัน ของร่างกาย จะเกิดขึ้น ในช่วงนี้ เท่านั้น หากไม่ พักผ่อน ช่วงนี้ ไขมัน ดังกล่าว จะตก ตะกอน อยู่ตาม ร่างกาย เช่นถุง ไขมัน ใต้ตา มีพุง สมอง เลอะเลือน ง่าย ปวดไหล่ ปวดท้อง ง่าย บริเวณ ลำไส้ใหญ่ ท้องเสีย หรือ ท้องผูก ง่าย


12.ตับ เวลา 01-02.59 น. ยาม ทิ่ว

พลังงาน จะเคลื่อน เข้าสู่ ตับ ตับจะเริ่ม ทำงาน โดยใช้ พลังงาน ที่สะสมไว้ ตับจะ สะสม อาหาร สำรอง ให้ร่างกาย กำจัด ของเสีย ผลิตน้ำดี และส่ง ไปเก็บ ที่ถุง น้ำดี ถ้าช่วงนี้ ไม่หลับ นอนร่างกาย จะสูญเสีย พลังงาน ที่สะสมไว้ ตับจะ อ่อนแอลง การสะสม พลังงาน สำรอง ลดลง การผลิต น้ำดี ก็ลดลง ส่งผล กระทบ ต่อการ ทำงาของ ตับอ่อน เป็นผลให้ การผลิต อินซูลิน ลดลงด้วย โรคที่ จะเกิดขึ้น คือ โรคเกี่ยว กับ ความดัน โลหิต แปรปรวน โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ภูมิคุ้ม กันบกพร่อง เบาหวาน หัวใจ กระดูกเสื่อม
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:10:14 pm »
0
. . . ม นุ ษ ย์ นั้ น มี ร่างกายและจิตใจ ทำงานร่วมกัน

ร่าง กายของมนุษย์เรานอกจากรูปร่างหน้าตาภายนอกซึ่งเรียกว่ากายเนื้อหรือกายหยาบ แล้ว ยังมีร่างกายภายใน ที่เป็นกายละเอียดเกาะเกี่ยวซ้อนทับอยู่ภายในร่างกายซึ่งเรียกว่ากายทิพย์ กายทิพย์นั้นเป็นคลื่นพลังงานที่มีรัศมีเรืองรอง สามารถแผ่ซ่านออกมานอกกายเนื้อตามกระแสพลังของจิตใจ-อารมณ์-ความคิด-และความ สมบูรณ์ของร่างกาย ซึ่งบางคนอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือที่เรียกว่าออร่า

กายทิพย์หากมีรัศมีหม่นมัว สีสันไม่แจ่มจ้าสดใส อาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีอารมณ์ความคิดที่เป็นด้านลบ การสัมผัสถึงกายทิพย์หรือรัศมีกายทิพย์ของผู้อื่น สามารถทำได้ แม้นจะไม่ใช่การมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก ล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นกำลังตกอยู่ในความสุขความเศร้า เป็นคนนิสัยใจคออย่างไร แม้รูปร่างภายนอกจะดูดี พูดจาดี แต่เราอาจรู้สึกว่าเขากำลังเจ็บป่วยทางใจ คือไม่เหมือนอย่างที่เห็น คนที่รู้สึกถึงกายทิพย์นี่ได้ จะต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตพอควร ไม่ใช่ทึกทักเอาตามความคิด

กายทิพย์และรัศมีกายทิพย์มีความละเอียดซับซ้อนมาก นอกจากจะบอกเรื่องสุขภาพหรือปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับกายหยาบล่วงหน้า ยังบอกถึงสภาพอารมณ์จิตใจ โชควาสนา และยังมีความเชื่อกันว่า สามารถบ่งบอกถึงอดีตชาติซึ่งเป็นกายทิพย์ชาติก่อนๆ ซ้อนทับกันลงไปเรื่อยๆ แม้กายภายนอกของชาติก่อนๆ จะตายไปแล้ว แต่กายทิพย์ของชาติก่อนๆ ยังซ้อนกันอยู่ นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนเราในชาตินี้ มีนิสัยใจคอ-ความรู้ความสามารถติดตัวมาจากชาติก่อนๆ ด้วย

จิตนั้นต้องเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน อาศัยรูปขันธ์เกิดตามวิบากกรรมหรือที่เรียกว่าวาสนาบารมี จะเกิดมาดีบ้างหรือไม่ดีบ้างขึ้นลงวนอยู่ในภพภูมิสูงต่ำไปตามยถากรรม ซึ่งตัวเองปรุงแต่งไว้ตามกิเลสความลุ่มหลงและอุปาทานในขณะนั้นๆ เกิดดับเรื่อยมาช้านานด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นี้เองที่นำพาจิตเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ หาทางหลุดพ้นไม่เจอ จนกว่าจะเกิดความรู้ขึ้นมา และหาทางยุติกรรมได้ด้วยความรู้นั้น

แต่ในขณะที่จิตยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏะ ก็ยังต้องอาศัยรูปหรือร่างกายเป็นแดนเกิดเพื่อสะสางกรรมที่สร้างไว้ รูปหรือร่างกายที่อาศัยนี้ก็ไม่มีความคงทน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติและกฎกรรมตลอดเวลา มีความเสื่อมและเจ็บป่วยอยู่เสมอ สร้างความทุกข์ให้มิใช่น้อยแม้นยังไม่ตาย การเสริมสร้างพลังกายทิพย์ นับว่าเป็นการเสริมสร้างพลังทางร่างกาย และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นด้วย เพราะการเสริมสร้างพลังกายทิพย์ ก็คือการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นนั่นเอง

แม้นปัจจุบัน วิทยาการแพทย์ในยุคดิจิตอลจะก้าวหน้าไปมาก แต่ท่ามกลางความเจริญก็กลับนำพาสารพิษและมลภาวะรวมถึงความเครียดในการดำรง ชีวิตในสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันมาสู่สุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคนในสังคมเมือง

ในร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ ประกอบด้วยธาตุหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ (จิต) หากรักษาความสมดุลของธาตุทั้งหลายเหล่านี้ไว้ได้ สุขภาพก็จะแข็งแรง กายทิพย์เองก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสมดุลในร่างกายเช่นกัน ทั้งยังสามารถพัฒนากายทิพย์ให้ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติทาง จิตและทางกาย

นอกจากกายทิพย์จะมีความคงทนถาวรกว่ากายเนื้อ ทั้งยังต้องเดินทางเกาะเกี่ยวไปกับจิตอีกเนิ่นนานและจะอีกนาน.. ไปจนกว่าจิตจะชำระล้างกิเลสเข้าสู่ความบริสุทธิ์หรือเข้านิพพาน หากกายเนื้อตายลงนั้น กายทิพย์หรือกายวิญญาณที่อยู่กับจิตก็จะต้องหาร่างกายใหม่หรือรูปขันธ์ใหม่ อาศัย ซึ่งจะเป็นไปตามวิบากบุญบาปที่สร้างเอาไว้ หากไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม กายใหม่จะละเอียดมากกว่ากายทิพย์ขณะเป็นมนุษย์ และจะมีผลต่อกายทิพย์ในกายใหม่นั้นด้วย กายทิพย์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามบุญวาสนาและสภาพจิตใจ

กายทิพย์ที่มีพลานุภาพ ย่อมทำให้กายหยาบมีพลานุภาพไปด้วย การเพิ่มพลังอานุภาพให้กายทิพย์คนเรานั้น สามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ด้วยการรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นผักผลไม้สะอาด การอยู่ในธรรมชาติที่สะอาด มีผลต่อสุขภาพร่างกายฉันใด การให้อาหารจิตที่ดี เช่นมีความคิดในด้านบวก มีความรักความเอื้ออาทร หรือการฝึกฝนสมาธิจิต ฯลฯ ก็มีผลต่อสุขภาพจิตฉันนั้น


.. ภายในกายเนื้อหรือกายทิพย์ จะมีจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต จักระ1 อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง จักระ2 อยู่ตรงก้นกบมีสีส้ม จักระ3 อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง จักระ4 อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว จักระ5 อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอมีสีฟ้า จักระ6 อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน จักระ7 อยู่บนกระหม่อมมีสีม่วง

เมื่อปราณหรือพลังกุณฑาลินี ที่สถิตปลายสุดของกระดูกสันหลัง ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มันจะพุ่งสู่จักระสุดท้ายเหนือศีรษะ ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมด มันจะมอบความรู้แจ้งในตนเองให้กับผู้ที่ทำได้ แต่ละจักระจะมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ เมื่อจักระทั้งเจ็ดถูกเปิดขึ้น สามารถเดินลมปราณได้ทะลุทะลวงทั่วร่างกาย จะทำให้ร่างกายสามารถแก้ไขความไม่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการนำคลื่นพลังหรือปราณไปแก้ไขในจุดที่บกพร่อง ทั้งยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติขั้นสูงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความสุขสงบ และพบความสมบูรณ์ทางจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ และนำพลังชีวิตไปใช้ในทางสร้างสรรค์ อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้ออาทรและมีความเมตตา นอกจากสุขภาพจะพัฒนาดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ยังช่วยให้ตื่นตัวไวต่อการรับรู้ถึงพลังธรรมชาติรอบ ๆ ตัวของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราจึงสามารถทำให้กายทิพย์แข็งแรงทั้งด้วยการขับเคลื่อนปราณในร่างกาย และนำพลังจักรวาลเข้ามาฟื้นฟูพลังกายทิพย์เราได้

ขุมพลังสู่การเพิ่มอานุภาพพลังกายทิพย์
ด้วย พลังสมาธิ - พลังปราณ - พลังคอสมิค

พลังสมาธิ (พลังจิต) การจะฝึกฝนศาสตร์และองค์ความรู้ทุกแขนง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สมาธิ-สติ-ปัญญา เป็นตัวนำพาเราไปสู่ขบวนการความรู้แจ้งในศาสตร์นั้นๆ สมาธินับเป็นฐานกำลังสำคัญต่อกระบวนทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิให้จิตสงบแน่วแน่มีพลานุภาพต่อการรับรู้และนำมาใช้งานนั้นเป็น เรื่องจำเป็น เพราะจิตใจที่ไม่เป็นระเบียบและไม่เป็นสมาธิ จะไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้เลย สมาธิเองเป็นฐานที่จะปฏิบัติให้พลังกายทิพย์ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน การรวบรวมสมาธิได้ ย่อมปลุกพลังปราณและรับพลังคอสมิคได้ การรับปราณภายนอกตัวและพลังคอสมิค ในขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิสูงอะไรเลยด้วยซ้ำ

พลังปราณ (พลัง ชีวิตหรือพลังกุณฑาลิณีหรือคนจีนเรียกว่าชี่) พลังปราณหรือพลังชีวิต เป็นพลังดั้งเดิมของจักรวาลที่สั่นสะเทือนอยู่ในร่างกายเรา บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในตัวเรา แม้นเราจะแยกตัวออกมาแล้ว เราสามารถเชื่อมต่อพลังชีวิตของเรากับจักรวาลได้ การฝึกสมาธิจนสามารถกระตุ้นปราณในตัวให้ตื่นขึ้น ไหลเวียนไปตามจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย จะส่งผลต่อสุขภาพ ที่ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ภายในซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้กระชุ่มกระชวย นอกจากปราณในตัวแล้ว พลังชีวิตนอกตัวหรือปราณนอกตัว ยังมีอยู่ในอากาศ สายลม ดอกไม้ ต้นไม้ น้ำค้าง ก้อนหิน ฯลฯ สรรพสิ่งในโลกล้วนมีพลังซ่อนอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติที่บริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นสมรรถภาพได้แม้ในยามเจ็บ ป่วย แม้นแต่พลังจากดวงดาวต่างๆ ที่ส่องมายังโลก ก็นำมาใช้ในการฟื้นฟูจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย พลังแสงอาทิตย์นับเป็นพลังชีวิตขนาดยิ่งใหญ่มหาศาล ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ หากเราต้องอยู่ในที่อับแสงมืดมิดเป็นเวลานานเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายห่อเหี่ยวและอาจถึงตายได้

พลังคอสมิค (ต่างจากกัมมันตรังสีcosmic ในอวกาศและแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตราย) หรือที่เรียกพลังจักรวาล (จิตจักรวาล) เชื่อว่ามีอยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นพลังที่ส่งมาจากจักรวาลหรือจิตจักรวาล เป็นคลื่นพลังงานจากจิตเบื้องบน หรือจิตที่สูงส่ง มีความรักความเมตตาหาประมาณไม่ได้ เชื่อว่าเป็นพลังแห่งความรัก พลังศักดิ์สิทธิ์ พลังแห่งการรักษา-โอบอุ้ม-คุ้มครอง เราสามารถรับพลังคอสมิคได้ชัดเจนเมื่อจิตมีสมาธิ หากสามารถกระตุ้นจักระทั้งเจ็ดในตัวและรับคลื่นพลังจักรวาลได้ นอกจากจะช่วยให้กายทิพย์และกายเนื้อเรามีพลานุภาพมากขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บในตัวเอง ยังสามารถส่งพลังนี้ผ่านตัวเราไปรักษาผู้ป่วยคนอื่นๆ โดยเชื่อว่าพลังจักรวาลจะสื่อจากตัวเราส่งผ่านมือเปล่าไปรักษาอาการเจ็บป่วย ของผู้ที่ต้องการมาให้ช่วยเหลือ พลังคอสมิคมีพลังอำนาจ สามารถนำมาใช้ในด้านรักษาและทำลายล้างได้ตามจิตใจของตัวเราเอง หากนำมาใช้ในด้านดีงามพลังก็จะพัฒนาไปถึงขีดสุด แต่หากนำมาใช้ในเรื่องไม่ดีก็จะทำลายล้างตัวเราเองเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า เราแทบจะแยกพลังสมาธิตัวเราเอง พลังปราณในตัว-ปราณนอกตัว และพลังจักรวาลได้ยาก การมีพลังจิตจนสามารถนำพลังนอกตัวมาประสานกับตัวเอง กายทิพย์ก็จะทรงพลังมากขึ้น เมื่อนำพลังงานจักรวาลและพลังงานของดวงดาวต่างๆ มาใช้ด้วยสมาธิ โดยการใช้ตัวเองเป็นตัวกลางในการรับคลื่นพลังก่อนส่งผ่านไปยังบุคคลอื่น จะช่วยให้เราไม่สูญเสียพลังตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้เรามีพลังกายทิพย์มากขึ้นอีก

.....................

* เว็บวิชาพลังกายทิพย์ โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
http://www.khunya.in.th/default.asp
* ศึกษาวิชาพลังกายทิพย์ สอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
วิชาพลังกายทิพย์ สอนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:11:48 pm »
0
บำบัดโรคโดยฝึกพลังคอสมิคฟรี !!!
โดย ผู้จัดการออนไลน์

ใครที่มีโอกาสได้เจอหญิงสูงวัยนาม “ เยาวเรศ บุนนาค ” เชื่อว่าคงเกิดความประทับใจในอากัปกิริยาทะมัดทะแมง แคล่วคล่องว่องไว แม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลข 74 แล้วก็ตาม แต่ยังดูสดใสและสุขภาพดี ทำให้หลายคนอยากรู้เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ

คุณย่าเยาวเรศและลูกศิษย์บรรยายให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่ผู้สนใจ ณ โครงการผู้จัดการสุขภาพ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ คุณย่าเยาวเรศ เล่าว่า เคล็ดลับนี้ได้มาโดยบังเอิญเมื่อท่านมีโอกาสรู้จัก พลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ในช่วงที่ชีวิตเจอมรสุมเศรษฐกิจจนทำให้เกิดความเครียดและทุกข์ใจ ซึ่งหลวงสุวิชาญแพทย์ก็แนะนำให้ทำสมาธิ ตลอดจน ลด ละ เลิก กิเลส จนมีแรงสู้ต่อไป

“ ท่านคงเห็นแววอะไรสักอย่างในตัวเรา จึงถามเราว่าสนใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นไหม แต่ต้องทำจริงจังและไม่หวังผลอะไรตอบแทน ตอนนั้นอายุเพิ่ง 28-29 เราก็รับฟังแต่ยังไม่ตัดสินใจ จนมาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เห็นว่าเราพร้อมแล้ว พออยู่พอกิน ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติม จึงหันมาศึกษาอย่างจริงจัง จนได้มีโอกาสไปเรียนเรื่องรังสีคอสมิคที่อเมริกา ใช้เวลาเรียนเพียงเดือนเศษๆ ก็กลับมาช่วยเหลือคนเจ็บป่วยได้ ”

สดใสแข็งแรงแม้จะวัยล่วงเข้าวัย 74 ปีแล้ว คุณย่าเยาวเรศ อธิบายว่า พลัง คอสมิคคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีพลังสูงยิ่งกว่ารังสีแกมมา การค้นพบพลังนี้ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของมาสเตอร์โซเซอร์ เมื่อประมาณ 5-6 พันปีที่แล้ว โดยแสงสว่างที่พวยพุ่งออกมาจากรังสีคอสมิคจะมีอำนาจพลังมหาศาล และเต็มไปด้วยตัวแร่ธาตุที่เป็นยารักษาโรคแก่มนุษย์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกนี้ ที่สามารถดูดซับเอาพลังนี้เข้าไปเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต

องค์ประกอบของพลังคอสมิคนี้ ร้อยละ 90 เป็นโปรตรอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอิเลคตรอนอนุภาคอัลฟา ที่เกิดจากอวกาศนอกโลกที่พุ่งลงมาสู่โลกมนุษย์ คนสมัยก่อนใช้ประโยชน์จากพลังงานนี้อย่างแพร่หลาย แต่เมื่อโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้นมนุษย์ก็เริ่มละเลยสิ่งใกล้ตัวและหันไปไขว่ คว้าสิ่งอื่นมาทดแทนยามเจ็บป่วย พลังนี้จึงค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่ง อาจารย์ดาสิรา นาธะ แห่งประเทศอินเดีย ได้นำสิ่งที่สูญหายหลายพันปีนี้กลับมาเผยแพร่ใหม่

“ พลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ถือเป็นคนไทยคนเดียวที่ได้รับถ่ายทอดวิชา โดยตรง ย่าเองก็ได้มาจากคุณหลวงเหมือนกัน ” ย่าเยาวเรศ กล่าวและว่า มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั่นคืออำนาจสมาธิ อำนาจจิต และกลไกภายในกายเนื้อนั้นจะสามารถติดต่อดึงดูดพลังที่มีคุณค่ามหาศาลนี้เข้า สู่ร่างกายได้ แรงสั่นสะเทือนของอำนาจจิตและอำนาจสมาธิมีคลื่นความถี่สูง จนสามารถเข้ากับคลื่นความสั่นสะเทือนของพลังคอสมิคได้อย่างรวดเร็ว

รศ.อาภรณ์ ภูมิพรรณา กำลังบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิคโดยใช้วิธีจับจักระต่างๆที่เสื่อมสมรรถภาพ “ เรื่อง ของพลังกายทิพย์ หรือคอสมิคนั้น เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ไสยศาสตร์อย่างที่หลายคนเข้าใจ เป็นส่วนหนึ่งในแขนงฟิสิกส์ และจากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้พบว่า มนุษย์นั้นมีกายอยู่ 2 กาย คือ กายเนื้อและกายทิพย์ (Etheric Body) ที่ซ้อนกันอยู่ หากเปรียบแล้ว กายเนื้อก็เสมือนพาหนะห่อหุ้มทั้งหมดเอาไว้ ส่วนกายทิพย์จะเป็นกายที่โปร่งใสมีกลไกดูดซับจากธรรมชาติ เราเรียกกลไกนี้ว่าจักระ มีหน้าที่เหมือนเครื่องจักรคอยส่งพลังงานไปหล่อเลี้ยงกายเนื้อให้เจริญเติบ โต มีสุขภาพจิตสุขภาพกายแข็งแรง ซึ่งร่างกายคนเราจะประกอบไปด้วย 7 จักระ และจะมีสีของแต่ละจักระโดยเฉพาะ ”

โดยสีของจักระต่างๆ มีดังนี้ จักระที่ 1 สีแดง, จักระที่ 2 สีส้ม, จักระที่ 3 สีเหลือง, จักระที่ 4 สีเขียว, จักระที่ 5 สีฟ้า, จักระที่ 6 สีไพลิน และ จักระที่ 7 สีม่วงและสีทอง

   กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม


แต่ละจักระนี้จะมีอยู่ตามส่วนสำคัญของร่างกาย หากมีจุดใดจุดหนึ่งหมดพลังหรือหมดแสงไป จะส่งผลให้อวัยวะส่วนนั้นๆ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหยุดทำงานไปเลย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความจำเสื่อม เป็นไซนัส เป็นต้น คนที่สุขภาพดีและแข็งแรง ร่างกายจะเปล่งรัศมีแห่งแสงสีทั้ง 7 แต่จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่จะเห็นจากการมองภายนอกคือ ดูเป็นคนมีสุขภาพดี สดใส ร่าเริง

สำหรับคนที่สนใจจะรับการบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิค หรือสนใจเป็นผู้ให้การบำบัดรักษาเอง สิ่งที่ต้องมีคือ จะต้องถือศีลให้จิตใจสงบ งดเว้นอบายมุขทั้งปวง และมีระเบียบวินัยในตนเอง เพราะศาสตร์ทางเลือกนี้ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจึงจะได้ผล และหากมีความเชื่อในสิ่งที่ทำก็จะยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้น โดยสามารถบำบัดได้ทุกอาการ ยกเว้นการเจ็บป่วยที่รุนแรงจนเกินเยียวยา เช่น โรคเอดส์

ระหว่างการให้พลังคอสมิค ผู้ได้รับการบำบัดต้องมีสมาธิและจิตจดจ่ออยู่ที่จุดที่ได้รับการสัมผัส การบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิคนี้ จะไม่มีการจ่ายยาใดๆ และผู้ให้การบำบัดจะไม่วิเคราะห์โรคด้วยตนเอง แต่จะให้แพทย์แผนปัจจุบันเป็นผู้วินิจฉัย จากนั้นจึงจะให้การบำบัดในส่วนที่เจ็บป่วย

“ การบำบัดลักษณะนี้ปราศจากต้นทุน เป็นการบำบัดที่เกิดจากมือเรา เกิดจากการสัมผัส วันหนึ่งที่เราแก่ตัวไป หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ก็สามารถบำบัดรักษาตัวเองโดยไม่ต้องกลายเป็นภาระของผู้อื่น ”

ด้าน รศ.อาภรณ์ ภูมิพรรณา นักวิชาการที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์ทางเลือก และเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยพลังคอสมิค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พลังคอสมิคสามารถตอบโจทย์และข้อสงสัยได้หมด มีข้ออธิบายในตัวเอง อยู่ที่ว่าใครจะเปิดใจรับฟังหรือไม่ และสิ่งที่ทำให้ตนเองมาทดลองใช้พลังคอสมิค เพราะความรักตัวเองและเชื่อว่าถึงวันนี้เราไม่ป่วย แต่สักวันหนึ่งก็ต้องป่วย หากเราลองซ่อมเสริมสุขภาพของเราเองก่อน ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ จึงเริ่มเข้าเรียนกับคุณย่าเยาวเรศ เป็นเวลา 6 วัน จากนั้นก็ฝึกฝนมาเรื่อย จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 4-5 ปีแล้ว และพบว่าตัวเองมีสุขภาพดีและไม่มีท่าทีว่าจะป่วยไข้

ผู้ ที่สนใจเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยศาสตร์แพทย์ทางเลือกแขนงนี้ สามารถติดต่อได้ที่ สมาคมสถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ โทรศัพท์ 0-2580-3388 , 0-2591-5271 , 0-2591-5272
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:14:42 pm »
0
“เรคี” เป็นเทคนิควิธีการบำบัดความเจ็บไข้ได้ป่วยโดยใช้มือสัมผัส คือผนึกลมปราณส่งผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย โดยหลักการใหญ่ของเรคีก็เหมือนกับการบำบัดทางเลือกอื่นๆ ของโลกตะวันออก นั้นก็คือมีศูนย์กลางอยู่ที่พลังแห่งชีวิต คือ “ชิ” ของจีน หรือ “ปราณ” ของอินเดีย

นักเรคีแจงว่า พลังแห่งชีวิตของคนเรานั้นได้มาจากพลังงานที่เหนือกว่าตัวเราออกไปมากมาย ทั้งจากอากาศ มหาสมุทร ต้นไม้ ใบหญ้า อาหาร ตลอดสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เรคีเป็นกระบวนการรวบรวมพลังในทางบวกเหล่านี้มาควบแน่นให้มีอำนาจในการเยียว ยารักษาโรคสารพัด ตั้งแต่โรคเครีด นอนไม่หลับ ปวดหัว ข้อเคล็ด อ่อนเพลียจากการโดยสารทางอากาศ อาการไม่สบายตัวไม่สบายใจก่อนมีประจำเดือน หรือแม้แต่คนอ้วนก็สามารถใช้เรคีลดความอยากอาหารขยะลงได้
เทคนิคการบำบัดของเรคี ได้แก่การวางมือลงบนตำแหน่งจ่างๆ ของร่างกาย ทั้งด้านหน้าและด้านหลังลำตัวรวม 15 ท่าด้วยกัน ในรายที่ป่วยไม่รุนแรงอาจใช้เพียงสองสามกระบวนท่าและใช้เวลาไม่นานนักก็ ทุเลาได้
ผู้ที่เคยรับเรคีบำบัดมาแล้วเล่าว่าพวกเขามักรู้สึกร้อนหรือซ่า และบางรายเย็นวาบในบริเวณที่ได้รับพลังลมปราณเข้มข้นที่สุด ซึ่งก็คือจุดที่เจ็บป่วยมากที่สุดนั้นเอง
และในเวลาที่นักเรคีตรวจอาการ โดยวาดมือลงไปเหนือร่างกายของผู้ป่วย จะรับรู้ถึงความร้อนหรือความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้ยบางจุดได้ เช่น ถ้าเกิดบริเวณคอ ผู้นั้นมักมีปัญหาที่ไม่อาจพูดเรื่องอึดอัดคาใจออกมาได้ ถ้าเกิดแถวๆ หัวใจ เขาหรือเธอคนนั้นก็มักมีความทุกข์เศร้าบางประการที่ปลดไม่ออกเปลื้องไม่ได้ และถ้าเกิดบริเวณตา อาจเพราะมีการใช้สายตามากเกินไป เช่นจ้องจอคอมพิวเตอร์ หรืออ่นหนังสือนานเกินควร เป็นต้น
ในสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลหลายแ่งเริ่มใช้เรคีกันอย่างเปิดเผย ส่งผลให้มหาวิทยาลัยทางด้านการแพทย์หลายแห่งเริ่มสอนเรคีให้กับนักศึกษาด้วย นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบว่าวิสัญญีแพทย์ที่ทำเรคีให้คนไข้ก่อนและหลังผ่า ตัด ทให้คนไข้ลดความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด และฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังกานผ่าตัด นอกจากนี้ การบำบัดด้วยเรคีเป็นวิธีการที่นุ่มนวล ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อและไม่มีผลข้างเคียงเลวร้ายใดๆ


ที่มา “เรคี” พลังฝ่ามือรักษาโรค | HBWellness
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

translate

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 105
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มีนาคม 08, 2012, 06:40:36 pm »
0
เพื่อน ๆ ได้อ่านเรื่องนี้หรือยังครับ มีเรื่องกรรมฐาน ที่สำคัญน่าอ่านครับ
ผมเองก็ลืมๆ ไปแล้ว ถ้าใครยังภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา ไม่ก้าวหน้า ลองวิชา จักระ 7 ฐานก็ได้นะครับ

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2015, 11:15:34 pm »
0



ระบบจักรา

ภาพที่แสดงอยู่ด้านบนนั้น ผมเห็นมานานแล้วในขณะที่ใช้ google ค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เมื่อเห็นก็สนใจมาก เพราะมีฐาน 7 ฐานที่ใกล้เคียงกับวิชาธรรมกายมาก แต่ก็ยังไม่มีเวลาที่จะไปศึกษา

ตอนนี้ วิทยากรท่านหนึ่งจะทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมแบบวิชาธรรมกายกับความดันโลหิต และขอให้ผมเป็นที่ปรึกษา ผมก็ต้องไปค้นคว้าหาความรู้ก่อนว่า เรื่องสมาธิกับความดันโลหิตนั้น มีการศึกษามาอย่างไรบ้าง
ปรากฏว่า มีงานวิจัยเรื่องหนึ่งใช้การฝึกสมาธิแบบสหจะโยคะกับการรักษาความดันโลหิต  จึงถึงเวลาที่จะมาศึกษาเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที


 ask1 ans1 ask1 ans1

ลองมาดูกันก่อนว่า “สหจะโยคะ” คืออะไร

สหจะโยคะเป็นรูปแบบง่ายๆ รูปแบบหนึ่งของการฝึกสมาธิ ค้นพบโดยท่านศรีมาตาจี นิรมาลา เทวี ซึ่งได้รับการยกย่องในปัจจุบันนี้ว่า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของโลก

ในภาษาสันสกฤตคำว่า “โยคะ” หมายถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ universal unconciousness (จิตใต้สำนึกแห่งจักรวาล) สหจะโยคะง่ายต่อการปฏิบัติ แต่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาสู่ชีวิตของคุณได้ โดยการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวของมนุษย์ให้ตื่นขึ้น

สหจะโยคะนี้ มาจากอินเดียดังนั้น จึงมีความเชื่อเช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ ต้องการกำจัดกิเลสตนเองเพื่อให้เข้าไปรวมกับมหาพรหมัน ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะไม่มีอายตนะนิพพาน เพราะ การเข้าไปรวมกับมหาพรหมันก็มีความสุขตลอดไปแล้ว ในทางศาสนาพุทธ ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้นไม่ถูกต้อง มหาพรหมันนั้น ยังต้องมีเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก

พลังนี้จะนำความบริสุทธิ์มาสู่ร่างกายและจิตใจ ด้วยการเข้าสู่ภาวะการมีสติรู้ที่สูงขึ้น คุณจะได้รับความสงบสุขภายในความปีติสุขและพลังในการรักษาตัวคุณเอง และสามารถรักษาผู้อื่นได้อีกด้วย พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายมนุษย์ทุกคนนี้มีชื่อว่า พลังกุณฑาลินี เมื่อพลังนี้ตื่นขึ้น คุณจะตระหนักรู้ถึงความไม่สมดุลที่อยู่ในตัวคุณ และสามารถขจัดความไม่สมดุลเหล่านั้นได้ และยังปรับปรุงสุขภาพทางจิตใจและร่างกายของคุณให้ดีขึ้น ตอนนี้ยังอ่านงานเขียนของสหจะโยคะไม่มากนัก แต่ก็จะวิพากษ์วิจารณ์ไปก่อนเลย ถ้าผิดก็จะมาแก้ไขในภายหลัง


 :32: :32: :32: :32:

พลังกุณฑาลินีของพวกสหจะโยคะนี้ จะน่าจะเป็น “บารมี 30 ทัส” ของศาสนาพุทธ และวิชชาชั้นสูงอื่นๆ  แต่พวกสหจะโยคะไม่มีความรู้อย่างลึกซึ้ง ก็สันนิษฐานกันออกมาอย่างนั้น พวกสหจะโยคะนี้ จะเน้นเรื่องสุขภาพมาก คือ เอาเรื่องนี้มาเป็นจุดขาย

ในฐานะที่เป็นวิทยากรของวิชาธรรมกายของคุณลุงการุณย์ ผมขอยืนยันว่า ในการรักษาโรคด้วยการปฏิบัติธรรมนั้น วิชาธรรมกายทำได้ดีที่สุด ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด  แต่พวกเรา ไม่ได้เอามาเป็นจุดขายเท่านั้น

การโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองก็เช่นเดียวกัน  พวกเรากันเอง ไม่ได้เน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันแบบใช้การตลาดเต็มที่ ส่วนใหญ่แล้ว เราจะไปหาสอนการปฏิบัติธรรมกันมากกว่า  สอนได้ก็สอน  สอนไม่ได้ก็ไม่สอน

ทุกๆศาสนาได้เคยกล่าวถึงกุณฑาลินี ในลักษณะของ เปลวไฟบนศีรษะของนักบุญ ลมศักดิ์สิทธิ์ ดอกบัวพันกลีบ สายน้ำคงคาบนเศียรของพระศิวะ ฯลฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในรูปแบบต่างๆ ของพลังกุณฑาลินี ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีการรู้แจ้ง

ข้อความที่ผมเน้นสีแดงนั้น ไม่จริง  อย่างน้อยๆ ศาสนาพุทธก็ไม่เป็นอย่างที่เขียนไป
ถึงตอนนี้ เรามาดูกันว่า จักราทั้ง 7 ของพวกสหจะโยคะคืออะไรกันบ้าง



ตำแหน่งของจักรา 7 ตำแหน่งนั้น หลายๆ ตำแหน่งคล้ายกับวิชาธรรมกาย  แต่หน้าที่หรือความสำคัญของตำแหน่งไม่มีอะไรคล้ายกันเลย พวกสหจะโยคะเอาตำแหน่งของจักราไปกำหนดเรื่องของใจ ซึ่ง “ผิด” อย่างเต็มที่  ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็อยู่ที่ใจทั้งนั้น ไม่ได้ไปอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้น

     ในทางวิชาธรรมกาย ตำแหน่งของฐานของใจนั้น เป็นตำแหน่งที่จะต้องหยุด  เรื่องกิเลสหรือความรู้ต่างๆ ไปอยู่ที่ใจทั้งหมด แต่มีบางอย่างที่คล้ายกัน คือ 
     ในทางวิชาธรรมกายนั้น เมื่อเราอยากจะไปสวรรค์ นรก หรือโลกมนุษย์ที่ไหนๆ ก็ตาม 
     เราจะต้องเอาใจหยุดไปตามฐานที่ 7-6-5-4-3  ฐานที่ 3 นั้นอยู่กลางศีรษะ แล้วเราก็เอากายละเอียดออกไปทางกระหม่อม คือ ออกจากฐานที่ 3 ขึ้นไปตรงๆ  เวลาจะกลับมาก็กลับตรงนั้น ไม่ใช่ออกไปฐานที่ 2-1 
     การออกไปทางฐานที่ 2-1  คือ การตาย 


บทความของ ดร.มนัส โกมลฑา
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://sahajayokha.blogspot.com/2014/01/blog-post.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2015, 11:52:57 pm »
0


ans1 ans1 ans1 ans1

กระทู้แนะนำ
อยากทราบ....เนื้อหา เรื่องจักรา 7
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=17789.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

translate

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 105
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เคยสงสัย เรื่องการฝึก จักระ ทั้ง 7 หรือป่าว
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2015, 04:27:22 pm »
0
 st11 st12 st12 like1
บันทึกการเข้า