ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - drift-999
หน้า: 1 ... 4 5 [6]
201  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ตั้งกายตรง ดำรงสติ เฉพาะหน้า อันนี้มีความหมายอย่างไรครับ เมื่อ: มีนาคม 27, 2011, 08:33:40 pm
เรียนถามผู้รู้ครับ....ผม

ตั้งกายตรง ดำรงสติ เฉพาะหน้า อันนี้มีความหมายอย่างไรครับ

 :c017:
202  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ความเหนี่อย ลำบาก ไม่เคยปราณีใคร เมื่อ: มีนาคม 22, 2011, 12:42:00 pm
(หาโอกาสไปให้ได้นะค่ะ และลองตอบตัวเองว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นจริงหรือเปล่า)
ดิฉันขึ้นก่อนเป็นศิษย์กรรมฐาน 1 ครั้ง และหลังจากเป็นศิษย์กรรมฐาน 2 ครั้งที่เดินถึงยอด แต่ครั้งสุดท้ายพาพี่ชายไปกวาดบันไดทางขึ้นซึ่งยังกวาดไม่ถึงยอดกลับลงมาก่อน

 :57:

 ตั้ง  3  ครั้งแล้ว ผมยังไม่ได้ไปขึ้นเลยครับ...สาธุ สงสัยคุณนงเยาว์ น่าจะหุ่นเพรียว นะครับ ถึงได้ขึ้นคล่อง

 :25:

203  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถวายเงินพระผิดหรือไม่ เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 10:13:42 am
ไปอ่านเจอมาครับ คิดว่ามีเหตุผลดี ครับ

โยมถวายเงินให้พระผิดหรือไม่
ตอนนี้พูดตรงๆไม่ได้ว่า ผิดหรือถูก ถ้าผมพูดว่าถูกก็โดนตำหนิ ผมพูดว่าผิดก็โดนตำหนิแน่นอน อยากให้ทุกคนเอาหัวคิดตรึกตรองดูเจตนาทั้งผู้ให้และผู้รับตามเหตุและผล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ผมมีความคิดดังนี้ครับ..เงินนั้นเป็นสิ่งสมมุติใช่ไหมเงินนั้นไม่มีความหมาย เลยใช่ไหมหากมันซื้ออะไรไม่ได้ใช่ไหมครับมันมีความหมายเพราะมันสามารถ แปรสภาพเป็นอะไรก็ได้ ตามที่เราต้องการ หากเราเอาเงินนั้นให้พระนั้นผิด ในทุกกรณี ไม่ว่าเงินนั้นจะแปรสภาพเป็นอะไรก็ต้องว่าเรียกว่าเงินใช่ไหม เราเอาเงินนั้นแปรสภาพ เป็นสังฆทาน เป็นเครื่องใช้เป็นนม ข้าวปลาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม อิฐหินปูนทราย จิปาถะ สิ่งนั้นก็มาจากเงินใช่ไหมในสมัยนี้เราจะเอาสิ่งของต่างๆมาได้ยังไง ถ้าไม่มีเงิน เราเดินไปหยิบเอานม ไม่จ่ายเงินได้ไหมครับ ของทุกอย่าง ต้องใช้เงินซื้อมาทั้งนั้น สิ่งของที่เราซื้อมานั้นนั้นก็คือเงิน ไม่เชื่อลองเอาของที่เราซื้อมาไปขายต่อซิ มันก็กลับมาเป็นเงินเหมือนเดิมไช่ไหมครับ พูดด้วยเหตุและผลนะครับ
หาก เป็นอย่างนี้ พระคงต้องอดข้าวนอนใต้ต้นไม้แน่นอน โยมจะต้องไปทำนา ปลูกผัก หาปลา มาเลี้ยงพระ แล้วการปลูกผัก หาปลา ทำนา ก็จะต้องไม่มีเงินมาเกี่ยวข้อง ปุ๋ยไม่ต้องใส่ เพราะต้องใช้เงินซื้อ
จะปฏิเสธ ว่า ของทุกอย่างไม่ใช่เงินนั้นไม่ได้ เพราะสามารถ นำไปขาย กลับมาเป็นเงินได้
การไม่รับเงินนั้น ก็ต้องไม่รับสิ่งของนั้นๆด้วย เพราะมันแปรสภาพมาจากเงิน แล้วมันยังสามารถ
แปรสภาพกลับมาเป็นเงินเหมือนเดิมได้ ทุกสิ่ง ล้วนใช้เงินทั้งสิ้น แม้แต่ข้าวที่เรากิน ก็ต้องซื้อปุ๋ย
ซื้อเมล็ดพันธ์ มีค่าใช้จ่าย ต้นทุน จะมาบอกว่า ข้าวนี้ไม่ใช่เงินไม่ได้ เพราะว่ามันสามารถแปรสภาพ
กลับมาเป็นเงินได้อีก ผมว่าดูที่เจตนาคนให้และคนรับดีกว่า คือให้แล้วไม่สงสัย คนรับ ก็ไม่สงสัย
ผู้ให้หากสงสัยในเงินหรือสิ่งของที่จะให้ ก็ไม่ต้องให้ ผู้รับหากสงสัยในสิ่งของที่จะรับ ก็ไม่ต้องรับ
พระบางองค์ ไม่รับเงิน โยมวางให้ตรงไหนก็ปล่อยวางไว้ตรงนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องนะครับ
ขอโทษนะครับ เหมือนเราเอาเมียเราแก้ผ้า มัดมือ มัดปาก วางไว้หน้าบ้าน จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง
มันล่อตา พวกมิจฉาชีพ การที่จะเป็นสิ่งดี กลับมาสร้างบาป ให้คนขโมย บางครั้งเขาก็ไม่อยากขโมย
แต่มันง่าย ต่อการขโมยจึงต้องเอาไป สู้เราหยิบไปวางไว้ที่มิดชิดไม่ดีกว่าหรือ เงินทองที่
พระหยิบนั้น ก็ต้องไม่มีความสงสัยในการหยิบเลย ของสิ่งนี้มันแค่สิ่งสมมุติว่าเป็นเงินมีความจำเป็น
กับ ผู้คนเท่านั้นแต่มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นและสำคัญสำหรับเราเลย ผมพูดถึงนิสัยพระที่ดีนะครับ ถ้าเจตนาดีอย่างนี้ จะผิดตรงไหนครับ ถ้าบอกว่าพระธรรมบัญญัติมาแล้วว่าผิด ให้เราก็ผิด ให้เพื่อคนอื่นก็ผิด แต่เจตนาไม่ผิดครับ หากสิ่งนี้ จะมีบางคน ไม่ชอบ ก็ขออภัยด้วยครับ ผมเพียงแต่อยากจะทำสิ่งดีๆ ก็เท่านั้นเองครับ มิได้ตำหนิ หรือว่าใครเลย พระธรรมคำสั่งสอนและความเชื่อนั้น มีและไปได้หลายๆทาง แต่จุดหมายนั้นก็ถึงเหมือนกันถึงแม้ว่าจะช้าไปบ้างดันไปตกนรกก่อนบ้าง เลยช้าไปหน่อย แต่สุดท้ายก็ได้ไปถึงเหมือนๆกันนั่นแหละครับ ขอบคุณทุกๆท่านครับ นานาจิตตัง!

จาก คุณ Wirut

อันที่จริงแล้วหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้นมีลักษณะ  ที่ยืดหยุ่นได้ ถามว่าการให้เงินพระนั้นผิดมัย  บาปมัย
เรื่อง นี้   สมมติว่าพระรับเงินจากโยม  แล้วเอาเงินของโยมไปช่วยเหลือคนยากจน  เอาเงินไปสร้างโบส  สร้างวิหาร  สร้างศาลา ให้เป็นที่พักอาศัยแก่ผู้คนที่เข้ามาในวัด   อย่างนี้ผิดมัย  โยมเป็นบาปมัย   
       ถ้าพูดถึงตามหลัก วิัันัย เปะ ๆ  พระถึงไม่ได้รับเองใช้ให้ผู้อื่นรับแทนและให้เก็บไว้ให้ด้วยจิตยังมีความ ยินดีก็ถือว่าผิดเหมือนกัน  ดังที่ตรัสว่า  ภิกษุรับเองก็ดี  ใช้ให้ผู้อื่นรับก็ดี  หรือมีความยินดีในเงินและทองก็ดี  ต้องอาบัติ  การรับเงินผิดหรือไม่ผิดนั้นต้องดูบริบทและเจตนาทในสมัยนั้น  คือภิกษุจำนวนหนึ่งมีความโลภ แสวงหาทรัพย์ด้วยวิถีที่ไม่ใช่สมณะ  สร้างความเสื่อมเสียให้แก่หมู่สงฆ์  ก็เลยมีพุธบัญญัติข้อนี้ขึ้นมา
       แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังเคยรับเงินและทองไว้  กล่าวคือในสมัยหนึ่ง  นางวิสาขาได้ใส่เครื่องประดับมีค่า ๘๐ โกฏิ ก่อนเข้าเฝ้าพระองค์นางได้ถอดไว้  ตอนกลับนางเลยลืมไว้  ด้วยความที่นางนั้นชอบทำบุญให้ทาน นางจึงได้ถวายเครื่องประดับนั้นเข้าหมู่สงฆ์  พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์จัดนำเครื่องประดับนั้นไปประกาศขายเพื่อนำมาสร้าง วิหาร จะเห็นว่าพระองค์เองก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินและทองเลย   
        การบัญญัติสิกขาบทข้อนี้นั้นเป็นอุบายอย่างหนึ่ง  เพราะปัญหาต่าง ๆ มากมาย ที่ทำให้พระต้องสูญเสียคุณงามความดีก็เพราะเงิน  เงินนั้นเป็นเหตุให้ผู้คนเกิดความโลภ เกิดความอยาก อยากได้นั้น  อยากได้นี่ ทำให้จิตฟุ้งซ่านไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม   แต่อันที่จริงแล้วทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรา  อยู่ที่เจตนา  ผู้ที่จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว
 ปัญหาหลายอย่างที่ผู้คนพา กันไปถามพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์ไม่ตอบ เพราะตอบไปแล้วยิ่งก่อให้เกิดความสงสัย  ปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น พระองค์ทรงหลีกที่จะตอบปัญหา  พระองค์กลับตรัสว่า ผู้ที่เข้าถึงกระแสธรรมแล้วจะเข้าใจเอง   การทำบุญไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทองนั้น ย่อมได้บุญอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย  มีหลักที่ว่า
         1.ทรัพย์ที่ได้มานั้นต้องบริสุทธิ์  ไม่ได้ลักขโมยเขามา
         2.ก่อนให้  ขณะให้  และหลังให้ก็มีจิตยินดี มีปีติ ความเอิบอิ่มใจ
         3. ผู้รับเป็นผู้อยุ่ในคุณธรรม  ถ้าผู้รับไม่มีคุณธรรมก็มุ่งเอาที่ถวายเข้าหมู่สงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็น ประมุข  อานิสงส์ก็ถือว่าได้มากแล้ว  นอกจากนี้พระองค์ก็ยังตรัสพระวินัยโดยอนุโลมไว้ด้วย

       
โอวาท ครั้งสุดท้าย
    "อานนท์ ! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า บัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง อานนท์เอย ! พึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ธรรม วินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง อย่าได้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย"
             "อานนท์ ! อีกอย่างหนึ่ง คือสิกขาบัญญัติที่เราได้บัญญัติไว้เพื่อภิกษุทั้งหลายจะได้อยู่ด้วยกัน อย่างผาสุก ไม่กินแหนงแคลงใจกัน มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สิกขาบทบัญญัติเหล่านั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์พร้อมใจกันจะถอนสิกขาบทเล็กน้อย ซึ่งขัดกับกาลกับสมัยเสียบ้างก็ได้ กาลเวลาล่วงไปสมัยเปลี่ยนไป จะเป็นความลำบาก  ในการปฏิบัติสิกขาบทที่ไม่เหมาะสมัยเช่นนั้น เราอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้
บัดนี้ พละกำลังของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว ประดุจน้ำที่เทราดลงไปในดินที่แตกระแหงย่อมพลันเหือดแห้งหายไป มิได้ปรากฏแก่สายตา ถึงกระนั้น พระบรมโลกนาถก็ยังประทานปัจฉิมโอวาทเป็นพระพุทธดำรัสสุดท้ายว่า
               "ภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า สิ่งทั้งปวง มีความเสื่อมและความสิ้นไปเป็นธรรมดาเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาท เถิด"
   

นอกจากนี้แล้วยังมีหลัก   มหาประเทส ๔ ในการตัดสินอีกด้วย จะเห็นว่าในหลักมหาประเทศ ๔ นั้น ให้ภิกษุปฏิบัติให้เกื้อกูลศาสนาและการไม่ทำลายศรัทธาของมหาชนเป็นหลัก
       พระวินัยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก  ถ้าศึกษาแล้วต้องศึกษาทุก  แง่ทุกมุม ศึกพระวินัยเล่ม ๒ เล่ม ไม่พอ พระวินัยมีก็เล่ม ต้องอ่านให้หมด  แล้วพระสุตตันมีก็เล่มต้องอ่านให้หมดเช่นกัน
        ทำไมต้องอ่านพระสุตตันด้วย  เพราะบางครั้งในพระวินัยนั้นดูเหมือนว่า ภิกษุต้องปฏิบัติเคร่งครัดมาก  แต่เมื่อมาอ่านในพระสุตตันตปิฎก การเคร่งครัดมากไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะบรรลุธรรมได้
        ภิกษุบางท่าน ศรัทธาในพระศาสนา ศึกษาเฉพาะในส่วนพระวินัย ก็จะเกิดเคร่งครัดมาก ทำผิดนิดผิดหน่อยไม่ได้เลย พระแทบจะเป็นพระอิฐ พระปูน เพราะแค่ขยับก็ผิดแล้วศีล  ฉะนั้นพระเเทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
        ยิ่งถ้าเป็นคนทั่วไป  คนธรรมดาแล้วไม่ควรที่จะไปศึกษาวินัยของพระ  เพราะถ้าศึกษาแล้ว  คนจะเสื่อมศรัทธาทันที
        ถ้าอยากทำศรัทธาให้เกิดต้องศึกษาพระสุตตันตปิฎก

จากคุณ surat-2527

จาก http://www.zone-it.com/185938

หัวข้อนี้มีการพูดกัน มากผู้พูดไม่ได้เข้าใจ วิถีชีวิตของสงฆ์จริง ๆ ครับ

   1.พระสงฆ์ บวชเรียน ต้องใช้ปัจจัย

   2.พระสงฆ์ อยู่ในที่กันดารห่างไกลจากบ้านผู้คน ในป่า ในเขา เสบียงภาวนา ก็ต้องใช้เงิน

   3.พระสงฆ์ นักเผยแผ่ธรรมะ เดินทาง จัดอบรมเข้าค่าย ให้คววามรู้แก่เยาวชน ก็ต้องใช้เงิน

   4.พระสงฆ์ ที่ทำหน้าที่ตามตำแหน่งต่าง ๆ ล้วนแล้วก็ต้องใช้เงิน

      เรื่องนี้มีตัวอย่าง พระสงฆ์เป็นเจ้าอาวาส ได้นิตยภัตร ประมาณ ไม่เกิน 1 พันบาท
      มีประชุมทุกเดือน ในเมือง ท่านต้องเดินทาง  มีการขอให้ดำเนินการสมทบทุน เรื่อง มูลนิธิ 6 มูลนิธิประจำปี มูลนิธิ ละ 2500 บาท ที่ระดับเจ้าอาวาส ( คิดดูครับว่า นิตยภัตรยังไม่พอเลย ) การส่งเสริมอบรม พระภิกษุสามเณรภายใต้การปกครอง อีก

   และยังมีอีกหลายสาเหตุ ผมบอกตรง ๆ ว่า พระพุทธศาสนา มีการสืบทอดตามระดับธรรม คือ จริยธรรม ศีลธรรม โลกุตรธรรม ถ้าคุณเลือกที่จะดำเนินการให้เป็นไปแนวไหน ก็ต้องดูด้วย

   ผมเห็นผู้ออกมาเผยแผ่เรื่องนี้ มีการเลือกปฏิบัติ แนะแนวทางซึ่งทำลายเศรษฐกิจ สร้างจิตคนให้เพ่งเล็งซึ่งเป็นการจับผิดพระสงฆ์ ทั่วประเทศ ซึ่งการจับผิดก็มองเพียงภายนอก ไม่ได้เข้าใจแก่นแท้จริง เรื่องที่ควรรีบด่วนคือการภาวนา รักษากุศลบถ 10 ต่างหากเป็นเรื่อง ที่อุบาสก อุบาสิกา อย่างเราควรจะกระทำ

  นานาจิตตัง พูดไปก็เถียงกันอีกครับ

   :67:
204  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระมีรายได้ มากกว่า 40000 บาท ต่อเดือน จริงหรือไม่ครับ เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 10:46:05 am
 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
             อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
             ปัญหาปุจฉาสูตร
             [๑๖๕] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว
             ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
             ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุบางรูปย่อมถามปัญหากะภิกษุอื่นด้วยเหตุ ๕
ประการทั้งหมดหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
             เหตุ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
             ภิกษุบางรูปย่อมถามปัญหากะภิกษุอื่นเพราะโง่เขลา เพราะหลงลืม ๑
             ภิกษุบางรูปเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ
จึงถามปัญหากะภิกษุอื่น ๑
             ภิกษุบางรูปดูหมิ่นจึงถามปัญหากะภิกษุอื่น ๑
             ภิกษุบางรูปประสงค์จะรู้จึงถามปัญหากะภิกษุอื่น ๑
             อนึ่ง ภิกษุบางรูปคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุอื่นถ้าถูกเราถามปัญหาก็จักแก้โดยชอบ
ข้อนั้นเป็นความดี แต่ถ้าถูกเราถามปัญหาจักไม่แก้โดยชอบ เราเองจักแก้โดยชอบ
แก่เธอ ดังนี้ จึงถามปัญหากะภิกษุอื่น ๑

             ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุบางรูปย่อมถามปัญหากะภิกษุอื่น ด้วยเหตุ
๕ ประการ ทั้งหมดหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
             ส่วนข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุถูกเราถามปัญหาจักแก้โดยชอบ
ข้อนั้นเป็นความดี แต่ถ้าถูกเราถามปัญหาจักไม่แก้โดยชอบ เราเองจักแก้
โดยชอบแก่เธอ ดังนี้ จึงถามปัญหากะภิกษุอื่น ฯ
             จบสูตรที่ ๕
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4450&Z=4465             
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=165
             สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒
http://84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๒
http://84000.org/tipitaka/read/?index_22

แนะนำ :-
             อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม
             อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง
             พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม   
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/
             พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม 
             สารบัญประเภทธรรม
http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?     

             หมวดหนังสือธรรมะ
http://84000.org/tipitaka/book/
             เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html
             เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘)
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html
             เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html
                     เรื่อง
                          ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
                          การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ
                          มหาทาน
                          ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑
                          ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒
                          กาลทาน ๕ อย่าง
                          ให้ทานในที่ใดมีผลมาก
                          ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท
                          สังฆทาน ๗ ประเภท
                          ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน
                          ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน           
                          เรื่องเศรษฐีเท้าแมว
                          ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔
                          อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง
                          ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖
                          ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html

จากคุณ    : ฐานาฐานะ

หึหึหึ ท่านเจ้าของกระทู้ครับ  เรื่องนี้ต้องเล่ากันยาว
ผมว่าจะเป็นกระทู้แฉพระ  และกระทู้แฉเหลือบที่อาศรัยหากินกับพระซะแล้วหล่ะครับ

จาก คคห. ของท่าน จขกท. เดือนละ 40,000 บาท  อาจจะ  เป็นไปได้สำหรับพระบางวัดในกรุงเทพฯ  แต่พระบางวัด  เดือนละ 1,000 บาทยังยากเลยครับ

ยิ่งวัดในต่างจังหวัด  ยิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องรายได้เป็นเงินพัน  ต่อเดือน
แค่เดือนละ 300 ก็หาไม่ค่อยได้ครับ  เงินจะซื้อโกโก้ กาแฟ น้ำตาลทรายมาฉัน  ยังไม่ค่อยมีเลยครับ

บางวัดพระไม่มีเงินเลยซักบาท
(นอก เรื่องนิด)  ทราบมาจากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสังฆาธิการในฝ่ายปกครองคณะสงฆ์มาว่า  เงินเดือนหรือนิตยภัตเจ้าอาวาสเดือนละ 1,500 บาท  รัฐบาลยังไม่ได้จ่ายหรือค้างจ่ายมาตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว  นี่ก็เกือบ 6 เดือนแล้วไม่มีเงินซื้อ น้ำตาล กาแฟ ถวายพระเลย

ของพระสังฆาธิการตำแหน่งอื่น ๆ ที่สูงกว่าเจ้าอาวาสก็ยังไม่ได้รับมาตั้งแต่ เดือนตุลาคม เช่นกัน

วัดในกรุงเทพ ฯ ก็ต้องรู้ก่อนว่า  อยู่วัดไหน  มีเมรุเผาศพหรือไม่  เพราะเมรุเผาศพเป็นตัวแปรที่สำคัญมาก  ในการคำนวนหารายได้ของพระ
ถ้า มีเมรุเผาศพ  ก็ต้องดูอีกว่าเป็นวัดดังหรือไม่ เช่นวัดเทพศิรินทร์ วัดมกุฎกษัตริย์  วัดโสมนัสวิหาร  วัดตรีทศเทพ วัดธาตุทอง  วัดพระศรีมหาธาตุ  วัดลาดพร้าว
ถ้าเป็นวัดที่ผมยกตัวอย่างมาเหล่านี้  อาจจะถึง 40,000 หรือมากกว่าเล็กน้อย
และการที่จะเข้าไปอยู่ในวัดเหล่านี้  นอกจากมีเส้นสายแล้ว  ว่ากันว่ายังต้อง เซ้งกุฏิ กันหลายแสน  หรือเกือบล้าน  ถึงจะได้เข้าไปอยู่

แต่ถึงวัดอยู่กลางกรุงเทพ ฯ ก็ใช่ว่าพระจะมีรายได้
อย่าง หลวงพี่ที่ผมรู้จัก  อยู่วัดแถว อุรุพงศ์  บิณฑบาตบางวันได้ 100 บาท  บางวันได้มากกว่านั้น แต่ไม่ถึง 200 บาท  อย่างโชคดีที่สุดก็ไม่ถึง 300 บาท  บางวันไม่ได้เลยซักบาท
แต่โชคดีที่อาหารบิณฑบาตยังมีให้ฉันอย่าง เหลือเฟือ  เหลือจากฉันท่านก็เอาให้โรงเรียนวัดนำไปเลี้ยงกลางวันเด็กนักเรียนต่อไป  ไม่เสียประโยชน์

อย่างวัดที่ในเมืองหนองคายบ้านผม  ทราบมาจาก น้องเณร ที่ผมส่งเสียให้บวชเรียนว่า  บางวันบิณฑบาตได้แต่ข้าวเหนียวรูปละปั้นใหญ่ ๆ กับไข่ต้มอีกรูปละฟอง

ถ้าเป็นวันพระก็จะได้กับข้าวอย่างอื่นเพิ่มอีก  อย่างมากไม่เกิน 3 ถุง
ก็พอได้อยู่ได้ฉัน  พอให้มีกำลังวังชา  เรียนหนังสือหนังหากันต่อไป
ส่วนเรื่องเงิน  บางเดือนไม่มีเงินซักบาท  ไม่มีกิจนิมนต์เลย
เงินจะซื้อสบู่ ยาสีฟันใช้ยังไม่มีเลย  บางเดือนผมยังต้องซื้อไปถวาย

เฉพาะในเขตเทศบาลเมืองหนองคายมีวัดอยู่ 18 วัด  พระเณรก็คงประมาณ 300 รูป

ที่มา
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10351515/Y10351515.html
205  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำไมใจสั่น เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 08:01:05 am
หนักแน่น เข้าไว้ ทำใจให้สบาย

พรุ่งนี้ก็จะมาถึงแล้ว วันนี้ก็กำลังผ่านไป

ชีิวิตคนเกิดมา แล้วเรื่องคู่ครอง นั้นเมื่อถึงเวลาก็หนีไม่พ้นหรอกครับ

 มีคน ๆ หนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะรักใคร แต่พอได้เห็นหน้าเธอแล้ว ก็รู้สึกอึดอัดที่จะไม่เห็นหน้าเธอ

สุดท้าย ทั้งคู่ก็แต่งงานกัน มีลูกอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีครับ

   เนื้อคู่กันแล้ว ก็ไม่แคล้วกัน ครับ...

   แต่สำหรับเรื่อง หญิง กับ หญิง ผมก็คิดไม่ออก คำนวณไม่ถูก ว่ามันเพราะอะไร หน้าจะเป็นเพราะว่าจิตใจ

ของชนที่ เป็นเช่นนี้ น่าจะไม่เหมือนชนที่ปกติ ครับ

   :97:
206  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ตื่นพบต้นตะเคียนหินขนาดใหญ่ใกล้วัดวังยาย ฉิม จ.นครนายก เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 07:37:43 am
คนไทย ก็มักจะนิยมเรื่อง อย่างนี้กัน

ตอนนี้ บ้านเมือง ตลาด น้ำมันแพง น้ำตาลแพง ข้าวสารก็กำลังขึ้น สินค้าอื่น ๆ แอบขึ้นกันหมดแล้ว

ค่าเงินบาทต่ำลงอีก สงสัยต้องไปกราบพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนช่วยด้วย

 :25:
207  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งสมาธิแล้วเป็นบ้า.. บ้าอะไรกันแน่ เมื่อ: มีนาคม 06, 2011, 05:36:20 pm
ผมอยากบอกว่า เขาบ้ากันได้จริงๆนะครับ ไม่ได้พูดให้เสียกำลังใจ เคยเห็นมาแล้ว

บ้าจนต้องศรีธัญญา รักษาโรคจิตเนื่องจากเห็นภาพหลอน ต่าง ๆ นานาประการ

เพราะการฝึกสมาธิ  ไม่ใช่สิ่งที่มีในศาสนาพุทธอย่างเดียว ศาสนาอื่นเขาก็มีการฝึกสมาธิ

เช่น พวกพ่อมด หมอผี พวกผีปอบ อีสาณนี่เห็นเยอะมาก ๆ ครับ

ไม่ใช่ว่าฝึกสมาธิ แล้วเป็นพุทธหมด

ดังนั้น แนวทางการฝึกสมาธิ ก็มีทั้งผิดและถูก ถ้าฝึกถูกก็ปลอดภัุย ถ้าฝึกผิด ฝึกไม่ดี ก็ บ้่า ได้นะครับ


ถึงแม้ทำตามวิธีการแล้ว  แต่จิตไม่เหมือนกัน  ก็เป็นการฝึกคนละแนวทางกันครับ ต้องดูจริตคนฝึกด้วยครับ
เพราะจริตทางจิต ของคนฝึกสมาธินั้นไม่เหมือนกัน จริง ๆ ครับ

สิ่ง สำคัญที่จะทำให้ไม่ผิดแนวทางคือ สติ และความรู้สึกตัวครับ  ถ้าฝึกแล้วมีสองตัวนี้อยู่ ก็ไม่บ้า  ถ้าฝึกแล้วเบลอๆ เคลิ้มๆ แข็งๆ ทื่อๆ หลงไปกับนิมิต หลงไปกับสิ่งที่เห็นโน่นเห็นนี่ เนี่ย ก็ผิดแนวทางแล้วครับ

ซึ่งเคยเห็นมาแล้วจากเพื่อนผมเอง เดินแก้ผ้า บอกว่าสำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว เดินแก้ผ้า รำทั่วหมู่บ้านเลยครับ

 :91:
208  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: หนุ่มชาวจีนร้องเพลงกล่อมภรรยาที่เป็นเจ้าหญิงนิทราจนฟื้นได้ เมื่อ: มีนาคม 05, 2011, 07:55:45 am
ตอนที่ผมดูครั้งแรก ผมก็จังสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่ายังมีคู่ สามี ภรรยา ที่รัก กันขนาดนี้อยู่อีกหรือ เพราะบ้านเราแค่ สามี ภรรยาเป็นอะไรไปแค่
อัมพฤติ ก็ยังเลิกราหนีกันไปแล้ว

   unseen จริง ๆ สำหรับผม
209  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ฮือฮา! ภาพโผล่ว่อนเน็ต อดีตพระดัง "ยันตระ" โผล่สร้างลัทธิใหม่ เมื่อ: มีนาคม 05, 2011, 07:53:19 am
ที่อเมริกา อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ ครับ เรื่องอย่างนี้คนอเมริกา นั้นถือว่า เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อพระญี่ปุ่นยังมีเมียได้ เขาจึงว่าไม่แปลก
แต่สำหรับคนไทย สาย เถรวาท นั้นอาจจะเห็นว่าสำคัญ ผมลองคุยกับเพื่อน ที่เป็นมหายาน เขาบอกไม่เห็นจะแปลกเลย ในมื่อเป็นผู้บำเพ็ญ
อยู่โอกาสผิดพลาดย่อมมีได้

 :29:
210  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เพื่อสถิติ หรือ เพื่อความสะัใจ หรือ ต้องการทดสอบกำลังใจ เมื่อ: มีนาคม 05, 2011, 07:51:15 am
ชาติก่อน คงจะเกิดเป็นนก จึงชอบนอนในที่สูง ๆ และอันตราย

 :smiley_confused1:
211  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เมื่อคิดย่อมไม่รู้ เมื่อไม่คิดย่อมรู้ -- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 07:57:00 am
"เมื่อคิดย่อมไม่รู้ เมื่อไม่คิดย่อมรู้" คำสอนนี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดีสำหรับผู้ที่สนใจใฝ่ในธรรม แต่จะมีซักกี่คนที่เข้าใจควาหมายที่แท้จริงของคำสอนนี้ อย่างลึกซึ้ง จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อก่อนตัวผมก็เคยเข้าใจผิดคิดว่าการ "หยุดคิด" "ไม่คิด" ก็คือการจงใจ หรือตั้งใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ตัวเองคิด แต่ก็โชคดีที่ได้รับการชี้แนะจากกัลยาณมิตรหลาย ๆ ท่าน จนสะมารถผ่านพ้นความเคยชินแบบเดิม ๆ นั้นมาได้

และในโอกาสนี้ ผมขอนำเอาคำสอนที่สำคัญนั้นมาแบ่งปันให้กัลยาณมิตรได้ศึกษากันครับ


เมื่อคิดย่อมไม่รู้ เมื่อไม่คิดย่อมรู้ -- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่าง ๆ อามรณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ดับไปเรื่อย ๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดินมั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด"

เมื่อ สามารถเข้าใจได้ว่า จิตกับกายอยู่คนละส่วนกันได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานกำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติสังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อย ๆ จนสามารถเข้าใจพฤติกรรมแห่งจิตได้อย่างละเอียดตลอดตามขั้นตอน (เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง) แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่อยู่ในจิตไปเรื่อย ๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูและวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

เมื่อ เจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่าง ๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใด ๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น เรียกว่า "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"

เมื่อธรรม ทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรมจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

จากหนังสือ ชุดธรรมะจากพระอริยสงฆ์ พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูล์ อตุโล)

จากคุณ    : NotBeSt
เขียนเมื่อ    : 3 มี.ค. 54 17:54:53
212  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มชาวจีนร้องเพลงกล่อมภรรยาที่เป็นเจ้าหญิงนิทราจนฟื้นได้ เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 04:39:58 pm
หนุ่มชาวจีนร้องเพลงกล่อมภรรยาที่เป็นเจ้าหญิงนิทราจนฟื้นได้
วันเสาร์ ที่ 19 ก.พ. 2554

ชมวีดีโอได้ที่ลิงก์นี้ครับ
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/171551.html

จีน 19 ก.พ.- หนุ่มชาวจีนใช้พลังแห่งความรักปลุกภรรยาที่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรามานานกว่า 8 ปี ให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างปาฏิหาริย์

นายจาง ยู่หัว ชาวนาในมณฑลชานตง ปลุกภรรยาที่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรามานานกว่า 8 ปี ด้วยการร้องเพลงให้ภรรยาฟังทุกวัน จนสามารถปลุกภรรยาขึ้นมาได้สำเร็จ นายจาง เล่าว่า ภรรยาป่วยหนักจนมีอาการโคม่า แพทย์ไม่อาจช่วยเหลือได้เพราะค่ายาแพงมาก ตนจึงตัดสินใจพาภรรยากลับมาบ้าน และตนก็ร้องเพลงให้ภรรยาฟังทุกวันด้วยความรัก นับแต่วันที่กลับจากโรงพยาบาลวันแรก ในที่สุดภรรยาก็เริ่มร้องไห้ตนก็เริ่มพูดคุยกับภรรยา แม้จะไม่มีอาการโต้ตอบ นายจาง ก็ยังไม่ละความพยายาม จนกระทั่งภรรยาฟื้นจากอาการเจ้าหญิงนิทราได้อย่างมหัศจรรย์. -สำนักข่าวไทย


อยากจะถามว่า

เป็นเพราะพลังใจ หรือกรรมสิ้นสุด หรือสมาธิจากเสียงเพลงครับ ที่รักษาให้คนหลับ 8 ปี ฟื้นขึ้นมาได้
หน้า: 1 ... 4 5 [6]