การใช้สตินั้นต้องบวกอีกตัวหนึ่งด้วยนั่นคือตัวปัญญา
การใช้สติ เป็นไปเพื่อการรับรู้สภาพความเป็นจริง และปัญหาที่เกิดขึ้น
เรียกง่ายๆว่า ตัวสติคือตัวรู้สถานะของเรา ว่าอยู่ตำแหน่งไหน มีสภาพยังไง
ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง สถานการณ์แวดล้อมเป็นเช่นไร
และต้องการอะไร ตัวนี้สำคัญนะ
ส่วนปัญญาคือการใช้ข้อมูลที่สติหามานั้นพิจารณาว่าควรจะปฏิบัติและดำเนินชีวิตอย่่างไร
เพื่อให้ปัญหาที่เรามีอยู่หมดลงไป
บางปัญหาเราแก้ไขได้เราแก้ไข
บางปัญหาเราแก้ไขไม่ได้เราต้องทำใจยอมรับ
จริงๆแล้วการทำใจยอมรับมันเริ่มที่สติก่อนเลยครับ ต้องมีสติที่ดีพอ
เช่น แดดร้อน อย่างนี้คนไม่มีสติก็บ่นเพ้อไปเรื่อยๆ ยืนกลางแดดแล้วก็ว่าแดดร้อนๆ
คนมีสติเขาก็กางร่ม หรือไม่ก็หาร่มไม้ชายคา
ถ้าหาไม่ได้ เราก็ยอมรับมันซะว่าแดดร้อน จำต้องเดินกลางแดดเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
แดดร้อนก็ยอมรับมันซะ มันจะได้เย็นใจ จิตมุ่งไปที่เป้าหมายมากกว่าแดด
ถ้าร้อนมากๆ ก็พักบ้าง ไม่ใช่ลุยไปซะจนร่างกายขันธ์๕ มันเอาไม่อยู่
ส่วนปัญหาที่ถามมา
เจอคนพาลคอยกลั่นแกล้ง เรานิ่งเฉยกลับถูกมองว่าหัวอ่อน
- ถูกมองว่าหัวอ่อน แล้วคนที่มองช่วยอะไรเรามั้ยครับ?
ทำไมเราถึงแคร์คนโน้นคนนี้เหลือเกิน ทั้งๆที่เวลาเราทุกข์ก็ไม่มีใครมาแชร์ได้จริงๆ
การนิ่งเฉย ไม่ใช่ง่ายนะ แต่นิ่งเฉยมีสองแบบ
คือนิ่งเฉยแบบกลัวเกรง
กับนิ่งเฉยแบบไม่สะทกสะท้าน
เราเป็นแบบไหนละ ถ้าเป็นแบบแรก ก็ยังมีความโง่อยู่มาก ขาดความกล้าหาญ
ส่วนแบบที่สองคือ จิตอยู่เหนือการคุกคาม มีสติ สามารถนิ่งเฉยท่ามกลางปัญหา
แต่จิตเตรียมพร้อมที่จะปกป้องตอบโต้เมื่อถึงเวลา
ต้องใช้ปัญญาเข้าช่วย
บางทีเราไม่ต้องเข้าไปแลกกับคนพาลในทุกๆกรณีนะครับ
บุคคลผู้โกรธตอบคนที่โกรธอยู่
บุคคลนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่าเลวยิ่งกว่าคนที่โกรธอยู่เดิมแล้ว
มีคราวหนึ่ง มีพราหมณ์มาด่า่ว่าพระพุทธเ้จ้า
พระพุทธเจ้านิ่งเฉย พราหมณ์ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าแพ้แล้ว
นัยว่าเถียงสู้ไม่ได้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์ไม่โกรธตอบ อันเป็นชัยชนะที่ยากยิ่งกว่าเสียอีก
และการโกรธตอบบุคคลที่โกรธอยู่นั้นเป็นอาการที่เลวยิ่งกว่า
มีสติแล้วต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วยครับ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ รู้จังหวะรู้เวลา
อย่าทำอะไรเพราะโกรธ เพราะสะใจ ศีล๕ ละเมิดแล้ว ผลก็จะมีตามมาอีกจนเป็นทุกข์
จากคุณ : sirnitfi