ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จะมี สักกี่คน ที่ปรารถนา ในพระนิพพาน ท่านที่เพียรมาโปรดเห็นความสำคัญ  (อ่าน 12240 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย, ผู้ที่ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก

อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ
หมู่มนุษย์นอกนั้นย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง

เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน
ก็ชนเหล่าใดประพฤติสมควรแก่ธรรมในธรรมที่ตรัสรู้ไว้ชอบแล้ว

เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง
ชนเหล่าใดจักถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน, ข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุราชที่ข้ามได้ยากนัก

กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำเสีย, แล้วเจริญธรรมขาว

โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง,
ตัต๎ราภิระติมิจเฉยยะ หิต๎วา กาเม อะกิญจะโน
จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ, จากที่มีน้ำ, จงละกามเสีย, เป็นผู้ไม่มีความกังวล,
จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพาน, อันเป็นที่สงัดซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก





  ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ท่านทั้งหลาย มักจะสอบถามอาตมามากันว่า ทำไมเราเหมือนคนบ้า ที่ดูวิ่งวุ่น อยู่กับเรื่องการภาวนา และพยายามชี้นำคนทั้งหลายให้ได้ภาวนากัน เพื่อไปสู่ฟากฝั่ง แห่งการจบกิจพรหมจรรย์ นี้ ในสายตาของชนจำนวนมาก จัดว่าเราเป็นพวกที่แปลกแยก ผิดมนุษย์ มนา ทำตัวผิดไปจากสังคม เนื่องด้วยคนส่วนใหญ่ยังเห็นแก่ความสุข ชิงชังความทุกข์ ดิิ้นรนเพื่อการอยู่รอดของตนเองกันทั้งนั้น

     มีเด็ก ๆ หลายท่านถามอาตมาว่า

        หลวงพ่อ จะเดินจงกรมไปทำไม มันเมื่อยนะคะ
        หลวงพ่อ จะนั่งหลับตานิ่ง ๆ ไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อเรามีตาไว้เพื่อดู อยู่
        หลวงพ่อ จะมาแอนตี้ อะไรกับเพลง สตริงที่ หนูชอบ
        หลวงพี่ ทำไมทำตัวไม่เหมือนพระ ทั่ว ๆ ไป
        หลวงพี่ น่าจะอยู่เฉย ๆ กันบ้างนะ เผยแผ่ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก
        ท่าน จะสอนกรรมฐานทำไม ?
        ท่าน ทำไมต้องเดิน ในเมื่อขึ้นรถได้

   และอีกมากมายหลายคำถาม ที่แสดงให้เห็นว่า มุมมองของชน หลาย ๆ ท่านไม่ได้ชื่นชมต่อการภาวนาการเผยแผ่กรรมฐาน การปฏิบัติและอีกมากมาย ที่มีการแสดงเจตนา ทั้งต่อต้าน ตำหนิ อีกเพียบ ดังนั้นวันนี้ที่มากล่าวหัวข้อนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ภาวนาปฏิบัติ และผู้ที่กำลังจะสูญเสียกำลังใจในการภาวนา กันทุกท่าน

     ตามพระดำรัส ของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสแสดงธรรมไว้ว่า

       ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย, ผู้ที่ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก
       หมู่มนุษย์นอกนั้นย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง

     อันนี้หมายถึงอะไร ท่านลองพิจารณากันดู การที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงออกผนวช มีผู้ชื่นชมพระองค์มากหรือไม่ ก็ขอตอบว่าใน ศากยะวงศ์ และ โกลิยะวงศ์ ก็ไม่ได้มอง เจ้าชายสิทธัตถะ อย่างชื่นชมจะเห็นได้ว่า การที่พระองค์เสด็จกลับไปเยี่ยมพระเจ้าสุทโธทนะ นั้นเหล่าพระญาต ก็แสดงความกระด้าง กระเดื่องต่อพระองค์ มิใช่น้อย ถึงกับพระพุทธเจ้าต้องบันดาลฤทธิ์ ให้ฝนตกมาเป็นสีแดง เป็นที่มาของการกล่าวเล่าชาดก พระเวสสันดร

     ดังนั้น วันนี้ท่านทั้งหลาย ที่มาภาวนากันนั้น ส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาเพราะเห็นทุกข์เห็นภัยของการมีชีวิตใน วัฏฏะสงสาร ที่จะต้องวิ่งวนเวียนวุ่นวายอยู่ ในโลก ของ ความได้ ความมี ความเป็น กันซึ่งเป็นที่มาของความโศรกเศร้า รำพึงรำพัน โศกอาดรู ชอกช้ำ เป็นทุกข์ ท่านทั้งหลายเห็นเหตุกันดังนี้ จึงได้มาใฝ่ในการภาวนาซึ่งท่านทั้งหลาย ควรจะยินดี เสียเถิดว่า

         1.เราได้เกิดมาเป้นมนุษย์
         2.ได้พบพระพุทธศาสนา
         3. อยู่ในขอบขันธสีมา ทีมีพระราชาทีมีทศพิธราชธรรม
         4.ได้มีหมู่เพื่อนกัลยาณมิตร
         5.ได้มีครูอาจารย์เป็นพระอริยะ
       
      ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายได้อาศัยโอกาสในการภาวนา ที่มีอยู่นี้เถิด ก่อนที่เราจะสูญเสีย โอกาส 5 ประการนั้นไป มีใครบอกได้ว่า ท่านละจากความเป็นมนุษย์ในตอนนี้แล้วจะไม่พลาดพลั้งไปลงอบาย ถ้าจะบอกได้ก็ต้องเป็น พระโสดาบันขึ้นไป ที่พ้นจากอบายภูมิ 4 แล้ว

      มีใครจะได้ฟังธรรมในพระพุทธศาสนา อีกและได้เป็นพุทธบิริษัทอีก หากพระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปแล้วตามพระพุทธทำนาย มีคนกล่าวว่าคนยุคนี้เป็นชนสันติสุขประกอบด้วยธรรมมาก แต่ทำไมพระอริยบุคคล พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้เพียง พระอนาคามี ท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าท่านจะได้เกิดในประเทศที่สมบูรณ์ มีพระราชาที่มีทศพิธราชธรรม ท่านจะมีหมู่บ้างไหม ในการภาวนาหรือจะโดดเดี่ยวเดียวดายเคล้งคว้างเมื่อได้ภาวนา และที่สุดครูอาจารย์ที่เป็นพระอริยะ จะมีอีกหรือไม่ ?

      ถ้าท่านทั้งหลายคิดกันเป็น เห็นธรรมในตนเองแล้ว หายใจเข้าลองระลึกถึงลมหายใจเข้า สิ หายใจออกลงอระลึก ถึงลมหายใจออกสิ ธรรมที่ปรากฏตรงนั้นคืออะไร ท่านก็จะเข้าใจคำตอบที่ว่า ชนเป้นอันมากยิ่งวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งเพื่อจะข้าม เพราะกำลังวิ่งแสวงหาจุดที่จะข้ามด้วยความปลอดภัย ด้วยการแบกโลกธรรมข้ามไปด้วย ซึ่งเป็นไปได้เลย ที่ท่านทั้งหลายจะทำอย่างนั้น

      สิ่งที่ท่านทังหลายจะต้องทำกันในขณะนี้ ก็คือ จงเป็นบัณฑิตเสียแล้วเจริญธรรมขาว มีศีลเป็นต้น เพราะธรรมคือฟากฝั่งแห่งพระนิพพานนั้น ต้องเริ่มจากธรรมขาว คือ ธรรมที่สร้างสุขให้แก่ตนเองและผู้อื่นด้วยการไม่เบียน มีศีล เป็นต้น

      จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ จากที่มีน้ำ
      หมายถึง จงละกามคุณทั้งห้าลงเสีย เพราะกามคุณทั้งห้านั้นเปรียบเหมือนสายน้ำ ที่ไม่เหือดแห้งด้วยตัณหา คือความอยากได้ อยากมี อยากเป็น และความยึดมั่นถือมั่น

       จงเป็นผู้ยินดี คือ ธรรมพระนิพพาน ( คือการสิ้นสุดสังสารวัฏ )เพราะธรรมคือความยินดีในธรรมที่เป็นที่สิ้นสุดสังสารวัฏนั้น มิได้มีแก่บุคคลที่ยังอยู่ในโลกไม่ได้มองเห็นตามความเป็นจริง ว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป้นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

      ขอธรรมรส ทั้งหลาย จงเป้นกำลังใจ ให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจภาวนาเพื่อแก่นธรรมในตนเอง อย่าได้หลงไปติดอยู่แต่โลกธรรม คือ ความได้ยศ ได้สุข ได้สรรเสริญ ได้ลาภ เลย ขอความสว่างไสวอันเป็นธรรมภายในของท่านทั้งหลายจงผุดขึ้นด้วย การรู้แจ้ง เห็นจริง เห็นตามพระผู้มีภาคเจ้าโดยถ้วนทั่วกันเทอญ

   เจริญพร / เจริญธรรม


     ;) 
 

Aeva Debug: 0.0007 seconds.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2012, 11:44:49 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

วรรณา

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 158
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
1.เราได้เกิดมาเป้นมนุษย์
         2.ได้พบพระพุทธศาสนา
         3. อยู่ในขอบขันธสีมา ทีมีพระราชาทีมีทศพิธราชธรรม
         4.ได้มีหมู่เพื่อนกัลยาณมิตร
         5.ได้มีครูอาจารย์เป็นพระอริยะ

  คิดว่า โอกาสอย่างนี้ ในช่วงอย่างนี้น่าจะหาโอกาสได้ยาก นะคะ
  จึงคิดเสียดาย โอกาส แต่ด้วยอาชีพที่ต้องเลี้ยงชีวิต ก้เหมือนเป็นเครื่องขวางคุณธรรมส่วนนี้ นะคะ

  ขอบคุณมากคะ ที่ได้ตอบจดหมายคะ

  :25: :c017:
บันทึกการเข้า

TC9

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 137
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นบทความที่ดี คะ หลายท่านคงยังไม่ได้อ่าน พระอาจารย์ท่านมากล่าวให้กำลังใจกับผู้ปฏิบัติธรรมกันตรงนี้นะคะ

อ่านแล้วรู้สึกชื่นใจ มากคะ มีกำลังในการภาวนาต่อไป

สาธู สาธุ สาธุ

 :25: :25: :25: :49:
บันทึกการเข้า

kira-d-note

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 119
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ในชนที่วิ่งอยู่ ก็มี โยมด้วยอีกคนเจ้าคะ แต่ก็พยายามวิ่งหาฝั่งข้ามอยู่วุ่น คะ บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยมากคะ และคิดว่าทำไมการปฏิบัติธรรมภาวนา ขนาดมีความตั้งใจมากและ ให้เวลากับการภาวนาแบบทุ่มเทเลยนะคะ คือหยุดงานลางานกันถึง 15 วันไปนั่งนอนยืน เดินจงกรมแบบอดตาหลับขับตานอน ก็ยังไม่ถึงฟากฝั่ง มีแต่เ้พียงศรัทธาที่ได้ เรื่องฌาน สมาธิ ขั้นสูงไม่ต้องพูดถึงเลยคะ ทำไม่ได้เลยคะ
   อยากไปเรียนกับพระอาจารย์โดยตรง เพราะเห็นว่ามีหลายท่านมาเล่าให้ฟังว่า จากที่ไม่เคยนั่งกรรมฐานกันได้ ก็กลับมานั่งกรรมฐานกันได้ไม่ต่ำกว่า ชั่วโมง อนุโทนาด้วยจริง กับศิษย์พี่ ๆ เหล่านี้ที่ปฏิบัติได้
   ทราบว่าการปฏิบัติกับพระอาจารย์ ยึดที่สัจจะและปฏิบัติโดยตนเอง เป็นผู้แลตนเอง

   วันนี้รู้ตัวคะและเป็นผู้หนึ่งที่ท้อแท้กับการภาวนาคะ
   :25: :s_hi:
บันทึกการเข้า
แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

nopporn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คือโยมเอง ก็เป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนานิพพานในชาตินี้ แต่เมื่อก่อนก็อธิษฐานนิพพานกับพระศรีอาริยเมตตรัย ปัจจุบันไม่เอาแล้วถอนขอให้ได้นิพพานในชาตินี้ แต่บางครั้งก็ไม่อยากนิพพาน มองออกไปรอบตัวก็สงสาร พ่อ แม่ พี่ น้อง หลาน ๆ ญาติ จะตัดช่องน้อยเอาแต่พอตัวไปก่อน ก็เลยกลายเป็น แบกภาระข้ามฟากฝั่ง ครูอาจารย์ก็เตือนเสมอว่าให้ปล่อยวางลงภาระ เสียบ้างจะได้เดินสะดวก แต่อดจะอยากช่วยคนอื่นบ้างไม่ได้
 
  สรุปก็คือ บางครั้่งก็ต้องการนิพพาน บางครั้งก็ไม่ต้องการนิพพานอย่างนี้จัดได้ว่า มีความเบื่อหน่ายบ้างแล้วใช่หรือไม่คะ

    :73: :49: :25:
บันทึกการเข้า
อยู่แก๊งค์ ป่วนอ๊บ

KIDSADA

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 439
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นบทความที่พระอาจารย์มากล่าวให้กำลังใจกับผู้ที่กำลังปฏิบัติ ที่ดีมากครับ เพราะเป็นสิ่งที่เราอาจจะมองข้ามกันไป ผมเชื่อว่าน่าจะมีหลายท่านที่พยายามปฏิบัติแล้วก็ละทิ้งการปฏิบัติกันอยู่
   ผมเองก็เป็นครับบางครั้งก็นึกอยากจะปฏิบัติ บางครั้งก็ไม่อยากปฏิบัติ
   บางครั้งก็เบื่อการภาวนาเป็นอย่างมากเหมือนฟุ้งซ่าน และระเริงไปกับชาวโลก เฮฮาปาร์ตี้ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าใช้ชีวิตอย่างคนไม่มีสาระเลย นอกเสียจากวันหนึ่ง ทำงานเฮฮาปาร์ตี้ นอน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ มานึกได้อีกทีก็ตอนไปงานศพของเพื่อนแต่ละคนที่จากกันไปอย่างกระทันหัน ไปทีก็คิดได้ที เจริญได้ที แต่สักพักก็ลืมอีก

   ก็จะพยายามไปให้ได้ครับ ถึงสาระธรรม คือ พระนิพพานถึงแม้จะยังไม่เข้าใจจริง ๆ ว่านิพพานคืออะไรกันแน่ เพียงแต่รู้ว่านิพพานนั้นเป็นเพียง ที่ ๆ เราจะต้องไป ถ้าไม่อยากกลับมาเกิดอีก

  :c017: ขอบคุณพระอาจารย์ครับที่มากล่าวให้กำลังใจกับผู้ปฏิบัติธรรมครับ

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
เราชอบ ป่วนแก็งค์ อ๊บ อ๊บ

Ice

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำเสีย, แล้วเจริญธรรมขาว

ธรรมดำ คือ อะไร ไม่เข้าใจเป็นธรรม แล้วมีดำด้วยหรือคะ
ธรรมขาว คือ อะไร ไม่ข้าเใจเช่นกัน จัดดำขาว จัดไว้อย่างไรคะ ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่คะ

 ด้วยความนับถือคะ

  :c017:
บันทึกการเข้า

aom-jai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 134
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ที่จริงเป็นหัวข้อกล่าวธรรมให้กำลังใจ ในการปฏิบัตินะคะ เรื่องนี้ คิดว่าหลาย ๆ ท่านไม่ควรพลาดที่จะอ่านกันนะคะ

 สาธุ สาธุ สาธุ

  :25:
บันทึกการเข้า

ลำใย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 83
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
จงเป็นผู้ยินดี คือ ธรรมพระนิพพาน ( คือการสิ้นสุดสังสารวัฏ )เพราะธรรมคือความยินดีในธรรมที่เป็นที่สิ้นสุดสังสารวัฏนั้น มิได้มีแก่บุคคลที่ยังอยู่ในโลกไม่ได้มองเห็นตามความเป็นจริง ว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป้นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

 อ่านข้อความนี้รู้สึก ซึ้งใจคะ มีความรู้สึกว่า เป็นแก่นสารที่จะเข้าหาธรรมเบื้องต้นคะ ขอบคุณมากคะ

  :c017:
บันทึกการเข้า

อัจฉริยะ

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 123
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นบทความที่อ่านง่ายที่สุดในช่วงนี้ครับ ที่พระอาจารยืได้ออกบทความลงมา

ขอบคุณมากครับ
 :25:
บันทึกการเข้า

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
อ้างถึง
กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำเสีย, แล้วเจริญธรรมขาว

ธรรมดำ คือ อะไร ไม่เข้าใจเป็นธรรม แล้วมีดำด้วยหรือคะ
ธรรมขาว คือ อะไร ไม่ข้าเใจเช่นกัน จัดดำขาว จัดไว้อย่างไรคะ ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่คะ

 ด้วยความนับถือคะ

  :c017:

ธรรมดำ ก็คือ ธรรมที่เป้นฝ่ายอกุศล มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นพื้นฐาน
ยังจัดเป็นโลกียธรรมอยู่
ธรรมเหล่าใดที่เป็นธรรมดำเป็นธรรมที่ทำให้สรรพสัตว์ ติดอยู่ในวัฏฏสงสาร ธรรมเหล่านั้นเป็นฝ่ายดำทั้งหมด เพราะมีอวิชชา ความมืดบอด ไม่รู้เป็นเหตุ
  เช่นการเจริญฌานสมาบัติเป็นต้น
 
ธรรมขาว ก็คือ ธรรมที่เป็นฝ่ายสนับสนุการหลุดพ้น จัดเป็นโลกุตรกุศลด้วย
ธรรมเหล่าใดที่เป้นธรรมที่นำสรรพสัตว์ออกจากวัฏฏสงสาร ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมฝ่ายขาว มีศรัทธาในพระตถาคตเป็นต้น
   
   
 
   เช่นการเจริญวิปัสสนาเป็นต้น

   เจริญธรรม/ เจริญพร


  ;)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 10, 2012, 09:04:13 am โดย vichai »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

pornpimol

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 152
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ใครไม่ได้ อ่านก็มาอ่าน เถิด ดิฉันได้อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยคะ
ที่ครูอาจารย์ท่าน มาแนะนำไว้มากมาย แต่ก็ผ่านตาไปไม่ได้อ่าน

  สาธุ สาธุ สาธุ

 :c017: :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

ลูกเณร-รัตน์

  • 1.บรรพชิต
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 31
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ ครับ ที่ได้ถาม และ ได้ตอบเรื่อง นี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เหมือนจะเป็นขอบเขต ที่ไปยากมากนะครับ สำหรับพระพุทธศาสนานี้ เพราะถ้าใครไปได้แล้ว ก็คือ ไม่ต้องกลับมาเกิดกันอีก นะครับ

   :c017: :25:
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขออนุโมทนากับกระทู้ถามตอบนี้ด้วยครับ เป็นประโยชน์ให้เห็นทางอย่างสูงครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

winyuchon

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เคยฟังในรายการ RDN น่าจะเป็นเสียงพระอาจารย์ พูดบรรยายเรื่องธรรม 3 อย่างของผู้ปรารถนา ความสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เสียงเรื่องนี้ครับ ท่านกล่าวถึงธรรม 3 อย่างคือ

    1.การละจากกาม มี กามตัณหา เป็นต้น
    2.การเป็นผู้สิ้นปลิโพธ คือความกังวล ในบ่วง 3
    3.การน้อมจิตมุ่งตรง ต่อพระนิพพานอันมี นิพพานตั้งแต่ โคตรภูนิพพาน โสดาบันนิพพาน เป็นต้น

  ผมฟังตอนนั้น รู้สึกแจ่มแจ้งเลยครับ... ปัจจุบันเสียงธรรมส่วนนี้ไม่ได้เปิดให้ฟังอีก เป็นที่น่าเสียดาย หรือว่าผู้ฟัง ๆ ไม่แล้วไม่เข้าใจ เพราะมีศัพท์ทางธรรม เยอะพอสมควรครับ เรื่องนี้


  :welcome: :c017: :25:
บันทึกการเข้า

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0

  อนุโมทนา สาธุค่ะ  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ