สูตรสำเร็จในชีวิต (24) : ความเคารพ (2)
เขียนไปเมื่อครั้งก่อนว่า คำว่า “เคารพ” มาจากคำว่า “ครุ” ที่แปลว่าหนัก
ท่านผู้รู้ท่านหนึ่งทักว่า แปลเอาเองหรือเปล่า ขอเรียนว่ามิได้แปลเอาเองครับ โบราณจารย์ท่านแปลและอธิบายมาก่อน ผมจำท่านมาว่าอีกทีหนึ่ง ถ้าท่านยังไม่ “สนิทใจ” ลองดูคำอื่นๆ ที่ท่านใช้เกี่ยวกับการแสดงความเคารพก็ได้
มีข้อน่าสังเกตคือ คำบาลีนั้น ถ้าเป็น “การแสดงความเคารพ” ท่านใช้คำว่า ครุกาโร แปลตามตัวอักษรว่า “การกระทำให้หนัก”
ถ้าเป็นคำกิริยาพูดถึงคนเคารพสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ท่านใช้คำว่า ครุกโรติ (ครุ+กโรติ) แปลตามตัวอักษรว่า “ย่อมกระทำให้หนัก”
ถ้าพูดถึงคนที่ควรเคารพท่านใช้คำว่า ครุกาตพฺโพ (ครุ+กาตพฺโพ) แปลตามตัวอักษรคือ “ควรทำให้หนัก” หรือ ครุฏฺฐานีโย (ครุ+ฐานีโย) แปลตามตัวอักษรว่า “ผู้ควรแก่ฐานะที่หนัก”
พอมองเห็นนะครับว่า คำว่า “หนัก” เกี่ยวพันกับ “ความเคารพ” อย่างไร
เหมือนกับคำว่า อุรโค ที่แปลว่า “สัตว์ไปด้วยอก” หมายถึงงู สุนโข แปลตามอักษรว่า “สัตว์ขุดดินเก่ง” หมายถึง หมา ถ้าไม่ถอดความถึงสองชั้นก็ไม่มีทางมองเห็นว่า “อก” กับ “งู” “ดิน” กับ “หมา” มันเกี่ยวกันอย่างไร
@@@@@@@
โอ้ย ปวดหัว เข้าเรื่องความเคารพต่อดีกว่า การแสดงความเคารพ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเป็นคนที่อารยธรรมและวัฒนธรรมอันดีงาม อย่างวัฒนธรรมการแสดงความเคารพของไทยเรา คือการไหว้อันอ่อนช้อยสวยงาม ชาติอื่นอาจมีการไหว้กัน เช่น อินเดีย ลังกา แต่ทำได้ไม่อ่อนช้อยงดงามเท่าคนไทยสมัยก่อน
ที่ใช้คำ “สมัยก่อน” ก็เพราะคนไทยสมัยนี้ไหว้แทบไม่เป็นเอาเสียเลย เจ้าเงาะที่ “ประนมมือเมินหน้าท่าแบกขวาน” ยังจะไหว้สวยกว่าคนสมัยนี้ด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนี้เพราะหันไปเห่อการ “จับมือ” แบบวัฒนธรรมฝรั่งกันมากขึ้น
ที่น่าขำก็คือ เรารณรงค์ให้เด็กรู้จักไหว้ผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่กลับไม่เห็นความสำคัญ งานมอบรางวัลแก่นักเรียนผู้ชนะประกวดมารยาทไทยครั้งหนึ่ง (สามสี่ปีที่ผ่านมา) ผู้ใหญ่ที่เป็นประธานมอบรางวัลแก่เด็กยื่นมือให้เด็กจับ เด็กยกมือไหว้อย่างนอบน้อมไม่ยอมจับมือตอบ เห็นแล้วสะใจดี
ถ้าอยากให้เยาวชนในชาติรู้จักสัมมาคารวะ รู้จักกราบ รู้จักไหว้ ผู้ใหญ่ก็ควรปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างด้วย ไม่ใช่สักแต่พูดๆ แล้วไม่ทำ
@@@@@@@@
สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นพระไม่เคารพกันตามลำดับอาวุโส พระองค์ทรงต้องการให้สำนึกว่า คนที่เจริญแล้วต้องรู้จักเคารพกัน จึงทรงเล่านิทานให้พวกเธอฟังว่า
มีสัตว์สามตัวคือ ช้าง ลิง นกกระทา อาศัยอยู่ในป่า แรกๆ ต่างก็ไม่เคารพกัน วันหนึ่งสัตว์ทั้งสามตกลงกันว่า ใครเกิดก่อนจะได้รับการเคารพจากสัตว์อื่น แล้วการพิสูจน์ “อาวุโส” ก็เกิดขึ้น โดยเอาต้นไทรที่มองเห็นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ใครเห็นต้นไทรนี้มาตั้งแต่เมื่อใด
ช้างบอกว่า ตั้งแต่ตนยังเป็นลูกช้าง
ลิงบอกว่า ตนก็เห็นมันมาตั้งแต่เป็นลูกลิง
ฝ่ายนกกระทาบอกว่า พวกท่านรู้ไหม แต่ก่อนต้นไทรมิได้อยู่ที่นี้ ฉันกินผลไทรจากป่าไกลโพ้นแล้วมาขี้ไว้ตรงนี้ ไทรต้นนี้เกิดจากเมล็ดไทรที่ฉันขี้ไว้ สำแดงว่าฉันแก่กว่าพวกท่าน ช้างและลิงต่างก็ยกให้นกกระทาเป็นตั้วเฮียตั้งแต่บัดนั้น
สัตว์เดียรัจฉานมันยังรู้จักสัมมาคารวะต่อกัน แล้วคนล่ะจะเรียกว่าผู้เจริญได้อย่างไร ถ้าแม้การกราบ การไหว้ยังทำไม่เป็น
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 สิงหาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_337931