ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความเย่อหยิ่งจองหองของปุถุชนมักมาจากเรื่อง "ชาติ โคตร ทรัพย์" เป็นสำคัญ  (อ่าน 952 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


 :25: :25: :25:

สูตรสำเร็จในชีวิตความถ่อมตน
สูตรสำเร็จในชีวิต (25) : ความถ่อมตน

พฤกษาลู่กิ่งยามมีผลดก
นามฝนจะตกเมฆคล้อยลงต่ำ
สัตบุรุษผู้ทรงธรรมไม่หยิ่งเพราะศฤงคาร
ยิ่งมีมากยิ่งให้ทานช่วยเหลือคนอื่น


ข้อเปรียบเทียบนี้ได้ภาพพจน์ดี คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ทำตัวไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ผลดกโน้มกิ่งลง ไม่เย่อหยิ่งจองหอง “น่าเตะ” เหมือนคนกระด้างถือตัว พูดถึงคนประเภทหลังนี้ทำให้นึกเห็นภาพแมงป่องที่ “ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี” ทั้งที่ไม่มี “ฤทธิ์” อะไรจะอวด

โลกมันไม่พอดีครับ คนที่ไม่มีอะไร ก็มักอยากอวดว่า ตัวมีอะไรมากมาย ส่วนคนที่เขาพร้อมทุกอย่างมักจะไม่อวด ดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมสูงสุดด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครสอน กระนั้นพระองค์ก็ยังทรง “ถ่อมพระองค์” ทรงยกธรรมให้เป็นใหญ่ ทรงเคารพพระธรรมเวลาสาวกสวดธรรม หรือแสดงธรรม พระพุทธองค์ทรงฟังโดยเคารพ

@@@@@@@

พระองค์ทรงสอนว่า ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอุดมมงคลหรือเป็นสิ่งที่นำพาชีวิตไปสู่ความเจริญงอกงามอย่างหนึ่ง ความถ่อมตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความกระด้าง (ภาษาบาลีว่า ทัปปะ) ความกระด้าง หรือความเย่อหยิ่งจองหองของปุถุชนมักมาจากเรื่องชาติ โคตร ทรัพย์ เป็นสำคัญ

    - ถ้าเกิดในตระกูลสูง โคตรเหง้าเหล่ากอมีชื่อเสียง แถมมีเงินเป็นถุงเป็นถัง โอกาสที่จะหยิ่งผยองก็มีมากขึ้น
    - ถ้าเป็นลูกตาสีตาสาไร้การศึกษา แถมยากจนอีกต่างหาก (ตาสีตาสาที่ร่ำรวยไม่ค่อยมีอยู่แล้ว) ไม่ต้องร้อง “คนจนมีสิทธิไหมครับๆ” ให้เมื่อยปาก ไม่มีสิทธิสะเออะหน้าโอ้อวดใครอยู่แล้ว ทางที่ดีให้อ่อนน้อมถ่อมตนทำตนให้น่าสงสารเข้าไว้
    - ไม่เพียงชาติ โคตร ทรัพย์เท่านั้น ความรู้ หน้าที่การงานยศศักดิ์อัครฐาน เป็นต้น ก็เป็นสาเหตุให้คนกระด้างถือตัวได้ง่ายเช่นกัน เช่น มีตำแหน่งสูงส่งระดับรัฐมนตรี รัฐมนโท ก็มักจะลืมว่าคนอื่นที่ด้อยฐานะโอกาสว่าตัวก็เป็นคนเหมือนกัน ถือตัวว่าเหนือกว่า ดีกว่า ถูกกว่าคนอื่น ใครไปตอแยเข้าอาจโดนเตะตกเรือนเอาง่ายๆ


@@@@@@@

ที่พูดนี้ก็ใช่ว่าคนที่มีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานสูง ฯลฯ จะเป็นคนเย่อหยิ่งจองหองทุกคนก็หาไม่ คนที่มีข้อได้เปรียบทางสังคมเหล่านี้มากมายที่ยิ่งมีมากยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน น่าเคารพนับถือจริงๆ คนที่ไม่มีอะไรเลย ใช่ว่าจะไม่เย่อหยิ่งจองหองก็หาไม่อีกเช่นกัน ประเภทหลังนี้ก็ “ตัวดี” มิใช่ย่อย ทั้งที่ไม่มีอะไรมากนี่แหละ แกก็หาเรื่องอวด หาเรื่องโม้จนได้ ลองคนจะคุยโม้โอ้อวดถือตัวแล้ว ไม่ต้องเป็นถึงรัฐมนตรีดอก แค่เลขาฯ รัฐมนตรี หรือถือกระเป๋าเดินตามหลังรัฐมนตรี แกก็วางฟอร์มใหญ่คับฟ้าได้

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "คนที่หยิ่งเพราะชาติ หยิ่งเพราะโคตร หยิ่งเพราะทรัพย์ ดูถูกคนอื่นกระทั่งญาติของตนก็ไม่เว้น ย่อมประสบหายนะ ดุจเดียวกับพวกสากยะพระประยูรญาติของพระองค์"

พวกศากยะพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทิฐิมานะสูง ถือตัวว่ามีสายเลือดบริสุทธิ์ ไม่ยอมให้สายเลือดระคนปนกับคนต่างเผ่าพันธุ์ จึงแต่งงานกันเองระหว่างพี่น้อง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารหลังจากตรัสรู้ไม่นาน และได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์แคว้นมคธนั้น พระพุทธบิดาทรงส่งคณะทูตไปกราบทูลอัญเชิญเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ตั้งหลายครั้ง พระองค์ก็มิได้เสด็จ จนครั้งสุดท้ายส่งกาฬุทายีอำมาตย์ไป พระพุทธองค์จึงทรงรับอาราธนา

@@@@@@@

ผู้แต่งพุทธประวัติตอนนี้เล่าว่า คณะทูตที่ไป พอได้ฟังพระธรรมเทศนาก็เลื่อมใสกราบทูลขอบวช ลืมคำสั่งพระเจ้าสุทโธทนะหมดสิ้น นั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่ง

เหตุผลอีกอย่างหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะทิฐิมานะของพวกศากยะเองก็ได้ พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า ถ้าพระองค์รีบเสด็จนิวัตกรุงกบิลพัสดุ์ทันทีที่ตรัสรู้ พวกศากยะคงไม่ยอมรับ อาจแสดงความดูถูกดูหมิ่นต่างๆ นานา ล่วงล้ำก้ำเกินพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบาปกรรมเปล่าๆ รอให้โลกเขายอมรับนับถือพระพุทธองค์อย่างกว้างขวางแล้วค่อยเสด็จกลับเมืองมาตุภูมิ ทิฐิมานะของพวกศากยะอาจคลายลง

เมื่อทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้นเดี๋ยวนี้มิใช่ธรรมดาแล้ว เป็นถึงพระศาสดาเอกในโลก ขนาดพระเจ้ามิใช่ธรรมดาแล้ว เป็นถึงพระศาสดาเอกในโลก ขนาดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล ยังถวายตนเป็นสาวก ซึ่งก็จริงดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จไปจริงๆ พระประยูรญาติทั้งหลายก็ยอมรับพระพุทธองค์ ยอมถวายบังคมและฟังเทศนา มีบ้างบางคนที่แสดงความกระด้างกระเดื่องในตอนแรก แต่สุดท้ายก็คลายทิฐิมานะ

คราวหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอยากเป็นพระญาติสนิทกับพระพุทธองค์ทางสายเลือด ทรงส่งคนไปขอขัตติยกัญญาจากเผ่าศากยะเพื่ออภิเษกสมรส พวกศากยะไม่อยากให้สายเลือดอันบริสุทธิ์ของพวกเขาระคนกับคนต่างเผ่า จึงส่งธิดานางทาสีอันเกิดแต่เจ้ามหานามศากยะไปให้ ความลับถูกเปิดเผยในภายหลัง พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังจะยกทัพมาบดขยี้พวกศากยะอยู่พอดี พระพุทธองค์เสด็จไปห้ามไว้ เกือบไปครั้งหนึ่ง


@@@@@@@

ครั้งที่สอง เจ้าชายวิฑูฑภะ ที่เกิดจากทางนาสีนั้นแหละ เมื่ออายุได้ประมาณ 7 ขวบได้กลับไปเยี่ยมพระเจ้าตาที่เมืองกบิลพัสดุ์ ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากพวกญาติๆ ขนาดหนัก กระทั่งสั่งให้เอาน้ำนมมาล้างที่ที่เจ้าชายน้อยประทับนั่ง ว่ากันว่าล้างเสนียดจัญไร ว่าอย่างนั้น

ความข้อนี้รู้ถึงเจ้าชายน้อยเข้า ทรงผูกพยาบาทว่า “ได้เป็นใหญ่มาเมื่อใด กูจะเอาเลือดในลำคอของพวกมันมาล้างตีนกูให้ได้ ตอนนี้ปล่อยให้มันเอาน้ำนมล้างที่นั่งกูไปก่อน”

ครับ บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ เมื่อเจ้าชายเติบใหญ่ขึ้น ก็ได้ปฏิวัติยึดราชสมบัติจากเสด็จพ่อ ยกทัพไปหมายล้างแค้นให้สาแก่ใจ พระพุทธเจ้าเสด็จมาห้ามไว้ถึงสามครั้งสามครา ในที่สุด พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า กรรมเก่าของพวกศากยะตามทัน ไม่สามารถห้ามได้ จึงปล่อยไปตามกรรม

พวกศากยะถูกกองทัพพระเจ้าวิฑูฑภะทำลายล้างจนหมดสิ้น (ที่เหลือรอดชีวิตจากสงครามคราวนั้น ก็อาจมีบ้าง แต่ที่แน่ๆ หลังสงครามล้างโคตรครั้งนั้น ประวัติศาสตร์มิได้พูดถึงพวกศากยะอีกเลย)

@@@@@@@

พระพุทธองค์ตรัสในภายหลังว่า พวกศากยะกระด้างเพราะชาติ โคตร และทรัพย์ ดูหมิ่นแม้กระทั่งญาติของตน จึงประสบหายนะดังที่เห็น นี่คือผลของกรรมใหม่ที่พวกศากยะทำในชาตินี้ ส่วนกรรมเก่านั้น พวกศากยะเคยเอายาพิษเบื่อปลาตายเกลี้ยงสระ ผลกรรมจึงตามทัน

บุญ-บาปมีจริงครับ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เห็นๆ กันในชาตินี้มากมาย




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21-27 สิงหาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_340228
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ