ทรงห้าม ยกพระพุทธพจน์ขึ้นเป็น "ภาษาสันสกฤต"[๒๘๕] สมัยนั้นภิกษุ ๒ รูป ชื่อเมฏฐะและโกกุฏฐะ เป็นพี่น้องกัน เกิดในตระกูลพราหมณ์ พูดจาอ่อนหวานมีเสียงไพเราะ ภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควรกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
“พระพุทธเจ้าข้า เวลานี้ภิกษุต่างชื่อ ต่างโคตร ต่างเชื้อชาติ ต่างตระกูลพากันออกบวช ภิกษุเหล่านั้นทำพระพุทธพจน์ให้ผิดเพี้ยนด้วยภาษาของตน(๑-) ขอวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้าจะขอยกพระพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต”(๒-)
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า
“โมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ขอวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้าจะขอยกพระพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต’ เล่า โมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส”
ครั้นทรงตำหนิแล้ว
ทรงแสดงธรรมีกถารับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยกพุทธวจนะขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต รูปใดยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เล่าเรียนพุทธวจนะด้วยภาษาของตน”เชิงอรรถ :-
(๑-) ภาษาของตน คือ ภาษามคธ ซึ่งมีสำนวนโวหารตามแบบที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส (วิ.อ. ๓/๒๘๕/๓๑๗)
(๒-)ฉนฺทโส คือ สกฺกตภาสาย = ภาษาสันสกฤต (วิ.อ. ๓/๒๘๕/๓๑๗)ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] จุลวรรค ภาค ๒
โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๗ หน้า : ๗๑
ขอบคุณ :
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=07&siri=21
ความเห็นจาก เฟซบุ้กพุทธศาสนาและปรัชญา เมื่อ10 กุมภาพันธ์ 2017
ในอรรถกถาพระวินัย ท่านตีความเรื่อง"ภาษาของตน" ว่าคือ ภาษามคธซึ่งมีสำนวนโวหารตามแบบที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส (วิ.อ. ๓/๒๘๕/๓๑๗) และตีความว่า พระพุทธองค์ไม่ให้ใช้ภาษาสันสกฤต
แต่เมื่อพิจารณาด้วยวิจารณญาน ตามบริบทในยุคสมัยนั้นอย่างตรงไปตรงมา ผู้เขียนเชื่อว่า "ภาษาของตน" ไม่น่าจะหมายถึง แค่เพียงภาษามาคธี เพียงภาษาเดียวได้ แต่น่าจะเปิดกว้างให้สามารถใช้ ภาษาถิ่นของภิกษุทั้งหลายตามเชื้อชาติ ตามโคตร ตามตระกูลของเขาเหล่านั้น ซึ่งมีอยู่มากมายหลายภาษาในอินเดียสมัยนั้นได้ (ภิกษุบางท่านอาจไม่รู้ภาษามคธเลย-ดูตอนที่ 4) และ "ภาษาของตน" ดังกล่าวนี้ ย่อมรวมถึงภาษาสันสกฤตไว้ด้วย
ถ้าภิกษุนั้นๆยังใช้ภาษาสันสกฤตอยู่ในโคตรของตน จะเล่าเรียนหรือยกพุทธพจน์ด้วยภาษาสันสกฤตของตนก็น่าจะทำได้ ไม่ผิดกติกาอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อความเข้าใจและประโยชน์ของภิกษุผู้นั้นเอง "ภาษาของตน" ในพระสูตรนี้จึงได้แก่ ภาษาของตนคนพูด นั่นแหละ ไม่ใช่ภาษาของใครอื่น
แต่หลักใหญ่ที่ทรงเน้น น่าจะได้แก่ การไม่ยอมให้ผูกขาดการใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งเพียงภาษาเดียว มาสืบทอดพระพุทธพจน์มากกว่า ซึ่งในพระสูตรนี้ บ่งไปถึงภาษาสันสกฤตที่ถูกเสนอขึ้นมาโดยภิกษุ 2 รูปต้นเรื่อง
@@@@@@@
ถ้า "ภาษาของตน" จะหมายถึงแต่เพียงภาษามาคธีเพียงภาษาเดียว ตามที่อรรถกถากล่าวไว้ ก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะทำให้พระพุทธพจน์ผิดเพี้ยนไปมากด้วย "ภาษาของตน" ได้เลยตามที่พระภิกษุทั้งสอง เกริ่นนำไว้ เพราะทุกคนพูดภาษาเดียวกันคือภาษามาคธีอยู่แล้ว จะผิดเพี้ยนไปมากได้อย่างไร
และถ้าจะห้ามเรียนด้วยภาษาสันสกฤตจริง ก็ดูจะเป็นการกีดกันพระภิกษุที่ใช้ภาษาสันสกฤตอยู่ในชีวิตประจำวันเป็นภาษาของตน ไม่ให้รู้พุทธพจน์ จนเกินไป ซึ่งไม่น่าจะเป็นเจตนารมณ์ของพระศาสดา
ภาษาที่ใช้สังคายนาพระไตรปิฎกภายหลังจากพุทธปรินิพพานนั้น พระเถระ 500 รูป เลือกที่จะใช้เป็นภาษามาคธี ตามบรรยากาศของการสังคายนาครั้งแรกที่จัดขึ้นในแคว้นมคธสมัยนั้น
การตีความพระสูตรนี้โดยพระอรรถกถาจารย์เถรวาท จึงน่าจะตีความเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ การเลือกภาษามาคธีมาใช้สืบทอดพระพุทธพจน์ตามมติของพระเถระ ว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระศาสดา
แต่สำหรับความเห็นของผู้เขียนแล้ว การเปิดกว้างให้สามารถศึกษาพุทธพจน์ด้วย"ภาษาของตน" ที่ตนเองเข้าใจที่สุดโดยไม่ยอมให้มีการผูกขาดเรื่องภาษา น่าจะตรงตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้ามากกว่าการอนุญาตให้ใช้ได้เพียงภาษาใดภาษาหนึ่งเพียงภาษาเดียวในการถ่ายทอดพุทธพจน์ที่มา :
https://www.facebook.com/IloveBuddhismandphilosophy/posts/975159865954357/