ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘เสมอภาค’ของ‘สตรี’ ‘ลาปฏิบัติธรรม’ ภิกษุณี-ชี-พราหมณ์?  (อ่าน 8686 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ratree

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
‘เสมอภาค’ของ‘สตรี’ ‘ลาปฏิบัติธรรม’ ภิกษุณี-ชี-พราหมณ์?

เรื่อง ของ “ความเสมอภาคชาย-หญิง” ในประเทศไทย ล่าสุดดำเนินมาถึงจุดที่มีการผลักดันให้เกิดกฎหมายที่ให้ “ข้าราชการหญิงลาปฏิบัติธรรม” ได้นาน ๆ เหมือนที่ “ผู้ชายลาบวช” ได้ 3 เดือน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้พิจารณากฎหมายนี้แล้ว และอยู่ระหว่างส่งร่างกลับเพื่อรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอีก ครั้งหนึ่งก่อน...

ทั้งนี้ หากจะมาดูกันถึงการ “ปฏิบัติธรรม” ของ “ผู้หญิง” ที่นับถือศาสนาพุทธ ปัจจุบันแม้จะยังไม่สามารถลางานเพื่อการนี้ได้เป็นเดือน ๆ หรือ 3 เดือน ในประเทศไทย-ผู้หญิงไทยก็มีการปฏิบัติกันอยู่บ้างแล้ว จะเข้ม-ไม่เข้มแค่ไหนอย่างไรก็สุดแท้แต่ตัวบุคคล ซึ่งแม้แต่บวชเป็น “ภิกษุณี” สตรีไทยก็มีการบวชแล้ว

กล่าวสำหรับกรณี “ภิกษุณี” จากข้อมูลเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งพุทธกาลในพรรษาที่ 5 แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธเจ้า แม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีพระพุทธเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้มีภิกษุณี ซึ่งโดยหลักการในยุคหลัง ๆ ผู้ที่จะเป็นภิกษุณีได้นั้นนอกจากต้องมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุแล้ว ยังต้องเป็นสิกขมานา ถือศีล 6 ข้อ (ศีล 6 ข้อแรกของศีล 10) ครบ 2 ปี แล้วจึงเข้าพิธีอุปสมบทในภิกษุณีสงฆ์ก่อน จากนั้นต้องเข้าพิธีอุปสมบทในภิกษุสงฆ์อีกครั้งหนึ่งจึงจะสมบูรณ์ ซึ่งภิกษุณีต้องถือศีลมากกว่าภิกษุ คือถือ 311 ข้อ มากกว่าภิกษุซึ่งถือศีล 227 ข้อ

ในเมืองไทยกระแส “ภิกษุณี” ฮือฮามากในช่วงปี 2545 จากกรณี “ภิกษุณีธรรมนันทา” สตรีไทยที่ไปบวชโดยอุปัชฌาย์ปวัตตินี ที่ศรีลังกา อย่างไรก็ตาม ในเมืองขณะนี้ก็ไม่ยังสามารถมีการบวชภิกษุณีได้

“ชี” ที่ก็ใช้คำว่า “บวช” สำหรับสตรีที่โกนผม-ห่มขาว ซึ่งมักถูกเรียกว่า “แม่ชี” ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการปฏิบัติธรรมของผู้หญิง โดยหลักการถือว่าเป็นเพศนักบวชที่มีการปลงผม-คิ้ว นุ่งขาว-ห่มขาว และใช้ชีวิตปฏิบัติตามเพศของนักบวชตามเกณฑ์ที่สถานปฏิบัติธรรมแต่ละแห่งได้ กำหนดเอาไว้ ซึ่งโดยทั่วไปแม่ชีจะถือศีล 10 บางที่แม่ชีก็มีการออกบิณฑบาตคล้ายกับพระภิกษุ

ศีล 10 ที่แม่ชีถือ ก็เพิ่มเติมขึ้นจากศีล 8 เช่นเพิ่มเรื่องของการงดรับเงินทองเด็ดขาด โดยศีล 10 ของแม่ชีนั้นได้แก่... เว้นจากการทำลายชีวิต, เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้, เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์, เว้นจากการพูดเท็จ, เว้นจากการเสพของเมา, เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล, เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง, เว้นจากการทัดทรงดอกไม้, เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่, เว้นจากการรับทองและเงิน

ลดความเข้มลงมาอีกระดับ คือบวชเป็น “ชีพราหมณ์” การบวชชีพราหมณ์นั้นก็จะคล้าย ๆ กับการปฏิบัติธรรมโดยทั่วไปที่ถือศีล 8 ซึ่งแหล่ง ปฏิบัติธรรมมีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัด สำนักสงฆ์ หรือแค่สถานที่ปฏิบัติธรรม

การบวชชีพราหมณ์ ก็จะมีระยะเวลาที่เข้าไปปฏิบัติ 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง หรือนานกว่านั้น ตามแต่บุคคลหรือสถานที่ โดยส่วนใหญ่ต้องถือศีล 8 โดยตรง กล่าวคือ... การเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป, การเว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย, การเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์คือร่วมประเวณี, การเว้นจากการพูดเท็จ, การเว้นจากน้ำเมา, การเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่, การเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง, การเว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่หรูหราฟุ่มเฟือย

รูปแบบการปฏิบัติธรรมแบบชีพราหมณ์ของแต่ละสถานที่ก็จะแตกต่างกันไป อย่างเช่นรูปแบบของ “เสถียรธรรมสถาน” นอกจากถือศีลแล้วก็จะต้อง “สวมชุดขาว” หรือบางที่อาจต้อง “ใส่สไบ” ด้วย

ส่วนวิถีชีวิตที่จะต้องปฏิบัติของชีพราหมณ์ในแต่ละวัน ก็เช่น... 04.00 น. ตื่นนอน, 05.00 น. ทำวัตรเช้า, 06.00 น. ปฏิบัติธรรม อาทิ นั่งสมาธิ, 08.00 น. อาหารเช้า, 09.00 น. ภาวนากับการทำงาน, 09.30 น. ธรรมบรรยายกับสมาธิภาวนา, 11.30 น. อาหารกลางวัน, 12.00 น. ว่างในปัจจุบันขณะ, 13.30 น. สมาธิกับการตอบคำถาม, 16.00 น. น้ำปานะ, 18.00 น. ทำวัตรเย็น, 19.00 น. ธรรมบรรยาย-สมาธิภาวนา, 21.00 น. ทำความเพียรโดยส่วนตัว

นอกจาก 3 รูปแบบที่ว่ามาข้างต้น “ผู้หญิง” หรือแม้แต่ผู้ชายที่ใฝ่ทางธรรมตามแนวทางศาสนาพุทธแบบทั่ว ๆ ไปโดย “ไม่ต้องมีคำว่า...บวช...เข้ามาเกี่ยวข้อง” ก็ยังมีวิธีการที่ปฏิบัติได้โดยไม่ยากให้เลือก ซึ่งก็คือการ “ทำบุญ-ทำกุศลรูปแบบต่าง ๆ” ซึ่งก็ทำได้หลากหลาย แยกได้หลายรูปแบบ

เช่น... การเข้าวัดในวันพระ ซึ่งแต่ละเดือนจะมี 4-5 วัน อาจจะเข้าไปสวดมนตร์ทำวัตรเช้า ถวายสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์ ทำบุญเลี้ยงพระ หรืออาจถือศีล 8 เฉพาะในวันพระ ซึ่งก็สามารถยืดหยุ่นได้ด้วยการพักค้างอยู่ที่บ้าน หรือบางคนอาจจะไปถือศีล 8 ที่วัด โดยบางวัดจะเตรียมสถานที่ไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าไปปฏิบัติและพักค้างที่ วัดได้ และในตอนเย็นบางวัดก็เปิดให้มีการทำวัตรเย็น และนั่งสมาธิเป็นประจำ

นี่ก็เป็นรูปแบบ-เป็นตัวอย่าง “การปฏิบัติธรรมของผู้หญิง”

“เป็นเรื่องที่ดีหากจะออกกฎที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ปฏิบัติธรรมจริงจัง บ้าง เพราะเป็นการแสวงหาคุณค่าภายในจิตใจ เพื่อจะให้ได้เข้าใจว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงคืออะไร และเมื่อออกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่ใช่เพียงผู้ปฏิบัติจะได้สิ่งที่ดีเท่านั้น สังคมรอบข้างก็จะได้รับสิ่งที่ดีตามไปด้วย ซึ่งหากเรื่องนี้เป็นจริงได้ก็เป็นที่อนุโมทนาไปด้วย”...เป็นความเห็นของแม่ ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน

ก็รอดูกันว่าเรื่องนี้ที่สุดแล้วจะอย่างไร-แบบไหนแน่ ??.

ที่มา: เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/dailynews...e=2&Template=1
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

คุณราตรี เป็นคนตั้งกระทู้ น่าจะเล่าให้เพื่อนๆได้ทราบบ้าง ว่าตัวเองเคยลาบวชบ้างรึเปล่า
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มีกฏหมาย หรือยัง คร้า..เรื่องนี้ แต่จะเอาเสมอภาค กะ คุณผู้ชาย เรื่องการลานี่ก็น่าจะสลับกันบ้างนะคร้า..

ลาบวชอุปสมบถ เป็น แม่ชี พระภิกษุณี ยังไม่มีนะคร้า...

คุณผู้หญิง ลาคลอดได้ แล้ว คุณผู้ชายลาดูเมียที่คลอดได้หรือป่าวคร้า...

ที่จริง กฏหมาย ก็ดีอยู่แล้วเราเป็นสตรี ก็ไม่ต้องถึงต้องเสมอภาคกับผู้ชายเลยนี่คร้า..

การเข้าสู่ธรรม ไม่ได้จำกัดเพศ..

 พระอาจารย์ฺบอกว่า เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจ เรื่อง จิต ให้ถึงคำว่า จิต คร้า...

 เพราะมีแต่จิต ที่เปลี่ยนที่ หรือ เสวยกรรมคร้า...

 :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

ratree

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ที่นำมาโพสต์ ก็ไม่ใช่เจตนาจะเรียกร้อง สิทธิสตรีคะ
แต่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับสตรีคะ ส่วนเรื่องการเสมอภาคกับเหล่าบุรุษแล้ว บางเรื่องอาจจะต้องยกไว้คะ

อั่มแดง เป็นผู้ยกระดับสตรีเรื่องการศึกษาของหญิงไทยในกรุงรัตนโกสินทร์มาคนหนึ่งแล้ว
เพียงอาจจะกล่าวว่า บางเรื่องก็ควรให้สตรีบางคะ แต่บางเรื่องก็ควรเป็นของบุรุษคะ ต้องประกอบไปด้วยกัน

หญิง ชาย ขาว ดำ ธรรม และ อธรรม เป็นธรรมเรียกว่าของคู่ มีบวก ก็มี ลบ คะ มี คู่ กับ ไม่มี
อาจจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนซึ่งกันและกันในตัวเองคะ

 :97:
บันทึกการเข้า

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
หญิง ชาย ขาว ดำ ธรรม และ อธรรม เป็นธรรมเรียกว่าของคู่ มีบวก ก็มี ลบ คะ มี คู่ กับ ไม่มี
อาจจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนซึ่งกันและกันในตัวเองคะ

ความเป็นของคู่ เป็นทุกข์ อย่างยิ่ง

    :25:
บันทึกการเข้า

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระพรหมคุณาภรณ์:  ก็อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของแต่ละคน  แต่ละ
สำนัก  แม้จะไม่บวชเป็นพระเป็นชี  ถึงจะเป็นผู้หญิงที่เป็นคฤหัสถ์  ก็เป็นคนดี
ประพฤติดีมีความรู้ได้  ถึงแม้ไม่ต้องบวช  คนเขาก็นับถือ  อย่างในอินโดนีเซีย
ก็เคยไม่มีภิกษุมานาน  ตามที่ทราบ  อาตมาก็ยังมีไม่ได้ศึกษารายละเอียด
เท่าที่เคยได้ยินได้ฟัง  ระหว่างนั้น  ชาวพุทธที่นั่นทำอย่างไร  ภิกษุก็ไม่มี  ถึง
ตอนนี้มีก็ยังไม่ครบพื้นที่  บางแห่งมีชาวพุทธ  แต่ไม่มีภิกษุ  ทำอย่างไร  เขา
บอกว่ามีอุบาสกอุบาสิกา  ทำหน้าที่คล้ายๆ  พระสงฆ์ไปเลย  อุบาสิกาที่นี่ก็
ไม่เบานะ  เป็นที่น่าเคารพนับถือประพฤติดี


และที่พระพุทธเจ้าก็ทรงยกย่องไว้  เพราะในพุทธบริษัท ๔  ก็มี
เอตทัคคะกันทั้งนั้นใช่ไหม  แล้วใน  ๔  พุทธบริษัท  ก็เป็นอริยบุคคลได้ทั้งนั้น
แล้วในฝ่ายคฤหัสถ์  เขาก็เป็นอริยะ  บางทีก็สูงกว่าภิกษุ  แต่ว่าเคารพกันโดย
เพศภาวะเพื่อประโยชน์ในทางสังคม  แต่ในแง่บุคคลก็ถือว่าเคารพในใจ  โดย
สถานะและด้วยความที่มีจิตใจพัฒนาเจริญงอกงามในธรรม  ได้ละกิเลส


อย่างจิตตคฤบดีก็เป็นคฤหัสถ์  เป็นอนาคามี  ก็สูงกว่าพระเยอะแยะ
แล้วมากราบไหว้พระ  บางทีก็อธิบายธรรมะให้พระฟัง  คือในแง่ของจิตใจ  ใน
แง่ของภูมิธรรม  ก็ไม่ได้เอาเพศที่เป็นรูปธรรมมาเป็นตัวตัดสิน

คฤหัสถ์ก็อาจจะบรรลุอรหันตผลได้  แต่เพียงถือกันมาว่า  ถ้าเป็น
อรหันต์แล้วก็ต้องบวช  คฤหัสถ์ก็ปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหันตผลได้  แต่เพียงว่า
สภาพแวดล้อมไม่อำนวย  มันไม่เอื้อในการปฏิบัติ  จะปฏิบัติไม่สะดวก
เป็นอยู่ได้ยากหน่อย  จึงยังมีคนมาหาที่ปฏิบัติธรรม  เพราะว่าเพศพระและ
วัด  มีสภาพวิถีชีวิตอะไรๆ  ที่เอื้อ  โดยสภาวะ  เรื่องเพศไม่ได้ขัดขวางอยู่แล้ว

ที่มาจากหนังสือ ดร.มาร์ติน ถาม พระพรหมคุณาภรณ์ ( ปอ.ปยุทโต ภิกขุ )
บันทึกการเข้า