ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบาสิกากี นานายน (ท่าน ก. เขาสวนหลวง)  (อ่าน 3881 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

juntra

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

อุบาสิกากี นานายน (ท่าน ก. เขาสวนหลวง) สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ราชบุรี ตอน แบบอย่างของสตรีผู้เข้มแข็ง เด็ดขาด และมั่นคงในพระธรรม



“ท่าน ทั้งหลายอย่านึกว่าข้าพเจ้าจำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงแก่ท่านเลย  แต่ข้าพเจ้านำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตาม แล้วจึงนำมาแสดง...”

 

ทุกๆช่วงเช้าและช่วงเย็นของแต่ละวัน บรรดาแม่ชีและอุบาสิกาที่พักอาศัยอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ จะนัดหมายมารวมตัวกันที่ “หอประชุมธรรมวิจัย” เพื่อทำวัตรสวดมนต์และรับฟังการบรรยายธรรมจากอดีตเจ้าสำนักคนที่หนึ่ง

หัวข้อการบรรยายมีมากมายหลายเรื่อง แต่ละเรื่องมักจะมุ่งตรงไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งนั้นคือ

“การปฏิบัติด้วยความเพียรเพื่อการหลุดพ้น”

ธรรมะ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่การบรรยายธรรมะในหอประชุมธรรมวิจัยหลังนี้กลับเป็นเรื่องที่แปลก โดยเฉพาะกับอาคันตุกะหน้าใหม่ที่ก้าวเข้ามาเยือนอย่างพวกเรา..


“การ กำหนดจิตให้มีสติตั้งมั่น  ต้องเป็นการฝึกจริง ถ้าเป็นการฝึกอ่อนแอแล้วไม่ได้เรื่อง  จะมีแต่ความพ่ายแพ้ เพราะการฝึกอบรมจิตนี้ต้องทำจริง เพียรจริง แต่ไม่ใช่เอาความอยากเข้ามาจัดจนเกินไป”

อุบาสิกาท่านหนึ่งที่ต้อนรับพวกเราได้อธิบายว่า เสียงการบรรยายธรรมที่พวกเราได้ยินอยู่นี้เป็นเสียงของ

“อุบาสิกากี  นานายน” หรือ “ท่าน ก. เขาสวนหลวง”

ผู้ ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ปัจจุบันท่าน ก. เขาสวนหลวงได้ล่วงลับไปนานมากกว่าสามสิบปีแล้ว ดังนั้นเสียงที่พวกเราได้ยินจึงเป็นเสียงที่ได้บันทึกเอาไว้และนำมาเปิดทุก ครั้งหลังจากการทำวัตรสวดมนต์สิ้นสุดลง

โดยส่วนตัวแล้วผมเคยผ่านตากับชื่อ “ท่าน ก. เขาสวนหลวง” แต่ไม่เคยทราบเลยว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไร ความเข้าใจเบื้องต้นครั้งแรกผมคิดว่าท่านคือนักเขียนหนังสือมีชื่อเสียงคน หนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจที่จะสืบค้นต่อ จนเมื่อได้อ่านบทความตอนหนึ่งที่”หลวงตามหาบัว”กล่าวรับรองท่าน ก. เขาสวนหลวง ว่า

“ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องไม่มีผิดพลาด แม้เปอร์เซ็นต์เดียว”

ความ สนใจครั้งนี้ จึงต่อยอดด้วยการที่ผมต้องพาตัวเองเข้าไปพึ่งบริการจากเพื่อนต่อ(มนุษย์ ล่องหน) ก็ได้ทราบความว่าท่าน ก. เขาสวนหลวงเป็นสุภาพสตรี ที่มีจิตใจแน่วแน่และมุ่งมั่นอยู่ในการปฏิบัติธรรม ชนิดที่ว่าสุภาพบุรุษอย่างเราๆท่านๆต้องยอมคารวะในความเป็นตัวตนและคุณธรรม ของท่าน..



เรื่องราวของ “ท่าน ก. เขาสวนหลวง” สำหรับคนบางคนแล้วอาจจะไม่มีความหมายหรือความน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่าเรื่องราวของท่านนับเป็นเรื่องวิเศษอันดับต้นๆ ของชีวิตน้อยๆของผมเลยทีเดียวครับ

เรื่อง วิเศษที่ผมว่าก็คือการที่สุภาพสตรีท่านหนึ่ง ได้นำพาตนเองเข้าไปสู่เส้นทางของพระพุทธศาสนา โดยเน้นการปฏิบัติอย่างหนักหน่วงพร้อมกับปฏิเสธเรื่องภูตผี วิญญาณ สิ่งเร้นลับต่างๆ ฯลฯ คงเหลือสิ่งที่ยอมรับอยู่อย่างเดียวคือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่า นั้นที่เป็นเครื่องนำทางไปสู่จุดหมายในชีวิตของท่าน นั่นคือ “นิพพาน”

 

การ ปฏิบัติของท่านไม่ได้แหวกแนวหรือพิสดารอะไรเลย  ตรงกันข้ามกับเป็นเรื่องที่ใครก็สามารถปฏิบัติได้  ดังนั้นความแตกต่างจึงอยู่ตรงที่ “ใครล่ะสามารถปฏิบัติได้แข็งแรงกว่ากัน” การปฏิเสธความสุขทางโลก รักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิต ทำให้ท่านได้ปลีกตัวออกไปหามุมสงบของชีวิตเพื่อเป็นการกำจัดกิเลส  ตลอดจนสิ่งยั่วยุต่างๆในทางโลก

เล่า กันว่าสถานปฏิบัติธรรมที่ท่านได้สร้างขึ้นมา เกิดจากการที่ท่านและครอบครัวของคุณลุง คุณป้าของท่านได้เข้ามาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาวัดร้างแห่งหนึ่งบริเวณ เชิงเขา ซึ่งจากวันที่ท่านได้เริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรมในสถานที่แห่งนี้ นับเป็นเวลานานกว่าสิบปีทีเดียวกว่าจะสร้างศรัทธาให้คนเข้ามาร่วมปฏิบัติ ธรรมกับท่าน

 

แล้วตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีนั้นล่ะ ท่านทำอะไรอยู่..

แน่ละ...คงจะไม่ใช่การออกไปประโคมข่าวหรือออกโฆษณาตามสื่อต่างๆ...

หาก แต่ท่านใช้การวางตัว การประพฤติตัว การชี้แนะและการขนาบ จนสามารถเกี่ยวมัดจิตใจและสร้างความเชื่อถือให้กับบุคคลทั่วไป  จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจกับการที่สุภาพสตรีท่านหนึ่งต้อง เข้ามาอาศัยอยู่ท่ามกลางป่าเขา โดยไม่ถูกรบกวนจากเพศตรงข้ามหรือสัตว์ร้ายทั้งปวง

อะไรล่ะ  ที่เป็นเกราะคุ้มครองให้ท่านอยู่ได้อย่างปกติสุข..

ความปกติสุขที่ว่านี้ได้ยังผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ไม่ เคยปรากฏข่าวเลยว่าสุภาพสตรีที่เข้ามาบำเพ็ญศีลในสำนักปฏิบัติธรรมกลางป่า แห่งนี้ถูกข่มขืน ถูกงูกัด ถูกสัตว์ร้ายคาบไปกินหรือแม้แต่ถูกรบกวนจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ

แต่ ขณะเดียวกันทุกคนกลับอยู่กันอย่างปกติสุขท่ามกลางป่าเขา ท่ามกลางธรรมะ ท่ามกลางความศรัทธา อยู่พักอาศัยกันแบบพึ่งพาและพอเพียง มีน้ำใช้สอยตามอัตภาพ เรื่องไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง ทั้งสำนักเปิดบริการพลังงานไฟฟ้าแค่สามจุดคือ โรงครัว เรือนพยาบาลและยามที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ

 

นอก จากนั้นผู้ที่พักอาศัยตลอดจนสุภาพสตรีที่เข้ามาปฏิบัติธรรมจะมีเพียง  แสงอาทิตย์นำทางในเวลากลางวัน แสงจันทร์นำพายามค่ำคืน แสงจากเปลวเทียนยามที่ต้องค้นหาของในที่พัก แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต่างก็มีคือ

”แสงสว่างจากศรัทธาในพระธรรมนำทางไปสู่จุดหมายของชีวิต”

ซึ่ง แสงสว่างที่ทุกคนได้รับถูกจุดประกายขึ้นจากประมุขของสำนักคนแรกที่มีนัยน์ตา ค่อนข้างมืดสนิทและใช้แสงสว่างจากศรัทธาในพระธรรมนำทางไปสู่จุดหมายของชีวิต เช่นกัน..

ว่ากันว่าธรรมะของพระศาสดาเป็นแสงสว่าง เปรียบดั่งดวงประทีปที่ส่องให้เห็นความจริงและส่องให้เห็นได้ด้วยปัญญา

จากกรุงเทพ พวกเรามุ่งหน้าเข้าตัวเมืองราชบุรี เลี้ยวไปทางอำเภอจอมบึง ผ่านหน้าเขางูไปพอสมควรเราก็จะถึงทางแยกเข้าสู่เขาสวนหลวง สามกิโลเมตรบริเวณปากทางเข้าเราก็จะถึงสถานที่แห่งนี้ครับ...

“อุศมสถาน สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง”



“เกิด หญิงจริงหนึ่งกล้า        ผดุงธรรม

มา    ช่วยชี้ทางนำ      เพื่อนพ้อง

เพื่อ  พ้นผ่านเรือนจำ   ก้าวล้วง     ทุกข์นา

ธรรม ท่านที่ลั่นฆ้อง     บ่รู้เลือนหาย...”

ท่าน ก. เขาสวนหลวง มีนามเต็มว่า”อุบาสิกากี  นานายน” ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๔๔ ปีฉลู ณ ตำบลท่าแจ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี บิดาของท่านชื่อ นายฮก  นานายน  มารดาของท่านชื่อ นางบุญมี  นานายน และในจำนวนลูกทั้งหมดห้าคน ท่าน ก. เขาสวนหลวงคือบุตรสาวคนโตของครอบครัว

 

“แท้ จริงการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผาอยู่ทุกวันทุกคืน  ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส  เราก็มีแต่ความสุขเย็น  แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา เราก็สุกไหม้และเกรียมไปได้ในที่สุด”

ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านอายุได้ประมาณ ๓-๔ ขวบ คุณแม่ของท่านได้สอนให้ท่านสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนและหากท่านเผลอนอนหลับโดย ไม่ได้สวดมนต์ คุณแม่ของท่านก็จะปลุกท่านให้ลุกขึ้นมาสวดมนต์เสียก่อน จึงจะอนุญาตให้ท่านนอนต่อได้

ครั้น พอท่านอายุได้ ๖ ขวบ ท่านก็พบเห็นภาพคุณแม่ของท่านซึ่งขณะนั้นกำลังท้องแก่แต่ก็ยังคงทำงานอย่าง หนัก เช่นการหาบน้ำจากแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆบ้าน

ท่านจึงบอกคุณแม่ของท่านว่าท่านจะช่วยหาบน้ำบ้าง คุณแม่ของท่านจึงได้ตัดไม้กระบอกให้และท่านจึงได้หาบน้ำด้วยไม้กระบอกนั้นทุกวัน..

 

ใน ช่วงที่ท่านมีอายุ ๗ ขวบ ท่านได้มาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ได้รับค่าขนมวันละหนึ่งอัฐ ซึ่งท่านก็ไม่ได้นำเงินนั้นไปซื้อขนมกินเลย กลับเอาไปซื้อดอกไม้มาบูชาพระทุกวัน ต่อมาเมื่อท่านได้รับค่าขนมเพิ่มขึ้นเป็นวันละหนึ่งไพ ท่านจึงได้ซื้อข้าวที่เขาขายกระทงละหนึ่งไพ นำไปใส่บาตรทุกวัน

จน เมื่อท่านได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่ราชบุรี คุณแม่ของท่านซึ่งปฏิบัติรักษาศีลอุโบสถอยู่เป็นประจำ ได้สอนท่านไม่ให้ทำบาปขณะเดียวกันคุณแม่ของท่านก็ไม่เคยพาท่านหรือลูกๆคน อื่นไปเที่ยวดูการละเล่นเลย

 

ว่า กันว่าความสุขในวัยเด็กก็มีไปอย่างหนึ่ง ความสุขในวัยหนุ่มสาวก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยกลางคนก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยแก่เฒ่าชราก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรือสับเปลี่ยนกันได้เลย...

ท่าน ก. เขาสวนหลวงได้เริ่มรักษาศีลอุโบสถเมื่ออายุได้ ๒๔ ปี ท่านได้ศึกษาธรรมะด้วยตัวของท่านเองโดยการปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับการอ่าน หนังสือธรรมะ ขณะเดียวกันท่านก็ยังหาโอกาสไปกราบขอความรู้ ความเข้าใจในธรรมจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ ฯลฯ

 

“เรา บังคับโลกนอกตัวเราไม่ได้ก็จริง  แต่เราสามารถควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สัมผัสโลกแต่ในลักษณะที่จะไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เราได้ โดยอาศัยธรรมะนั่นเอง” 

ท่าน เล่าว่าครั้งหนึ่งได้มีผู้ใหญ่มาชวนท่านไปเที่ยวงานประจำปี ท่านจึงได้ออกไปเที่ยว หลังจากที่ท่านได้ยืนดูอยู่ได้สักครู่ ท่านก็ได้นึกถึงศีลข้อที่ห้ามไม่ให้ดูการละเล่น การฟ้อนรำต่างๆ ทำให้ท่านเกิดความละอายใจ ท่านจึงได้ขออนุญาตผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับบ้าน ท่านว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาท่านก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือออกไปดูการละ เล่นอีกเลย

มีเรื่องจริงที่ถูกบันทึกไว้ว่าเคยมีผู้มาบอกท่านว่า...

เขามีอาจารย์เป็นสมเด็จและทำให้คนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ พร้อมกับคนผู้นั้นได้พยายามชักชวนให้ท่านไปดู ท่านจึงได้ตอบว่า...

“กิเลส มันอยู่ที่ตัวเรา อาจารย์จะมาทำให้หมดกิเลสไม่ได้ เราต้องปฏิบัติละกิเลสด้วยตัวเองจึงจะได้  ฉันไม่ไปหรอก  ถ้าอยากจะสำเร็จแบบนั้นก็ไปเถอะ”

หลัง จากที่ท่านได้ปรนนิบัติสนองคุณบิดามารดาตามหน้าที่จนท่านทั้งสองถึงแก่กรรม แล้ว ในปี ๒๔๘๘ ขณะที่ท่านอายุได้ ๔๔ ปี ท่านจึงได้ปลีกตัวออกไปสู่ความสงบ ณ เขาสวนหลวง พร้อมกับอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่และอุบาสิกาแดง รักแซ่

 

อุบาสิกาวัลย์  นานายน ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นไว้ว่า...

“.......หลังจากบิดาได้สิ้นชีวิตลง ดิฉันก็อยู่กับท่านเพียงสองคนเท่านั้น ไปไหนจึงต้องไปด้วยกันเสมอ ท่านปรารถอยู่เสมอว่า

“การอยู่บ้านเรือนและค้าขายเป็นภาระหนัก เราหาเงินได้สักก้อนหนึ่งแล้ว ไปหาที่สงบอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมดีกว่า”

ท่านเทิดทูนบูชาชีวิตพรหมจรรย์อย่างเหลือเกิน ท่านชี้ให้เห็นว่า

“เรามีมือมีเท้ามีปัญญา ทำไมจะต้องไปเป็นทาสเขาทั้งกายและใจ คนอ่อนแอเท่านั้นที่ต้องพึ่งผู้อื่น ผลที่สุดก็ได้รับความทุกข์ตลอดชีวิต”

ต่อ มาดิฉันก็ได้เปลี่ยนการค้าเล็กน้อยนั้น มาเช่าตึกทำการค้าอยู่ตลาดราชบุรี จนกระทั่งเกิดสงครามใน พ.ศ.๒๔๘๘ ตลาดราชบุรีได้ถูกระเบิด ดิฉันอพยพไปทำการค้าชั่วคราวอยู่ที่ปากน้ำ

ท่านบอกว่า จะไม่ไปด้วยท่านจะไปอยู่เขาสวนหลวง ก่อนจะไป ด้วยความห่วงใยท่านได้ลงไปดูความเป็นอยู่ของดิฉันว่าจะอยู่กันเรียบร้อยหรือ ไม่ แล้วท่านก็ไปอยู่เขาสวนหลวงตั้งแต่นั้นมา


เขาสวนหลวงนี้ท่านเคยสนใจมาก่อนแล้ว เพราะว่ามีคุณลุงและคุณป้า ซึ่งเป็นพี่ชายคุณแม่อยู่ข้างหลังเขาคือ”คุณลุงเปลี่ยน รักแซ่และคุณป้าแดง รักแซ่” ภริยาของคุณลุงเปลี่ยน ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมคุณลุงและคุณป้า ท่านจะต้องมาที่เขาสวนหลวงเสมอ.........”

“ตึกไสยาสน์       ว่างเปล่า    เขาสวนหลวง

ธรรมทั้งปวง       อนัตตา      อย่าหลงใหล

กฎธรรมชาติ      ธาตุขันธ์    มันเสื่อมไป

เหตุปัจจัย  ดับไม่เหลือ สิ้นเชื้อเอย...”

ขอ ขอบพระคุณ อุบาสิกาละมัย จุลคำภา ที่เมตตาให้ข้อมูลและบอกเส้นทางเข้าสู่สำนัก บทความบางตอนอ้างอิงจากหนังสือหลายๆเล่มของ ท่าน ก. เขาสวนหลวง คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อ(มนุษย์ล่องหน)ที่ให้คำชี้แนะและคำขนาบ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี กับกำลังใจที่มีให้เสมอมาครับ

อ่านรายละเอียดทั้งหมดที่นี่คะ
http://www.oknation.net/blog/sitthi/2009/03/13/entry-1
บันทึกการเข้า

pamai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อุบาสิกากี นานายน (ท่าน ก. เขาสวนหลวง)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 12:55:54 pm »
0
เป็นประวัติอุบาสิกา อีกท่านที่น่าสนใจ และ น่าเคารพยกย่อง อีกท่าน
 :25:
บันทึกการเข้า