ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 708
15241  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ระนองโมเดล' ค้าน 'เครือข่ายธรรมกาย' ปิดถนนตักบาตร เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 09:14:20 am


'ระนองโมเดล' ค้าน 'เครือข่ายธรรมกาย' ปิดถนนตักบาตร

ชาวบ้าน 200 กว่าคนรวมตัวคัดค้านการปิดถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ตักบาตรสงฆ์พันรูป เครือข่ายวัดพระธรรมกาย จ.ระนอง สุดท้าย รอง ผบก. เชิญ 2 ฝ่ายหารือได้ข้อยุติย้ายสถานที่จัด

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ฝั่งขาออกเมืองระนอง มีชาวบ้าน 200 กว่าคน มารวมตัวกันคัดค้านการปิดถนน เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดพิธีตักบาตรมิตรภาพไทย-พม่า พระสงฆ์ 1,000 รูป ของศูนย์กัลยาณมิตรแก้ว จ.ระนอง และเป็นเครือข่ายวัดพระธรรมกาย ช่วงเช้าวันนี้ โดยได้เข้ารื้อแผงกั้นการจราจรบนถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ซึ่งปิดกั้นช่วงปากซอยระนองพัฒนา 1 จนถึงช่วงปากซอยระนองพัฒนา 3 ความยาวกว่า 400 เมตรออกและเคลื่อนตัวไปรื้อป้ายประชาสัมพันธ์การจัดงานบนฟุตบาธริมถนนออก โดยมีการโต้เถียงกับทางฝ่ายจัดงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองระนอง ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้




ทั้งนี้ กลุ่มผู้คัดค้านกล่าวถึงผู้จัดงานในครั้งนี้ว่า ไม่เห็นด้วยกับการปิดถนนเพื่อจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งไม่ใช้วิถีของชาวระนองที่ต้องมาปิดถนนเส้นนี้ ซึ่งเป็นเส้นเมนหลักและเส้นเศรษฐกิจของชาวระนอง ทำไมมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอีก ทั้งการตักบาตรต้องมีเงินปัจจัยมาร่วม ซึ่งจะบังคับกันไม่ได้

ต่อมา พ.ต.อ.อนุสรณ์ แช่มชื่น รอง ผบก.ภ.จว.ระนอง เดินทางมาควบคุมสถานการณ์ โดยเชิญแกนนำทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมหารือ เพื่อหาข้อยุติ ที่ห้องประชุมศูนย์ปฎิบัติการสั่งการและควบคุมอาชญากรรม สภ.เมืองระนอง ซึ่งสามารถตกลงกันได้ โดยจะมีการเปลี่ยนสถานที่จัดงานจากการปิดกั้นถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ย้ายไปจัดที่วัดวารีบรรพต หรือวัดบางนอน ต.บางนอน อ.เมืองระนอง จ.ระนอง จากนั้นกลุ่มชาวบ้านที่มาประท้วงพอใจแยกย้ายกันกลับ ส่วนกลุ่มศูนย์กัลยาณมิตรแก้ว จ.ระนอง เครือข่ายวัดพระธรรมกาย ได้ขนย้ายอุปกรณ์ไปเตรียมจัดงานกันต่อในสถานที่แห่งใหม่..




ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/304417/_ระนองโมเดล_ค้าน_เครือข่ายธรรมกาย_ปิดถนนตักบาตร
15242  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:56:08 am

ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์ 35.5 นิ้ว หล่อเสร็จแล้ว กำลังตกแต่ง และทำสีทอง

รูปหล่อปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์ ๕ นิ้ว หล่อเสร็จแล้ว กำลังตกแต่ง ทำสีทอง

ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์ 35.5 นิ้ว ขัดเรียบร้อยแล้ว กำลังทำสีทอง



คาถาขอพรจาก พระฤาษีปัญจโภคทรัพย์

    พุทธังชีวิตตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณังคัจฉามิ  อิติปิโสภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะ โต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ อุอากะสะ อากะสะอุ กะสะอุอา สะอุอากะ สะกะอาอุ นะชาลีติ นะชาลีเต หังชาลีติ พะลิราชา ปิยังมะมะ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ เอหิมา มา  นะ โมพุท ธา ยะ
________________________________________________
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเฟซบุ้ควีระ สุขมีทรัพย์ และจากเว็บสมเด็จสุก



ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

ทริปงานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" มีภาพให้ชมเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตาม

 thk56 :25: thk56 :25:
15243  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:42:29 am








ต้นแบบ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ขอบคุณภาพจากเฟซบุ้ควีระ สุขมีทรัพย์
15244  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:22:22 am




15245  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:19:00 am





15246  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:14:14 am




15247  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:10:53 am



15248  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (จบ) เมื่อ: มีนาคม 01, 2015, 08:07:01 am






งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ณ โรงหล่อพระช่างผา อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
15249  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจ้าคุณพิพิธ กับประเด็น ′ยกเลิกสมณศักดิ์′ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:30:14 pm


เจ้าคุณพิพิธ กับประเด็น ′ยกเลิกสมณศักดิ์′

ความขัดแย้งต่างๆของคนในสังคมนับเป็นเรื่องปกติอันเกิดขึ้นได้ในบ้านเมืองที่ให้อิสรภาพทางความคิด และหนึ่งในความขัดแย้งอันนำมาสู่ข้อถกเถียงในวงกว้างที่เห็นกันเจนตาขึ้นในเวลานี้ เห็นจะหนีไม่พ้นความขัดแย้งใน "แวดวงสงฆ์" ที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัดในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเป็นประเด็นยักยอกทรัพย์ รวมไปถึงพฤติกรรมอันอยู่ในข่ายไม่เหมาะสมบางประการของ "พระเทพญาณมหามุนี" หรือ หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อปี 2540 ที่นำมาซึ่งมติของมหาเถรสมาคม ให้ปรับปรุงคำสอนของพระธรรมกายในที่สุด

อย่างที่ทราบกันว่าคดีความนั้นยืดยาวล่วงมาอยู่ 7 ปีเต็ม โดยที่ไม่มีมติให้พระธัมมชโยต้องปาราชิกแต่อย่างใด


 :96: :96: :96: :96:

อย่างไรก็ตาม กลับมาช่วงเวลาปัจจุบัน "คณะกรรมาธิการศาสนา" สปช. กลับชี้ว่าพระธัมมชโยนั้นต้องปาราชิก พร้อมกันนี้ พระพุทธอิสระก็เข้ายื่นหนังสือต่อ สปช. ขอให้ตรวจสอบทรัพย์สินเงินทองของกรรมการ มส. ทุกรูป รวมถึงของพระธรรมกายและพระธัมมชโย กระทั่งรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกคำรบ

กล่าวสำหรับ "พระราชวิจิตรปฏิภาณ" หรือ "เจ้าคุณพิพิธ" นอกจากเป็นพระนักปกครองแล้ว ยังมีงานเผยแผ่ธรรมอีกมากมายทั้งทางรายการโทรทัศน์ สถานีวิทยุ และหนังสือพิมพ์ อาทิ รายการ ลีลาชีวิต, ธรรมรส-ธรรมอัฐ ทางสถานี NBT (ช่อง 11) กรมประชาสัมพันธ์, รายการพุทธิธรรมนำทาง ทางสถานี โมเดิร์นไนน์ (ช่อง 9) และ Global network จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นพระนักเทศน์ นักปาฐกถา นักอภิปราย และนักเขียนที่มีงานปรากฏมากที่สุดรูปหนึ่ง  ไม่แปลกเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับแวดวงสงฆ์ชื่อของ"ท่านเจ้าคุณพิพิธ"จะถูกคิดถึงเป็นลำดับแรกๆสำหรับการขอความเห็น

 ask1 ans1 ask1 ans1

อย่างการปฏิรูปในครั้งนี้ที่มีหลายคนตั้งคำถามและเสนอคงหนีไม่พ้นเรื่อง"ยกเลิกสมณศักดิ์"

"ไม่ได้ ยกเลิกสมณศักดิ์ไม่ได้" เป็นคำตอบอันชัดเจนจากเจ้าคุณพิพิธ "สมณศักดิ์ไม่ใช่เรื่องที่สงฆ์ตั้งขึ้นเอง แต่เป็นเรื่องของสถาบันสูงสุดได้ทรงบัญญัติขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูพระสงฆ์"

ฉะนั้น การพูดว่ายกเลิกสมณศักดิ์จึงเป็นคำพูดที่ง่าย แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของสงฆ์ แต่เป็นพระราชอำนาจที่ทรงสถาปนาไว้เพื่อพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ศาสนาและสังคม


 ask1 ans1 ask1 ans1

แต่ทั้งหมดนี้นำมาสู่คำถามที่ใหญ่กว่าเดิมว่า "สมณศักดิ์ทำให้พระนั้นยังดำรงตนอยู่ในกิเลส แก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงกว่า?"

"พระท่านไม่ได้คิดอะไรหรอก ตอนบวชก็ไม่ได้คิดจะเป็นเจ้าคุณ หรือตำแหน่งอื่นๆ บวชมาเพราะความจำเป็น ความเลื่อมใส อยู่กันไปทำงานกันไป บางองค์ไม่อยากเป็นแต่ก็ต้องเป็น  ทรงถวายมาแล้วโดยการนำเสนอของคณะสงฆ์ ไม่รับได้ไหม ส่วนบุคคลใดที่เกียกตะกายอยากได้อยากมีมันก็ต้องมีบ้าง

"ในฝ่ายการเมืองมีไหม ฝ่ายบริษัทเราแก่งแย่งตำแหน่งกันไหม มันก็ต้องมีทุกที่ แต่อย่าเอาประเด็นเดียวมาตัดสินคนทุกคน"

 
ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 28 ก.พ. 2558
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425065748
15250  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เจ้าคุณพิพิธ" วิเคราะห์ ′ศึกวงการสงฆ์′ เอาให้ชัด ′ใครคนผิด-ใครคนป่วน.?′ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:24:43 pm


พระราชวิจิตรปฏิภาณ(เจ้าคุณพิพิธ) วิเคราะห์
′ศึกวงการสงฆ์′ เอาให้ชัด ′ใครคนผิด-ใครคนป่วน?′
โดย พิมพ์ชนก พุกสุข และวรรณโชค ไชยสะอาด

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ซึ่งเป็นกระแสกลบข่าวอื่นคงจะหนีไม่พ้นสิ่งที่หลายคนให้คำจำกัดความว่า "ศึกวงการสงฆ์"

ลองไล่เรียงกันชัดๆ เริ่มมาตั้งแต่กระเเสวิพากษ์วิจารณ์ธุดงค์ธรรมชัยของวัดพระธรรมกาย สู่การหยิบยกพระลิขิต "พระเทพญาณมหามุนีหรือพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก" ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในปี พ.ศ.2542 ขึ้นมาอีกครั้ง

สู่ มติมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ยืนยันว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือ หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่อาบัติปาราชิกพ้นจากความเป็นสมณะ เนื่องจากไม่ได้ฝืนพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช

กระทั่ง คณะกรรมการปฏิรูปศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อม พระพุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ประกาศขอตรวจสอบการทำหน้าที่ของ มส.ผสมโรงบวกกับข้อกล่าวหาคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ไปเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายอีก ยิ่งกลายเป็นข่าวใหญ่

ล่าสุดเปิดอีกประเด็นเบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องยุ่งๆ จากปาก เจ้าคุณพิพิธ หรือ พระราชวิจิตรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ที่ตั้งข้อสังเกตว่าหรือแท้จริงแล้ว มีคลื่นใต้น้ำ ลึกลับซับซ้อนกว่า

"มีกระบวนการเบื้องหลัง เเละคดีธรรมกายจึงเป็นเเค่ประเด็นที่ถูกนำมาฟาดฟันไม่ให้สมเด็จฯวัดปากน้ำได้รับการสถาปนาเป็นสังฆราช ศึกศาสนาครั้งนี้คนที่จะหนักใจที่สุด คือ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากไม่ได้คาดหวังให้ สปช.ทำหน้าที่ตรงนี้ นายกฯจะทำอย่างไรกับคณะกรรมการชุดนี้ที่จะสร้างความแตกแยกในวงการพุทธศาสนา และเรื่องนี้เป็นการบ้านที่หนักของรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่ปรองดองให้คดีความมันหมดไปแต่ ณ เวลานี้แผ่นดินไทยแตกโดยคณะสงฆ์" พระราชวิจิตรปฏิภาณกล่าว

ไม่รอช้า รีบรุดเพื่อสนทนากับ "เจ้าคุณพิพิธ" ต่อเรื่องดังกล่าว


 ask1 ans1 ask1 ans1

กรณีท่านเจ้าคุณฯออกมาพูด มีคนว่า พยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปที่เรื่องสมเด็จพระสังฆราช เพราะกลัวจะโดนตรวจสอบเสียเอง?

ไม่ได้เบี่ยงเบน ทุกอย่างที่ให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ เป็นประเด็นที่เเท้จริงที่เกิดขึ้นในวงการศาสนาของเรา

 ask1 ans1 ask1 ans1

มองบทบาทหน้าที่ของ "สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อย่างไร?

คสช.เเต่งตั้ง สปช.ชุดนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์โดยผ่านการร่วมมือกับมหาเถรสมาคม หน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพุทธศาสนา จะต้องทำหนังสือต่อมหาเถรสมาคมว่า ได้รับมอบหมายหน้าที่ตรงนี้มา ขอให้มหาเถรสมาคมหารือกันว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับเดิมนั้น มีอะไรขัดข้องบ้างเเละต้องประสงค์อะไรบ้าง ก็ขอให้ปรับปรุงพระราชบัญญัติมา

เมื่อทำหนังสือกราบเรียนเเล้ว จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมในการตั้งกรรมการขึ้นมา โดยเชิญนักกฎหมายระดับประเทศอย่างน้อย 40-50 คน เช่น นายมีชัย ฤชุพันธุ์ มาร่วมกันพิจารณาหาเหตุผล ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ถ้าทำอย่างนี้ตั้งเเต่เริ่มเเรกก็เข้าใจว่า สปช.ทำหน้าที่ได้ถูกต้องที่สุด ตามประสงค์ของการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เเต่เนื่องจากว่า สปช.ชุดนี้มีทัศนคติดูหมิ่นเหยียดหยามคณะสงฆ์ว่าโง่ ง่อย ขี้เกียจ หลงลาภสักการะ ยศ ศักดิ์ เเละเริ่มกล่าวโจมตีมหาเถรสมาคมต่างๆ นานา เช่นไม่มีศักยภาพมากพอ ไม่สามารถดูเเลจัดการกันได้ ไม่มีความสามารถในการดูเเลจัดการผลประโยชน์ของวัด ทั้งที่เเท้จริง คณะสงฆ์มีระเบียบ มีกติกาในการดูเเลกันอยู่เเล้ว


 ask1 ans1 ask1 ans1

เหมือนจ้องมาจับผิดคณะสงฆ์?

ยังมีการใส่ร้ายคณะสงฆ์เรื่องของที่ดินบ้าง ทรัพย์สมบัติกลางบ้าง ซึ่งความจริงเเล้ว เมื่อมีวัดหนึ่งวัดตั้งขึ้นในป่าเขา ความเจริญก็เกิดขึ้นตามมาห้อมล้อมวัด วัดเลยจำเป็นต้องจัดสรรผลประโยชน์เหล่านั้น เพื่อเกื้อกูลพระศาสนา นำไปสร้างโรงเรียน สะพาน ไปช่วยประชาชน วัดที่เราทำทั้งหมด เพื่อช่วยประชาชนเท่านั้น วัดใหญ่ๆ เช่น วัดพนัญเชิง วัดโสธร วัดไร่ขิง วัดพระปฐมเจดีย์ วัดพระพุทธบาท เหล่านี้ เป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน มีหลวงพ่อดังๆ ต่างๆ ถามว่าถ้าไม่มีวัดเหล่านี้ การจ้างงานก็ไม่เกิดขึ้นทั้งหมดเเทนที่ สปช.จะเห็นศักยภาพของวัดกลับไปดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งนั่นคือการจับประเด็นผิดของ สปช.ชุดนี้

บางคนของ สปช.ชุดนี้ไม่ชอบวัดพระธรรมกายอยู่เเล้ว มีส่วนเกี่ยวพันฟ้องร้องกันตั้งเเต่สมัยสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน เเต่คดีความก็ไม่ชนะ นั่นก็เก็บสะสมเอาไว้เรื่องหนึ่ง

ประการที่สอง สปช. ชุดนี้ยังเข้าใจว่าวัดธรรมกายเป็นฐานของพรรคเพื่อไทย เป็นเสื้อแดง

โดย สปช.ชุดนี้หลายคนก็ขึ้นเวที กปปส. ความรู้สึกเหล่านี้จึงนำมาสู่การรื้อฟื้นคดีวัดพระธรรมกาย ประกอบกับมีขบวนการสกัดกั้นไม่ให้สมเด็จวัดปากน้ำขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ทั้งหมดบวกรวมกัน


 ask1 ans1 ask1 ans1

ข้อเท็จจริงในเรื่องพระลิขิตสังฆราช?

การหยิบยกเอาพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชซึ่งวินิจฉัยด้วยพระองค์เองไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมโดยพระองค์ก็ไม่ได้เข้าประชุมถามว่ามีสิทธินำมาใช้ไหมก็ต้องบอกว่าไม่ได้

เเต่ก็มีการหยิบยกเอาพระลิขิตนี้มาเป็นเครื่องมือ โดยทำลายศรัทธาของชาวพุทธ มีความพยายามจะโจมตีมหาเถรสมาคม เเต่ไม่มีประเด็น เลยเลือกโจมตีวัดพระธรรมกายก่อน หยิบมาเล่นกันใหม่ ซึ่งต้องถามนักกฎหมายเเละสังคมว่า ถ้าเรื่องถึงศาลฎีกาเเล้ว ระบุว่าไม่ผิด ถามว่าโจทย์พอใจไหม ถ้าไม่พอใจจะหยิบคดีมาฟ้องใหม่ได้ไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ได้ เนื่องจากคดีถึงที่สุดไปเเล้ว

ทุกคนเข้าใจว่าพระลิขิตของสมเด็จของพระสังฆราชคือข้อวินิจฉัยที่สูงที่สุดแต่อย่าลืมว่าคดีนี้มันเข้าสู่มหาเถรสมาคมเเละก่อนถึงวันตัดสินวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราชมีพระราชภารกิจเป็นส่วนพระองค์ โดยพระราชภารกิจ ฉบับที่ 2 บอกว่า ไม่ขอเข้าร่วมประชุม ซึ่งแปลว่าอะไร พระองค์อาจจะเข้าพระทัยว่าพระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช วินิจฉัยแล้วจะต้องถูกต้อง จะต้องทำแบบนั้น เมื่อส่งเรื่องไปยังสมาคม โดยพระองค์ทรงมีพระลิขิตว่า ฉันไม่เข้าร่วมประชุม แปลว่าทรงบังคับให้สมาคมต้องวินิจฉัยตามนี้ใช่ไหม ซึ่งพระลิขิตนี้ถ้าเป็นนักกฎหมาย เขาจะบอกว่า เป็นพระลิขิตเเค่ส่วนพระองค์ โดยในสถานภาพเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่มิใช่เป็นประธานมหาเถรสมาคม ณ วันนั้น


 ask1 ans1 ask1 ans1

มีคนข้องใจคำวินิจฉัยเกี่ยวกับพระธัมมชโยของมหาเถรสมาคม?

การข้องใจเป็นเรื่องส่วนตัวทางมหาเถระก็ได้วินิจฉัยไปแล้วหากว่ากันตรงๆแล้วไม่มีใครไม่ข้องใจในการตัดสินในทุกคดีในทุกคดีหากโจทย์ไม่ได้รับอะไรที่สาใจแล้ว ความข้องใจนั้นไม่เป็นคดี ไม่สามารถเอาไปฟ้องใหม่ได้ ต้องดูไปตามกฎหมายว่าจะสามารถร้องเรียนอะไรได้อีกหรือไม่ หากกฎหมายมีช่องให้ร้องเรียนเพิ่มเติมก็ร้องเรียน

แต่ที่เห็นทุกวันมันไม่ใช่การร้องเรียน แต่มันคือการร้องแรกแหกกระเชอ มันไม่ได้เป็นการนำเข้ากระบวนการ แล้วทุกวันนี้ในโลกออนไลน์มันด่ากันง่าย พอฉันให้สัมภาษณ์ไปครั้งหนึ่ง ก็มีคนมาด่าเต็มไปหมดเลย


 ask1 ans1 ask1 ans1

อีกข้อกล่าวหาหนึ่งคือคนบอกว่าท่านเจ้าคุณฯออกมาปกป้องวัดพระธรรมกาย?

คดีของวัดพระธรรมกายต้องเเยกเป็นสองส่วนหนึ่งคดีฉ้อโกงทรัพย์เมื่อคณะสงฆ์ตั้งกระบวนการพิจารณา5ระดับตั้งเเต่ ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค เเละ มหาเถรสมาคม เมื่อท่านวินิจฉัยว่าไม่ผิด ก็จบสิ้นเเล้ว จะให้ท่านรื้อฟื้นได้อย่างไร ถ้ารื้อฟื้นใหม่มันก็ไม่ชอบธรรม เพราะเท่ากับยอมรับว่าอันเดิมมหาเถรสมาคมเป็นผู้ผิด

ส่วนกรณีของเงินสหกรณ์คลองจั่น นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งสมาชิกสหกรณ์ต้องเป็นโจทก์เเละฟ้องผู้บริหารประธานสหกรณ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับ มหาเถรสมาคม ถ้าศาลรับคดีกรณีประธานสหกรณ์ฉ้อโกงทรัพย์ เอาเงินไปทำบุญวัดนี้ก็ต้องตั้งต้นกระบวนการสอบสวนเฉพาะกรณีซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ มหาเถรสมาคม

เมื่อส่งเรื่องถึงศาลเเล้วปรากฏว่าประธานสหกรณ์ฉ้อโกง หรือ พระธัมมชโยมีส่วนร่วมด้วย ศาลก็ต้องตัดสินว่า พระธัมมชโยโกง เมื่อศาลตัดสินจนถึงชั้นฎีกาเเล้ว ค่อยเอาเรื่องนี้ส่งถึงมหาเถรสมาคม ตรงนี้นั่นเเหละพระธัมมชโย จึงจะปาราชิก คำตัดสินของศาลมหาเถรสมาคมเถียงไม่ได้ เพราะว่าคดีมันประจักษ์เเล้วว่าฉ้อโกง เเค่นั้นเอง

เเต่การเอาพระรูปหนึ่งซึ่งคนทั้งหลายเรียกว่า พระธรรมกรวย มาเล่นงานวัดพระธรรมกาย ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครทำลายศาสนามากกว่ากัน เเละซึ่งไม่รู้ว่าท่านมีหน้าที่อะไร เรื่องของตัวเองไม่รู้ชำระเสร็จหรือยัง

  ask1 ans1 ask1 ans1

ที่ผ่านมาสังคมก็โจมตีวัดพระธรรมกายมาตลอด จัดการอย่างไร?

ก็ไม่ใช่โจมตีพระวัดพระธรรมกายอย่างเดียว โจมตีทุกองค์ที่มีปัญหา อย่างวัดพระธรรมกายก็ต้องเรียกมาตักเตือน ถ้าจะเล่นงานวัดพระธรรมกายไม่ยาก ลงชื่อเเละยื่นเรื่องมาที่คณะสงฆ์ว่ามีสิ่งที่มันผิดเพี้ยนจากหลักศาสนา

1.กรณีของการถวายข้าวพระพุทธบนสวรรค์วัดพระธรรมกายก็เพี้ยนไปให้มีการบูชาข้าวพระพุทธเจ้าอาวาสจะได้นำเอาไปถวายพระพุทธเจ้าบนโน้นพระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะไปอยู่บนไหน ก็แสดงว่าคุณทำพระพุทธเจ้าให้เป็นแค่ลัทธิมหายานเท่านั้นเอง อันนี้ต้องเลิก ถ้าไม่เลิก ต้องวินิจฉัยว่าผิดเพี้ยน ถ้าเพี้ยนไปจากคำสอนแปลว่าอะไร แปลว่าบ้าไปแล้ว มันบ้าไปแล้ว แล้วใครเชื่อคนบ้าว่าเอาข้าวไปถวายพระพุทธเจ้าได้โดยปาฏิหาริย์ขององค์นี้ อันนั้นก็บ้าตาม ถือว่าใช้ไม่ได้

2.เรื่องเดินธุดงค์ ให้เลิกเสีย เพราะสิ่งที่กระทำไม่ใช่ธุดงค์ใน 13 ประการของพระพุทธเจ้า เป็นแค่จาริก เพื่ออวดภาพ สร้างภาพ และสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนซึ่งพระสมัยก่อนเขาไม่ทำ ฉะนั้น การธุดงค์นี้จะเดินเป็น 10 รูป 20 รูปก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ไม่ใช่ธุดงค์พาเหรด สร้างความเดือดร้อน ต้องตักเตือนให้เลิกกระทำเสีย ถ้าไม่เลิกต้องลงโทษ คือ หนึ่งเลิกเป็นเจ้าอาวาส สองให้เลิกเป็นสมณศักดิ์เสีย ยกเว้นว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว แล้วถ้าใครนับถือคนบ้าก็เป็นบ้าไป ก็เป็นอีกลัทธิหนึ่งไป ต้องปลดออกจากคณะสงฆ์ไป ถ้าไม่เชื่อ ยังทำตามนั้น ถือว่าสร้างความเดือดร้อน ถ้าไม่เลิกก็ต้องกำจัดออกไป

3.การเทศนา อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องการบริจาคเงินทอง วนเวียนมันอยู่นั่นแหละเรื่องการบริจาคเงิน เอาพอเหมาะพอควร พอดำรงอยู่ได้ ไม่ต้องดำรงทุน

4.เวลาสร้างพระพุทธเจ้า สร้างด้วยไฟเบอร์กลาส แต่เวลาสร้างหลวงพ่อสดใช้ทองคำ แปลว่า หลวงพ่อสดสำคัญกว่าพระพุทธเจ้าใช่ไหม ต้องถามอย่างนั้น ถ้าหลวงพ่อสดสำคัญกว่าพระพุทธเจ้าก็ใช้ไม่ได้ เพราะหลวงพ่อสดท่านก็นับถือพระพุทธเจ้า

5.พิธีอลังการงานกฐิน คนเป็นเจ้าภาพจะต้อง 30 ล้านขึ้นไปนี่ เลิกๆ เสียทีเถอะมันสะท้อนใจ

อาจจะต้องตักเตือนเป็นหนังสือไป และดูพฤติกรรมกันไป ถ้าไม่เลิกก็ปลด อันนี้เป็นคำสั่งสอนโดยสถานภาพของการเป็นนักปกครอง

 ask1 ans1 ask1 ans1

แต่ถ้าไม่ยอมรับฟัง?

กิจกรรมที่มันเกินเลยกว่าที่รับได้ ต้องมีการตักเตือนอย่างรุนแรง และมีการคาดโทษลงทัณฑ์ แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับก็ "บ้า" ไปแล้ว "ผิดเพี้ยน" ก็ต้องปลดออกไปให้หมด ใครร่วมขบวนการก็ต้องถูกปลดออก ถึงที่สุดแล้วก็ต้องมีการยุบวัดและส่งพระส่วนกลางไปเป็นเจ้าอาวาส ถามว่าแบบนี้จบไหม แบบนี้นี่จบเลย ส่วนเรื่องที่ดินก็มีกฎหมายควบคุมอยู่ ส่วนพระที่ไม่เกี่ยวข้องบวชด้วยศรัทธาก็อยู่เป็นพระลูกวัดต่อ แต่ถ้าไม่ชอบใจก็ต้องสึกกันไป

เมื่อวัดพระธรรมกายทราบเรื่องนี้เข้า ต้องปรับปรุงตัวเสียใหม่ ไม่ต้องรอให้เขาสั่งหรอก อย่าอวดดี อัดเข้าไปเลย อย่าไปเกรงใจ


 ask1 ans1 ask1 ans1

แสดงว่าที่ผ่านมา มส.ไม่ได้มีการจัดการกับวัดพระธรรมกาย?

ไม่ใช่ ช่วงนั้นสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านก็ยังไม่ได้มาดำรงตำแหน่ง ต้องหันไปดูช่วงสมเด็จพระสังฆราชองค์เก่า ท่านทรงเป็นประธาน มส. คนก็พูดกันแต่ภายนอก ไม่นำมาสู่กระบวนการ ก็วิจารณ์กันแต่ภายนอกด้วยปลายนิ้วมือพิมพ์กัน

 ask1 ans1 ask1 ans1

ประเด็นเรื่องปฏิรูปพุทธศาสนา?

ต้องให้คณะสงฆ์พิจารณาของท่านเอง พระเเต่ละรูปมีความรู้ ประโยค 9 ระดับสูงทั้งนั้น เป็นศาสตราจารย์ เป็นด็อกเตอร์ มีการศึกษาด้านกฎหมายหลากหลายท่าน ทำไมไม่ให้ท่านร่วมกันร่างและนำเสนอไปผนวกกับรัฐธรรมนูญล่ะ และรายชื่อคณะกรรมการก็จะระบุว่าคณะกรรมการเหล่านี้ที่เป็นฆราวาสฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ที่ได้รับเชิญ ได้มาประชุมกัน และเมื่อกฎหมายฉบับนี้ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อเข้าสภา ตัวแทนของพระซึ่งเป็นฝ่ายพระกับฆราวาสก็จะไปนั่งตอบปัญหาให้ว่าเพราะอะไร พระธรรมวินัยเป็นอย่างไร สามารถทำอย่างไรได้ในกรอบของพระ มิใช่สมมุติตนเองว่าเป็นนักวิชาการทางศาสนาและเป็นฆราวาส จะมาออกกฎหมายกดหัวพระ

พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ออกมาโดยให้พระทำอย่างนี้ เขาบังคับให้พระทำ นักวิชาการซึ่งอวดตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา เคยทำอะไรให้ศาสนาบ้าง มีแต่จับผิดพระ ลากพระออกมาด่า โจมตี พระเกิดเรื่องทีไร ชอบเอามาสู่กระแสสังคมในเรื่องเลวร้าย ลากพระออกมาทำลายหมดโดยที่คดีนั้นยังไม่ได้จบลงไปเลย และสิ่งเหล่านี้ เมื่อเราไม่มั่นใจในพระและจะออกกฎหมายให้พระ ถ้าเกิดพระท่านบอกว่า พระทั้งประเทศรับไม่ได้กับพระราชบัญญัติที่ฆราวาสมาสร้างให้ จะทำอย่างไร

 ask1 ans1 ask1 ans1

ต้องให้พระสงฆ์มีส่วนร่วม?

อย่าลืมว่าพระเป็นผู้คุมพื้นที่ทั่วประเทศนะ 20,000 กว่าวัด ถ้าคุณร่างมาแล้วพระบอกว่าไม่เอาคำเดียว ไม่ปฏิบัติ ไม่สนใจ คุณจะตามจับพระทั่วประเทศเหรอ ทำอะไรถามพระกันบ้าง อย่าดูถูกพระมากนัก ประเทศชาติ นักปกครองทั่วประเทศที่ผลัดเปลี่ยนเวียนมาเป็นรัฐมนตรี ถามว่า รักษาประเทศชาติ พระศาสนาได้เท่าพระไหม การศึกษา ศีลธรรม การช่วยเหลือสังคมทั้งประเทศตกอยู่ในมือใคร ก็พระ พระทั้งนั้น แต่พอพระเกิดเรื่องคนหนึ่ง ก็จะเอาเรื่องพระคนนี้ที่ว่าโกงเอามาตีแผ่แล้วสร้างกฎหมายมาควบคุมพระทั้งหมด มันไม่ถูกต้อง

ให้พระท่านทำเองเท่านั้นเอง จะปฏิรูปเรื่องศาสนา ถวายโอกาส มส. แล้วท่านไปจัดการของท่านเอง แล้วส่งเรื่องมา ฆราวาสเป็นผู้ช่วยสนับสนุนเท่านั้น พระท่านไม่ทำเกินวินัยเด็ดขาด


 ask1 ans1 ask1 ans1

เหตุการณ์ที่เกิดจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหรือไม่?

ไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนหรอก มันเป็นจุดที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องออกมาปรามให้ทุกคนอยู่ในกฎหมาย และให้ทุกคนทำหน้าที่ไป ฝ่ายที่สงสัยความประพฤติของวัดพระธรรมกาย มีอะไรจะฟ้องร้องได้ก็ฟ้องร้องในกรอบของการดำเนินคดี ตามลำดับ ฝ่ายที่จะฟ้องร้องพระพุทธะอิสระก็ลองดูว่าอยู่ในกรอบหรือไม่

ต้องดูว่าใครเป็นคนผิดและใครที่เป็นคนป่วน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425065748
15251  กรรมฐาน มัชฌิมา / บันทึกความทรงจำ Memorytime / สิ้น ‘หลวงพ่อบุญมี’ เกจิดังอ่างทอง ศิษย์เอกหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:12:03 pm


สิ้น ‘หลวงพ่อบุญมี’ เกจิดังอ่างทอง ศิษย์เอกหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 ก.พ. พระครูสิริบุญเขต (หลวงพ่อบุญมี จิตฺตทโม) เจ้าอาวาสวัดม่วงคัน ต.รำมะสัก อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เกจิดังแห่งภาคกลาง ได้มรณภาพลงอย่างสงบที่โรงพยาบาลสระบุรี เมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยโรงมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โดยเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสระบุรี จนกระทั่งมรณภาพลงอย่างสงบเมื่อเวลา 22.45 น. ของคืนวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ด้วยอายุ 87 ปี 6 เดือน บวชมาแล้ว 67 พรรษา และขณะนี้ได้นำศพกลับมายังวัดแล้ว ซึ่งเมื่อเดินทางไปถึงวัดพบว่าภายในวัดมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก พระลูกวัดรวมทั้งชาวบ้านในหมู่บ้าน ได้ช่วยกันเตรียมข้าวของและสถานที่สำหรับจัดพิธีศพให้กับหลวงพ่อ ส่วนศพของหลวงพ่อบุญมีนั้น ตั้งอยู่ภายในกุฎิและเตรียมการที่จะบรรลุใส่โลงเพื่อรอพิธีรดน้ำศพในวันที่ 1 มี.ค.

 :03: :03: :03: :03:

 จากการสอบถามนายบุญช่วย ขอพึ่ง อายุ 75 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 2 ต.ดอนปู อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี น้องชายหลวงพ่อบุญมี กล่าวว่า หลวงพ่อบุญมีป่วยเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสระบุรี โดยแพทย์ได้แจ้งว่าหลวงพ่อบุญมีเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โดยทราบได้ประมาณ 2 เดือน ซึ่งระยะเวลาในการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตนก็เป็นคนคอยดูแลหลวงพ่อบุญมีอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งหลวงพ่อบุญมีมรณภาพลงอย่างสงบเมื่อเวลา 22.45 น. ของเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนจึงได้แจ้งมายังวัดและนำศพกลับมายังวัด ซึ่งถือว่าเป็นบ้านเกิดของหลวงพ่อบุญมีด้วย
 
 สำหรับหลวงพ่อบุญมีนั้นเป็นพระเกจิอาจารย์ขมังเวทย์ ด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เมตตามหานิยม มหาอุต สิริมงคล โชคลาภ มีญาณสมาบัติแก่กล้า ปฏิปทาหน้าเลื่อมใส เป็นพระสุปฏิปัณโณ ที่กราบได้อย่างสนิทใจ   
 
 :96: :96: :96: :96:

สำหรับประวัติหลวงพ่อบุญมี มีนามเดิมว่า บุญมี ขอผึ้ง เกิดเมื่อวันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2470 ครั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดม่วงคัน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2491 โดยมีหลวงพ่อนุ่ม ธฺมมาราโม วัดนางในเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทรง วัดศาลาดินเป็นพระธรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อชม ธมฺธีโร วัดนางในเป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงพ่อบุญมีได้รับฉายาว่า จิตฺตธโม ครั้นอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่วัดนางใน 4 พรรษา จำพรรษาอยู่วัดชีประขาว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี อยู่กับหลวงพ่อซวง 2 พรรษา แล้วก็มาจำพรรษาอยู่วัดม่วงคัน ระหว่างอยู่ที่วัดม่วงคันได้เดินทางไปมาหาสู่ วัดนางในและวัดชีปะขาวอยู่เสมอมา ในครั้งที่หลวงพ่อซวงชรามาก หลวงพ่อบุญมีมีจะเดินทางไปดูแลรับใช้หลวงพ่อซวง จนถึงวาระสุดท้าย ท่านได้มรณภาพละสังขารไป

 :91: :91: :91: :91:

 ด้านการศึกษาพุทธาคม ไสยเวทย์มนต์คาถา หลวงพ่อบุญมีนั้น เริ่มจากการเดินทางไปจำพรรษาอยู่วัดนางใน อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง ได้อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อนุ่ม หลวงพ่อนุ่มเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในวิชาไสยศาสตร์คาถามาก ซึ่งหลวงพ่อบุญมีได้ขอศึกษาเรียนวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อนุ่มจนจบสิ้น นอกจากนั้นยัง เป็นศิษย์ผู้สืบทอดไสยเวทย์พุทธาคม สายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จากหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว สืบทอดวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา จ.สุพรรณบุรี และเรียนวิชาไสยเวทย์ตามตำราไสยเวทย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโด จ.อยุธยา วัตถุมงคลมีประสบการณ์ประเภทเหรียญจะเน้นหนักในด้านมหาอุดอยู่ยงคงกระพันชาตรี รูปเหมือนปั๊ม รูปหล่อเหมือน มีประสบการณ์ด้านมหาอุด ส่วนวัตถุมงคลพระผงต่างๆ เน้นหนักด้านเมตตามหานิยม

 :25: :25: :25: :25:

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ หลวงพ่อบุญมีนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในปีพ.ศ.2513 แต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นเอกพิเศษในนามพระครูสิริบุญเขตในปีพ.ศ.2542 สำหรับงานบำเพ็ญกุศลศพนั้น มีกำหนดการอาบน้ำศพในวันที่ 1 มี.ค. เวลา 16.00 น. และจะทำการสวดอภิธรรมศพเป็นระยะเวลา 15 คืน ก่อนที่จะทำการเก็บศพไว้ 100 วัน โดยหลังจากประชาชนทราบว่าหลวงพ่อบุญมีมรณภาพ ก็ต่างมาหาเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก ไม่ทันไรก็เกลี้ยงตู้ จนทางวัดต้องรีบเก็บแยกไว้จำนวนหนึ่ง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU5URXdPVFl5TkE9PQ==&subcatid=
15252  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แรลลี่ ถวายผ้าพระบฏ พระบรมธาตุเจดีย์ ยิ่งใหญ่ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:08:43 pm


แรลลี่ ถวายผ้าพระบฏ พระบรมธาตุเจดีย์ ยิ่งใหญ่

สมาคมชาวนครศรีธรรมราชในกรุงเทพมหานคร จัดขบวนแรลลี่ถวายผ้าพระบฏ เนื่องในงานมาฆบูชา แห่ผ้าขึ้นธาตุ นานาชาติที่เมืองนคร ประจำปี 2558 จัดงานยิ่งใหญ่ เชิญชวนนักท่องเที่ยว สืบสานวัฒนธรรมดีงาม

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.นครศรีธรรมราช ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมพิธีคณะแรลลี่ถวายผ้าพระบฏ เนื่องในงานมาฆบูชา แห่ผ้าขึ้นธาตุนานาชาติที่เมืองนคร ประจำปี 2558 ซึ่งสมาคมชาวนครศรีธรรมราชในกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สมาคมสโมสรวัฒนธรรมหญิงในพระบรมราชินูปถัมภ์ สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ชมรมศิษย์เก่าโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสนับสนุนการนำเสนอ พระบรมธาตุนครศรีธรรมราชสู่มรดกโลก นำโดย นายเกล้าสรวง สุพงษ์ธร ประธานคณะกรรมการจัดแรลลี่ถวายผ้าพระบฏ นายกิตติ ภู่สิทธิศักดิ์ อุปนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่บริเวณลานโพธิ์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช




ผวจ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า สำหรับงานมาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ นานาชาติที่เมืองนคร ประจำปี 2558 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 มี.ค.นี้ โดยมีกิจกรรมทางศาสนา การจัดนิทรรศการ เรื่อง “ต้นธารสยาม – ลังกาวงศ์” พิธีสมโภชและอัญเชิญผ้าพระบฏพระราชทาน และผ้าพระบฏจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การประกวดสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะ และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีตลาดนัดโบราณ ขนมพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง การสาธิตการผลิตและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน..



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/304323/แรลลี่ถวายผ้าพระบฏ+พระบรมธาตุเจดีย์ยิ่งใหญ่
15253  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จีนแจง ให้สงฆ์ไทยเข้าประเทศ ต้องมีหนังสือเชิญ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:04:28 pm


จีนแจง ให้สงฆ์ไทยเข้าประเทศ ต้องมีหนังสือเชิญ

จีนเผยจำกัดการเดินทางเข้าประเทศของพระสงฆ์จากไทย ชี้ต้องมีหนังสือเชิญจากองค์กรที่รัฐบาลเชื่อถือจึงออกวีซ่าให้

จากกรณีที่เว็บไซต์ อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม  (www.alittlebuddha.com
<http://www.alittlebuddha.com>) ได้เผยแพร่ข้อมูลว่า ทางการจีนได้สั่งห้ามไม่ให้พระสงฆ์จากไทยเข้าประเทศรวมทั้งปฏิเสธการให้วีซ่า เนื่องจากพบว่า มีการนำวัตถุมงคลไปแจกจ่ายให้กับประชาชนจีน ซึ่งทางการจีนเห็นว่าเป็นสิ่งมอมเมานั้น

โพสต์ทูเดย์ได้ตรวจสอบไปยังสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และได้รับการชี้แจงว่า ทางการจีนไม่ได้ห้ามพระสงฆ์จากไทยเข้าประเทศโดยเด็ดขาด แต่มีการจำกัดการเดินทางเข้า ซึ่งพระสงฆ์ที่จะเดินทางเข้าไปประเทศจีนได้จะต้องมีหนังสือเชิญจากองค์กรหรือหน่วยงานในจีน ที่รัฐบาลจีนเชื่อถือได้ เช่น สมาคมชาวพุทธจีน หากไม่มีหนังสือเชิญจากองค์กรดังกล่าว ทางการจีนก็จะไม่ออกวีซ่าให้

ทั้งนี้ที่ผ่านมา พระภิกษุจากไทยได้เดินทางเข้าจีนในฐานะนักท่องเที่ยว และได้มีการเข้าไปประกอบกิจการทางศาสนาโดยที่รัฐบาลจีนไม่อนุญาต จึงต้องจำกัดการเดินทางเข้า


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/สังคม/ประเด็นเด็ด/349976/จีนแจงให้สงฆ์ไทยเข้าประเทศต้องมีหนังสือเชิญ
15254  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / แนะผู้บริโภค ไม่ควรสมัครโปรวินาที เหตุราคาไม่เป็นธรรม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 07:58:13 pm


แนะผู้บริโภค ไม่ควรสมัครโปรวินาที เหตุราคาไม่เป็นธรรม

คอบช. แนะผู้บริโภคไม่ควรสมัครโปรมือถือคิดเป็นวินาที เหตุราคาแพงขึ้น แต่สิทธิประโยชน์ลดลง

ผศ.รุจน์ โกมลบุตร ประธานอนุกรรมการฯ ด้านสื่อสารและโทรคมนาคม คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) กล่าวว่า กรณีที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ 3 ราย ได้นำเสนอรายการส่งเสริมการขายที่คิดค่าโทรเป็นวินาทีออกมาเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคนั้น คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าโปรโมชั่นในลักษณะดังกล่าว มีอัตราค่าบริการที่ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เนื่องจากต้องจ่ายในราคาค่าบริการแพงขึ้น แต่สิทธิประโยชน์ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับแพคเก็จเดิมที่ไม่คิดค่าโทรเป็นวินาที


 :96: :96: :96: :96:

ผศ.รุจน์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ขอปฏิเสธโปรโมชั่นใหม่ที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เสนอ โดยไม่ยอมรับว่านี่คือแนวทางที่ถูกต้องในการตอบสนองต่อมติ สปช. และขอเรียกร้องให้ยุติการเอาเปรียบผู้บริโภคเสียที โดยเลิกคิดค่าบริการด้วยวิธีการปัดเศษอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมกันนี้ขอเรียกร้องให้ กสทช. ปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้บริโภค เหนือกว่าการแสวงหากำไรส่วนเกินของผู้ประกอบการ  และควรสั่งการให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหลายเลิกคิดค่าบริการโดยการปัดเศษวินาทีเป็นนาทีในทุกครั้งของการโทรทันที

“ในส่วนของผู้บริโภคเสนอว่า ไม่ควรสมัครโปรวินาทีที่ออกมาในตอนนี้ เนื่องจากมีราคาที่ไม่เป็นธรรม และไม่ได้ตอบสนองเรื่องการไม่ปัดเศษเป็นวินาทีอย่างแท้จริง และขอให้ผู้บริโภคช่วยกันสื่อสารไปยังค่ายมือถือ เพื่อเรียกร้องให้ค่ายมือถือคิดค่าบริการเป็นวินาทีตามจริง มากกว่าการออกโปรโมชั่นที่สับสันและมีราคาไม่เป็นธรรม”ผศ.รุจน์ กล่าว

 :41: :41: :41: :41:

ด้าน น.ส. ชลดา บุญเกษม อนุกรรมการฯ ด้านสื่อสารและโทรคมนาคม คอบช. เผยข้อมูลว่า หากเปรียบเทียบโปรโมชัน เช่น แพคเก็จ isecond 345 บาท โทรได้ 4,800 วินาทีต่อเดือน หรือ80 นาที กับ แพคเก็จเดิม ismart 399 บาท โทรได้ถึง 150 นาทีต่อเดือน หากเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว แพงขึ้นถึง 65.3 % อีกทั้ง โปรโมชั่นที่ออกมามีความซับซ้อน แสดงตัวเลขที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าสามารถโทรได้มาก แต่ความจริงเมื่อคิดเป็นนาทีกลับน้อยกว่าแบบเหมาจ่ายของโปรโมชั่นที่มีอยู่เดิม

“โดย เอไอเอสการออกแพคเกจทั้งหมด 8 แพคเกจ มีเพียงแพคเกจเดียวที่คิดค่าโทรเป็นวินาทีโดยไม่ปัดเศษ ส่วนดีแทค ออกโปรมั่นวินาที มาสองแพคเกจและทรูออกเพียงหนึ่งแพคเกจ ซึ่งเป็นโปรที่ไม่ปัดเศษ แต่เมื่อคำนวณเป็นนาที พบว่า ค่าบริการสูงกว่าที่ กสทช. กำหนดไว้ เช่น กำหนดคิดเป็น 1.67 สตางค์ต่อวินาที เมื่อโทรครบ 60 วินาทีหรือ 1 นาที  เป็นเงินทั้งสิ้น 1.2 บาทต่อนาที ซึ่งเกินกว่าที่ กสทช. กำหนดไว้ที่  99 สตางค์ต่อนาที” น.ส.ชลดา กล่าว

 :91: :91: :91: :91:

ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง กรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าและบริการทั่วไป คอบช. กล่าวถึงข้อเรียกร้องต่อ กสทช. ว่า การคิดค่าบริการแบบปัดเศษวินาทีเป็นการกระทำที่เอาเปรียบผู้บริโภค และเป็นการค้ากำไรเกินควร จึงเสนอให้ กสทช. ใช้มาตรการป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ห้ามผู้ประกอบการคิดค่าบริการในส่วนที่ผู้บริโภคไม่ได้มีการใช้งานจริงทั้งในส่วนที่เป็นค่าโทรศัพท์และค่าบริการอินเทอร์เน็ต เพราะการคิดค่าบริการโดยปัดเศษการใช้งานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเข้าข่ายเป็นการค้ากำไรเกินควร

“กสทช. ควรรวมเรื่องการคิดค่าโทรศัพท์เป็นวินาทีเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาในประกาศ ‘การกระทำที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมโดยการอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณา อันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ พ.ศ. ....’ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค” ดร.ไพบูลย์  กล่าว

 :49: :49: :49: :49:

ขณะที่ นางมณี จิรโชติมงคลกุล  เครือข่ายผู้บริโภค กรุงเทพมหานคร เรียกร้องให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย รวมทั้ง กสทช. ควรให้ข้อมูลผู้บริโภคอย่างถูกต้อง ไม่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน หลอกลวงผู้บริโภคด้วยวิธีการอันซับซ้อน ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ สปช. เช่นการทำให้เป็นเรื่องของการต้องเปลี่ยนระบบการคิดอัตราค่าบริการใหม่ รวมทั้งการออกโปรโมชั่นทางเลือก ซึ่งโปรโมชั่นใหม่ที่ 3 ค่ายมือถือเปิดตัวออกมานั้น ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นการเสนอทางเลือกที่ไม่น่าเลือก เพราะโปรโมชั่นใหม่ของแต่ละค่ายนั้นต่างมีอัตราค่าบริการที่แพงกว่าโปรโมชั่นที่มีอยู่ในท้องตลาดเดิม มีลักษณะการลดสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคให้น้อยลง ซ้ำบางค่ายยังแอบแฝงการปัดเศษเข้ามาในโปรโมชั่นใหม่ที่นำเสนอในฐานะที่เป็นโปรวินาทีเสียด้วย

ทั้งนี้ในการนำเสนอโปรโมชั่นวินาทีต่างๆ ของแต่ละค่ายนั้น พบว่ามีการพยายามนำเสนอรายละเอียดให้มีความซับซ้อนชวนสับสน ดูผิวเผินเหมือนให้สิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าและเป็นธรรม แต่แท้จริงแล้วเป็นการนำเสนอทางเลือกเพื่อไม่ให้เกิดการเลือก ซึ่งอาจคาดหมายต่อไปได้ว่า เมื่อในที่สุดปรากฏผลว่า ผู้บริโภคไม่ให้การตอบรับโปรโมชั่นวินาที ผู้ให้บริการและ กสทช. ก็จะใช้สถานการณ์ดังกล่าวเป็นข้ออ้างต่อไปได้ว่า ผู้บริโภคไม่ต้องการระบบการคิดเงินเป็นวินาที ทั้งที่ความจริงเรื่องการนำเสนอโปรโมชั่นทางเลือกนั้นเป็นการพยายามบิดเบือนและเป็นการตีความอย่างศรีธนญชัยเพื่อทำให้เรื่องการคิดค่าบริการแบบไม่ปัดเศษกลายเป็นเรื่องที่สังคมไม่ต้องการ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/ดิจิตอลไลฟ์/349729/แนะผู้บริโภคไม่ควรสมัครโปรวินาทีเหตุราคาไม่เป็นธรรม
15255  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / รีบซื้อมาใช้ เครื่องจับโกหกแบบพกพา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 07:51:04 pm


รีบซื้อมาใช้ เครื่องจับโกหกแบบพกพา

สามีจอมกะล่อนหรือแฟนจอมโกหกกำลังจะหมดอนาคต เมื่อบริษัทญี่ปุ่นคิดค้น “เครื่องจับเท็จแบบพกพา” ที่เรียกว่า “โคโคโระ สแกนเนอร์” โดยผู้ใช้เพียงแต่สวมเครื่องไว้บนศีรษะ จากนั้นเครื่องจะสามารถตรวจจับว่าผู้ใช้พูดความจริง หรือพูดโกหกได้อย่างเหลือเชื่อ
       
       เครื่องจับเท็จขนาดพกพานี้เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Takara Tomy ผู้ผลิตของเล่นชั้นนำของญี่ปุ่น หลักการการทำงานของ “โคโคโระ สแกนเนอร์” คือใช้แสงอินฟราเรดตรวจจับการเต้นของชีพจรและหัวใจของผู้สวมใส่ โดยมีข้อสันนิษฐานว่า คนที่พูดเท็จชีพจรจะมีการเต้นที่ผิดจังหวะ ซึ่งเครื่องจับเท็จพกพาจะแสดงสัญญาณไฟสี โดยสีเขียวแสดงว่าผู้สวมใส่ชีพจรเต้นปกติและพูดความจริง, ไฟสีเหลืองแสดงว่าอาจพูดโกหก และไฟสีแดงแสดงว่ากำลังโกหกอย่างแน่นอน

       

       “โคโคโระ สแกนเนอร์” จำหน่ายในราคาชิ้นละ 2,500 เยน (ประมาณ 800 บาท). บริษัทผู้ผลิต “โคโคโระ สแกนเนอร์” ได้ทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องจับเท็จพกพานี้กับชาวญี่ปุ่นหลายคน ทั้งคุณปู่ที่มีเมียสาว, พระสงฆ์, กลุ่มเพื่อนสาวๆ, กระเทยที่คิดว่าตัวเองสุดเริด, เจ้านายกับลูกน้อง รวมทั้งคู่รักแสนหวาน....เชิญชมคลิปวีดีโอสุดฮา! (มีซับไตเติลภาษาอังกฤษ)

ดูคลิปได้ที่
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=shBU2p77sd0


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9580000023664
15256  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ค่าโทรมือถือไทยถูกสุด อันดับ 1 ในอาเซียน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 07:46:02 pm


ค่าโทรมือถือไทยถูกสุด อันดับ 1 ในอาเซียน

กสทช. เผยผลสำรวจประเทศในอาเซียน ค่าโทรไทยถูกสุดอันดับสอง ส่วนค่าบริการส่งข้อความและใช้อินเตอร์เน็ต อยู่อันดับ4 ของอาเซียน

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ผลจากสำรวจของ กสทช. เรื่องอัตราค่าบริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ในอาเซียน เน้นบริษัทที่มีจำนวนผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 1 ถึง 3 ของแต่ละประเทศในอาเซียน พบว่า ประเทศไทย มีค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน (พรีเพด) ราคาถูกสุดเป็นอันดับสองของอาเซียน

ทั้งนี้ ประเทศอินโดเซีย มีอัตราค่าบริการประเภทเสียง (วอยซ์) ถูกสุดในอาเซียน อยู่ที่ 32 สตางค์ต่อนาที อันดับสองไทย เฉลี่ย 84 สตางค์ต่อนาที อันดับสามมาเลเซีย 1.05 บาทต่อนาที อันดับสี่ประเทศลาว 1.28 บาทต่อนาที ,อันดับห้าประเทศพม่า อยู่ที่ 1.6 บาทต่อนาที อันดับหกเวียดนาม 1.92 บาทต่อนาที อันดับเจ็ดกัมพูชา นาทีละ 2.17 บาท อันดับแปด สิงคโปร์ 2.90 บาทต่อนาที และอันดับเก้า บรูไนนาทีละ 4.63 บาท

“กสทช. จะตรวจสอบค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรักษาศักยภาพการแข่งขันของไทย พร้อมกับติดตามการบริการ ค่าบริการต่างๆ เพื่อให้เกิดราคาบริการที่เหมาะสมทำให้การแข่งขันเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมและเสรี” นายฐากร กล่าว


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ขณะที่อัตราค่าบริการการส่งข้อความขนาดสั้นผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เอสเอ็มเอส) นั้น บรูไน คิดค่าบริการแพงสุด ข้อความละ 2.43 บาท อันดับสอง สิงคโปร์ ข้อความละ 2.4 บาท อันดับสามอินโดนีเซีย ข้อความละ 2.14 บาท อันดับสี่ไทย ข้อความละ 1.33 บาท ส่วนมาเลเซียและกัมพูชาคิดอัตราเท่ากันที่ 1.05 บาทต่อข้อความ

ฟิลิปปินส์ 1 บาทต่อข้อความ, พม่า 80 สตางค์ต่อข้อความ, ลาว 64 สตางค์ต่อข้อความ และเวียดนาม คิดค่าบริการเอสเอ็มเอสถูกสุด ข้อความละ 48 สตางค์

 :96: :96: :96: :96:

ขณะที่การคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ประเทศสิงคโปร์ ค่าบริการถูกสุด 11สตางค์ต่อเมกะไบต์ รองลงมา ลาว 17 สตางค์ต่อเมกะไบต์ อันดับสาม มาเลเซีย 21 สตางค์ต่อเมกะไบต์ อันดับสี่ ไทย เฉลี่ย 28 สตางค์ต่อเมกะไบต์ ,กัมพูชา 60 สตางค์ต่อเมกะไบต์ ,ฟิลิปปินส์ 78 สตางค์เมกะไบต์ ,บรูไน 1.25 บาทต่อเมกะไบต์ เวียดนาม 2.30 บาทต่อเมกะไบต์

สำหรับ อินโดนีเซีย คิดค่าบริการอินเทอร์เน็ตแพงสุด 4.43 บาทต่อเมกะไบต์ ส่วนพม่า คิดค่าบริการตามระยะเวลาใช้งานไม่ได้คิดอัตราค่าบริการตามปริมาณการใช้งาน โดยค่าบริการอยู่ที่ 13 สตางค์ต่อนาที


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/ดิจิตอลไลฟ์/349973/ค่าโทรมือถือไทยถูกสุดอันดับ1ในอาเซียน
15257  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 'เฟซบุ๊ก'เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เตือนสติคนคิดฆ่าตัวตาย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 07:39:30 pm


'เฟซบุ๊ก'เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เตือนสติคนคิดฆ่าตัวตาย

'เฟซบุ๊ก'เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ช่วยเตือนสติผู้คิดฆ่าตัวตายในสหรัฐ

สังเกตได้ว่ายิ่งชีวิตก้าวเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งมีแนวโน้มเกิดความเครียดมากขึ้นเนื่องจากการใช้ชีวิตทำงานอย่างเร่งด่วนแถมมีการแข่งขันสูง ซึ่งเป็นต้นเหตุนำมาซึ่งปัญหาสำคัญซึ่งมักเกิดขึ้นในต่างประเทศคือ การฆ่าตัวตาย

สื่อโซเชียลมีเดียดังอย่าง'เฟซบุ๊ก'ได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ จึงผุดฟีเจอร์ใหม่เพื่อป้องกันและเตือนสติให้ผู้ใช้งานที่กำลังมีแนวโน้มคิดสั้นฆ่าตัวตาย ด้วยวิธีการส่งข้อความให้ความช่วยเหลือ

เฟซบุ๊กจะสังเกตและพิจารณาจากเนื้อหาการโพสต์สเตตัส หากปรากฏประโยค คำ หรือเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงจะฆ่าตัวตาย ก็จะส่งข้อความแสดงความห่วงใย พร้อมให้ผู้ใช้งานเลือกว่าต้องการจะคุยปรึกษากับใครดี ระหว่างเพื่อนในเฟซบุ๊กของตัวเอง หรือหน่วยงานที่รับปรึกษาปัญหาชีวิต

ขณะนี้ฟีเจอร์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา จะเริ่มใช้งานในสหรัฐภายในไม่กี่เดือนนี้ โดยคาดว่าอนาคตจะเริ่มใช้ใประเทศอื่นๆ ด้วย

ที่มา : thenextweb
www.posttoday.com/ดิจิตอลไลฟ์/350021/เฟซบุ๊กเพิ่มฟีเจอร์ใหม่-เตือนสติคนคิดฆ่าตัวตาย
15258  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 7 สิ่งที่ต้องทำ หลังโน้ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ติดไวรัส เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 07:35:07 pm

7 สิ่งที่ต้องทำ หลังโน้ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ติดไวรัส

ปัญหาการโน๊ตบุ๊ค ติดไวรัสในปัจจุบันอาจจะไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจเหมือนในอดีต แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากติดไวรัสในปัจจุบัน น่ากลัวกว่าแต่ก่อนหลายเท่า เนื่องจากบางครั้งไวรัสที่เข้ามานั้นไม่ได้แค่โจมตีด้วยการลบไฟล์ เปลี่ยนชื่อหรือซ่อนไฟล์เท่านั้น

     แต่มีการพัฒนาด้วยการแทรกตัวเข้าไปอยู่ในจุดต่างๆ เพื่อหวังผลและจุดประสงค์ของไวรัสบางประเภท เช่น มัลแวร์ โทรจันหรือรูทคิท มีแนวโน้มที่จะเข้ามาฉกฉวยข้อมูลสำคัญที่มีอยู่ในเครื่องออกไปด้วย



     โดยบรรดาภัยคุกคามที่ทำให้โน๊ตบุ๊ค ติดไวรัสเหล่านี้ จะทำหน้าที่ในการเปิดช่องหรือประตูให้มีการส่งผ่านข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประวัติการเข้าเว็บไซต์ ข้อมูลส่วนตัว การเชื่อมโยงกับการธุรกรรมออนไลน์

     รวมไปถึงอาจเข้าไปในส่วนการทำงานหลักของระบบ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งในด้านของการใช้งานและการใช้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทำไม หลายๆ คนที่มีการทำงานในโลกออนไลน์และการทำธุรกรรมต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต พยายามที่จะมองหาโซลูชันดีๆ สำหรับการป้องกันภัยจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้



     ซึ่งสิ่งที่จะนำมาป้องกันก็มีอยู่ด้วยกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การตั้งค่า Firewall จากระบบปฏิบัติการ เพื่อกลั่นกรองความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหรือจากการเข้าใช้เครื่องลูกข่ายในองค์กร

     รวมถึงการติดตั้งแอนตี้ไวรัสหรือ Internet Security และหยุดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ อันก่อให้เกิดโน๊ตบุ๊ค ติดไวรัสให้ได้มากที่สุด ซึ่งบางอย่างอาจทำได้ง่าย แต่บางอย่างก็ยากในการปฏิบัติอยู่มากทีเดียว

     อย่างไรก็ดีโอกาสที่ป้องกันแล้ว ยังติดไวรัสก็มี ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก แต่สิ่งที่ต้องทำก็คือ หาทางแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมหรือกลับสู่สภาพเดิมให้ได้มากที่สุด ส่วนจะทำอย่างไรได้บ้างนั้น ก็ต้องแก้กันไปทีละอย่าง



อัพเดต Anti-Virus แล้วทำการสแกน

     เบื้องต้นให้เข้าไปดูระบบแอนตี้ไวรัสก่อนว่ามีการทำงานตามปกติหรือไม่ โดยให้เข้าไปดูในส่วนของ Auto Protect หรือยังมีการป้องกันตามที่ควรจะเป็นหรือเปล่า เพราะหากเป็นไวรัสทั่วไป หากระบบทำงานอยู่ อย่างน้อยก็จะทำหน้าที่ป้องกันได้ตามปกติ

     แต่ก็จะมีบางกรณีที่อาจทำให้ระบบไม่ทำงาน อย่างเช่น แอนตี้ไวรัสหมดอายุ, ถูกปิดหรือ Disable ไม่ทราบสาเหตุหรือโปรแกรมไม่ได้รับการอัพเดตมานาน ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ระบบไม่เปิดทำงานตามปกติ

     การแก้ไขก็เพียง ติดตั้งแอนตี้ไวรัสใหม่หรืออัพเดตให้มีความทันสมัย แล้วจึงทำการสแกนระบบใหม่ทั้งหมด โดยเป็นการสแกนแบบ Deep หรือสแกนแบบละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อค้นหา กักกันหรือลบทิ้ง เพื่อป้องกันโน๊ตบุ๊ค ติดไวรัส ต่อไป



ดาวน์โหลด Remove Tool

     หากเป็นไวรัสบางประเภท ไม่สามารถที่จะกำจัดด้วยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสพื้นฐาน ซึ่งอาจะเป็นไวรัสใหม่ๆ หรือมีพฤติกรรมที่สามารถหลุดรอดการตรวจจับของโปรแกรมได้ ก็อาจจะต้องพึ่งเครื่องมือที่เรียกว่า Remove Tools

     ในการตรวจจับและ Remove ไฟล์ไวรัสที่กำลังทำงานอยู่ในระบบนั้นเอง ส่วนใหญ่จะสามารถดาวน์โหลดเครื่องมือเหล่านี้ได้จากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แอนตี้ ไวรัสค่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Kaspersky, AVG หรือ AVAST เป็นต้น นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยในการแก้ไขปัญหาไวรัสใหม่ๆ ที่เข้ามาคุกคามได้เป็นอย่างดี



ย้ายข้อมูลไว้ในที่ปลอดภัย

     ถ้าปรากฏว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจจะเกิดการติดต่อลุกลามไปยังจุดอื่นๆ ก็คงต้องมีการย้ายข้อมูลบางส่วน เป็นการสำรองไฟล์เอาไว้เพื่อความปลอดภัย อาจจะใช้เป็นการโยกไปยังไดรฟ์อื่นๆ ที่มีอยู่ในระบบหรือจะเป็นการใส่เอาไว้บนฮาร์ดดิสก์แบบต่อภายนอก   

     แต่ก็ต้องเป็นขั้นตอนที่ต่อจากการสแกนไฟล์ต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันการติดต่อไปยังจุดอื่นๆ ต่อไป ซึ่งในกรณีที่ไดรฟ์หลักติดไวรัส ก็ควรจะต้องสแกนไดรฟ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน หากต้องการความปลอดภัยและมั่นใจสูงสุด



อัพเกรดแอนตี้ไวรัส

     ในกรณีที่ใช้แอนตี้ไวรัสฟรีหรือที่มากับระบบปฏิบัติการอาจไม่เพียงพอ ก็ควรจะต้องมองหาเครื่องมือดีๆ อย่างเช่น Anti-Virus ตัวใหม่หรือใช้เป็น Internet Security ในเคสที่มีการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์บ่อยครั้ง อย่างเช่น กรณีที่ต้องทำธุรกรรมต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น การซื้อขาย

     การโอนเงินผ่านระบบออนไลน์หรือสิ่งใดก็ตามที่มีการ Sign-In ด้วยการใส่ User และ Password ในการเข้าใช้งาน โดยในปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการอยู่มากมายเลยทีเดียว สนนราคาก็ไม่แพง เริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงพันกว่าบาท ขึ้นอยู่กับความสามารถและการให้บริการของแต่ละค่ายนั่นเอง ข้อนี้แนะนำเลยว่า เหมาะสมและคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ต้องการความปลอดภัยและสบายใจในการทำธุรกรรม



ตรวจสอบอุปกรณ์บันทึกข้อมูลอื่นๆ

     เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะโอกาสที่คุณจะปลอดภัยหรือเกิดปัญหาขึ้นมาใหม่อยู่ที่ตรงจุดนี้ เพราะบางกรณีหลังจากที่สแกนไวรัสเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับไฟล์ในระบบ

     แต่ไวรัสยังมีค้างอยู่ในอุปกรณ์อื่นๆ เช่น แฟลชไดรฟ์หรือฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอก เมื่อนำเข้ามาต่อกับระบบแล้วไม่ได้สแกนให้ละเอียดอีกครั้งหรือมีการดึงไฟล์ ต่างๆ เข้ามาทันที ก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการติดไวรัสซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ การสแกนอุปกรณ์ที่เป็น Storage ต่างๆ แบบละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะทำการ Copy/ Cut/ Paste หรือสิ่งอื่นใดเข้ามาในระบบหลัก เพื่อความปลอดภัยและไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไขอีก



เปลี่ยนพาสส์เวิร์ดในการล็อกอิน

     แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกันนัก แต่หากเป็นไปได้หรือไม่ยุ่งยากเกินไป ก็แนะนำว่าให้ทำการเปลี่ยน User name และ Password ใหม่หลังจากที่มีการสแกนและแก้ไขจากการติดไวรัสไปเรียบร้อยแล้ว

     เนื่องจากไวรัสบางประเภทอย่างเช่น โทรจัน แฝงตัวเข้ามาเพื่อเก็บข้อมูลบรรดา Keylogger แล้วจัดส่งไปยังผู้ไม่หวังดีปลายทาง เพื่อนำไปใช้หาประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการเปลี่ยนระบบล็อกอินบ่อยๆ หรืออย่างน้อย 3 เดือนครั้ง ก็จะช่วยลดอัตราความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าวไปได้มากทีเดียว



ฟอร์แมตติดตั้งระบบใหม่ เมื่อเกินเยียวยา

     แต่ถ้าในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขหรือสแกนได้หมด รวมถึงสงสัยว่าไวรัสยังคงอยู่ ก็อาจจะใช้วิธีสุดท้ายก็คือการฟอร์แมตหรือล้างฮาร์ดดิสก์ใหม่เพื่อความสบาย ใจในการใช้งาน ซึ่งข้อดีก็คือ อุ่นใจในการใช้งานมากขึ้นและยังได้ความเร็วในการทำงานกลับคืนมา ด้วยการเคลียร์สิ่งต่างๆ ออกไป

     นอกจากนี้ยังได้เริ่มติดตั้งโปรแกรมใหม่ๆ ที่มีการอัพเดตมากขึ้น แต่ข้อเสียคือ ต้องเสียเวลาในการทำค่อนข้างนาน รวมถึงการติดตั้งไดรเวอร์และโปรแกรมลงไปใหม่ รวมถึงต้องเตรียมแบ็คอัพข้อมูลเอาไว้ด้วย เรียกได้ว่างานช้างเลยทีเดียวสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยคุ้นเคย


คำถาม : ติดตั้งแอนตี้ไวรัสมากกว่าหนึ่งตัว จะช่วยให้ปลอดภัยขึ้นหรือไม่

     การติดตั้งแอนตี้ไวรัสมากกว่าหนึ่งตัว อาจจะดูเหมือนว่าเป็นการช่วยกันสแกน และตรวจจับ เหมือนกับการมีแมวหลายๆ ตัวช่วยกันจับหนู แต่ในความเป็นจริง แอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่มีการตรวจจับและรู้จักไวรัสในระดับที่ไม่ได้ต่างกันมาก นัก ดังนั้นการติดตั้งแอนตี้ไวรัสหลายๆ ตัว ก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้มีความปลอดภัยมากขึ้นสองเท่า

     แต่กลายเป็นว่าเราจะต้องเสียพื้นที่และทรัพยากรเพิ่มขึ้นในการติดตั้งและใช้ งานแอนตี้ไวรัส ดังนั้นแล้วการเลือกแอนตี้ไวรัสที่มั่นใจได้เพียงตัวเดียวและหมั่นอัพเดตให้ มีความทันสมัยอยู่เสมอ น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://hitech.sanook.com/1394861/
15259  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 10:27:30 am

โภคาทิยะ 5

โภคอาทิยะ หรือ โภคาทิยะ 5 (ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ หรือ เหตุผลที่อริยสาวกควรยึดถือ ในการที่จะมีหรือครอบครองโภคทรัพย์)
    อริยสาวกแสวงหาโภคทรัพย์มาได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงความขยันหมั่นเพียรของตน และโดยทางสุจริตชอบธรรมแล้ว
       1. เลี้ยงตัว มารดาบิดา บุตรภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข
       2. บำรุงมิตรสหายและผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
       3. ใช้ป้องกันภยันตราย
       4. ทำพลี 5 อย่าง
           ก. ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ
           ข. อติถิพลี ต้อนรับแขก
           ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับ
           ง. ราชพลี บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น
           จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา* คือ สักการะบำรุงหรือทำบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชา ตามความเชื่อถือ
       5. อุปถัมภ์บำรุงสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
       เมื่อใช้โภคทรัพย์ทำประโยชน์อย่างนี้แล้ว ถึงโภคะจะหมดสิ้นไป ก็สบายใจได้ว่า ได้ใช้โภคะนั้นให้เป็นประโยชน์ถูกต้องตามเหตุผลแล้ว ถ้าโภคะเพิ่มขึ้นก็สบายใจเช่นเดียวกัน เป็นอันไม่ต้องเดือดร้อนใจในทั้งสองกรณี.
  (อ้างอิง : องฺ.ปญฺจก. 22/41/48.)


    * ในจูฬนิทเทส ท่านอธิบายความหมายของ “เทวดา” ไว้ว่า ได้แก่สิ่งที่นับถือเป็นทักขิไณย์ของตนๆ (เย เยสํ ทกฺขิเณยฺยา, เต เตสํ เทวตา -- พวกไหนนับถือสิ่งใดเป็นทักขิไณย์ สิ่งนั้นก็เป็นเทวดาของพวกนั้น) และแสดงตัวอย่างไว้ตามความเชื่อถือของคนสมัยพุทธกาล ประมวลได้เป็น 5 ประเภท คือ
       1. นักบวช นักพรต เช่น อาชีวกเป็นเทวดาของสาวกอาชีวก นิครณถ์ ชฎิล ปริพาชก ดาบส ก็เป็นเทวดาของสาวกนิครนต์เป็นต้นเหล่านั้นตามลำดับ
       2. สัตว์เลี้ยง  เช่น ช้างเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาช้าง ม้า โค ไก่ กา เป็นต้น ก็เป็นเทวดาของพวกถือพรตบูชาสัตว์นั้นๆ ตามลำดับ
       3. ธรรมชาติ  เช่น ไฟเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาไฟ แก้ว มณี ทิศ พระจันทร์ พระอาทิตย์ เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชาสิ่งนั้นๆ ตามลำดับ
       4. เทพชั้นต่ำ เช่น นาคเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชานาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชานาคเป็นต้นเหล่านั้นตามลำดับ (พระภูมิจัดเข้าในข้อนี้)
       5. เทพชั้นสูง เช่น พระพรหม เป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอินทร์ เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชาพระอินทร์ เป็นต้น


       สำหรับชนที่ยังมีความเชื่อถือในสิ่งเหล่านี้ พระพุทธศาสนาสอนเปลี่ยนแปลงเพียงให้เลิกเซ่นสรวงสังเวยเอาชีวิตบูชายัญ หันมาบูชายัญชนิดใหม่ คือบริจาคทานและบำเพ็ญกุศลกรรมต่างๆ อุทิศไปให้แทน คือมุ่งที่วิธีการอันจะให้สำเร็จประโยชน์ก่อน
       ส่วนการเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือเป็นเรื่องของการแก้ไขทางสติปัญญา ซึ่งประณีตขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะนักบวชในประเภทที่ 1 แม้สาวกใดจะเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำให้อุปถัมภ์บำรุงนักบวชนั้นต่อไปตามเดิม
(อ้างอิง : ขุ.จู. 30/120/45.)
________________________________________________________
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=232



 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

ตอนที่สองมีภาพให้ชมเท่านี้ ขอบพระคุณที่ติดตาม

 thk56 :25: thk56 :25:
15260  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 10:08:18 am



พระสูตรว่าด้วยโภคทรัพย์ ๕ ประการ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
มุณฑราชวรรคที่ ๕
๑. อาทิยสูตร


     [๔๑] ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ


      อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เลี้ยงตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำบริหารตนให้เป็นสุขสำราญ เลี้ยงมารดาบิดาให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ เลี้ยงบุตร ภรรยา ทาสกรรมกร คนใช้ ให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำบริหารให้เป็นสุขสำราญ นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๑ ฯ

      อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เลี้ยงมิตรสหายให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๒ ฯ



      อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม ป้องกันอันตรายที่เกิดแต่ไฟ น้ำ พระราชา โจร หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก ทำตนให้สวัสดี นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๓ ฯ

      อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม ทำพลี ๕ อย่าง คือ
             ๑. ญาติพลี [บำรุงญาติ]
             ๒. อติถิพลี [ต้อนรับแขก]
             ๓. ปุพพเปตพลี [บำรุงญาติผู้ตายไปแล้วคือทำบุญอุทิศกุศลให้]
             ๔. ราชพลี [บำรุงราชการ คือบริจาคทรัพย์ช่วยชาติ]
             ๕. เทวตาพลี [บำรุงเทวดา คือทำบุญอุทิศให้เทวดา]
      นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๔ ฯ



      อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม บำเพ็ญทักษิณา มีผลสูงเลิศ เกื้อกูลแก่สวรรค์ มีวิบากเป็นสุข ยังอารมณ์เลิศให้เป็นไปด้วยดีในสมณพราหมณ์ ผู้เว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติและโสรัจจะ ผู้มั่นคง ฝึกฝนตนให้สงบระงับดับกิเลสโดยส่วนเดียวนี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ ๕ ฯ

      ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี้แล ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี้ โภคทรัพย์หมดสิ้นไปอริยสาวกนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้ถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์นั้นแล้ว และโภคทรัพย์ของเราก็หมดสิ้นไป ด้วยเหตุนี้ อริยสาวกนั้น ย่อมไม่มีความเดือดร้อน
      ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี้โภคทรัพย์เจริญขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์นี้แล้ว และโภคทรัพย์ของเราก็เจริญขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีความเดือดร้อน อริยสาวกย่อมไม่มีความเดือดร้อนด้วยเหตุทั้ง ๒ ประการ ฉะนี้แล ฯ



      นรชนเมื่อคำนึงถึงเหตุนี้ว่า เราได้ใช้จ่ายโภคทรัพย์เลี้ยงตนแล้ว ได้ใช้จ่ายโภคทรัพย์เลี้ยงคนที่ควรเลี้ยงแล้ว ได้ผ่านพ้นภัยที่เกิดขึ้นแล้ว ได้ให้ทักษิณาอันมีผลสูงเลิศแล้ว ได้ทำพลี ๕ ประการแล้ว และได้บำรุงท่านผู้มีศีล สำรวมอินทรีย์ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว บัณฑิตผู้อยู่ครองเรือน พึงปรารถนาโภคทรัพย์ เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น เราก็ได้บรรลุแล้ว เราได้ทำสิ่งที่ไม่ต้องเดือดร้อนแล้ว ดังนี้ชื่อว่าเป็นผู้ดำรงอยู่ในธรรมของพระอริยะ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้ เมื่อเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงใจในสวรรค์ ฯ

      จบสูตรที่ ๑


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๑๐๐๑ - ๑๐๕๔. หน้าที่ ๔๔ - ๔๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1001&Z=1054&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=41
15261  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 09:28:50 am






15262  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 09:22:08 am






15263  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 09:16:11 am






15264  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 09:09:33 am






15265  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๒) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 09:01:45 am









งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ณ โรงหล่อพระช่างผา อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
15266  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ปฏิรูปสงฆ์ไม่ได้..ก็อย่าคิดไปปฏิรูปประเทศ" พระไพศาล วิสาโล เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 10:15:37 pm


"ปฏิรูปสงฆ์ไม่ได้ก็อย่าคิดไปปฏิรูปประเทศ" พระไพศาล วิสาโล
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล

อาจกล่าวได้ว่า เวลานี้พุทธศาสนาในเมืองไทยกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นความประพฤติไม่เหมาะสมตามพระธรรมวินัย อาศัยผ้าเหลืองเข้ามาหากิน ย่อหย่อนในการศึกษาและปฏิบัติภาวนา แก่งแย่งชิงยศถาสมณศักดิ์ ตั้งลัทธิบิดเบือนคำสอนขององค์สัมมาพระพุทธเจ้า สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่วงการพุทธศาสนา จนทำให้ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยพากันเสื่อมศรัทธา

พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อ.แก่งคร้อ จ.ชัยภูมิ เจ้าของผลงานศึกษาวิจัยเรื่อง "พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต" เมื่อปี 2546 เชื่อว่า การที่จะนำพาพระพุทธศาสนาให้พ้นจากวิกฤตไปได้ต้องมีความเข้าใจในภาวะอันซับซ้อนที่ห่อหุ้มพุทธศาสนาในเมืองไทยเสียก่อน และถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปโครงสร้างของคณะสงฆ์อย่างจริงจัง มิเช่นนั้น เราอาจได้เห็นความล่มสลายของพุทธศาสนาเกิดขึ้นในยุคสมัยของเราเป็นได้


 ask1 ask1  ans1 ans1

ถาม : วิกฤตที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนาในบ้านเราเวลานี้ เรื่องใดน่าเป็นห่วงที่สุด?

เรื่องแรกที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ วิกฤตการณ์ในคณะสงฆ์ไทย พระสงฆ์มีคุณภาพตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ความรู้ในทางพุทธธรรมมีน้อย แต่ที่หนักกว่านั้นเป็นเรื่องอาจาระ หมายถึงความประพฤติดีงามเรื่องธรรมวินัย มันย่ำแย่ถดถอยจนทำให้มีพระนอกรีตนอกรอยมากขึ้น มีพระอย่างธัมมชโย เณรคำยันตระ และอีกมากมายสารพัดตกเป็นข่าวคาวอื้อฉาวและพบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป มันไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในหมู่ประชาชน แต่ยังทำให้เกิดลัทธิพิธีต่างๆขึ้นมากมาย ทั้งไสยศาสตร์พุทธพาณิชย์ ความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากหลักธรรมของพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนาโดยรวมตกต่ำลงไป คนมองพระพุทธศาสนาว่าเต็มไปด้วยพิธีกรรม มีความเชื่อที่งมงาย พระสงฆ์ก็ประพฤติตัวไม่น่านับถือ

เรื่องที่สอง การประพฤติปฏิบัติที่เสื่อมโทรมลงไปของชาวพุทธโดยรวม เราจะพบว่าปัญหาคอร์รัปชั่นอาชญากรรม ยาเสพติด ทำแท้ง ทั้งหมดเป็นเรื่องผิดศีลทั้งนั้น แต่จะเกิดขึ้นได้น้อย หากพุทธศาสนามีความเจริญมั่นคง ซึมซาบอยู่ในเนื้อตัวของประชาชน ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะคนไม่มีความเข้าใจในเรื่องหลักธรรมและไม่สามารถนำเอาคำสอน ไปปฏิบัติได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเผยแผ่ธรรมะในหมู่ประชาชน รวมถึงพุทธศาสนาไม่มีแรงต้านทานต่อกระแสบริโภคนิยมและวัตถุนิยมอันเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมมากมายดังที่เห็นในทุกวันนี้

เรื่องที่สาม ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับประชาชน นอกจากประชาชนเสื่อมศรัทธาพระสงฆ์ยังมีความเหินห่างแตกแยก พระสงฆ์จะทำตัวอย่างไร ชาวพุทธก็ไม่สนใจไม่เอาใจใส่ ตรงนี้ทำให้พระมีพฤติกรรมย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ และทำให้วิกฤตในคณะสงฆ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เมื่อพระเหินห่างจากชาวบ้าน ทำให้รัฐเข้ามาครอบงำกำกับคณะสงฆ์ รวมทั้งผู้มีอำนาจในทางเศรษฐานะ เช่น นายทุนพากันเข้ามา ทำให้พระสงฆ์มีความเหินห่างประชาชนในสังคมมากขึ้น ไม่สามารถตอบสนองกับปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้นได้

 ask1 ask1  ans1 ans1

ถาม : จากงานวิจัยเรื่อง "พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต" ที่ระบุว่าปัญหาสำคัญด้านองค์กรสงฆ์ไทย มี 4 ประการคือ โครงสร้างที่รวมศูนย์และไร้ประสิทธิภาพ ความสัมพันธ์กับรัฐที่ใกล้ชิดจนเกินไป ความเหินห่างจากสังคม และกระบวนการคัดกรอง กำกับ กล่อมเกลาคุณภาพของผู้ที่จะมาบวชเป็นพระ ช่วยอธิบายให้ฟังอีกครั้งได้ไหม?

ทุกวันนี้ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ และแย่ลงเรื่อยๆ

ประการแรก โครงสร้างที่รวมศูนย์และไร้ประสิทธิภาพ ระบบการปกครองของสงฆ์ไทยในปัจจุบันเป็นการปกครองแบบรวมศูนย์ อยู่ในมือของคนเพียงแค่ 20 คน ที่มันแย่ก็คือ 20 คนนี้ตามความจริงแล้วไม่ใช่ผู้บริหารหรือผู้ปกครอง เพราะไม่ได้ทำการบริหารเลย มหาเถรสมาคมจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อมีการประชุมกัน ออกจากการประชุมก็ไม่มีความรับผิดชอบติดตัวไปเลย ลองนึกภาพรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ถึงแม้จะออกจากที่ประชุมครม.ไปแล้วก็ยังมีหน้าที่ในกระทรวงต่างๆ แต่มหาเถรสมาคมพอออกจากการประชุมมติก็เป็นอันจบกัน กรรมการมหาเถรสมาคมไม่มีหน้าที่ติดตัวไปด้วยเพราะฉะนั้นมหาเถรสมาคมมีหน้าที่แค่ออกคำสั่งและลงมติเท่านั้นเอง แต่ไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการบริหารให้เป็นไปตามมตินั้น

นอกจากนี้ยังไม่มีกระบวนการตรวจสอบใดๆทั้งสิ้น ยกตัวอย่างคณะรัฐมนตรีต้องขึ้นตรงต่อสภา มีการตรวจสอบจากองค์กรอิสระอย่างปปช. ปปง. สตง. แต่คณะสงฆ์ไม่มีเลย คุณทำผิดพลาดอย่างไรก็ยังเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมไปตลอดชีวิต จะหมดวาระก็ต่อเมื่อลาสิกขา มรณภาพ และมีพระบรมราชโองการถอดยศเท่านั้น ซึ่งการรวมศูนย์มันรวมทุกระดับตั้งแต่ประเทศก็อยู่ในอำนาจของมหาเถรสมาคม จังหวัดก็อยู่ที่เจ้าคณะจังหวัดรูปเดียว เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลก็เหมือนกัน

ลองนึกภาพตามว่า*คณะสงฆ์ควบคุมเครือข่ายทั่วประเทศ แต่การปกครองอยู่แค่กับคน 20 คน แถมอายุรวมกันกว่า 2,000 ปีในการดูแลพระสงฆ์ทั่วประเทศ มันไม่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว โอกาสที่จะมีการวิ่งเต้น ใช้เส้นสาย หรือล็อบบี้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนกัน เพื่อให้มหาเถรสมาคมมีมติในทางที่เป็นคุณเป็นโทษต่อใครนั้นก็ง่ายมาก ระบบแบบนี้ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการปกครอง ทั้งยังเปิดโอกาสให้มีการฉ้อฉลขึ้นด้วย เราจึงเห็นว่าเวลามีเรื่องใหญ่ขึ้น มติของมหาเถรสมาคมมักไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของประชาชน อาจจะเชื่องช้าในกรณีของเณรคำ ยันตระ หรือขัดสายตาประชาชนอย่างกรณีธัมมชโยซึ่งเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตรงนี้เป็นปัญหาที่เกิดจากการปกครองที่รวมศูนย์

ในมุมมองของอาตมา การปกครองคณะสงฆ์จะเรียกว่าปฏิรูปอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อมีการกระจายอำนาจให้มากขึ้น แทนที่จะใช้วิธีการปกครองแบบเดิมคือ สั่งการจากบนลงล่าง หรือปกครองแบบรวมศูนย์ทำนองเดียวกับมหาเถรสมาคม แต่ควรแบ่งแยกหน้าที่บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการออกจากกันอย่างชัดเจน โดยคณะผู้บริหารอาจเรียกว่า สังฆมนตรี รับผิดชอบในการบริหารคณะสงฆ์ โดยมีอำนาจหน้าที่ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ไม่ใช่มีอำนาจในการออกมติหรือคำสั่งเฉพาะเวลามาประชุมกันเท่านั้น ส่วน มหาสังฆสภา ทำหน้าที่ออกกฎระเบียบของคณะสงฆ์ ตลอดจนให้ความเห็นชอบต่อนโยบายและแผนงานของคณะสังฆมนตรี สำหรับการพิจารณาวินิจฉัยลงโทษพระสงฆ์ที่ปฏิบัติผิดธรรมวินัยให้เป็นหน้าที่ของ คณะวินัยธร ซึ่งมีตั้่งแต่ชั้นจ้นไปจนถึงชั้นฎีกา

ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องเปิดช่องให้ความเห็นจากระดับล่างมีผลต่อการทำงานในระดับนโยบายด้วยนโยบายต่างๆ เช่น นโยบายหรือแผนการศึกษาของคณะสงฆ์ ไม่ควรจะคิดและตัดสินในที่ประชุมมหาคณิสสรที่มีอำนาจเท่านั้น แต่ควรให้พระสงฆ์ทั่วประเทศได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและกำหนดด้วยด้านการบริหารก็ควรจะกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางให้มากขึ้น กระจายเป็นลำดับจากจังหวัดอำเภอ ลงไปถึงตำบล เพื่อให้คณะสงฆ์ในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นทำงานได้คล่องตัวและตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะท้องที่ได้ดีขึ้น

ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจนเกินไปกับรัฐ ต้องเข้าใจว่าประเพณีของคณะสงฆ์ไทยจะมีความสัมพันธ์กับสองกลุ่มใหญ่คือ รัฐกับประชาชน ในอดีตจะเป็นความสัมพันธ์แบบพอดีๆ แต่หลังการปฏิรูปคณะสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้คณะสงฆ์ใกล้ชิดกับรัฐมากขึ้น และรัฐก็เข้ามาควบคุมคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด สมัยรัชกาลที่ 5 มหาเถรสมาคมเป็นแค่ที่ปรึกษา ผู้ปกครองสูงสุดคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นั่งหัวโต๊ะเลย กรรมการมหาเถรสมาคมมีหน้าที่เพียงแค่รับสนองพระราชโองการและให้คำปรึกษา ถือว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐมาก จะเห็นได้ว่าคณะสงฆ์จะตอบสนองนโยบายรัฐบาลตลอด เช่น นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ แม้ระยะหลังจะห่างออกมาบ้าง แต่รัฐก็ยังเข้ามาควบคุม อย่างเช่น เลขาธิการมหาเถรสมาคมคือใคร ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ การแต่งตั้งพระราชาคณะ การแต่งตั้งกรรมการกรรมการมหาเถรสมาคม แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ก็เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

นี่คือการที่คณะสงฆ์มีความสัมพันธ์กับรัฐใกล้ชิดเกินไปจนเหินห่างจากสังคม ทำให้คณะสงฆ์ไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้แต่โอนเอียงตามอำนาจขอบบ้านเมือง ไม่ค่อยตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไม่สนใจความทุกข์ยากเดือดร้อนของพุทธศาสนิกชนเท่าที่ควร

แตกต่างจากพระในชนบทที่เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้าน สมัยก่อน พระสงฆ์กล้าทวงติงพระราชา ผู้ปกครอง เหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)ที่ท้วงติงรัชกาลที่ 4 ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่ได้มีผลประโยชน์ผูกพัน ไม่ได้รับการอุปถัมภ์ คุณรู้ไหม สมณศักดิ์ มีหลากหลายประเภทและมาจากการแต่งตั้งของชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ ภายหลังรัชกาลที่ 5 ทำให้สมณศักดิ์มีแค่อย่างเดียวคือ สมณศักดิ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชา

ความเหินห่างจากสังคม เมื่อคณะสงฆ์ไม่ค่อยแคร์ชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไม่สนใจพระ ไม่สนใจวัดยกตัวอย่างง่ายๆ หลายวัดรวยมหาศาลแต่ชาวบ้านรอบวัดมีฐานะยากจน บางครั้งก็ไล่รื้อที่ชาวบ้านเพื่อทำที่ดินไปสร้างศูนย์การค้า เช่น วัดยานนาวาที่มีการสร้างคอนโดมิเนียมสูงติดกับวัด ต่างจากสมัยก่อนที่พระกับชาวบ้านใกล้ชิดกันมาก ชาวบ้านบริจาคที่ดินให้วัด รอบวัดก็มีปลูกบ้านเต็มไปหมดจนเป็นสลัม เพราะวัดให้เช่าในราคาถูกๆ สภาพการณ์เช่นทุกวันนี้จึงทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธาพระ รู้สึกว่าวัดกลายเป็นของคนรวย ชาวบ้านจึงปล่อยไม่สนใจแล้ว เพราะไม่รู้สึกว่าวัดเป็นของชาวบ้านอย่างวัดป่าสุคะโตที่อาตมาอยู่ พอออกพรรษา ชาวบ้านต้องนิมนต์ให้อยู่ต่อ อาตมาเป็นเพียงผู้มาอาศัยเวลาอาตมาจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาชาวบ้าน เพราะวัดเป็นของชาวบ้าน

กระบวนการกลั่นกรอง กำกับ กล่อมเกลาผู้ที่จะมาบวช สมัยก่อนวัดเปิดกว้างให้ใครมาบวชก็ได้พระอุปัชฌาย์จะคอยกล่อมเกลาให้เป็นคนดี การกลั่นกรองจะเกิดขึ้นแบบหยาบๆ เพราะคนที่มาบวชพระก็เป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน สืบถามได้หมดว่าใครเป็นลูกเต้าเหล่าใคร นิสัยยังไง จะเป็นติดยาอันธพาล เกฬวราก เจ้าอาวาสหรือพระอุปัชฌาย์ก็ดูแลได้ทั่วถึง สามารถกล่อมเกลาให้เป็นคนดีขึ้นได้จริงๆ แต่สมัยนี้พระอุปัชฌาย์ตำบลหนึ่งมีได้รูปเดียวและต้องดูแลพระปีนึงๆเป็นร้อย เขาเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เป็ด ฟักไข่ออกมาแต่ไม่ได้เลี้ยง ไม่มีเวลาดูแลสั่งสอน เจ้าอาวาสก็ไม่มีความรู้ และก็ไม่สนใจที่จะดูแลด้วย คนที่บวชมาเมื่อไม่ได้รับการกล่อมเกลาก็กลายเป็นว่าอยู่สบายกินสบาย นั่งๆนอนๆเอาแต่เงิน ทำให้คุณภาพพระยุคนี้ตกต่ำ

สุดท้ายคือ การศึกษาของสงฆ์ จริงๆการมาบวชเป็นพระในวัดมันควรจะต้องมีการศึกษา จะเป็นการศึกษาในรูปแบบหรือนอกรูปแบบก็แล้วแต่ สมัยก่อนจะสอนกันนอกรูปแบบ สอนเวลาทำวัตรสวดมนต์เวลาฉันก็สอนไป สอนอย่างไม่เป็นทางการ ปัจจุบันการสอนในรูปแบบก็มีบ้างไม่มีบ้างตามยถากรรมขณะที่การสอนนอกรูปแบบก็ละเลย ที่มันแย่คือ แม้จะมีการศึกษาในวัดแต่พระก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนเพราะน่าเบื่อมาก เป็นระบบท่องจำ พระก็เครียด ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนไปก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ เวลาสอบก็จะโกง ลอกข้อสอบ แอบใช้โทรศัพท์มือถือโจ๋งครึ๋มยิ่งกว่าฆราวาส ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาของสงฆ์นั้นล้มเหลว ทั้งในแง่ของการเรียนรู้ ในแง่ของการกล่อมเกลาให้เป็นคนดีมีคุณธรรม การฝึกสมาธิภาวนา ส่งผลให้พระไม่มีคุณภาพ วินัยก็ย่อหย่อน ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ

 ask1 ask1 ans1 ans1

ถาม : ทุกวันนี้ สังคมมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งอาชีพ ชนชั้น การศึกษา ความสนใจ ทำให้พุทธ
ศาสนาต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงจนแตกแขนงออกเป็นหลายลัทธิ เพื่อให้เข้ากับรสนิยมของชาวพุทธแต่ละคน จนอาจทำให้ไม่มีความเป็นเอกภาพ ประเด็นนี้น่าวิตกกังวลมากแค่ไหน?


ต้องยอมรับความจริงว่าในปัจจุบันมันเป็นเอกภาพไม่ได้แล้วล่ะ มันต้องมีความหลากหลาย แต่ควรเป็นความหลากหลายที่มีแกนกลางร่วมกัน เช่น พระป่า พระเมือง พระนักเทศน์ พระนักอนุรักษ์ อันนี้ก็คือความหลากหลาย แต่มีแกนกลางนั่นคือธรรมวินัย ไม่ว่าจะพระป่าหรือพระเมืองต้องปฏิบัติตามธรรมวินัยที่ใกล้เคียงกัน ตรงนี้อาตมาคิดว่าไม่เสียหาย

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือ มันเป็นความหลากหลายแบบที่เรียกว่ากลายเป็นอนาธิปไตยเลยก็ว่าได้ต่างคนต่างทำ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ใดใดทั้งสิ้น ถ้าเป็นนิกายอื่นไปเลยก็ไม่มีใครว่า เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ายังอ้างว่าเป็นเถรวาท มันต้องมีกรอบต้องมีหลักที่ร่วมกัน แต่ตอนนี้มันหลากหลายและห่างไกลจากพระธรรมวินัยมาก โดยที่ยังอ้างว่าเป็นเถรวาท นี่จึงเป็นปัญหา

 ask1 ask1 ans1 ans1

ถาม : คิดอย่างไรต่อกรณีวัดพระธรรมกายที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในการดึงคนเข้าวัดแต่ขณะเดียวกันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าบิดเบือนหลักธรรมคำสอนจนผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย

ถ้าวัดพระธรรมกายเป็นลัทธินิกายอื่นคงไม่มีปัญหา อาตมาก็อาจจะไม่ค่อยมาสนใจเท่าไหร่ แต่พอเป็นเถรวาท และสอนคำสอนของเถรวาทขั้นพื้นฐานเช่น เรื่องบุญ หรือขั้นสูงอย่างเรื่องอนัตตา ก็ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์กัน ปัญหาอย่างหนึ่งของวัดพระธรรมกายที่ยอมรับได้ยากคือ วิธีที่ไม่ค่อยถูกกฎหมายเข้าขั้นหลอกลวงเอาเงินจากผู้คน เช่น กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนียน มันส่อให้เห็นว่ามีการสมคบกันในการที่จะเอาเงินจากสหกรณ์เป็นพันๆล้าน  ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ผิดทั้งนั้น หรือเรื่องบุญที่สอนว่าบริจาคมากเท่าไหร่ก็ได้บุญมากเท่านั้น ต้องปิดบัญชีทางโลกถึงจะเปิดบัญชีทางธรรมได้ พระรุ่นดูดทรัพย์ สอนว่าโคตรรวย โคตรรวย โคตรรวย อันนี้ไม่ใช่คำสอนทางพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่ได้เอาความร่ำรวยเป็นสรณะ เมื่อเขาอ้างว่าทำในนามของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเถรวาทและผิดพลาดก็เกิดความเสียหายต่อพุทธศาสนา อาตมาคิดว่าชาวพุทธจึงจำเป็นต้องใส่ใจและไม่ควรนิ่งเฉย

 ask1 ask1 ans1 ans1

ถาม : ผ่านมาเป็นสิบปีแต่ปัญหายังไม่ได้รับการสะสาง มุมมองของท่านควรทำอย่างไร

ต้องทำความถูกต้องให้เกิดขึ้น ถ้าเป็นเรื่องธรรมวินัยนี่ถึงขั้นปาราชิกแล้วนะ มันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดขึ้น 10 ปีหรือ 20 ปีที่แล้ว ถ้าขาดจากความเป็นพระแล้ว สิ่งที่ทำมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ต้องถือว่าเป็นโมฆะหมด เรื่องระยะเวลาจะผ่านไปกี่ปีไม่สำคัญหรอก แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าไอ้ที่ผ่านมามันถูกต้องไหม ถ้าไม่ถูกต้องก็ทำให้มันถูกต้องเสีย ไม่งั้นจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย บางคนบอกว่าทำไมต้องมารื้อฟื้น เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยก อาตมามองว่าถ้าเราไม่ทำให้ปัญหายุติอย่างถูกต้องชอบธรรมมันก็จะไม่ยุติอย่างแท้จริง มันก็จะสงบชั่วคราว แล้วจะปะทุ ลุกลามขึ้นใหม่

ดูอย่างกรณีธัมชโยเมื่อปี 2542 ที่จบลงแบบไม่กระจ่าง ไม่ขาวสะอาด ผ่านมา 16 ปีพอคนจุดประเด็นขึ้นมามันก็กลับมาเป็นเรื่องราวใหญ่อีก เพราะ 16 ปีที่แล้วมันยุติลงแบบกลบเกลื่อนทั้งทางโลกและทางธรรม ทางธรรมก็คือ มหาเถรสมาคมมีมติที่ขัดกับพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชและขัดกับหลักธรรมวินัย ทางโลกก็มีความเคลือบแคลงเพราะจู่ๆอัยการสูงสุดก็ถอนฟ้องทั้งที่คดีใกล้จะพิพากษาแล้ว เป็นธรรมดาที่สังคมจะเรียกร้องให้กลับมาเริ่มกันใหม่ ถ้าเราอยากให้เรื่องมันจบเร็วๆก็ต้องทำให้เรื่องมันยุติลงอย่างถูกต้องใสสะอาด จะได้ไม่มีการรื้อฟื้นขึ้นอีก

 ask1 ask1 ans1 ans1

ถาม : ที่ผ่านมา การปฏิรูปสงฆ์โดยคณะสงฆ์เองเกิดขึ้นได้ยาก แล้วในยุคแห่งการ"ปฏิรูป"ภายใต้รัฐบาลคสช.แบบนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

อาตมาไม่ค่อยเชื่อเรื่องการใช้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร มันได้ผลแค่ชั่วคราว สมมติว่ารัฐบาลเสนอพรบ.การปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่แทนฉบับเดิมที่มีอยู่ ซึ่งอาจมีผลทำให้ยุบมหาเถรสมาคม หรือทำให้มหาเถรสมาคมเป็นแค่ที่ปรึกษาแล้วมีองค์กรบริหารใหม่ที่กระฉับกระเฉงฉับไวมาแทนที่ อาตมาก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ เพราะจะมีพระสงฆ์ออกมาประท้วงกันมากมาย ถ้าคุณจำได้เมื่อปี 2544 เมื่อกรณีวัดธรรมกายตกเป็นข่าวโด่งดังข้ามปี รัฐบาลก็ออกร่างพรบ.ฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อปฏิรูปการปกครองของคณะสงฆ์ โดยให้มหาเถรสมาคมเป็นแค่องค์กรที่ปรึกษา เรียกว่ามหาเถรสภา และมีการตั้งองค์กรปกครองบริหารคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ชื่อ มหาคณิสสร ผ่านครม.มาแล้วนะ แต่เข้าสภาไม่ได้ เพราะถูกประท้วงจากพระสงฆ์ สุดท้ายเรื่องนี้ก็เลยถูกเก็บเข้าลิ้นชัก

ถ้ารัฐบาลคสช.ออกกฎหมายอะไรมาก็ตาม อาตมาไม่คิดว่ามันจะผ่านได้ง่ายๆ ถึงผ่านมาได้แต่คงไม่มีการปฏิบัติ อาตมาจึงไม่เชื่อเรื่องการปฏิรูปโดยใช้อำนาจจากเบื้องบน อำนาจที่ใช้ได้อย่างเดียวคืออำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ในตอนนี้ เพราะมันมีสิทธิ์โดยชอบธรรม เช่น บังคับใช้กฎหมายกำจัดพระอลัชชีทั้งประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งสามารถทำได้ทันที หรือส่งเสริมการศึกษาคณะสงฆ์ ก็ทำได้เลยเรื่องนี้อาตมาว่าน่าทำมาก คงมีเสียงค้านน้อย แต่คนทำต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการศึกษาคณะสงฆ์ รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคณะสงฆ์เป็นอย่างดี การปฏิรูปสงฆ์ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย แต่ต้องใช้ความรู้สติปัญญา ความเห็นพ้องต้องกันเป็นสำคัญ แม้จะมีผู้เสียประโยชน์บ้างก็เป็นส่วนน้อย อาจจะจัดองค์กรขึ้นมาเพื่อให้มันได้เสียงที่เป็นข้อสรุปร่วมกันของภาคประชาสังคม

 ask1 ask1 ans1 ans1

ถาม : เรื่องการปฏิรูปสงฆ์ในเมืองไทยถือเป็น Mission Impossible ไหม

มันต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ สิ่งที่เราไม่อยากเห็นก็จะเกิดขึ้นนั่นคือ ความเสื่อมสลายของพุทธศาสนาพุทธศาสนาจะเหลือแต่รูปแบบ ไม่มีแก่นเนื้อหาสาระ หากคิดจะปฏิรูปประเทศอย่างที่กำลังทำกันอยู่ในตอนนี้ ถ้าคุณปฏิรูปคณะสงฆ์ไม่ได้ ก็อย่าปฏิรูปประเทศเลย พระสงฆ์มีแค่ 2 แสนรูปแต่คนไทยมีตั้ง73 ล้านคน ถ้าคิดว่าการปฏิรูปสงฆ์เป็น Mission Impossible ก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องการปฏิรูปประเทศแล้ว เพราะนั่นมันใหญ่กว่าเยอะ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/วิเคราะห์/สัมภาษณ์พิเศษ/349960/ปฏิรูปสงฆ์ไม่ได้ก็อย่าคิดไปปฏิรูปประเทศ-พระไพศาล-วิสาโล
15267  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มวิศวกรหาปลากลางดึกพบลูกแก้ว เชื่อเป็นของพญานาค-กรมศิลป์ ยังไม่สรุป เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 10:03:21 pm


หนุ่มวิศวกรหาปลากลางดึกพบลูกแก้ว เชื่อเป็นของพญานาค-กรมศิลป์ ยังไม่สรุป

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ชาวบ้านในหมู่บ้านสันบุญเรือง ม.4 ต.ปงยางคก อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง รวมถึงหมู่บ้านใกล้เคียงในพื้นที่ ต.ปงยางคก ได้แห่พากันไปดูลูกแก้วประหลาด ที่มีผู้นำเข้ามาที่บ้านเลขที่ 53/1 บ้านสันบุญเรือง ม.4 ต.ปงยางคก อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ซึ่งเป็นบ้านของ นางอามร โภยะโล อายุ 60 ปี โดยภายในบ้านชั้นเดียวบริเวณห้องโถงด้านนอก มีชาวบ้านยืนอยู่ในบ้าน เพื่อดูลูกแก้วประหลาด ที่วางไว้บนพาน และมีดอกไม้ธูปเทียน ตั้งไว้ เพื่อกราบไหว้บูชาอยู่บนตู้ไม้ และมีขันเงิน มีเงินที่ชาวบ้านมากราบไหว้บูชาอยู่เต็มขัน โดยมีชาวบ้านทยอยเดินทางมาดูอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเจ้าของบ้านได้เปิดให้ดู และกราบไหว้บูชา ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ

 ans1 ans1 ans1 ans1

นอกจากนี้ ทางเจ้าของบ้านยังมีการเตรียมขันน้ำขมิ้นส้มป่อย เพื่อให้ชาวบ้านที่เดินทางมาดู และมีความเชื่อได้ทำการปะพรม เพื่อบูชาตามความเชื่อว่า เป็นลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคราชในแม่น้ำวัง ที่อยากจะให้ชาวบ้านได้เห็น ซึ่งลูกแก้วดังกล่าวนั้น มีน้ำหนักมาถึง 10.2 กิโลกรัม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 16 เซนติเมตร จะเป็นลูกแก้วที่เป็นลักษณะใสขุ่น เมื่อมีการส่องไฟกระทบจะเป็นแสงวนอยู่ข้างในลูกแก้ว และชาวบ้านที่เดินทางมาดู และกราบไหว้บูชา ก็มีการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายก็จะมีแสงสีที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะหากใช้เฟลชจากกล้องถ่าย ก็จะติดภาพแสงสีจากลูกแก้วเป็นสีสันที่สวยงาม

ซึ่งชาวบ้านที่เข้ามาดูต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยเจอลูกแก้วลักษณะดังกล่าวในชีวิต ถึงแม้ว่า จะมีการขายลูกแก้วตามท้องตลาดทั่วไป ก็เป็นแก้วอีกแบบหนึ่ง แต่ลูกนี้ลักษณะแปลกผิดหูผิดตาทั่วไป ยิ่งชาวบ้าน หรือร่างทรงที่มีความเชื่อ เดินทางมาดู ก็ต้องขนลุก และมีความรู้สึกที่พิเศษแบบแปลกประหลาด และต่างมีความเชื่อว่าเป็นลูกแก้ววิเศษของพญานาคราชในแม่น้ำวัง เมื่อมีชาวบ้านเป็นจำนวนมาก เดินทางมาดูอย่างไม่ขาดสาย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมีการกราบไหว้บูชา เพื่อขอเลขเด็ด เพื่อเอาไปลุ้นรางวัลหวยที่จะออกในวันที่ 1 มีนาคม 2558 นี้ ซึ่งชาวบ้านก็ตีเป็นเลขที่บ้าน 531 หรือเลขน้ำหนักของลูกแก้ว 102 รวมถึงเลขอื่น ๆ ที่หลายคนกราบไหว้บูชา และดูได้จากลายลูกแก้ว



สำหรับลูกแก้วลูกนี้ นายพีระพันธ์ โภยะโล อายุ 34 ปี เป็นวิศวกรอยู่ที่โรงงานเซรามิกแห่งหนึ่งใน ต.ปงยางคก อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง โดยเป็นบุตรชายของ นางอามร เล่าว่า เมื่อคืนของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วยหลานชาย ได้ไปหาปลาที่แม่น้ำวัง เขตชุมชนสบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งในช่วงนั้นน้ำวังมีไม่มาก เมื่อหาปลาได้สักพัก ก็พบปลาช่อนตัวใหญ่ และยาวประมาณครึ่งเมตรว่ายดิ้นอยู่ ตนจึงใช้หันไฟฉายที่มัดติดอยู่ศีรษะส่อง เพื่อที่จะใช้อุปกรณ์จับปลา จับปลาช่อนตัวดังกล่าว

แต่ปรากฏว่าปลาตัวดังกล่าวได้ว่ายดิ้นหนีไปอย่างรวดเร็วในจุดที่น้ำลึก แต่สิ่งที่ตนพบคือแสงกระทบลูกแก้วที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นทรายก้นแม่น้ำวัง ตนจึงได้เรียกหลานชายมาช่วยกันเขี่ยทรายที่ถมลูกแก้วดังกล่าว เพื่อที่จะยกขึ้นมาดู แต่ขณะนั้นไม่สามารถยกขึ้นมาได้ ตนจึงได้ยกมือไหว้ และขอว่าอยากที่จะเอาขึ้นมา แล้วไปไว้ที่บ้าน เพื่อกราบไหว้บูชา เมื่อไหว้เสร็จ ก็ทำการเขี่ยทรายที่ล้อมถมลูกแก้ว ก่อนที่จะยกขึ้นได้สำเร็จ จึงรีบนำกลับมาบ้าน เพื่อใส่พานไว้บูชาจนถึงวันนี้ โดยตนก็มาทราบว่า ชาวบ้านได้ไปถามทรงเจ้า ทราบว่า เป็นลูกแก้วของพญานาคราช หรือพญานาค ในแม่น้ำวัง ที่จะให้ลูกแก้วขึ้นมาให้ชาวบ้านได้เห็น และกราบไหว้บูชา และจะให้โชคลาภ 2 งวด



ทั้งนี้ หลังจากที่ข่าวพบลูกแก้วประหลาด ที่บ้านหลังดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป โดยเฉพาะมีผู้นำภาพลงในสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค ก็มีชาวบ้านเดินทางไปดูมากยิ่งขึ้น กระทั่งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ จากสำนักศิลปากรที่ 7 น่าน กรมศิลปากร เดินทางมาที่บ้านหลังดังกล่าว มาดูว่า เป็นลูกแก้วใด และสอบถามข้อมูลการพบลูกแก้วดังกล่าว ในเบื้องต้นที่เดินทางมาดูยังไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นลูกแก้วที่มีอายุเก่าแก่ จากเมืองเก่าในอดีตของ จ.ลำปาง หรือไม่ ซึ่งจะต้องนำไปตรวจพิสูจน์อีกครั้ง

โดยที่ชาวบ้านก็ได้สอบถามว่า หากเป็นของเก่าแก่ในอดีตจริง จะต้องทำอย่างไร และใครเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ จากสำนักศิลปากรที่ 7 น่าน กรมศิลปากร ได้บอกให้ชาวบ้านได้เกิดความเข้าใจ ว่า จะต้องมีการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน และจะมีการประเมินมูลค่า รวมถึงจะต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จะเก็บไว้เป็นของสาธารณะประโยชน์ เช่น เก็บไว้ที่วัด หรือผู้ที่พบเก็บไว้ แต่หากลูกแก้วหาย ผู้ที่พบ และดูแลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตามมูลค่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ ก็จะต้องขึ้นอยู่กับการตรวจสอบก่อน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425010953
15268  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะถวาย “ผักผลไม้” ลดพระสงฆ์อ้วน ป่วยเบาหวาน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 09:58:16 pm


แนะถวาย “ผักผลไม้” ลดพระสงฆ์อ้วน ป่วยเบาหวาน

ห่วงพระสงฆ์อ้วน ป่วยเบาหวาน สุขภาพช่องปากไม่ดี แนะประชาชนถวายภัตตาหารรสไม่หวาน มีประโยชน์ เน้นเส้นใยสูง มีวิตามินซี วิตามินบี

        ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า พระสงฆ์ 1 ใน 3 อาพาธด้วยโรคต่างๆ ขณะที่บางรูปไม่เคยเข้ารับการตรวจสุขภาพ จึงไม่รู้ภาวะเสี่ยง โดยปี 2554 สำรวจพระภิกษุ สามเณร จำนวน 98,561 รูป พบมีทั้งปัญหาสุขภาพช่องปาก ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน พระสงฆ์บางรูปป่วยมากกว่า 1 โรค พระสงฆ์ร้อยละ 5 อยู่ในภาวะอ้วน ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

        ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากปัญหาการบริโภคไม่ถูกหลักโภชนาการ ทั้งยังไม่สามารถเลือกฉันอาหารเองได้ ต้องฉันอาหารตามที่ฆราวาสใส่บาตร ประกอบกับสถานภาพของพระภิกษุไม่เอื้อต่อการออกกำลังกายทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสุขภาพ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนให้พระสงฆ์ และวัดมีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพ เป็นศูนย์กลางสุขภาพชุมชน และจัดสภาพแวดล้อมที่ดีให้เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพ


        :96: :96: :96: :96:

       “พุทธศาสนิกชนควรหลีกเลี่ยงการถวายภัตตาหารที่รสหวานจัด มีน้ำตาลในปริมาณมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดโรคในช่องปาก โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จึงควรถวายอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และฟัน คือ อาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ จำพวก แตงกวา ฝรั่ง มะเขือเทศ ชมพู่ จะช่วยในการทำความสะอาดฟัน อาหารที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม สัปปะรด กะหล่ำปลี แครอท ผักคะน้า ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพ และรักษาเหงือก ฟัน กระดูก

        อาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ถั่วลิสง รำ ถั่วเหลือง มะม่วง จะช่วยป้องกันมุมปากแตก ลิ้นอักเสบ เลือกถวายน้ำผลไม้แทนน้ำอัดลม เพราะน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลสูง และมีผลต่อการกัดกร่อนของฟันได้ หากเลี่ยงน้ำอัดลมไม่ได้ให้ใช้ดื่มผ่านหลอดลงคอไปโดยตรง จะทำให้น้ำอัดลมสัมผัสผิวฟันน้อยกว่าการดื่มจากแก้ว หลีกเลี่ยงขนมหวาน เช่น คุกกี้ โดนัท ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง เพราะปริมาณน้ำตาลสูงจะทำให้ฟันผุได้ง่าย” รมว.สธ. กล่าว

        :49: :49: :49: :49:

       นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดูแลสุขภาพช่องปากของพระสงฆ์ สามารถทำได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในช่องปาก และการป้องกันปัจจัยเสี่ยงร่วม โดยเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากอย่างน้อยปีละครั้ง ร่วมกับการดูแลอนามัยช่องปากอย่างเหมาะสมด้วยสูตร 2 2 2 ได้แก่ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 2 นาที และงดรับประทานอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง รวมถึงการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพฟัน

        ans1 ans1 ans1 ans1

       “กรมอนามัย ได้สนับสนุนพระสงฆ์เป็นแกนหลักดำเนินงานร่วมกับชุมชนในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ลดเลี่ยง ลดโรค ลดภาวะแทรกซ้อนของโรค และก้าวสู่ชีวิตที่พอเพียง สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน โดยมีกลยุทธ์ 3 ประการ คือ
        1.การชี้นำ
        2.การเพิ่มความรู้ ความสามารถ ทักษะ และ
        3.การขับเคลื่อนของภาคีเครือข่ายร่วมให้เกิดผลดีและประโยชน์ที่เอื้อต่อกัน มีเป้าหมายคือ 1 อำเภอ 1 วัดส่งเสริมสุขภาพ ครอบคลุมการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ทั่วประเทศ โดยมีวัดส่งเสริมสุขภาพที่ผ่านเกณฑ์ 5 องค์ประกอบดังนี้
        สะอาดร่มรื่น สงบร่มเย็น สุขภาพร่วมสร้าง ศิลปะร่วมจิต และชาวประชาร่วมพัฒนา
        จำนวน 3,044 วัด กระจายอยู่ทุกอำเภอ แบ่งเป็นวัดส่งเสริมสุขภาพดีเด่น จำนวน 924 วัด และผ่านเกณฑ์ประเมินขั้นพื้นฐาน จำนวน 2,120 วัด”
อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000023894
15269  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "พรหมเมธี" ย้ำมส.ไม่เคยชี้ "ธัมมชโย" ปาราชิก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 09:30:48 pm

"พรหมเมธี" ย้ำมส.ไม่เคยชี้ "ธัมมชโย" ปาราชิก

โฆษกมหาเถรฯแถลงย้ำประชุมมส.20 ก.พ.ไม่มีลงมติชี้ธัมมชโยปาราชิก แค่รับทราบรายงานผู้แทนสำนักพุทธฯไปชี้แจงกับคณะกรรมการปฏิรูปฯพระพุทธศาสนาเท่านั้น ชี้เจ้าคณะผู้ปกครองได้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้ว หากรื้อฟื้นใหม่ผิดพระธรรมวินัย ในขณะที่องค์กรสงฆ์รุ่นใหม่ขู่เคลื่อนไหวปกป้องมส.

วันนี้(27 ก.พ.)ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)ครั้งที่ 6/2557 โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน โดยพระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมส.กล่าวภายหลังการประชุมว่าการประชุมมส.ครั้งที่ 6/2558 ได้รับรองมติการประชุมมส.ครั้งที่ 5/2558เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยมติครั้งที่ 5มีรายละเอียดดังนี้มส.ได้รับทราบรายงานที่นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)ในฐานะเลขาธิการมส.แจ้งต่อที่ประชุมว่าเมื่อวันที่17 ก.พ.58  นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.)ได้มีหนังสือเชิญผอ.พศ.หรือผู้แทนพศ.เข้าร่วมประชุมชี้แจงและแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังต่อไปนี้
    1.กรณีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิกและความคืบหน้าในการดำเนินการตามพระลิขิต และ
    2.ความคืบหน้าการจัดทำและการเสนอร่างพ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา


 :96: :96: :96: :96:

พระพรหมเมธี กล่าวต่อไปว่า  ผู้แทนพศ.ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีสาระสำคัญตามเอกสารที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้ กรมการศาสนาได้นำพระลิขิตเสนอที่ประชุมมส.ครั้งที่15/2542 เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2542 และในการประชุมมส.ครั้งที่ 16/2542 เมื่อวันที่ 10พ.ค.2542 ที่ประชุมมส.มีมติสนองพระดำริให้ชอบด้วยกฏหมายพระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ต่อมาในการประชุมครั้งที่17/2542 เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2542 ที่ประชุมมส.ได้รับทราบตามรายงานของอธิบดีกรมการศาสนาที่ว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ยืนยันตามหนังสือของวัดลงวันที่ 9 พ.ค.2542 แสดงเจตนาที่จะมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่วัดพระธรรมกาย และรายงานต่อที่ประชุมมส.เพิ่มเติมว่าต่อมานายมาณพ พลไพรินทร์และนายสมพร เทพสิทธา ต่างได้มีหนังสือลงวันที่ 3 ต.ค. 2543 และลงวันที่5ต.ค.2543 ตามลำดับเป็นโจทย์ฟ้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่าล่วงละเมิดพระธรรมวินัยด้วยการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ลักทรัพย์ ฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชน

 :41: :41: :41: :41:

โฆษกมส.กล่าวอีกว่า การพิจารณาดำเนินการด้านพระธรรมวินัยในชั้นนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในฐานะผู้พิจารณาตามกฎมส.ฉบับที่ 11(พ.ศ.2521)ว่าด้วยการลงนิคหกรรม แต่เนื่องจากในขณะนั้นได้มีการแจ้งความในฝ่ายอาณาจักรให้ดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย การดำเนินการตามพระธรรมวินัยจึงต้องรอไว้ก่อนตามข้อ 15(1)แห่งกฎมส.ฉบับที่ 11 อย่างไรก็ตามคณะสงฆ์ได้มีคำสั่งพักเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจาการปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่8 ธ.ค.2542 ต่อมานายมาณพได้มีหนังสือวันที่ 15 พ.ค. 2549 ถอนฟ้องวัดพระธรรมกายในทุกกรณี

เมื่อศาลอาญาได้มีคำสั่งในวันที่ 22ส.ค.2549 พนักงานอัยการถอนฟ้องวัดพระธรรมกาย และจำหน่ายคดีออกจากระบบโดยอ้างเหตุว่าได้มีการมอบที่ดินทั้งหมดให้วัดแล้ว เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในฐานะผู้พิจารณาได้ตรวจลักษณะของผู้กล่าวหาที่เหลือคือ นายสมพร เทพสิทธา และเห็นว่ามีความบกพร่องจึงมีคำสั่งไม่รับคำกล่าวหาของผู้กล่าวหา ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2549 จากนั้นเจ้าคณะตำบลคลองสี่ได้มีคำสั่งให้ พระราชภาวนาวิสุทธิ์กลับมาดำรงตำแหน่งดังเดิมตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.2549 จึงเสนอที่ประชุมเพื่อโปรดทราบ


 :91: :91: :91: :91:

อย่างไรก็ตามหลังจากมีการแถลงมติ มส.เสร็จ  ผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้ซักถามพระพรหมเมธีในหลากหลายประเด็นโดยผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแล้วมส.วันนี้มีมติอะไรบ้าง พระพรหมเมธี กล่าวว่าได้มีการรับรองมติการตั้งคณะทำงานรวบรวมข้อมูลและศึกษาสถานการณ์ทางพระพุทธศาสนา และรับรองรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 20ก.พ.58เท่านั้น ส่วนกรณีเกี่ยวกับพระธัมมชโยไม่ได้มีการพูดถึงในการประชุมมส.ครั้งนี้ เพราะ มส.จะพิจารณาเฉพาะเรื่องงานของมส.

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างสงฆ์อยากจะฝากประชาชนอย่างไร พระพรหมเมธี กล่าวว่า มุมมองของสังคมไทยเราคนหนึ่งอาจมองเป็นอย่างหนึ่งอีกคนหนึ่งอาจมองเป็นอย่างหนึ่งก็ต้องใช้วิจารณญาณดูว่าอะไรที่ถูกที่ควรเนื่องจากเรื่องศรัทธาของประชาชนที่มีความศรัทธาต่อพระสงฆ์นั้นแตกต่างกันไป เราคิดว่าใครเป็นลูกศิษย์ใครก็คิดว่าอาจารย์ของตัวเองนั้นทำดีและทำถูก อย่างไรก็ตามเราก็ต้องเอาองค์กรใหญ่คือมส.ได้ทำในสิ่งที่ถูกเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาทำให้พระพุทธศาสนานี้มั่นคงแข็งแรงโดยอาศัยพื้นฐานความศรัทธาของประชาชนอย่าให้กระทบต่อศรัทธาของประชาชน

 :03: :03: :03: :03:

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าจะมีการเชิญพระพุทธะอิสระมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า เรามีเจ้าคณะปกครองตามลำดับเมื่อพระพุทธะอิสระขึ้นอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมที่จะดำเนินการและรายงานเรื่องนี้มาเป็นลำดับเช่น จากเจ้าคณะจังหวัด  มาเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กว่าจะมาถึงที่ประชุมมส.เป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่การพิจารณาของเจ้าคณะผู้ปกครองดังที่กล่าวมานี้ ในทางตรงกันข้ามเจ้าคณะผู้ปกครองที่ดูแลวัดพระธรรมกายก็ได้ทำหน้าที่นี้เช่นกันส่วนกรณีพระพุทธะอิสระแจ้งความโฆษก มส.โฆษกพศ.และพระพรหมโมลีว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่นั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดคุยกันและยังไม่เคยพบกับพระพุทธะอิสระเพราะว่าเขาอาจจะเห็นต่างไปเราไปบังคับเขาไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเรื่องเดียวแต่มีการมองคนละแบบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการรื้อฟื้นมติมส.เดิมหรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า ในระเบียบเตือนในพระวินัยของพระสงฆ์ถ้าเรื่องใดที่เจ้าคณะตามลำดับพิจารณาแล้วและมีมติไปแล้วจะไปพิจารณาใหม่ทางพระวินัยกำหนดไว้เลยว่าอธิกรณ์ที่ได้พิจารณาแล้วไปรื้อฟื้นองค์คณะที่ไปรื้อฟื้นนั้นจะเป็นอาบัติ ดังนั้นเราต้องรับทราบตามรายงานส่วนจะไปแก้ไขอย่างไรต้องไปแก้ที่ต้นทางหมายถึงองค์คณะจังหวัดที่ปทุมธานี เช่น มีการตั้งเรื่องฟ้องใหม่หากไม่มีการฟ้องใหม่ก็ต้องยึดตามมติเดิม


 ans1 ans1 ans1 ans1

“อาตมาภาพอยากทำความเข้าใจกับผู้สื่อข่าวว่าอาตมาภาพก็มีหน้าที่แถลงเรื่องมส.ส่วนเรื่องวัดพระธรรมกายก็ต้องไปถามเจ้าคณะผู้ปกครองรวมถึงเรื่องพระลิขิตด้วยเมื่อองค์คณะสงฆ์ได้พิจารณายุติไปแล้วก็ต้องยึดตามนั้นส่วนจะมีการรื้อฟื้นเรื่องใหม่ก็ต้องว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง การร้องพระภิกษุก็ต้องมีโจทก์เป็นผู้ร้องหากมีการฟ้องเรื่องใหม่มาศาลท่านก็จะเป็นผู้พิจารณาเองส่วนเรื่องเก่าที่ตัดสินกันแล้วก็ต้องแล้วไปและอยู่ที่ว่าจะฟ้องในประเด็นไหน”พระพรหมเมธี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีพระพุทธะอิสระที่มีการเรียกร้องในขณะนี้ถือว่าเป็นโจทก์ได้หรือไม่ พระพรหมเมธี กล่าวว่า ยังไม่เห็นเป็นลายลักษณ์อักษรต้องร้องไปที่เจ้าคณะผู้ปกครองตามกฎนิคหกรรม เรามีทางเข้าทางออกเป็นไปตามลำดับ ดังนั้นสถานะของพระธัมมชโยก็ยังคงตามมติของ มส.เมื่อปี 2549

 ask1 ask1 ask1 ask1

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าแสดงว่า พระธัมมชโย ยังไม่ปาราชิกใช่หรือไม่ พระพรหมเมธีกล่าวว่า ไม่ทราบ และที่ประชุมมส.ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าสำหรับแนวทางปฏิรูปซึ่งจะมีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของกรรมการมส.ด้วยเห็นว่าอย่างไร โฆษก มส.กล่าวว่า แล้วจะตรวจสอบเรื่องอะไรคือถ้าตรวจสอบของมส.และพระสงฆ์ทั่วไปก็เหมือนการตรวจสอบศรัทธาของประชาชน พระองค์นี้ก็มีลูกศิษย์มากพระองค์นี้มีลูกศิษย์น้อยอย่างหลวงพ่อบวชมาตั้งแต่อายุ12ปีจนมาถึงปัจจุบัน50กว่าปีก็มีลูกศิษย์มากมายลูกศิษย์เขาก็มีศรัทธาแต่ถ้าเราไปตรวจสอบทรัพย์สินของวัดสามารถตรวจสอบได้ แต่ตรวจสอบ มส.จะตรวจสอบเรื่องอะไร ส่วนจะเป็นการก้าวล่วงหรือไม่นั้น สังคมคิดว่าถ้าชาวบ้านมากล่าวล่วงกับพระสงฆ์อย่างหลวงพ่อที่มีลูกศิษย์ลูกหาที่เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ยกตัวอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีเขาก็อาจจะเดือดร้อนว่ามารุกรานครูบาอาจารย์ของเขานี่เป็นเรื่องที่ยากที่จะมีการตรวจสอบ

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ส่วนเรื่องการปฏิรูปคณะสงฆ์ในส่วนของคณะสงฆ์มีความคิดเห็นอย่างไร พระพรหมเมธี กล่าวว่าคณะสงฆ์จะพิจารณาแต่เรื่องของศาสนจักร ส่วนบ้านเมืองก็เป็นเรื่องของอาณาจักรคือราชการบ้านเมืองเขาต้องทำอะไรที่นำไปสู่ความสงบเรียบร้อยทำไปทุกอย่างเพราะคิดว่าดีแล้วอาจจะมีใครหรือพระสงฆ์องค์ไหนที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไปแต่ขอย้ำว่า ในที่ประชุมมส.ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวถามว่าบางความคิดเห็นเสนอให้ยุบกรรมการมส. พระพรหมเมธี กล่าวว่า คณะกรรมการ มส.ตั้งโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 ดังนั้นจะต้องไปรื้อฟื้น พ.ร.บ.คณะสงฆ์2505เท่านั้น 

 st12 st12 st12 st12

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.)วิทยาเขตอุบลราชธานี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ให้มีการดำเนินการกับคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาและพุทธะอิสระ ความว่าด้วยคณะนิสิตมจร.วิทยาเขตอุบลราชธานีได้ติดตามข่าวการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปฯพระพุทธศาสนาซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)มีบุคคลที่เคยเป็นแกนนำกปปส.ในการล้มล้างรัฐบาลที่ผ่านมาเข้ามาจัดระเบียบคณะสงฆ์โดยที่มีการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตลอดว่าจะดำเนินการตั้งองค์กรมากำกับดูแลมส.ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวไม่ได้แสดงออกถึงความเคารพและจริงใจในการที่จะปกป้องพระพุทธศาสนาและยังมีการคุกคามมส.โดยการนำคนไปบุกถึงวัดประธานมส.ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

ทางคณะจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ดำเนินการกับคณะกรรมการปฏิรูปฯพระพุทธศาสนาชุดนี้และพุทธะอิสระดังนี้
    1.ให้ยุบคณะกรรมการปฏิรูปฯพระพุทธศาสนาชุดนี้ภายใน 15 วัน
    2.ให้มีการดำเนินดคีกับพุทธะอิสระในข้อหาขัดขืนกฎอัยการศึก
    3.ให้หยุดคุกคามมส.และพระพุทธศาสนา

    ทางคณะ นิสิตมจร.วิทยาเขตอุบลราชธานีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศไทยจะมีการดำเนินการตามที่คณะได้เรียกร้องเพื่อเป็นการสืบทอดไว้ซึ่งสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นที่พึ่งทางจิตใจของคนไทยมาช้านาน
    ขอเจริญพร

 st11 st11 st11 st11

ในวันเดียวกันองค์กรสงฆ์รุ่นใหม่ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ให้ยุติการคุกคามพระพุทธศาสนาและมหาเถรสมาคมความตอนหนึ่งว่า ตามที่ได้ออกแถลงการณ์ถึงคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาซึ่งออกคำสั่งโดยสปช.ให้ยุติการข่มขู่คุกคามล่วงละเมิดต่อพระพุทธศาสนาและมส.อันอาจนำมาซึ่งความแตกแยก และไม่เป็นไปเพื่อความปรองดองของชาวพุทธทั้งปวงแต่คณะกรรมการชุดดังกล่าวกลับแสดงท่าทีอันเป็นปฏิปักษ์ต่อมส.อย่างชัดเจน

มิได้ให้เกียรติต่อองค์กรปกครองสูงสุดซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความสามัคคีของสังฆมณฑลซ้ำยังแสดงการปรามาส ข่มขู่คุกคาม แม้จะมีแถลงการณ์เตือนสติให้พึงสังวรเยี่ยงวิญญูชนกลับประพฤติเป็นพาลชนสัญจรในโมหคติแสดงการอาฆาตมาดร้ายมิได้ยำเกรงต่อพระมหาเถระในหมู่สงฆ์ละเลยแนวทางแห่งบัณฑิตชนพึงปฏิบัติต่อพระสงฆ์ในพระศาสนา

คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ร่วมกันสร้างบาดแผลร้าวลึกลงในอาณาจักร บัดนี้กำลังก้าวล่วงเข้ามาสร้างบาดแผลและความแตกแยกร้าวลึกในศาสนจักรอันจะก่อผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพระพุทธศาสนาเลี่ยงที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้นดังนั้น องค์กรสงฆ์รุ่นใหม่ทุกภาคส่วน พร้อมเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสังฆมณฑลคุ้มครองพระพุทธศาสนารักษามส.คัดค้านการดำเนินการใดๆของคณะกรรมการปฏิรูปฯพระพุทธศาสนาซึ่งมีนายไพบูลย์ นิติตะวันเป็นประธานมิให้ก้าวล่วงเข้ามาสร้างความร้าวฉานแก่สังฆมณฑลอย่างถึงที่สุด 


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/education/304202/_พรหมเมธี_ย้ำมส.ไม่เคยชี้+_ธัมมชโย_+ปาราชิก
15270  กรรมฐาน มัชฌิมา / บันทึกความทรงจำ Memorytime / สิ้น"พ่อท่านพุ่ม"เกจิดังสายใต้อายุ113 ปี เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 09:25:51 pm


สิ้น"พ่อท่านพุ่ม"เกจิดังสายใต้อายุ113 ปี

หลวงพ่อพุ่ม กตบุญโญ หรือ "พ่อท่านพุ่ม" เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ศรีพุทธสถิต อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช และพระเกจิชื่อดังสายภาคใต้ ได้ละสังขารลงแล้วอย่างสงบด้วยโรคชรา สิริอายุรวม 113 ปี

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงพ่อพุ่ม กตบุญโญ หรือ พ่อท่านพุ่ม กตบุญโญ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ศรีพุทธสถิต (วัดบนเขา) หมู่ 2 ต.ท่ายาง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช และเป็นพระเกจิชื่อดังสายภาคใต้ ได้ละสังขารลงแล้วอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อเวลา 09.13 น. ที่ผ่านมา สิริอายุรวม 113 ปี ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อช่วงเช้าวันนี้ลูกศิษย์วัดพบว่า หลวงพ่อพุ่ม นอนหลับหมดสติอยู่ในกุฏิ จึงรีบนำตัวส่ง รพ.ทุ่งสง แต่ก็ไม่ทันการณ์ สำหรับ หลวงพ่อพุ่ม เป็นพระสุปฏิปันโน มีจริยะวัตรน่าเลื่อมใสกราบไหว้ และเป็นที่เคารพนับถือของชาว อ.ทุ่งใหญ่ รวมถึงประชาชนทั่วไป หลวงพ่อพุ่ม เป็นพระเกจิชื่อดังรุ่นๆเดียวกับ พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ เกจิดังแดนใต้ สหายของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ที่เพิ่งละสังขารไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2557 ด้วยสิริอายุรวม 108 ปี

ทั้งนี้ หลวงพ่อพุ่ม มีชื่อเสียงในด้านการปลุกเสกจตุคารามเทพ และวัตถุมงคลต่างๆในด้านเมตตา จนเป็นที่เลื่องลือของลูกศิษย์ลูกหามานาน อย่างไรก็ตามเหล่าลูกศิษย์ได้นำสังขารของ หลวงพ่อพุ่ม กลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัดเจดีย์ศรีพุทธสถิต และมีพิธีสรงน้ำศพ ไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/304212/สิ้น_พ่อท่านพุ่ม_เกจิดังสายใต้อายุ113+ปี
15271  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มหาเถรสมาคม ยันมติ 'ธัมมชโย' พ้นอาบัติปาราชิก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 09:21:43 pm


มหาเถรสมาคม ยันมติ 'ธัมมชโย' พ้นอาบัติปาราชิก

ที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีมติยืนยัน ไม่สามารถนำเรื่องอาบัติปาราชิกของ พระธัมมชโย กลับมาพิจารณาใหม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ดำเนินการถึงที่สิ้นสุดแล้วตั้งแต่ในอดีต

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมเสร็จสิ้น พระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศ์ โฆษกมหาเถรสมาคม แถลงผลการประชุมอย่างเป็นทางการของที่ประชุม มส. โดยระบุว่า มส. ได้รับทราบ และรับรอง รายงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรณี พระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กรณีนี้ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก

โดยรายงานฉบับดังกล่าว ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2542 ถือว่าดำเนินการจนได้ข้อยุติ โดยอยู่ในชั้นความรับผิดชอบของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในขณะนั้น คือ พระธัมมชโย ไม่อาบัติปาราชิก เพราะไม่มีเจตนาครอบครองทรัพย์ไว้กับตนเอง และได้โอนที่ดินกว่า 900 ล้านบาท ให้เป็นของวัดพระธรรมกายไปแล้ว


 :25: :25: :25: :25:

พระพรหมเมธี กล่าวยืนยันว่าเรื่องของ พระธัมมชโย ที่ถือว่ายุติลงแล้ว ตั้งแต่ปี 2542 ที่ประชุม มส.ไม่สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้ เพราะจะทำให้ มส. เป็นอาบัติปาราชิก ทั้งคณะ ตามข้อกำหนดของพระธรรมวินัย

แต่ถ้าหลังจากนี้ หากมีโจทก์ยื่นฟ้อง การกระทำความผิดด้านอื่นๆ ของ พระธัมมชโย ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ โดยกระบวนการก็มีการพิจารณาตามลำดับชั้นของสงฆ์ ก่อนที่จะมีการลงมติรับรองจากมหาเถรสมาคมต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/483968
15272  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๑) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 12:51:50 pm



ตำนานฤาษีปัญจะโภคทรัพย์ 5 องค์

ในสมัยอดีตกาล พระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ เมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนไป พระองค์จึงทรงผนวชเป็นฤาษีพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เมื่อผนวชแล้วมีพระนามว่า พระราชฤาษีจักรพรรดิ ทัลหเนมิ พระราชฤาษีจักรพรรดิเคยฟังธรรมของ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อผนวชเป็นราชฤาษีแล้ว ทรงสำเร็จอานาคามิมรรค อานาคามิผลเมื่อสิ้นชีพแล้ว อุบัติอยู่ในสุธาวาสพรหมโลก

พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ อำมาตย์ และมหาอำมาตย์ ทรงถือเพศเป็นฤาษี ขณะพระราชา ประพฤติจักกวัตติวัตร และคณะอำมาตย์ ประพฤติธรรมเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน และประโยชน์ในภายหน้าพระราชา และคณะอำมาตย์ทั้ง ๔ ประพฤติธรรมได้ ๓ วัน สรีระที่เคยทรวดทรงดี ก็กลับกลายเป็น สรีระที่อ้วนพี สมลักษณะเจ้าแห่งโภคทรัพย์


ยันต์ฤาษีโภคทรัพย์

พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ เป็นพระฤาษี นามว่า พระฤาษีธรรมราชาบดี อำมาตย์ทั้ง ๔ แปลงเพศเป็นฤาษี มีนามดังนี้ อำมาตย์คลังทอง มีนามว่า พระฤาษีคลังทอง อำมาตย์คลังแก้วแหวน แปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีคลังแก้วแหวน (พระฤาษีโภคทรัพย์) อำมาตย์คลังธัญญาหาร แปลงเพศเป็นฤาษี นามว่า พระฤาษีธัญญาหาร(พระฤาษีโภสพ) อำมาตย์คลังสินค้า แปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีคฤหบดีฤาษี

ทั้ง ๕ ตนได้ฟังธรรมจาก พระราชฤาษีจักรพรรดิทัลหเนมิ  พระฤาษีทั้ง ๕ เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ผู้คนทั้งหลายไปฟังธรรมจากพระฤาษีทั้ง ๕ ตนนี้ทุกวัน ๑๕ ค่ำในจักกวัตติวัตรธรรม ธรรมที่เป็นประโยชน์ในปัจจจุบัน ธรรมที่เป็นประโยชน์ในภายหน้า ธรรมที่ทำให้ทรัพย์ไหลเข้าธรรมที่ ทำให้ทรัพย์ไหลออก เหตุแห่งความเสื่อม เหตุแห่งความเจริญ บุคคลทั้งหลายได้ฟังธรรมจากพระฤาษีทั้ง ๕ ตนแล้ว ย่อมมี แต่ความเจริญ ในกาลภายหลังพระฤาษีทั้ง ๕ ตน ได้สำเร็จอานาคามิมรรค อานาคามิผล

_______________________________________________________________________
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://somdechsuk.com/content-detail.php?id=46#.VO_3Zizlky0



 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

ตอนแรกมีภาพให้ชมเท่านี้ครับ โปรดติดตามตอนที่สอง

 :25: thk56 :25: thk56
15273  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๑) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 12:46:37 pm






15274  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๑) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 12:40:15 pm






15275  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๑) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 12:35:22 pm






15276  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๑) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 12:29:17 pm






15277  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / [ชมภาพ] งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" ณ โรงหล่อพระช่างผา ไทรน้อย นนทบุรี (๑) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 12:23:34 pm








งานหล่อ "ปู่ฤาษีปัญจะโภคทรัพย์" เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ณ โรงหล่อพระช่างผา อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
15278  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคลียร์แล้วปัญหาโลกแตก 'ไก่' เกิดก่อน 'ไข่' เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 09:17:08 am



เคลียร์แล้วปัญหาโลกแตก 'ไก่' เกิดก่อน 'ไข่'

"อ.เจษฎา" จากจุฬาฯ คลี่คลายข้อกังขาปัญหาโลกแตก “ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน” ยืนยันชัด "ไก่" เกิดก่อนแน่นอน เหตุเปลือกไข่สร้างโดยโปรตีนจากไก่เท่านั้น

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษชุดหนึ่งในโลกออนไลน์ เพื่อไขคำตอบให้กับปัญหาโลกแตก “ไก่ หรือ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?” ซึ่งระบุว่า “Scientists finally concluded that the chicken came first , not the egg, because the protein which makes egg shells is only produced by hens.” แปลเป็นภาษาไทยก็คือ “นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปปัญหาโลกแตกดังกล่าวแล้วว่า โปรตีนที่สร้างเปลือกไข่นั้น มีไก่เท่านั้นที่ผลิตออกมาได้” สรุปก็คือ ต้องมี “ไก่” ถึงจะสามารถมี “ไข่”


เกี่ยวกับเรื่องนี้ อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขยายความกับ “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่ง “ไก่” สามารถสร้างโปรตีนชื่อว่า “ovocledidin-17” (OC-17) เพื่อผลิตเป็นเปลือกไข่แข็งๆ ห่อหุ้มไข่แดงและไข่ขาวไว้ โดยโปรตีนดังกล่าวทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น และตกผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตในทุกๆ 24 ชม. จะได้ 6 กรัม อีกทั้งยังพบว่าโปรตีนดังกล่าวยังถูกผลิตโดยเฉพาะในไก่เพียงเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ มีข้อมูลจากทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย Sheffield และ Warwick ค้นพบว่า โปรตีนที่ชื่อ ovocledidin-17 หรือตัวย่อ OC-17 เป็นสิ่งจำเป็นในการเริ่มต้นและเร่งขบวนการตกผลึกของเปลือกไข่ให้แข็ง เพื่อใช้เป็นบ้านของลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่จะค่อยๆ พัฒนาการจากไข่แดงและไข่ขาว อีกทั้งโปรตีน OC-17 ก็พบเฉพาะในรังไข่ของไก่เท่านั้น ซึ่งการค้นพบนี้ จึงสรุปว่าไก่เกิดก่อน เพราะต้องมีแม่ไก่ที่มีสาร OC-17 ในรังไข่ก่อน แม่ไก่ถึงจะออกไข่ได้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/regional/303802/เคลียร์แล้วปัญหาโลกแตก+_ไก่_เกิดก่อน_ไข่_
15279  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสงฆ์ขู่ปลุกม็อบ หากมีผู้ก้าวล่วง มหาเถรสมาคม(มส.) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 09:12:17 am


พระสงฆ์ขู่ปลุกม็อบ หากมีผู้ก้าวล่วง มส.

พระฮึ่มขู่ปลุกม็อบต้านรัฐบาล ปล่อยก้าวล่วงมส.จี้นายกรัฐมนตรี แจงเหตุยกเลิกคณะกรรมการปฏิรูปแนวทาง พร้อมหามาตรการปกป้องกิจการพระพุทธศาสนา เร่งสอบคลิปหลุด "พุทธ อิสระ "

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) กล่าวว่า ขณะนี้องค์กรพุทธ และสนพ.ได้ประชุมหารือ ถึงท่าทีของฝ่ายบ้านเมือง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่ผ่านมา รวมทั้งงานที่จะเดินต่อไปข้างหน้า โดยเฉพาะการติดตามที่สนพ.ที่ไปยื่นเรื่องถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ถึงการยกเลิกคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาภายใน 15 วัน

ซึ่งหากไม่ดำเนินการใดและปล่อยให้ก้าวล่วงคณะสงฆ์ ก็จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เนื่องจาก สนพ.เห็นว่า รัฐบาลกับประธานสปช. สามารถคุยกันได้ ทำไมถึงไม่ปรึกษากัน เมื่อตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวมาแล้วเกิดปัญหา ไม่ได้รับการยอมรับ ก็ควรแก้ปัญหา หรือควรยกเลิกเสีย


 :96: :96: :96: :96:

“ขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลเป็นการพูดผ่านสื่อ แต่ไม่ตั้งผู้ประสานงานกับคณะสงฆ์ ซึ่งควรทำเช่นนั้น โดยเฉพาะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็สามารถที่จะมากราบหารือกับ มส.ได้ เช่น กระทรวงกลาโหม มีผู้ประสานกับรัฐบาล เป็นต้น ซึ่งทางคณะสงฆ์ขอเน้นย้ำว่า ไม่ได้ปฏิเสธการปฏิรูป เนื่องจากที่ผ่านมาคณะสงฆ์ได้เคยเสนอปรับแก้พ.ร.บ.คณะสงฆ์ หรือระบบการปกครองคณะสงฆ์หลายครั้ง แต่ก็ติดปัญหาทุกครั้ง

โดยตนยืนยันว่า การดำเนินการควรอยู่ในกรอบที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน จะยื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสอบมส. รวมทั้งตรวจทรัพย์สินของมส. ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีใคร หรือหน่วยงานไหน เข้าตรวจสอบ ไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะทำ ทั้งนี้ปัญหาของคณะสงฆ์ หรือปัญหาบ้านเมืองก็ตาม อยากให้กล่าวถึงองค์รวมว่า พระสงฆ์โดยภาพรวมมีปัญหาอย่างไร รัฐบาลจะช่วยเหลือเกื้อกูลคณะสงฆ์ได้อย่างไร จะช่วยกันทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา สถาบันสงฆ์มีประสิทธิภาพได้อย่างไรมากขึ้น ไม่ใช่การมาจับผิดกันเช่นนี้” ที่ปรึกษาสนพ. กล่าว


 :25: :25: :25: :25:

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อยากให้สังคมเข้าใจระบบการปกครองคณะสงฆ์ ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 ในหมวดที่ 3 การปกครองคณะสงฆ์ มาตรา 20 คณะสงฆ์อยู่ภายใต้การปกครองของ มส. ที่เปรียบเหมือนคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่เห็นชอบนโยบาย และออกนโยบายด้านการบริหาร ตรากฎระเบียบต่างๆ รับฟังปัญหาของคณะสงฆ์ที่อยู่ในพื้นที่ พร้อมทั้งกระจายอำนาจไปยังส่วนภูมิภาค

โดยมี เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะหน ทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องหรือปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่อีกครั้ง เหมือนกับกระทรวงต่างๆที่กระจายอำนาจไปในแต่ละจังหวัด เพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ พร้อมทั้งรายงานมายังส่วนกลางให้มส.ได้รับทราบ จึงอยากให้สังคม โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนได้เข้าใจในระบบการปกครองคณะสงฆ์อย่างถูกต้องอีกด้วย


 st12 st12 st12 st12

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายพระสงฆ์เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่อง หยุดทำลายพระพุทธศาสนา ความตอนหนึ่งว่า ด้วยคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนาที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรมนั้น แต่ในทางปฏิบัติ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานกรรมการฯกลับมีพฤติกรรมข่มขู่ คุกคามต่อกรรมการมส. ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดที่ทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505

โดยนายไพบูลย์ ให้สัมภาษณ์กรณีวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ว่าจะตรวจสอบการทำหน้าที่ของมส.ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ทั้งยังได้สัมภาษณ์ ว่ามติมส.ในเรื่องนี้ผิดพระธรรมวินัยและข้อกฎหมาย ซึ่งหมายความว่า นายไพบูลย์ ยกตนขึ้นว่าเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยสูงกว่ามส.ใช่หรือไม่ และยังขมขู่ คุกคามว่าจะเข้าไปตรวจสอบและเอาผิดทางพระธรรมวินัยและกฎหมาย

จากพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้พระสงฆ์จำนวนมากเกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อพฤติกรรมของนายไพบูลย์ ว่ามีวาระซ้อนเร้นที่จะทำลายพระพุทธศาสนา โดยเริ่มจากการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยใช่หรือไม่ โดยเห็นได้ชัดเจนมากจากการให้สัมภาษณ์ โดยปราศจากข้อเท็จจริงและความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย ดังนั้น เครือข่ายพระสงฆ์เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงเรียกร้องให้นายไพบูลย์ หยุดพฤติกรรมข่มขู่คุกคามมส. ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน .


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/politics/304006/พระสงฆ์ขู่ปลุกม็อบหากมีผู้ก้าวล่วงมส.
15280  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / 'พระ-เณร' ปราจีนบุรี 250 รูปเดินธุดงค์ 91 กม. วันมาฆะบูชา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 08:35:04 am


'พระ-เณร' ปราจีนบุรี 250 รูปเดินธุดงค์ 91 กม. วันมาฆะบูชา

พระภิกษุ์-สามเณรปราจีนบุรี 250 รูป เดินธุดงค์ระยะทาง 91กิโลเมตร เทศกาลมาฆบูชา

วันที่ 26 ก.พ.2558 ที่วัดบางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี  พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี เป็นประธานนำพระภิกษุ สามเณร รวม  250 รูป เดินธุดงค์วันแรก ในเทศกาลมาฆปูรมีศรีปราจีนครั้งที่ 29 จัดระหว่างวันที่ 25 ก.พ. - 5 มี.ค. นี้ เพื่อร่วมกิจกรรมในวันมาฆบูชา ที่โบราณสถานสระมรกต อ.ศรีมโหสถ  โดยเส้นทางเดินธุดงค์เริ่มที่  อ. บ้านสร้าง , อ.เมือง  , อ.ศรีมหาโพธิ  สู่โบราณสถานวัดสระมรกต อ.ศรีมโหสถ รวมระยะทางทั้งสิ้น 91 กิโลเมตร ที่ตลอดเส้นทาง ให้พุทธศาสนิกชนอนุโมทนาบุญ ร่วมตักบาตรและถวายภัตตาหารเพล และในวันมาฆบูชา ร่วมฟังเทศน์โอวาทปาฏิโมกข์ เวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150226/202094.html
หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 708