
อานิสงส์แห่งการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน
๑.อานิสงส์ทั่วไป
การปฏิบัติกรรมฐานเป็นการเตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายแก่การปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดี รู้จักวิธีทำใจให้สงบ และผ่อนคลายความทุกข์ ผู้ปฏิบัติอยู่เป็นประจำย่อมจะมีความมั่นคงทางอารมณ์และมีภูมิคุ้มกันโรคทางจิต
อานิสงส์ในชีวิตประจำวันโดยสรุป ดังนี้ {พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย พิมพ์ครั้งที่ ๓๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), สรุปความจากหน้า ๗๘๘-๗๘๙.}
(๑) ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย หายเคลียด เกิดความสงบ หายกระวนกระวาย หยุดยั้งจากความกลัดกลุ้มวิตกกังวล เป็นเครื่องพักผ่อนกาย ให้ใจสงบและมีความสุข
(๒) เป็นเครื่องประสิทธิภาพในการทำงาน การเล่าเรียน และการทำกิจทุกอย่าง เพราะจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่กระทำ ย่อมทำให้คิดรอบคอบและทำงานได้ผลดี
(๓) ช่วยเสริมสุขภาพกายและใช้แก้ไขโรคได้ เพราะร่างกายและจิตใจอาศัยกันและมีอิทธิพลต่อกัน ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์(จิตเป็นสมาธิ) แม้ยามกายเจ็บป่วยก็ไม่สบายอยู่แค่กายเท่านั้น จิตใจไม่พลอยป่วยไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น กลับใช้ใจที่เข้มแข็งสมบูรณ์นั้นไปผ่อนเบาโรคทางกายได้อีกด้วย
๒. อานิสงส์เฉพาะ
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงหลักการและวิธีการปฏิบัติกรรมฐานไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร แล้วทรงแสดงอานิสงส์แห่งการปฏิบัติกรรมฐานนี้ โดยทรงแสดงไว้ ๒ ประเด็น คือ {ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๓๘-๓๔๐.}
(๑) ระยะเวลาปฏิบัติ
(๒) ผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติ
ประเด็นที่ ๑. เกี่ยวกับระยะเวลาปฏิบัตินั้น ทรงแสดงไว้ ๓ ช่วงหลัก คือ
(๑) ปี โดยแบ่งเป็นช่วงเวลานานสุดคือ ๗ ปี ถึงช่วยเวลาเร็วสุดคือ ๑ ปี
(๒) เดือน โดยแบ่งเป็นช่วงเวลานานสุดคือ ๗ เดือน ถึงช่วงเวลาเร็วสุดคือ ๑ เดือนครึ่ง
(๓) วัน โดยกำหนดช่วงระยะเวลาเร็วสุด คือ ๗ วัน
ประเด็นที่ ๒. เกี่ยวกับผลที่จะได้รับ ผู้ปฏิบัติกรรมฐานนี้ตามช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งดังกล่าวมานั้น ย่อมจะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่าง คือ
(๑) บรรลุอรหัตตผล-เป็นพระอรหันต์ในปัจจุบัน หรือ
(๒) เป็นพระอนาคามี
ถามว่า “เพราะเหตุไร การปฏิบัติที่ใช้เวลาแตกต่างกันจึงได้รับผลเท่ากัน.?
ข้อนี้เป็นกฎแห่งกรรมตามหลักพระพุทธศาสานานั่นเอง คนที่ใช้เวลาปฏิบัติ ๗ ปีจึงบรรลุอรหัตตผล ก็เพราะได้ปฏิบัติสั่งสมมาน้อย สะสมต้นทุนไว้น้อย ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องทำเพิ่มเติมมากและใช้เวลามาก เหมือนกับแก้วที่มีน้ำอยู่น้อย ถ้าประสงค์จะให้น้ำเต็มแก้วก็ต้องเทน้ำใส่เพิ่มอีกมาก
ส่วนคนที่ใช้เวลาปฏิบัติเพียง ๗ วันก็บรรลุอรหัตตผล ก็เพราะได้ปฏิบัติสั่งสมไว้มาก สะสมต้นทุนไว้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องทำเพิ่มเติมไม่มากและใช้เวลาน้อย เหมือนกับแก้วที่มีน้ำอยู่มากแล้ว ถ้าประสงค์จะให้เต็มแก้วก็เทน้ำใส่อีกเล็กน้อยก็เต็ม
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ พระพุทธเจ้าทรงยกเอาคำอุทเทส(คำขึ้นต้น) มาแสดงไว้เป็นปฏินิทเทส(คำลงท้าย)ว่า {ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๓/๒๔๘, ๔๐๕/๒๖๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑, ๔๐๕/๓๔๐.}
เอกายโน อยภิกฺขเวมคฺโค สตฺตาน วิสุทฺธิยา โสกปริเทวาน สมติกฺกมาย ทุกฺข
โทมนสฺสานอตฺถงฺคมาย ญายสฺสอธิคมาย นิพฺพานสฺสสจฺฉิกิริยายยทิทจตฺตาโร สติปฏฐานา.
ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะ
และปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔
นัยแห่งพระพุทธพจน์นี้คือ คำว่า “ทางเดียว” มี ๔ นัย คือ
(๑) เป็นทางที่บุคคลผู้ละการเกี่ยวข้องกับหมู่คณะไปประพฤติธรรมอยู่แต่ผู้เดียว
(๒) เป็นทางสายเดียวที่พระพุทธองค์ทรงสร้างหรือคิดค้นขึ้นมา
(๓) เป็นทางปฏิบัติที่มีอยู่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
(๔) เป็นทางไปสู่จุดหมายเดียว คือ พระนิพพาน
เป็นการยืนยันว่า การปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนามี ๒ ระดับ
(๑) ระดับชาวบ้านทั่วไปที่ทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงตัว ก็สามารถนำธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ และย่อมได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองอยู่เป็นสุขได้ตามฐานะ
(๒) ระดับผู้มุ่งไปสู่มรรค ผล นิพพาน ต้องปฏิบัติตามหลัก คำว่า “สติปัฏฐาน” แปลว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ หรือการปฏิบัติมีสติเป็นประธาน การปฏิบัติระดับที่ ๒ นี้เท่านั้น ที่จะทำให้บรรลุมรรค ผล นิพพานได้

ความสรุป
ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกสถาบันล้วนแต่มีกิจกรรมการศึกษาและฝึกฝน เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามาถ วิธีการศึกษาและฝึกฝนมีหลายอย่างแตกต่างกันไป กรรมฐานในพระพุทธศาสนาเป็นวิธีการฝึกฝนจิตใจให้มีสมาธิ และจิตที่มีสมาธิย่อมประกอบด้วยคุณภาพ สุขภาพ และสมรรถภาพ ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลมีประสิทธิภาพสูงทำงานทุกอย่างประสบความสำเร็จ
กรรมฐานในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่างคือ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน มีการปฏิบัติกรรมฐานทั้ง ๒ อย่างในสำนักต่างๆทั่วโลก บางสำนักเน้นสมถกรรมฐาน บางสำนักเน้นวิปัสสนากรรมฐาน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ จิตมีสมาธิ(คุณภาพ สุขภาพ และสมรรถภาพ)
กรรมฐานแบบสติปัฏฐานเป็นวิธีปฏิบัติที่ได้รับความนิยมทั้งในอดีตและปัจจุบัน แม่บทแห่งวิธีปฏิบัติกรรมฐาน คือไตรสิกขาอันประกอบด้วยสีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา ถือเป็นหลักการใหญ่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงการประยุกต์หลักการใหญ่นี้ ไปสู่ภาคปฏิบัติที่ชัดเจนมากในมหาสติปัฏฐานสูตรและในพระสูตรย่อย คือ อานาปานสติสูตร มีการสืบทอดวิธีการนี้จากสมัยพุทธกาล มาจนถึงปัจจุบัน
ในหลายชาติที่นับถือพระพุทธศาสนา เช่น ลังกา พม่า ไทย การประยุกต์สติปัฏฐานเพื่อการปฏิบัติในสานักต่างๆ มีความแตกต่างหลากหลาย บางสำนักเน้นกายานุปัสสนาหมวดอิริยาปถปัพพะ(กำหนดอิริยาบถ) บางสำนักเน้นกำยานุปัสสนา หมวดอานาปานปัพพะ(กำหนดลมหายใจเข้าออก) บางสำนักเน้นเวทนานุปัสสนา(กำหนดเวทนา) บางสำนักเน้นจิตตานุปัสสนา(กำหนดจิต)
วิธีปฏิบัติสติปัฏฐานในประเทศไทยก็มีความแตกต่างหลากหลายเช่นเดียวกัน แต่พอสังเกตได้ว่า ที่นิยมมากก็คือวิธีการแบบกายานุปัสสนาหมวดอิริยาปถปัพพะ(กำหนดอิริยาบถ)เป็นฐาน แล้วหมุนเวียนใช้แบบเวทนาปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา
วิธีปฏิบัติก็คือ กำหนดให้โยคีผู้ปฏิบัติเดิน ยืน นั่งเป็นหลัก และให้มีสติระลึกรู้ชัดตลอดเวลา ส่วนอิริยาบถนอนนั้นให้ปฏิบัติตอนที่จะเข้านอน ขณะที่โยคีเดินยืนนั่งอยู่นั้น ถ้ารู้สึกปวดเมื่อยก็ให้กำหนดรู้ชัด นี่คือเวทนานุปัสสนา ถ้าจิตคิดฟุ้งซ่านก็ให้กำหนดรู้ชัด นี่คือจิตตานุปัสสนา ในขณะเดียวกัน เมื่อจิตนิ่งได้ที่แล้วก็ให้ตรวจสอบกิเลสคือนิวรณ์ ตรวจสอบขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ และอริยสัจ นี่คือธัมมานุปัสสนา
การปฏิบัติที่มีความหลายเหล่านี้ก็เพื่อกำหนดรู้ธรรมชาติของชีวิต คือ ขันธ์ ๕ (นามรูปหรือรูปนาม)ว่า “มีความ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา และเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตามเหตุปัจจัย” เมื่อรู้แจ้งธรรมชาติของชีวิตแล้วก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่นได้
กรรมฐานแบบสติปัฏฐานนี้มีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นที่ประจักษ์ ผู้ผ่านการปฏิบัติต่างยอมรับว่า จิตใจมีคุณภาพ สุขภาพ และสมรรถภาพ จึงเป็นที่นิยมปฏิบัติทั่วโลกในปัจจุบัน เป็นการพิสูจน์พระพุทธพจน์ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัสเพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทาให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔”
ขอขอบคุณ :-
ภาพ : pinterest
ที่มา : หนังสือ กรรมฐานในพระพุทธศาสนา : บทเรียนจากมหาสติปัฏฐานสูตรและความนิยมในสังคมไทย
โดย พระเทพวัชรบัณฑิต, ศ.ดร.อธิการบดี มจร
website :
https://www.mcu.ac.th/article/detail/35391แหล่งข้อมูล
- มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาฯ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์, ปริวาร, พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค,
ทีฆนิกาย มหาวรรค, ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์,
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์, อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต, อังคุตตรนิกาย
จตุกกนิบาต,อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต, อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต,
ขุททกนิกาย ธรรมบท. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
- พระพุทธโฆสเถระ ผู้รจนา. คัมภีร์วิสุทธิมรรค แปลและเรียบเรียงโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร: ธนาเพรส, ๒๕๕๓.
- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย พิมพ์ครั้งที่ ๓๙. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗.
- พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ). หลักปฏิบัติสมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
- พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ) บรรณาธิการ. วิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
- พระภัททันตะ อาสภะ มหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ. วิปัสสนาธุระ.กรุงเทพมหานคร:C100 Design Co., LTD., ๒๕๓๖.