ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บุคคลแรกที่ "พูดได้ เดินได้" ทันทีที่เกิด  (อ่าน 2776 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28409
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 :25: :25: :25:

สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (1)

เมื่อสองสามปีมาแล้ว ศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข เชิญผมไปบรรยายให้แก่นักศึกษาหลักสูตรของรามคำแหงอะไรสักอย่างนี่แหละ เห็นมีดารา นักการเมือง นางงาม มาเรียนกันมากมาย ท่านอาจารย์รังสรรค์บอกว่าให้ผมพูดเรื่อง “สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา”

ผมเรียนท่านว่ามีหลาย “แรก” มาก เล่าไม่หมดในเวลาสองสามชั่วโมง ท่านอาจารย์บอกว่า เล่าให้เป็นตัวอย่างสักเรื่องสองเรื่องก็พอ มีเวลาว่างเมื่อใดขอให้เขียนให้อ่านก็แล้วกัน ผมรับปากท่านว่าได้

จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่ได้โอกาสเหมาะจะเขียนสักที วันนี้น่าจะเป็น “วันแรก” ที่เริ่มเขียนเรื่องนี้ จึงนำลงติดต่อกันไป โปรดตามข้าพเจ้ามา ณ บัดนี้




1. บุคคลแรกที่ พูดได้เดินได้ ทันทีที่เกิด

บอกไว้ก่อนว่า เรื่องอย่างนี้มิใช่เรื่องอัศจรรย์ มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ “ธรรมดา” ที่เกิดขึ้นสำหรับบุคคลพิเศษ บุคคลพิเศษในที่นี้ก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะ

เจ้าชายสิทธัตถะคือใคร ชาวพุทธทุกคนก็ต้องรู้

เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับพระนางสิริมหามายา แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นศากยะ ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย ปัจจุบันนี้อยู่ในประเทศเนปาล

ก่อนประสูติเล็กน้อย พระนางสิริมหามายาเสด็จนิวัตยังพระนครเทวทหะ บ้านเกิดเมืองนอนของท่านเพื่อไปคลอดลูก (แหม พอได้พูดคำธรรมดา ไม่ใช้ราชาศัพท์ เขียนคล่องเลยครับ)

ขบวนเสด็จไปถึงพระราชอุทยานชื่อลุมพินีวันซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ พระนางก็เจ็บพระครรภ์จึงเสด็จไปพักผ่อนในพระราชอุทยาน แล้วก็ทรงมีพระประสูติกาล (คลอดลูกนั่นแหละครับ) ณ สวนลุมพินีวันนั้นเอง


@@@@@@

เคยมีครูถามนักเรียนว่า นักเรียน ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะถึงประสูติที่สวนลุมพินี นักเรียนยกมือตอบคำถามด้วยความมั่นใจว่า “เพราะอยู่ใกล้โรงพยาบาลจุฬาฯ ครับ!”

พระนางสิริมหามายาทรงยืน (ตรงนี้ไม่ “ประทับยืน” แน่ๆ เพราะ “ประทับ” แปลว่านั่ง ประทับยืน ก็แปลว่า “นั่งยืน” มองไม่ออกว่าทำอีท่าไหน) เหนี่ยวกิ่งสาละ (ไม่ควรแปลว่าต้นรัง ผมไปเห็นมาแล้ว ต้นสาละไม่ใช่ต้นรัง) พระราชกุมารน้อยก็ “ก้าวลงจากพระครรภ์” ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงชี้พระดรรชนีขึ้นฟ้า เสด็จดำเนินไป 7 ก้าว ทรงเปล่งอาสภิวาจา (วาจาอย่างองอาจ)

อาสภิวาจา ว่าอย่างไร อาทิตย์หน้าค่อยว่ากัน

วันนี้ขอแถลงเรื่องการที่เจ้าชายสิทธัตถะ พูดได้ เดินได้ ทันทีที่ประสูติ

คนส่วนมากตั้งคำถามว่า “พูดได้ เดินได้จริงหรือ” บางท่านก็พูดออกมาตรงๆ ว่า ไม่เชื่อ อมพระมาทั้งโบสถ์ก็ไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเป็นไปได้กระมัง อาจารย์รุ่นหลังๆ จึงหาทางออกว่า เป็น “สัญลักษณ์” หรือ “บุพนิมิต” แล้วก็แจกแจงอย่างน่าฟัง เช่น

@@@@@@

การที่ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ : เป็นสัญลักษณ์ว่า ท่านผู้นี้ต่อไปจะเป็นผู้อยู่เหนือ คือเอาชนะเจ้าลัทธิทั้งหลายในชมพูทวีป

การเสด็จดำเนิน 7 ก้าว : เป็นสัญลักษณ์แทนแว่นแคว้นทั้ง 7 ที่จะได้ประกาศสัจธรรมที่ตรัสรู้ให้แพร่หลาย หรือ (มีหรือด้วยครับ แสดงว่าตีความได้สองนัย) หมายถึงโพชฌงค์ 7 ประการ

ดอกบัวที่ผุดขึ้นรองรับพระบาท : หมายถึง ท่านผู้นี้จะเป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสโดยสิ้นเชิง (หมายเหตุ ในพระไตรปิฎกไม่พูดถึงดอกบัว ดอกบัวนี้เพิ่มมาภายหลัง)

การที่ทรงเปล่งอาสภิวาจา : หมายถึง ท่านผู้นี้จะได้ประกาศสัจธรรมที่ยังไม่เคยมีใครประกาศมาก่อนเลย ฯลฯ

นี้คือ การหาทางออกเพื่อไม่ให้ชาวพุทธอึดอัดใจ เมื่อมีใครซักถาม แต่ขอกราบเรียนว่า คำตอบนั้นมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระสาวกของพระองค์เอง พวกเราชาวพุทธอ่านไม่ละเอียดเองจากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นได้จริง มิใช่สัญลักษณ์แต่อย่างใด

@@@@@@

ในพระไตรปิฎก ได้เล่าเหตุการณ์พิเศษต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้นแล้วท่านก็สรุปลงด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า “นี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์”

ท่านบอกว่า เหตุการณ์พิเศษต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระโพธิสัตว์คือผู้บำเพ็ญบารมีมาจนเต็มเปี่ยมแล้วท่านย่อมมี “ธรรมดา” ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป

ถามว่าเรื่องอย่างนี้เป็นปาฏิหาริย์ไหม ตอบว่าไม่ใช่ เป็นอิทธิฤทธิ์ไหม ตอบว่าไม่ใช่ “มันเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์”

“ธรรมดาของนกย่อมบินได้” ท่านเห็นนกบินได้ท่านอัศจรรย์ไหม เปล่าเลย มันธรรมดาของมัน
ถ้าถามว่า ทำไมนกมันบินได้ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดก็คือ “มันเป็นธรรมดาของนกมัน” นกบินไม่ได้สิ่งผิดธรรมดาแน่ๆ ใช่ไหมครับ

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์เกี่ยวกับการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะขอให้เข้าใจว่า ก็คือเหตุการณ์ธรรมดาๆ นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องประหลาดมหัศจรรย์อะไร เพียงแต่เป็นธรรมดา ที่ไม่ทั่วไปสำหรับสามัญชนอื่นๆ เท่านั้นเอง

@@@@@@

ผมเคยอ่านบันทึกจากกินเนสส์บุ๊ก (คนอื่นเขาลอกมาให้อ่านอีกที) บันทึกไว้ว่า มีเด็กชายสองคน ชื่อเจมส์ โซดิช คนหนึ่ง คริสเตียน ไฮเนเก้น อีกคนหนึ่ง เป็นอัจฉริยมนุษย์ โดยเฉพาะคริสเตียน ไฮเนเก้น เกิดมาสองชั่วโมงพูดได้ อายุสี่ขวบพูดได้เจ็ดภาษา อายุเจ็ดขวบขึ้นแสดงปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาชั้นสูงให้ที่ประชุมนักปราชญ์ทั้งหลายฟัง ทึ่งไปตามๆ กันว่าทำได้ไง

กินเนสส์บุ๊กเป็นที่รู้กันว่าบรรทุกเรื่องจริง ไม่โกหกเราแน่นอน สมัยนี้เด็กเกิดมาสองชั่วโมงพูดได้แล้วก็มี แล้วย้อนหลังไปสองพันห้าร้อยกว่าปี เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะ ทันทีที่เกิดมาก็พูดได้ จะต่างอะไรล่ะครับ

อย่าคิดแต่เพียงว่า เป็นไปไม่ได้ๆ สมัยนี้มีกี่หมื่นกี่แสนอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ มันเป็นไปได้แล้วทั้งนั้น

สรุปแล้ว บุคคลแรกที่พูดได้ทันทีที่เกิดคือเจ้าชายสิทธัตถะ พระราชกุมารแห่งศากยวงศ์ ต่อมาก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเอกแห่งโลกนั้นแล




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12-18 เมษายน 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 18 เมษายน พ.ศ.2562
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_187059
ขอบคุณภาพจาก : http://www.chaicatawan.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28409
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บุคคลแรกที่ "พูดได้ เดินได้" ทันทีที่เกิด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 27, 2019, 06:13:19 am »
0



2. คำแรกที่ เจ้าชายสิทธัตถะพูด ตอนประสูติ

อาทิตย์ที่แล้ว ได้บอกว่าพระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะพูดได้ เดินได้ หลังประสูติชั่วขณะและได้บอกด้วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจารย์ในภายหลังพยายามอธิบายว่าเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือ บุพนิมิต “ว่าไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นจริง”

แต่ข้อความในพระไตรปิฎกในรูปพุทธวจนะตรัสแก่พระสาวก ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง ทรงอธิบายสั้นๆ ว่า เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ดังได้กล่าวไว้แล้ว

คราวนี้มาว่าถึงคำพูดอันองอาจ เรียกตามศัพท์เทคนิคว่า อาสภิวาจา ที่พระโพธิสัตว์เปล่งออกมานั้นว่าอย่างไร


@@@@@@

คัมภีร์บันทึกไว้ไม่ค่อยตรงกันนัก ในแง่พลความ แต่ในสาระเหมือนกัน เช่น บันทึกไว้ว่า

    "อคฺโคโหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว" (พระไตรปิฎกเล่มที่ 14) ตรงนี้เขียนเป็นร้อยแก้วธรรมดา แต่อีกที่หนึ่งแต่งเป็นคาถาหรือบทกวี ดังนี้

    "อคฺโคหมสฺมิ โลกสส ชฺโฐ เสฏโฐหฺมสฺมิ อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว" (พระไตรปิฎกเล่มที่ 10)
    แปลว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก นี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป
    นี้แปลตามตัวอักษร ตามประโยคบาลีเปี๊ยบเลย ถ้าจะแปลเป็นไทยๆ คำว่า ของโลก แปลว่า ในโลกน่าจะเข้าใจดีกว่า

หมายเหตุ : ปรากฏการณ์เจ้าชายน้อยประสูตินี้ ในพระไตรปิฎกไม่มีดอกบัวผุดขึ้นเจ็ดดอกรองรับ พูดแต่เพียงว่า ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงเหลียวดูทิศทั้งหลาย เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว ทรงเปล่งอาสภิวาจา ดังกล่าวข้างต้น

@@@@@@

อาจารย์ในภายหลังไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริง จึงพยายามแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือบอกว่าเป็นบุพนิมิต แต่ใจความในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเรื่องเป็นไปได้ คือ ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องเหลือเชื่อ หรืออิทธิปาฏิหาริย์อะไร ดังผมได้อธิบายขยายความมาแล้วในอาทิตย์ที่แล้ว

ผมเห็นว่า ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ท่านถอดเป็นภาษาธรรมได้ดีที่สุด คือท่านว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นเครื่องสำแดงว่า เจ้าชายสิทธัตถะต่อมา คือ พระพุทธเจ้านั้น ทรงประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์ทั้งปวง

เนื่องจากสมัยนั้น มนุษย์ทั้งหลายตกเป็นทาสความยึดถือผิดๆ ว่ามนุษย์อยู่ในการดลบันดาลของพระพรหม ต้องพึ่งพระพรหม เรียกว่า "พรหมลิขิต" ค่านิยมของความดีความชั่ว ตัดสินเอาที่ว่าใครเกิดในวรรณะไหน ถ้าเกิดในวรรณะสูงก็เป็นคนดีโดยอัตโนมัติ เกิดในวรรณะต่ำก็เป็นคนเลว

จากนี้ต่อไป ท่านผู้นี้จะได้ปลดปล่อยมนุษย์ทั้งหลายจากความเข้าใจผิดเสียที ประกาศให้เห็นศักยภาพของมนุษย์ว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองด้วยการกระทำของตน


@@@@@@

คนจะดีหรือชั่วเพราะการกระทำด้วยตนเอง มิใช่เพราะการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือด้วยการอ้อนวอนขอ และเซ่นสรวงเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

ท่านเจ้าคุณใช้คำคมว่า เป็นการดึงคนจากเทพมาสู่ธรรม คือ ในขณะที่สังคมมุ่งหวังผลจากการดลบันดาลของเทพเจ้า เอาแต่อ้อนวอนขออำนาจเทพเจ้า ให้บันดาลโน่นบันดาลนี่ เจ้าชายน้อยพระองค์นี้ ซึ่งต่อมาคือพระพุทธเจ้า ก็ดึงให้คนทั้งหลายมาสนใจตัวธรรมที่อยู่ในธรรมชาติ คือ ความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ถอดความให้ฟังง่ายก็คือ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนคนว่าอย่ามัวหวังพึ่งเทพเจ้า ให้บันดาลโน่นบันดาลนี่ ให้หันมาพึ่งการกระทำของตนเองดีกว่า นี้แหละครับ คือการดึงประชาชนจากเทพมาสู่ธรรม นับว่าเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ทรงถือกำเนิดมาเพื่ออิสรภาพของโลกอย่างแท้จริง

การอธิบายในแง่นี้ยังไม่มีใครอธิบายมาก่อน นอกจากท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก จึงขอนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง ถ้าใครอยากทราบรายละเอียด (เพราะผมจำมาไม่หมด) ให้ไปหาหนังสือ จาริกบุญ-จารึกธรรม ของท่านมาอ่านก็แล้วกัน



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ.2562
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_189147
ขอบคุณภาพจาก : https://www.webstagram.one/tag/พระพุทธเจ้าน้อย
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: บุคคลแรกที่ "พูดได้ เดินได้" ทันทีที่เกิด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 27, 2019, 09:30:57 am »
0
มีเหตุผล เป็น เหตุปัจจะโย
 st12
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

nopporn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: บุคคลแรกที่ "พูดได้ เดินได้" ทันทีที่เกิด
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2019, 09:15:02 am »
0
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า
อยู่แก๊งค์ ป่วนอ๊บ