ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อีกบทพิสูจน์หนึ่งของ “บทสวดอิติปิโส”  (อ่าน 4769 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อีกบทพิสูจน์หนึ่งของ “บทสวดอิติปิโส”
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2010, 02:16:40 pm »
0

อีกบทพิสูจน์หนึ่งของ “บทสวดอิติปิโส”
จากนิตยสาร ธรรมะใกล้ตัว ฉบับ Lite ฉบับวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓




แม้ วิทยาศาสตร์บอกอะไรเราไม่ได้ทั้งหมด
แต่ก็ช่วยให้เรามีคำ อธิบายที่ชัดเจน
ไม่ต้องเดาไปต่างๆนานา
ตามความเชื่ออันเป็น อัตโนมัติของแต่ละคน
ซึ่งถ้าเถียงกันแบบอาศัยความเชื่อท่า เดียว
เราจะไม่พบข้อยุติใดๆ
ต่อเมื่อมี หลักฐานที่จับต้องได้ตรงกัน
แม้จะยังไม่พบข้อยุติ
อย่างน้อยก็พบข้อสรุปเบื้อง ต้นได้บ้าง

ตัวอย่างเช่นสมัยก่อนเราไม่มีทางพบข้อยุติ
ว่าอะไรเช่นน้ำมนต์และพระเครื่อง
มีดีต่างจากน้ำ ธรรมดาดินธรรมดาจริงๆ
หรือว่าเป็นเพียงการสร้างอุปาทาน
ดีแต่มีผลแค่ทางจิตใจท่าเดียวกันแน่

กระทั่ง เริ่มมีการใช้เทคนิคถ่ายภาพแบบเกอร์เลี่ยน
นำไปถ่ายสิ่ง ต่างๆที่เชื่อกันว่าเป็นวัตถุมงคล
เราจึงได้ "ข้อสรุปเบื้องต้น" ว่าวัตถุมงคลเหล่านั้น
มี ความแตกต่างจากวัตถุธรรมดาทั่วไป
แม้จะยังไม่ได้ "ข้อยุติ" ที่แน่ชัดว่าแตกต่างนั้น
แตกต่างอย่างไร แค่ไหน เอาอะไรเป็นเครื่องบอก

ปัจจุบัน เราสามารถหาซื้อกล้องเกอร์เลี่ยนได้ง่าย
ถ้าสืบค้นดูในแหล่งขายอย่าง
Amazon.com และ eBay.com
คุณจะพบทั้งกล้องเกอร์เลี่ยนราคาแค่หมื่นเดียว
ตลอดจนอุปกรณ์เสริม
รวมทั้งหนังสือที่รวมเรื่องราว เกี่ยวกับการประยุกต์
เอามาอธิบายเรื่องพลังจิตและสิ่งลึก ลับต่างๆ
นี่เป็นเรื่องที่แพร่หลายมาเป็นสิบปี
แต่ยังมีคนพูดถึงกันน้อย
เพราะภาพถ่ายที่ได้จากเทคนิคเกอร์เลี่ยนนั้น
บอก อะไรได้แค่หยาบๆว่า "ดี" หรือ "ไม่ดี"
"สว่าง สวย" หรือ "หม่นหมอง"


พวก ขายพระเครื่องเดี๋ยวนี้เขาก็พิสูจน์องค์ที่ราคาแพง
ด้วย ภาพถ่ายออร่าซึ่งมาจากกล้องเกอร์เลี่ยน อย่างเช่นที่
http://www.ounamilit.com/b44_auracolor.htm
ซึ่งดูด้วยตาเปล่าได้ว่าต่างกันจริงๆ
แต่คนทั่วไปไม่รู้อยู่ดีว่าที่สีต่างกันนั้นหมายความว่าอย่างไร
เป็นไปตามนิยามของสีที่อธิบายกำกับแน่หรือเปล่า
ฉะนั้น ความเคลือบแคลงจึงยังไม่หมดไปโดยง่าย

คุณ สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ
เจ้าของเว็บ http://saringkan.com
ซึ่งเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ร่วมกันสร้างนิตยสารธรรมะใกล้ ตัว
แกมีกล้องเกอร์เลี่ยน ผมจึงไหว้วานให้ช่วยถ่ายภาพวัตถุต่างๆ
ตามที่ผมคิดว่าน่า จะเห็นได้ชัดว่าต่างกันอย่างไร
อย่างไรเข้าทางมืด อย่างไรเข้าทางสว่าง
ต้องขอขอบ คุณคุณสมเจตน์ไว้ ณ ที่นี้
เนื่องจากแต่ละภาพต้องใช้ต้น ทุนสูงพอควร

มา เริ่มกันจากอะไรที่ใกล้ตัวก่อนครับ
ลองให้น้ำ "ฟังเสียง" ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วิธีก็ง่ายๆ รินน้ำใส่แก้ว จับแก้วใส่ตู้
เอาลำโพง ขนาบซ้ายขวา






จาก นั้นก็นำแก้วน้ำมาวางหน้าฉากดำ
เพื่อถ่ายรูปตาม เทคนิคเกอร์เลี่ยน



 

รูป นี้เป็นน้ำกรองที่ได้จากก๊อกธรรมดา
ยังไม่ได้ฟังเสียง ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ถ่ายออกมาเราจะพบว่ามีความสว่างพอควร
เนื่องจากน้ำ ประปาที่สะอาดมีความชุ่มชื่น
และเต็มไปด้วยพลังหล่อเลี้ยง ชีวิตอยู่แล้ว
ถ่ายภาพน้ำที่ไหน เมื่อไร โดยใคร
ก็น่าจะได้ผลเป็นความสว่างไม่ต่างจากที่เห็นสักเท่าไร
เว้นแต่น้ำนั้นจะมีความสกปรกในทางใดทางหนึ่ง



 

ส่วน นี่เป็นรูปออร่าของน้ำที่ฟังเสียงพระเทศน์
คุณสมเจตน์ได้ เลือกเสียงของพระรูปหนึ่ง
ซึ่งประชาชนกำลังให้ความนับถือกันทั่วประเทศ
ค่า ที่ชักชวนให้คนจำนวนมากหันมาสนใจเจริญสติ
อันเป็นธรรมะ ขั้นสูงสุดของพุทธศาสนา
ก็ขอให้ดูไว้เป็นตัวอย่างว่าความ สว่างของเสียงท่าน
เมื่อประจุลงในน้ำผ่านลำโพงแล้ว
สว่างขึ้นจากเดิม ถึงอย่างนี้




 

ส่วน น้ำอีกแก้วหนึ่งให้ฟังเสียงปลุกระดมคนมาฆ่ากัน
รูป ออร่าหลังฟังเสียงแห่งความมืดดังกล่าว
ก็กลายเป็นอะไรแบบนี้ไปได้




 

จริงๆ รูปออร่าไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่าที่เห็นกับตาครับ
เดิม น้ำมีความสว่างอยู่บ้าง
ขนาดที่ถ่ายแล้วแสงสว่างเฉิดฉายจนไม่เห็นตัวแก้ว
แต่ น้ำที่ประจุความสว่างของพระที่เทศน์ธรรมอันบริสุทธิ์
ยัง ผลให้ความสว่างที่มีอยู่เดิมกลับยิ่งจัดจ้าเป็นทวีคูณ
ขอบ สีเหลืองอ่อนสำหรับวงการออร่า
เชื่อกันว่าแทนความหมายของกระแสธรรมะชั้นสูง
หาก ต่อไปมีเทคนิคการถ่ายทำที่ละเอียดและกว้างขวางขึ้น
เราอาจ จะประจักษ์ตาทีเดียวว่าน้ำสว่างขึ้นกว่าเดิมเป็นล้านเท่า
และ สีสันที่แท้ของน้ำหลังประจุเสียงเทศน์
ก็ไม่ใช่แค่สวยสบายตาธรรมดาอย่างนี้หรอก
แต่ควรจะ สวยวิจิตรราวกับแสงทิพย์เลยทีเดียว

ส่วนน้ำที่ฟังเสียงมืดนั้น ลดความสว่างจากคุณสมบัติเดิม
ขนาดที่เห็นตัวแก้วได้เกือบชัด
รังสีทะมึนที่เห็น ก็ขอให้ใช้ใจของคุณเองตีความเอาก็แล้วกัน
ว่ามันชวนให้ขน หัวลุกหรือเปล่า

เมื่อ ประจักษ์กับตาว่าสีออร่าแยกแยะได้แค่คร่าวๆ หยาบๆ
ว่า วัตถุทั้งหลายมีความแตกต่างกันอย่างไร
เป็นของสว่างหรือของมืด
เราก็นำไปลองดูวัตถุมงคล ที่ปัจจุบันนิยมกันมาก

มันน่าตกตะลึงงง เมื่อวัตถุมงคลบางชิ้นนั้น
แม้ได้รับมาจากมือผู้ทรงศีล
ที่แท้อาจถูกส่งทอดมา จากคนอื่น ที่ไม่มีศีลธรรมก็ได้
ดังเช่นที่ทันตแพทย์หญิง นางหนึ่ง
เธอมีสร้อยประคำซึ่งได้รับจากมือบุคคลที่เธอ นับถือมาก
จึงคิดจะนำมาลองถ่ายภาพเพื่อดูออร่าว่าจะเป็นอย่างไร






ผล ปรากฏว่าเป็นสีเขียวคล้ำ
ซึ่งต่างกันมากกับสีของความสว่าง แห่งธรรมะ



 

เพื่อ ให้เกิดความแน่ใจว่าอย่างไรจึงดีกว่ากัน
เธอได้สวดมนต์ อิติปิโส ซึ่งเป็นบทสวดวิเศษสูงสุด
เนื่องจากเป็นพุทธพจน์
และเป็นการกล่าวสรรเสริญพระ รัตนตรัย
ไม่มีการเรียกร้องให้คุ้มครองหรือเอาของดีเข้า ตัวใดๆ
จิตใจจึงสะอาด ผู้สวดด้วยความนุ่มนวลทุกคน
ย่อมรู้สึกได้ถึงกระแสเมตตาธรรมอันเยือกเย็นไพศาล
 




หลัง จากสวดประจุความสว่างลงน้ำเสร็จ
ก็นำน้ำในแก้วมาถ่าย รูปดูออร่าก่อนเป็นหลักฐาน
จะเห็นความน่าอัศจรรย์ได้อย่างชัดเจน
ถ้าคุณมี กล้องเกอร์เลี่ยน ผมขอให้ลองดูเลยครับ
เอาบทสวดทุกบทในโลก มาสวดโดยคนๆเดียวกัน
ดูเลยว่ามีบทไหนให้ความสว่างได้เท่า อิติปิโสบ้าง
แล้วคุณจะตาสว่าง ไม่ไปเอาบทไหนมาสวดอีกเลย
ชาว พุทธจำนวนมากมีบทสวดศักดิ์สิทธิ์ติดตัวขึ้นใจอยู่แล้ว
แต่ อนิจจา หารู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่นั้นไม่
มัวแต่ วิ่งหาเครื่องรางของขลัง
จนไปได้ของที่ขลังไม่จริงมาก็บ่อย

 




บุคคล ผู้เป็นพยานที่น่าเชื่อถือท่านหนึ่ง
เป็นตัวแทนนำน้ำซึ่ง บัดนี้
ได้ประจุความสว่างของอิติปิโสมาราดประคำ



 

จาก นั้นก็ได้มีการถ่ายรูปออร่าของประคำซ้ำอีกครั้ง
ผล ที่เกิดขึ้นต่างไปเป็นคนละเรื่อง
ดูแล้วใกล้เคียงกับน้ำมนต์อันเกิดขึ้น
จากบทสวดอิ ติปิโสมากทีเดียว
 




จาก รูปทั้งหมดที่แสดงมา
ก็เพื่อบอกว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่ตา เห็นไม่ได้
เราสามารถใช้เทคโนโลยีเห็นแทน
และนำมาแสดงกับตา เปล่าของเราได้แล้ว
เรื่องที่เคยต้องอาศัยความเชื่ออย่าง เดียว
จนใกล้เคียงกับหลุมดำของความงมงาย
จึง กลายเป็นอะไรที่สามารถจับต้อง
และกล่าวถึงได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น

สิ่งที่คนไม่รู้ หรือรู้แล้วลืมนึกถึง
ก็คือร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำถึง ๗๐%
เมื่อใช้ จิตไปประกอบกรรมขาวมากๆ
ถ่ายรูปออร่าจึงออกมาขาวสว่าง
แต่เมื่อใช้จิตไปประกอบกรรมดำมากๆ
ถ่ายรูปออร่าจึง ออกมาช้ำเลือดช้ำหนอง
น่ากลัวมากกว่าน่าดู
จิตคนอ่อนไหวได้ยิ่งกว่าน้ำ หลายร้อยเท่า
น้ำเป็นอย่างนี้ จิตจะไปเหลือหรือ?


แล้ว แปลกนะครับ
ยุคอินเตอร์เน็ตที่แสนล้ำสมัยอย่างปัจจุบัน
กลับมี หลายต่อหลายคนหวาดระแวง
หรือถึงขั้นตกประหวั่นขวัญผวา
ว่าตนจะโดนคุณไสยที่ใครเขาปล่อยมาเล่นงานบ้างหรือไม่

จริงๆ หลักการของคุณไสยมีสองฝั่ง
ฝั่งสว่างกับฝั่งมืด เรียกไสยขาวและไสยดำ
ไสยดำเอา ไว้ทำร้าย ไสยขาวเอาไว้ช่วยคน
ตลอดจนช่วยให้พ้นจากกระแส มาร
ซึ่งในคัมภีร์พระไตรปิฎกกล่าวถึงไว้หลายแห่ง
ทว่าเรามักคิดว่าเป็นเรื่องหลอกหรือแต่งเติมในภายหลัง

เอาเป็น ใครสงสัยว่าตัวเองอาจถูกของ
หรืออาจถูกมารครอบอยู่
ผมมีวิธีพิสูจน์ให้รู้ตัว ได้ง่ายๆนะครับ
ให้ถือศีล ๕ จนสะอาดอย่างน้อยหนึ่งวัน
ตกเย็นสำรวจความสว่างของศีล
คุณจะรู้สึกถึงพลัง อำนาจฝ่ายดีที่เกิดขึ้นในตัวเอง

จากนั้น ให้ปิดตาลง
ท่องอิติปิโสแบบเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำในอาการสบาย
สวด กี่จบก็ได้ จนกว่าจะรู้สึกถึงความสว่าง อบอุ่น สะอาด
และ เป็นอันเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนตรัย

จากนั้นให้อธิษฐานในใจ
ถามเข้าไปที่ความสว่างซึ่งเกิดขึ้นกลางใจตนเอง
ว่า มีของมืดใดครอบคลุมเราอยู่หรือไม่ ขอให้รู้ได้ด้วยเถิด
แล้ว ลืมตาลุกขึ้นเดินอย่างมีสติ
ไปดูกระจกเงาที่อยู่ใกล้ที่ สุด
เอาแบบบานใหญ่ที่เห็นได้ครึ่งตัวจะดี
หากมีกระแส มืดๆคลุมอยู่
คุณจะรู้สึกสัมผัสได้ราวกับควันดำจากกองไฟ
อาจลอยวนอยู่รอบตัว หรือขมุกขมัวอยู่ทั่วหน้า

เห็นอย่างนั้นไม่ต้องตกใจ
เพราะเงาดำจะหยั่งลงถึงใจไม่ ได้ ถ้าคุณไม่รับ
อย่าง มากก็กระตุ้นให้คิดในทางบาป
ถ้าไม่คิดตามกระแสบาปไป
ก็ไม่เกิดกรรมติดตัวคุณได้

จาก นั้นให้เร่งหมั่นสร้างสมความสว่างให้หนักแน่นที่สุด
ทั้ง ในด้านของน้ำใจคิดเสียสละ
น้ำใจให้อภัย ตลอดจนมีใจเด็ดเดี่ยวรักษาศีล ๕
ถ้า ขนาดยอมตายดีกว่ายอมเสียศีลได้ยิ่งดี
เท่านี้แม้มีเมฆหมอก ดำคลุมตัวหนาทึบ
ที่สุดมันก็ต้องพ่าย สลายตัวไปไม่เหลือ
ตามหลักของอนิจจังขาขึ้น
ถ้าฉุดลงต่ำไม่ได้ ก็กลายเป็นผลักดันให้ยิ่งสูงส่งเป็นทวีคูณครับ

ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๓

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 28, 2010, 02:19:13 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อีกบทพิสูจน์หนึ่งของ “บทสวดอิติปิโส”
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 09:51:25 am »
0
วิทยาศาสตร์ กับการพิสูจน์ อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มเลยครับ
 :25:
บันทึกการเข้า