ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี  (อ่าน 2094 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี
« เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 04:37:42 pm »

วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี


  ครั้งหนึ่งพระพุทธศาสดาทรงตรัสพระธรรมเทศนาขึ้นอรรถคาถาหนึ่ง ขึ้นต้นว่า เยนะ กาหันติ โอวาทัง เหตุเพราะมีภิกษุรูปหนึ่งกระสันด้วยอำนาจกิเลสความงามของอิสตรี

อำนาจนั้นเกาะกุมจิตใจจนก่อกิเลสจนแทบจะลาสิกขาบทออกไป “ความงามของน้องหญิงตราตรึงใจพี่ยิ่งนัก
ถึงจะครองเพศบรรพชิตต่อไปก็คงจะไม่บรรลุธรรมเป็นแน่ เราควรจะสึกเสียเถิด” ครั้งนั้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเตือนสติภิกษุว่า “ดูก่อนภิกษุ รูปรส กลิ่น

เสียง อันหญิงปรุงแต่งนั้น แม้ชายตกอยู่ในอำนาจแล้วไซร้จะถึงพินาศ พินาศแห่งศีลและขนบประเพณีดังนี้เคยเกิดมาแล้วในอดีต
 ด้วยว่าเหล่ายักษิณีที่มีอำนาจแปลงกายกระทำต่อพ่อค้าสำเภาอับปางทั้งหลายดุจกันกับหญิงงามกระทำต่อภิกษุของเราเวลานี้” พระองค์ทรงมีกรุณาธิคุณเข้าสู่บุพเพนิวาสนุสติญาณ

รำลึกพระชาติเก่าแล้วตรัสเล่า วลาหกัสสชาดกดังนี้
 กลางห้วงมหาสมุทรในครั้งโน้นยังมีเกาะตามพปัณณิเป็นแผ่นดินลอยน้ำอันมีเมืองยักษ์ชื่อ สิริสวัตถุ ตั้งอยู่ เมืองนี้เป็นเมืองแม่หม้าย ผู้อาศัยในเมืองทั้งหมดล้วนเป็นนางยักษิณี

ที่อาศัยกินเนื้อมนุษย์ที่พลัดหลงเข้ามาเพราะเรือแตก
 “โอ้ นั่นไง มาโน่นแล้ว พวกผู้ชายที่หนีตายจากเรือแตก ว่ายน้ำขึ้นฝั่งทางโน้นมากันแล้ว น้องๆ ดูสิจ๊ะ อาหารอันโอชะของพวกเราเนี่ยมาแล้วนะ ” “ดีเลยจ๊ะ น้องกำลังหิวพอดี

ผู้ชายไม่ได้ตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว ครั้งนี้จะกินให้อิ่มหน่ำใจไปเลย ฮ่าๆๆ”
 นี่เป็นกิจวัตรปกติของนางยักษ์เหล่านี้ที่ต้องวนเวียนอยู่ชายฝั่งสมุทรหาเหยื่อมนุษย์แล้วลวงไปเสพกามคุณปรนเปรอให้อ้วน โดยพวงนางจะรีบแปลงกายเป็นสตรีงดงาม

แต่งจริตมารยาให้เหยื่อตายใจเป็นขั้นต้น “ทางนี้จ้าๆ พี่ๆ เชิญมาทางนี้เลยนะจ๊ะ น้องๆ เค้ารอพี่อยู่”
  “มาทางนี้สิจ๊ะ น้องๆ ได้เตรียมข้าวปลาอาหารไว้ให้พี่แล้ว โธ่ คงทั้งเหนื่อยทั้งหิวกันเลยสิจ๊ะเนี่ย มาทางนี้เลยจ้า” อันกิเลสตัณหากับบุรุษผู้ไร้ปัญญานั้นเปรียบกันไว้ว่า คือเปลวไฟ

กับแมงเม่า ชาววาณิชผู้สำเภาแตกทุกคณะก็ไม่เคยพ้นบ่วงมารดังว่านี้
  “โอ้โห แม่เจ้าโว๊ย สวยสุดๆ นางฟ้านางสวรรค์หรืออย่างไรกันละเนี่ย” “โห้ คอนสวาทหาดสวรรค์แท้ๆ รอดตายแล้วเรา สบายแล้วหญิงงามเพียบเลย” “มาสิจ๊ะ เร็วๆ เข้าสิจ๊ะ ของดีๆ

รอพวกพี่อยู่นะ” “เชิญท่านพี่ขึ้นจากน้ำไปยังที่พักของพวกน้องๆ เถิดจ๊ะ พวกเราน่ะ จะอดใจรอกินพวกท่านไม่ไหวแล้ว อุ๊ย ไม่ใช่ๆ อดใจที่จะรับใช้พวกพี่ไม่ไหวแล้วนะจ่ะ....เกือบไป”
     ทุกครั้งทุกคราที่มีเรืออับปางใกล้เกาะตามพบัณณิแห่งนี้ ทุกคนที่เดินขึ้นมาจะไม่มีใครมีชีวิตกลับออกมาได้อีกเลย ครั้งหนึ่งมีเรือสำเภาล่มอีกลำพ่อค้าทุกคนพากันลอยคอ

ข้ามทะเลลึกเข้ามาหาฝั่งตามกระแสกรรม “โอ๊ะ โอ้ย ช่วยข้าด้วย ลากข้าไปด้วย หมดแรงแล้ว โอ้ย นี่เรา จะมีชีวิตรอดอีกไหมนี่”
  “อดทนไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง อึบ จับท่อนไม้ไว้เร็วเข้า” นายสำเภาเป็นวาณิชหนุ่มมีกำลัง เมื่อใกล้ฝั่งทะเลก็ส่งสัญญาณให้บริวารรู้ “น้ำทะเลอุ่นขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะได้ขึ้นฝั่ง

บนเกาะสักแห่งแล้ว อดทนไว้นะพวกเรา พวกเรารอดแล้ว เราจะได้เจอฝั่งแล้ว”
 เกาะแห่งเดียวในห้วงมหาสมุทรแห่งนี้ ก็คือเมืองยักษิณีซึ่งบัดนี้ได้เนรมิตกายใหม่จนดูเป็นมนุษย์ปกติ “จ่ะเอ๋เจ้าหนู ดูนี่เร้ว น่ารักจังเลย” “แหม ทำเป็นรักเด็กซะเหมือนเลยนะพี่

เป็นนางงามสาวไทยหรือไงจ๊ะ รักเด็กน่ะ” “ฮะๆ อย่ามาแซวหน่อยเล้ย ต้องฝึกไว้ก่อน ผู้ชายเห็นจะได้ตายใจ ฮึๆๆ”
 การเย้ายวนเชื้อเชิญและบริการดูแลก็เกิดขึ้นอย่างที่เคยเป็น “พี่พักในห้องนี้ให้สบายนะจ๊ะ เดี๋ยวน้องจะดูแลพี่ให้หายเหนื่อยเอง อยู่กินที่นี่ให้สบายเถอะนะจ๊ะ ที่เกาะของเรา

มีอาหารอร่อยๆ ผลไม้รสดีเยอะแยะเลยนะจ๊ะพี่จ๋า มาเถอะจ๊ะ”
  หัวหน้านางยักษ์จำแลงกายเข้าจับจองหัวหน้านายสำเภาพ่อค้าผู้เป็นหัวหน้า เหล่าบริวารนางยักษิณีก็เข้าจองตัวบริวารพ่อค้า บำรุงบำเรอกันอย่างอุดมสมบูรณ์ “เป็นไงบ้างจ๊ะพี่

รสชาติอาหารถูกปากพี่มั๊ยจ๊ะ” “รสชาติดีอย่าบอกใครเลยละจ๊ะ ขอบใจเจ้ามากน่ะ ที่ช่วยดูแลพวกเราอย่างดี”
   “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ที่เกาะนี้มีแต่พวกเรา พอพวกพี่ๆ มานะ ก็ทำให้พวกเรามีความสุขกันมาก พี่ลองดื่มนี่ซะหน่อย นะจ๊ะ” “จ้า รินมาเลยจ๊ะ มีความสุขจังเลยเรา” ทุกราตรีก็มีระบำรำฟ้อน

และสุรายาเมามอบแก่เหล่าพ่อค้าจนสำลักความสุข
 และทุกๆ คืนจะมีพ่อค้าหายไปจำนวนหนึ่ง พวกที่เหลือก็ไม่ได้เฉลียวใจแต่อย่างใด พวกเขามัวแต่เพลิดเพลินกับความสำราญที่เหล่ายักษ์หญิงมารยามอบให้ “อือหือ ยักย้ายส่ายสะโพก

ได้ใจจริงๆ นี่แหละสวรรค์ของเรา รู้งี้มาติดเกาะตั้งนานแล้วนะเนี่ย ฮ่ะๆ ๆ” (เอาเถอะ…เจ้าพวกโง่ทั้งหลาย กินกันเข้าไป จะได้อ้วนๆ น่ากิน)
จะมีเฉลียวใจอยู่ก็มีแต่นายสำเภาหัวหน้าพ่อค้าคนเดียวเท่านั้น เพราะค่อนรุ่งคืนหนึ่งนางยักษิณีที่เพิ่งกลับมาจากภายนอกมีอาการแปลกๆ (อึย อร่อยจริงๆ เลย


เนื้อคนเนี่ย มันหวานเกินกว่าเนื้อใดๆ จริงๆ เลยนะเนี่ย) “นี่น้องทำให้พี่ตื่นหรือจ๊ะเนี่ย
มามะ มานอนกันต่อเถอะนะจ๊ะ” (แปลกจริงๆ เลย ทำไม่นางถึงได้ตัวเย็นเชียบขนาดนี้ เหมือนกับยักษ์ที่เพิ่งกินคนมาใหม่ๆ เอ๊ะ หรือว่าจะใช่ ว่าแล้วเชียวที่เกาะนี้มันมีอะไรแปลก

นี่พรรคพวกของพวกเราก็หายไปที่ละคนสองคน ต้องใช่แน่ๆ เลย พวกนางต้องเป็นยักษ์แน่ๆ) ดังนั้นเมื่อนางยักษิณีออกไปจากที่พักในค่ำคืนต่อมา นายสำเภาก็เรียกประชุมบริวาร
  “ฟังทางนี้ พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย ผู้หญิงพวกนี้คือยักษ์แปลงกายมา รีบชักชวนกันหนีเร็วเข้าพวกเราต้องหนีไปก่อนที่พวกนางจะกลับมา เร็วเข้า” “ฮึย นายนี้ท่าจะบ้า หญิงงาม

ขนาดนั้นจะเป็นยักษ์ได้อย่างไร หนีให้โง่เรอะ ที่นี่มันสวรรค์แท้ๆ” ครั้งนั้นมีบริวารอีกครึ่งหนึ่งไม่ยอมเชื่อฟัง เพราะยังหลงใหลจากความสุขจากนางยักษิณี
 เหมือนบุตรที่ดื้อรั้นเป็นพวกหลงตัวเอง หลงในกิเลสที่รังจะพินาศวอดวายอย่างน่าเวทนา “เอาเถิด เราไม่สามารถที่จะบังคับใครให้เชื่อได้ แต่เมื่อไหร่ที่พวกท่านได้รู้

ความจริงด้วยตนเองก็ให้กลับไปรวมกันที่ชายฝั่งทะเลก็แล้วกัน” “เอาช้างมาลากก็ไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่มีความสุขจะตาย พวกนางสวยๆ กันทุกคน เมียที่บ้านยังสู้ไม่ได้เลย”

ราตรีนั้นกลุ่มบริวารผู้หลงในกิเลสกามหามีใครหนีกลับออกไปกับนายสำเภาไม่
  กว่าจะรู้ว่าหลงผิดติดบ่วงมาร ทุกสิ่งก็สายเกินแก้เสียแล้ว “นี่แหละจ๊ะ ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา เป็นไงจ๊ะ อึ้งไปเลยละสิ เจ้ามนุษย์เอ้ย เจ้าได้เป็นอาหารของเราแน่ๆ” “มามะ กลัวทำไมละจ๊ะ

จำน้องไม่ได้เหรอ มามะ เข้ามาสิจ๊ะ ถอยหนีกันทำไม มามะ คืนนี้พวกเราอิ่มกันมาแล้ว พวกท่านไม่ต้องเสียใจไป มื้อหน้าเป็นรอบพวกเจ้าแน่” นางยักษิณีเอาชายผู้หลงกิเลส อยากได้ อยากมี

อยากครอบครองไปล่ามโซ่ขังไว้ในถ้ำรอกินเป็นอาหาร
  “โอ้ ไม่น่าเชื่อ หญิงงามอย่างนั้น เป็นยักษ์จริงๆ รึเนี่ย ตายแล้วเรา” “ไม่น่าเลยเรา เราน่าจะหนีไปกับนายสำเภาตั้งแต่แรก โอ้ย ตายๆ ตาย แน่ๆ เลยเรา”แล้วราตรีแห่งความสยดสยองก็เริ่มขึ้น

พ่อค้าผู้ติดในบ่วงกามทยอยตายลดจำนวนลงอย่างมากมาย “อ้าว ร้องกันเข้าไป เนื้อคนที่ตกใจสุดขีดนี่แหละมันหวานนัก อร่อย หวาน” “กระดูกอ่อนนี้มันเคี้ยวมันดีนัก ยิ่งตรงแขนนี่แหละอร่อย

สายดายน่าจะอ้วนกว่านี้อีกหน่อย จะได้ติดมันนิดๆ”
  ครั้งนั้นมีบริวารเชื่อคำเตือนที่พากันติดตามออกมารอยังฝั่งทะเลเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาต่างรอความหวังที่จะรอดชีวิตอย่างอดทน นายสำเภารู้ว่าเวลานี้จะมีพระโพธิสัตว์

เสด็จมาช่วยมนุษย์จึงเฝ้าสวดมนต์อ้อนวอน “ด้วยความดีที่ได้ทำสั่งสมมาโปรดช่วยให้พวกเรารอดชีวิตกลับไปในครั้งนี้ด้วยเถิด” เมื่อถึงฤกษ์มงคลของมนุษย์โลกก็ปรากฏร่าง

วลาหกม้าเหิรหาวโฉบผ่านรัศมีจันทร์มุ่งมายังเกาะนางยักษิณี
  วลาหก เป็นม้าวิเศษอันพำนักอยู่ในหิมพานต์เป็นม้าสงเคราะห์มนุษย์ผู้ตกทุกข์เพื่อสั่งสมบารมี เมื่อเหาะมาถึงเกาะตามพปัณณิก็ร่อนลงเพราะเมฆทิพย์อันเป็นยานบรรทุกช่วยเหลือ

“เราคือพระยานอัศวราชวลาหก ให้ทุกคนจงตั้งจิตเป็นกุศลว่าจะทำแต่ความดีสืบไปแล้วเราจะช่วยพวกท่านให้พ้นจากอันตรายนี้” “เราขอตั้งสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะทำแต่ความดีสืบไป”

“ดีแล้ว พวกท่านจงเร่งขึ้นนั่งบนเมฆทิพย์นี้เถิด เราจะใช้ฤทธิ์เหาะพาพวกท่านไปยังดินแดนมนุษย์เดี๋ยวนี้” “พวกเรารอดแล้ว สาธุ” “รอดตายแล้วพวกเรา”พริบตาต่อมาชาวสำเภา

ผู้เชื่อในคำตักเตือนของผู้นำและม้าวลาหก ก็รอดพ้นหายนะจากเกาะยักษิณีสู่ดินแดนมนุษย์อย่างปลอดภัย


 ในพุทธกาลสมัย บุรุษผู้พ้นหายนะ กำเนิดเป็น พุทธบริษัท


ม้าวลาหก เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-วลาหกัสสชาดก.html
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
    • ดูรายละเอียด
Re: วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 06:01:07 pm »
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
    • ดูรายละเอียด
Re: วลาหกัสสชาดก-ว่าด้วยความสวัสดี
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 06:24:42 pm »
 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ