ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สีลวนาคชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ดื้อรั้นว่ายาก  (อ่าน 1822 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์

สีลวนาคชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ดื้อรั้นว่ายาก


  คราวหนึ่งในฤดูพรรษาเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยังพระเชตวัน ครั้งนั้นทรงปรารภกับภิกษุผู้ว่ายากดื้อดึงเอาแต่ใจตนรูปหนึ่ง ซึ่งมักมีเหตุให้ทรง

ต้องยกข้อธรรมมาอรรถาธิบายให้ปัญญาแก่สงฆ์สาวกอยู่เสมอ ความประพฤติต่างๆ ของหมู่สงฆ์เป็นที่มาของพระวินัยอันกำเนิดแต่พุทธกาลครั้งนั้น

ในพรรษาดังกล่าวครั้งนี้
ก็มีเหตุจากความดื้อความว่ายากสอนยากจากภิกษุในพระเชตวันเช่นเดิม “ท่านนี่ ว่ายากเหลือเกิน ตำรานอกพระสูตเช่นนั้นน่ะ ไม่ควรศึกษาเลย” “เราจะศึกษา
 ตำราใด มันก็เป็นเรื่องของเรา ท่านอย่ามายุ่งเลย อย่างท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร” “ภิกษุหนุ่มเอ๋ย เจ้าช่างดื้อรั้นเหลือเกิน
 แม้แต่ภิกษุที่อาวุโสกว่าเจ้า ให้คำแนะนำเจ้ายังไม่เชื่อฟัง” “ภิกษุรูปนี้ทำตัวเหลวไหลจริงๆ ไม่ว่าใคร
จะพร่ำสอยยังไงก็ไม่สนใจ เฮ้อเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ บัวใต้โคลนตมแท้ๆ” “เอาเถิดปล่อยเขาไปเถิด เมื่อเขามีความโมหะความหลง ท่านก็อย่ามีโทสะความโกรธ
ตามเคย” เรื่องภิกษุดื้อรั้นว่ายากนี้ เมื่อหมู่สงฆ์ยกขึ้นเป็นข้อปุจฉาในธรรมสภาคราวหนึ่ง “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุรูปนี้ช่างดื้อรั้นเหลือเกิน ไม่ว่าใครจะตักเตือน
ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ ไม่ใช่บัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุเธอเป็นผู้ว่ายาก แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้ว่ายากเช่นกัน” และด้วยความเป็นผู้ว่ายาก ไม่กระทำตามโอวาทแห่งบัณฑิต
 นั้นแหละจึงถูกหอกแทงถึงสิ้นชีวิต เพื่อจะสาทกยกข้อกรรมให้ภิกษุนั้นได้รำลึกเห็น พระองค์ทรงใช้ ปุพเพนิวาสนุสติญาณระลึกถึงอดีตชาติเล่าทุปตชาดกขึ้นในบัดนั้น
 ครั้งหนึ่งเมื่อแคว้นกาสีผลัดมหาราชพระองค์ใหม่ในต้นแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัต ครั้งนั้นเมืองพาราณสี
ยังอยู่ในกาลรื่นรมย์ “ข้าแต่มหาราช พวกกระหม่อมได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองการครองราชของพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ” “ดีแล้วหละ พวกท่านจงนำอาหาร

เครื่องดื่มออกมาให้ผู้คนทั้งหลายได้ดื่มกินกันเถิด ให้ผู้คนหยุดทำงานเลี้ยงฉลองกันให้เต็มที” การค้าวาณิชย์รุ่งเรือง ผู้คนจากสารทิศหลั่งไหลมาชื่นชมบารมีพระราชา

การละเล่นหลาหลายล้วนมีให้ชมกันตลอดวันตลอดคืน “ฮ่าๆๆ  มีความสุขจริงๆ” “นอกจากกรรณิกาอันดุจดอกไม้หลากสี
ที่อุชเชนีแล้ว อาหารแพรพรรณและการละเล่นที่นี่ก็ถูกใจข้าไม่แพ้กันเลย” “ดีจังเลยที่เราได้มาร่วมฉลอง ไปๆๆ ไปทางโน้นกันเถอะ คนมุงดูทางโน้นเยอะแยะเลย

สงสัยจะมีการแสดงดีๆ ให้ดู” มิใช่แต่ในกำแพงพระนครหลวงเท่านั้นที่มีการร้องรำเลี้ยงอาหารกันครึกครื้น ในชนบทนอกกำแพงก็สนุกสนานไม่ต่างกันเลย “โห้ อาหาร

น่ากินทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลยเรา เอาอันนี้ก่อนแล้วกัน เอ้ อันนั้นก็น่ากินนะนั่น”
  “ดูสิจ๊ะลูก ตรงโน้นมีการแสดงร่ายรำ น่าดูจริงๆ เราเข้าไปดูกันมั๊ย” “ไปสิแม่ แต่ขอไปกินขนมตรงนั้นก่อนได้มั๊ยครับ” แม้บุตรหญิงและกุมารีที่อยู่ในตระกูลสูง
 ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ชมเมือง ก็ยังสนุกสนานจากการดูและการฟังจากไกลๆไม่ได้ “พี่ดูนั่นสิจ๊ะ ชายคนนั้นกินทั้งอาหาร ดื่มทั้งสุรามูมมามไปหมด เมาแล้วก็ร่ายรำ
 ตามนางรำดูตลกจริงๆ” “ไหนๆ ตรงไหนกัน อ๋อ ตรงนั้นนะเหรอ ตลกดีนะ” “เฮ้ย ดูตรงโน้นสิมีนางรำด้วยหนะ สวยจริงๆ”
ในเวลานั้นมีนักแสดงผาดโผนสองคน เดินทางมายังนิคมชนบทแห่งนี้ คนหนึ่งสูงวัยเป็นอาจารย์ อีกคนเป็นศิษย์หนุ่มแน่น สุขุมและอ่อนน้อม “โอ้โห ที่เมือง

จัดงานแสดงกันอยู่ด้วยรึ ดีล่ะ ชนบทที่นี่และที่เราควรจะแสดงวิชาเหาะข้ามอาวุธกันศิษย์เอ๋ย” “ถ้างั้นเราไปหามุมแสดงดีๆ กันเลยไหมครับท่านอาจารย์” “อย่างเพิ่งๆ

พาราณสีไม่มีเวลาหลับนอน เราจะแสดงเมื่อใดก็ได้ เจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบไปเลย ตอนนี้เราไปหาที่นั่งดื่มกินกันดีกว่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก”
  ความครึกครื้น ของอาจารย์ มักมีสุราร่วมสนุกด้วยเสมอ ศิษย์หนุ่มรู้ความไม่ควรนั้น แต่สุดจะทัดทาน “เฮ้อ เมาอีกตามเคย จะแสดงผาดโผนได้อย่างไรกัน หากดื่มสุรา

จนมึนเมาไม่ได้สติ ยากจะห้ามปรามจริงๆ อาจารย์เรา” บุญหรือกรรมบันดาลก็สุดจะเดาที่เกิดมีนักเที่ยวนักดื่มที่นั่งร่ำสุราอยู่ก่อนจำทั้งศิษย์อาจารย์ได้ “เฮ้ย นั้นนักแสดง

เสี่ยงตายข้ามหงอก 4 เล่มมิใช่รึ นี่คงจะมาเปิดการแสดงที่บ้านเราน่ะซิ”
 “งั้นต้องไปทักให้แน่ใจซะแล้ว ได้ชนเหล้าสักแก้วก็คงดีไม่น้อย” นักแสดงกระโดดเหาะตัวอาจารย์นี้เป็นคนโอ้อวดและดื้อรั้นไม่เชื่อใคร เมื่อมีคนมาทักทายก็หลงปลื้ม

“สหายเอ๋ย เรื่องกระโดดข้ามหอกนี่นะ ในอนุทวีปนี้ ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก ข้าตระเวนแสดงไปทั่ว กี่ที่ๆ ก็มีแต่คนตื่นเต้นตกใจในฝีมือของข้า ว่ากันว่า มีแต่ข้านี่แหละ

ที่แสดงได้ดีหวาดเสียวกว่าใครๆ ฮ่า ฮ่าๆ” “ใช่ๆ เราก็เคยได้ยินเช่นนั้นเหมือนกัน ผู้คนต่างลือกันว่า ท่านนักแสดงกระโดดได้ไกลกว่าผู้ใด”
 “โอ้โห อย่างนั้นเลยเหรอ ท่านนักแสดงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจเพียงนี้เชียวรึ” “จริงๆ ข้าก็ได้ยินข่าวลือมาเช่นนั้นเหมือนกัน” “ฮะๆ ก็ถูกอย่างที่พวกท่านเคยได้ยิน

มานั่นแหละ ขนาดศิษย์ของข้าเองที่สอนมันมากับมือ แม้จะร่ายรำได้ทุกกระบวนท่า หรือแสดงอื่นได้เหมือนกับข้า แต่ที่ไม่อาจจะกระทำได้เหมือนกับข้าก็คือ

การกระโดดสูงและไกล
  ข้ามหอกแหลมคม อักปักเรียงกันไว้ได้ไกลเท่าข้าเลย พูดแล้วจะหาว่าคุย ฮ้าๆๆ”พอสุราเข้าลำคอ นักแสดงตัวเอกก็ร่ายร่ำคำโอ้อวดไม่หยุด “สหายเอ๋ย ว่าแล้ว

จะหาว่าคุยนะเนี่ย ข้าจะเล่าให้ฟัง ทุกสถานที่ ที่เราแสดงนั้น จะมีวิหารสูงดังชนบทบ้านนี้เหมือนกันแม้จะสูงเพียงใด ข้าก็จะขึ้นไปยืนสง่า อวดร่างสมส่วนแล้วก็ร่ายรำ

ให้ดูจนเพลินตา จากนั้นก็จะวิ่งให้เร็วประดุจลูกธนูแล้วก็กระโดดขึ้นสูงถีบร่างไปได้ไกลกว่านักกีฬาคนใด
 หอก 4 เล่มที่ปักไว้บนพื้นดิน ข้าก็สามารถข้ามได้อย่างง่ายดาย คนดูทั้งหลายปรบมือให้ข้าดังสนั่น ทุกคนต่างทึ่งในความสามารถนี้ของข้ากันหมด หึๆ ฮ่าๆๆ”
อาจารย์ขี้อวดเล่าถึงการแสดงผาดโผนของเขาให้นักดื่มที่นั้น ฟังอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่า เหตุร้ายได้มาถึงตัวแล้ว “ในชนบทอื่น ท่านอาจารย์กระโดดได้
4 เล่มหอก แล้วชนบทบ้านข้านี่เล่า ท่านยังกระโดดได้เท่าเดิม อยู่เท่านั้นรึ”
 “ฮ่าๆๆ สบาย เจ้าจะเอากี่เล่มละ สัก 5 เล่ม เลยดีไหม เดี่ยวข้าจะกระโดดให้เจ้าดูเอง แหม มาลองดี เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นกับตาวันนี้หละ ข้าจะแสดงการกระโดดหอก
5 เล่มให้ดู หึๆ ฮ่าๆๆๆ” “ห๊า จริงรึ เป็นบุญตาของข้ายิ่งนัก หอก 5 เล่ม นี่ถือว่าทำลายสถิติที่เคยแสดงไว้ที่ไหนๆ เลยนะเนี่ย ดีเลยข้าจะได้ไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังว่า ได้ชม
 ท่านกระโดดข้ามหอกตั้ง 5 เล่ม รับรองต้องมีคนอิจฉาอยากดูเหมือนข้าแน่ๆ” มานพหนุ่มผู้เป็นศิษย์ได้ยินคำอวดดีก็เข้าห้ามปรามไว้
 “อาจารย์ ท่านไม่เคยกระโดดข้ามหอก 5 เล่มมาก่อน อย่ากระทำในสิ่งที่ไม่เคยกระทำเลย”“โธ่เอ้ย เจ้าศิษย์ด้อยฝีมือ หอกแค่ 5 เล่มทำไมเราจะทำไม่ได้ ก็แค่เพิ่ม

มาอีกเล่มเดียวจะเป็นไรไป แต่ครั้งนี้ท่านดื่มสุราเสียเมามาย มันจะยิ่งยากที่บังคับตัวเองให้เคลื่อนไหวตามใจได้นะอาจารย์” “เราเป็นอาจารย์เจ้านะ เจ้าเป็นแค่สิทธิ์

จะมาสั่งสอนอาจารย์ได้เช่นไร อย่ามาห้ามนักเลย
    เราจะแสดงให้พวกนี้ได้เห็นในฝีมือถึงเจ้าจะห้ามอย่างไร เราก็จะไม่ฟังหรอก” เมื่อเป็นเช่นนี้ การแสดงกลางชุมนุมชนหลังจากนั้น จึงเป็นการกระโดดข้ามหอก

เสี่ยงตาย 5 เล่ม ตามคำโอ้อวดของอาจารย์ผู้ดื้อรั้น “นี่ เพิ่มไปอีกเล่ม เป็น 5 ทีนี้ล่ะ จะได้ตะลึงกันตาค้างแน่ๆ นักแสดงฝีมือดีอย่างเราสบายอยู่แล้ว เฮอะๆๆ 5 เล่ม

ก็ 5 เล่มเถอะ” ถึงเวลาแสดงจริง อาจารย์นักกระโดดหอกก็ขึ้นไปทำท่าเรียกลมปรานตามวิชาตน
  “สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เรียกพลังกันหน่อย อืม ได้กลิ่นแหล้า มาตรึมเลย โอยตาลายไปหมด เพิ่มสมาธิ(Meditation)สักหน่อยดีกว่า” หลังจาเรียกลมปรานยืนทำสมาธิ

แล้วอาจารย์ขี้อวดนี้ก็ร่ายรำตามตำราเพื่อขยายกล้ามเนื้อเรียกกำลังตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกายก่อนออกวิ่งอย่างเร็ว เมื่อออกวิ่งอย่างรวดเร็ว แล้วนักแสดงผาดโผน

ผู้เป็นอาจารย์ก็ถีบตัวเองกระโดดลอยข้ามหอกเล่มที่ 1 2 3 และเล่มที่ 4 ได้อย่างง่ายดายเหมือนทุกครั้ง
  “หึๆ ง่ายเหมือนปอกกล้วย ผ่านไป 4 เล่มแล้วเห็นมั๊ยต่อไปก็เล่มสุดท้ายแล้วล่ะ เล่มที่ 5 เฮ้ย” พอเลยตัวมาถึงหอกเล่มที่ 5 การยกน้ำหนักตัวผ่านหอกเล่มนี้
 ไปนั้นของ มันยากเกินจะทำได้ “อ้าว เฮ้ย ลอยก่อนซิ ลอยก่อน จะรีบลงทำไมว่ะเนี่ย ตายๆๆๆ ตายแน่โยกตัวไม่ขึ้นอีกนิดเดียวก็จะพ้นแล้ว ลอยอีกหน่อยซิโว้ย”
อาจารย์ผู้โชคร้ายรู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงดึงลงต่ำไปเรื่อย
  จนถึงความวิบัติ ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่ควรเลยแท้ๆ”“เฮ้ย ไม่พ้นแน่เลยเรา โอ้ยตายๆๆๆ ตายแน่ๆ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ช่วยข้าด้วย โอ๊ย”และแล้วจุดจบของ

นักกระโดดผู้ไม่ยอมฟังใคร แม้แต่จากศิษย์ที่รักและหวังดี ก็มีสภาพอนาถ หอกเล่มที่ 5 ปักทะลุกลางหลังขึ้นมาถึงท้อง เลือดไหลเป็นทางตามด้ามหอกเล่มที่ 5

ที่เพิ่มมาด้วยความอวดดี ดื้อดึงของเขา และก็เป็นเล่มที่ทำให้เขาได้พบจุดจบอีกเช่นกัน
ในพุทธกาลครั้งนั้น พระพุทธศาสดาประชุมชาดกเรื่องนี้ว่า

อาจารย์นักกระโดด กำเนิดเป็นภิกษุผู้ว่ายาก

มาณพผู้เป็นศิษย์ เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า

ที่มา http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-สีลวนาคชาดก.html

บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ