ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” เรื่องเล่าช่วงเวลาก่อน หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ มรณภาพ  (อ่าน 679 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



“ไม่เป็นอะไรกับอะไร” เรื่องเล่าช่วงเวลาก่อน หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ มรณภาพ

เมื่อหลายปีก่อน หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ประธานสงฆ์วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ (เจ้าของคำสอน ” ไม่เป็นอะไรกับอะไร “) ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก้อนเนื้อไม่เพียงบีบหลอดลมและทำให้คอบวม หากยังลามแพร่กระจายไปถึงขั้วปอด ท่านต้องเข้ารับการรักษาตัวในห้องไอซียู และเมื่ออาการทุเลาแล้วก็ต้องรับการบำบัดด้วยเคมีและการฉายแสง

ตลอดเวลาหลายเดือนที่รักษาตัวนั้น ท่านได้รับทุกขเวทนามาก แต่ท่านแทบไม่แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ เลย แม้บางครั้งหายใจไม่สะดวก ท่านก็ไม่มีอาการกระสับกระส่าย ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังในเวลาต่อมาว่า “การปวดนี่มันก็ไม่ได้ลงโทษเรา ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ (ถ้า) เราเป็นผู้ปวด นี่มันลงโทษเราก็เห็นมันปวด ไปลงโทษอะไรมัน (ทำไม)”


@@@@@@

ท่านยังเล่าอีกว่า ตอนนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น“มันแสนสบายหนอ เพราะมีคนทำให้ทุกอย่าง” ท่านกล่าวเสริมอีกว่า “ตอนนั้นไม่ต้องทำอะไรหรอก เห็นไตรลักษณ์อย่างเดียวพอแล้ว มันโชว์ให้เราเห็นเอง”

ต่อมามะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลับมาใหม่ ทีแรกก็อุดหลอดอาหาร ต่อมาก็อุดหลอดลม ท่านจึงต้องรับอาหารทางสายยางและหายใจทางท่อ ไม่สามารถพูดได้ ต้องสื่อสารกับผู้อื่นด้วยการเขียนหรือใช้มือ

ความเจ็บป่วยครั้งนี้ก่อทุกขเวทนาให้แก่ท่านมาก อีกทั้งยังทำให้ท่านอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ท่านตระหนักดีว่า คราวนี้คงจะไม่รอด แต่ท่านก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เพราะ“เวลานี้มีแต่ปล่อยวาง ไม่เป็นอะไรกับอะไร”



เป็นเวลาหลายสิบปีที่หลวงพ่อคำเขียนได้ย้ำกับลูกศิษย์เสมอว่า ให้มีสติรู้กายรู้ใจอยู่เนือง ๆ หลักสำคัญก็คือ “เห็น อย่าเข้าไปเป็น” เมื่อท่านล้มป่วย ท่านได้อาศัยสติในการรับมือกับทุกขเวทนา ดังท่านเล่าว่า “มีแต่สติเป็นสภาวะที่ดู ไม่ได้เข้าไปเป็นอะไรกับอาการที่เกิดขึ้นกับกายและใจ จิตใจไม่มีอะไรครอบงำได้ เป็นอิสระเลย ไม่ต้องเป็นอะไรกับอะไร”

กายป่วย แต่ใจไม่ป่วยนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ เมื่อกายป่วย ก็ต้องรักษาหรือบรรเทาด้วยยา หลวงพ่อไม่อยู่ในวิสัยที่จะช่วยตัวเองได้ในเรื่องนี้ จึงต้องพึ่งหมอ พยาบาล และลูกศิษย์ ส่วนจิตใจนั้น ท่านดูแลด้วยตนเองอย่างดีจนไม่รู้สึกเจ็บป่วยไปกับกาย ท่านอธิบายว่า “ธาตุขันธ์ยังเป็นภาระต่อผู้อื่น ส่วนจิตใจ ไม่ต้องมีใครช่วย มีสติ มีจิตดูจิตเอง ไม่มีอะไรที่จะต้องไปเป็น เลยไม่ต้องเป็นอะไร”


@@@@@@

หลังจากอาพาธได้ 7 เดือน วาระสุดท้ายของท่านก็มาถึง อาการบวมของต่อมน้ำเหลืองได้ลุกลามขยายตัว ดันหลอดลมตอนล่างจนเกือบปิด ทำให้ท่านหายใจติดขัดลำบากมาก ไม่ว่าจะเยียวยาเพียงใดก้อนเนื้อก็ไม่ยุบ แต่ท่านยังคงไม่มีอาการทุกข์ร้อน มีช่วงหนึ่งทั้ง ๆ ที่อาการของท่านน่าวิตกมาก แต่ท่านกลับขอเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายอุจจาระ จากนั้นก็ล้างมือล้างหน้า แล้วกลับขึ้นมาบนเตียงด้วยตนเอง

ไม่นานหลังจากนั้น การหายใจของท่านก็ติดขัดมากขึ้น ลูกศิษย์พยายามแก้ไขสถานการณ์ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะได้ผล ระหว่างนั้นหลวงพ่อซึ่งมีสติตลอดเวลาได้ขอกระดาษและดินสอเขียนข้อความว่า “พวกเรา ขอให้หลวงพ่อตาย” เมื่อยื่นแผ่นกระดาษให้เสร็จ ท่านก็ประนมมือไหว้เพื่อขอบคุณลูกศิษย์ที่ดูแลท่าน และเป็นการอำลาไปพร้อม ๆ กัน จากนั้นท่านก็นอนนิ่ง สักพักก็หลับตา ครู่ใหญ่ลมหายใจของหลวงพ่อก็ขาดหายไป แล้วสัญญาณชีพทั้งหมดของหลวงพ่อก็หมดสิ้นลง



หลวงพ่อคำเขียนจากไปอย่างสงบ ไม่แสดงความทุกข์ใด ๆ ให้เห็นในวาระสุดท้ายของท่าน ทั้ง ๆ ที่กายนั้นถูกทุกขเวทนาบีบคั้นอย่างแรง ท่านทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เพราะท่านเพิ่งเตรียมตัวเตรียมใจ เมื่อรู้ว่าความตายจะมาถึง ที่จริงท่านไม่ได้เตรียมใจใด ๆ เลยก็ว่าได้ มีแต่เตรียมตัวด้วยการชำระกายให้สะอาดสำหรับวาระสุดท้ายเท่านั้น

ทั้งนี้เพราะท่านได้ฝึกฝนบ่มเพาะจิตใจด้วยวิปัสสนากรรมฐานมานานแล้ว จนเห็นความจริงของรูปและนามหรือกายกับใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตน จึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นได้เลย เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ไม่สำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้นว่าเป็น “ตัวกู ของกู” กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ปรุงแต่ง “ตัวกู” ขึ้นมาเป็นนั่นเป็นนี่เมื่อมีอะไรมากระทบ

เมื่อมีความปวดเกิดขึ้น ท่านก็เพียงแค่เห็น แต่ไม่เข้าไปเป็นผู้ปวด จิตจึงเป็นปกติ อิสระ และสงบเย็น ด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่ป่วย ท่านจึงเขียนเล่าอย่างมั่นใจว่า “เวลานี้อยู่กับความไม่เป็นอะไรกับอะไร”


@@@@@@

ตายอย่างสงบนั้นเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เพราะโชค ความบังเอิญหรือเทคโนโลยี หากเกิดจากการฝึกฝนตน มิใช่ด้วยทานและศีลหรือการทำความดีเท่านั้น ที่สำคัญอันเป็นหลักประกันอย่างแท้จริงก็คือ การภาวนาหรืออบรมจิตจนเห็นความจริงของกายและใจอย่างแจ่มแจ้ง กระทั่งปล่อยวางทุกสิ่ง แม้กระทั่งความยึดถือในตัวตน ถึงตอนนั้นเมื่อความตายมาถึงก็ไม่มีผู้ตายอีกต่อไป มีแต่สังขารที่เสื่อมสลายและคืนสู่ธรรมชาติ

แม้จะยังไปไม่ถึงจุดหมายดังกล่าว เพียงแค่อยู่ระหว่างทาง การตายอย่างสงบก็ไม่เหลือวิสัย ขอเพียงแต่ลงมือปฏิบัติเสียแต่เดี๋ยวนี้ ไม่งอมืองอเท้า ชะล่าใจ หรือหวังไปตายเอาดาบหน้า 



 
บทความเรื่อง : “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล
ที่มา : นิตยสาร Secret
Photo by : Neemo Ofurhie on Unsplash
Secret Magazine (Thailand) ,IG @Secretmagazine
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/4228.html
By Minou , 14 June 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ