ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เข้าใจ นิมิต ให้ถูก สำหรับ นิมิตที่เป็น ผล จาก อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต มี 3 แบบ  (อ่าน 5445 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


   ไปเยี่ยมเพื่อน ๆ สหธรรม กันมา เห็นว่าเคยปฏิบัติด้วยกันมา หลาย 25 ปี แต่เมื่อไปถึงอธิบายว่า ภาวนา ต้องอาศัย นิมิต เพื่อนสหธรรม ท่านนั้น ก็พูดโพล่ง ขึ้นมาว่า

     .."นิมง นิมิต อะไร บ้า ทั้งนั้น ไม่มีหรอก นิมิต ภาวนา ไม่ต้องอาศัย นิมิต แล้วท่านก็เดินหัวเราะ บอกว่า เรานั่นแหละบ้า " ที่พูดมีมากกว่านี้ แต่ คงไม่ต้องเล่าให้ละเอียด ให้เป็นเรื่องเริ่มต้น แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันนี้ ผู้ที่เข้าใจผิดในเรื่องกรรมฐาน เหมือนที่พระอาจารย์เคยเป็นมาก่อน นั้นมีอยู่จำนวนมาก ไม่ใช่ฆราวาส เป็นถึงพระสงฆ์ บางรูปเป็นถึงครูอาจารย์ สอนคนเป็นจำนวนมาก แต่จะสังเกตได้ ไม่มีลูกศิษย์ที่ไปถึงฟากฝั่งได้จริง สักคน มีแต่เพียงความเข้าใจในหลักธรรม บางคนมานั่งพูดกับพระอาจารย์แนะนำตัวเองว่า เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี บ้างท่านก็หนักว่าเป็นพระอรหันต์ และไม่ใช่ธรรมดา เป็นพระอรหันต์ฝ่ายเจโตวิมุตติด้วย ไม่เป็นไร ฟังแล้ว ก็อนุโมทนา ไม่ขัด และก็ไม่ตาม ถ้าตอบคำถามเราไม่ได้ ก็ไม่ใช่ ในสายธรรมเรา

       โดยเฉพาะพระอรหันต์ ถ้าเป็นสายเจโตวิมุตติ แล้ว ไม่มีรูปนิมิต ของพระอรหันต์ 1 ใน 6 สำหรับพระอาจารย์แล้ว เท่ากับไม่ใช่นะดังนั้น
       และสำหรับ พระอรหันต์ วิปัสสก เมื่อตรวจด้วย โวหาร 4 ( แว่นส่องคุณธรรม ) แล้วไม่เข้าข่าย ก็คือไม่ใช่ นะจ๊ะ

       ที่กล่าวมานี้ เกี่ยวพันกับนิมิต โดยตรง เลย
       นิมิต สำหรับ ใช้การภาวนา เริ่มต้น นั้น มี อยู่ 4 อย่างคือ
       1.บริกรรม นิมิต ตามองค์กรรมฐาน นั้น ๆ
       2.อุคคหนิมิต นิมิตที่ปรากฏด้วยการถือเอาตามบริกรรมนิมิต จนปรากฏ ภาพ ลักษณะ สี ในจิต ตามองค์กรรมฐาน นิมิต นี้ปรากฏได้ตั้งแต่ อุปจาระฌาน ขึ้นไป ตามองค์แห่งกรรมฐาน
       3.ปฏิภาคนิมิต นิมิตที่แปลงจาก อุคคนิมิต ด้วยอำนาจสมาธิ อันเป็นอัปปนาจิต นิมิตมีได้ ตั้งแต่ ปฐมฌานขึ้นไป เด่นชัด้วยบารมี
       4.อนิมิต  คือ นิมิตที่เมื่อภาวนาเข้าไปในขั้นที่สูง แล้ว ไม่ปรากฏนิมิต คือ นิมิตหายไปเลยด้วยอำนาจแห่งฌาน แต่ จะเริ่มมี ก่อน ที่จะไม่มี ไม่ใช่ ไม่มี แล้วไปสู่ ไม่มี อนิมิต ส่วนมากปรากฏในกรรมฐาน ประเภท อัปปมัญญา เพราะเป็นกรรมฐานอาศัยคุณธรรมจิต อย่างเช่น อุเบกขาอัปปมัญญา เมื่อถึงแล้ว ไม่ปรากฏ ฌาน 1 - 3 เพราะอุเบกขาอัปปมัญญา เป็น จตุตถฌาน เลย ด้วยอำนาจอุเบกขา ในอัปปมัญญาเอง ดังนั้นกรรมฐานกองนี้ จึงมีการกล่าวชื่อเป็นคุณธรรมพิเศษ เรียกว่า การบรรลุด้วยอำนาจแห่งจิต คือ อัปมัญญาเจโตวิมุตติ และ อัปปมัญญาเจโตวิมุตติอนิมิตร  ดังนัน อนิิมิต มาจากการมี สู่่ การไม่มี ไม่ใช่ ไม่มี และ ก็ไม่มี สิ่งใดที่ไม่มีตั้งแต่เร่ิมต้น จะไม่สามารถกล่าวได้ว่า มี หรือ ไม่มี เพราะมีสถานะ เท่ากับ เป็นกลาง นะ

        ที่นี้นิมิตเวลาภาวนาเข้าไปแล้ว ในองค์กรรมฐาน จะปรากฏ ผลแห่งนิมิต มีอยู่ สามประการ ด้วยอำนาจสมาธิ บุญบารมีที่เคยสั่งสมมาแต่ละคนด้วย

        1.วรรณะนิมิต  คือ นิมิตที่เป็นสี และ ลักษณะ รวมทั้่งรูป นิมิต ต่าง ๆ ด้วย
           ส่วนใหญ่ จะเป็นรูปกรรมฐาน นะ อันนี้
        2.ธาตุนิมิต คือ รูปนิมิต ที่ปรากฏเป็นธาตุ อันนี้ซับซ้อน หน่อย แต่ คำว่าธาตุ ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ มน วิญญาณ พุทธ เป็นต้น ไม่ใช่ ธาตุ 18 ในวิปัสสนา คนละเรื่องกัน กรรมฐานที่ให้ผลโดยตรง คือ ธาตุกรรมฐาน เช่น จตุธาตุววัตถาน กายคตาสติ อานาปานสติ พุทธานุสสติ จนถึง อรูปกรรมฐาน เป็นต้น
        3.ปฏกูลนิมิต คือ รูปนิมิต ที่ปรากฏเด่นชัดในสมาธิ ในความเป็นของปฏกูล น่าเกลี่ยด ขยะแขยง ผู้ฝึกอย่างนี้ส่วนใหญ่ จะใช้กรรมฐานประเภท อสุภกรรมฐาน กายคตาสติ
 
        ผลของนิมิต ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิ ในสายกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ที่อาศัยพุทธานุสสติ อาศัย ลักษณะของปีติ พระยุคลธรรม พระสุข ก่อน จึงเป็น รัศมีในสมาธิ รัศมี จะมีได้ ต้องอาศัยรูปนิมิต รูปนิมิต จะปรากฏได้ต้อง อาศัย แสงสว่าง ดังนั้นสิ่งสำคัญในสมาธิ ที่ควรได้พร้อมกับนิมิตที่เป็น อุคคหนิมิต นั่นก็คือ แสงสว่าง แสงสว่างในที่นี้ ไม่ใช่ อาโลกกสิณ แต่ เป็น อาโลกสัญญานิมิตที่มีอยู่ประจำกองกรรมฐาน ถ้าไม่มีแสงสว่าง ก็ไม่มีรูป ไม่มีรูป ก็ไม่มีสี ( รัศมี ) มีไม่ได้

        ดังนั้น นิมิตที่เกิดในภายในจิตนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ครูอาจารย์จะทำการสอบเรื่องนิมิต ในสายกรรมฐาน มัชฌิมา เบื้องต้นสอบ วรรณะนิมิต เพราะ รัศมี และ ลักษณะ นั้น อุปาทานเข้าไปหลอกไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้สำหรับสายภาวนาอาศัยสมาธิ นะ แต่อย่าลืมว่า สมาธิ จะมีได้ ต้องมาจากสติก่อน สติก็คือ บริกรรม ถ้าไม่มีบริกรรม ก็ไม่มีสติ

        ต่อไป นิมิต ประจำกาย ก็คือ ผลของนิมิต ของพระอริยะตายตัว เลย แต่ละระดับ มีนิมิต สัญญลักษณ์ ของตน ปรากฏมีข้อความในพระไตรปิฏก อยู่ด้วยกัน 6 นิมิต ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ ที่ปรากฏประจำตัว ของพระอรหันต์ 6 แบบ สำหรับ พระพุทธเจ้าเป็นทั้ง 6 แบบ สำหรับ อริยะสาวก แม้อัครสาวก ก็มีเพียงแบบเดียวเท่านั้น สำหรับพระพุทธเจ้า แสดงนิมิต ให้ปรากฏแก่ชนทั้งหลาย ด้วยพุทธญาณ ดุจดั่ง ฉัพพรรณรังษี

       ส่วนอริยะสาวก แสดงให้กันและกัน ในนิมิตกรรมฐานเท่านั้น ดังนั้นจึงมีแต่ เจโตวิมุตติ กับ เจโตวิมุตติด้วยกัน เท่านั้นที่จะทราบ แต่ ถึงเห็นก็ไม่ได้ยืนยันว่า ใช่หรือไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องภายในที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามไว้ เรื่องการแสดงฤทธิ์ ดังนั้นถึงจะเห็นก็เป็นว่าเข้าใจซึ่งกันและกัน สำหรับกรณีนี้ เป็นกรณีที่บรรดาพระอริยะสาวกชุดแรกที่ทำการสังคายนา ใช้วิธีการนี้ตรวจสอบว่า รูปใดเป็นพระอรหันต์หรือไม่ รูปใดไม่ใช่ เพราะการทำการสังคายนาครั้งแรก ต้องการพระอรหันต์ทั่งหมดที่มีความสามารถในพระไตรปิฏ คือเชี่ยวชายพระสูตรทรงจำไว้ ในครั้งนั้นไม่ใช่มีแต่ พระอานนท์ ที่ยังไม่บรรลุ แม้แต่ พระอีกหลายรูป ที่ต้องเข้าก็ไม่ได้สำเร็จก็มีฟังมาจากครูนะ แต่พระไตรปิฏก ระบุเฉพาะรุปเดียวคือพระอานนท์ ถึงแม้พระอานนท์ท่านดำดินไปโผล่ท่ามกลางสงฆ์ขณะนั้น บรรดาพระอรหันต์ท่านทราบดี การดำดินมานี้ ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นในตอนนั้นอาศัยพระอนุรุทธซึ่งมีทิพยจักษุเข้าไปตรวจสอบดูนิมิต แห่งพระอรหันต์ ของพระอานนท์ ว่าปรากฏหรือยัง ดังนั้นเมื่อเห็น 1 ใน 6 สํญญลักษณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงไว้ จึงรับรองก่อน พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นประธานก็เข้าตรวจ และรับรองเช่นกัน แม้พระอรหันต์ท่านอื่น ก็เข้าตรวจและรับรองซึ่งมีทั้งหมด 7 รูปด้วยกันรับก่อนเบื้องต้นจากนั้นจึงเป็นที่ยอมรับในท่ามกลางสงฆ์ ที่กล่าวตรงนี้เพื่อให้ท่านมองเห็นความจริงว่า การดำดินไปโผล่ไม่ใช่แสดงการเป็นพระอรหันต์ นะเพราะขอมดำดิน ได้เหมือนกัน

        ดังนั้นถ้าท่านเข้าใจเรื่องนิมิต ดี ก็จะสามารถภาวนาได้ถูกทาง

       เหมือนอย่าง อานาปานสติ การใช้ลมหายใจเข้าออก ด้วยสติ มีเพียงสองขั้นแรกเท่านั้นแหละ จากขั้นที่สามไป ก็เป็นอุคคหนิมิต อุคคนิมิต ก็คือลมหายใจเข้าออก และในอานาปานสติ ก็อาศัยนิมิตนี้แหละจนถึง ขั้นที่ 16 สุดท้ายจนถึงวิปัสสนา นั่นแหละ

      คุยกันเบา ๆ แค่นี้ก่อน ช่วงนี้หลายท่านกล่าวว่าฉันสอนขั้นสูง อันที่จริงก็หลายปีแล้ว น่าจะไปถึงขั้นสุดท้ายได้แล้ว บางท่านยังนิยมหายใจเข้าออก สั้น ยาว อยู่ 1 และ 2 อยู่ไม่ยอมเปลี่ยน ฉันอยากดันท่านทั้งหลายไปขั้นที่ 16 เสียที ช่วงหลังมาก็เลยบรรยายธรรมออกมาตั้งแต่ขั้นที่ 12 จนถึง 14 นะ พอหลาย ๆ ท่านฟังบอกว่า สูงมากเหตุเพราะว่าท่านยังย่ำอยู่กะที่ ขั้นที่ 1 และ 2 ไม่ยอมเปลี่ยนกันนั่นเอง

      ไม่เป็นไร นั่นเป็นความพอใจของพวกท่าน สังสารวัฏฏ์ จะยาวนานหรือสั้น อยู่ที่ท่านทั้งหลายเลือกกันเอง ฉันเอง ไม่มีเวลาสอนท่านได้นานจากอัตภาพนี้ ก็รู้ตัวแล้ว ว่าอีกไม่นานฉันจะไปแล้ว ชาตินี้อายุสั้น แต่จะไปเมื่อไหร่ คงไม่ประกาศเอาเป็นว่า รู้ตัวเองก็พอแล้ว นะ

      เจริญธรรม / เจริญพร

 
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขออนุโมทนาสาธุ

       สมเด็จสุกได้กล่าวไว้ในหนังสือ      ทั้งดิน นำ ลม ไฟ มีในปาก
       
       ธรรมชาติโลกทั้งหลายรวมวัฏจักร      นาฬิกาที่ไร้เข็มเริ่มทํางาน

       พระอาจารย์สนธยาที่วัดแก่ง            เคยแสดงอุปมาอุปมัย

      ไม่เอาขอบให้เอาตรงกลางใจ            หมุนคว้างไปบิดเป็นเกลียวเหมือนดั่งกรวย
       
      พระอาจารย์ที่เขาวงอีกองค์หนึ่ง         เป็นผู้ซึ่งสอนบอกนาฬิกา

      หรือคลอบสุ่มจะจับไปที่ตัวปลา          ก็จับปลาอย่ามาควานอยู่นอกสุ่ม

     ธรรมอันนี้ชนกันที่วันนี้                     พยากรณ์มาหลายปีแต่ใช้ได้

     บอกให้ถึงอัศจรรย์ซ่านหัวใจ             เจโตไซร้คําทํานายไม่ต่างกัน

    สายเจโตต้องเอียงหูฟังเจโต              คงไม่เขลาไปฟังผู้มองไม่เห็น

    พระธรรมกายพระธรรมจักรต้องดูเป็น      ยังไม่ได้ยังไม่เห็นต้องตามครู

    ครูที่จะสอนสั่งอย่างนี้ได้                    ไม่มีอะไรจะเอา  อะไรมาสอน

    เดินเข้าจักรสุกิติมาเป็นตอนๆ               แม้จะย้อนหกนิมิตตามพระไตร

    ขอให้ได้ตามใจมั่นอย่างธรรมนั้น           ครูอาจารย์สอนตอนนี้ยังเห็นอยู่

   หรือจะรอในนิมิตคงมากอยู่                ต้องได้หูทิพย์ตาทิพย์สัมผัสกัน

   ในวันนี้เราขอฟังด้วยหูเนื้อ              และมองดูด้วยตาเนื้อเพื่อเข้าใจ

   คงไม่รอได้ของทิพย์จึงดูได้            ประมาทไปพรุ่งนี้ตายก็จบกัน           

   

           
        :035: :035: :035: st11 st12 st12 st11 :035: :035: :035:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 16, 2014, 10:26:42 pm โดย aaaa »
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

ฟ้าใหม่แจ่มใส

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 226
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องว่า ยายกบ เพราะชวนมาศึกษาธรรมะ