ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ซิ่น” แห่งนครเชียงใหม่ วัฒนธรรมการแต่งกายสตรีชาวยวน  (อ่าน 682 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5 ทรงนุ่งซิ่นเมื่อประทับอยู่ในพระราชฐานฝ่ายใน


“ซิ่น” แห่งนครเชียงใหม่ วัฒนธรรมการแต่งกายสตรีชาวยวน

“ซิ่น” ของสตรีชาวยวนหรือล้านนา อันเป็นอัตลักษณ์ในแทบภาคเหนือของประเทศไทย ซิ่นในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีความแตกต่างกัน บางจังหวัดจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย ลักษณะผ้า การย้อมสีฝ้าย ฯลฯ และในจังหวัดเชียงใหม่เองก็มีซิ่นหลากหลายรูปแบบ อันแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของช่างทอผ้าชาวล้านนาแต่โบราณ

หลักฐานเรื่องการแต่งกายและนุ่งซิ่นของชาวล้านนานั้นมีบันทึกค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ที่จะพอศึกษาได้จะเป็นศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ เช่นประติมากรรมรูปปูนปั้นเทวดารอบเจติยวิหาร วัดเจดีย์เจ็ดยอด ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายชนชั้นสูงในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งราชวงศ์มังราย หลักฐานที่เห็นปรากฏการแต่งกายของชาวล้านนาชัดเจนมากในยุคหลัง ๆ ไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมาคือภาพจิตรกรรมฝาหนัง นอกจากจะเห็นการแต่งกายแล้วยังเห็นสภาพวิถีชีวิตของชาวล้านนาอีกด้วย

@@@@@@

สำหรับการแต่งกายท่อนบน สตรีเชียงใหม่ตามจารีตจะไม่สวมเสื้อ แต่มีผ้าสำหรับห่มหนึ่งผืน มักเป็นผ้าฝ้าย ฝ้าไหม หรือผ้าแพรจีน  จะนำมาห่มเฉวียงบ่าข้างใดข้างหนึ่งแล้วปล่อยชายผ้าให้ตกไปด้านหลัง เรียก “สะหว้ายแหล้ง” หรือ “เบี่ยงบ้าย” หากนำผ้าห่มมาพันรอบหน้าอกจะเรียกว่า “มัดนม” ส่วนทรงผมจะไว้ผมยาว บำรุงผมด้วยน้ำมันมะพร้าว รวบแล้วเกล้ามวย และมักประดับมวยผมด้วยดอกไม้ บ้างจะเสียบหรือเหน็บดอกไม้ชนิดต่าง ๆ หรือทำเป็นช่อ เป็นพวง พันรอบมวยผม หรือประดับปิ่นก็มี

สำหรับการแต่งกายท่อนล่าง จะนุ่ง “ซิ่น” ที่นิยมนุ่งมากที่สุดคือซิ่นตา (หรือซิ่นก่าน) และซิ่นตีนจก


(ซ้าย) ผ้าโบราณอายุกว่า 100 ปี ของครูสุรโชติ ตามเจริญ (ขวา) ผ้าเก่าของบรรพบุรุษไทยวน เมืองแพร่ อายุกว่า 200 ปี ของครูประนอม ทาแปง

ซิ่นแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ หัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น แล้วจึงนำมาประกอบเป็นซิ่น มีชื่อเรียกตามลักาณะการเย็บต่อกันแบบนี้ว่า “ซิ่นต่อตีนต่อแอว”

    - หัวซิ่น คือส่วนที่อยู่ด้านบนสุด มักเป็นผ้าสองชิ้นมาเย็บต่อกัน นิยมสีแดงหรือสีน้ำตาล และสีขาว หรืออาจเป็นผ้าสีแดงหรือสีดำเพียงอย่างเดียว หัวซิ่นมักทำจากผ้าฝ้ายเนื่องจากเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสร่างกาย ผ้าฝ้ายจะช่วยลดการระคายเคือง และเมื่อทบผ้าหรือมัดผ้าที่เอวแล้วจะไม่หลุดง่าย
    - ตัวซิ่น คือส่วนกลางของซิ่น นิยมทำลวดลายเป็นลายทางขวาง เรียกว่า “ลายตา” สลับสีเข้มสลับอ่อนหรือตามความต้องการหรือความชำนาญของช่างทอผ้า มีหลากสีสัน แต่ที่นิยมมากที่สุดคือสีเหลือง
    - ตีนซิ่น คือส่วนปลายของซิ่น เป็นส่วนที่จำแนกความแตกต่างระหว่าง ซิ่นตากับซิ่นตีนจก หากเป็นซิ่นตาจะเป็นผ้าทอสีแดงเข้ม สีดำ หรือสีน้ำตาล หากเป็นซิ่นตีนจก จะทอผ้าด้วยเทคนิคจกสลับสีเส้นไหม ไหมเงิน หรือไหมทองคำเป็นลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม

สตรีสูงศักดิ์เชียงใหม่จะนุ่งซิ่นที่ใช้วัสดุเป็นเส้นไหมเงินหรือไหมทองมาเป็นส่วนประกอบทอแทรกกับผ้า หรืออาจใช้ผ้าชนิดอื่นที่นำเข้าจากต่างประเทศเช่น ผ้าแพรจากจีน ผ้ายกทองจากอินเดีย

@@@@@@

ซิ่นตีนจกมีลวดลายที่โดดเด่นคือ ลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดกันเป็นลายขนาดใหญ่ เรียกว่า “ลายโคม” และมีลายเล็ก ๆ ด้านข้างอีก 2 หรือ 4 แถว และส่วนด้านล่างของตีนซิ่น บริเวณรอยต่อของผ้าสีแดงและสีดำ จะทำลายเล็ก ๆ ตกแต่งลวดลายเป็นเส้นห้อยลงไปเรียกว่า “หางสะเปา” โดยซิ่นตีนจกที่พบในเชียงใหม่ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มคือ

    1. ตีนจกเจ้านาย นิยมใช้ผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย จกด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง หรือดิ้นปั่นควั่นกับเส้นด้ายกลม ลวดลายละเอียด ปราณีต เป็นซิ่นในราชสำนักหรือคุ้มหลวง นิยมสวมเฉพาะสตรีชนชั้นสูง
    2. ตีนจกสันป่าตอง นิยมจกด้วยดิ้นควั่นฝ้าย ใช้เส้นฝ้ายหลายเส้นทอ ลวดลายจกจะห่างกว่าตีนจกเจ้านาย นิยมสีเข้มค่อนข้างขรึม เน้นสีจากธรรมชาติ
    3. ตีนจกจอมทอง นิยมใช้ผ้าฝ้ายเส้นเล็กหลากหลายสีทอจก นิยมสีเหลือง จกลายห่างจนเห็นพื้นผ้าสีดำ ลวดลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดจะเพรียวผอม ต่างจากตีนจกสันป่าตองที่จะป้อมกว่า
    4. ตีนจกแม่แจ่ม ตีนจกแบบแม่แจ่มนิยมใช้ผ้าฝ้ายเส้นใหญ่ สีสันสดใส ลวดลายจะผอมเพียวกว่าตีนจกแบบจอมทอง บางผืจะจกด้วยรูปนกหรือลายขอกูด และมีจุดเด่นตรงหางสะเปาเป็นสีดำสลับขาว ส่วนตีนจกแบบอื่นจะนิยมสีดำ
    5. ตีนจกฮอดและดอยเต่า นิยมจกด้วยผ้าฝ้ายเส้นใหญ่ สีสันสดใส ลวดลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดทรงป้อม ๆ แต่ขนาดจะใหญ่กว่าแบบอื่น และช่วงจกก็มีขนาดกว้างกว่าแบบอื่นเช่นกัน

ลวดลายที่ตีนซิ่น, 1. ลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด 2.สะเปา 3. หางสะเปา 4. เล็บซิ่น 5.ป้าว คือการทอแบบเว้นช่วงไม่ทอเก็บลาย

ปัจจุบัน สตรีล้านนาไม่ได้นิยมนุ่งซิ่นในวิถีชีวิตประจำวันอีกแล้ว เนื่องด้วยการแต่งกายแบบตะวันตกนั้นสะดวกสะบายมากกว่า แต่ซิ่นก็ไม่ได้เลือนหายไป ยังคงมีการอนุรักษ์การนุ่งซิ่นมาโดยตลอด มีการสวมใส่ซิ่นในวาระสำคัญต่าง ๆ เช่น งานเฉลิมฉลอง งานแห่ หรืองานที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาที่หลายคนนิยมนุ่งซิ่นเข้าวัด รวมถึงในระดับโรงเรียนก็มีการรณรงค์ให้นุ่งซิ่นหรือแต่งกายชุดพื้นเมืองล้านนาประจำอีกด้วย



อ้างอิง :-
- ทรงศักดิ์ ปรางวัฒนกุล. (2538). ตีนจกเชียงใหม่ จากอดีตที่ผ่านเลย. วารสารสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ปีที่ 5 : หน้า 85-88.
- วะสิน อุ่นจะนำ. (2555, กรกฎาคม-ธันวาคม). การแต่งกายแบบจารีตของชาวเชียงใหม่. ร่มพยอม, วารสารสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ปีที่ 14 (ฉบับที่ 2) : หน้า 43-49

ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_35746
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2562
เผยแพร่ออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ : 15 กรกฎาคม 2562
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

saichol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 247
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า