กินเป็น
พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์
ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิตตอน นี้จะพูดถึงประเภทของการกินของสมาชิกในวัด การกินของพระนั้นเรียกตามศัพท์เทคนิคว่า ฉัน ก่อนจะฉันต้องมีพิธีรีตองกันพอสมควร คือต้องมีคนประเคนให้เสียก่อนจึงจะฉันได้ อยู่ๆ จะหยิบกินเองไม่ได้
ปรับอาบัติคือมีความผิดตามพระวินัย คำว่า "ประเคน" หมายถึง กิริยา อาการที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระด้วยกันยื่นให้ในหัตถบาส และคำว่า "หัตถบาส" หมายถึงระยะช่วงแขนหนึ่ง หรือสองศอก ห่างกว่านั้นถือเป็นโมฆะใช้ไม่ได้ เรียกตามภาษาพระว่า "ไม่ครบองค์ประเคน"
ตำราบอกด้วยว่า ถ้าอยู่ในหัตถบาสถึงจะโยนให้ก็ถือว่าเป็นการประเคนที่ถูกต้อง แต่นี่คงพูดเผื่อไว้เท่านั้น ยังไม่เคยเห็นใครโยนของประเคนให้พระเลย ขืนทำจริงๆ ก็คงโดนท่านเอาศอกประเคนให้เท่านั้นเอง (ภาษาไทยนี่ยุ่งพิลึกนะครับ)บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมต้องมีกฎเกณฑ์อะไรหยุมหยิมนัก อาหารตั้งอยู่ตรงหน้า พระสงฆ์ท่านไม่มีสิทธิ์หยิบกินเองได้ ต้องรอให้คนอื่นหยิบยื่นให้ ดูประหนึ่งว่าขี้เกียจเหลือประมาณอย่างที่เจ๊กลิ้มบ้านนกนางแอ่นแกว่า
เล่ากันว่า วันหนึ่งเจ๊กลิ้มแกทำบุญเลี้ยงพระ ยกอาหารมาตั้งโต๊ะเสร็จแล้วก็ถอยออกไปเพื่อทำธุระอย่างอื่นต่อ พระรูปหนึ่งร้องบอกว่า
"เดี๋ยวก่อน อาแป๊ะประเคนก่อน"
"ประเคงอาลาย?" แป๊ะลิ้มงง
"ยกอาหารให้พระ" ท่านบอกพร้อมแบมือรอรับอาหาร
"ก็อยู่ไก้ๆ ลื้อหยิกกิงเองม่ายล่ายหรือ ลื้อนี่ขี้เกียกตายโหงเลย"นั่นสิครับ การนั่งรอให้เขาประเคนให้ดูเผินๆ ก็เสมือนขี้เกียจเต็มประดา แค่จะกินยังต้องให้เขายื่นให้
ความ จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธเจ้าท่านทรงเป็นผู้มีเหตุผลอย่างยิ่ง การบัญญัติศีลวินัยหรือระเบียบข้อบังคับใดๆ ย่อมอยู่บนรากฐานแห่งเหตุผล มิได้บัญญัติขึ้นลอยๆ โดยไม่มีสาเหตุและเหตุผล
เราทราบกันดีว่า วินัยแต่ละข้อมิได้ตราขึ้นล่วงหน้าเหมือนกฎหมายบ้านเมือง หากแต่บัญญัติหลังจากเกิดการประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมในหมู่พระสงฆ์แล้ว เพื่อมิให้ถือเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
เมื่อเปิดดูพระวินัยปิฎกค้น หาสาเหตุที่ทรงบัญญัติเรื่องการประเคนก็พบว่า มีสาเหตุจากข้อบัญญัติที่ว่า ห้ามพระถือเอาของที่เขาไม่ให้ ยกเว้นผ้าบังสุกุล มีพระรูปหนึ่งอยู่ในป่าช้า เที่ยวเก็บอาหารที่เขานำมาเซ่นผีฉัน ชาวบ้านรู้เรื่องเข้าก็ต่อว่าท่านหาว่าแย่งผีกิน เขาไม่ได้ให้ท่านสักหน่อย บางรายปากคอเราะร้ายพูดกระทบว่า
"พระสมณะศากยบุตรรูปนี้คงแอบฉันศพกระมัง จึงอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี" พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องเข้า จึงทรงตำหนิ และบัญญัติเป็นข้อปฏิบัติต่อไปว่า "ภิกษุใดฉันอาหารที่เขามิได้ประเคนให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์"
นี่แหละ ครับคือเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงห้ามพระหยิบอาหารฉันเองโดยมิได้รับประเคนก่อน เป็นการป้องกันมิให้พระขโมยเขากินและป้องกันการตำหนิติเตียนจากคนอื่น มิใช่ขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างที่เจ๊กลิ้มแกเข้าใจ
พระพุทธเจ้าทรงแบ่งประเภทของการกิน หรือฉันของพระออกเป็น 4 ประเภท คือ
- กินอย่างขโมย หรือขโมยเขากิน
- เป็นหนี้เขากิน
- กินอย่างนาย
- กินในฐานะเป็นทายาท(1)
พระทุศีลหรืออลัชชี ที่อาศัยพระศาสนาหากิน ถึงแม้จะนั่งฉันอยู่ท่ามกลางสงฆ์ มีผู้ประเคน มีผู้รู้เห็น ก็เรียกว่า "ขโมยเขากิน" เพราะตัวเองมิใช่พระ แต่หลอกลวงให้เขาเข้าใจว่าเป็นพระ พระเก๊ประเภทนี้บางครั้งพระพุทธองค์ทรงประณามเอาแรงๆ ว่า เป็นมหาโจรประเภทหนึ่งในจำนวนมหาโจรทั้ง 5 คือ
ประเภทที่หนึ่ง หลอกลวงชาวบ้าน ให้เขาหลงเชื่อว่าเป็นผู้ทรงศีล จนเขาขนปัจจัยสี่มาถวายอยู่กินฟูมฟาย
ประเภทที่สอง เรียนรู้พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้แล้วคุยโอ่ว่าไม่ได้เรียนมาจากผู้ใด รวมถึงการ "ลักวิทยา" อย่างอื่นๆ ด้วย
ประเภทที่สาม กำจัดเพื่อนสหธรรมิกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยการใส่ร้ายป้ายสีอย่างรุนแรง
ประเภทที่สี่ เอาของสงฆ์ไปแจกชาวบ้าน เพื่อประจบเอาใจเขา
ประเภทที่ห้า อวดอุตริมนุสธรรม คือคุณวิเศษที่ไม่มีในตน เช่น คุยโม้ว่าตนเป็นอรหันต์ทรงอภิญญาต่างๆ หรือบรรลุมรรคผลขั้นนั้นขั้นนี้เสร็จแล้ว ตรัสสรุปว่า
"ภิกษุ ทั้งหลาย ผู้ใดประพฤติตัวอย่างหนึ่ง ให้เขาเข้าใจเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผู้นั้นลวงเขาบริโภค ด้วยความเป็นขโมย ดังนายพรานลวงจับนก ผู้นั้นถึงจะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ประพฤติชั่วเลวทรามไม่สำรวม จะต้องไปเกิดในภพที่หาความเจริญมิได้ คนทุศีลเช่นนี้ กลืนกินก้อนเหล็กแดงที่ร้อนแรงยังจะดีเสียกว่าหลอกกินข้าวชาว บ้าน"ฟังเอาเถอะครับ ว่าการขโมยเขากิน พระพุทธเจ้าทรงประณามขนาดไหน
(2)
การกินประเภทที่สอง เป็นหนี้เขากิน มิได้หมายถึงกินเชื่อ หรือเซ็นก่อนจ่ายทีหลังอะไรทำนองนั้น แต่หมายถึงการกินโดยมิได้พิจารณาก่อน แม้ผู้กินหรือฉันจะมีศีลบริสุทธิ์ก็ตาม ที่ว่า "พิจารณา" นั้น หมายถึงว่าต้องสวดภาวนา 2 เวลา คือ
- ขณะจะกิน หรือกำลังกินอย่างหนึ่ง
- หลังจากกินเสร็จแล้ว อีกอย่างหนึ่งการ พิจารณาก่อนจะกินหรือกำลังกิน เรียกว่า ตังขณิกะปัจจะเวกขณ์ บางทีเรียกง่ายๆ ว่า เสกปฏิสังขาโย เพราะคำสวดขึ้นต้นด้วยคำว่า "ปฏิสังขาโย" พระสงฆ์สมัยก่อนนั้นท่านถือเคร่งมากในเรื่องนี้ กว่าจะตักข้าวเข้าปากต้องทำปากขมุบขมิบ เสกอยู่นั่นแล้ว จนข้าวเย็นไปเลย
การ พิจารณาหลังจากฉันเสร็จ ส่วนมากมักเป็นเวลาก่อนนอน เรียกว่า อตีตะปัจจะเวกขณ์ หรือเสกอัชชะมะยา (คำสวดขึ้นต้นด้วย "อัชชะมะยา") อย่างหลังนี้ใช้กันเหนียว ในกรณีที่บังเอิญลืมเสกเวลาฉัน รวมความว่าจะต้องเสกให้ได้ไม่ในขณะฉันก็หลังฉันเสร็จแล้ว ไม่เช่นนั้นถือว่าติดหนี้
หนี้ใคร? ก็หนี้บุญคุณชาวบ้านที่เขาเลี้ยงดูปูเสื่อนั่นแหละ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV4TURFMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB4TVE9PQ==