ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 550 551 [552] 553 554 ... 708
22041  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เรียนถามว่า พระสงฆ์ไป รพ. รักษาฟรี หรือไม่ ครับ ทำไมต้องมาบอกขอค่ายาด้วยครับ เมื่อ: มกราคม 24, 2013, 11:08:42 am

 


ขอเชิญทำบุญช่วยพระภิกษุอาพาธ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "การดูแล และอุปัฏฐากพระภิกษุไข้ (เจ็บไข้ได้ป่วย) อานิสงส์เท่ากับได้อุปัฏฐากเราตถาคต"

๐๑. โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ
โทร. ๐๒ - ๒๔๗๑๘๒๕-๖, ๐๒ - ๓๕๔๔๓๑๐
ธนาคารกรุงไทย สาขา ถนนศรีอยุธยา
เลขบัญชี ๐๑๓-๑-๘๕๐๒๖-๑
ชื่อบัญชี "เงินบริจาคบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์"
(หากต้องการใบอนุโมทนาแฟกซ์ใบโอนที่เบอร์ ๐๒-๓๕๔๔๒๗๓)
หมายเหตุ สามารถระบุหรือไม่ระบุได้ ๔ วัตถุประสงค์
ค่าเลือด ค่ายา ค่ารักษา บำรุงทั่ว ๆ ไป
เงินที่เข้าบัญชีนี้ ใช้นำไปรักษาพระสงฆ์อาพาธทันที

 
๐๒. มูลนิธิ โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ
โทร. ๐๒ - ๓๕๔๔๒๘๘, ๐๒ - ๓๕๔๔๒๗๘, ๐๒ - ๖๔๐๙๕๓๗, ๐๒ - ๓๕๔๔๒๙๓ ต่อ ๔๑๑๑, ๕๑๒๕
ธนาคารทหารไทย สำนักพหลโยธิน
เลขบัญชี ๐๐๑ - ๒ - ๔๖๑๘๐ - ๒
ชื่อบัญชี "มูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์"
(หากต้องการใบอนุโมทนาแฟกซ์ใบโอนที่เบอร์ ๐๒ - ๖๔๔๙๗๗๙)
หมายเหตุ สามารถระบุหรือไม่ระบุได้ ๔ วัตถุประสงค์
ค่าเลือด ค่ายา ค่ารักษา บำรุงทั่ว ๆ ไป
เงินที่เข้าบัญชีนี้ ใช้เฉพาะดอกผลเท่านั้น เงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ บาท สามารถขอตั้งและระบุชื่อกองทุนได้
 
๐๓. โรงพยาบาลจุฬาฯ
ตึกวชิรญาณวงศ์ (หอสงฆ์อาพาธจุฬา) โทร. ๐๒ - ๒๕๖๔๒๖๓
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา สภากาชาดไทย
เลขบัญชี ๐๔๕ - ๒ - ๘๘๐๐๐ - ๖
ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย"
เมื่อโอนแล้วต้องแฟกซ์ทุกครั้งเพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ว่า เพื่อพระอาพาธจุฬาที่เบอร์แฟกซ์ ๐๒ - ๒๕๑๗๙๐๑

 
๐๔. โรงพยาบาลศิริราช
โทร. ๐๒ - ๔๑๙๗๖๕๘ - ๖๐ กด ๑๐๑ และ ๑๐๔ แฟกซ์กด ๑๓๑
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา อรุณอัมรินทร์
ประเภทบัญชีออมทรัพย์
เลขบัญชี ๑๕๗ - ๑ - ๐๘๑๐๘ - ๓
ชื่อบัญชี "ศิริราชมูลนิธิ"
หรือ
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา ศิริราช
ประเภทบัญชีกระแสรายวัน
เลขบัญชี ๐๑๖ - ๓ - ๐๐๐๔๙ - ๔
ชื่อบัญชี "ศิริราชมูลนิธิ"
เมื่อโอนแล้วต้องแฟกซ์ทุกครั้งเพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ว่า เพื่อพระอาพาธศิริราชที่เบอร์แฟกซ์ โทร.
๐๒ - ๔๑๙๗๖๕๘ - ๖๐ กด ๑๓๑
 
๐๕. โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
โทร. ๐๒ - ๖๑๘๖๒๐๐
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา คลองประปา
ประเภทบัญชีฝากประจำ ๑๒ เดือน
เลขบัญชี ๐๕๓ - ๒ - ๐๗๗๕๘ - ๒
ชื่อบัญชี "มูลนิธิเพื่อรักษาพยาบาลพระภิกษุอาพาธ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ"
แฟกซ์ ๐๒ - ๒๗๘๑๐๑๗

 
๐๖. ที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗
โทร ๐๒ - ๕๒๓๖๔๔๖
ธนาคารกรุงเทพฯ สาขา ประชาชื่น
เลขบัญชี ๑๙๓ - ๐ - ๑๐๑๐๗ - ๔
ชื่อบัญชี "มูลนิธิจันทสาโร (หลุยส์)"
หากต้องการใบอนุโมทนากรุณาโทรศัพท์กราบเรียนถามพระว่าจะให้ทำอย่างไร หรือเขียนจดหมายถาม
ที่อยู่ ๗๕/๑๕ ซอยแข็งขัน ๓ ถนนพหลโยธิน ซอย ๖๔ กทม.
 
๐๗. โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม จ. สุโขทัย
โทร ๐๕๕ - ๖๕๙๐๗๒
ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาทุ่งเสลี่ยม
เลขบัญชี ๔๖๐ - ๐ - ๐ ๒๒๗๕ - ๒
ชื่อบัญชี "วัดพิพัฒน์มงคล"
หากต้องการใบอนุโมทนากรุณาสอบถามก่อน
จุดเด่นของหอสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม คือ การใช้แพทย์แผนไทยเข้าร่วมการรักษาด้วย
เบอร์บัญชีนี้เป็นการสร้างอาคารหอสงฆ์อาพาธแบบชั้นเดียว จำนวน ๓๐ เตียง งบประมาณ ๙ ล้านบาท
(หากเงินเกินค่าก่อสร้างจะนำไปใช้ในการรักษาพระภิกษุสงฆ์และประชาชนต่อไป)

 
๐๘. โรงพยาบาลเลย
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาภูเรือ (จังหวัดเลย)
เลขบัญชี ๗๕๘ - ๒ - ๐๐๗๗๗ - ๔
ชื่อบัญชี "วัดป่าม่วงไข่"
ดำเนินการโดย หลวงพ่อขันตี ญาณวโร
 
๐๙. ตึกพิเศษสงฆ์ 94 ปีหลวงปู่ศรี มหาวีโร โรพยาบาลศรีสมเด็จ
ธนาคารกรุงเทพฯ
เลขบัญชี ๒๖๙ - ๔ - ๗๗๗๗๗ - ๘
ชื่อบัญชี "๙๔ ปีหลวงปู่ศรี มหาวีโร"
หรือ
ธนาคารกรุงไทย
เลขบัญชี ๔๔๘ - ๐ - ๑๐๗๖๓ - ๐
ชื่อบัญชี "๙๔ ปีหลวงปู่ศรี มหาวีโร"
ผู้ประสานงาน ๐๘๖ - ๒๔๑๔๔๔๗ ๐๘๖ - ๒๒๘๗๔๘๙
โรงพยาบาลศรีสมเด็จ ๐๔๓ - ๕๐๘๑๕๑, ๐๔๓ - ๕๐๘๑๕๓ - ๕

 



๑๐. โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ธนาคารทหารไทย สาขาบ้านผือ
เลขบัญชี ๓๖๒ - ๒ - ๓๖๔๕๒ - ๓
ชื่อบัญชี "กองทุนหออภิบาลสงฆ์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในอุปถัมภ์วัดป่านาคำน้อย"
แฟกซ์ ๐๔๓ - ๓๔๘๓๙๕ ระบุ หอสงฆ์ ๑๙ ชั้น
หัวหน้าหอสงฆ์ คุณวรารัตน์ สุนทราภา ๐๔๓ - ๓๖๖๓๓๑
 
๑๑. โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
โทร. ๐๔๓ - ๓๖๖๓๓๑
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เลขบัญชี ๕๕๑ - ๒ - ๙๙๖๖๕ - ๘
ชื่อบัญชี "หอสงฆ์ตึก ๑๙ ชั้น"
แฟกซ์ ๐๔๓ - ๓๔๘๙๕ ระบุ หอสงฆ์ ๑๙ ชั้น

 
ทั้งรายการที่ ๑๐ และ ๑๑ หากพระภิกษุสงฆ์อาพาธเดินทางไปถึงจังหวัดขอนแก่นแล้ว
ไม่มีที่พักรอการตรวจ ให้พักที่วัดป่ามหาวิทยาลัย หรืออีกชื่อว่า วัดป่าโนนม่วงได้ แม้ที่สุดอาจต้องพักระยะยาวก็พักได้
 
๑๒. โรงพยาบาล ๕๐ พรรษามหาวชิราลงกรณ์ จ. อุบลราชธานี
โทร.๐๔๕ - ๓๑๙๓๐๐๙๘
ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาบางรัก
เลขบัญชี ๒๔๒ - ๐ - ๑๔๕๖๗ - ๐
ชื่อบัญชี "มูลนิธิ โรงพยาบาล ๕๐ พรรษามหาวชิราลงกรณ์"
แฟกซ์ ๐๒ - ๖๗๓๙๙๔๐ - ๓ ๐๔๕ - ๓๑๙๓๙๙
(รายการนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างอาคารส่วนสุดท้าย
และสวนสมุนไพรไทยที่ต่อไปภายภาคหน้าอาจเป็นแพทย์ทางเลือกอีกแผนหนึ่ง)

 
๑๓. ตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลอุดร ๑๐ ชั้น ๒๐๐ ล้านบาท
ขณะนี้ทราบว่าได้เงินทำบุญ ๑๐๗ ล้านบาทแล้ว
( กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอาคารหอสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น )
โทร ๐๔๒ - ๓๔๘๘๙๐, ๐๔๒ - ๒๘๒๒๕๘
ธนาคารกสิกรไทย สาขาเอกมัย
เลขบัญชี ๐๕๙ - ๒ - ๕๐๑๐๐ - ๙
ชื่อบัญชี "ผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง โรงพยาบาลอุดรธานี โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน"
หรือ
ธนาคารกสิกรไทย สาขาอุดรธานี
เลขบัญชี ๑๑๐ - ๒ - ๒๐๗๓๓ - ๓
ชื่อบัญชี "ผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง โรงพยาบาลอุดรธานี โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน"
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอุดร
เลขบัญชี ๕๑๐ - ๔ -๑๘๗๓๔ - ๘
ชื่อบัญชี "ผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง โรงพยาบาลอุดรธานี โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน"
(โอนต่างสาขาไม่เสียค่าบริการ ถามได้ที่เคาน์เตอร์ธนาคาร)
แฟกซ์ ๐๔๒ - ๒๔๔๒๔๙
 
๑๔. มูลนิธิหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
โทร ๐๒ - ๔๑๒๒๗๕๒
ธ. กรุงเทพฯ สาขาบางกอกน้อย
เลขบัญชี ๑๑๙ - ๐ -๒๐๐๑๓๗
ชื่อบัญชี "น.ส. มานี ตั้งตรงจิต"
โอนแล้วต้องแฟกซ์ทุกครั้งเพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด เช่น เป็นค่ารถ ค่าเดินทางแก่พระ
หรือค่าฟอกเลือด หรืออื่น ๆ

 
๑๕. มูลนิธิหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
โทร. ๐๒ - ๔๑๒๒๗๕๒
ธ. กสิกรไทย สาขาพรานนก
เลขบัญชี ๐๑๙ - ๒ - ๒๗๕๐๒ - ๔
ชื่อบัญชี "มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต"
โอนแล้วต้องแฟกซ์ทุกครั้งเพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด
เช่นเป็นค่าจัดถวายภัตตาหารเลี้ยงพระที่มาพักหรือค่าอื่น ๆ
 
๑๖. โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ถนนบางนา - ตราด ก.ม. 3.5
โทร ๐๒ - ๓๖๑๒๗๒๗ ต่อ 3316 ๓๓๑๖
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบางนา - ตราด ก.ม. 3.5
เลขบัญชี ๑๑๗ - ๒ - ๐๖๙๙๙ - ๔
ชื่อบัญชี "กองทุนหลวงพ่อพุธ ฐานิโยเพื่อพระอาพาธ"
โอนแล้วต้องแฟกซ์แจ้ง ๐๒ - ๓๖๑๒๗๗๗

 
๑๗. กองทุนโลกทิพย์
โทร ๐๒-๒๔๘๓๒๙๑-๓
ธนาคารกสิกรไทย สาขา อโศกดินแดง
เลขบัญชี ๐๔๙ - ๒-๐๘๗๐๘ - ๖
ชื่อบัญชี "มงคล เนินอุไร"
โอนแล้วต้องแฟกซ์เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ทุกครั้งว่า เพื่อพระอาพาธ
แฟกซ์เบอร์ ๐๒ - ๒๔๖๖๔๖๓
(รายการที่ ๑๗ นี้หากมีพระอาพาธไม่มีค่าเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อการรักษาหรือค่าอื่นใด
รวมทั้งค่ารักษาสามารถโทรไปแจ้งและขอได้โดยผู้ขอไม่จำเป็นต้องเป็นพระที่ป่วย
เพียงแต่ทำตามกติกาของโลกทิพย์เท่านั้น )
 
๑๘. โรงพยาบาลรามาธิบดี
ตึกใหม่ตึกศูนย์การแพทย์สิริกิตต์
โทร. ๐๒ - ๒๐๑๑๒๐๕, ๐๒ - ๒๐๑๒๕๒๒,๐๒ - ๒๐๑๑๖๕๕
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารามาธิบดี
เลขบัญชี ๐๒๖ - ๒-๕๘๒๐๐ - ๐


ที่มา http://namobook.com/view_read.php?id=17
22042  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความสวยที่ปลายตีน..(ภูเรือ)..!? (ชมภาพ) เมื่อ: มกราคม 24, 2013, 10:29:51 am
'เท้าภูเรือ'

ความสวยที่ปลายตีน (ภูเรือ)..!

หรือถ้าพูดให้ถูกต้องตามอักขระภาษาไทยที่เขาใช้เรียกกัน ต้องบอกว่า "ลานคริสต์มาส" แห่งนี้อยู่ที่ "ตีนภูเรือ" จ.เลย ภาพเล่าเรื่องสัปดาห์นี้ ตฤณ จันทร์สว่าง พาเราไปภูเรือ ถ้ายังรักและจดจำกันได้นี่เป็นครั้ง 3 เป็นครั้งที่เขาบอกเกือบจะสุดท้ายในเซตภาพภูเรือ เลย

อยากรู้ว่าทำไมเราถึงติดอกติดใจภูเรือ ก็ไปเที่ยวกันดูแล้วคุณจะรักและมีความสุขกับอำเภอนี้เหมือนอย่างพวกเรา


 













ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/321276
22043  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย่อง..ชมเมืองหิมะ หนาว(สั่น)อย่างมีศิลปะ (ชมภาพ) เมื่อ: มกราคม 24, 2013, 10:20:25 am

ย่อง..ชมเมืองหิมะ หนาว(สั่น)อย่างมีศิลปะ

แม้ขณะนี้มีหลายประเทศทางตะวันตกกำลังประสบภัยหนาว เนื่องจากหิมะตกต่อเนื่องจนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หากลองมองเจ้าน้ำแข็งก้อนสีขาวแผ่ปกคลุมให้สวยอย่างมีศิลปะ ก็จะเป็นภาพงดงามน่าเดินทางไปเที่ยวเสียจริง

อากาศเมืองไทยอาจจะแค่เย็นๆ สวมเสื้อคลุมเนื้อบางก็อุ่นแล้ว แต่ในหลายประเทศทางตะวันตก อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และประเทศใกล้เคียง กำลังทุกข์ทรมานกับภัยหนาวเนื่องจากหิมะตกอย่างต่อเนื่อง จนกระทบกับใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการคมนาคม แต่หากลองมองเจ้าก้อนน้ำแข็งเม็ดจิ๋วที่ตกปกคลุมพื้นดินให้สวยมากกว่าให้ความหนาวแล้ว ก็ช่วยให้อากาศหนาวสุดขั้วออกมาสวยจับใจได้เหมือนกัน













ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/321546
22044  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักศึกษาไทย "อ่อนอังกฤษ..สู้พม่าไม่ได้" เมื่อ: มกราคม 24, 2013, 10:13:06 am

นักศึกษาไทย "อ่อนอังกฤษ..สู้พม่าไม่ได้"

“วันชัย” ชี้นักศึกษาไทยอ่อนภาษาอังกฤษ สู้พม่า เวียดนนาม และภูฏาน ไม่ได้ จี้ปรับการสอนอังกฤษทั้งระบบเริ่มเด็กประถม แนะ ศธ.ปรับโครงสร้างกระทรวงใหม่

วันนี้ (22 ม.ค.) รศ.ดร.วันชัย  ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)  เปิดเผยว่า  ปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติมาเรียนที่ มฟล.จำนวนมาก พบข้อแตกต่างชัดเชนว่านักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่จะตั้งใจเรียนกว่าเด็กไทย  ที่สำคัญนักศึกษาต่างชาติบางประเทศ  เช่น  พม่า  เวียดนาม และภูฏาน สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเด็กไทยมาก  ส่วนนักศึกษา เกาหลี ญี่ปุ่น ใช้ภาษาอังกฤษอยู่ระดับปานกลาง  ขณะที่นักศึกษาลาว และจีนอยู่ในระดับที่ไม่ดีเท่าไหร่

สำหรับนักศึกษาไทยพบว่าเด็กที่เก่งๆอยู่ในระดับดีมาก ส่วนที่อ่อนก็อ่อนไปเลย ดังนั้นเราต้องพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษใหม่ทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา   เพราะจำเป็นต่อการแข่งขันในอนาคต  โดยเฉพาะการเปิดประชาคมอาเซียน



รศ.ดร.วันชัย กล่าวต่อไปว่า มฟล.พยายามช่วยแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา โดยการนำครูสอน 8 กลุ่มสาระในโรงเรียนในจังหวัดเชียงรายมาอบรมพัฒนาการเรียนการสอน ผลปรากฏว่าหลังจากที่ครูมาอบรมกับ มฟล.ทำให้ผลการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ของนักเรียนดีขึ้นมาก
    อีกทั้งยังพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงเรียนต่างจังหวัดมีคุณภาพหรือไม่
    ขึ้นอยู่ที่ตัวผู้บริหารโรงเรียน ที่จะต้องให้ความสนใจ มีเวลา และให้ความสำคัญกับการบริหารโรงเรียนอย่างจริงจัง
    รวมทั้งการเปลี่ยนตัวผู้บริหารโรงเรียนยังเชื่อมโยงต่อผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนทั้งโรงเรียนด้วย


    “การปฏิรูปการศึกษา ตั้งแต่ปี 2542 เน้นเปลี่ยนโครงสร้าง มีการกระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่การศึกษา แต่ผลคือผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯไม่มีทักษะเพียงพอที่จะกำกับดูแลคุณภาพการศึกษาจนเกิดความเสียหายต่อการศึกษา  ผมเห็นด้วยให้แก้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ  2542  ให้ปรับโครงสร้างกระทรวงใหม่  โดยเฉพาะเขตพื้นที่การศึกษา และการพัฒนาครูที่ควรให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่ช่วยอบรมพัฒนาครูในโรงเรียนใกล้เคียง แต่การบริหารงานระบบให้เป็นหน้าที่ส่วนกลางเหมือนเดิม 
    ส่วนเงินวิทยฐานะของครูอยากให้มีการสำรวจใหม่ว่า
    หลังจากได้เงินวิทยฐานะแล้ว คุณภาพการศึกษาดีขึ้นหรือไม่ แต่เท่าที่ดูคุณภาพยังเหมือนเดิม
    จึงเสนอให้ครูปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนใหม่ แต่ไม่ใช่การไปลดเงินครู  แต่ให้ครูทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น”

    รศ.ดร.วันชัย กล่าว..


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/179945
http://p1.s1sf.com/
22045  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มันมากับ…กาแฟ ลดความอ้วน เมื่อ: มกราคม 24, 2013, 09:58:49 am

มันมากับ…กาแฟ ลดความอ้วน

ผู้หญิง กับความสวยงามเป็นของคู่กัน จะด้วยหน้าตาที่สวยงาม หรือรูปร่างที่สมส่วนต่างเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ หากมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นไม่ครบก็ต้องดิ้นรนหาทางเพิ่มเติมในส่วนที่สึกหรอ หรือไม่สมบูรณ์ หรือไม่พึงพอใจ

แล้วแต่ว่าใครจะเลือกวิธีทาน หรือวิธีฉีด ก็จะเลือกตามความพึงพอใจ และจำนวนเงินในกระเป๋า

จากการสอบถามคนใกล้ๆ ตัว มักให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านิยมวิธีทาน เนื่องจากราคาไม่แพง และหากเริ่มมีอาการผิดปกติ ก็เลือกที่จะไม่ทานต่อได้ ที่เห็นเป็นที่นิยมทานกันจนเกร่อขณะนี้คงหนีไม่พ้น กาแฟลดความอ้วนหลากหลายยี่ห้อ ทั้งผลิตในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีคุณสมบัติสามารถลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ คือ ดื่มแล้วไม่อยากอาหาร

ทุกวันนี้ ดื่มกันจนนิยมไปทั่วประเทศและลามถึงขั้นส่งไปต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป อีกด้วย



แต่ที่ไม่ธรรมดา คือ กาแฟลดความอ้วนที่ว่านี้ สหภาพยุโรปตรวจพบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในกาแฟลดความอ้วนที่ส่งไปจากไทยทางพัสดุไปรษณีย์ถึง 9 ครั้ง (ก.ย.— ธ.ค.2555)

    ในช่วง 4 เดือน ตรวจพบสารต้องห้ามทั้งหมด 9 ครั้ง เกิดอะไรขึ้น
    ผู้ผลิตไม่รู้ถึงอันตราย หรือจงใจผสมเข้าไปเพื่อหวังผลในการโฆษณาชวนเชื่อ
    ถ้ายังไม่รู้บอกตรงนี้เลยว่า สารไซบูทรามีน (Sibutramine) เป็นสารควบคุมพิเศษ
    ที่ห้ามซื้อขายในร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งของแพทย์


    อีกทั้งเป็นสารต้องห้ามทั้งในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เม็กซิโก รวมถึงประเทศไทย
    เพราะจัดว่าเป็นสารอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
    หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน


   
    วันนี้ ขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อผู้ขายง่ายๆว่า
    กาแฟจะช่วยลดความอ้วนได้ เพราะส่วนใหญ่ล้วนใส่สารลดความอ้วน ไซบูทรามีน (Sibutramine)
    ที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็ว แม้จะไม่มากแต่มีผลให้ต้องหยุดบริโภค
    และอาจมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และเบื่ออาหาร

      ทางที่ดีหากต้องการลดน้ำหนัก ควรควบคุมการทานอาหาร
      และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
      เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย ร่างกายแข็งแรง และสวยสมส่วน.


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/column/life/fromfood/320783
http://i531.photobucket.com/
22046  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ล้มแล้วลุก เริ่มต้นใหม่ บทความที่เป็นเสียงในสถานี RDN นำมาฝากคะ เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 06:12:46 pm

 st11 :25: thk56 st12 st12
22047  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิธีจูงจิต.."คนป่วยใกล้ตาย" เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 12:26:43 pm


วิธีจูงจิตคนป่วยใกล้ตาย ( โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ )

อันทุกสรรพชีวิต ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
     "....ถ้าป่่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้

     ๑. ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็น และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
      " ของทั้งหมดนี้ ขอถวายเป็น-สังฆทาน แก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้ง
หมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วย ได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่่วยด้วย "
      และญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจผู้ป่วยจะได้สบาย เพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ


    ๒. ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหนือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้ และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
     "เงินจำนานนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม"

    ๓. ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

    ๔. ถ้าป่วยมาก มีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้มได้

    ๕. ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง"
        ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรก ก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ"ใ ห้บอกสั้นๆอย่างเดียว


    ๖. ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ให้นึกถึงพระไว้ หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดีพูดมากไปเขาจะกลุ้ม จะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก
       ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตายต้องระมัดระวังให้ดี



อ้างอิง
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก เจโตวิมุตติ เวปธรรมะออนไลน์
board.palungjit.com/f8/วิธีจูงจิตคนป่วยใกล้ตาย-โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ-423305.html
http://www.bloggang.com/,http://files.palungjit.com/
22048  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นมัสการ "รอยพระพุทธบาทพลวง" จันทบุรี..จัดงานใหญ่ 11 ก.พ.-11 เม.ย.56 เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 12:13:35 pm



นมัสการ "รอยพระพุทธบาทพลวง" จันทบุรี..จัดงานใหญ่

นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน ประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมงานเทศกาลนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทพลวง เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 11 ก.พ. ถึงวันที่ 11 เม.ย.2556 หรือขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ถึงขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 รวม 60 วั

มีกำหนดพิธีบวงสรวงปิดป่าและเปิดเทศกาลในวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 08.00 น. ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ บริเวณสันเขื่อนพลวงอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โอกาสนี้ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงพระกรุณาโปรดให้
    นายมนัส โนนุช กรรมการและผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ฯ
    เป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีปิดป่าเปิดงานเทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวงเขาคิชฌกูฏ
    และมีพระครูประดิษฐ์ศาสนการ หรือหลวงพ่อจำนง เจ้าอาวาสวัดทุ่งตาอิน ต.พลวง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

หลังจากนั้นจะเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาเดินทางขึ้นยอดเขา ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาอย่างน่าอัศจรรย์ ชื่นชมธรรมชาติอันสวยงาม และบรรยากาศอันบริสุทธิ์บนยอดเขาคิชฌกูฏ มีรถยนต์บริการรับ-ส่ง ขึ้น-ลงเขา หรือเดินเท้าขึ้น-ลงเขาได้ตลอด 24 ชั่วโมง



รอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ หรือรอยพระบาทพลวง ถูกค้นพบในราวปี พ.ศ.2397 หรือเมื่อประมาณ 159 ปีมาแล้ว ต่อมาในปี 2515 หลวงพ่อเขียน หรือพระครูธรรมสรคุณ เจ้าอาวาสวัดกระทิง เจ้าคณะอำเภอมะขาม ได้บุกเบิกทางขึ้น และนำรถยนต์ขึ้นเขาเป็นครั้งแรก และค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นยอดเขาให้ดีขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน
    รอยพระพุทธบาทแห่งนี้มีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร
    ประดิษฐานอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,050 เมตร นับเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNakl4TURFMU5nPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE15MHdNUzB5TVE9PQ==
http://i265.photobucket.com/,http://www.moohin.com/
22049  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ครม.อนุมัติงบสำนักพุทธฯ 911 ล้านบาท บูรณะวัดถวาย"ในหลวง" เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 12:04:35 pm



ครม.อนุมัติงบสำนักพุทธฯ 911 ล้านบาท บูรณะวัดถวาย"ในหลวง"

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า สำนักพุทธฯ ได้จัดทำโครงการเสนอของบฯ กลางปี 2555 ในการสร้างและบูรณะวัด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในโอกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษา 100 ปี ในปี 2556 ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งได้มีมติเห็นชอบตามที่สำนักพุทธฯ เสนอจำนวน 6 โครงการ จำนวน 911.9 ล้านบาท ได้แก่

    - โครงการก่อสร้างวัดนวมินทราชูทิศ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา จำนวน 500 ล้านบาท
    - โครงการสร้างอาคารหอประชุมคณะสงฆ์ธรรมยุต วัดบวรนิเวศวิหาร จำนวน 150 ล้าน การสร้างข่วงหลวงเวียงแก้ว พุทธมณฑลแห่งจังหวัดเชียงใหม่ 150 ล้าน
    - โครงการอุดหนุนการปรับปรุงเสนาสนะวัดไทยพุทธยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย จำนวน 100 ล้าน 
    - โครงการบูรณะพระวิหารเสาอินทขีล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ จำนวน 10 ล้านบาท และ
    - โครงการบูรณะบริเวณลานวัดแก้วมงคล จังหวัดสมุทรสาคร 1.9 ล้านบาท



นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการดังกล่าวจะใช้งบฯ ผูกพัน ตั้งแต่งบประมาณเหลือจ่ายปี 2555 ถึงปีงบประมาณ 2557 ส่วนการสร้างวัดนวมินทราชูทิศ นครบอสตัน ถือเป็นโครงการสำคัญ เป็นวัดที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงรับไว้ในพระอุปถัมภ์ มหาเถรสมาคม (มส.) และรัฐบาลให้การสนับสนุน

อีกทั้งพุทธศาสนิกชนชาวไทยในรัฐแมสซาชูเส็ตส์ สร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี 2549 ที่เกี่ยวเนื่องว่าพระองค์ท่านทรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก อีกทั้งเสด็จพระบรมราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ ของรัฐแมสซาชูเส็ตส์ด้วย

"งบประมาณก่อสร้างวัดนวมินทราชูทิศ จะใช้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ในการนี้รัฐบาลได้อนุมัติเงินสนับสนุนค่าออกแบบ และก่อสร้างในเบื้องต้นจำนวน 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทางคณะกรรมการจัดสร้างได้จัดหาทุนสมทบเพิ่มเติมต่อไป" นายนพรัตน์กล่าว



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEl4TURFMU5nPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE15MHdNUzB5TVE9PQ==
http://inter.tourismthailand.org/,http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/
22050  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สาเหตุอะไร.? ที่ทำให้พม่าย้ายเมืองหลวง เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 06:32:16 am


พม่า : ย้ายเมืองหลวง
รู้ไปโม้ด โดย nachart@yahoo.com

ถาม  :   น้าคะ ทำไมพม่าถึงได้ย้ายเมืองหลวงใหม่  จาก saleeya         
ตอบ  :   saleeya

อาจารย์-นักประวัติศาสตร์ รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อรรถาธิบายเรื่องการย้ายเมืองหลวงของประเทศพม่าไว้ว่า "เนปิดอว์" คนไทยเข้าใจว่าเป็นชื่อของเมืองที่ปัจจุบันเป็นราชธานีของพม่ามาแทนนคร "ย่างกุ้ง"
    แต่ข้อเท็จจริงคือชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ เนปิดอว์ในภาษาพม่ามีความหมายตรงตัวว่าราชธานี หรือเมืองหลวง
    คำนี้เป็นคำกลาง เมืองแต่ละเมืองจะมีชื่อเฉพาะของตัวเองแตกต่างกันไป แต่จะมีสถานะเป็นเมืองหลวงแล้ว
    แต่ว่ากษัตริย์องค์ไหนเข้มแข็ง ก็สถาปนาศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาเป็นเมืองหลวง คือ เนปิดอว์
    ฉะนั้นย่างกุ้งก็เคยเป็นเนปิดอว์ กระทั่งปัจจุบันจึงกลายเป็นชื่อเฉพาะด้วย คือเป็นชื่อราชธานีของพม่า


สำหรับย่างกุ้ง แม้จะเคยเป็นราชธานีมาก่อน แต่เป็นราชธานีที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษสถาปนาขึ้นภายหลังสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 2 คือ ค.ศ.1852 คือต้องการตั้งเมืองศูนย์กลาง หรือราชธานีของรัฐหรือดินแดนในปกครอง อังกฤษก็เลยตั้งย่างกุ้งเป็นเมืองหลวง และถูกใช้เป็นเมืองหลวงสืบมาจนพม่าได้รับเอกราชเมื่อ 4 มกราคม 1948

อดีตพม่ามีการย้ายเมืองหลวงบ่อย ด้วยมีปัญหาการสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมืองต่อเนื่องมาโดยตลอด กษัตริย์ที่จะลุกมาสร้างเมืองราชธานีได้ต้องเข้มแข็ง ถ้าตัวเองสร้างเมืองของตัวเป็นราชธานีได้ แต่ ลูกหลานไม่เก่ง กษัตริย์เมืองอื่นก็ตั้งราชธานีใหม่ จึงมีราชธานีหลายแห่งเป็นเรื่องปกติ




สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการย้ายเมืองของพม่า คือ ผู้ปกครองต้องการแสดงพระองค์ให้เห็นว่า ยุคสมัยของพระองค์ต้องการจะ "เบิก ยุคใหม่" คิดใหม่ ทำใหม่ สร้างสิ่งใหม่ให้ราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นสัญลักษณ์ของการสร้างสิ่งใหม่ เบิกยุคใหม่ที่ทำได้อย่างเช่น ถ้าไม่สร้างวังใหม่ก็ย้ายเมืองเสียเลย

กษัตริย์พม่ามีคติเรื่องการปกครองที่เชื่อว่า พุทธศาสนานับวันจะเลวลง นับวันจะเสื่อมถอยลง เป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ที่จะต้องฟื้นฟูบูรณะพระศาสนาให้ยืนยงสถาพรเท่าพุทธทำนาย คือ 5,000 ปี
     เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเหตุทุพภิกขภัยต่างๆ เกิดโรคระบาด เกิดรบราฆ่าฟัน แพ้สงคราม
     ก็จะเป็นคล้ายๆ เป็นสัญลักษณ์ว่าพุทธศาสนาคงเสื่อมแล้ว บ้านเมืองถึงปรากฏสภาวะเสื่อมโทรม
     ต้องปลุกขวัญกำลังใจเหล่าอาณาประชาราษฎร์ เบิกยุคใหม่ บอกว่า
     "ไม่ต้องห่วง บ้านเมืองยังไม่สิ้น ยุคแห่งพุทธศาสนาไม่เสื่อม เราจะนำพาความรุ่งเรืองกลับมาอีกครั้ง ให้ยืนยงไปดังพุทธทำนาย" รูปธรรมต้องสร้างเมือง สร้างวัง ย้ายเมือง อย่างนี้เป็นต้น


ธรรมเนียมการย้ายเมืองแบบนี้ทำมาโดยเสมอ พออังกฤษมายึดครองจารีตแบบนี้ก็หมดไป อังกฤษมาปกครองพม่ายาวนานโดยมีย่างกุ้งเป็นราชธานี แต่ความรู้สึกในทางประวัติศาสตร์ บทเรียนประวัติศาสตร์ก็ดี ไม่ได้สูญหายในยุคอาณานิคม



เชื่อว่าเมื่อผู้ปกครองพม่าจะคิดสร้างเนปิดอว์ นัยหนึ่งคงต้องการแสดงให้โลกและชาวพม่ารู้ว่า ได้พยายามทำให้เหตุการณ์ต่างๆ อันเป็นความขัดแย้งเผชิญหน้ากันในสังคม ก็อยากทำอะไรในเชิงสัญลักษณ์
     ดังนั้น การย้ายเมืองหลวงของพม่าเป็นไปเพื่อต้องการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้ประเทศเป็นสำคัญ
     เนื่องจากกรุงย่างกุ้งเป็นที่ตั้งของทั้งฝ่ายกองทัพและฝ่ายที่ต่อต้าน
     หากเกิดการเคลื่อนไหวหรือปะทะกันฝ่ายทหารจะไม่มีจุดตั้งรับหรือล่าถอย
     การย้ายเมืองจึงเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐบาล

     จุดเด่นของเนปิดอว์อยู่ที่ยุทธศาสตร์ เพราะ ตั้งอยู่ตรงใจกลางประเทศ เป็นเส้นทางคมนาคมหลักที่เชื่อมย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ ทั้งเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมใหญ่สุดของประเทศ

      อาจารย์สุเนตรบอกด้วยว่า พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม กระทรวงกลาโหม มีอรรถาธิบายว่า
      เนปิดอว์เป็นการเกิดขึ้นของการเบิกยุคใหม่ เบิกราชธานีใหม่ ศูนย์กลางด้าน จิตวิญญาณอีกแห่งหนึ่ง
      ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของพุกามประเทศว่าไม่ได้เสื่อมสลาย ไม่ได้สิ้นสุด
      ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่ เราจะสร้างขวัญกำลังใจหรือทำให้เกิดความเชื่อถือให้คนเห็น
      และถือเป็นรูปธรรมได้อย่างไร ถ้าจะคิดอย่างพม่าก็ต้องย้ายเมือง


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakl4TURFMU5nPT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBeE15MHdNUzB5TVE9PQ==
http://picpost.postjung.com/,http://topicstock.pantip.com/
22051  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สำนักพุทธฯ ยอมรับไร้อำนาจปลดป้าย "ขายวัดอ้อน้อย 2 พันล้าน" เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 08:30:21 pm

สำนักพุทธฯยอมรับ ไร้อำนาจปลดป้าย "ขายวัดอ้อน้อย2พันล้าน"
โรงงานอาหารสัตว์เร่งแก้กลิ่นเหม็น

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ประกาศขายวัด 2,000 ล้านบาท หลังสุดทนกลิ่นเหม็นจากโรงงานอาหารสัตว์ว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) นครปฐม เข้าไปตรวจสอบกรณีวัดอ้อน้อยประกาศขายวัดแล้ว

โดย พศจ.นครปฐม รายงานมาว่า ทางเจ้าของโรงงาน ปลัดอาวุโส ปฏิบัติหน้าที่แทนนายอำเภอกำแพงแสน ได้เข้าไปหารือกับทางหลวงปู่พุทธะอิสระแล้ว ทางเจ้าของโรงงานได้รับปากจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จภายใน 1 เดือน


      "ปลัดอาวุโส ก็ได้แจ้งทางเจ้าของโรงงานไปว่า หากไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เสร็จตามเวลาที่หารือกันไว้
      ก็จะดำเนินการทางกฎหมาย คือ ปิดโรงงานชั่วคราวก่อน
      การขึ้นป้ายของเจ้าอาวาส เป็นเรื่องของทางวัดที่จะเรียกร้องให้เกิดกระแสสังคม
      ทาง พศ.คงจะไปสั่งการให้นำป้ายออกไม่ได้
"
      นายนพรัตน์กล่าว

ทางด้านนายประเสริฐ   โฆษิตพิรุณ หัวหน้าฝ่ายโรงงาน รักษาการแทน อุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม  นายสุวรรณ นันทศรุต ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 5 พร้อม เจ้าหน้าที่ทีมตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษ และนำเครื่องดูดปั๊มอากาศในโรงงานฯไปตรวจสอบในห้องปฎิบัติการฯ



นายอดุลย์กิตติ  วุฒาพาณิชย์  นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ห้วยขวาง ให้สัมภาษณ์ว่า  จากการตรวจสอบภายในโรงงานฯตามที่หลวงปู่พุทธะอิสระร้องเรียนว่าโรงงานฯส่งกลิ่นเหม็นรบกวนอย่างรุนแรง ว่าเกิดจากอะไรนั้น

จากการตรวจสอบพบว่าโรงงานมีกระบวนการจัดการบำบัดฝุ่น และกำจัดกลิ่นมาตลอด แต่เมื่อมีผู้ร้องว่ามีกลิ่นมาก ทางโรงงานฯก็พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา โดยการสร้างระบบกำจัดกลิ่นแบบใช้โอโซน และใช้การบำบัดด้วยระบบน้ำ
      ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางโรงงานฯพยายามทำอยู่ และด้วยความจริงใจของผู้บริหารโรงงานฯ
      ได้ยื่นแสดงความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการขอผลิตสินค้าตามออร์เดอร์ที่ค้างไว้ให้หมด
      และจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และหรือสินค้าหมดก็จะหยุดพักการผลิตเพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไข


    "จากการสรุปสาเหตุและสิ่งที่ทางโรงงานฯแสดงความจริงในเหล่านี้
     ก็จะนำเรื่องไปกราบเรียนหลวงปู่พุทธะอิสระให้ทราบ
     และเชื่อว่าหลวงปู่คงเห็นใจและเมตตาทางโรงงานฯที่มีความจริงใจที่จะแก้ไข"
     นายอดุลย์กิตติกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1358849989&grpid=00&catid=&subcatid=
http://news.impaqmsn.com/
22052  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระ 125 รูป ธุดงค์มาราธอนถึงโคราช..ฉลองพุทธยันตี 2,600 ปี เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 08:12:47 pm


พระ 125 รูป ธุดงค์มาราธอนถึงโคราช..ฉลองพุทธยันตี 2,600 ปี

พระ125 รูปธุดงค์มาราธอนฉลอง 2,600 ปี เดินจากกาญจนบุรี ถึง นครราชสีมา ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิถวายเป็นพระราชกุศล ตลอดเส้นทางพุทธศาสนิกชนศรัทธาล้นหลาม

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (22 ม.ค.) ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดคลองตะคร้อ ต.ตูม อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พระพรหมวชิรญาณ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เดินทางมาแสดงธรรมเทศนา
     และร่วมเดินธุดงค์ ตามโครงการธุดงค์ธรรมจาริก ฉลองพุทธยันตี 2,600 ปี
     เพื่อถวายเป็นประราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
     โครงการดังกล่าวมีพระจากทั่วประเทศรวม 31 จังหวัด 125 รูป ร่วมเดินธุดงค์ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรมในหลายพื้นที่หลายจังหวัด กำหนดสิ้นสุดที่ จ.นครราชสีมา




พระมหาวิชิต ภทฺทาจาโร หัวหน้าดำเนินงานโครงการธุดงค์ธรรมจาริก เปิดเผยว่า ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในพระสังฆราชูปถัมภ์  ร่วมกับหลายหน่วยงานจัดขึ้น เพื่อถวายบูชาในปีฉลองพุทธยันตี 2600 ปี แห่งหารตรัสรูของพระพุทธเจ้า และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และยังเพื่อเป็นการสร้างศรัทธา ปลูกจิตสำนึก สร้างจิตวิญญาณให้เกิดความรู้รักสามัคคีกับพระภิกษุ และพุทธบริษัทรุ่นหลัง

การธุดงค์ดังกล่าว ได้ออกเดินธุดงค์จากวัดสุนันทวนาราม ต.ท่าเตียน อ.ไทรโยค จ.อาญจบุรี ตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. 55 เรื่อยมา ปักกรดพักตามจังหวัดต่าง ๆ ประกอบด้วย นครปฐม นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี
     โดยจะแวะปักกรดตามจุดสำคัญหลายจุดได้แก่ อนุสรณ์ดอนเจดีย์สมเด็ดพระนเรศวรมหาราช จ.กาญจนบุรี
     วัดภูเขาทอง จ.พระนครศรีอยุธยา อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขื่อนลำพระเพลิง จ.นครราชสีมา 
     กำหนดสิ้นสุดในวันที่ 30 ม.ค. 56 นี้ ที่ ศูนย์ปฏิบัติธรรมธุดงคสถานเฉลิมพระเกียรติวังม่วง ต.ลำมูล อ.โนนสูง จ.นครราชสีม




ระหว่างทางธุดงค์ หากบริเวณที่ปักกรด มีชาวบ้านก็จะแสดงธรรมเทศนา เพื่อถ่ายทอดพระธรรมคำสอนฯ นอกจากนี้จะนั่งสมาธิวันละ 3 เวลา รวม 3 ชั่วโมง สวดมนต์ภาวนา เพื่อฉลองพุทธยันตี 2600 ปี แห่งหารตรัสรูของพระพุทธเจ้า และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยจะปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ โดยญาติโยมที่พบชวนธุดงค์ที่เดินทางผ่านเส้นทางต่าง ๆ ที่เหลือ สามารถร่วมใสบาตร และร่วมฟังธรรมเทศนาได้จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/179947
22053  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บังเกิดในอเวจีเพียง ๗ วัน จากนั้นไปจุติที่สวรรค์ชั้นดุสิต..ใครกัน.? เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 07:54:16 pm


๖. เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี
             
   
    ข้อความเบื้องต้น               
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนางมัลลิกาเทวี
    ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา" เป็นต้น.

    พระนางมัลลิกาทำสันถวะกับสุนัข               
    ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระนางมัลลิกาเทวีนั้น เสด็จเข้าไปยังซุ้มสำหรับสรงสนาน ทรงชำระพระโอษฐ์แล้ว ทรงน้อมพระสรีระลงปรารภเพื่อจะชำระพระชงฆ์ มีสุนัขตัวโปรดตัวหนึ่ง เข้าไปพร้อมกับพระนางทีเดียว มันเห็นพระนางน้อมลงเช่นนั้น จึงเริ่มจะทำอสัทธรรมสันถวะ.
 
     พระนางทรงยินดีผัสสะของมัน จึงได้ประทับยืนอยู่. พระราชาทรงทอดพระเนตรทางพระแกลในปราสาทชั้นบน ทรงเห็นกิริยานั้น ในเวลาพระนางเสด็จมาจากซุ้มน้ำนั้น จึงตรัสว่า "หญิงถ่อย จงฉิบหาย เพราะเหตุไร เจ้าจึงได้ทำกรรมเห็นปานนี้?"

     พระราชาแพ้รู้พระนางมัลลิกา               
     พระนาง. หม่อมฉันทำกรรมอะไร พระเจ้าข้า.
     พระราชา. ทำสันถวะกับสุนัข.
     พระนาง. เรื่องนี้หามิได้ พระเจ้าข้า.
     พระราชา. ฉันเองเห็น ฉันจะเชื่อเจ้าไม่ได้, หญิงถ่อย จงฉิบหาย.
     พระนาง. ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ผู้ใดผู้หนึ่งเข้าไปยังซุ้มน้ำนี้ผู้เดียวเท่านั้น ก็ปรากฏเป็นสองคน แก่ผู้ที่แลดูทางพระแกลนี้.


     พระราชา. เจ้าพูดไม่จริง หญิงชั่ว.
     พระนาง. พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉัน ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปยังซุ้มน้ำนั้น. หม่อมฉันจักแลดูพระองค์ทางพระแกลนี้.
     พระราชาติดจะเขลา จึงทรงเชื่อถ้อยคำของพระนาง แล้วเสด็จเข้าไปยังซุ้มน้ำ. ฝ่ายพระนางเทวีนั้นแล ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ที่พระแกล ทูลว่า "มหาราชผู้มืดเขลา ชื่ออะไรนั่น. พระองค์ทรงทำสันถวะกับนางแพะ" แม้เมื่อพระราชาจะตรัสว่า "นางผู้เจริญ ฉันมิได้ทำกรรมเห็นปานนั้น" ก็ทูลว่า "แม้หม่อมฉันเห็นเอง หม่อมฉันจะเชื่อพระองค์ไม่ได้."

     พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงเชื่อว่า "ผู้เข้าไปยังซุ้มน้ำนี้ ผู้เดียวเท่านั้น ก็ย่อมปรากฏเป็นสองคนแน่." พระนางมัลลิกาทรงดำริว่า "พระราชานี้อันเราลวงได้แล้ว ก็เพราะพระองค์โง่เขลา, เราทำกรรมชั่วแล้ว ก็พระราชานี้ เรากล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง, แลแม้พระศาสดาจักทรงทราบกรรมนี้ของเรา, พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี พระอสีติมหาสาวกก็ดี จักทราบ, ตายจริง เราทำกรรมหนักแล้ว."
     ทราบว่า พระนางมัลลิกานี้ได้เป็นสหายในอสทิสทานของพระราชา.


   
     พระนางมัลลิกาเกิดในอเวจี               
     ก็ในอสทิสทานนั้น การบริจาคที่ทรงทำในวันหนึ่ง มีค่าถึงทรัพย์ ๑๔ โกฏิ.
     ก็เศวตฉัตร บัลลังก์ประทับนั่ง เชิงบาตร ตั่งสำหรับรองพระบาทของพระตถาคตเจ้า ๔ อย่างนี้ ได้มีค่านับไม่ได้.
     ในเวลาจะสิ้นพระชนม์ พระนางมัลลิกานั้นมิได้ทรงนึกถึงการบริจาคใหญ่ เห็นปานนั้น
     ทรงระลึกถึงกรรมอันลามกนั้นอย่างเดียว สิ้นพระชนม์แล้ว ก็บังเกิดในอเวจี.
     ก็พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นผู้โปรดปรานของพระราชาอย่างยิ่ง.

     พระราชาทูลถามสถานที่พระนางเกิด               
     ท้าวเธออันความโศกเป็นกำลังครอบงำ รับสั่งให้ทำฌาปนกิจพระสรีระของพระนางแล้ว
     ทรงดำริว่า "เราจะทูลถามสถานที่เกิดของพระนาง" จึงได้เสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา.

     พระศาสดาได้ทรงทำโดยประการที่ท้าวเธอระลึกถึงเหตุที่เสด็จมาไม่ได้.
     ท้าวเธอทรงสดับธรรมกถาชวนให้ระลึกถึงในสำนักของพระศาสดาแล้ว ก็ทรงลืม;

     ในเวลาเสด็จเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ทรงระลึกได้ จึงตรัสว่า
     "พนาย ฉันตั้งใจว่า ‘จักทูลถามที่พระนางมัลลิกาเทวีเกิด’ ไปยังสำนักของพระศาสดาก็ลืมเสีย.
     วันพรุ่งนี้ ฉันจะทูลถามอีก" ดังนี้แล้ว ก็ได้เสด็จไป
     แม้ในวันรุ่งขึ้น.ฝ่ายพระศาสดาก็ได้ทรงทำโดยประการที่ท้าวเธอระลึกไม่ได้ตลอด ๗ วันโดยลำดับ.

     ฝ่ายพระนางมัลลิกานั้นไหม้ในนรกตลอด ๗ วันเท่านั้น.
     ในวันที่ ๘ จุติจากที่นั้นแล้ว เกิดในดุสิตภพ.
 

   
     ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระศาสดาจึงได้ทรงทำความที่พระราชานั้น ทรงระลึกไม่ได้?
     แก้ว่า ทราบว่า พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นที่โปรดปรานพอพระทัยของพระราชานั้นอย่างที่สุด?
     เพราะฉะนั้น ท้าวเธอทราบว่า พระนางเกิดในนรกแล้ว ก็จะทรงยึดถือมิจฉาทิฏฐิ
     ด้วยทรงดำริว่า "ถ้าหญิงผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ เกิดในนรกไซร้ เราจะถวายทานทำอะไร?" ดังนี้แล้ว ก็จะรับสั่งให้เลิกนิตยภัตที่เป็นไปในพระราชนิเวศน์เพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูปแล้วพึงเกิดในนรก
     เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงทรงทำความที่พระราชานั้นทรงระลึกไม่ได้ตลอด ๗ วัน


    ในวันที่ ๘ ทรงดำเนินไปเพื่อบิณฑบาต ได้เสด็จไปยังประตูพระราชวังด้วยพระองค์เองทีเดียว.
    พระราชาทรงทราบว่า "พระศาสดาเสด็จมาแล้ว" จึงเสด็จออก
    ทรงรับบาตรแล้ว ปรารภเพื่อจะเสด็จขึ้นสู่ปราสาท.
    แต่พระศาสดาทรงแสดงพระอาการเพื่อจะประทับนั่งที่โรงรถ.
    พระราชาจึงทูลอัญเชิญพระศาสดาให้ประทับนั่ง ณ ที่นั้นเหมือนกัน


    ทรงรับรองด้วยข้าวยาคูและของควรเคี้ยวแล้ว จึงถวายบังคม พอประทับนั่ง ก็กราบทูลว่า
    "หม่อมฉันมาก็ด้วยประสงค์ว่า ‘จักทูลถามที่เกิดของพระนางมัลลิกาเทวี แล้วลืมเสีย พระนางเกิดในที่ไหนหนอแล? พระเจ้าข้า."
    พระศาสดา. ในดุสิตภพ มหาบพิตร.
    พระราชา. พระเจ้าข้า เมื่อพระนางไม่บังเกิดในดุสิตภพ คนอื่นใครเล่าจะบังเกิด พระเจ้าข้า
    หญิงเช่นกับพระนางมัลลิกานั้นไม่มี เพราะในที่ๆ พระนางนั่งเป็นต้น กิจอื่น เว้นการจัดแจงทาน
    ด้วยคิดว่า "พรุ่งนี้ จักถวายสิ่งนี้ จักทำสิ่งนี้ แด่พระตถาคต" ดังนี้ไม่มีเลย พระเจ้าข้า
    ตั้งแต่เวลาพระนางไปสู่ปรโลกแล้ว สรีระของหม่อมฉันไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า.


   
    ธรรมของสัตบุรุษไม่เก่าเหมือนของอื่น              
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า "อย่าคิดเลยมหาบพิตร นี้เป็นธรรมอันแน่นอนของสัตว์ทุกจำพวก"     
    แล้วตรัสถามว่า "นี้รถของใคร? มหาบพิตร."
    พระราชาทรงประดิษฐานอัญชลีไว้เหนือพระเศียรแล้ว ทูลว่า "ของพระเจ้าปู่ของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า."
    พระศาสดา. นี้ ของใคร?
    พระราชา. ของพระชนกของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.


    เมื่อพระราชากราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า
    มหาบพิตร รถของพระเจ้าปู่ของมหาบพิตร เพราะเหตุไร จึงไม่ถึงรถของพระชนกของมหาบพิตร, รถของพระชนกของมหาบพิตร ไม่ถึงรถของมหาบพิตร, ความคร่ำคร่าย่อมมาถึง แม้แก่ท่อนไม้ชื่อเห็นปานนี้, ก็จะกล่าวไปไย ความคร่ำคร่าจักไม่มาถึงแม้แก่อัตภาพเล่า?
    มหาบพิตร ความจริง ธรรมของสัตบุรุษเท่านั้นไม่มีความชรา, ส่วนสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าไม่ชรา ย่อมไม่มี.
    ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
                            ๖. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา                
                               อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ
                               สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
                               สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ.

                   ราชรถที่วิจิตรดี ยังคร่ำคร่าได้แล, อนึ่ง ถึงสรีระก็ย่อมถึงความคร่ำคร่า,
                   ธรรมของสัตบุรุษหาเข้าถึงความคร่ำคร่าไม่, สัตบุรุษทั้งหลายแล ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ
.


อ้างอิง
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=6
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=662&Z=691
ขอบคุณภาพจาก http://palungjit.com/,http://www.dhammajak.net/,http://www.dmc.tv/
22054  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / "แอนดรอยด์ วินโดวส์โฟน ไอโอเอส"...ซื้อโทรศัพท์ใหม่อะไรดี เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 07:03:54 pm


แอนดรอยด์ วินโดวส์โฟน ไอโอเอส ซื้อโทรศัพท์ใหม่อะไรดี
โดย...เคอร์มิท

หลายๆ คนถือโอกาสช่วงปีใหม่ เป็นเวลาเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ มากมาย ซึ่งก็มีหลายๆ คนกำลังเล็งโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาในท้องตลาด อีกหลายคนก็ตั้งเป้าจะซื้อโทรศัพท์ใหม่ อยากเปลี่ยนชีวิตมาใช้สมาร์ตโฟนกับเขาบ้าง แต่เอ... จะเลือกซื้อแบบไหนดี ที่จะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุดน้าาาาาาาาาาา

ลองมาช่วยกันเลือกดู


แอนดรอยด์ : เอชทีซี วันเอกซ์ พลัส
เอชทีซี (HTC) ออกสมาร์ตโฟนออกมาเยอะแยะมากมาย สมาร์ตจริงๆ บ้าง สมาร์ตน้อยหน่อยบ้าง แต่ถ้าเป็นรุ่นท็อปของแอนดรอยด์ที่เขาภูมิใจนำเสนอ ก็ต้องเป็น เอชทีซี วันเอกซ์ พลัส (HTC One X Plus) ที่แม้ว่าคนจะค่อนขอดระบบโปรเซสเซอร์ควอดคอร์ (QuadCore) ว่าหน่อมแน้ม ทว่าตัวใหม่ของเอชทีซีตัวนี้ลบคำสบประมาททั้งปวงออกไป

นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ใหม่ล่าสุด 4.1.1 (ไอศกรีม แซนด์วิช) ที่ส่งผลให้หน้าจอสวยใส ใหม่กิ๊งขนาด 4.7 นิ้ว น่ารักน่าใคร่น่าใช้เป็นที่สุด ส่วนกล้องถ่ายรูปที่พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนๆ ให้ไวขึ้น เมื่อนำมาผสมผสานกับดีไซน์ที่สวยงามขั้นเทพ รวมทั้งแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อึดสุดๆ มองภาพรวมๆ แล้ว ก็นับว่าตอนนี้ เอชทีซี วันเอกซ์ พลัส เป็นยอดสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ที่น่าใช้สุดๆ ถึงขั้นแซงหน้าสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ขายดีอย่างซัมซุง กาแล็กซี เอส 3 ไปเลยทีเดียว

วินโดวส์โฟน 8 : เอชทีซี วินโดวส์โฟน 8 เอกซ์
นี่ถ้า ไอโอเอส (iOS) ไม่เป็นลิขสิทธิ์ขาดของไอโฟน เอชทีซีก็คงจะออกสมาร์ตโฟนที่อาศัยระบบปฏิบัติการไอโอเอสออกมาด้วยเป็นแน่แท้ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น (ฮ่าๆๆๆ) ก่อนหน้านี้ เอชทีซีเคยออกสมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการวินโดวส์มาตั้งแต่สมัยพ็อกเกตพีซี แล้วก็พัฒนามาเป็น เอชพีซี เป็นวินโดวส์ที่เอชทีซีพัฒนาสำหรับสมาร์ตโฟนของตัวเอง กระทั่งแอนดรอยด์ออกมายั่วยวนใจ เอชทีซีก็หันไปพัฒนาออกมาหลายรุ่น แต่เมื่อวินโดวส์โฟน 8 ออกมา วัวเคยขาม้าเคยขี่อย่างเอชทีซี จะปล่อยระบบปฏิบัติการนี้ลอยนวลไปได้อย่างไร

เอชทีซี วินโดวส์โฟน 8 เอกซ์ (HTC Windows Phone 8X) มาพร้อมกับรูปลักษณ์สุดโมเดิร์นที่สวยงามน่าจับต้องมากๆ คนที่ชอบลองของใหม่คงจะกระโจนเข้าใส่ พร้อมการเรียนรู้คู่ไปกับอัลตราบุ๊กระบบปฏิบัติการเดียวกัน

ระบบกล้องถ่ายรูปในเอชทีซี วินโดวส์โฟน 8 เอกซ์ ออกมาตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ กล้องที่ใช้ง่ายๆ แตะโฟกัสและสั่งถ่ายได้ที่หน้าจอสัมผัส รวมทั้งกล้องด้านหน้าแบบมุมกว้าง สำหรับหนุ่มสาวสังคม ถ่ายรูปหมู่แบบเซลฟ์คลิกได้ง่ายดายและสนุก

แม้ว่าจะยังมีโปรแกรม (แอพพลิเคชัน) อีกมากมายที่ยังต้องพัฒนาเพื่อมาตอบสนองความตื่นตาในระบบวินโดวส์โฟน 8 แต่เชื่อว่าจะไม่นานเกินรอ


ไอโอเอส 6 : ไอโฟน 5
สำหรับคนที่เพิ่งควักกระเป๋าซื้อ ไอโฟน 4เอส (iPhone 4S) อาจจะไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่กับการมาของไอโฟน 5 (iPhone 5) เพราะเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแค่รูปลักษณ์ภายนอก กะอีแค่บางขึ้น เบาลง จอใหญ่ขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้ไปจับต้องทดลองความแตกต่างแล้ว บังเอิญความอยากได้ก็เพิ่มทวีขึ้นมาซะอย่างงั้น

เรียกว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่บางและเบาที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้ จอเรตินา แอลซีดี เพิ่มความละเอียดคมชัดขึ้นกว่าเดิมอีกหลายสต็อป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้อยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนมาก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก

พอเป็นไอโฟน ทุกๆ อย่างเหมือนจะดูดีไปหมด ดูเหมือนคนออกแบบระบบทำให้เป็นเรื่องล้ำหน้าให้ระบบอื่นๆ ต้องไล่ตามเสมอๆ (ไม่ได้เขียนเวอร์หรือเกินเลยนะเนี่ย) หากสิ่งที่ยังต้องบ่นอยู่ก็คือ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ไม่ทนทานเอาเสียเลย แค่อึดเพิ่มจากไอโฟน 4เอส ไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง


สรุปภาพรวม
สำหรับคนที่ยังจงรักภักดีกับไอโอเอส หรือไม่ต้องการกระโจนสู่อะไรใหม่ๆ ก็คงใช้ไอโฟนต่อไป แต่ถ้าชอบสีสันของชีวิต ลองรอไอโฟน 5เอส ที่จะออกช่วงกลางปีนี้ที่อเมริกา และน่าจะมาถึงบ้านเราช่วงปลายๆ ปี มีให้เลือกหลากสีน่าใช้

ขณะที่คนชอบสีสันหวือหวา ลูกเล่นแพรวพราว ควรเลือกแอนดรอยด์ ซึ่งเอชทีซี วันเอกซ์ พลัส ตอนนี้นับว่าเป็นเครื่องที่น่าจับตาที่สุดในกลุ่มแอนดรอยด์

ในส่วนของวินโดวส์โฟน 8 แม้จะยังเป็นระบบปฏิบัติการน้องใหม่ แต่ก็นับว่าเป็นสีสันสนุกสนานที่น่าใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่คิดจะซื้อเครื่องโน้ตบุ๊ก หรืออัลตราบุ๊กที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 เหมือนกัน คล้ายๆ กับพวกใช้ไอแพดคู่กับไอโฟน หรือใช้แอนดรอยด์แท็บคู่กับสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์นั่นเอง

คู่ชกสูสีๆ อย่างนี้ เลือกได้กันมั้ยเนี่ย... อิอ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/ดิจิตอลไลฟ์/199293/แอนดรอยด์-วินโดวส์โฟน-ไอโอเอส-ซื้อโทรศัพท์ใหม่อะไรดี
22055  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พศ. ตรวจสอบกลิ่นเหม็น 'วัดอ้อน้อย' เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 06:57:12 pm



เผยแพร่เมื่อ 21 ม.ค. 2013 โดย CiNNtv3
22056  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบพระยุคสุโขทัย เครื่องเคลือบโบราณ อายุกว่า 400 ปี เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 06:55:01 pm



พบพระยุคสุโขทัย เครื่องเคลือบโบราณ อายุกว่า 400 ปี

วัดท่ามะปรางก่อสร้างอาคารกุฏิพระสงฆ์ คนงานขุดหลุมตอม่อเจอพระพุทธรูปเก่ายุคสุโขทัยและอยุธยาเนื้อสำริด พร้อมเครื่องเคลือบโบราณจำนวนมาก

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (22 ม.ค.)   ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีการขุดพบพระพุทธรูปและเครื่องลายครามเคลือบยุคสุโขทัย และอยุธยา ภายในบริเวณวัดท่ามะปราง อ.เมืองพิษณุโลก จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่าที่วัดกำลังมีการก่อสร้างอาคารกุฏิพระสงฆ์ โดยมีคนงานจำนวนหนึ่งกำลังขุดหลุมก่อสร้างอาคารกุฏิพระสงฆ์ ส่วนคนงานที่ขุดพบได้นำมอบให้กับทางวัดเก็บเอาไว้ นายอนุ แจ่มศรี อายุ 24 ปี

คนงานเปิดเผยว่าตนมารับจ้างเป็นคนงานก่อสร้าง ได้ขุดหลุมเพื่อวางเสาอาคารสร้างกุฏิ จำนวน 18 หลุม โดยขุดลึกลงไปประมาณ 1.5 เมตรขุดพบ ปรากฏว่าพบเศษกระเบื้องเคลือบและพระพุทธรูปจำนวนหนึ่ง จึงได้ไปบอกกับทางพระให้มาดู ก่อนจะลงมือขุดต่อก็พบเศียรพระที่แตกหัก จากนั้นได้นำขึ้นมาให้กับทางวัดเก็บไว้ และที่หลุดใกล้เคียงก็พบ ไหเหล้าและตุ๊กตาเสียกบาล กระปุกใส่ยาโบราณ และกระสุนปืนโบราณ




ส่วนมากจะแตกหักเสียหาย เนื่องจากบางส่วนถูกกระแทกจากการขุด ทางด้าน พระธรรมธรอุดมศักดิ์ อุตฺตมสกฺโก รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่ามะปราง เปิดเผยว่า จุดที่ขุดพบเป็นบริเวณกุฏิเก่า ได้มีการรื้อทิ้ง เพื่อทำการก่ออาคารตึกหลังใหม่เป็นตึก 2 ชั้นจำนวน 18 ห้อง ให้พระสงฆ์พักอาศัย เนื่องจากที่พักสงฆ์ไม่เพียงพอ ส่วนของที่ขุดพบนั้นทางคนงานขุดหลุมเจออยู่ในหลุมที่ขุดใกล้กัน มีทั้งพระพุทธรูปเศียรหักเนื้อสำริด จำนวน 4 องค์ และเศียรพระอีก 3 เศียร เป็นพระปางมารวิชัย พระกำแพงสามขา เป็นพระยุคสุโขทัยกับอยุธยา

นอกจากนั้นยังมีเครื่องเคลือบกระเบื้องยุคสุโขทัย ไหเหล้า กระปุกดินเผาเคลือบเขียวไข่กาใส่ยาโบราณ เครื่องเคลือบยุดเดียวกับเวียงกาหลง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ลูกกระสุนปืนโบราณ นอกจากนั้นยังมีตุ๊กตาเสียกบาล ซึ่งเป็นตุ๊กตาแก้เคราะห์หรือสะเดาะเคราะห์ มีทั้งเนื้อ และเนื้อดินเคลือบ ซึ่งสมัยโบราณ มีความเชื่อว่าคนใกล้ตายจะผีมาเอาชีวิต จึงหาวิธีสะเดาะเคราะห์ โดยปั้นตุ๊กตาดินขึ้นแทนตัวคนป่วย หลังจากเสร็จพิธีจะทำการหักคอตุ๊กตา หรือเรียกว่าเสียกบาล เป็นตัวแทนตายให้กับคนป่วย






ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวัดท่ามะปราง เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างอยู่ริมแม่น้ำน่าน มีพระปรางยุดเดียวกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ และมีการขุดพบของโบราณมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะพระนเรศวรอุ้มไก่ มีเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ทางวัดได้นำมาให้ประชาชนกราบไหว้ในปัจจุบัน ทางวัดจะเก็บไว้เพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์..

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/179879




เผยแพร่เมื่อ 21 ม.ค. 2013 โดย Tanate Anudit
22057  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สัตว์พวกปลาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย โดนถูกเบ็ดเกี่ยวดิ้น ก็ไม่ได้ตกอกตกใจ เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 06:48:42 pm


สัตว์พวกปลาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย โดนถูกเบ็ดเกี่ยวดิ้น ก็ไม่ได้ตกอกตกใจ

ทีมนักวิจัยระหว่างประเทศ พบความรู้ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องแปลกใจว่า สัตว์อย่างพวกปลา ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด   เพราะมันไม่มีระบบสมอง หรือหน่วยรับความรู้สึกอยู่ในเซลล์ประสาทมากพอ ดังนั้นแม้มันจะถูกเบ็ดเกี่ยว และต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด มันก็ไม่สึกอะไร

นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การที่เราเห็นปลาดิ้น ไม่ใช่เพราะมันเจ็บปวดแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นพวกมัน ยังไม่ได้แสดงว่าเป็นอะไรด้วย แม้แต่เมื่อบาดเจ็บหรือโดนพิษ ซึ่งถ้าเป็นคนแล้ว จะต้องเจ็บปวดรวดร้าว จนแทบจะแดดิ้นสิ้นใจ

    อาจารย์วิชาสรีรวิทยาและสัตววิทยา เล่าให้ฟังว่า
    ได้ทดลองเอาเข็มหลายเล่มแทงสอดเข้าไปในปากของปลาเทราต์ เรนโบว์ตัวหนึ่ง แล้วฉีดกรดหรือพิษเหล็กในของผึ้ง
    ขนาดที่เป็นคนโดนเข้าจะต้องเจ็บปวดอย่างหนักเข้าไป แต่มันกลับไม่ได้แสดงอะไรเลย
    ซ้ำมันกลับเป็นปกติ หลังจากนั้นแค่ไม่กี่นาที พอปล่อยลงน้ำมันก็ว่ายหายไปเลย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/321598
22058  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์ หากไม่บวช.."จะปรินิพพานภายในกี่วัน"..? เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 01:21:06 pm


ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

ถามโดย นาวาเอกทองย้อย
     กระผมเคยฟังมาว่า ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะต้องบวชในวันนั้นหรือภายใน 7 วัน
     ถ้าไม่บวชจะต้องนิพพาน ข้อสงสัยคือ บวชหรือนิพพานภายในวันนั้นหรือภายใน 7 วัน ?
     และทำไมจะต้องเป็นอย่างนั้น หลักในเรื่องนี้คัมภีร์แสดงไว้อย่างไรครับ
     แถมอีกนิดหนึ่ง พระอริยบุคคลที่ไปเกิดในพรหมโลก และปรินิพพานที่พรหมโลกนั้น
     นิพพานในเพศบรรพชิตหรือเพศคฤหัสถ์ หรือว่าไม่มีเพศ ?
         ขอบพระคุณครับ


ความคิดเห็นที่ 1 โดยคุณ paderm
    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
    สำหรับในภพภูมิมนุษย์ ผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเพศคฤหัสถ์ หากไม่บวชในวันนั้น
    ก็ต้องปริพพานในวันนั้นเลยครับ ไม่ใช่ 7 วันครับ แล้วค่อยบวช
    แต่ถ้าจะมีชีวิตดำรงต่อไปได้ ก็ด้วยการบวชเป็นเพศบรรพชิตครับในวันนั้นครับ 
    ซึ่งตัวอย่างของบุคคลที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเพศคฤหัสถ์ เช่น ท่านสันตติมหาอำมาตย์ แต่ท่านไม่บวชในวันนั้น ท่านก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเองครับ


    ซึ่งเหตุผลดังนี้ครับ การบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นคุณธรรมที่สูงสุุด
     ดังนั้นเพศที่รองรับคุณธรรมก็ต้องเหมาะกับการรองรับคุณธรรมนี้  คือ เพศบรรพชิตในภพภูมิมนุษย์ครับ
     ส่วนเพศฆราวาสเป็นเพศที่ต่ำไม่สามารถรองรับคุณธรรม คือ ความเป็นพระอรหันต์ได้ครับ
     เปรียบเหมือนว่า หญ้า ไม่สามารถรองรับก้อนหินใหญ่ได้ฉันใด แม้เพศคฤหัสถ์ก็ไม่สามารถรองรับคุณธรรมคือความเป็นพระอรหันต์ได้  เปรียบเหมือนคนที่มีบุญน้อยแต่ได้ปราบดาได้เป็นกษัตริย์
 
   
     เพราะความที่ตนมีบุญน้อย ไม่มีความสามารถก็ไม่สามารถปกครองราชสมบัติและเกิดความเดือดร้อนตามมามากมาย จะโทษสมบัติก็ไม่ได้ ต้องโทษความที่ตนมีบุญน้อย ฉันใด 
     ผู้ที่มีเพศต่ำ คือ คฤหัสถ์ไม่สามารถรองรับคุณธรรมคือความเป็นพระอรหันต์ หากไม่บวชก็ต้องปรินิพพานในวันนั้น จะโทษความเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะเพศนั้นคือเป็นเพศคฤหัสถ์ไม่เพียงพอที่จะรองรับคุณธรรมขั้นสูงได้ครับ


     ดังนั้นผู้ที่ไม่บวชเมื่อเป็นมนุษย์แล้วย่อมปรินิพพานในวันนั้น แต่ถ้าบวชก็สามารถดำรงมีชีวิตอยู่ได้เพราะเพศบรรพชิต สามารถดำรงคุณธรรมความเป็นพระอรหันต์ได้ครับ
     ซึ่งตัวอย่างผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในพศฆราวาสแล้วไม่ได้บวชปรินิพพานในวันนั้น ก็เป็นท่านสันตติมหาอำมาตย์
     ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเพศฆราวาสแล้วบวช สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่น พระภัททชิเถระครับ




     
     และจากคำถามที่ว่า พระอริยบุคคลที่ไปเกิดในพรหมโลก และปรินิพพานที่พรหมโลกนั้น 
     นิพพานในเพศบรรพชิตหรือเพศคฤหัสถ์ หรือว่าไม่มีเพศ ?


     ตอบ : ในเทวโลก และพรหมโลก ไม่มีการบวช จึงไม่มีเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ครับ
     สำหรับพระอรหันต์สามารถอยู่ในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาได้
     แต่เป็นเทวดาภาคพื้นที่เป็นภุมมเทวดา เช่น มีวิมานอยู่่ในต้นไม้  เพราะมีที่หลีกเล้นได้ของพระอรหันต์ครับ
     แต่เทวโลกชั้นอื่นย่อมไม่สมควรกับพระอรหันต์และไม่มีที่หลีกเล้นอันสมควร และเต็มไปด้วยการละเล่น เป็นต้น     
     ส่วนพรหมโลกก็มีพระอรหันต์ได้ครับ ยกเว้น อสัญญสัตตาพรหมครับ ขออนุโมทนา





ความคิดเห็นที่ 15 โดยคุณ paderm

     เรียนความเห็นที่ 14 ครับ
     1. เพิ่งทราบว่าพระอรหันต์ในเทวโลก นอกจากเทวดาภาคพื้นที่เป็นภุมมเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกานี้ นั้นไม่มี ขอถามว่าที่หลีกเร้นได้ หรือที่หลีกเร้นอันสมควร ในชั้นนี้ของพระอรหันต์ คืออะไร
     ตอบ : ที่หลีกเล้น ของเทวดาภาคพื้นคือ วิมาน ที่อยู่ในต้นไม้ เป็นต้นครับ ส่วนชั้นอื่นๆมี การละเล่นกันมากมาย ไม่เหมาะสมสำหรับการหลีกเร้นครับ


    2. ที่ปกปิดที่สมควร ในเทวโลกนี้คืออะไร
     ตอบ : ที่ปกปิดที่สมควรในเทวโลก ก็คือที่ที่สามารถหลีกเร้นได้ และไม่เป็นที่ที่มีการละเล่นของเทวดา อันเป็นที่น่ายินดี พอใจมาก ดังนั้น เทวดาที่เป็นเทวดาภาคพื้นที่มีวิมานอยู่ในต้นไม้ จึงเป็นที่ที่ปกปิดสมควร แต่เทวโลกอื่นไม่สมควร   ไม่เป็นที่ปกปิดครับ เพราะเต็มไปด้วย รูป เสียง..น่าพอใจและมีการละเล่นของเทวดาด้วยครับ


    3. เทวดาในเทวโลกนอกเหนือจากภุมม ไม่สามารถบรรลุอรหันต์และพระอนาคามีได้เลย หรือว่าบรรลุได้แล้วจะต้องจุติทันที (เคยทราบมาว่าเทวดามีปัญญามากกว่ามนุษย์)
    ตอบ : เทวดาทุกชั้นสามารถ บรรลุเป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์ได้ครับ แต่เมื่อเทวดาบรรลุเป็นพระอนาคามี ย่อมไปเกิดในพรหมโลกทันที ส่วนเทวดาที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ใช่พวกภุมมเทวดาแล้วก็ย่อมจุติ ปรินิพพานครับ



ที่มา http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=18654
ขอบคุณภาพจาก http://i883.photobucket.com/,http://image.ohozaa.com/,http://trang82.files.wordpress.com/
22059  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์ หากไม่บวช.."จะปรินิพพานภายในกี่วัน"..? เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 12:42:01 pm


อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปริพพาชกวรรค
จูฬวัจฉโคตตสูตร เรื่องปริพาชกวัจฉโคตร

อรรถกถาปริพพาชกวรรค
๑. อรรถกถาเตวิชชวัจฉสูตร

(ยกมาแสดงบางส่วน)
   
     ดูก่อนวัจฉะ ไม่มีเลย คือผู้ยังไม่ละคิหิสังโยชน์ ชื่อว่าจะทำที่สุดทุกข์ย่อมไม่มี.
     แม้บุคคลเหล่าใดดำรงเพศคฤหัสถ์ คือ สันตติมหาอำมาตย์ อุคคเสนะเศรษฐีบุตร วีตโสกธารกะ ก็บรรลุพระอรหัตได้.
     แม้บุคคลเหล่านั้นก็ยังความใคร่ในสังขารทั้งปวงให้แห้งไปด้วยมรรคแล้วบรรลุได้ แต่เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ตั้งอยู่ด้วยเพศนั้น.


     ชื่อว่าเพศคฤหัสถ์นี้เลว ไม่สามารถทรงคุณอันสูงสุดไว้ได้.
     เพราะฉะนั้น ผู้ตั้งอยู่ในเพศคฤหัสถ์นั้นบรรลุพระอรหัตแล้วย่อมบวช หรือปรินิพพานในวันนั้นเอง
.
     แต่ภุมมเทวดายังดำรงอยู่ได้. เพราะเหตุไร. เพราะมีโอกาสที่จะแฝงตัวอยู่ได้.



     ในกามภพที่เหลือ พระอริยบุคคล ๓ จำพวกมีพระโสดาบันเป็นต้น ยังดำรงอยู่ได้ในมนุษยโลก.
     ในกามาวจรเทวโลก พระโสดาบันและพระสกทาคามียังดำรงอยู่ได้.
     แต่พระอนาคามี และพระขีณาสพจะดำรงอยู่ในกามาวจรเทวโลกนี้ไม่ได้.
     เพราะเหตุไร. เพราะที่นั้นมิใช่เป็นที่อยู่ของชนผู้ละอายแล้ว และที่นั้นมิใช่เป็นที่ปกปิดที่สมควรแก่วิเวกของพระขีณาสพเหล่านั้น.


     ด้วยประการฉะนี้ พระขีณาสพจึงปรินิพพาน ณ ที่นั้น.
     พระอนาคามีจุติแล้วไปเกิดในชั้นสุทธาวาส.
     พระอริยะแม้ ๔ จำพวกย่อมดำรงอยู่ในภูมิเบื้องบน แต่กามาวจรเทวโลกได้.
     .....ฯลฯ...........


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=4235&Z=4315
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=240
22060  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์ หากไม่บวช.."จะปรินิพพานภายในกี่วัน"..? เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 12:31:53 pm



ฆราวาสผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินว่า ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าเป็นฆราวาสที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์จะต้องบวชภายใน ๗ วัน หรือปรินิพานภายใน ๗ วัน ก็พูดกันมานานแล้ว
     ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยิน ตามหลักฐานในบาลีชั้นอรรถกถา จะเป็นในวันนั้นทั้งนั้น...? 
     คือ ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว นิพพานหรือบวชอย่างใดอย่างหนึ่งในวันนั้น


ถ้าเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็อยู่ได้ในเพศคฤหัสถ์ได้ตลอดชีวิตขงตนเท่าชีวิตของตน แต่ถ้าเป็นพระขีณาสพ เป็นพระอรหันต์แล้ว บรรลุอรหันตผลแล้ว จะต้องนิพพานหรือบวชในวันนั้น
     ท่านใช้คำว่า ตํ ทิวสเมว ปพฺพชิตวา ปรินิพฺพาติวา 
     บางแห่งก็ใช้คำว่า ปรินิพฺพายิตพฺพํ วา ปพฺพชิตพพํ วา โหติ คือ พึงปรินิพพานหรือบวชในวันนั้น 
     ตํ  ทิวสเมว ไม่ใช่ ๗ วัน


แต่ได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าจะต้องหรือนิพพานภายใน ๗ วัน พูดกันมาแต่ไม่มีหลักฐานที่อ้างอิง ไม่เคยพบหลักฐานที่ว่า ๗ วัน  แต่ได้พบหลักฐานที่ว่าต้องบวชหรือปรินิพพานในวันนั้น เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกันใหม่เพื่อความถูกต้อง





เรื่องแปลกอยู่อันหนึ่ง พระพาหิยะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ เมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อย ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ขอบวช ไปหาบริขารที่จะมาบวช ปรากฏว่าถูกโคขวิดเสียชีวิต ก็ปรินิพพาน
     พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
     สพรหมฺจารี โว ภิกฺขเว กาลกโต  ภิกษุทั้งหลายเพื่อนพรหมจรรย์ของเธอทำกาลแล้ว
     ใช้คำว่า เพื่อนพรหมจรรย์ของเธอ สพรหมจารี ซึ่งโดยปกติใช้กับพระด้วยกัน
 

     แต่สำหรับท่านพาหิยะเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ แม้ยังไม่ได้บวช เป็นฆราวาสอยู่ 
     พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า...สพรหมฺจารี โว ภิกฺขเว กาลกโต เพื่อนพรหมจรรย์ของเธอสิ้นชีวิตแล้ว
     และรับสั่งให้นำกระดูกไปบรรจุไว้ เป็นที่สักการบูชา
 

    แล้วยังมาเป็นพระอสีติมหาสาวกที่เป็นเอตทัคคะ เป็นผู้ตรัสรู้เร็ว
    อยู่ในกลุ่มพระไม่อยู่ในกลุ่มของฆราวาส ทั้งที่ยังไม่ได้บวช เพราะสิ้นชีวิตเสียก่อนที่จะบวช
    เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกที่ยกขึ้นมาเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาดูว่าเป็นอย่างไร
    ถ้าพิจารณาตามนี้ พระพุทธเจ้าท่านเล็งเอาคุณสมบัติของบุคคล





     มีอีกท่านหนึ่ง คือ ท่านสันตติมหาอำมาตย์ ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นฆราวาส
     ภิกษุทั้งหลายก็ทูลถามถึงเรื่องเหล่านี้ 
     พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะเรียกว่าบรรพชิตก็ได้ จะเรียกว่าสมณะก็ได้ จะเรียกว่าภิกษุก็ได้ 
     หมายถึง สันตติมหาอำมาตย์ก็ไม่ได้บวชเหมือนกัน  ขอยกขึ้นมาเพื่อเป็นการพิจารณา และต้องการให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
     เรื่องปรินิพพาน คือ บวชภายในวันนั้น ไม่ใช่ภายใน ๗ วัน สำหรับผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว


    มีหลายคนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส พระเจ้าสุทโทธนะพระพุทธบิดา ก็สำเร็จเป็นผู้หนึ่งเหมือนกันที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตอนเป็นฆราวาส...


อ้างอิง
ข้อมูลจาก  :  "สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อความถูกต้อง"  โดย  วศิน  อินทสระ
ที่มา  :  http://www.gotoknow.org/posts/215989
ขอบคุณภาพจาก  :  http://www.ssn.ac.th/,http://3.bp.blogspot.com/,http://www.dmc.tv/
22061  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สมเด็จพระเทพฯ พระราชทาน "น้ำหลวงสรงศพ..หลวงปู่จาม" (ชมภาพ) เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 08:07:35 pm










ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/179463
22062  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมเด็จพระเทพฯ พระราชทาน "น้ำหลวงสรงศพ..หลวงปู่จาม" (ชมภาพ) เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 08:03:55 pm


สมเด็จพระเทพฯ พระราชทาน "น้ำหลวงสรงศพ..หลวงปู่จาม"

สมเด็จพระเทพฯพระราชทานน้ำหลวงสรงศพหลวงปู่จาม มหาปุญโญ และทรงรับไว้ในพระราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ และประชาชน ที่ทราบข่าวเดินทางมากราบสรีระสังขารหลวงปู่จำนวนมาก

    วันนี้( 20 ม.ค.56)  เวลา 14.30 น.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้นายสกลสฤษฎ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานพระราชพิธีน้ำสรงศพ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และทรงรับสรีระสังขารหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ไว้ในพระราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน







    หลังจากศิษยานุศิษย์ ทั้งสายบรรพชิต และฆราวาส ขอพระราชทานพวงมาลา และรับการบำเพ็ญกุศลสรีระสังขาร ไปยังราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาไว้ในพระราชานุเคราะห์ เป็นกรณีพิเศษ
     เพื่อน้อมนำศรัทธาแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนให้ปฏิบัติตามปฏิปทาอันดีงามของหลวงปู่จาม มหาปุญโญต่อไป และเป็นการบูชาคุณความดี ในสาธารณกิจ ในการสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชน ชาวจังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดอื่น ๆ ทั้งในด้านการบริจาควัตถุสิ่งของ และการสอนสั่งให้รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ประจักษ์ในความเมตตาอันประมาณมิได้ จนจวบอวสานแห่งชีวิตของหลวงปู่จาม มหาปัญโญ

      ท่ามศิษยานุศิษย์ จากทุกสารทิศที่ทราบข่าวการมรณภาพของหลวงปู่จาม มหาปุญโญ เดินทางมากราบร่างและสรงน้ำศพหลวงปู่เป็นจำนวนมาก ภายในงาน นอกจากการสรงน้ำศพ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ยังมีการแจกหนังสือ 104 ปีธรรมวิพากษ์ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ และออกโรงทานสำหรับผู้มาร่วมในพิธีสรงน้ำศพ







     ทางด้านพระอาจารย์ อินถวาย สัตตุสสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นหลาน หลวงปู่จาม มหาปุญโญ กล่าวว่า
     หลังจากที่เปิดโอกาสให้ญาติโยม ได้สรงน้ำศพหลวงปู่แล้ว จะได้นำสรีระสังขารของท่านบรรจุในโลงไม้สักทองและหีบศพทองคำมูลค่า 1.5 ล้านที่ญาติโยมได้ซื้อถวาย
     ส่วนกำหนดการบำเพ็ญกุศลศพ หลังจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับ ไว้ในพระราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน แล้ว จะมีการหารือระหว่างลูกศิษย์จะตั้งสรีระสังขารของหลวงปู่ไว้กี่วัน ก่อนพิธีพระราชทานเพลิงศพ







ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/179463
22063  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบพระพุทธรูปโบราณ อายุ 400 ปี ที่วัดพระญาติการาม อยุธยา เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 07:40:15 pm

ฮือฮาพระพุทธรูปโบราณครึ่งองค์อายุ 400 ปี เกจิดังอยุธยาทำให้เหมือนคล้ายพรุผุดจากพื้นดิน

ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้าไปกราบไหว้พรพุทธรูปโบราณมีครึ่งองค์อายุประมาณ 400 ปีที่ทำคล้ายพระผุดจากใต้ดินมาโผล่ฐานพระศากยมุนี หน้าวิหารหลวงกลั่นอดีตเกจิดังวัดพระญาติการาม  ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา  ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ละปัจจุบันเป็นวัดที่เป็นโบราณสถานที่เป็นสถานที่ท่องเทียวชื่อดัง ใกล้กับตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา
 
สำหรับพระพุทธรูปจำนวน 2 องค์ มีลักษณะแปลกกับพระพุทธรูปโดยทั่วไป  แต่มีเพียงครึ่งองค์เท่านั้น  และโผล่อยู่ที่ฐานพระศากยมุนี ศรีอยุธยายา ที่เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ โดยพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์มีลักษณะงดงามลงรักปิดทองสีเหลืองอร่าม  องค์ด้านซ้ายเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง พระอังสะประดับกระจกสวยงาม สวมชฎาประดับกระจกเช่นเดียวกัน  ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพระประธานในพระอุโบสถ์วัดหน้าพระเมรุ
 
ขณะที่องค์ด้านขวามีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้โดยทั่วไป พระพุทธรูปทั้งสององค์มีความสูงเท่ากันจากหน้าอกถึงปลายเกศประมาณ 2 เมตร ตั้งประดิษฐานบนแท่นดูแล้วเหมือนผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ด้านข้างของฐานพระพุทธรูปมีพระศากยมุณี  องค์ขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่อย่างโดดเด่นสง่างามหน้าวิหารของหลวงพ่อกลั่น อดีตพระเกจิดังและอดีตเจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ประชาชนเข้ามากราบไหว้บูชากันเป็นประจำ
 
พระครูสังฆรักษ์เฉลิม เขมทัสสี หรือหลวงพ่อเฉลิม เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม  กล่าวว่า วัดพระญาติในอดีตมีเจ้าอาวาสที่เก่งกล้าเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก จำนวน 2 รูปด้วยกัน ที่รู้จักและมีชื่อเสียงรูปแรกหลวงพ่อกลั่น และรูปต่อมาหลวงพ่ออั้น ในสมัยที่หลวงพ่ออั้น ช่วงปี พ.ศ. 2469  ยังมีชีวิตอยู่และเป็นเจ้าอาวาส นับว่าเป็นพระเกจิดังที่รู้จักทั่วไป และเป็นพระเกจิอีกรูปหนึ่งที่ชื่นชอบเก็บสะสมวัตถุโบราณ




โดยท่านได้ไปพบเศษชิ้นส่วนพระพุทธรูปเป็นจำนวนมากใน บริเวณโบราณสถานวัดใหญ่ชัยมงคล อ.พระนครศรีอยุธยา ที่เป็นวัดเก่าแก่สมัยนั้นยังรกร้าง ซึ่งอยู่ห่างจากวัดไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร
     ได้ไปพบพระพุทธรูปเนื้อหินทรายทั้งสององค์ชิ้นส่วนกระจัดกระจายแบ่งออกเป็นองค์ละ 4 ส่วน
     เป็นส่วนอก 1 ชิ้น ส่วนแขน 2 ชิ้น และเป็นเศียร 1 ชิ้น 
     ได้เกณฑ์ชาวบ้านขนชิ้นส่วนองค์พระทั้งสององค์ ใส่เรือ ใส่รถ มาขึ้นที่หน้าวัดพระญาติการาม เพื่อประกอบเป็นองค์พระ

 
     หลวงพ่อเฉลิม กล่าวอีกว่า
     เมื่อหลวงพ่ออั้นละสังขาร ชิ้นส่วนพระพุทธรูปทั้งสององค์ถูกวางทิ้งไว้โคนจอมปลวกเป็นที่ไม่เหมาะสม
     ทางวัดได้ทำการบูรณะวัดเมื่อปี 2537 ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้สร้างบาตยักษ์
     และสร้างพระศากยมุณีขึ้นบริเวณด้านหน้าวิหารหลวงพ่อกลั่นในปัจจุบัน   
     ทางวัดจึงได้นำชิ้นส่วนของพระพุทธรูปทั้งสององค์ที่มีอยู่ครึ่งองค์นำมาประกอบประดิษฐานไว้ที่ฐานพระศากยมุณี
    ให้ประชาชนได้กราบสักการะและรำลึกถึงพระเกจิดังทั้งสองรูปหลวงพ่อกลั่น และ หลวงพ่ออั้น
    ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสพระเกจิดังของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สืบทอดพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคกลาง/200093/พบพระพุทธรูปโบราณอายุ400ปี
http://p.moohin.com/
22064  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เผยคำสั่งเสีย "หลวงปู่จาม มหาปุญโญ" ก่อนละสังขาร "ห้ามฆ่าสัตว์จัดงาน" เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 07:27:06 pm


เผยคำสั่งเสีย"หลวงปู่จาม มหาปุญโญ"ก่อนละสังขาร สุดยอดเมตตาธรรม ศิษย์พร้อมปฏิบัติ!!

มติชนออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 20 มกราคม บรรยากาศที่วัดวิเวกวัฒนาราม  อ.คำชะอี  จ.มุกดาหาร  ตลอดทั้งวันมีศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศนับหมื่นคน  เดินทางมาร่วมไว้อาลัยและเคารพสรีระสังขารของหลวงปู่จาม  มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ซึ่งเป็นพระเกจิที่ชาวมุกดาหารและคนทั่วประเทศให้ความเคารพเลื่อมใส  ทั้งนี้ทางจังหวัดได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและบริการ ประชาชนที่เดินทางมาที่วัดวิเวกวัฒนารามอย่างดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะมรณภาพหลวงปู่จามยังได้เคยพูดกับลูกหลานและชาวบ้านด้วยภาษาภาคอีสานว่า 

    “เมื่อกูตายแล้ว สูจะเอาสัตว์มาฆ่าทำลาบทำแกงเลี้ยงคน อีนี้เป็นคนไปซื้อมา บักนี้เป็นคนฆ่า
     อีนี้เป็นคนฟักลาบทำแกง ไอ้นี้เป็นคนชิม อีนี้เป็นคนตักกิน เป็นบาปเป็นกรรมกับสัตว์
     กูหน๋าไม่อยากตายกับสูเจ้า อยากไปตายกับเวสสุวัณอยู่ป่าหิมพานต์ ตายแล้วให้เขาเอาเตโชธาตุเผา
     ไม่เป็นบาปเป็นกรรมเป็นโทษไปกับสัตว์ หมู ไก่ ปลา วัว ควาย

 
     ดูแต่เพิ่นอาจารย์มั่น นอนป่วยอยู่หนองผือนาใน แล้วทีนี้ก็รีบจัดแจงให้เขาหามออกไปใส่ทางรถ ขึ้นรถจากพรรณานิคม เข้าสุท พพาน จึงปลอดภัยจากการเอาชีวิตสัตว์มากินของผู้คนมาส่งศพ การเลือกที่จะตายนั้นเลือกได้ของพระอรหันตเจ้าผู้ได้วิชชา พิจารณาตัวอย่างรอบคอบ เพราะเพิ่นรักษาสัตว์โลกไว้ตามกรรม อันนี้พอกูตาย สูเจ้าก็เอาสัตว์มาฆ่าลาบกินกันจนตลอด โห...จะเก็บไว้เท่าใดวัน ก็กินกันไปเท่านั้น กินกันทั้งวัน กินแล้วขี้ ส้วมขี้เต็มสูบทิ้ง อึกทึกกันอยู่ทั้งวัด ฆ่าไปกินไป”



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9EYzFNRGszTlE9PQ==&sectionid=
22065  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม เฮ.! ได้ปรับเงินเดือน 15,000 บาท เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 07:08:33 pm

ครูร.ร.พระปริยัติฯเฮ!ได้ปรับ15,000บ.

ครู-บุคลากร ร.ร.พระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาเฮ! ได้ปรับเงินเดือน 15,000 บาท

    21ม.ค.2556 นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการ เมื่อเร็วๆนี้ ให้ปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้ได้รับเงินเดือนๆละ 15,000 บาท ตามที่พศ.เสนอนั้น

     พศ.ได้ดำเนินการขอปรับการอุดหนุนเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนสามัญศึกษา 2 ส่วน ได้แก่
      1.อุดหนุนปรับเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 2,843 รูป/คน จากเดิม 10,024 บาท เป็น 11,680 บาท เท่าอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการวุฒิปริญญาตรี
      2.อุดหนุนเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ที่เป็นคฤหัสถ์และมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี มีเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท จำนวน 1,346 คน ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนอีกจนถึง 15,000 บาท


     นายนพรัตน์ กล่าวต่อไปว่า การขึ้นเงินเดือนและปรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท จะมีผลย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2555 รวม 9 เดือน โดยใช้งบกลาง ปี 2555 จำนวน 79,684,500 บาท   
     ส่วนในปี 2556 นี้ พศ.กำลังดำเนินการจัดทำรายละเอียดการปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้ได้รับเงินเดือนๆละ 15,000 บาท ให้อยู่ในงบประมาณร่ายจำประจำปี เพื่อเสนอต่อสำนักงบประมาณต่อไป


     อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตผู้จบปริญญาตรีให้ได้รับเงินเดือน 15,000 บาท ที่สำคัญจะทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคม และเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่การบริหารและการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพต่อไป

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130121/149908/ครูร.ร.พระปริยัติฯเฮ!ได้ปรับ15,000บ..html#.UP0uq_LcAis
22066  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ. ตรวจสอบกลิ่นเหม็น 'วัดอ้อน้อย' เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 07:02:25 pm


พศ. ตรวจสอบกลิ่นเหม็น 'วัดอ้อน้อย'

พศ.ตรวจสอบกลิ่นเหม็น'วัดอ้อน้อย' ชี้หลวงปู่พุทธะอิสระคงประชดไม่ขายวัดจริง ผู้จัดการทั่วไปโรงงานผลิตอาหารสัตว์ยันระบบกำจัดกลิ่นไม่ได้ก่อปัญหา

    เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2556 นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมะอิสระ) จ.นครปฐม ประกาศขายวัด 2,000 ล้าน หลังสุดทนกลิ่นเหม็นจากโรงงานอาหารสัตว์ว่า หลวงปู่พุทธะอิสระคงไม่ขายวัดจริงๆ เพียงแต่ทนไม่ไหวจึงออกมาทำอะไรสักอย่างเพื่อจุดประเด็นให้สังคมรับรู้และเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขมากกว่า

    เพราะอยู่ๆจะประกาศขายวัดไม่ได้ การขอจัดสร้างวัดเป็นไปตามตามมาตรา 31 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 บัญญัติว่า วัดมีสองอย่าง (1) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (2) สำนักสงฆ์ และมาตรา 32 บัญญัติว่า

     การสร้าง การตั้ง การรวม การย้าย การยุบเลิกวัด และการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ที่สำคัญเจ้าคณะอำเภอ นายอำเภอ เจ้าคณะอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาเห็นสมควรให้สร้างวัด จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนำปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด
      แล้วเสนอเรื่องและความเห็นไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาเห็นสมควรให้สร้างวัดได้ ให้รายงานนายกรัฐมนตรี (รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอมหาเถรสมาคม เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นชอบแล้ว ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออกหนังสืออนุญาต ให้สร้างวัด


     “ผมได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมเร่งเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น วัด โรงงาน อุตสาหกรรมจังหวัด ฯลฯ ร่วมหาทางแก้ไข ไม่ใช่อนุญาตให้สร้างโรงงานก่อนแล้วมาส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมกับชุมชน ต้องมานั่งแก้ไขทีหลัง
      อย่างกรณีของ พศ. หากวัดใดสร้างเมรุเผาศพแล้ว
      มีควันหรือกลิ่นกระทบต่อชุมชน เราก็ต้องเร่งแก้ไขหรือระงับไปเลย
      กรณีของวัดอ้อน้อยก็เหมือนกัน ที่ผ่านมาชาวบ้านพูดอาจไม่มีผลอะไร คนไม่ได้ยิน
      ตอนนี้หลวงปู่พุทธะอิสระออกมาพูด สังคมจึงให้ความสนใจ
      คาดว่าปัญหาดังกล่าวน่าจะได้รับการแก้ไขเร็วที่สุด”

      ผอ.พศ. กล่าว



คพ.เตรียมส่งทีมเก็บดมกลิ่น 22 ม.ค.
       นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมลพิษ (คพ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   กล่าวว่า เบื้องต้นวันนี้ทางสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบและพูดคุยกับหลวงปู่พุทธะอิสระแล้ว
       ส่วนทางคพ.ในวันที่ 22 ม.ค.นี้ จะส่งทีมเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น และกลิ่นเหม็นจากโรงงานอาหารสัตว์มาตรวจสอบ โดยให้ทีมมนุษย์ดมกลิ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายของคพ.เป็นผู้ตรวจสอบอย่างละเอียด

   
       นายวรศาสน์ กล่าวว่า  อย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหานี้ในเดือนมี.ค2554 ทางคพ. เคยได้รับการร้องเรียนมาแล้ว และก็ได้ร่วมกับสำนักานสิ่งแวดล้อมภาค กรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้าตรวจสอบและบังคับให้ทางผู้ประกอบการต้้องติดตั้งเครื่องบำบัดอากาศ และฝุ่น ซึ่งขณะนั้นเรื่องกลิ่นยังไม่มีมาตรฐาน และเรื่องก็เงียบไปพักหนึ่ง แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้งแสดงให้เห็นว่ากาดำเนินการแก้ปัญหายังไม่ทำต่อเนื่องทำห้วัดและประชาชนได้รับผลกระทบอีก
   
       "ตามหลักการไม่สามารถขายวัดได้ เชื่อว่าหลวงพ่อคงแค่ประชด และต้องการให้หลายฝ่ายมาดูปัญหาผลกระทบจากกลิ่นเหม็นมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันว่าถ้าโรงงานปฏิบัติตามข้อแนะนำให้แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ก็คงไม่เกิดการร้องเรียนขึ้น ทั้งนี้ถ้าผลตรวจว่ามีปัญหากลิ่นเกินมาตรฐาน ก็จะต้องส่งให้กรมโรงงานเป็นผู้ออกคำสั่งตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าพื้นที่สาธารณะประโยชน์ วัด ประชาชน และโรงงานควรต้องอยู่ด้วยกันได้ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกิดปัญหา" นายวรศาสน์ กล่าว



เจ้าของโรงงานยันระบบกำจัดกลิ่นไม่ได้ก่อปัญหา
      นายสุพจน์ เอื้อจิตต์สุรกุล ผู้จัดการทั่วไป โรงงานผลิตอาหารสัตว์  บริษัท อาร์ที อะกริเทค จำกัด   กล่าวว่า  ตนเคยเข้าไปที่วัดอ้อน้อยมาหลายครั้งแล้วเพื่อพิสูจน์กลิ่นว่ามีกลิ่นจากโรงงานไปสร้างความเดือดร้อนให้วัดหรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด และตนก็เคยนำพระวัดอ้อน้อยหลายรูปเข้ามาดูงานที่โรงงาน มาดูระบบกำจัดกลิ่นที่มีการติดตั้ง และดำเนินการอยู่

       ซึ่งพระลูกวัดที่เข้ามาก็ยืนยันได้ว่าโรงงานไม่มีกลิ่นเหม็น และมีการดำเนินการติดตั้งระบบกำจัดกลิ่น แล้ว ซึ่งทางหลวงปู่เองยังไม่พอใจ  และทางผู้บริหารก็ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการเพิ่มระบบกำจัดกลิ่นเพิ่มอีก  ยืนยันว่าทางโรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ และดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอด


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130121/149903/พศ.ตรวจสอบกลิ่นเหม็นวัดอ้อน้อย.html#.UP0rtPLcAis
22067  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดทน.! 'หลวงปู่พุทธะอิสระ' ประกาศขายวัด 2,000 ล้าน หนีกลิ่น รง.อาหารสัตว์ เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 06:39:58 pm

สุดทน! 'หลวงปู่พุทธะอิสระ' ประกาศขายวัด2พันล. หนีกลิ่นรง.อาหารสัตว์

"หลวงปู่พุทธอิสระ" ขึ้นป้ายประกาศขายวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) 2 พันล้านบาท เนื่องจากเบื่อหน่ายกับกลิ่นเหม็นของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ก่อฝุ่นฟุ้งกระจาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่พระสงฆ์และสามเณรเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่โรงงานยืนยันพยายามทำให้เกิดกลิ่นน้อยที่สุด เตรียมติดตั้งระบบกำจัดกลิ่นเพิ่ม....

เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 56 ที่วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) เลขที่ 125/1 หมู่ 17 ริมถนนมาลัยแมน (กม.17) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้มีการขึ้นป้ายอิงค์เจ็ต ขนาดยาว 10 เมตร สูง 6 เมตร ติดที่รั้ววัด จำนวน 3 แผ่น มีข้อความประกาศ "ขายวัด ราคาถูก ทนไม่ไหวแล้ว กลิ่นโรงงานอาหารสัตว์ทรมานเหลือเกิน" ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อสอบถามไปยัง หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัด ถึงที่มาที่ไปของประกาศดังกล่าว

หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า เป็นไปตามข้อความที่เขียนตามป้าย ที่มีกลิ่นเหม็นและฝุ่นฟุ้งกระจายตามลม เกิดจากโรงงานอาหารสัตว์ ฝั่งตรงข้ามถนนประมาณ 300 เมตร ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาและสามเณร โดยวัดสร้างมาตั้งแต่ปี 2533 มีพื้นที่เริ่มสร้างจำนวน 1ไร่ ผ่านมา 25 ปี มีที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่ติดป้ายประกาศขาย พร้อมจะขายในราคา 2,000 ล้านบาท จากนั้นจะยกเงินเข้ามูลนิธิธรรมอิสระ แล้วจะเข้าป่าเพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป




ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายสุพจน์ เอื้อจิตต์สุรกุล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท อาร์ที อะกริเทค จำกัด เลขที่ 45 ม.11 ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัด โดยนายสุพจน์ ยืนยันว่า ทางโรงงานพยายามทำให้มีกลิ่นน้อยที่สุด มีการทำการควบคุมกลิ่น ดักจับกลิ่น มีอยู่แล้ว 2 ระบบ ขณะนี้กำลังทำเพิ่มอีก 1 ระบบ แต่คงจะกำจัดกลิ่นไม่ได้หมด 100% อาจจะมีกลิ่นจากสายการผลิตบ้าง แต่ไม่มากนัก หลังจากที่มีการร้องเรียนก็ได้เพิ่มระบบฉีดโอโซนเข้าไป


"เมื่อกี่วันที่ผ่านมา ก็มีพระลูกวัดอ้อน้อยเดินทางเข้ามา และได้พาพระลูกวัดเข้าไปชมภายในโรงงานว่าได้กำลังปรังปรุงจริง เพราะก่อนหน้านี้ผมได้นำเอกสารไปให้ท่านหลวงปู่พุทธะอิสระดู แต่ท่านไม่สะดวกที่จะดูเอกสาร ท่านจึงส่งพระลูกวัดมา ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหากับทางวัด"

นายสุพจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการผลิตตามกระบวนการทั้งหมด จะมีฝุ่นเล็ดลอดบ้าง เพราะเราเป็นโรงงานผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูปชนิดแห้ง วัสดุส่วนใหญ่มาจากเกษตร เช่น มัน ข้าวโพด และกากถั่วเหลือง ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแก้ไปปรับปรุง และผู้บริหารแจ้งว่าจะรีบเข้าไปพบหลวงปู่พุทธะอิสระ ให้เร็วที่สุดถ้าเป็นไปได้

ด้านมา นายวิสันต์ จำรัสผลเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ที อะกริเทค จำกัด ได้ชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นที่ทำให้วัดเดือดร้อนว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการปรับปรุง หลังจากที่ได้รับหนังสือแจ้งถึงความเดือดร้อนที่มีกลิ่น ฝุ่น ขณะนี้กำลังดำเนินการปรับปรุงเพิ่มเครื่องดักจับฝุ่น ดักจับกลิ่น พร้อมยืนยันว่าจะเสร็จประมาณกลางเดือน ก.พ.นี้แน่นอน

ขณะที่ นายประเสริฐ โฆษิตพิรุณ หัวหน้าฝ่ายดูงาน รักษาการอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า ได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ว่าได้รับความเดือดร้อนเรื่องกลิ่นและฝุ่นฟุ้งกระจาย ขณะนี้เร่งตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และจะนัดทุกฝ่านที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหาทางแก้ไขต่อไป.


 
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/region/321599
22068  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พ่อท่านแช่ม พระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษ.."บนปิดทองที่ตัวท่านได้" เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 10:41:03 am

พ่อท่านแช่ม พระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษ

ผมเพิ่งนำคณะของ SCG ไปเที่ยวภูเก็ตมาครับ มีประวัติของพระภิกษุรูปหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ ชาวภูเก็ตเรียกท่านว่า "พ่อท่านแช่ม" แม้ว่าปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานกันอย่างไม่จืดจาง ผมจึงอยากขอนำเรื่องราวของพ่อท่านแช่มนี้มาถ่ายทอดสู่กันฟังครับ

ท่านเป็นชาวถลางโดยกำเนิด คำว่า ''ถลาง'' เป็นชื่อเก่าแก่ที่ใช้เรียกเกาะภูเก็ตทั้งเกาะครับ ปัจจุบันลดฐานะลงมาเหลือเป็นแค่ตำบลหนึ่งของเกาะภูเก็ตเท่านั้น ท่านเกิดราวปี พ.ศ.2370 หรือในช่วงรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ตอนเด็กๆ บิดามารดาของท่านนำไปฝากเรียนไว้ที่วัดฉลอง ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองถลาง
     จนเมื่อมีความรู้แตกฉานอ่านสวดได้ระดับหนึ่ง จึงบรรพชาเป็นสามเณร
     ครั้นอายุครบบวชก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้
     ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจนเรียกว่าได้ญาณวิเศษ
     และในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าวัด หรือเจ้าอาวาสวัดของวัดนี้


ต่อมาเมื่อท่านมีอายุได้ 49 ปี ตรงกับ พ.ศ.2419 รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีชาวจีนที่อพยพมาจากแถบตอนใต้ของจีน ส่วนใหญ่เป็นชาวฮกเกี้ยน เข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ที่เมืองถลางเป็นจำนวนมากนับหมื่นๆ คน และได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่ม "อั้งยี่" และยกกำลังเข้าโจมตีหมู่บ้านและชุมชนตำบลต่างๆ ในเกาะถลาง
     บรรดาข้าราชการบ้านเมืองและราษฎรสู้ไม่ได้ ก็แตกลี้หนีตายกระจัดกระจายกันเข้าป่าไปหมดสิ้น
     ครั้งนั้นพวกจีนอั้งยี่เกือบจะยึดอำนาจการปกครองของเมืองถลางไปได้โดยเบ็ดเสร็จ
     เมื่อจีนอั้งยี่เหล่านั้นยกกองกันมาปล้นสะดมที่วัดฉลองแห่งนี้
     ราษฎรเป็นจำนวนมากที่เข้ามาอาศัยหลบซ่อนอยู่ในบริเวณวัด
     ต่างก็อ้อนวอนขอให้ พ่อท่านแช่มละทิ้งวัด และหนีเข้าป่าไปกับพวกตน



แต่พ่อท่านแช่มปฏิเสธ และกล่าวว่าท่านจำพรรษาอาศัยอยู่ที่วัดนี้มาแต่เล็กแต่น้อย และท่านเองก็เป็นเจ้าวัด จะไม่ขอหนีไปไหนทั้งสิ้น บรรดาเหล่าชาวบ้านเมื่อได้ทราบความนี้ ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
      จะขอตายอยู่กับพ่อท่านแช่ม และขอเอาบารมีของพ่อท่านเป็นที่พึ่ง
      พ่อท่านเเช่มจึงได้ปลุกเสกผ้าประเจียดยันต์แจกให้ชาวบ้านจนทั่วทุกตัวคน เพื่อไว้ใช้คาดหรือโพกศีรษะ
      เมื่ออั้งยี่ยกเข้ามาปล้นสะดมครั้งใดก็สามารถป้องกันและขับไล่อั้งยี่ล้มตาย พ่ายแตกไปได้ทุกครั้ง


      กิตติศัพท์เหล่านี้ได้เลื่องลือออกไป พวกที่หนีไปอยู่ในป่าก็พากันออกมา และเข้าร่วมเป็นศิษย์ของพ่อท่านแช่มมากขึ้นทุกที จนอั้งยี่ตั้งค่าหัวให้พ่อท่านตอนนั้น เป็นมูลค่าถึง 5,000 เหรียญ ซึ่งนับว่ามากโข และอั้งยี่ก็ตั้งฉายาให้เหล่าชาวบ้านว่า "พวกหัวขาว" เพราะมีผ้าประเจียดยันต์ของพ่อท่านแช่มคาดหัวอยู่ถ้วนทั่วทุกตัวคน สุดท้าย กองทัพจีนอั้งยี่ก็แตกทัพยับเยินไป ไม่อาจทานกำลังเหล่าชาวบ้านฉลองได้

    เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พ่อท่านแช่มขึ้นไปยังพระนคร ได้พระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุธิวงศาจารย์ญาณมุนี" ดำรงตำแหน่งสังฆปาโมกข์ แห่งเมืองภูเก็ต พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดฉลองใหม่ว่า "วัดไชยาธาราราม"
     ว่ากันว่าในครั้งนั้นมีเจ้าจอมของรัชกาลที่ 5 ท่านหนึ่งป่วยเป็นอัมพาตเรื้อรังรักษาไม่หายขาด
     พ่อท่านแช่มได้ทำน้ำมนต์ให้ดื่มและอาบ จึงได้ทุเลาเร็วจนถึงขั้นลุกขึ้นนั่งได้เลย เป็นที่อัศจรรย์



ในระหว่างเดินทางกลับเกาะถลางหรือภูเก็ต ท่านถูกโจรเข้ามาขโมยทรัพย์สิน ในขณะที่บริวารของท่านหลับใหลไม่ได้สติด้วยยาเป่าของโจร หากแต่ท่านเจริญสมาธินิ่งอยู่และไม่เป็นอะไรเลย แถมโจรก็ไม่เห็นตัวท่าน โจรที่พากันมานั้นมีหลายคน แฝงตัวมาในความมืด ซ่อนตัวอยู่ใต้ศาลาที่พัก และเอื้อมมือขึ้นมาควานหาทรัพย์สินอย่างเปะปะ พ่อท่านแช่มเห็นอยู่นาน ด้วยความรำคาญจึงช่วยดันของนั้นให้เข้ามือโจร

      ครั้นโจรได้ทรัพย์สินและพากันกลับไปแล้ว บริวารทั้งหลายจึงฟื้นตื่นขึ้นและได้ไปแจ้งแก่เจ้าเมืองและหมู่ชาวบ้าน ซึ่งต่างก็อาสาที่จะไปติดตามโจรมาให้
      ท่านก็บอกว่า "ไม่ต้อง เดี๋ยวมันก็เอามาคืนเอง" ขาดคำท่านไม่นาน
      หมู่โจรก็หามนายโจรที่กำลังร้องครวญคราง บิดตัวไปมาด้วยความทุกข์ทรมานจากอาการปวดท้อง
      มาหาท่านพร้อมทรัพย์สินที่ลักขโมยไป ยอมมอบตัวแก่ทางราชการโดยดี


      เมื่อเจ้าเมืองจะลงโทษทัณฑ์สถานหนัก ท่านก็ขอบิณฑบาตไว้และขอให้ปล่อยตัวไป
      เพราะท่านหยั่งรู้ว่าโจรนั้นจะกลับใจอย่างแน่นอน


   
    ด้วยความที่พ่อท่านแช่มมีอิทธิฤทธิ์สมบัติสูง กับทั้งยังช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
    นอกจากนั้นยังสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ จึงมีผู้คนรำลึกพระคุณมากมาย
    และขอปิดทองที่ตัวท่านขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ท่านจะปฏิเสธในระยะแรก
    แต่ต่อมาก็ต้องผ่อนปรนให้ปิดทองได้ตามแขน ขา และที่เท้า
    ดังนั้นในเวลาที่ท่านมีกิจนิมนต์เข้าไปในตัวเมือง เมื่อกลับคืนวัดก็จะมีทองคำเปลวปิดตามตัวท่านระยิบระยับไปหมด


    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังได้ทรงกล่าวไว้ว่า
    ในบรรดาการปิดทองแก้บนที่ตัวพระนั้น
    เห็นจะมีแต่เฉพาะพ่อท่านแช่มองค์เดียวเท่านั้น ที่มีการปิดทองในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


    เรื่องราวการปิดทองที่ตัวของท่านนั้น มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เล่าสู่กันฟังไม่รู้จบ คือมีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะล้นๆ และออกจะทะลึ่งทะเล้น มีอาการปวดท้องปวดไส้ เมื่อพ่อเเม่พาตัวมาหาท่านเพื่อการรักษา สาวน้อยนางนี้ก็แอบบนในใจว่า 'ถ้าหายป่วยจะขอมาปิดทอง ถวายที่อวัยวะเพศของพ่อท่านแช่ม'
    ครั้นเมื่อกลับถึงบ้าน อาการต่างๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ด้วยความอับอายในความอุตริของตนเอง
    จึงไม่กล้าที่จะบอกใครเรื่องการบน วิตถารในครั้งนี้ และใช้วิธีนิ่งเงียบเพื่อให้เวลาผ่านไป


   
    ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านแช่ม แค่เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
    หญิงสาวคนนั้นก็ปวดท้องซ้ำขึ้นมาอีกและมากกว่าเดิม
    อาการลักษณะนี้คนโบราณจะทราบได้ดีว่าเป็นอาการของการ "ค้างบน"


    ดังนั้นพ่อแม่จึงคาดคั้นเอากับหญิงสาว จนทราบความจริงในที่สุด เมื่อหอบหิ้วกันมาถึงวัดและได้รับการรักษาจนหายอีกครั้ง แล้วจึงแจ้งความประสงค์ที่จะแก้บนให้ท่านได้รับทราบ ลองนึกดูสิครับว่า ถ้าเราๆ ท่านๆ เป็นพ่อท่านแช่ม เราจะทำตัวอย่างไร
    ในครั้งนั้นพ่อท่านแช่มได้แก้ไขสถานการณ์ด้วยการนั่งทับไม้ตะพดหรือไม้เท้า ของท่านไว้
    แล้วแหย่ออกมาจากใต้จีวรหว่างขาของท่าน เพื่อให้หญิงสาวนั้นได้ปิดทองที่หัวไม้เท้าสมความปรารถนาที่ได้บนไว้ เฮ้ออออ...โล่งอกไปที


    พ่อท่านแช่มมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงปี พ.ศ.2451 จึงได้มรณภาพ ซึ่งก็เป็นเพียง 2 ปี ก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะเสด็จสวรรคต ด้วยคุณความดีแห่งการเสียสละเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด ชื่อเสียงและเกียรติยศของท่านจึงถูกจารึกเล่าขานเป็นตำนานแห่งคุณความดีสืบ มาจนทุกวันนี้.

เผ่าทอง ทองเจือ
www.facebook.com/paothong.pan
www.facebook.com/paothong.thongchua


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/319053
http://yutphuket.files.wordpress.com/,http://www.phukettrip4u.com/,http://www.holidaythai.com/,http://www.ktc.co.th/
22069  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตาปะขาวชีผ้าขาว..ตนหล่อ 'พระพุทธชินราช' เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 09:54:15 am


ตาปะขาวชีผ้าขาว..ตนหล่อ 'พระพุทธชินราช'
ตาปะขาว ชีผ้าขาวพระอินทร์นฤมิตรตนหล่อ 'พระพุทธชินราช' : ท่องไปในแดนธรรม เรื่องและภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู

      วัดตาปะขาวหาย ต.หัวรอ หรือ ศีรษะรอ ในโฉนดที่ดินเก่า อ.เมืองพิษณุโลก แต่อดีตบางครั้งเรียกว่า วัดชีปะขาวหาย หรือ วัดชีผ้าขาวหาย เป็นวัดในตำนานประวัติศาสตร์การสร้างพระพุทธชินราช ปรากฏในพงศาวดารเหนือ ปรากฏความตอนหนึ่งว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้าเมืองเชียงแสน โปรดให้จ่าการบุญ และจ่านกร้อง สองทหารเอก มาหาที่สร้างเมืองใหม่ทางทิศตะวันตกของเขาสมอแคลง และเสด็จมาถึงในยามพิษณุ จึงตั้งชื่อว่า “เมืองพิษณุโลก”

     ในครั้งนั้นทรงมีพระราชศรัทธาหล่อ ๓ องค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
     แต่พระพุทธชินราช หล่อไม่สำเร็จ ทองแล่นไม่สมบูรณ์ ถึง ๓ ครั้ง
     จึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงบุญบารมี รักษาอุโบสถศีล บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน

     ดังที่ปรากฏในตำนานพงศาวดารเหนือ กล่าวว่า

     “ท้าวสักกะรินทร์เทวราช (พระอินทร์) นฤมิตรตน เป็นชีผ้าขาว มาช่วยปั้นและหล่อพระพุทธชินราชจนแล้วเสร็จ มีพุทธลักษณะงดงามเป็นหนึ่งในสยาม พร้อมกับทำสัญลักษณ์ คือ ตรีศูล ไว้ที่พระพักตร์ เฉกเช่น ทิพย์เนตรของพระองค์ เมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศักราช ๓๑๙ แล้วเดิน ออกประตูเมืองด้านทิศเหนือ เมืองพิษณุโลก" (วัดโพธิญาณ ตำบลหัวรอ กรุพระนางวัดโพธิ์ (นางโรงทอ) พิมพ์มีหู และไม่มีหู และพระพิมพ์ชินราชซุ้มเส้นคู่ เนื้อชิน อันโด่งดัง )

      เมื่อพอถึงหมู่บ้านตำบลหนึ่งก็หายตัวไป จึงเป็นที่มาของนาม บ้านตาปะขาว และปรากฏตำนานศาลาช่องฟ้า ที่เล่าขานว่า ฟ้าเปิดเป็นช่องเหนือศาลาไม้และบ่อน้ำโบราณ เหนือวัดตาปะขาวไปราว ๘๐๐ เมตร ขณะชีผ้าขาวหายตัวไป มีแสงพุ่งขึ้นไปตรงช่อง จึงเรียกว่า ศาลาช่องฟ้า และมีการสร้างเทวรูป เทพตาปะขาวหายไว้สักการบูชาทั้ง ๒ แห่ง



     วัดตาปะขาวหาย บางครั้งนิยมเรียกว่า “วัดเตาไห" หรือเรียกเพี้ยนมาเป็น "เต่าไห"
     เนื่องจากเป็นชุมชนโบราณริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก เป็นแหล่งผลิต เครื่องปั้นดินเผา ประเภท ชาม ครก และ ไห เนื้อแกร่ง ลายอุมาแต่โบราณ มีการขุดสำรวจ ระหว่าง พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๒๗ พบแหล่งโบราณคดี เตาเผาไห แบบเตาทุเรียง สมัยสุโขทัย กว่า ๕๐ เตา ตลอดริมน้ำน่านหน้าวัดตาปะขาวหาย


     นอกจากนี้ยังมีการสำรวจพบซากเรือสำเภาใต้อ่าวไทย พบเครื่องปั้นดินเผาลายอุ จากเตาไห จึงได้ภูมินามของ “บ้านเตาไห” มาจนทุกวันนี้ และเป็นสถานที่พักทัพที่จะเข้าล้อมตีเมืองพิษณุโลกทางด้านเหนือมาแต่สมัยอยุธยา จนถึงธนบุรี

     ศูนย์พิษณุโลกศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ตำบลหัวรอ ได้ร่วมกับภาคประชาสังคม อาทิ เทศบาลตำบลหัวรอ สภาวัฒนธรรมตำบลหัวรอ ได้จัดการเสวนาภูมิปัญญา ประชาคมหัวรอ-เตาไห ครั้งที่ ๑ ขึ้น ในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ (ตรงกับวันยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ณ ห้องโสตทัศนศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ โดยระดมสรรพกำลังองค์ความรู้จากผู้อาวุโสและปราชญ์ชาวบ้านตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ของเมืองพิษณุโลก อาทิ

     ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าฯ พิษณุโลก จ.ส.อ.ดร.ทวี บูรณะเขตต์ (คนบ้านเตาไห) ร.ศ.ดร.มังกร ทองสุขดี อ.ขวัญทอง สอนศิริ (ครูโจ้)  ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์และศิลปะพระเครื่องเมืองพิษณุโลก เป็นต้น ร่วมเสวนาจากมติอดีตสู่ปัจจุบันของภูมิปัญญาประชาคมหัวรอ-เตาไห
     เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การขับเคลื่อน สืบสานการพัฒนาแก่ชุมชนประวัติศาสตร์ หัวรอ-เตาไห-เทพตาปะขาวหาย ไปสู่แหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา โบราณคดี และวัฒนธรรม ของเมืองพิษณุโลกสืบต่อไป



พระกรุดวัดตาปะขาวหาย
      วัดตาปะขาวหาย ยังปรากฏพบสกุลพระเครื่องที่พบจากวัดเก่าที่พังลงแม่น้ำน่าน สกุลพระพิมพ์หลวงพ่อโต พิมพ์เนื้อดินละเอียดมาก ปางสมาธิ ประทับนั่งบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย สองชั้น พุทธลักษณะทรงพิมพ์ เดี่ยวกันพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิง อยุธยา

      แต่ปรากฏพบเฉพาะพิมพ์ปางสมาธิเท่านั้น ส่วนลวงพ่อโต กรุบางกระทิง มีทั้งพิมพ์ปางสมาธิและพิมพ์ปางมารวิชัย แต่หลวงพ่อโต กรุวัดตาปะขาวหาย มีพุทธศิลป์ที่งดงามกว่าและมีขนาดเล็กกว่า พบ ๓ พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก มีพุทธคุณสูงส่งเป็นยิ่งนัก และเป็นสุกลพระหลวงพ่อโตยอดนิยมอันดับหนึ่งของเมืองไทย

      รวมทั้งปรากฏพบพระปิดตา พิมพ์สามเหลี่ยมเนื้อผง และเนื้อโลหะผสม ซึ่งพระปิดตายอดนิยมของเมืองพิษณุโลกมี ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์แขนหักศอก กับพิมพ์แขนกลม รวมทั้งพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มประภามณฑล เนื้อผงขาวและผงดำ ส่วนเนื้อโลหะผสมพบน้อยมาก และพระพิมพ์นาคปรก สมาธิเพชร บนขนดนาคสามชั้น เนื้อผงพุทธคุณขาวและเนื้ออมเขียว มีพิมพ์หลังเรียบ กับหลังยันต์ นะชาลีติ

     ทั้งนี้ ท่านพระครูต่วน อดีตเจ้าอาวาสวัดตาปะขาวหาย (เกิด พ.ศ.๒๔๑๗ อุปสมบท พ.ศ.๒๔๓๙ มรณภาพ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ สิริอายุ ได้ ๕๓ ปี ๓๑ พรรษา) สร้างขึ้น มีทั้งที่แจกสมนาคุณร่วมสร้างมณฑปรอยพระพุทธบาทจำลอง หลังคาจัตุรมุข และหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท

    ซึ่งคุ้นเคยกับท่านพระครูต่วน ได้มีเมตตาร่วมสร้างมณฑปและปลุกเสกพระพิมพ์เนื้อผงและโลหะให้ท่านพระครูต่วนในราว ปี พ.ศ.๒๔๖๔ และได้นำออกแจกและนำบรรจุกรุ หมู่เจดีย์รายด้านเหนือมณฑป ซึ่งมีการลักลอบขุดกรุแตกออกมาเป็นระยะๆ นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นต้นมา และพระเครื่องที่นิยมแสวงหากันมากยอดนิยมของเมืองพิษณุโลกเพราะมีพุทธคุณสูงส่งเป็นยิ่งนัก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130118/149644/ตาปะขาวชีผ้าขาวตนหล่อพระพุทธชินราช.html#.UPyrePLjrRd
22070  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ้น 'หลวงปู่จาม' พระวิปัสสนาจารย์ดัง ละสังขารวัย 104 ปี เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 09:42:43 am


สิ้น 'หลวงปู่จาม' พระวิปัสสนาจารย์ดัง ละสังขารวัย 104 ปี

"พระอาจารย์หลวงปู่จาม มหาปุณโญ" เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกวัฒนาราม ละสังขารแล้ว
 ด้วยอายุ 104 ปี พรรษา 75 พรรษา ขณะนำส่ง รพ.มุกดาหาร...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ม.ค. พระอาจารย์หลวงปู่จาม มหาปุณโญ เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย หมู่ 9 ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ได้ละสังขารแล้ว สิริอายุ 104 ปี พรรษา 75 ขณะนำตัวส่ง รพ.มุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร

ต่อมาคณะสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์และญาติโยม ได้ร่วมกันทำพิธีขอขมาศพที่ได้ล่วงเกินไป จากนั้นในเวลา 11.30 น.วันเดียวกัน นายสกลสฤษฎ์ บุญประดิษฐ์ ผู้ว่าฯ มุกดาหาร ได้เดินทางมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีสรงน้ำศพ หลวงปู่จาม มหาปุณโญ เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกวัฒนาราม ซึ่งตั้งศพไว้ที่วัดดังกล่าว



ในส่วนกำหนดการฌาปนกิจศพหลวงปู่นั้น ทางญาติโยม และพระอาจารย์อินถวาย เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย จ.อุดรธานี ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่จาม จะร่วมประชุมกันในช่วงบ่ายวันนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนจำนวนวันเก็บศพเบื้องต้นจะเท่ากับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่จาม และท่านก็เป็นพระอาจารย์ธรรมยุต สายวิปัสสนากรรมฐาน เหมือนหลวงตามหาบัวด้วย



อย่างไรก็ตาม สำหรับโลงไม้บรรจุศพหลวงปู่จามนั้น เป็นโลงไม้สักทองอย่างดี และมีหีบศพทองคำ ราคา 1,500,000 บาท ที่ทางญาติโยมได้ซื้อถวายไว้แล้ว นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายจะมีพิธีสรงน้ำหลวงอาบศพหลวงปู่จามด้วย เนื่องจากญาติธรรมที่เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ศรัทธาหลวงปู่ ได้ดำเนินการขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพจากสำนักพระราชวัง.




ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/region/321270
22071  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กราบนมัสการ "พระบรมเกศาธาตุ" ณ วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา (๔) "ตามรอยพระพนรัตน์" เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 06:08:52 pm

๑๕. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า ขุน พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระพนรัตน์(ขุน) ศึกษาพระกรรมฐานกับพระพนรัตน์(สอน) และพระพนรัตน์(มหาเถรคันฉ่อง)

๑๖. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า มาก พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช  พระพนรัตน์(มาก) ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาต่อจากพระพนรัตน์(อ้น)

๑๗. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า ใหญ่  พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง(เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์) พระพนรัตน์(ใหญ่) ท่านศึกษาพระกรรมฐานสืบต่อจากพระพนรัตน์(มาก)

๑๘. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า บุญ พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายมหาราชเป็นเจ้า พระพนรัตน์(บุญ) ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา สืบต่อจากพระพนรัตน์(มาก)


พระนอน ภายในวัดใหญ่ชัยมงคล

๑๙. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า สิงห์ พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระญาณมุนี พระสังฆราช(สิงห์)ในรัชกาลเดียวกัน บรรพชา-อุปสมบทที่วัดพญาแมน ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมากับพระพนรัตน์(มาก) วัดป่าแก้ว    

๒๐. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า แสง พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
      เมื่อคราวที่ พระพนรัตน(สิงห์)ได้รับการสถาปนา ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระญาณมุนี พระสังฆราชนั้น  ตำแหน่งพระพนรัตน์ พระสังฆราชฝ่ายซ้าย วัดป่าแก้ว จึงว่างลง  สมเด็จพระเพทราชา จึงทรงสถาปนาพระเทพมุนี(แสง) วัดป่าแก้ว ขึ้นดำรงตำแหน่ง พระพนรัตน์(แสง) พระสังฆราชฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายอรัญวาสี แทนตำแหน่งที่ว่าง พระพนรัตน์(แสง)ท่านศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา สืบต่อกับพระพนรัตน์(บุญ)

๒๑. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า แปร พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ(หลวงสรศักดิ์)  พระพนรัตน์(แปร)ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ สืบมาต่อจากสมเด็จพระญาณมุนี พระสังฆราช(สิงห์) วัดป่าแก้ว



๒๒. พระพนรัตน มีพระนามเดิมว่า ดำ พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว   ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ  พระพนรัตน์(ดำ) ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา สืบต่อจากพระพนรัตน์(แปร)

๒๓. พระพนรัตน์  มีพระนามเดิม แก้ว พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว  ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ(เจ้าฟ้าเพชร)
      พระพนรัตน์(แก้ว) ดำรงตำแหน่งมาจนถึงปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ(เจ้าฟ้าพร)  นับเป็นสมัยสุดท้าย ที่พระพนรัตน์(แก้ว)ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบเต็มรูปแบบ ไม่มีวิชาไสยศาสตร์ หรืออย่างอื่นเข้ามาปะปน 
      พระพนรัตน(แก้ว)ศึกษาพระกรรมฐานสืบต่อจากพระพนรัตน์(แปร) วัดป่าแก้ว
      พระพนรัตน(แก้ว) พระสังฆราชาฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งพระพนรัตน เจ้าคณะอรัญวาสี  องค์สุดท้ายของวัดป่าแก้ว ในยุคกรุงศรีอยุธยา


๒๔. พระวันรัตน์ มีพระนามเดิม ใย เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว  ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (เจ้าฟ้าพร) พระวันรัตน์(ใย) ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา ไม่เต็มรูปแบบ คือไม่จบพระกรรมฐานมัชฌิมา อย่างสมบูรณ์  พระวันรัตน์(ใย)ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาสืบต่อจาก พระพนรัตน์(ดำ)

หมายเหตุ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลังพระพนรัตน์(แก้ว) มรณะภาพลงแล้ว พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงเปลี่ยนตำแหน่ง พระพนรัตน จากเจ้าคณะอรัญวาสีฝ่ายซ้าย มาเป็นตำแหน่ง เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา และทรงเปลี่ยนราชทินนามที่ พระพนรัตน์ มาเป็นราชทินนามที่ พระวันรัตน์ แทนตั้งแต่นั้นมา

 

๒๔. พระวันรัตน์ มีพระนามเดิม ผา เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยพระเจ้าอุทุมพร(เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ กรมขุนพรพินิต) 
      พระวันรัตน์(ผา) เป็นพระวันรัตน เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา องค์สุดท้าย ของวัดป่าแก้ว ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา(ศึกษาไม่เต็มรูปแบบ) สืบต่อจากพระพนรัตน์(ดำ), พระวันรัตน์(ผา)มรณะภาพก่อนกรุงแตก


๒๕. ท่านพระครูปลัด(เขียน) ท่านสถิตวัดป่าแก้ว ท่านเป็นถานานุกรม ของพระพนรัตน(แปร) วัดป่าแก้ว  ท่านเป็นพระถานานุกรม อยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ ถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ(เจ้าฟ้าเพชร)
     พระครูปลัดเขียน ท่านเป็นพระมหาเถรที่รักสันโดด มีความมักน้อย ชอบท่องเที่ยวสัญจรจาริกธุดงค์ หาความสงบวิเวก เที่ยวกรรมฐานไปตามสถานที่ต่างๆ เพราะท่านเกิด ความเบื่อหน่าย ภายในวัดป่าแก้ว เวลานั้น วัดป่าแก้วเริ่มเสื่อมจากการศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา
     พระภิกษุทั้งหลายต่างหันไปศึกษาพระปริยัติธรรม และวิชาไสยศาสตร์กันมาก แล้วไม่กลับมาปฏิบัติพระกรรมฐานมัชฌิมาเพื่มเติมเหมือนอย่างแต่ก่อน พระกรรมฐานมัชฌิมา เริ่มไปเจริญตามวัดอรัญวาสีต่างๆ แต่ไม่เต็มรูปแบบ ท่านพระครูปลัดเขียน ท่านศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา สืบต่อจากพระพนรัตน์(แปร) วัดป่าแก้ว อย่างเต็มรูปแบบ



   ต่อมา ตำแหน่งพระพนรัตน์หรือพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว
    ไม่มีพระมหาเถรที่มีความสามารถมากพอในการสืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบเต็มรูปแบบ
    ประจวบกับกรุงศรีอยุธยาก็มาเสียให้แก่พม่า ในรัชสมัยพระที่นั่งสุริยามรินทร์(พระเจ้าเอกทัศน์)
    พระวันรัตน(ผา) วัดป่าแก้ว จึงเป็นพระองค์สุดท้ายของวัดป่าแก้วและของกรุงศรีอยุธยา
    เพราะการล่มสลายลงของกรุงศรีอยุธยานั่นเอง


     สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ผู้คนมักเรียกขานนามพระเถรผู้ใหญ่ ในวัดป่าแก้วว่า เจ้าไท บ้าง
     ซึ่งนามหมายถึง พระพนรัตน,พระวันรัตน หรือพระนพรัตน แห่งวัดป่าแก้ว
     บางที่ก็เรียกขานนามว่า เจ้าพญาไทย บ้าง ซึ่งหมายถึง สมเด็จพระสังฆราชาฝ่ายขวา ในวัดป่าแก้ว ซึ่งมีพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระญาณมุนี(สิงห์)


      ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  สถาปนาพระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล ที่ระลึกการทำยุทธหัตถี ไว้ใกล้ๆ วัดป่าแก้ว  นานมาผู้คนจึงเรียกขานนามวัดป่าแก้วอีกนามหนึ่งว่า วัดใหญ่ชัยมงคล 
      วัดป่าแก้ว จึงมีนามเรียกขานกันหลายอย่าง เช่น วัดเจ้าไท วัดเจ้าพญาไท วัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งไม่ใช่เป็นนามเดิมของวัดป่าแก้ว
      บางสรรพนามใช้เรียกนามขานพระสงฆ์เถร เช่น เจ้าไทบ้าง เจ้าพญาไทบ้าง


อยากให้รู้ว่า "ยังมีคนที่ชอบปิดทองหลังพระอยู่"


ดัดแปลงจาก
ตำนาน การสืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของพระราหุลเถรเจ้า
สืบต่อมาจนถึง สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)
พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร  เรียบเรียง.
22072  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กราบนมัสการ "พระบรมเกศาธาตุ" ณ วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา (๔) "ตามรอยพระพนรัตน์" เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 05:22:27 pm

การสถาปนาตำแหน่ง "พระพนรัตน์" ผู้สืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ

    สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสถาปนาวัดป่าแก้ว เมื่อปีพระพุทธศํกราช ๑๙๐๗ เป็นที่สถิตของพระพนรัตน์ พระสังฆราชฝ่ายซ้าย คณะอรัญวาสี
   คณะสงฆ์วัดป่าแก้ว ศึกษาหนักไปในทางสมถะ-วิปัสสนาธุระมัชฌิมา แบบลำดับ   
   แต่ภายในวัดป่าแก้วก็ศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ด้วย ศึกษาควบคู่กันไป

               
     วัดป่าแก้วเดิมเป็นวัดราษฎร์เล็กๆมีนามเดิมว่า วัดชายทุ่ง หลังจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทองที่ ๓) ทรงครองราชสมบัติแล้ว ๑๕ ปี คือ ตั้งแต่ปีพระพุทธศักราช ๑๘๙๓–๑๙๐๗ หลังจากถวายพระเพลิงพระศพเจ้าแก้ว และเจ้าไทย ซึ่งทิวงคตด้วยอหิวาตกโรค จึงทรงสถาปนาวัดชายทุ่งให้วัฒนาถาวรดีขึ้นกว่าเก่า ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง แล้วพระราชทานขนานนามพระอารามใหม่ว่า วัดป่าแก้ว 

     วัดป่าแก้วเป็นวัดพระกรรมฐานหลัก เป็นวัดพระกรรมฐานใหญ่
     เป็นแม่แบบพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ที่ศึกษากันมาจนทุกวันนี้ 
     พระกรรมฐานที่ศึกษาในวัดป่าแก้ว คือ "พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ"
     สืบต่อมาจาก "วัดไตรภูมิ-ป่าแก้ว กรุงสุโขทัย" และสืบต่อจาก "วัดไชยปราการ กรุงอโยธยา"



    ประมาณปีพระพุทธศักราช ๑๘๙๓  สมัยกรุงศรีอยุธยา วัดชายทุ่ง ก่อนสถาปนาเป็นพระอารามหลวง นามว่าวัดป่าแก้ว  มีเจ้าอาวาสผ่านมาแล้วสามพระองค์ ๓ องค์
    เจ้าอาวาสองค์ที่หนึ่ง ถึงองค์ที่สาม ไม่ได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ 
    เจ้าอาวาสองค์ที่ ๔ คือ ท่านขรัวจวน ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
    และศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ มากับท่านขรัวตาเฒ่าชื่น วัดสามไห สมัยกรุงอโยธยา

    ประมาณปีพระพุทธศักราช ๑๙๐๗ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สถาปนา วัดชายทุ่ง ให้เป็นพระอารามหลวง  แล้วทรงขนานพระนามพระอารามที่สถาปนาใหม่ว่า วัดป่าแก้ว ให้เป็นที่สถิตของพระพนรัตน์ หรือสมเด็จพระนพรัต พระสังฆราชฝ่ายซ้าย   


ภาพนี้ถ่ายจากด้านหลังของตำหนักพระนเรศวร

พระอริยสงฆ์สืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของวัดป่าแก้ว

     สมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี หลังสถาปนาแล้วมีดังนี้

๑. พระพนรัตน์ พระนามเดิมว่า จวน เจ้าอาวาสพระองค์แรกของ วัดป่าแก้ว ตำแหน่งพระสังฆราชฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายอรัญวาสี  ดำรงตำแหน่งพระพนรัตน ตั้งแต่ประมาณปีพระพุทธศักราช ๑๙๐๗ ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑  พระพนรัตน(จวน) บรรพชา-อุปสมบทกับ ท่านขรัวตาเฒ่าชื่น ที่วัดสามไห เมืองอโยธยา ศึกษพระกรรมฐานมัชฌิมา และศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์กับท่านขรัวตาเฒ่าชื่น วัดสามไห เมืองอโยธยา

๒. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า แดง พระสังฆราชฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร  พระพนรัตน์(แดง) ท่านศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ สืบเนื่องมากับท่านขรัวตาเฒ่าชื่น วัดสามไห

๓. พระพนรัตน์ พระนามเดิมว่า รอด ทรงเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ชาวเมืองเรียกขาน พระองค์ท่านว่า หลวงปู่เฒ่า พระองค์ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา และทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าแก้วด้วย  ท่านเป็นในรัชสมัยสมเด็จพระยารามราชาธิราชๆ
    พระพนรัตน์(รอด)บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดสามไห กับขรัวตาเฒ่าชื่น อุปสมบทเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร แห่งกรุงศรีอยุธยา(เมื่อทรงครองราชสมบัติครั้งแรก) ที่วัดสามไห ท่านขรัวตาเฒ่าชื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้วได้เล่าเรียนพระกรรมฐาน แบบมัชฌิมา กับพระอุปัชฌาย์


ภาพนี้ถ่ายจากด้านข้างห้องน้ำ

๔. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า สี พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จบรมไตรโลกนาถเจ้า พระพนรัตน์(สี) ท่านศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา สืบต่อจากท่านขรัวตาเฒ่าจิต ขรัวตาเฒ่าจิตเป็นศิษย์ ศึกษาพระกรรมฐานกับ ท่านขรัวตาเฒ่าชื่น

๕. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า รอด(องค์ที่ ๒) นามที่ชาวเมืองเรียก ท่านขรัวตารอด หรือเจ้าไท พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี  ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระอินทราชา พระพนรัตน(รอด องค์ที่ ๒) ท่านศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาต่อจากพระพนรัตน์(แดง)

๖. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า แสง พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระอินทราชา พระพนรัตน์(แสง)ศึกษากรรมฐานต่อจากพระพนรัตน์(สี)

๗. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า คร้าม  พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒  พระพนรัตน์(คร้าม) ศึกษาพระกรรมฐานต่อจากพระพนรัตน์(สี)

ห้องน้ำทรงไทย

๘. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า จุ่น พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว  ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พระวันรัตน์(จุ่น) ศึกษาพระกรรมฐานสืบต่อจากพระพนรัตน์(แสง)

๙. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า เอื๊ยน พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช  พระพนรัตน์(เอี๊ยน) ศึกษาพระกรรมฐานต่อจากพระพนรัตน์(คร้าม).

๑๐. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า มี พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระแก้วฟ้า  พระพนรัตน(มี) ศึกษาพระกรรมฐานต่อจากพระพนรัตน์(จุ่น)

๑๑. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า เดช พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชาธิราช พระพนรัตน์(เดช) ศึกษาพระกรรมฐานต่อจากพระพนรัตน์(มี)

๑๒. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า สอน พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระพนรัตน์(สอน) ท่านศึกษาพระกรรมฐานสืบต่อจากพระพนรัตน์(มี)


ภาพนี้ถ่ายจากด้านหลังห้องน้ำ เห็นตำหนักพระนเรศวรอยู่ไม่ไกล

๑๓. พระพนรัตน์ นามเดิม พระมหาเถรคันฉ่อง พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว  ในรัชสมัย สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า
     ท่านได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาต่อจากหลวงปู่รอด หรือหลวงปู่เฒ่า หรือพระพนรัตน์(รอด)
     โดยพระพนรัตน์(รอด) มาสอนพระพนรัตน์(มหาเถรคันฉ่อง)ให้เพื่มเติม ทางสมาธินิมิต
     เมื่อมาสถิต ณ วัดป่าแก้ว กรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
     ในครั้งนั้นมี พระพนรัตน์(สอน) เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแก้ว
     พระมหาเถรคันฉ่อง ท่านศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มาในแนวเดียวกันที่รามัญประเทศ


๑๔. พระพนรัตน์ นามเดิมว่า อ้น พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าแก้ว ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศ     
     พระพนรัตน์(อ้น) ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาสืบต่อมาจากพระพนรัตน์(เดช) เมื่อครั้งบรรพชาเป็นสามเณร 
     ครั้นอุปสมบทแล้ว จึงมาศึกษาต่อกับพระพนรัตน์(มหาเถรคันฉ่อง) จนจบพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ 



ดัดแปลงจาก
ตำนาน การสืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของพระราหุลเถรเจ้า
สืบต่อมาจนถึง สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน)
พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร  เรียบเรียง.
22073  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กราบนมัสการ "พระบรมเกศาธาตุ" ณ วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา (๔) "ตามรอยพระพนรัตน์" เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 04:21:31 pm
ภาพนี้ถ่ายจากภายในเจดีย์ชัยมงคล รูปทางขวาสันนิสฐานว่า คือ พระพนรัต(มหาเถระคันฉ่อง)

ตามรอยสมเด็จพระพนรัต พระสังฆราชอรัญวาสี
มหาเถระคันฉ่อง พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    เพื่อเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณ สมเด็จพระอริยวงศาญาณ ปริยัติวราสังฆราชาธิปดี ศรีสมณุตมาปรินายก ติปิฎธรจารย์สฤษดิ์ ขัตติยสารสุนทร มหาคณฤศรอุตรวาม คณะสังฆรารามคามวาสี

     ขออนุญาตคัดลอกบทบันทึกเกี่ยวกับที่มาของ ภาพสมเด็จพระพนรัต พระสังฆราชอรัญวาสี (มหาเถระคันฉ่อง) พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระพีระ จิตตวีโร สำนักสงฆ์วัดป่าแก้ว บ้านป่าโหล – ผาใต้ ต. ท่าตอน อ. แม่อาย เชียงใหม่
     เพื่อคุณๆจะได้รู้จักพระมหาเถระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประชาชนคนไทย นับแต่เวลาที่ได้กอบกู้เอกราชฟื้นฟูประเทศจากการตกเป็นเมืองขึ้น ซึ่งเราชาวไทยต่างทราบกันดีว่าเป็นพระปรีชาสามารถของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ได้กระทำการในครั้งนั้น จนกระทั้งเราเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้


     แต่ยังมีอีกหลายท่านที่มิได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งดี อาจมองผ่านประวัติศาสตร์ในส่วนที่มีความสำคัญผูกพันระหว่าง ความเป็นความตายในพระชนม์ชีพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยมีพระเถระชาวรามัญรูปหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงให้ความเคารพบูชาอย่างสูงสุด ดังความคัดลอกเหตุการร์อันเกี่ยวเนื่องในบางตอนของประวัติศาสตร์ชาติไทยมา เผยแพร่ดังต่อไปนี้


พระพุทธรูปองค์ขาวนี้ อยู่ด้านหลังของเจดียืชัยมงคล

เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๖ พระเจ้ากรุงอังวะเป็นกบฏ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมืองพร้อมกับเกลี่ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหมายเมืองให้เข้มแข็งเมือง ด้วย คราวนั้นพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย

เมื่อนั้นสมเด้จพระมหาธรรมราชาทรงโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมือง พิษณุโลก เมื่อวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม พุทธศักราช ๒๑๒๖ แต่ยกทัพไปไม่ทันกำหนด ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงคลางแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าร่วมด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมทัพรักษาเมืองหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาให้ต้อนรับและหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติ และพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่องผู้เป็นอาจารย์ของตน


ถ่ายจากด้านบนเจดีย์ชัยมงคล

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก พุทธสักราช ๒๑๒๗ ทรงพักทัพอยู่ใกล้วัดของพระมหาเถรคันฉ่อง จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเยี่ยมพระอาจารย์ซึ่งคุ้ยเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องจึงได้กราบทูลถึงเรื่องการคิดปองร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม และเหล่าทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน
      แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาประชุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) แลประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า


“ ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครอบสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรมประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป ”



เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา พระองค์ชกชวนพระมหาเถรคันฉ่อง พระยาเกียรติ พระยาราม พร้อมครอบครัวและบริวารมายังกรุงศรีอยุธยาด้วย พระองค์ทรงขอพระราชทานความดีความชอบต่อพระมหาธรรมราชา พระมหาธรรมราชาทรงแต่งตั้งพระมหาเถรคันฉ่อง เป็นสมเด็จพระพนรัตในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

ส่วนชาวมอญที่ติดตามมาทรงโปรดให้อยู่ ณ ตำบลบ้านหลังวัดนก (ปัจจุบันเป็นวัดร้างตั้งอยู่ทาทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดมหาธาตุ) ส่วนพระยาเกียรติ – พระยาราม มีตำแหน่งยศได้พระราชทานพานทอง ให้ตั้งบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้น และวัดขุนแสน ใกล้วังจันทร์ฯ ของสมเด็จพระนเรศวร

ในครั้งแผ่นดินพระนเรศวรก่อนที่จะทรงสถาปนาสมเด็จพระพนรัตนั้น ก็มีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อนแล้ว แต่ด้วยทรงปรารถนาจะถวายความเคารพอย่างสูงสุดในองค์สมเด็จพระพนรัต (พระอาจารย์)
    จึงได้ทรงสถาปนาพระองค์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชอีกพระองค์หนึ่ง
    ให้ทางเป็นผู้ปกครองสงฆ์ทางฝ่ายเหนือทั้งหมด
    ส่วนพระสังฆราชเดิมนั้นทรงให้ปกครองสงฆ์ทางฝ่ายใต้
    ซึ่งตำแหน่งนี้สถาปนาให้อยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุตามพระราชประเพณี
    แต่สมเด็จพระพนรัตประสงค์ที่จะประทับ ณ วัดเจ้าพระยาไท ต่อมาเรียกชื่อว่าวัดวัดป่าแก้ว
    เนื่องจากพระองค์เป็นพระอรัญวาสี (วัดป่า) มีความชอบในการอยู่อย่างสงบนอกเมือง



เมื่อเสร็จศึกสงครามยุทธหัตถี พุทธศักราช ๒๑๓๕
ครั้งถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะ รวม ๒๕ รูปเข้าไปเฝ้า ถามข่าวถึงการเสด็จพระราชสงครามตามประเพณี สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ฟังทุกประการ
    สมเด็จพระพนรัตได้ฟังแล้วจึงถวายพระพรว่า
    "พระองค์มีชัยแก่ข้าศึก แต่เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องรับราชทัณฑ์"


    สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า
    "นายทัพนายกองเหล่านี้กลัวข้าศึกมากกว่ากลัวพระองค์ และให้แต่พระองค์สองคนพี่น้อง ฝ่าเข้าไปท่ามกลางศึก จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ต่อเมื่อมีชัยกลับมาจึงได้เห็นหน้าพวกเหล่านี้ นี่หากว่าพระองค์ยังไม่ถึงที่ตาย หาไม่แผ่นดินก็จะเป็นของชาวหงสาวดีไปเสียแล้ว"
    เหตุนี้พระองค์จึงได้ ลงโทษตามอาญาศึก



    สมเด็จพระพนรัตจึงถวายพระพรว่า
    เมื่อพิเคราะห์ดูข้าราชบริพารเหล่านี้ ที่จะไม่กลัวพระองค์ท่านนั้นหามได้ เหตุทั้งนี้เห็นจะเผอิญเป็นเพื่อจะให้พระเกียรติแก่พระองค์เป็นอัศจรรย์ เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า


    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จเหนืออปราชิต บัลลังก์ใต้ควงไม้มหาโพธิ์ครั้งนั้น เทพเจ้าก็มาเฝ้าพร้อมกันหมื่นจักรวาล พระยาวัสวดีมารยกพลเสนามาผจญ ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทพเจ้าเป็นบริวาร มีชัยแก่พระยามารก็หาสู้เป็นอัศจรรย์ไม่ เผอิญให้หมู่เทพเจ้าทั้งปวงปราศนาการหนีไปสิ้น เหลือแต่พระองค์เดียวสามารถผจญให้เหล่ามารปราชัยไปได้ จึงได้พระนามว่า “พระพิชิตมาร โมฬีศรีสรรเพชญตาญาณ” เป็นมหาอัศจรรย์บันดาลไปทั่วอนันตโลกธาตุ ก็เหมือนทั้งสองพระองค์ครั้งนี้

     ถ้าเสด็จพร้อมด้วยโยธาหาญมาก และมีชัยชนะแก่พระมหาอุปราชา
     ก็จะหาสู้เป็นอัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศให้ปรากฎแก่นานาประเทศไม่
     อันเหตุที่เป็นทั้งนี้ เพื่อเทพเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์จักสำแดงพระเกียรติยศเป็นแน่แท้



     สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงฟังแล้วก็ทรงพระปิติโสมนัส ตรัสว่า
     "อันพระคุณเจ้ากล่าวมานี้เห็นควรหนักหนา"
     สมเด็จพระพนรัตจึงไดถวายพระพรว่า
     "ข้าราชบริพารซึ่งต้องโทษเหล่านี้ก็ผิดหนักหนาอยู่แล้ว แต่ทว่าได้ทำคุณงามความดีมา แต่ครั้งสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชเจ้า และสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ตลอดมาจนถึงพระองค์ดุจพุทธบริษัทสมเด็จพระบรมครู จึงขอพระราชทานอภัยโทษต่อข้าราชบริพารเหล่านี้ไว้สักครั้งหนึ่ง จะได้ทำคุณงามความดีฉลองพระเดชพระคุณท่านสืบไป"

     สมเด็จพระนเรศวรฯ จึงมีรับสั่งว่าเมื่อสมเด็จพระพนรัตขอแล้ว พระองค์ก็จะถวายให้
     แต่ทว่าจะต้องไปตีเมืองตะนาวศรี เมืองทวายแก้ตัวก่อน
     สมเด็จพระพนรัตถวายพระพรว่า การจะใช้ไปตีบ้านตีเมืองนั้น สุดแต่พระองค์จะสงเคราะห์
     มิใช่กิจของสมณะ แล้วก็ถวายพระพรลากลับไป



จากประวัติศาสตร์ที่เผยแพร่ชัดเจนมายาวนานนี้ น่าจะเป็นข้อจดจำในสำนึกของเราชาวไทยทั้งหลาย ในพระคุณของสมเด็จพระพนรัตผู้เป็นที่เคารพเทิดทูน แห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรฯ ผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงของชาวไทย สมควรที่เราชาวไทยทุกหมู่เหล่าจะได้ระลึกเทิดทูนบูชากราบไหว้ในพระคุณของ พระองค์ท่าน ที่ได้ทรงกระทำให้เราเป็นไทยมาตราบเท่าทุกวันนี้

• หากสมเด็จพระพนรัตไม่ทราบยับยั้งแผนการของพระนาเกียรติ – พระยาราม เราชาวไทยคงไม่มีองค์พระนเรศวร ผู้ทรงปรีชาสามารถมากอบกู้ชาติบ้านเมือง ให้เป็นปึกแผ่นตราบเท่าทุกวันนี้

• หากสมเด็จพระพนรัตไม่ทรงบิณฑบาตร ขอชีวิตเหล่าทหารในการทำศึกสงครามยุทธหัตถี ก็จะทำให้ไพร่พลขาดกำลังใจ และขาดคนดีที่จะมาช่วยชาติบ้านเมืองได้อีกมากมาย ซึ่งในกาลนี้ขอให้ทุกคนหันกลับมามองดูว่า แม้อาญาเมืองยิ่งใหญ่เพียงใด
     แต่ด้วยเดชแห่งบุญสังฆบารมี อันสมเด็จพระพนรัตได้แสดงถวายแด่สมเด็จพระนเรศวรฯ ยังทรงพิจารณา โดยไม่ทรงถือเอาภัยอันพระองค์ได้รับนั้น มาเป็นใหญ่เหนือพระศาสนา และคำเตือนของพระมหาเถระผูประเสริฐ จึงยังทำให้แผ่นดินสงบร่มเย็นสืบมา แสดงให้เห็นถึงพระคุณธรรมอันมิในใจเป็นชาตินักรบอย่างแท้จริงขององค์สมเด็จ พระนเรศวรมหาราชเจ้า


จีงขอให้เราชาวไทยทุกคนในแผ่นดินจงมีสติ อย่าเห็นแก่ลาภยศ อำนาจ วาสนา จนลืมตัวและขาดการยกย่องในผู้ปฏิบัติหนักแน่นในศีลในธรรม ถ้าเรายกเอาองค์พระนเรศวรมหาราชเจ้าที่ได้ทรงกระทำเป็นแบบอย่าง ชาติไทยจักวัฒนาถาวรสืบไป






อ้างอิง
คัดจากหนังสือ ตามรอยสมเด็จพระพนรัต พระสังฆราชอรัญวาสี (มหาเถรคันฉ่อง) พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
บันทึกโดย พระพีระ จิตตวีโร สำนักสงฆ์วัดป่าแก้ว บ้านป่าโหล – ผาใต้ ๖.ท่าตอน อ. แม่อาย เชียงใหม่ ๕๐๑๘๐
(ขออนุโมทนาการได้รับอนุญาตการคัดลอกเพื่อการเผยแพร่จาก จากคุณ ปาเมล่า ว่องวานิช )
http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=658
http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=8565
22074  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สาเหตุที่ ผู้ปฏิบัติธรรมผู้หญิง มีมากกว่าผู้ชาย ลองสังเกต ดู เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 12:53:32 pm
ภาพจาก http://www.siamrath.co.th/


  ส่วนเหตุผลที่ทำให้มีผู้หญิงเข้าสำนักปฏิบัติธรรมมากกว่าผู้ชายนั้น พระอาจาย์อุทัย บอกว่า
     “จริงๆ แล้ว ผู้หญิงกับผู้ชายมีทุกข์พอๆกัน
     แต่ผู้ชายมีสิ่งกลบทุกข์มากกว่า มีความกล้าหาญ และหน้าด้านกว่าผู้หญิง
     กินเหล้า เคล้านารี เข้าสถานบันเทิง

     โดยคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นการดับทุกข์ แต่แท้ที่จริงเป็นการกลบทุกข์ ลืมทุกข์ไปชั่วขณะเท่านั้น
     สุดท้ายทุกข์ก็กลับมาเหมือนเดิม และส่วนใหญ่จะทุกข์มากกว่าเดิม
     ส่วนการเข้าวัดปฏิบัติธรรมฟังเทศน์ของผู้หญิง เป็นการหาทางดับทุกข์ หาทางให้พ้นทุกข์


อ้างอิง
ความเห็นของพระอาจาย์อุทัย “ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง” ต.จระเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
ที่มา http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9838.new#new
22075  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / 'ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง' ขอเชิญปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีข้อจำกัดหรือข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น" เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 12:40:26 pm


ศรัทธาสารทิศไหลสู่ 'ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง'
ศรัทธาสารทิศไหลสู่'ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง' : เยือนถิ่นเรือนธรรม เรื่องและภาพโดยไตรเทพ ไกรงู

     “ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง” ตั้งอยู่หมู่ ๑๒ ต.จระเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี (ใกล้ตลาดเขต) ถือเป็นสถานปฏิบัติธรรมที่เงียบสงบและสวยงามแห่งหนึ่ง เหมาะแก่การดูจิต รักษาใจ ของทุกท่าน
 
    ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง เป็นแหล่งรวมใจรวมศรัทธาของญาติโยมในบริเวณใกล้เคียงและญาติโยมที่อยู่ไกลแต่มี ใจศรัทธาแรงกล้า ในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจะมีญาติโยมมาร่วมกันทำบุญอย่าง เนืองแน่น กิจกรรมที่ญาติโยมให้ความสนใจและตั้งตารอคอยคือ การฟังพระธรรมเทศนา โดยหลวงปู่ท่านต่างๆ ที่เดินทางมาโปรดญาติโยมอยู่อย่างสม่ำเสมอ

     อย่างไรก็ตาม เมื่ออาทิตย์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๖ ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทองได้จัดให้มี พิธีเททองหล่อง "พระไตรโลกนาถศรีโพธิ์ทอง" ซึงเป็นพระพุทธรูป ปางชนะมาร เนื้อสำริด หน้าตัก ๑๐๙ นิ้ว (๒.๗๗ เมตร) สูง ๔.๗๗ เมตร ณ ลานพระมหาเจดีย์พระธาตุโพธิ์ทอง เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระมหาเจดีย์ ปรากฏว่ามีคณะศรัทธาจากสารทิศไปร่วมงานอย่างล้นหลาม

        พิธีเททองหล่อง "พระไตรโลกนาถศรีโพธิ์ทอง" เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๖ โดยได้มีการจัดให้มีการปฏิบัติธรรมตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าวันที่ ๖ มกราคม เวลา ๐๙.๐๐ น. ได้จัดให้มีการถวายภัตตาหารพระสงฆ์ ๑๐๙ รูป จากนั้นเวลา ๑๐.๐๐ น. สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม. เมตตามาเป็นประธานในพิธีเททอง ซึ่งหลังจากเสร็จพิธีแล้ว เวลา ๑๘.๐๐ น. พระอาจารย์อุทัย อุทโย เจ้าสำนักธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง นำอุบาสกอุบาสิกา ถวายพานพุ่ม สักการะ และสวดมนต์เย็น ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยบางส่วนอยู่ปฏิบัติต่ออีก ๑ คืน



        พระอาจารย์อุทัย บอกว่า การก่อสร้างที่พักผู้ปฏิบัติธรรมนั้นจะเน้นแบบเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติที่อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่นิยมที่จะบอกบุญญาติโยม เพราะไม่ได้ทำอะไรใหญ่โตเกินความจำเป็น อะไรขาดก็ค่อยๆ สร้างเพิ่ม ไม่เร่งรีบที่จะสร้างใหญ่โต เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะทางเดินจงกมนั้นจะสร้างเป็นสะพานทอดยาวอยู่ในร่องสวน

     ผู้มาปฏิบัติธรรมไม่ต้องติดต่อมาล่วงหน้า อยากมาวันไหน สะดวกวันใดก็มา
     ถ้าคนมาปฏิบัติธรรมกันมากๆ ที่พักต้องเบียดกันหน่อย แต่ถ้าจะสะดวกก็ติดต่อมาล่วงหน้า
     ซึ่งปกติแล้วจะมีผู้ปฏิบัติธรรมไม่กี่คน อย่างเก่งก็ ๑๐ คนเท่านั้น
     โดยวัดไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ แม้กระทั้งชุดสำหรับปฏิบัติธรรม จะสีอะไรก็ได้เพราะการปฏิบัติธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าที่ใส่ หากขึ้นอยู่ที่กายและใจต่างหากเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า


     ส่วนเหตุผลที่ทำให้มีผู้หญิงเข้าสำนักปฏิบัติธรรมมากกว่าผู้ชายนั้น พระอาจาย์อุทัย บอกว่า
     “จริงๆ แล้ว ผู้หญิงกับผู้ชายมีทุกข์พอๆ กัน แต่ผู้ชายมีสิ่งกลบทุกข์มากกว่า มีความกล้าหาญและหน้าด้านกว่าผู้หญิง กินเหล้า เคล้านารี เข้าสถานบันเทิง โดยคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นการดับทุกข์
     แต่แท้ที่จริงเป็นการกลบทุกข์ ลืมทุกข์ไปชั่วขณะเท่านั้น
     สุดท้ายทุกข์ก็กลับมาเหมือนเดิม และส่วนใหญ่จะทุกข์มากกว่าเดิม
     ส่วนการเข้าวัดปฏิบัติธรรมฟังเทศน์ของผู้หญิง เป็นการหาทางดับทุกข์ หาทางให้พ้นทุกข์”


    “สำรวม มีสติ ทุกอิริยาบถให้ระวังมากๆ ให้รู้เรื่องของตัวเราเอง พยายามที่จะอยู่กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สังคมที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราไม่อยู่กับตัวเอง มักจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตนเอง ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความวุ่นวายในสังคมทุกวันนี้แก้ได้ง่ายนิดเดียว คือ ถ้าทุกคนหยุดคิดแล้วอยู่กับตัวเองให้มากๆ ที่สุด เท่านี้ทุกอย่างก็สงบ” พระอาจารย์อุทัยให้คติธรรมทิ้งท้าย

      หากท่านต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อฝึกสมาธิและนั่งภาวนา ขอเชิญ ณ สถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ เปิดรับศรัทธาผู้จะมาปฏิบัติธรรมจากทั่วสารทิศ โดยไม่มีข้อจำกัดหรือข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น สอบสถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.๐๘-๐๗๗๔-๕๙๖๘


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130118/149643/ศรัทธาสารทิศไหลสู่ธรรมสถานบ้านโพธิ์ทอง.html#.UPonOKzjrRd
22076  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มหัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำมหาชัย "ศรัทธา 2 องค์พระใส่แว่นตาดำ" เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 11:49:10 am

วัสดุเตรียมสร้างพระอุโบสถไม้


มหัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำมหาชัย "ศรัทธา 2 องค์พระใส่แว่นตาดำ"

ดวงตา...ทำหน้าที่ต่อประสาทสัมผัสต่อการมองเห็น เป็นสิ่งที่มนุษย์หวงแหนรองๆ จากหัวใจซึ่งสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงให้ชีวิตอยู่รอด ด้วยความสำคัญนี้จึงมักจะพูดถึงสิ่งอันเป็นที่รักว่าคือ... “แก้วตาดวงใจ” และ เมื่อดวงตาอันเป็นของหวงมีอาการป่วยเจ็บ เจ้าตัวจึง ต้องเยียวยารักษาด้วยแพทย์ หรือหมอเพื่อให้บรรเทา ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ ของปถุชนปฏิบัติ

แต่...หากว่าอาการป่วยนั้นๆหายเองได้เพียงแค่จุดธุป 3 ดอก เรียกว่า...ปาฏิหาริย์...!!

    วัดโกรกกราก ตำบลโกรกกราก อำเภอเมือง สมุทรสาคร
    ซึ่งตอนนี้กำลัง โด่งดังกับการจะสร้างพระอุโบสถไม้ที่ใหญ่สุด (กว้าง 54 เมตร ยาว 56 เมตร)
    โดยซื้อไม้แผ่นใหญ่และยาวที่สุดในเมืองไทย และ ราคาสูงสุดถึง 10 ล้านบาท
 
    ซึ่งอดีต ณ ปริมณฑลวัดนี้มีโรคตาแดงระบาดอย่างรุนแรง สร้างความทรมานแก่ประชาชนทั่วทั้งตำบล ด้วยสมัยนั้นหาแพทย์รักษายากเข็ญ แล้ว หลวงพ่อปู่องค์พระประธานประดิษฐานในพระอุโบสถสำแดงอิทธิฤทธิ์ ด้วยผู้ป่วยรายหนึ่งได้ จุดธูปกราบสักการะแล้วร้องขอให้อาการป่วย บรรเทาปรากฏว่าเพียง 3 วัน โรคตาแดงหายสนิท อย่างปลิดทิ้ง รายต่อๆไปก็ลองมั่งและก็ได้ผลเช่นกัน


องค์หลวงพ่อปู่สวมแว่นตาดำ

   ...ก็ไม่รู้ว่า ฟลุก หรือ ปาฏิหาริย์  เพราะ  เหตุการณ์ มันเกิดขึ้นเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ก่อนหมอ ลักษณ์ เรขานิเทศ หรือ “ลักษณ์ฟันธง” จะเกิด...จึงไม่มีใครยืนยัน
   หลังจากดวงตาหายป่วยไข้จากโรค ผู้ที่ได้รับ ประสบการณ์จึงหาวิธีสนองในบุญคุณด้วยการเอาแว่นตามาสวมใส่ให้กับหลวงพ่อปู่ นับวันยิ่งทวีคูณบางวันมีมากเกือบร้อยราย พื้นที่บริเวณองค์หลวงปู่แทบจะไม่มีที่ว่างสําหรับสวมหรือวางแว่น


   จึงได้ทะลักมาสวมแว่นให้กับรูปปั้นองค์ลอยของพระครูธรรมสาคร “หลวงปู่กรับ” ผู้ทรงขลังในวิชาอาคมอดีต  เจ้า-อาวาสฯ (ไม่รู้ว่าใครเป็นคนประเดิม) แล้วก็มีคนปฏิบัติตามกระทั่ง ปัจจุบันวัดโกรกกรากได้มีพระ 2 องค์ (ทั้งพระพุทธรูปและพระสงฆ์) สวมแว่นตาดำ
   ...ถือเป็นเอกลักษณ์มีแห่งเดียวในโลก...!!

    กับความแปลกที่เห็นกันจนจำเจ...“เหนือฟ้าใต้บาดาล” จึงเลียบๆเคียงๆถาม พระครูวิสุทธิ์สิทธิ- คุณ “พระมหาสัมฤทธิ์ วิสุทธสีโล” เจ้าคณะตำบล โกรกกราก เจ้าอาวาสวัดโกรกราก ถึงความเข้มขลังศรัทธาปาฏิหาริย์ แล้วท่านก็อารัมภบท...ว่า

    หลวงพ่อปู่...เป็นพระพุทธรูปศิลาแลง เดิมประดิษฐานอยู่วัดช่องสะเดาอันเป็นวัดร้าง ชาวรามัญ “บ้านกำพร้า” จึงได้อัญเชิญลงเรือพอล่องมาถึงหน้าวัดโกรกกราก เป็นวัดเก่าแก่แห่งลุ่มน้ำมหาชัย ตั้งอยู่ปากแม่น้ำท่าจีน ได้เกิดพายุพัดจึงได้จอดเทียบท่า แล้วพากันยกองค์พระขึ้นไว้บนฝั่ง (เกรงเรือจะล่ม)


องค์หลวงปู่กรับสวมแว่นดำ

    เมื่อเหตุการณ์สงบจะยกลงเรือเพื่อเดินทางต่อ แต่ยกอย่างไรก็ไม่ขึ้น ชาวรามัญคนหนึ่งจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากพระศิลาแลงองค์นี้จะอยู่วัดโกรกกราก...ก็ขออัญเชิญไปประดิษฐานยังพระอุโบสถ
    ปรากฏว่า  ยกขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ จึงประดิษ- ฐานอยู่วัดโกรกกรากมาตั้งแต่บัดนั้น...!!


    ส่วน พระครูธรรมสาคร “หลวงปู่กรับ  ญาณ-วัฑฒโน” เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 5 เกิดในสมัย พระพุทธ-เจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ในปี 2463 และอุปสมบทในปี 2456 ปี 2463 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เป็นอริยสงฆ์ที่ทรงวิทยาคมสูง ประกอบคุณความดีมาโดยตลอดจนถึงกาลอวสานชีวิตในปี 2517
    เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความดี หลังละสังขาร ทางวัดจึงได้สร้างรูปปั้นของหลวงปู่กรับไว้ในพระ อุโบสถ เหล่าศิษยานุศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้และปิดทองจนเหลืองอร่าม

   สำหรับการนำแว่นตามาสวมใส่ให้ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน บอกว่า...อาจจะเป็นเพราะว่าหลวงปู่กรับในอดีตเมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านสวมแว่นประจำ หรืออาจจะเป็นเพราะผู้ที่มาบนบานได้ตามประสงค์ จึงเอาแว่นตามาแก้บนดั่งเช่นหลวงพ่อปู่...ก็เป็นได้

พระมหาสัมฤทธิ์ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

พระมหาสัมฤทธิ์ ยังบอกต่อว่า อีกหนึ่งของการเล่าขานซึ่งเชื่อมโยงกับพลังอิทธิฤทธิ์ โดย ช่วงแรกๆ ก็มีคนเอาแผ่นทองคำมาปิดตาเต็มไปหมด ตามแรงศรัทธาหลังจากหายป่วย

“...เมื่อหลวงปู่กรับเป็นเจ้าอาวาสจึงได้สร้างกุศโลบายโดยเอาแว่นตามาสวมใส่ให้กับหลวงพ่อปู่ เพื่อมิให้ปิดทองที่ดวงตา จากนั้นชาวบ้านโกรกกรากและใกล้เคียง จึงแก้บนด้วยแว่นตา...”

...จึงสืบสานถึง ทุกวันนี้ผู้ประสบโรคเกี่ยวกับตาทุกชนิดนอกจากรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว มักจะมาบนกับหลวงพ่อปู่ด้วย โดยมีคติความเชื่อว่าจะหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้ และ เมื่อหายแล้วก็จะ เอาแว่นตามาถวายให้ทั้งคู่  (หลวงพ่อปู่กับหลวงปู่กรับ)...

ครั้งหนึ่งมี หมอไสยจอมขมังเวทเกิดความโลภ มองเห็นหลวงพ่อปู่เป็นทองทั้งองค์ ตกดึกจึงลักลอบเข้าไปเจาะตรงช่องท้องเพื่อเอาทองคำ และก็ไม่สามารถทำได้ตามประสงค์ เพราะหลวงปู่กรับลงไปทำวัตรเช้าพบเข้าพอดี แม้จะให้ความเมตตาไม่เอาความ แต่หลังจากนั้นก็มีอาการบ้าคลั่งเสียสติและเสียชีวิต


บริเวณพระอุโบสถวัดโกรกกราก

การลักลอบโจรกรรมครั้งนั้นทำให้ บริเวณช่องท้องหลวงพ่อปู่ชำรุด หลวงปู่กรับจึงได้บูรณะซ่อมแซม  โดยนำทองคำคลุกรักปิดทับรอยชำรุด ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือนยี่ จึงได้ถือเอาวันนี้  จัดงานเฉลิมฉลอง เรียกว่า...วันแซยิดหลวงพ่อปู่

ทุกๆปี...จะมีมหรสพฟรีฉลองกันอย่างครบครัน เพื่อให้ผู้ศรัทธาตั้งแต่ระดับรากหญ้าถึงไฮโซประทับใจและได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน

“...สำหรับปี 2556 วันเพ็ญเดือนยี่ ตรงกับ 26 มกราคม แต่จะจัดงานขึ้นระหว่าง 25 ไปจนถึง 31...” เจ้าอาวาสฯ ตีแคนนอน ตบลูก สั้นๆ แต่ประโยชน์เข้าวัดแบบเต็มๆ...!!


   ก้อง กังฟู


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/column/life/badal/319678
22077  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มข.สร้าง 'พระพุทธรูปไม้' องค์ใหญ่ที่สุดในอีสาน..รับวันสถาปนา เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 11:35:57 am


มข.สร้าง 'พระพุทธรูปไม้' องค์ใหญ่ที่สุดในอีสาน..รับวันสถาปนา

มหาวิทยาลัยขอนแก่น สร้างพระพุทธรูปไม้องค์ใหญ่ที่สุดในอีสาน ฉลองวาระ 50 ปีของการสถาปนามหาวิทยาลัย หวังอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน และเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน...

เมื่อวันที่ 18 ม.ค.56 รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายชุมชนสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า
     ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยในเรื่องพระพุทธรูปไม้ในภาคอีสานแล้ว ได้รู้ถึงรูปแบบคติสัญลักษณ์ที่ปรากฏ
     แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นและเป็นความรู้สึกถึงคุณค่าอย่างยิ่ง คือ การสร้างพระพุทธรูปไม้เกิดขึ้นจากการร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน และฝ่ายสงฆ์ที่เรียกว่า "บวร" เกิดเป็นสัญลักษณ์ที่หลอมรวมใจ
     รูปลักษณ์ภายนอกคือพระพุทธรูปที่มีความงาม มีสุนทรียภาพตามแบบศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มองเห็น
     แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเกิดระหว่างกระบวนการสะท้อนให้เห็นความรักความสามัคคี ความศรัทธา เป็นอัตลักษณ์วิถีอีสาน


     นอกจากนี้ในความเชื่อของคนโบราณว่า การได้ลงมือด้วยตนเองในการสร้างสิ่งนี้ คือ
     อานิสงส์ผลบุญไม่น้อยกว่าการบวช ทั้งนี้เพราะการแกะพระพุทธรูปไม้นี้เท่ากับการถวายตนเป็นพุทธบูชาเช่นกัน



     ความคิดในการสร้างพระพุทธรูปไม้ ที่มีกระบวนการของการร่วมแรงคนในสังคม ผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น เห็นถึงคุณค่าต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งในด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน และการมีสถานที่เพื่อเป็นศูนย์กลาง ยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งของประชาชนและบุคลากร โดยถือฤกษ์วาระ 50 ปีของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ใช้พื้นที่บึงสีฐานด้านตะวันตก เพื่อให้เชื่อมโยงต่อเนื่องกับสิ่งปลูกสร้างด้านวัฒนธรรม เช่น คุ้มสีฐาน หอศิลปวัฒนธรรมฯ

     รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ กล่าวอีกว่า พระพุทธรูปองค์นี้จะถูกสร้างด้วยมือของคนในชุมชนและบุคลากรของมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยแท้ จะเชิญผู้ที่ศรัทธาได้มาลงมีดลงเครื่องมือสร้างอานิสงส์ด้วยตนเองตามวิถีโบราณ มาออกแบบองค์พระ และหอพระในแนวคิด พระพุทธรูปที่มีสถาปัตยกรรมอีสานล้านช้าง ตามต้นแบบหลวงพ่อพระใส ที่สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคนหุต นำมาปรับรายละเอียดใหม่ให้เหมาะสม

    การสร้างพระพุทธรูปไม้ให้ระบือ นอกจากความสวยงาม ขนาดองค์ที่ต้องมีขนาดใหญ่กว่าที่ปรากฏ แล้ว การเลือกไม้ยังมีความสำคัญ ถ้าได้ไม้มงคลขนาดชิ้นเดียวขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้วจะเป็นสิ่งดี แต่ถ้าไม่สามารถหาได้ ก็เป็นการต่อไม้ สำหรับพระพุทธรูปไม้อีสานที่ใหญ่ที่สุดที่ยังเหลืออยู่ เป็นองค์เก่าความสูงประมาณ 3 เมตร ได้เก็บไว้ในหอศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อการศึกษาค้นคว้า

     ขณะนี้ก็ได้บอกต่อๆ กันไปยังผู้ศรัทธาที่จะบริจาคไม้ เช่น ไม้คูน ไม้ขนุน หรือไม้อื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่ที่ถูกเก็บไว้แล้ว หน้าตัดประมาณ 3 เมตร ไม่ใช่เป็นการตัดโค่นไม้ป่ามาทำ โดยจะสร้างองค์ให้ได้หน้าตักประมาณ 3 เมตร สูง 4.5 เมตร หากได้ไม้ชิ้นเดียวมาแกะสลักแล้ว จะเป็นองค์พระที่มองเห็นลายไม้สวยงาม แต่หากต้องเป็นการต่อไม้จากหลายชิ้นก็จะเป็นองค์ที่ลงรักปิดทองเพื่อปิดบังรอยต่อของไม้
     นอกจากนี้ตรงเกตุมาลาขององค์พระ ตั้งใจว่าจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุ ส่วนหอพระส่วนยอดจะมีลักษณะยอดบัวเหลี่ยม คล้ายองค์พระธาตุพนม ที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย


     ทั้งนี้ การออกแบบหอพระและการวางผังพื้นที่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีภาพร่างมาหลายแบบ เพื่อการพิจารณาจะเป็นหอพระที่ยื่นไปในบึงสีฐาน อีกทั้งได้ให้ความสำคัญโดยได้หารือกันถึงผลกระทบทางนิเวศวิทยาอีกด้วย คาดว่าโครงการจะเสร็จในกลางปีนี้.


 
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/321085
22078  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ระฆัง' คลื่นเสียงบำบัด "อาการปวดหลัง เครียด และสร้างสมาธิ" เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 11:25:02 am



'ระฆัง' คลื่นเสียงบำบัด

    ในร่างกายมนุษย์มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อ ระหว่างพลังธรรมชาติ จิตวิญญาณ และพลังเหนือธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน อยู่ภายใต้อำนาจของสมาธิ
     โดย นายแพทย์ ชัชดนัย มุสิกไชย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์สุขภาพนครธนอายุวัฒนา โรงพยาบาลนครธน ได้นำศาสตร์บำบัดที่มีชื่อว่า
     “ระฆังคลื่นเสียงบำบัด (Tibetan Singing Bowl)”
     ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในการแพทย์ทางเลือก ด้วยการใช้คลื่นเสียงบำบัด


    นพ.ชัชดนัย กล่าวว่า จากการวิจัยของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ สหรัฐอเมริกา พบว่า
    การบำบัดด้วย ระฆังลื่นเสียงบำบัด สามารถเข้าไปช่วยลดอาการปวดหลัง โรคเครียด ซึมเศร้าจากการเจอเหตุการณ์แย่ๆ โรคการนอนไม่หลับ และอื่นๆ ให้มีอาการดีขึ้น ส่งผลให้ผู้เข้ารับการบำบัดสามารถลดปริมาณการใช้ยาได้น้อยลง

    โดยวิธีบำบัด ผู้เข้ารับการบำบัดจะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
    ด้วยการจับไม้วนไปรอบขัน ตามเข็มนาฬิกา ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ
    คลื่นเสียงที่ดังกังวาลออกมา จะทำให้จิตสงบ และเข้าถึงสมาธิมากยิ่งขึ้น


    สำหรับเวลาในการบำบัดต่อครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 นาที หรือทำร่วมกับการสวดมนต์ 1 บท
    โดยในทางการแพทย์เราเรียกการบำบัดควบคู่ระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือกว่าคอมพลีเมนทารี เมดิซีน  (Complimentary Medicine) ซึ่งเป็นการแพทย์แบบเติมกันซึ่งกันและกัน

    โดยเสียงที่ดังกังวาลออกมาจาก ระฆังคลื่นเสียงบำบัด จะถูกแบ่งเป็นตัวโน้ต ในแต่ละตัวโน้ตจะเป็นคลื่นเสียงที่เข้าไปบำบัดจักระนั้นๆ อย่าง

    จักระที่ 1ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธ์กับทวารหนัก  เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต โดยปกติแล้วจักระนี้จะไม่มีการกระตุ้นอย่างเด็ดขาด เพราะอันตรายต่อระบบการทำงานของร่างกาย
 
    จักระที่ 2 ตั้งอยู่ที่ปลายกระดูกสังหลังใต้ก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศและความเชื่อมั่นในตนเอง ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมสืบพันธุ์ (Gonads Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีส้ม และโน้ตเสียงในการใช้ระฆัง....คลื่นเสียงบำบัดคือโน้ตตัว เร

    จักระที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณสันหลังที่ตรงกับบั้นเอว มีความเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ผลิตโลหิตเป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมหมวกไต สีที่สัมพันธ์คือ สีเหลือง และโน้ตเสียงในการใช้ระฆังคลื่นเสียงบำบัดคือโน้ตตัว มี

     จักระที่ 4 ตั้งอยู่กลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ เป็นศูนย์รวมของความรัก ความเมตตากรุณา ความเสียสละ การพัฒนาจิตใจ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไธมัส สีที่สัมพันธ์คือ สีเขียว และโน้ตเสียงในการใช้ระฆังคลื่นเสียงบำบัด คือโน้ตตัว ฟา

    จักระที่ 5 ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไทรอยด์  สีที่สัมพันธ์คือ สีน้ำเงิน และโน้ตเสียงในการใช้ระฆังคลื่นเสียงบำบัด คือโน้ตตัว ซอล

       อย่างไรก็ตามระฆังคลื่นเสียงบำบัด นับว่าเป็นอีกหนึ่งแพทย์ทางเลือกที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก สิ่งที่ได้รับนอกไปจากสุขภาพที่ดี นั่นคือจิตที่สงบและเป็นสมาธิ เรียกได้ว่าเป็นการบำบัดทั้งพลังทางกาย และเติมเต็มพลังทางใจ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130118/149635/ระฆังคลื่นเสียงบำบัด.html#.UPodIazjrRd
22079  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบ 'กรุพระ' ใต้กุฏิเก่าเกจิดังสร้างทิ้งไว้ เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 11:10:30 am



พบ 'กรุพระ' ใต้กุฏิเก่าเกจิดังสร้างทิ้งไว้

พบ 'กรุพระ' ที่วัดห้วยเจียง จ.พิษณุโลก มีการขุดพบกรุพระเครื่องที่ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นพระเครื่องยุคเก่าที่มีพระเกจิชื่อดังสร้างทิ้งเอาไว้ใต้กุฏิเก่า

     วันที่ 18 ม.ค. 2556 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่วัดห้วยเจียง ม.3 ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก มีการขุดพบกรุพระเครื่องที่ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นพระเครื่องยุคเก่าที่มีพระเกจิชื่อดังสร้างทิ้งเอาไว้ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จ พบพระปลัดดนุพล จันทสุวรรณโณ เจ้าอาวาส โดยมีชาวบ้านจำนวนมากทราบข่าวมารอการนำกรุพระที่พบขึ้นมาด้านบน

     พระปลัดดนุพล กล่าวว่า ตนเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสได้ไม่นาน เพราะก่อนหน้าวัดแห่งนี้มีอาถรรพ์ ที่ผ่านเจ้าอาวาสทุกรูปมาอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน ต่างมีอันเป็นไป ไม่มรณภาพก็หายออกจากวัดไปเฉยๆ จนไม่มีเจ้าอาวาสมาดูแลวัด กระทั่งตนได้รับแต่งตั้งมารับตำแหน่ง จึงได้ทำพิธีบวงสรวงและประกอบพิธีร่างทรง ให้มีการสร้างศาลเจ้าที่เจ้าภูมิ จึงจะอยู่เป็นสุขตนจึงทำตาม




     
     โดยร่างทรงบอกว่าเจ้าอาวาสรูปเดิมที่มรณภาพไปแล้วจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แก่วัด เพื่อนำขึ้นมาในการบูรณะวัดให้มีความเจริญ โดยให้ไปค้นหาที่บริเวณที่ก่อสร้างกุฏิเก่าของหลวงปู่เคน ปภากโร ซึ่งปัจจุบันบริเวณดังกล่าวมีการสร้างเทปูนเป็นเขื่อนนำล้นทับเอาไว้ โดยด้านล่างเป็นโพรงเนื่องจากถูกน้ำกัดเซาะ ทำให้ไหโผล่ออกมาเป็นไหบรรจุพระเครื่องพิมพ์นางพญาเนื้อดินเผาจำนวนมาก โดยทางวัดได้นำขึ้นมา 2 ไห แต่ทางร่างทรงบอกว่ายังมีอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ใต้ดิน มีพระเครื่องและเงินพดด้วงสมัยก่อน

    แต่ตอนนี้สิ่งศักดิ์ยังไม่ยอมเปิดทางให้เอาขึ้นมา จึงได้เพียง 2 ไหเท่านั้น
    มีพระพิมพ์เดียวกับพระนางพญา วัดนางพญา อ.เมืองพิษณุโลก
    มีลักษณะพิมพ์พระหน้าผากจะยุบเล็กน้อย คล้ายพิมพ์พระนางพญาอาจารย์ถนอม มีทั้งเข้าตรง และเข่าโค้ง






    พระปลัดดนุพล กล่าวว่า หลวงปู่เคน ปภากโร เป็นพระเขมรธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่บริเวณป่า ซึ่งคือวัดห้วยเจียงปัจจุบัน ก่อนจะบูรณะจนกลายเป็นวัด และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดในเวลาต่อมา ช่วงที่หลวงปู่เคนยังมีชีวิตอยู่ ได้สร้างเครื่องรางของขลัง และสร้างพระพิมพ์เอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่มาทำบุญ และช่วยเหลือทางวัด

    ซึ่งบางคนจะไดรับตะกรุด ผ้ายันต์ และพระเครื่องแตกต่างกันไป หลังจากหลวงปู่เคน มรณภาพ ปรากฏว่าพระเครื่องและเครื่องรางของขลังที่หลวงปู่ปลุกเสกเอาไว้หายไปเกือบทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่จำนวนน้อย คาดว่าหลวงปู่เคนอาจจะนำไปฝังดินเอาไว้ก่อนที่จะมรณภาพในเวลาต่อมา






 
    นายนาค จงสา อายุ 74 ปี บ้านเลขที่ 15/1 ม.3 ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์ เปิดเผยว่า
    วัดห้วยเจียงเป็นวัดเก่าแก่มีอายุกว่า 100 ปี ที่หลวงปู่เคนธุดงค์มาอยู่ที่นี้ ตอนนั้นตนอายุประมาณ 20 ปี
    หลวงปู่เป็นพระเกจิเขมรพูดไทยไม่ค่อยชัด มีการสร้างวัตถุมงคลหลายอย่าง มีทั้งพระเครื่อง และผ้ายันต์ และตะกรุด
    ตนได้ตะกรุดมา 1 ดอกเก็บเอาไว้ถึงปัจจุบัน ช่วงที่หลวงปู่เคนอยู่มีคนนำเอาเครื่องรางของขลังไปคล้องคอไก่ใช้ปืนยิง
    แต่ปรากฏว่าว่าปืนไม่ดัง ชาวบ้านจึงเกิดความเลื่อมใสหลวงปู่เคนมาก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130118/149694/พบกรุพระใต้กุฏิเก่าเกจิดังสร้างทิ้งไว้.html#.UPoX_qzjrRd
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9EVXdOVFV3Tnc9PQ==&subcatid=
22080  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กราบนมัสการ "พระบรมเกศาธาตุ" ณ วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา (๓) "โทษตายกลายเป็นเจดีย์" เมื่อ: มกราคม 18, 2013, 01:24:30 pm




   
          ภาพชุดนี้จะเป็นบรรยากาศรอบๆเจดีย์(ด้านล่าง)
          หากถามว่า บรรยากาศบนเจดีย์เป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า
          อากาศดี วิวสวย น่าถ่ายภาพมาก แต่อากาศร้อนพอสมควร

           :49:
หน้า: 1 ... 550 551 [552] 553 554 ... 708